Paranormal - ใต้เงามนตรา (3P) ตอนที่ พิเศษ สองหมี น้ำผึ้ง&ช็อกโกแล๊ต(08-05-2557)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Paranormal - ใต้เงามนตรา (3P) ตอนที่ พิเศษ สองหมี น้ำผึ้ง&ช็อกโกแล๊ต(08-05-2557)  (อ่าน 155349 ครั้ง)

pinkky_kiku

  • บุคคลทั่วไป
เอาเรยนุ้งกาล เราเชียร์เต็มที่ จัดหนักเลยลูก  :laugh:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
KFC ก็น่ากินอยู่นะ ว่าแล้วก็อยากกินทาร์ตไข่ ( ไม่เกี่ยวใช่ม่ะ?  :m23: )
ไปถึง นิวออร์ลีนส์ จะให้กิน KFC เหรอ? ไม่ ๆ ต้อง request ให้น้องกาลกิน "หมีนิวออร์ลีนส์" สิ
เพื่อจะได้พิสูจน์ความแข็งเป๊กที่สามารถเล่นได้ต่อเนื่องทั้งคืน ( อยากทดสอบคุณภาพหมีเฉย ๆ อย่าคิดลึก ~ :m13: )

แล้วที่ทาเคชิทำพิธีให้น้องกาลที่ปราสาทนางสิบสอง เพื่ออะไรค่ะ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2011 22:29:08 โดย Cherry Red »

JipPy

  • บุคคลทั่วไป
กินหมี แทนนน ไหม   







555555555555+

ice-vanilla

  • บุคคลทั่วไป
น้องกาลกินหมีนี่หมายถึงจะให้น้องกาลรุกพ่อปุกปุยของเราหรือเปล่าคะคุณ Windend :z1:

ออฟไลน์ ณ ที่เดิม™

  • มากกว่าชีวิต...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
แปลกดีเน๊อะเรื่องนี้ แฟนตาซี
บอกน้องกาล กินหมีแซบกว่าชัวว์ o13
ติดตาม นะคะ :L2:

ออฟไลน์ Windend

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ต้องขอโทษด้วยครับที่หายไปนาน :try2:

คนป่วยมากันเยอะ รักษากันตั้งแต่แปดโมงเช้ายังสี่ทุ่ม แทบตายแหนะ :sad2:

แต่ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าสมาชิคที่แวะเข้ามาอ่านอยากได้อะไร  :laugh:

ทุกเสียงเป็นเอกฉันท์ กระผมก็จะจัดให้ :z1:

ตอนท้ายแอบแถมตัวละครใหม่เข้ามาด้วยนะครับ

============================================================

ตอนที่ 13 หมีนิวออร์ลีน...นั้ววววววนัว

กาล

          “ก็กินหมีแทนเอาไหมหละครับ” ไคร์นจูบที่แก้มผมแล้วยังเลื่อนไปขบใบหูผมต่อ อา...จะไม่ไหวอยู่แล้วนะ

          “ไม่เอา ท้องร้องแล้ว” ผมไม่ยอมหรอก เรื่องอะไรหละมาถึงแดนลุงแซมทั้งที ดินแดนแห่งอภินันท์แห่งการซื้อหา อยากกินอะ

          “โห...ไปไหนดูซิท้องร้องหิวจริงหรือเปล่า” ไคร์นเลิกเสื้อผมแล้วเลื่อนตัวลงไปเอาหูแนบกับหน้าท้องผม ดูทำเข้า ทำยังกะฟังเสียงเด็กดิ้นในท้องซะนี่

          “เอ้า...ฟังเลย มันร้องว่า หิวครับพี่หมี น้องกาลหิวKFCนะครับ พาไปกินหน่อยนะครับ นะนะนะ” ผมก็ยืนแอ่นท้องให้ชิดหน้าของไคร์นยิ่งขึ้น ดุซิจะได้ยินไหม

          “อา...ได้ยินแล้วครับ แต่เอ...มันไม่ได้บอกอย่างนั้นนี่ครับ กาล”

          “อ้าว จะมารู้เกินเจ้าของได้ยังไงกันนี่ ไคร์น”

          “มันบอกว่า...” จากนั้นไคร์นพาเราสองคนหายตัวก็กลับมานอนเปลือยกันบนเตียงในห้องไคร์น โดยเจ้าตัวนอนทับผมไว้อีก

          “มันบอกว่า...หิว...หมี...ตัวนี้” ไคร์นก้มลงมาประกบจูบกับผมอย่างเร้าร้อน เราสองคนกอดจูบกันนัวเนีย ลิ้นของไคร์นสอดเข้ามาไล้เลียไปตามแนวฟันของผมก่อนจะกระวัดแกว่งไปตามเพดานปากก่อนจะดุนดันลิ้นของผม

          ผมดูดลิ้นไคร์นตอบ ไคร์นก็ใช้ปากไล้ไปตามริมฝีปากของผม  เราต่างแลกลิ้นกันนานมือไม้เราต่างลูบไปตามลำตัวของกันและกัน ไคร์นถอนจูบออกแล้วเม้มปากงับไปตามแนวคาง ลำคอ ซอกคอ จนถึงหน้าอก เขาขบกัดเบาๆที่ยอดอกของผม ใช้ลิ้นเย้าหยอกไปมาอย่างเร็วจนผมต้องแอ่นอกรับกับแรงอารมณ์ที่ไคร์นมอบให้ มือของเขารวบเอวผมส่วนอีกข้างก็ใช้นิ้งโป้งบดบี้ยอดอกอีกข้างอย่างเมามันส์

          "ซี๊ด...เสียวครับ ไคร์น" ผมต้องห่อปากครางออกมาอย่างสุดกลั่น ไคร์นชำนานมาก ทำสองข้างสลับกันไปมาอย่างไม่รู้อิ่มเอม

          ไคร์นเลื่อนใบหน้ามาตามหน้าท้องผม ขบเม้นเล่นอย่างสนุกปาก แล้วมาหยุดที่สะดือ เขาใช้ลิ้นแยงกระวัดไปมาอย่างรวดเร็ว

          “อา...ไคร์น...ซื้ด...ไคร์น...ผมเสียวนะ...คร้าบบบ...โอ้ย...” ไคร์นยังขบเม้มหยอกลิ้นกับสะดือและหน้าท้องผมไปเรื่อยๆ ผมใจแทบขาด มือของไคร์นตอนนี้อยู่ที่ก้นผมทั้งสองข้างแล้วบีบไปมาอย่ามันส์มือ เมื่อไคร์นเพิ่มแรงบีบมากขึ้นฝ่ามือที่หยาบกร้านของเขาให้ความรู้สึกเหมือนโดนไฟช๊อคไปมาใต้ผิวเนื้อเรียบของผม

          อารมณ์ผมพรุกพร่านอย่างหยุดไม่อยู่ ไคร์นเหมือนรู้ดี เขาใช้ปากครอบลงไปยังแท่งแกร่งที่อ่อนไหวต่อสัมผัสของผมแล้วเม้มปากรูดขึ้นรูดลงแบบเน้นๆ เอวผมไม่สามารถอยู่นิ่งๆได้ต้องส่ายร่านไปมาตามแรงดูดเม้มของเขา

          นานพอสมควร ความเสียวซ่านอย่างสุดขั้วก็เข้าครอบงำผม ผมทะลักความหรรษาออกภายในปากของเขา ไคร์นดูดเกลือนลงไปอย่างกระหายหิว เขาใช้ลิ้นเก็บกวาดไปมาตรงปลายยอดจนผมต้องร้องห้าม

          “ไคร์น...อา...หยุดก่อ...น...พ...พอก่อ...น...มันเสีย...วคร้า...บ” ไคร์นจึงหยุดแล้วเลื่อนหัวลงไปต่ำกว่าเดิม ยกขาทั้งสองข้างของผมขึ้นแล้วอ้าค้างไว้ ใช้ลิ้นหยอกเย้ากับถุงทองจนฉ่ำแล้วดูดดุนสลับซ้ายขวาไปมาอย่างสนุกปาก มืออีกข้างก็ไล้วนไปมาที่ปากทางสีชมพูเบื้องล่าง

          นิ้วที่แสนช่ำชองเกลี่ยวนไปมาก่อนที่จะค่อยๆแหย่เข้าไปทีละนิ้ว มันคับแน่นตื้อไปหมด ในหัวผมมันเหมือนหมุนคว้างเมื่อเขาเริ่มกว้านนิ้วเป็นรูปตัวโอภายในช่อง

          “อา....ค...ไคร์น...อา...” ไคร์นเพิ่มนิ้วเข้าไปอีกแล้วยังดูดถุงทองแฝดของผมอย่างเบาๆ ลิ้นนุ่มร้อนหยอกเย้าไม่หยุด มืออีกข้างก็ปรนเปรอแท่งแกร่งร้อนของผมไปด้วย ในหัวผมตอนนี้มันคิดอะไรไม่ออกแล้ว สติของผมเริ่มเลือนแทนที่ด้วยอามรณ์พิศวาสอันร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม

          “ซี๊ด...ด...ค...ไคร์น...ผ...ผ...ไม่ไหว...ล...แล...แล้ว...อา...” ไม่นานนักผมก็ถึงปลายทางแห่งความสุขสมอย่างมากมายอีกครั้ง เปรอะเต็มน่าท้องและมือของไคร์นเต็มไปหมด ไคร์นเลื่อนตัวขึ้นมาดูดเลียหยดหยาดจนหมด เขาลากลิ้นไล้วนไปมาที่ปลายแท่งแกร่งที่ตอนนี้เริ่มอ่อนตัวลงบ้าง

          “สุขสมเพื่อผมนะ กาล” ไคร์นลุกขึ้นนั่งแล้วยกผมขึ้นมานั่งหันหน้ามาหาเขา เขาจับแท่งแกร่งกำยำจ่อทางเข้าด้านหลังแล้วค่อยๆกดลงไปช้าๆ

          “อึก...อา...เบา...เบาก่อน...ไคร์น...นะ” ผมหย่อนตัวลงไปความแก่งร้อนแสนใหญ่โตค่อยๆแทกผ่านเข้าไปในตัวผม ถึงมันจะไม่ค่อยเจ็บแล้วแต่ความคับแน่นที่แทบฉีกขาดมันก็ยังสร้างความมึนตึงให้กับผมอยู่ดี พอกดลงไปจนมิดแล้วต้องรออีกซักพักกว่าผมจะหายเกร็ง ไคร์นจูบหนักๆบดเบียดริมฝีปากผมอย่างกระหาย ไรเคราเขาเริ่มขึ้นมาเล็กน้อยมันจั๊กจี๋ปนเสียวซ่านไปถึงสันหลังเลย

          “พร้อมหรือยังครับ คนเก่ง” ไคร์นกระซิบถามข้างหูผมอีกแล้ว ผมเลยแกล้งขมิบช่องด้านล่างแทนพยักหน้า ไคร์นหลุดยิ้มออกมาเลย

          “มีใครเขาตอบแบบนี้บ้างเนี่ย กาล คุณทำให้ผมแทบคลั่งแล้วนะครับ” ไคร์นเริมขยับสะโพกขึ้นลงเล็กน้อย ช้าๆ แต่ผมรู้นะว่ามันเข้าไปจนสุดเลยจนผมต้องกอดคอแล้วเอาหน้าซุกไปที่บ่าของเขา

          “กาล...ผมชอบตอนที่คุณโอบรัดผมทั้งข้างนอกและก็ข้างในจังเลย” เขาพูดไปขบใบหูผมแต่สะโพกเขาก็เริ่มเร่งความเร็วขึ้น อารมณ์ผมเริ่มสนองมากขึ้น กดสะโพกลงไปแรงขึ้นให้เข้าจังหวะกับที่เขาสวนขึ้นมา ด้วยความเร็วและแรงทำให้เตียงเริ่มสั่นสะเทือนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด

           กล้ามท้องของไคร์นมันชั่งแข็งแกร่งและร้อนเพราะการเสียดสีกับแท่งแกร่งของผม ความเสียวซ่านเริ่มมากขึ้นไปเป็นทวีคูณเมื่อไคร์นเริ่มขยับสะโพกให้แรงและเร็วกว่าเดิมมากยิ่งขึ้น

           “ไคร์น...ไคร์น...ไม่...ไม่...ไหว...แล้ว...จะ...จะ...จะ...ไป...” ผมยังพูดไม่จบเขาก็กดผมแน่นขึ้น จังหวะการกระแทกสวนกันยิ่งหนักหน่วงขึ้นไปอีก เสียงหอบหายใจของเขาที่ข้างหูบ่งบอกได้ว่าเขาก็กำลังจะถึงเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าของไคร์นเขายังขยายใหญ่ขึ้นมาอีก

          เพียงไม่ถึงนาทีผมก็พลั่งพลูออกมาเต็มหน้าท้องของเขา ไคร์นเร่งสะโพกส่วนขึ้นมาจนสุดแล้วกดแช่เอาไว้ ผมเห็นดาววิ้งๆเต็มเพดานเลย ครั้งนี้มันสุดยอดเหลือเกิน ไคร์นยังไม่ถอนตัวออกจนผ่านไปได้เกือบห้านาที น้ำของเขาไปย้อยลงมาเปรอะเต็มง่ามขาและที่นอนไปหมด เขาหอบหายใจหนักหน่วง ผมได้ยินเสียงหัวใจของเขาดังสะท้านหน้าอกผม ผมรักความอบอุ่นแบบนี้จังเลย

          “ไคร์นครับ...”

