A Little Destiny
#บังเอิญ
เสียงกองเชียร์กับเสียงดนตรีในงานกีฬาสีของมหาวิทยาลัยฟังดูครึกครื้น นักกีฬาเองก็คงจะรู้