          “ครับ...คนเก่ง”

          “กาลหิวKFC”

          “อ้าว...!!!”

===================================================

ยี่สิบไมล์ นอกชายฝั่งโยนากุนิ โบราณสถานใต้น้ำโยนากุนิ

          เสียงก้าวเท้าหนักๆอย่างรวดเร็วตามทางเดินกึกก้องไปทั่ววังใต้น้ำแห่งนี้ ท่วงท่าการเดินอย่างองอาจบ่งบอกถึงความเป็นเจ้าของสถานที่ ประตูทองคำบานใหญ่ถูกสลักอย่างวิจิตรเปิดขึ้นเบื้องหน้า เขามองภายในห้องที่เคยเป็นท้องพระโรงขนาดใหญ่ที่แสนเกลียดชัง แต่ตอนนี้เขาเองเรียกที่นี่ว่า บ้าน พื้นห้องปูด้วยหินอ่อนสีดำมีเพียงทางเดินตรงกลางปูด้วยหินอ่อนสีแดงที่ทอดยาวไปจนถึงบันลังทองคำขนาดใหญ่ ด้านซ้ายและขวาของบันลังมีรูปปั้นหญิงสาวสองคนยืนอย่างสงบนิ่ง ทั้งสองดูไร้ชีวิตจนกระทั่งเขานั่งบนบันลังเรียบร้อย รูปปั้นทั้งสองจึงขยับย่อลงคารวะผู้เป็นนาย

          “ยินดีต้อนรับการกลับมา” รูปปั้นหญิงด้านซ้ายเอ่ยขึ้น

          “ทะเลสวย คลื่นลมแรง ท้องฟ้าไร้เมฆ เหมาะกับการออกไปเล่นเซฟ” รูปปั้นหญิงด้านขวาเอ่ยแทรกขึ้นมา ก่อนจะขยิบตาไปทางเจ้านายของเธอ

          “อีกนานไหมจะเจอคลื่นใหญ่ๆซักระลอก อานุ” ทาเคชิถามนาง เขามีความคิดถึงใครคนนึง

          “น่าจะไม่เกิน ยี่สิบนาที นายท่าน”

          “อืมม...” ทาเคชิทอดสายตาไปยังท้องพระโรงที่ว่างเปล่าด้วยสายตาที่อ้างว้างและเดียวดาย แต่แล้วก็กลับมีเพลิงแห่งความแค้นพวยพุ่งออกมา

          เขาไม่เคยลืมความแค้นที่มีต่อหน้ากษัตริย์เคกะนะ พ่อของเขา และเหล่าเสนานับร้อยนับพันที่คอยเป่าหูพ่อของตน คอยยุแหย่ต่างๆนานา แม้แต่ สั่งประหารเขาและลูกเมียพร้อมเสียงหัวเราะ

          ตอนนั้นเขามีอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีแต่เขาก็ก้าวขึ้นรับตำแหน่งผู้บัญชาการคุมแม่ทัพสามเหล่า ด้วยความสามารถที่ล้นเหลือประกอบกับหน้าตาดีใครเห็นใครหลงจึงเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาประชาชนภายในอาณาจักร ความริษยาจึงเข้ามาเกาะกุมในใจของเหล่าเสนาโฉดชั่ว พวกเขาวางแผนตัดตัวเกะกะออก และทำสำเร็จเสียด้วย

          “ข้าจะพิพากษาพวกเจ้า ได้ลิ้มรส หายนะ เกินกว่าที่พวกเจ้าจะนึกถึง ชั่วนิรันดร์” กลางดึกในคืนที่เขาและลูกเมียโดนตัดหัวแล้ว ตัวเขากลับมีชีวิตขึ้น แต่ไม่ใช่ร่างเดิมของเขา เป็นร่างใหม่ที่ดีกว่า พิเศษกว่า และดู...ทรมานใจผู้ที่ได้พบเห็นกว่าเดิมมาก

          “ข้าได้ยินเสียงร้องขอความเป็นธรรมของเจ้า...ข้าสัมผัสถึงความดีงามอันพิสุทธิ์ในวิญญาณเจ้า...ข้าเห็นเพลิงแค้นในอากาศรอบตัวเจ้า...ข้ารับรู้ถึงความห่วงหาอาธรต่อประชาชนของเจ้า” เสียงของหญิงสาววัยรุ่นดังกึกก้องภายในตัวของเขา เสียงที่ไพเราะ อ่อนหวาน แต่ทรงพลานุภาพ ต้องยำเกรง

          “เจ้าเป็นใคร”

          “ข้าคือ...ไกอา...”

          .

          .

          “...ท่าน...นายท่าน...”

          “อะไร...คานะ”

          “นายท่านเหม่ออีกแล้ว คานะเป็นห่วง นายท่านคิดถึงอดีตอีกแล้วเหรอ” คานะหรือรูปปั้นหญิงทางขวายืนขึ้นไปนั่งตรงที่เท้าแขนข้างบันลังของเขา ใบหน้าที่เป็นศิลาเรียบมันวาว ไร้ซี่งดวงตากลับทำสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใยเขาเหลือเกิน

          “นายท่านน่าจะได้เห็นว่าเราเจออะไรก่อนที่นายท่านจะเข้ามา” อานุยังอยู่ในท่าคุกเข่าแบบเดิมก่อนจะหันหน้าไปทางคานะที่กำลังทำหน้าแลบลิ้นใส่ตนเองอยู่ แต่นางก็ทำเป็นไม่ใส่ใจก่อนที่จะกดปุ่มที่ปลอกแขนของนาง

          กรงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางห้องท้องพระโรง ภายในมีสิ่งมีชีวิตประหลาดขนาดเล็ก นอนขดตรงกลางกรง มันมีลวดลายสีดำสลับสีทอง มีปีกเหมือนนกขนาดใหญ่สีแดงเลือดและหางปลายเรียวโบกไปมา พอมันเงยหน้าก็พบกับดวงตามีเหลืองเรืองเหมือนจระเข้ เส้นผมตรงยาวสีสนิมเหล็ก กับเขาแหลมอันเล็กๆสองอันบนหัวของมัน

          เขามองเข้าไปอย่างพินิจพิเคราะห์ มันตัวสั่นเทาดูก็รู้ว่ายังเป็นเด็กอยู่ในหมู่เผ่าพันธุ์ของมัน เขาไม่ชอบปีศาจเลย
แต่ที่ไม่อยากยุ่งด้วยก็คือ ปีศาจที่ยังไม่โตเต็มที่

          เขามองอย่างเอือมๆพร้อมกับมองเข้าไปในอดีตของมัน เฮ้อ...เรื่องยุ่งยากกำลังมาเยือนเขาเป็นแน่ถ้าไม่รีบชิ่งหละก็ เขากุมขมับก่อนจะเอ่ยออกไป

          “พวกแมเลียไม่ได้อยู่ในเมนูการฆ่าของข้า แต่ก็ไม่ได้อยากเสวนาด้วย จงกลับไปซะ” ทาเคชิพูดด้วยเสียงกังวาน ทรงอำนาจ มันมองเขาอย่างหวาดละแวง ปากสีน้ำเงินอ่อนเผยอเอ่ยแลเห็นเขี้ยวยาวภายใน

          “ศัตรูของศัตรูคือมิตรข้า เรื่องนี่ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ธอเนี่ยน” ทาเคชิเลิกคิ้วข้างนึงอย่างสงสัย ปีศาจหัดใช้ปรัชญามาพูดกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

          “เจ้าไม่ได้อยู่ในการดูแลของข้า ปีศาจ ไปขอเจเดนนายหน้าของพวกเจ้าซิ”

          “นายท่านเจเดนเป็นผู้ส่งข้ามาหาท่านเอง” ปีศาจตัวน้อยยังคงขดตัวใต้ปีกขนาดใหญ่ของมัน

          “...” ทาเคชิยังนิ่งมองไปที่มัน เขากำลังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและที่กำลังจะเป็นไปของเรื่องนี้ ความสามารถที่แถมมากับคำสาปงี่เง่าของเขาอย่างนึงที่เขาพอใจกับมันก็คือ การเห็นอดีตของทุกสิ่งอย่างเด่นชัดและมองเห็นหนทางทุกทางที่มันกำลังจะเป็นไป และยังสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้เองด้วย

          “เจเดน...ฝากมาบอกท่านอีกว่า... ‘เจอกันเวลาเดิม...ถามมาจะตอบไปและก็...คราวนี้ท่านแพ้แน่’ เจเดนบอกมาแค่นี้ มันคืออะไรเหรอ” มันบอกออกมาเป็นเสียงทุ่มต่ำแหบๆนายของมันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเลย เจ้านี่มันนกแก้วชัดๆ

          “ชิ...ไม่มีทางเสียหละ อานุ คานะ พวกเจ้าพาแมเลีย...เจ้ามีชื่อไหม”

          “เจเดนเรียกข้าว่าไอ้กากเดนสวะ ข้าไม่รู้ความหมายมันหรอกแต่ก็พอใจนะ แล้วท่านหละ” มันมองหน้าแล้วเอียงคอเล็กน้อยอย่างสงสัยใคร่รู้ ดวงตาบ้องแบ๊วดูเป็นประกาย เฮ้อ...เด็ก...

          “รสนิยมการเรียกชื่อต่ำจนน่าตกใจจริงๆ...ฟังนะ ตอนที่เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะเรียกเจ้าว่า ปรัม จำไว้และข้าไม่ชอบร่างเจ้าตอนนี้ ข้าว่าแบบนี้ดีกว่า...” อยู่ๆร่างปีศาจก็กลายเป็นเด็กหนุ่มผิวขาว คิ้วเข้ม ตาคม ผมสั้นซอย ปากชมพู สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ
ปรัมมองร่างใหม่ของตนอย่างตื่นๆก่อนจะมองทาเคชิอย่างสงสัย

          “เอาไว้ข้าจะกลับมาคุยกับเจ้า ปรัม อานุ คานะ ดูแลให้ดี” เขาลุกขึ้นเดินออกมาจาห้องท้องพระโรงแล้วหายตัวมายังสวนสาธารณะใกล้ย่านร้านค้าในโตเกียวทันที

          “เจ้า...มาช้า...” เสียงทุ้มต่ำติดแหบๆตามแบบฉบับของเจเดนดังขึ้นหลังต้นไม้ที่อยู่ด้านขวาของเขา เจเดนผู้เป็นปริศนาของผู้อยู่ฝ่ายแสงสว่างตลอดกาลกลับมาพบกับเขาที่เป็นศัตรูโดยธรรมชาติของเขาเอง หลายข่าวบอกว่าเขาเป็นเจ้านายของเหล่าปีศาจ บางรายบอกว่าเขาคือนายหน้าของปีศาจ แต่ใครจะรู้ เพราะแม้เขาสองคนจะคบกันมาได้ซักหมื่นกว่าปีแต่เจเดนก็พูดถึงตัวเองน้อยมากๆ    เจเดนแต่งตัวง่ายๆสีเดียว ดำ เขาใส่โอเวอร์โคทสีดำ เสื้อสูทดำ กางเกงสแลกซ์สีดำมัน รองเท้าหนังขัดมันปลายยาวตัดตรง

          “วันนี้เป็นเฟอร์ ลา กาโม เหรอ”

          “ไม่ทั้งชุดหรอก เสื้อกางเกงเป็นกาดินี่”

          “จะเป็นมาเฟียร์อิตาลีเหรอไงกันแต่งแบบนี้”

          “ก็ข้าชอบ”

          “ตามใจ” ทาเคชิพูดโดยไม่มองเจเดนแต่กลับเดินออกมาทางถนนข้างสวน

          “เจ้าได้ของฝากจากข้าแล้วใช่ไหม ข้าฝากไว้กับเจ้าก่อนนะ แต่ให้ไกลๆหน่อยก็ดี”

          “ทำไม...และไกลจากอะไร”

          “บาลังก้า...”

          “...ข้าว่าข้ามีที่เหมาะๆอยู่ที่นึง บาลังก้าไม่กล้าเข้าไปแน่”

          “ที่...”

          “ไทย...”

=========================================================

ก็จบลงไปอีกตอน ยังไงถ้าไม่เพลียมากก็จะพยายามเอามาลงให้นะครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและคอยเมนให้ตลอดนะครับ :bye2:

ออฟไลน์ Windend

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ฝากรูปตัวละครใหม่ด้วยนะครับ

รูปน้องปรัมครับ


ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
ตกลงทาเคชิชอบพี่หมีเหรอเนี่ย  o22

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
ถ้าเรื่องนี้วาง หมีไคร์น เป็นพระเอก ตอนนี้คงโดน คุณทาเคชิ แย่งซีนกระจุยกระจายเป็นแน่
ผู้ชายอะไร ให้ความรู้สึกเท่ห์ ลึกลับ ยากจะคาดเดา แต่ก็น่าค้นหา แถม ท่าทางจะเก่งอย่างร้ายกาจ  :-[
รอตอนต่อไปค่ะ....นานเท่าไรก็จะรอ !!!

ป.ล. สุดท้ายก็ต้องเลือก KFC อยู่ดี เพราะ กิน หมีนิวออร์ลีน (แบบน้องกาล) ไม่ทำให้อิ่มท้อง  :laugh:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2011 00:06:44 โดย Cherry Red »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Windend

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
วันนี้มาอัพให้นะครับ ครึ่งหลังจะพยายามปั่นให้ทันคืนนี้งะ

วันนี้ลมแรงมากๆ ระวังเป็นหวัดกันนะครับทุกคน

=======================================================

ตอนที่ 14 เที่ยวปราสาทนครวัด ครึ่งแรก

          กาล

          06:45 น. โรงแรมเสียมเรียบ เสียมเรียบ กัมพูชา

          เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นในโรงแรมที่เสียมเรียบอีกครับ วันนี้ผมถือว่าสำคัญมากเลย เป็นจุดประสงค์เลยหละสำหรับการเที่ยวในครั้งนี้ เมื่อคืนกว่าจะได้กินKFC ไคร์นทำเอาผมหลับคาโต๊ะโดยที่ไก่ยังคาปากอยู่เลย เห็นหลับอยู่ข้างๆตอนนี้แล้วหมั่นไส้เหลือเกิน สองวันที่ได้ไปที่ร้านแซงชัวร์รี่มาผมไม่เคยได้ลงไปยังชั้นล่างเลย อยู่แต่ในห้องไคร์นเขาตลอด เซ็งเป็ดหลายตัวมาก แต่ก็เสียวดี เหอๆๆๆๆ

          “กาลคร้าบ...ตื่นแล้วเหรอคร้าบ...” หมีไคร์นงัวเงียลุกขึ้นมานั่งทำตาปรือๆ มองไปมองมา อืมมม เหมือนหมีจริงๆ น่ารัก

          “นอนต่อเถอะ...เดี๋ยวขออาบน้ำก่อนนะ” ผมกำลังจะลงจากเตียงก็ปรากฏแสงวาปขึ้นกลางห้อง พร้อมกับเสียงเฉียบขาดเหมือนนายทหารสั่งนักศึกษา ร.ด. เลยงะ

          “รีบตื่นได้แล้ว ชักช้า ลุกให้เร็วอย่าขี้เกียจตัวเป็นขน...”

          “เซนเซย์/ทาเคชิ!!!”

          ผมนั่งรถคันเดิม คนขับคนเดิม พี่ประวัตินั่งหน้าเหมือนเดิม แถมยักษ์กะหมีก็ยังนั่งขนาบผมเหมือนเดิม เอาว่ะ วันนี้วันสุดท้ายของการมาเที่ยวแล้ว พรุ่งนี้กลับก็สบายแล้วหละ

          “เดี่ยวเราต้องลงกันก่อนนะ ผมจะเอารถไปจอดอีกทาง แต่น้องการช่วยรวมพวกคุณลุงคุณป้ากันที่ทางเข้ากันก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่มา” พี่ประวัติบอกก่อนจะนำรถไปหาที่จอด ผม ไคร์นและทาเคชิเลยต้องต้อนพวกลุงๆป้าๆเข้ากันไว้ยืนหลบแดดที่เริ่มแรงขึ้น ผมมองข้ามสระขุดที่ล้อมรอบปราสาทนครวัดไว้ เห็นบอกว่ากว้างด้านละเกือบสี่กิโลเมตรแหนะ ยิ่งใหญ่อลังการดาวล้านดวง

          พอพี่ประวัติมาพวกเราก็เดินกันไปตามทางข้ามสระขุดซึ่งมันยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตรแหนะ เดินกันไปซักพักผมก็เห็นรูแปลกๆที่อยู่บนหินที่ให้ทำทางเดิน ดูๆไปก็มีอยู่ทุกก้อนด้วย หินแต่ละก้อนก็ใหญ่นะขนาดกว้างครึ่งเมตรยาวหนึ่งเมตรได้ และไอ้รูที่ว่ามันก็ไม่ลึกนะประมาณสี่ถึงห้าเซนติเมตรแหนะใหญ่กว่าเหรียญสิบบาทหน่อยนึง ผมรู้หละจะถามใครดีกะเรื่องนี้

          “นี่ๆ...ทาเคชิซัง...รูที่พื้นนี้ใช้ทำอะไรหละครับ” อยากได้ความรู้ก็ต้องกล้าถาม แม่สอนไว้

          “...น้องกาลอยากได้คำตอบตามหนังสือหรือตามแบบเรื่องจริงหละครับ” อะนะมีช็อยให้อีก

          “ทั้งสองอย่างก็ได้นะ จะได้รู้เพิ่ม”

          “ถ้าตามแบบหนังสือเขาก็สันนิฐานว่า เป็นรูที่ใช้สับขอผูกปลายเชือกกับช้างหรือคนแล้วลากมาก่อสร้างครับ ส่วนถ้าแบบที่ผมเห็นตอนนั้น แต่ละรูจะมีเพชรหรือไม่ก็พลอยสีสันหลากหลายประดับที่รูนั้นๆ ขนาดเพชรพลอยก็ใหญ่นะ หนึ่งเม็ดก็หนึ่งรู พอแสงแดดกระทบก็จะสะท้อนแสงระยิบระยับ สวยมากๆ และทุกอย่างสร้างขึ้นถวายแต่องค์เทพของเขา สมัยนั้นเทพและมนุษย์ยังพบเจอกันได้ง่าย ไม่เหมือนสมัยนี้ เพราะมนุษย์ละเลยละทิ้ง ปวงเทพก็กลับไปยังสวรรค์ไม่ค่อยมาค่องแวะกะพวกมนุษย์ซักเท่าไหร่แล้ว อย่าลืมนะน้องกาล เทวดาก็เหมือนมนุษย์ ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง เหมือนมนุษย์ แต่รุนแรงกว่ามาก และก็มีพลานุภาพมากกว่ามากๆด้วย”

          อึ้งซิครับงานนี้ อึ้งเลย เพชรหรือพลอยเอามาประดับ แสดงว่าสมัยนั้นนี่มั่งคั่งมากมายเลยนะเนี่ย ชาวขอมนี่เก่งจริงๆ แถมยังสามารถใกล้ชิดกับเทพเจ้าได้ด้วย

          เราเดินกันมาถึงมุกด้านหน้าที่เป็นโคปุระประกบหน้ามุกแล้วมีกำแพงแก้วยาวไปตามขอบสระขุดจนสุดก็ทำโคปุระพักแล้วมีระเบียงคตยาวต่อไปอีกทางจนรอบพื้นที่ปราสาททั้งหมด เราเข้าไปแล้วเลี้ยวไปทางโคปุระด้านขวาเจอกับรูปแกะสลักของพระวิษณุพันกรสูงเกือบสามเมตรตั้งสง่าสีดำดูน่าเกรงขามมาก ยิ่งเดินเข้าไปใกล้พระพักตร์ของท่านก็ยิ่งดูเหมือนยิ้มแย้มพระโอษฐ์ยิ่งขึ้น  เป็นเทคนิคการแกะสลักสมัยนั้น พระประทางองค์ใหญ่ที่จังหวัดสุโขทัยก็ได้รับเทคนิคนี้มาด้วยหละ

          “เดี๋ยวน้องกาลจุดธูปนะ สามดอกพอนะ ไหว้ท่านและขอพรนะครับ” ทาเคชิยื่นธูปให้ผม แล้วไปเอามาจากไหนหละ

          “ครับ..ไคร์น เอาไป สามดอกนะ จุดให้ด้วย” ผมยื่นผ่านให้ไคร์นรับไป เมื่อคืนหมีไคร์นใช้งานผมหนักตอนนี้ต้องเอาคืนมั่ง เห็นไคร์นถืออยุ่หันไปหันมา เป็นอะไรหว่า

          “จุดยังไงงะ...” อ้าว เวง ไม่รู้แล้วรับไปทำไมเนี่ย ผมเลยต้องเอามาจุดเอง ก็เอาไฟแช็คของลุงๆในคณะนี่แหละ

          “อะ...เอาไป...แล้วไปคุกเข่าหน้าท่านอธิฐานขอพรได้เลย” ผมกราบขอพรเสร็จก็นำไปปักในกระถางธูป ขอบอกว่าต้องระวังและหาที่ปักในกระถางธูปให้เจอ เพราะดูท่าไม่มีใครเอาก้านธูปออกมาเป็นปีๆแน่

          “เอาหละเสร็จแล้วหละ แล้วเราต้องไปไหนกันก่อนหละ” ผมหันไปทางทาเคชิที่เงยหน้ามองไปทางองค์พระวิษณุอยู่ เขาทำปากขมุบขมิบอะไรก็ไม่รู้แล้วหันมาทางพวกผม

          “เราไปดูภาพแกะสลักกันไงจะดูฝั่งไหนกันก่อนหละ”

          “งั้นเอาด้านนี้ก่อนก็ได้ เข้าไปชั้นในกันก่อนนะ”

          “ได้เลย” พอพวกเราผ่านโคปุระที่เราไหว้ขอพรกันแล้วก็ปรากฏทางเดินยาวเข้าสู่ใจกลางปราสาทนครวัด สองฟากเป็นสนามหญ้าตัดแต่อย่างดี บางส่วนยังมีการบูรณะซ่อมแซมกันอยู่เลย ทางเดินนี้ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตรได้ สองข้างทางเดินเป็นราวแกะสลักเป็นพญานาคยาวตลอดทางเดินนั้น เกร็ดพญานาคแกะได้อย่างวิจิตรจริงๆ แม้กาลเวลาจะทำให้มันเลือนลงไปมากแต่ก็ยังเห็นพอเห็นรูปลักษณ์ได้

          “ทาเคชิ เมื่อวานที่ปราสาทนางสิบสองทำพิธีอะไรเหรอครับ บอกทีจิ”

          “ในเรื่องพระรถ เมรี ใครสมหวังด้านความรักบ้างหละครับ น้องกาล”

          “คนน้องสุดท้องนะซิ”

          “ครับ ใช่ คนสุดท้องนี้สวยที่สุด บิดาของนางทั้งรักทั้งห่วงมากด้วย ปราสาทของนางจึงใหญ่กว่าของพวกพี่สาวของเธอ สมบัติต่างๆจึงมีมากกว่า รวมถึง เครื่องรางของขลังต่างๆก็มีมากตาม แล้วตอนนี้สมบัตืของนางก็ยังไม่ได้ขุดออกไปไหนหรอก ยังอยู่ที่ใต้ปราสาทของนางเอง แล้วอนุภาคของมันบางอย่างก็ยังอยู่คุมปราสาทไว้ อันที่เราใช้ทำพิธีเมื่อวานเป็นอันที่ใช้เพิ่มบุญฤทธิ์ให้กับคนที่ไปนั่งเข้าฌาณอยู่ที่นั่น พอออกมาต้องใช้น้ำศักด์สิทธิ์ที่ได้จากเขาพนมกุเลนรดปัดเสนียดอีกรอบ เพื่อเวลามารับพรจะได้ส่งคำอธิฐานได้โดยตรง ไม่มีอะไรมารบกวนยังไงหละครับ”

          “โห...มันล้ำลึกขนาดนั่นเลยนะเนี่ย แล้วคนอื่นๆต้องทำตามไหมหละครับ”

          “ไม่หรอก เฉพาะคนที่เกิดจากจิตแห่งอัปสราเท่านั้นแหละครับ น้องกาล”

          เราเดินกันมาถึงตัวปราสาทชั้นในแล้วขึ้นบันได้ไปเรื่อยๆ มีที่พักบันไดอยู่สามระยะด้วยกัน แหมกว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้เล่นเอาผมเหนื่อยเลย แต่ไคร์นกับทาเคชิกลับเดินสบายไม่มีเหงื่อซักเม็ดเลย น่าอิจฉามาก

           “ร้อน... ไคร์น... พักแปปนึงนะครับ” ต้องพักก่อนหละ ไม่ไหว พอมองไปทางพวกลุงๆป้าๆผมว่าพวกผมเดินกันเร็วเกินไปหรือเปล่า พวกลุงกะป้ายังเดินมาไม่ถึงครึ่งทางเลย

           “เอ้า...น้ำครับ กาล” ไคร์นยื่นน้ำขวดมาให้ เป็นขวดน้ำเปล่าจากห้องในโรงแรมเองหละ

          “ขอบคุณนะ”

          “เดี๋ยวพวกเราต้องแยกจากกลุ่มลุงๆป้าๆแล้วนะ เรายังมีที่สำหรับน้องกาลโดยเฉพาะนะครับ ถ้าพร้อมแล้วก็เราไปกันเถอะครับ” ทาเคชินำเราแยกเดินมาทางด้านซ้ายเดินไปตามระเบียงคตชั้นที่สามไปเรื่องๆจาพอห้องที่อยู่ทางทิศเหนือของปราสาทนครวัด ตัวห้องทำเพียงเชื่อมทางเดินเท่านั้นกว้างพอๆกับที่ปราสาทตาธมเลย

          “เอาหละ น้องกาล ยืนฝั่งนี้นะ อธิฐานของรับพรที่ขอไปเมื่อวานทั้งหมดเลยนะ แล้วตีอกที่จุดเดิมนะครับ” ผมทำตามที่ทาเคชิบอก เมื่อทุบอกก็มีเสียงที่ดังกังวานมาก ดังกว่าที่ปราสาทตาธมเสียอีกหละ

          “เอาหละ ทีนี้ท่านบอกว่าเสร็จแล้ว ส่วนกรรมของอดีตเมื่อภพที่แล้วเจ้ากรรมนายเวรเขาปล่อยให้แล้วนะ จากนี้น้องการเตรียมตัวได้เลย เดี่ยวจะพาขึ้นไปพบท่าน”

          “ท่าน?...ท่านไหนหละ เซนเซย์??”

          “ละอองจิตแห่งพระวิษณุ” 

=============================================================

เดี๋ยวครึ่งหลังเอามาลงให้นะครับ

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
มีเฉลยเรื่องพิธีกรรมที่ปราสาทนางสิบสองแล้ว เป็นเช่นนี้เอง
จินตนาการของคุณ Windend ช่างล้ำลึกนัก นับถือ ๆ
รอเนื้อเรื่องในครึ่งหลังค่ะ ~

ออฟไลน์ Windend

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน

ไม่เคยได้ทักทายผู้อ่านกันเลย เหอๆๆๆ ขอโทษก๊าบบบบ

เรื่องที่แต่งออกมานี่สถานที่ที่ใช้ในเรื่องเอามาจากสถานที่จริงๆหละครับ

ในตอนของปราสาทบันทายศรี พวกคนที่มาบรรเลงดนตรีให้ฟังนี่น่าสงสารมากนะครับ บ้างแขนขาด บ้างขาขาด บ้างตาบอด แต่ไม่มีใครหูหนวกแฮ๊ะ อิอิอิ พวกนี้เป้นพวกชาวบ้านที่ผ่านสงครามบ้าง เหยียบกับระเบิดบ้าง แต่มีดนตรีในหัวใจ อยู่ได้เพราะทิปจากการแสดง ไปเทียวทีไรต้องซื้อผ้าขาวม้าไปแจกเขาอยู่เรื่อยนะ สงสารมาก พอแจกกันครบ เขาก็ขอให้เรานั่งฟังเขาบรรเลงเพลงสามชุด เพราะมากเลยนะ ฝรั่งมาถ่ายรูปกันใหญ่ ไอ้เราด็เป็นปลื่มซิ

เรื่องห้องทุบอกอธิฐานนี่ต่างชาติเขารู้กันมานานแล้วครับ เคยไปเจอกรุ๊ปญี่ปุ่นหนะครับ เข้าไปยืนแล้วตีอกแปะๆ พอถึงตาผมทำแล้วเสียงออกมาเหมือนระฆังจริงๆเลย พวกกรุ๊ปญี่ปุ่นเลยเข้ามำตามกันใหม่ เหอๆๆๆ มีให้ติปด้วย ทำบุญกระจายเลย แต่หลังๆไม่ได้เขาไปแล้ว ห้องเพดานเริ่มทรุดโทรมมากเลยปิดไป แต่จริงๆที่ปราสาทตาธมมีอีกห้องนึงนะ อยู่ด้านในตัวปราสาทอีกที อันนี้ลับเฉพาะ ใครสนใจถามได้นะครับ

เรื่องปราสาทนางสิบสองนี่ก็เรื่องจริงนะ ยกเว้นเรื่องสมบัติเพราะโดนลักลอบขุดไปแล้ว น่าเศร้า ส่วนเรื่องพิธีกรรมที่ทาเคชิทำนี่เอามาจากพิธีที่ต้องทำบนเขาพนมกุเลน เอาน้ำจากบ่อพระแม่ธรณี มารดผ่านศิวลึงอายุพันกว่าปีแล้วน้ำที่ได้จะเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เอาไปประกอบพิธีกรรมได้ต่อไป

ส่วนห้องรับพรที่ปราสาทนครวัดนี่ลองเดินหาเอานะครับ มีจริงแต่ไม่ค่อยมีใครรู้ พวกไกร์ด ในพื้นที่จะรู้ดีครับ

สุดท้าย ปราสาทชั้นบนสุดของปราสาทนครวัดนั้น อยากให้ขึ้นไปเองจริงๆ ถ้าใครมีโอกาศไปนะครับ แต่ขอบอกว่า ถอดรองเท้าขึ้นเป็นดีที่สุด บันได้โคตรแคบและชันมากๆ ขาขึ้นไม่เท่าไหร่ แต่ขาลงนี่แหละ มหาสนุกพะยะค่ะ เหอๆๆๆ

ยังไงก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะครับ พระเอกนายเอกอาจจะหื่นกันนิด ไร้ยางอายกันหน่อย อย่าว่ากันเน่อ

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
ท่าทางคุณ Windend จะได้ไปเที่ยวแถวนั้นบ่อย ๆ นะค่ะ น่าอิจฉา ~
ส่วนเรื่อง พระเอกนายเอกหื่นนิด ๆ ไร้ยางอายหน่อย ๆ ก็มีสีสีนดีออก ( เค้าชอบ  :-[ )
ไง ๆ ขอซีนคุณทาเคชิเยอะ ๆ หน่อยก็ดีนะค่ะ ( ที่เป็นอยู่นี่ ยังเยอะไม่พออีกเหรอ??? )

ออฟไลน์ Windend

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ขอโทษนะครับ เหมือนเดิมหละ ติดคนป่วย อัมพฤติทั้งนั้น เหนื่อยอย่างแรง

เอาหละ มาต่อของเรากันดีกว่านะครับ อย่าพึ่งเบื่อเน้อ

=========================================================

ตอนที่ 15 เที่ยวนครวัด ครึ่งหลัง

          ไคร์น

          ผมเข้าใจนะว่าเซนเซย์ต้องการแก้ไขชะตาของน้องกาลของผมให้ดีขึ้น ทำไมคนเอเซียเชื่อว่ามันแก้ไขได้ด้วยการมาทำพิธีกรรมอะไรนี่ก็ไม่รู้ แต่เท่าที่รู้เขาห้ามพูดเรื่องพวกนี้ ชาวตะวันตกแบบผมไปแตะความเชื่อและศรัทธาอะไรของคนเอเชียไม่ได้หรอก เดี๋ยวเป็นเรื่อง ผมเชื่อว่าชะตาอยู่ในมือเราอยู่แล้ว จะไปมัวอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆทำไมกัน
แต่ก็ความเชื่อของเขาหนิ ผมไม่อยากขัดซักเท่าไหร่ แล้วเซนเซย์นี่ก็อะไรกัน ทำไมรู้ไปเสียหมดทุกอย่าง เหมือนแอชรอนเลย เขาเป็นใครกันแน่...

          เรากำลังเดินขึ้นไปทางปราสาทหลังย่อมด้านบนสุด นักท่องเที่ยวที่นี่ก็เยอะจัง แต่ไม่ค่อยมีคนกล้าขึ้นมาด้วยนะเนี่ยเพราะบันไดสูงและชันมาก ผมต้องตะแคงเท้าเดินกันเลย พอพวกเราขึ้นมาถึงจุดสูงสุดผมสามารถเห็นวิวโดยรอบของหมู่ปราสาทนครวัดได้เลย สุดยอดดดดด

          “เฮ้ย...ปุกปุย...เข้ามาได้แล้ว”

          “ทำไมหละครับ เซนเซย์”

          “ข้าจะอัญเชิญเทพและกางข่ายกันคนขึ้นมา รีบหน่อย”

          ผมเดินเข้าไปยังด้านใน มีแท่นขนาดใหญ่อยู่ด้านในนี้ โล่งๆไม่เห็นมีอะไรเลย

          “น้องกาล นั่งพนมมือหันหน้ามาทางนี้นะ แล้วเงยหน้า หลับตาไว้นะครับ จิตนิ่งๆอย่าวอกแวกหละ” น้องกาลของผมก็ไปนั่งคุกเข่าพนมมือหน้าแท่นโล่งๆนี่ ผมก็งงอยู่ดี

          “ไอ้หมี...มานั่งกับน้องกาลของแกนี่” สั่งจริงเชียว ไม่บอกเหตุผลให้ทำอีก เผด็จการชัดๆ แต่ก็ต้องทำ เพราะน้องกาลของผม

          “ไอ้หมี ทำแบบน้องกาลนะ แต่ถ้าอยากจะเห็นก็ลืมตาไว้หละ แต่ห้ามพูดเด็ดขาด”

          “ได้ๆ จะทำอะไรก็รีบทำเถอะน่า เซนเซย์” ผมละเซ็งกะเซนเซย์นะเนี่ย สั่งจริง

          จากนั้นเซนเซย์เอาธูปมาจากไหนก็ไม่รู้กำใหญ่มาก เขาจุดไปที่ปลายธูปจนไฟลุกโชติช่วง แล้วเขาวนธูปไปรอบๆแท่นโล่งนั่นแล้วทำสัญลักษณ์อะไรซักอย่าง แล้วก็เกิดแสงลงมาที่แท่นพร้อมกับร่างโปร่งใสร่างหนึ่ง ผิวสีฟ้าอมม่วงอ่อนๆ ดูองอาจแต่งดงาม มีเครื่องประดับเต็มตัวไปหมด ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน เขาหันไปทางเซนเซย์แล้วมองมาที่น้องกาลและที่ผม

          ‘เจ้ารักเด็กหนุ่มคนนี้อย่างมั่นคง แน่หรือ’ อยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงเข้ามาในหัวผม เป็นเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ความบริสุทธิ์ และอ่อนโยน ผมมองใบหน้าที่แสดงความเมตตาอย่างเปี่ยมล้นนั่น ผมเลยตอบออกไป

          ‘แน่นอนครับ ผมรักกาลครับ’

          ‘แม้นมีอุปสรรค เจ้าจะยังยืนยันเช่นนั้นหรือ’

          ‘แน่นอนครับ’

          ‘แม้นเจ้าจักเป็นผู้ฆ่าเด็กหนุ่มคนนี้นั่นหรือ...’

          ‘ไม่มีทางหรอก ที่ผมจะทำลายเขา ไม่มีวัน’

          ร่างนั้นยิ้มแล้วหันไปทางเซนเซย์ซักพัก แล้วยิ้มอย่างมีเมตตามาทางผมและน้องกาล ทำไมไม่รู้ผมขนลุกอย่างแรง น้ำตามันไหลเอ่อออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ร่างนั้นค่อยๆจางหายไปพร้อมกับแสงที่ส่องลงมา ผมรีบเช็ดน้ำตาก่อนที่น้องกาลจะลืมตาขึ้นมา ไม่ดีๆ เดี๋ยวไม่แมน

          เซนเซย์หันกลับมาแล้วให้น้องกาลลืมตาขึ้น น้องเขามีน้ำตาไหลนองเลย เป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้

          “เป็นไงบ้างครับน้องกาล” เซนเซย์ถามพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าให้น้องเขา ผมก็เป็นห่วงนะเลยกอดน้องเขาไว้ น้องกาลเช็ดหน้าซักพักก็เอนตัวมาพิงผมแล้วพูดกับเซนเซย์

          “อบอุ่น...อบอุ่นมากเลยครับ รู้สึกใจมันตื้นตันมากเลย ท่านมาจริงๆใช่ไหมครับ ผมได้ยินท่านพูดกับผมด้วยครับ” ผมสัมผัสความดีใจของน้องเขาได้เลย มันออกมาอย่างท่วมท้นจริงๆ

          “แล้วท่านว่ายังไงบ้างหละครับ”

          “ท่านบอกว่าให้ผมตั้งใจเรียนให้เก่ง ตั้งมั่นช่วยเหลือมนุษย์อย่างที่ตั้งใจให้ได้ และก็ให้เชื่อมั่นศรัทธาในรักครับ...”

          “แล้วเจ้าก็คงได้ยินท่านบอกแล้วใช่ไหม...ปุกปุย”

          “แน่นอน”

          “งั้นเราก็กลับกันได้แล้ว เสร็จแล้ว”

          ขณะผมเดินลงมาจากปราสาทสูงนี้แล้วผมสงสัยมากเลยทำไมเทพเจ้าวงศ์ภารตะถึงยังมีคนนับถืออยู่ตั้งแต่ครั้งสมัยพระเวทย์แล้ว แตกต่างจากวงศ์เทพของผมมากเลยที่เอะอะอะไรก็สาป

          “เซนเซย์...ทำไม...เทพวงศ์นี้ถึงดูมีความเมตตา อ่อนโยน แต่ทรงอำนาจมหาศาลนักหละ ไม่เหมือนทางโอลิมปัสหรือแม้แต่แอชรอนเลยหละครับ...”

          “ก็ต้องแน่นอนสิปุกปุย ก็ที่แกเจอคือพระวิษณุหนึ่งในสามมหาเทพเชียวนะ เป็นเทพยุคเริ่มแรกของจักรวาลเลย”

          “ยิ่งใหญ่ปานนั้นเชียว”

          “ใหญ่ไม่ใหญ่ไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าจักรวาลอยู่ในความปกติสุขได้ก็เพราะท่าน การปกปักรักษาคุณงามความดีคือเจตจำนงของท่าน ท่านรักทุกสรรพสิ่งแหละ”

          “จริงๆเลยนะเซนเซย์ ผมไม่มีความรู้ด้านเทพสายนี้เลย”

          “ข้าถึงได้มาเป็นเซนเซย์ของแกไง ไอ้ปุกปุย แล้วนี่จะไปไหนต่อหละ”

          “ถามกาลดีกว่า อ้าวเดินไปไหนแล้วหละ” ผมหันคุยกับเซนเซย์แปปเดียว กาลเดินหายไปไหนก็ไม่รู้ แหมไวจริงๆ

          “...โน้นไง...แล้ว...นั่นใครหละนะ” ผมกับเซนเซย์รีบเดินไปดูที่นั่งพักบริเวณมุขกลางของตัวปราสาทชั้นที่สอง บริเวณนี้กว้างมาก คนมาพักเหนื่อยกันเยอะเพราะมีสระน้ำภายในปราสาทอยู่

          “อุ้ย...ตรงนั้นแหละพ่อหนุ่ม...อุ้ย...แรงดีเหลือเกิน...รู้ยังงี้ป้าไปเคาะเรียกที่ห้องตั้งแต่วันแรกแล้วนะเนี่ย...อุ้ย...โดนเส้นดีเหลือเกิน...”

          “เอาหละ...เสร็จแล้วครับ ป้าสุวรรณ (จำป้าได้ไหมเอ่ย ถ้าไม่ได้ลองขึ้นไปดูที่หน้าแรกนะครับ) เมื่อวานได้ข่าวว่าไปช๊อปปิ้งมาได้ของอะไรบ้างครับ”

          “ได้กระเป๋าไหมปักมาจ้า ลูกละร้อยห้าสิบบาทเอง แค่ค่าปักไหมดูฝีมือก็น่าจะเกินห้าร้อยแล้ว งานเขาระเอียดใช้ได้เลยหลาน นี่แล้วได้เสื้อไปฝากคนงานเก็บผลไม้ที่ไร่ด้วย ตอนแรกเขาขายตัวละเกือบแปดสิบบาท แต่ป้าซะอย่าง ต่อเหลือตัวละสามสิบห้า ไม่อยากจะคุย เหอๆๆๆ”

          “โห...ไม่เค็มไปหน่อยเหรอป้า ต่อซะเขาเจ๊งเลยไหมเนี่ย”

          “จะน้อยไปซิ...ป้าเลยเอาห้าสิบตัวมันเลยยอมขาย ต้องซื้อหลายชิ้นเขาถึงจะยอม ป้าเคยขายมาทำไมจะไม่รู้”

          “นี่ถ้าที่เมืองไทยสงสัยจะไม่ได้มั่งครับ ราคานี้”

          “โอ้ย...ป่านนี้ตบกันตายไปข้างแล้ว 5555”

          “กาล ป้าเขาเป็นอะไรเหรอ แล้วทำไมต้องไปนั่งกับพื้นแบบนี้หละครับ”

          “เป็นตะคิวที่น่องครับ เลยดึงเส้นตะคิวออกก่อน อีกแปปก็เสร็จแล้วนะ ไคร์น” พวกที่มาดูกาลไม่ได้มีแต่พวกผมพวกเดียว เพราะยังมีพวกนักท่องเที่ยวทั้งเอเชียและฝรั่งยืนดูกันอยู่ด้วย ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว เกิดใครมาปิ๊งกาลของผมหละก็ เดี๋ยวหมีจะตบคว่ำเลย

          “คุณครับ แขนผมไม่ค่อยมีแรง ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ” มีฝรั่งแก่อ้วนพูดอังกฤษสำเนียงแปล่งๆเดินเข้ามาหา กาลปฏิเสธไปนะขอร้องหละ ไอ้แก่มันมีกลิ่นตันหาฟุ้งเลย

          “ได้ครับ ยื่นแขนมาซิครับ” โถๆๆๆ...กาลครับอย่าทำอย่างนั่นซิ ไอ้แก่ แกน่าหื่นมากเลยนะเฟ้ย เดี๋ยวจัดนอกรอบให้เลย

          “อ๊ากกกกกกก...โอ้ยยยยยย...ทำบ้าอะไรวะ...เจ็บชิบ...” ไอ้แก่มันร้องดิ้นเลยครับ ร้องซะผมยังตกใจเลย กาลแค่จับที่หัวไหลเท่านั้นเอง

          “ลองยกแขนขึ้นซิครับ”

          “เออ...เฮ้ย...ยกได้แล้ว...ไม่เจ็บด้วย...แปลกมากเลย...!!!” เป็นไงหละ งงไปเลยซิไอ้แก่ สมน้ำหน้า แล้วไอ้หนุ่มด้านหลังตาแก่ดูท่าจะเป็นลูกของมันไปยืนอะไรใกล้กาลแบบนั้นวะ ท่าไม่ดีแล้ว ทำไงดีวะ คนก็เยอะ ทำอะไรไม่ได้เลยวุ้ย

         “น้องกาลครับ เดี๋ยวจะพาไปดูอะไรแปลกๆที่นี่เอาไหมครับ” โห...เยี่ยมมากเลยเซนเซย์ ผมรีบดึงกาลออกมาจากกลุ่มคนที่ดูไม่น่าจะประสงค์ดีซักเท่าไหรออกมาก่อน เราเลยเดินลงบันไดมาเลยๆจนถึงมุกกลางชั้นแรก

          “ดูอะไรหละครับ ทาเคชิ”

          “รูปแกะอัปสราใส่บิกินี่ กับถือกระเป๋าหลุยวิคตองไง”

          “หา...!!!...มีด้วยเหรอ”

          “มีซี่...ตามมาเลยครับ” เซนเซย์พาเราเดินอ้อมมาทางด้านหลังของตัวปราสาทผ่านเข้าไปยังกำแพงที่เขาปิดซ่อมเอาไว้ แล้วเดินผ่านซอกลูกกรงหินที่แตกเขาไป ผมกับกาลต้องฉะงักเลย มันมีจริงๆด้วย

          “เป็นไงหละ...แปลกไหมหละ ฝั่งนี้ใส่บิกินี่นะ ส่วนองค์โน้นถือกระเป๋าหลุยวิคตอง สวยไหมหละครับ”

          “แปลกมาก/ประหลาดมาก” กาลกับผมพูดพร้อมกันเลย ก็มันประหลาดนี่หน่า ศิลปะยุคเมื่อเกือบพันปีที่แล้วมันจะเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน

          “สวยนะครับ ทาเคชิหาเจอได้ยังไงหละครับ”

          “อ๋อ...ฝีมือข้าเองครับ น้องกาล”

          “หา...!!!...” ตาค้างกันอีกรอบ

          “อ้าว...ทำไมหละ...ข้าก็ว่าสวยดีนะ ออกแบบทั้งชุดกับท่ายืนให้กับพวกนางเอง กว่ข้าจะแกะเสร็จนี่นานนะ อา...ศิลปะโดยแท้”

          “...”

          “......”

          “.........”

          “จะงงอีกนานไหมครับ เราต้องไปกันต่อแล้วนะ นี่ก็บ่ายกว่าแล้วเราไปรวมกับคณะที่รถกันดีกว่า” เซนเซย์จับผมกับกาลเดินออกกันไปทางเดิม ดูอารมณ์ดีอีกมีผิวปากเสียด้วย

          แต่...เดี๋ยวก่อน...กลิ่นนี้มัน

          “เซนเซย์...หยุดก่อนครับ...คือ”

           ‘เดินออกมาเถอะน่า อยู่ตรงนี้เราเสียเปรียบ’ เซนเซย์พูดผ่านโทรจิตมาที่ผม

           ‘เออซูไรคาตากาเรีย...พวกสตาติ’ พวกเผ่าสัตว์ที่สามารถจำแลงเป็นคนได้ พวกนี้ก็เหมือนเหรียญคนละด้านกับเผ่าพันธุ์ของเขานั่นเอง

           ‘ใช่...ห้าตัว...กลุ่มพวกนักล่าสังหารเผ่าหมี’ เซนเซย์ยังคงพาพวกเราเดินออกห่างจากตัวปราสาทไปเรื่อยๆ กาลยังดูโน้นดูนี่โดยไม่ได้พูดอะไรเลย น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนะ

          ‘พวกมันมาอยู่ที่นี่...ได้ยังไงกัน’ นี่เป็นเรื่องที่ผิดปกตินะ เพราะเอเชียตะวันออกแบบนี้ พวกมันไม่ค่อยจะพิสมัยเท่าไหร่เนื่องด้วยความร้อนชื้นและแมลงที่มักจะทำให้พวกมันอารมณ์หงุดหงิดได้ง่ายๆ แต่ก็อีกนั่นแหละ ใครจะไปรู้

          ‘ไม่สำคัญว่ามันมาได้ไง...แต่ที่ต้องสนใจคือ...มันมาเพื่อฆ่าแกกับคู่ของแกไง ไอ้ปุกปุย...’

======================================================

จบกันไปอีกตอนนะครับ

ตอนหน้าเนื้อเรื่องจะเริ่มเข้มข้นขึ้นอีกระดับนะครับ

ยังไงก็ขอบขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ติชมได้นะครับ ผมยังใหม่ สำนวนยังฟันน้ำนมอยู่ ถ้าผิดตรงไหนก็ของโทษด้วยนะครับ

รักทุกคนโดยเฉพาะคนมาเมน :กอด1:

เจอกันตอนหน้านะครับ  :bye2:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
หนุกหนาน ลุ้นอะ สงสัยเหมือนกันว่าทาเคชิเป็นใครกันน๊า

ออฟไลน์ mimasopu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อยากจะล้วงความรับของทาเคชิออกมาให้หมดเสียจริง
ยากแท้หยั่งถึงมาก วางแผนไรไว้ป่าวเนี่ย
แต่ว่าชอบนะตอนแรกปุกปุย มันทำให้ไคร์นดูเหมือนเป็นหมีน้อยเลยอะ
น้องกาลกับไคร์นจะโดนรุมทำร้ายไหมเนี่ย
แล้วทาเคชิจะช่วยทั้งคู่ไหม(คงช่วยแหละ)

ชอบแนวนี้นะคะ จินตนาการบรรเจิดมาก ออกแนวแฟนตาซีผสมกับความเชื่อเรื่องเทพ
ชอบไอตอนที่ทาเคชิพาไปดูนางอัปสร ใส่บิกินี่กับหิ้วหลุยส์นี่อหละ :laugh:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
จะมีมารผจญปุกปุย-น้องกาลแล้ว แต่มีทาเคชิอยู่ไม่น่าเป็นห่วง ( ตกลงใครเป็นพระเอก??? )
คุณ Windend ท่าจะยุ่ง ขอเป็นกำลังใจให้ทั้งเรื่องงานและเรื่องนิยาย สู้ ๆ และ +1  :กอด1: 

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
หว๋ายยย  พี่หมีกับน้องกาลอยู่ในอันตราย ตื่นเต้นแล้วสิ
อ่านๆ ไปก็ยังตะขิดตะขวงใจ สงสารทาเคจิจัง
สรุปแล้วทาเคชิรัก พี่หมี ก็เลยตามคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด
รวมถึงให้รักของพี่หมีกับน้องกาลสมหวังอีก
ไม่คิดจะแย่ง แต่ก็ตามดูอยู่ใกล้ๆ จิตใจทำด้วยอะไรคะ  :m15:

ออฟไลน์ Windend

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ขอคุณสำหรับคอมเมนเล็กๆน่ารักนะครับ

แหม...รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมากเลย

วันนี้คนป่วยพึ่งหมด แรงยังเหลือเลยเอาตอนใหม่มาฝากครับ

=============================================================

          ตอนที่ 16 การกลับมาของรักแรก

          กาล

          ผมว่าเราน่าจะเดินออกไปทางประตูทิศใต้ที่รถของคณะทัวร์จอดอยู่ แต่ทาเคชิและไคร์นพาผมออกประตูทิศตะวันออกที่เป็นป่าเสียนี่ ทาเคชิเขาเดินสบายๆแต่เจ้าหมีด้านข้างผมสายตามันดูหลุกหลิกพิกล เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า

          เท่าที่ผมรู้จักกับไคร์นมาสามวันมานี้ ผมไม่เคยเห็นเขาทำท่าทางหรือสายตาแบบนี้เลย ผมรู้สึกไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้ ไคร์นเป็นคนยิ้มง่ายนะ สบายๆไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร แต่ก็แฝงไว้ด้วยความดุดัน เตรียมพร้อมตลอด ถึงเขาจะตัวใหญ่แต่ไม่อุ้ยอ้ายแถมว่องไวอีกต่างหาก ผมรู้ดี สะโพกเขาขยับเร็วยิ่งกว่าอะไรจริงๆ

          อันนี้ขอรับประกันเลยเชียวแหละ  :-[

          ตั้งแต่เราออกมาไคร์นเขาก็จับมือผมไว้ตลอดเลย เขาให้ความรู้สึกปลอดภัยดีเหลือเกิน ทำให้ผมรู้สึกมีความหวัง มีพลังที่จะก้าวไปข้างหน้า และไม่ต้องกังวลว่าเขาจะหนีหายไปจากผม ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

          จู่ๆ มือที่ไคร์นจับไว้ก็เกิดแสงขึ้นแวบนึง เราต่างหงายฝ่ามือดูกันทั้งคู่ ตราสัญลักษณ์ปรากฎขึ้นอีกครั้ง ผมมองหน้าไคร์นดูเขาดีใจอย่างมาก

          ตอนนี้เราเดินมาถึงทางที่จะไปยังถนนด้านหลัง ต้องอ้อมป่าไปถึงจะกลับไปจุดแวะพักประตูตะวันออกได้ ทาเคชิเขาหยุดเดินแล้วหันมาทางผม

          “น้องกาลครับ...เรื่องที่ว่าข้าเป็นใคร เอาไว้เราเจอกันครั้งหน้าก็แล้วกันนะครับ และก็จำคำที่ท่านบอกให้ดีหละ...” ทาเคชิเอามือมาวางไว้ที่หัวผมลูบไปมา แหมทำอย่างกะผมเป็นน้องหมางั้นเลย

          “ไอ้ปุกปุย...เบอร์ข้าอยู่ที่โทรศัพท์แกแล้ว กดหนึ่งก็พอ เอาไว้ข้าเสร็จธุรแล้วจะมาหา... อ้อ...ที่เหลือนั่น แกลองจัดการเอาเองดูนะ” ทาเคชิพูดแค่นั้น จากนั้นเขาก็แวบตัวหายไปทันที เขาเป็นอะไรเนี่ย

          “ไคร์น...” ผมมองหน้าเขา ไคร์นบีบมือผมเบาๆก่อนที่จะพาผมเดินเลอะเข้าป่าไป ผมไม่เข้าใจเลย

          “กาล เรางานเข้ากันแล้วนะ...”

          “งานเข้า...งานอะหยัง”

          “ก็ดูที่ด้านหน้าเราซิ...”

           ผมมองกลับไปที่ด้านหน้า ปรากฏผู้ชายต่างชาติห้าคนยืนเรียงกันอยู่ แต่ละคนดูไม่เป็นมิตรเลย พวกเขาใส่เสื้อผ้าชุดหนังสีดำเหมือนพวกนักบิดมอเตอร์ไซด์ และแต่ละคนหล่อล้ำล่ำอีกต่างหาก ทุกคนดูจะสูงพอๆกับไคร์นเลยทีเดียว

          “อาร์เคเดียน...แกเข้ามาในเขตของเรา...” ไอ้ตัวโตผมสีทองออกแดงพูดเสียงต่ำๆเหมือนตัวร้ายในหนังเกรดบีเลย มันพูดพร้อมปลายตามาทางผมอีก ตาดุมาก หนูกลัว :sad4:

          “ข้ามาท่องเที่ยว ไม่ได้คิดจะ...”

          “หุบปาก...แกไม่มีสิทธิ์พูด...จับมัน” ไอ้หัวทองสีซีดๆกับไอ้หัวน้ำตาลพุ่งเข้ามาแล้วกลายร่างเป็นหมีตัวมหึมา โอ้...แม่เจ้า อย่างกับได้ตีตั๋วแถวหน้าดูหนังนาเนีย์สามมิติแหนะ...

          ไคร์นยืนจับมือผมแน่ไม่ขยับตัวเลย จนพวกมันเข้ากระโจนมาตรงหน้าแล้วก็...

          โครม...หมีสองตัวชนเข้ากับกำแพงล่องหนตรงหน้าเสียงดังสนั่นเลย แหม ตื่นเต้นจัง มันนอนหมอบลงเลือดเต็มปากเลย สงสัยจะสลบไปแล้ว จู่ๆ ไอ้ผมทองแดงก็มาโผล่ข้างหลังของพวกเราเฉยเลย ไคร์นตวัดขาเตะไปยันอกมันปลิวไปหลายเมตรเลย เก่งจริงๆหมีของใครเนี่ย อีกสองคนมันมาโผล่ด้านข้างของผม ตัวนึงจับผมไว้ อีกตัวเตะไคร์นไปกองอยู่ที่พื้น

          “ไม่นะ...ไคร์น...” ผมออกแรงสะบัดมือออกแต่ไม่ได้ผล ไอ้ตัวที่เตะไคร์นมันเข้าไปเตะซ้ำเขาที่ท้อง ก่อนที่จะยิงแสงอะไรก็ไม่รู้เหมือนสายฟ้าฟาดไปที่ไคร์น

          “อ๊ากกกกกก....” ไคร์นดิ้นแล้วกลายร่างกลับไปกลับมาระหว่าคนกับหมี มันทำอะไรเขาไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้ผมต้องช่วยเขา ไอ้ตัวที่อยู่ข้างผมมันมองไคร์นด้วยความสะใจหัวเราะลั่น มันเผลอนี่แหละ เอาหละ

          ตึ่ง...โครม... ไอ้ตัวที่จับผมไว้หงายสลบชักกระตุกไปเลย หนอยแน่ จับไหล่ให้หลุดด้วยดีไหมเนี่ย ผมคิดว่ายังไงมันก็ยังอยู่ในร่างคน เส้นสายต่างๆก็น่าจะยังเป็นแบบคนอยู่ ผมเลยกดเส้นคอมันสกัดการส่งเลือดขึ้นสมองกับเข้าหัวใจ แค่นี้ก็เรียบร้อย อ้อ...ผมไม่ได้ฆ่าใครนะ แค่ทำให้มันนอนชักกระตุก ตาเหลือก น้ำลายฟูมปากไป แค่นั่นจริงๆนะ ไม่ได้ฆ่านะตัวเอง o18

          ไอ้ตัวที่เตะไคร์นมันหันมาพร้อมกับที่มือผมอยุ่ที่ต้นคอของมันแล้ว ไม่ทันแล้วไอ้หมี แก...

          “อ๊ากกกกกก....” ร้องไปเลยไอ้หมีบ้า ผมใช้มือจิกไปที่เส้นประสาทท้ายทอยทำให้มันเป็นอัมพาตชั่วคราวตั้งแต่คอลงมา แต่เลือกเส้นที่เจ็บที่สุด เอาให้ไฟช๊อคขึ้นสมองมันเลย ต้องขอโทษครูอาจารย์ทุกท่านด้วย ผมใช้วิชาช่วยคนไว้ป้องกันตัวนะ ไม่ได้พรากชีวิตใครไป เดี๋ยวค่อยแก้คืนให้

           ผมจับหัวของไคร์นกอดเอาไว้ เขายังไม่เลิกกลายร่างสลับไปมาอยู่เลย อ๊ะ...มือถือของไคร์นล่วงอยู่ ผมรีบยกขึ้นมาแล้วกดหนึ่งและกดโทรออกทันที

           “วังเด  สักกุดา หัตตา ลักษะวิตตา...” บทสวดภาษาอะไรวะเนี่ย พิลึก ผมรีบพูดดีกว่า

          “ทาเคชิ ไคร์นแย่แล้ว...เขา...” ผมพูดยังไม่ทันจบ ทาเคชิก็มาโผล่ที่ด้านหน้าผมแล้ว

          “ยกหัวเขาขึ้น...” ทาเคชิช่วยประคองต้นคอของไคร์นแล้วใช้ผ่ามือจับที่หน้าผากของเขา มีกระแสไฟฟ้าแปลบปลาบไปมาตามตัวของไคร์นซักพักก็หยุดลง ไครืฯกลับเป็นเหมือนเดิมแล้วแต่ดูเขาอ่อนแรงมากและไม่ได้สติ

          “ไคร์นจะเป็นอะไรไหม...จะหายไหม...ทาเคชิช่วยด้วยนะ...” ผมขอร้องทั้งน้ำตาล ไคร์นดูอ่อนแอเหลือเกิน ผมไม่ชอบเลย รีบตื่นขึ้นมาซิ ไอ้หมีหื่น

          “เอาหละ เสร็จแล้ว...เดี๋ยวข้ายกมันเอง น้องกาลตามมานะครับ” ทาเคชิประคองร่างของไคร์นขึ้นแล้วเดินไป ผมก็มัวแต่เช็ดน้ำตาลอยู่เลยเดินช้าหน่อย

          “จะไปไหน...” เสียงแผ่วต่ำดังขึ้น มือหยาบหน้าจับที่แขนผม พร้อมทุกอย่างก็ดำมืดลง
          .

          .

          .

          .

          .
           ทุกอย่างมันพร่าเลือนไปหมด ผมต้องกระพริบตาหลายครั้งก่อนที่จะจับโฟกัสได้เป็นปกติ ตอนนี้ผมนอนอยู่บนเตียงไม้ที่มีผ้านวมเก่าๆปู แสงแดดสีส้มบ่งบอกถึงเวลาเย็นแล้ว ห้องนี้คับแคบ แต่ไม่สกปรกเลย ดูเก่าแต่สะอาดตา ผ้าลูกไม้สีขาวโปร่งพัดปลิวน้อยๆที่หน้าต่าง ผมมองออกไปก็เจอแต่ป่า ไม่มีแสงไฟเลย ผมเดินสำรวจห้องซักพักประตูก็เปิดออก

          “มนุษย์...ตามข้ามา” ไอ้หมีผมทองแดงมันพูดให้ผมเดินตามมันไป ผมว่าในสถานการณ์แบบนี้ การดื้อ ดูท่าจะให้ผลเสียแน่นอน สู้ลุยหน้าไปเลยดีกว่า ไม่กลัวหรอกอยุ่มันมาแบบคนนะ ถ้ามาแบบหมีหนูกลัว...

          มันพาผมเดินออกมาจากบ้านไม้ มายังลานหน้าบ้าน มีกองไฟถูกจุดอยู่ตรงกลาง ผมเห็นคนอยู่รอบกองไฟประมาณสิบห้าคนและตัว มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง หมีและลูกหมีตัวเล็กๆ ทำกิจกรรมต่างๆที่ลานกว้างนี้ พอผมเดินมาใกล้ ทุกคนต่างหยุดแล้วจ้องมองมาที่ผมคนเดียว

          เชิดหน้าเข้าไว้ อย่าให้มันรู้ว่าเรากลัวเด็ดขาด

          “ว่ายังไง...อาหารค่ำ” ไอ้ตัวผมสีทองซีดมันหายดีแล้วเดินเข้ามาหาผมด้วยสายตาที่น่ากลัวมาก ผมไม่อยากพูดกับมันหรอก

          “ข้าจับคู่ของมันได้...มันจะเป็นอะไรขึ้นอยู่กับข้า...ไม่ใช่แก...คาร์”

          “แต่แกไม่ใช่หัวหน้า...”

          “แต่ถึงยังไงข้าก็ขอโหวตให้เป็นมื้อค่ำนะ อีธาน” เด็กวัยรุ่นคนนึงพูดขึ้น อ๋อไอ้หัวทองแดงนี่ชื่ออีธานเหรอ

          “งั้นข้าจะพาไปหาหัวหน้าเอง...ว่ามันจะเป็นอะไรระหว่าง มื้อค่ำ หรือ ของเล่น...” มันหันมาทำหน้าหื่นใส พวกแกนี่เห็นผมเป็นอะไรเนี่ย

          ผมถูกโยนเข้ามาในห้องๆหนึ่ง ผมยันตัวขึ้นนั่งกับพื้นมองไปรอบๆ มันกว้างและมีแสงไฟจากหลอดนีออนส่องให้เห็นสภาพภายใน มันมีเพียงเตียงกับตู้ไม้ขนาดใหญ่ที่มีหนังสืออยู่เต็มเท่านั้น ดูเรียบง่ายยังไงก็ไม่รู้ แต่ที่ต้องตกใจก็คงที่มีคนตัวใหญ่นอนหันหลังอยู่บนเตียงนี่แหละ ผ้าห่มคลุมอยู่เพียงระดับเองเขา แผ่นหลังเปล่าเปลือยอุดมไปด้วยมัดกล้ามที่สวยงาม ผมสีน้ำตาลไหม้ประกายทองซอยสั้นด้านหลังดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย แค่มองหลังผมก็รู้ว่าชายคนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาแข็งแกร่งอย่างแท้จริง

          ผมเลยเดินไปที่ตู้ไม้นั่น ดูชื่อหนังสือไปเรื่อยๆแต่ก็ต้องสะดุดกับหนังสือเล่มนึง แคลคูลัส โห...หมีคิดเลขได้ด้วยแฮ๊ะ ผมหยิบออกมาเปิดไปดูหลังปกก็ต้องชะงักงัน ชื่อเจ้าของหนังสือเขียนด้วยภาษาไทย เป็นลายมือที่ผมรู้จักดี น้ำตาลผมไหลลงอาบแก้ม มันไม่จริงใช่ไหม... ไม่จริงใช่ไหม...

          ผมวางหนังสือเล่มนั้นลงแล้วเดินไปที่เตียง ผมลองเอามือไปแตะที่หัวไหลเขาเพื่อจะถามแต่มือใหญ่กลับดึงผมลงไปนอนแผ่กลางเตียงพร้อมกับร่างของเขาที่ขึ้นมาค่อมตัวผมอย่างว่องไว

          ใช่จริงๆ...

          ตาของเราประสานกัน เขาทำหน้าตกใจแต่ผมซิ น้ำตายังนองหน้าอยู่เลย

          “พี่มาร์ค...”

         “เฮ้ย...น้องกาล”

===============================================================

เป็นยังไงกันบ้างครับ หวังว่าคงจะชอบนะครับ

เรื่องของทาเคชิ ผมวางโครงไว้เรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวจะไปเป็นพระเอกในเรื่องต่อๆไป

เรื่องนี้มีหลายภาคนะครับ บอกไว้ก่อน อิอิ

หวังว่าคงยังไม่เบื่อกันนะครับ จะพยายามลงบ่อยๆเท่าที่ทำได้นะครับ

แล้วพบกันตอนหน้านะครับ ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ

รักคุนอ่านทุกคนครับ โดยเฉพาะคนเมน :L1:

 :bye2: :bye2: :bye2:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Windend

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
555 ลืมลงรูปรักแรกของน้องกาลไป

นี่ครับ รูปตาพี่มาร์ค หล่อไหมหละ หล่อแบบหมีๆ อิอิอิ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2011 19:29:52 โดย Windend »

ออฟไลน์ NY_JK

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 639
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
 :-[รูปพี่มาร์คหล่อมาก กาลจะทำยังไงเนี่ยดันมาเจอรักแรกซะงั้น
ภาคต่อไปขอทาเคชิเป็นพระเอกได้ป่ะ
ปล.ชอบปรัม(ถึงจะออกมาแค่ตอนเดียวแต่ก็ชอบ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2011 22:12:07 โดย NY_JK »

ออฟไลน์ mimasopu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
พี่มาร์คหน้าเหมือนหมีจริงด้วยอะ
ตาปุกปุยจะเป็นไรไหม แล้วนี่นู๋กาลไปโผล่ไหนหละเนี่ย
พี่มาร์คเป็นใคร(นายก?)เค้าตื่นมาแล้วจะทำอะไร
เราสงสัยเยอะไปไหม

จะรออ่านตอนต่อไป และ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :bye2:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
ป่านนี้ หมีไคร์น จะเป็นอย่างไงนะที่ น้องกาล หายไป ?
แล้วถ้ารู้ว่า น้องกาล มาเจอรักแรกอย่าง หมีมาร์ค พี่แกคงได้คลั่งแน่  :serius2:
ว่าแต่ น้องกาล ดวงเนื้อคู่สมพงษ์กับหมีนะเนี่ย คนก่อนก็หมี คนนี้ก็หมี....
 

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ตายล่ะ จะทำยังงัยล่ะนั่น รักแรกของน้องกาล

ออฟไลน์ ณ ที่เดิม™

  • มากกว่าชีวิต...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
โอ้วว รักแรก
เห็นหน้าพี่มาร์คแล้วเลือกไม่ถูกเลยแฮะ ฮา

เชียร์กาลควบสอง ฮา  :laugh:

me/ โดนหลายๆคนกระทืบ  :z6:

ออฟไลน์ Windend

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
สวัสดียามเย็นนะครับ

วันนี้พอดีมีเวลานิ๊ดหน่อยเลยรีบมาปั่นให้อ่านกันนะครับ

ถ้าสะกดผิดยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับทุกคน

เรามาต่อกันดีกว่า

===============================================================

ตอนที่ 17 รักซ้อน

          กาล

          ผมคิดเสมอว่าเขาตายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ภาพต่างๆระหว่างเรามันยังชัดเจนดี

          หลายปีก่อนผมได้รับทุนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เนเธอแลนด์ที่ผมใฝ่ฝันถึง โรงเรียนมัธยมของที่นี่ก็นับว่าดีและทันสมัยมากเลย แต่ใจผมอยากจะไปอยู่ที่เดียวเท่านั้น สวนดอกไม้กูเกนฮอฟ และเป็นที่ที่ผมได้พบกับเขา มาร์คัส

          ผมนั่งบนพื้นหญ้านุ่ม มือก็กำดินสอ2Bขีดเส้นแลเงาไปมาบนกระดาษเนื้อหนาที่ซื้อมาจากคอนวีเนียนใกล้บ้านพัก พี่สาวคนขายใจดีมากเธอแถมบางลบมาให้ด้วย ผมว่าเธอต้องคิดว่าผมเป็นเด็กประถมแน่ๆ ผมอยู่ม.6 แต่ส่วนสูงพึ่งจะแตะที่ร้อยหกสิบเอง มันเป็นโศกนาตกรรมสำหรับผมแล้ว 

          ลายเส้นจากดินสอถูกขีดตวัดไปเรื่อยๆ อากาศหน้าร้อนที่นี่ยังเย็นสบายอยู่ แสงแดดยามบ่ายอ่อนๆ นกร้องและลมพับเอ่ยๆ หลังผมค่อยๆเอนลงจนไปพิงเข้ากับอะไรบางอย่างแข็งๆ ผมว่าน่าจะเป็นต้นไม้หรือไม่ก็ก้อนหินนะและก็หลับไป

          ผมรู้สึกว่ามีอะไรไหวๆที่หลังผม ลืมตามองบนฟ้าเริ่มเป็นสีส้มอ่อนๆแล้ว ผมคงหลับไปนานนี่ท่าจะเย็นแล้ว ขอบิดขี้เกียจซักทีเถอะ อื้อยยยยยย....สบาย อ๊ะ...อ้าว...นี่ผมมานอนหนุนท้องใครหละเนี่ย มองไปทางซ้าย โห...แม่เจ้า...มันใหญ่และยาวมาก...ขาครับพี่น้อง ขาที่สวมกางเกงยีนสีซีดๆไม่ใส่รองเท้า เป็นเท้าที่สวยนะ เล็บตัดอย่างเป็นระเบียบ รูปร่างไม่บิดเบี้ยวแต่มองดูแล้วเต็มไปด้วยชีวิตและพละกำลัง อ๊ะ...กระดิกด้วย...

          ผมเลยเอาดินสอในมือวาดลายเส้นรูปเท้าเขาดูโดยยังนอนหนุนท้องเขาอยู่ ก็มันลืมอะ...พอใกล้จะเสร็จก็ได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นทางขวา ท้องที่ผมหนุนอยู่กระเพื่อมไหว ตายหละหว่า นี่เราหนุนท้องเขาตั้งนานแล้วยังวาดรูปเท้าเขาอีก จะโดนเตะไหมหว่า?? ผมเลยค่อยๆหันไปทางขวา ชายคนที่ผมนอนหนุนท้องเขามองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มที่แทบทำให้ผมละลายเลย มันเท่ห์มากกกกก ตาสีฟ้าจางกำลังยิ้มพร้อมกับริมฝีปากสีชมพูอ่อน ฟันเขาเรียงกันสวยมาก มันช่างพอเหมาะพอเจาะเลยทีเดียว เขาเอามือประสานกันไว้ที่ท้ายทอยทำให้เห็นกล้ามแขนเป็นมัดๆ

          เห็นแล้วอยากกัดดูซักคำจัง

          เขาสวมเสื้อกล้ามสีดำมันช่างเปิดเผยแผงอกเขาจริงๆ นี่ผมได้นอนหนุนท้องของเทพบุตรคนนี้เลยเหรอเนี่ย บุญหัวของไอ้กาลจริงๆ

          เขาทำมือทำไม้เหมือนอยากให้ผมวาดรูปต่อ ก็เลยฉลองศรัทธาโดยจะลุกขึ้นนั่งเพื่อจะได้วาดให้ถนัดๆ แต่ก็โดนมือใหญ่ดึงให้นอนหนุนท้องเขาเหมือนเดิม ผมหันไปหาเขาอีกที เขาก็ทำมือเชิงให้วาดต่อ ผมเลยต้องนอนหนุนท้องเขาแล้ววาดรูปต่อให้เสร็จ
ระหว่างที่วาดรูป กลิ่นกายของเขาหอมอ่อนๆ สดชื่นเหมือนได้กลิ่นของท้องทุ่งกว้าง โอ้ย...จะหลับอีกแล้ว...และแล้วผมก็หลับไปอีกรอบจนได้

          ผมตื่นขึ้นมาอีกทีปรากฏว่าผมมานอนที่ม้านั่งยาวแล้ว บนตัวผมมีเสื้อหนังสีดำตัวใหญ่มากคลุมผมเอาไว้ ต้องเป็นของเขาแน่ๆ ผู้ชายอะไรทั้งหล่อ ทั้งเท่ห์ ใจดีอีก แมนโคตรๆ

          สมุดวาดรูปหน้าล่าสุดของผมถูกฉีกออกไป แต่มีข้อความเขียนทิ้งท้ายไว้ประมาณว่า ขอบคุณเรื่องภาพที่วาดแล้วรีบกลับบ้านได้แล้ว ดูเขาเป็นห่วงผมเหมือนกันนะเนี่ย แหม...ดูท่าว่าผมจะหลงรักสวนแห่งนี่แล้วซิ
         
          .

          .

          .

          วันต่อมาผมเดินกลับจากโรงเรียนว่าจะเข้าไปที่ธนาคารซักหน่อย จะไปกดตังค์ไปซื้อกางเกงยีนสีซีดๆมาใส่มั่ง คงจะเพิ่มความเท่ห์ให้ผมมั่ง...คงงั้นนะ...ตอนออกจากธนาคารแล้วเดินไปตามทางซักพักก็ได้ยินเสียงบีบแตรทางด้านหลังผม มอเตอร์ไซด์คันใหญ่ขี่ถลำขึ้นมาบนฟุตบาทผู้คนต่างๆต้องคอยหลบกัน...แต่ผมหันไปช้า มันใกล้มากๆยังไงก็หลบไม่ทันแล้ว โดนแน่ๆ แต่แล้วก็มีมือใหญ่ฉุดผมให้หลบอย่างหวุดหวิดหัวผมประทะเข้ากับแผงอกแกร่งนั่น กลิ่นหอมคุ้นเคยเข้าจมูกผม อา...ใช้แล้ว...กลิ่นเหมือนกับเขาคนเมื่อวาน ผมเงยหน้ามองก็ใช่จริงๆด้วย เขานั่นเอง

          “ไม่โดนชนนะ...” เขาพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่เพราะมาก ผมว่าผมฟังเขาพูดได้ทั้งคืนเลย

          “ครับ...อยู่ดีครบถ้วน...”

          “555...เจอกันอีกแล้วนะ...ชื่ออะไรเรา” เขาถามผมด้วยเสียงที่มีเสน่ห์จริงจริง ตาขายิ้มได้ด้วย เวลาที่เขายิ้มมันดูอบอุ่น แอบดูพราวเสน่ห์อีก

          “กาล ผมชื่อกาล แล้วพี่หละ”

          “มาร์คัส เรียกมาร์คก็ได้...จะไปไหนหละ แล้วผู้ปกครองของนายไปไหนหละ ปล่อยให้เด็กมาเดินคนเดียวได้ยังไงกัน”

          “มาร์คคร้าบบบ...ผมม.6แล้วนะ”

          “อ้าว...เหรอ...นึกว่าอยู่ระดับประถมนะเนี่ย” เวงจริงๆ

          “โห...ใจร้ายอะ...”

          “555...ไม่เอาน่า...ล้อเล่นน่า” อยู่ๆท้องของผมกับของมาร์คก็ดังพร้อมๆกัน โอ๊ะโอ๋...ลูกรักของผมคำรามแล้ว เรามองหน้ากันแล้วยิ้มแห้งๆ เหอๆๆๆ เขินนะเฟ้ย

          “ไปกินมื้อกลางวันกันไหม กาล...”

          “ได้เลย...พี่มาร์ค...แล้วจะกินอะไรหละ ผมมีตังค์ไม่มากนะ”

          “ไม่เป็นไร...คิดว่าเป็นค่าวาดภาพให้ก็พอแล้ว”

          “งั้นนำไปเลย” มาร์คัสจูงมือผมเดินไปยังร้านขายเบอร์เกอร์ร้านใหญ่ตรงหัวมุมถนนนี้เอง ผมเคยมากินสองรอบนะ ขนาดและความอร่อยของเขานี่สุดยอด ขอบอก ขณะที่เราทานกันไปคุยกันไปหลายเรื่องเหมือนกัน

          “นายเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนทุนแมคซิลเวียร์เหรอ...แล้วมาจากประเทศอะไรหละ” มาร์คัสถามผมขณะที่เราทานเบอร์เกอร์ชิ้นที่ห้ากันไป หมายความว่า เขาทานชิ้นที่ห้า ผมก็ด้วย อิอิอิ สามารถครับท่าน

          “ใช่เลยฮะ...ผมมาจากประเทศไทยฮะ”

          “แล้วมีเพื่อนบ้างหรือยังหละที่โรงเรียนนี้”

          “ก็มีนะ...แต่...”

          “อ้าว...มีแต่ด้วย...แล้วแต่อะไรหละ...”

          “แต่...ดูท่าทางแล้ว...มันอยากได้ผมเป็นเมียมากกว่าเพื่อนนะซิฮะ”

          “555 ทำใจเถอะ...ที่นี่เขาเสรีเรื่องนี้ กาลน่ารักจะตาย ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

          “งะ...ไม่เอาหรอก...สูงๆรีบๆแบบนั้น อึ๋ย...สยอง ไม่ใช่สเป๊กเลย...”

          “555...แล้วแบบไหนหละ สเป็กของนาย”

          “ก็ต้องสูงใหญ่ อายุมากกว่า ดูอบอุ่น...”

          “อ้าว...กาลเป็นเกย์เหรอ” ชิบหายแล้ว ผมเผลอหลุดอะไรออกไปหละเนี่ย เกิดเขาเหยียดเกย์ขึ้นมาแล้วไม่จ่ายค่าเบอเกอร์ให้นี่ตายแน่ๆ

          แต่แม่สอนไว้ว่า จงเป็นตัวของตัวเองถ้าอยากเจอคนจริงใจ เสแสร้งไปก็เจอเสแสร้งกลับ ไม่มีประโยชน์ แม่ผมสอนดีใช่ไหมหละ ไอ้ผมมันก็บ้าอยู่แล้ว เหอๆๆๆ

          “ใช่...อนุญาตให้มาร์คจีบได้นะ 555” เอาซิ ดูซิจะทำไง

          “อ้าว...จริงเหรอ...งั้นไม่เกรงใจนะ...” มาร์คัสจับมือผมลุกออกจากโต๊ะ เขาจ่ายตังค์เสร็จแล้วพาผมเดินออกจากร้านมายังตึดใหญ่ตึกนึงใกล้ๆ แล้วจะพามาทำอะไรเนี่ย ชักจะไม่ปลอดภัยแล้วแฮ๊ะ

          “ปล่อยก่อนเถอะนะ...มาร์คจะพาไปไหนเนี่ย”

          “ก็ง่ายๆ...ก็จะทำให้กาลเป็นแฟนผมไง ต้องเริ่มจากทำความรู้จักทางกายวิภาคกันก่อน...”

          “หา...จะบ้าเหรอไง มาร์ค...ทำความรู้จักกันแบบนี้ก่อนเลยเหรอ ให้เวลาเตรียมใจหน่อยซิ นะนะ” อ้อนเข้าไว้ ไม่งั้นพรุ่งนี้ไม่ได้ไปเรียนแน่ อย่างน้อยขอเป็นคืนวันศุกร์แทนน่าจะดี ...เอ...อันนั้นไม่ใช่ประเด็นแฮ๊ะ...นี่เราเจอกันแค่สองครั้งแล้วจะลากขึ้นเตียงเลยเหรอเนี่ย

          จากวันนั้นผมกับมาร์คก็คบกันเรื่อยมา เขาบอกว่าเขาทำธุรกิจหลายอย่าง ตอนนี้เป็นประธานมูลนิธิแม็คซิลเวียร์ ซึ่งก็เป็นผู้ออกทุนให้ผมเรียนนี่แหละ เขาดูหนุ่มมาก ไม่น่าจะเกินยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี และเท่มากเลย

          ต้องยอมรับหละครับว่าตอนนั้นผมหลงเขาหัวปักหัวปำเลย

          เรื่องมันเกิดในวันที่ผมเรียนจบแล้วอีกสัปดาห์จะกลับประเทศไทย เขาสัญญาว่าวันรุ่งขึ้นจะพาผมเข้าบ้านแม็คซิลเวียร์ ผมก็ดีใจนะ ผมไม่เคยไปเที่ยวที่นั่นเลย เคยแต่ผ่านๆเท่านั้นเอง แต่พอรุ่งขึ้นสิ่งที่ผมเจอก็คือ คฤหาสน์ตระกูลแม็คซิลเวียร์ถูกเผาพินาศทั้งหมดแล้ว ผมยืนค้างอยู่อย่างนั้น ความสวยงามที่ผมเจอในชีวิต ความรัก ความสุข และคนรักของผมสลายไปแล้ว ผมร้องไห้ฟูมฟายจนสลบจนต้องให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยพาส่งโรงพยาบาล พอผมฟื้นก็ต้องกลับประเทศไทยและไม่ได้ข่างคราวอีกเลย

          ปัจจุบัน

          “กาล...มาได้ยังไง” สายตาของเขามองผมยังเหมือนเดิม เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความอ่อนโยนและโหยหา สายตาที่มองแต่ผมคนเดียวเรื่อยมา

          “พี่มาร์ค...มันเกิดอะไรขึ้น...แล้วพี่...เป็นหมีเหรอ...”

          “เอาเรื่องไหนก่อน ฮันนี่...” มาร์คมองมาที่ผมอย่างดีใจและกระตือรือร้น ก่อนที่ผมจะถามเขาก็พูดออกมาเสียก่อน

          “เอางี้นะ กาล...ผมเป็นเออซูไรด์คาตากาเรีย...คืนนั้นพวกไทการ์อาเคเดียนมาบุกทำลายบ้านพวกเรา เหตุผลก็ง่ายๆ เรื่องธุรกิจ พวกอาคาเดียนโสโครกมันละโมบ มันคิดจะยึดตลาดสายเคเบิลไยแก้วของตระกูลแม็คซิลเวียร์ และมันก็ทำสำเร็จอีกด้วย” เสียงของเขาช่างประชดประชันและขมขื่นมาก

          “แล้วพี่รอดมาได้ยังไงเหรอ...แล้วทำไมไม่ติดต่อผมเลยหละ”

          “พี่ฝ่าวงล้อมพวกมันออกมาได้กับพวกลูกน้องในฝูงอีกไม่มาก พ่อแม่และพวกพี่ชายของผม ตายหมด พวกเราต้องหลบหนีไปเรื่อยๆ ลงใต้มาที่อัฟกานิสธาน เราเห็นพระพุทธรูปที่พวกมนุษย์ทำลาย กาลเคยบอกผมว่า ประเทศไทยเป็นเมืองแห่งศาสนาพุทธ พม่า ลาวและกัมพูชาก็ใช่ ตอนแรกข้าจะไปยังประเทศไทย แต่พวกเราต้องเลาะตามป่าเขา มาโผล่อีกทีก็มาอยู่ที่กัมพูชาแล้ว หกเดือนมานี่เราต้องปรับตัวกันมากเลย กาลคิดดูนะ จากเย็นสบายมาเจอร้อน แทบตาย...” พี่มาร์คอธิบายไปแต่ก็ยังนอนคร่อมตัวผมอยู่ แล้วผมก็รู้สึกว่ามันมีแท่งแกร่งร้อนขนาดใหญ่ทิ่มที่หน้าขาของผมไปมา หมีมาร์คนี่ยังหื่นเสมอต้นเสมอปลายจริงๆเลย

          “กาล...รู้ไหมพี่ไม่เคยลืมเธอเลยนะ พี่คิดถึงเธอตลอดเวลาเลย รู้ไหมฮื้มมม” มาร์คเอาจมูกมาซุกไซที่ข้างหูผมแล้วเลยมาที่ซอกคอก่อนจะหยุดแล้วเงยหน้ามองผมแบบแปลกๆ แหมทำต่อจิกำลังได้อารมณ์

          “กาล...พี่รักกาลนะ...” พี่มาร์คกดจูบลงมาอย่างอ่อนโยนแต่หนักหน่วง มันช่างโหยหาและเต็มตื่นเหลือเกินที่ผมได้มาเจอเขาอีกครั้ง รักครั้งแรกที่ถวิลหา

          “โอ๊ยๆๆๆ” พวกเราสองคนสะดุ้งเพราะความร้อนที่มือ ผมหงายมือขวาแล้วพบสัญลักษณ์เนื้อคู่ที่มือขวา มันเหมือนกับที่เป้นของไคร์นที่มือซ้าย แต่ต่างสีกัน มาร์ครับจับมือขวาของผมขึ้นมาดูพร้อมกับยิ้มดีใจแบบสุดๆ

          “ว้าวววว...เยี่ยมเลย...มันต้องแบบนี้ซิ...กาลต้องเป็นคู่ของผมแน่นอนแล้ว...”

          “เออ...พี่มาร์ค...คือว่า...ไม่อยากขัดหรอกนะ แต่ดูนี่” ผมชูมือด้านซ้ายที่มีสัญลักษณ์แบบเดียวกันให้มาร์คดู เขาทำตาโตก่อนจะอุทานออกมาก

          “อีโรคจิตสามตัวมันทำอะไรของมันวะ...”

===============================================================

เหอๆๆๆ เป็นยังไงกันบ้างครับ

ใครลุ้นว่าจะยังไงกันต่อ จะ3Pไหม ทาเคชิกับหมีไคร์นจะเป็นยังไง

ก็รอติดตามกันต่อไปเน้อ

อย่าพึ่งเบื่อกันก่อนนะครับ

ขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ

รักคนอ่านทุกคนนะครับ โดยเฉพาะคนเมนท์ :L1:

 :bye2: :bye2: :bye2:

debubly

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ woradach

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 717
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อุ๊ยมีหมีเพิ่มมาอีกตัว ชอบหมีจังเลย แหะๆ น่ารักน่ากอด แต่ทำไมหมีหื่นจัง เง้อ

ออฟไลน์ mimasopu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
3pppp :jul1:

click like   “อีโรคจิตสามตัวมันทำอะไรของมันวะ...” 555

มันเริ่มจะสับสนละว่าใครจะคู่ใคร หรือว่ามากันเป็นหมู่คณะ?


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด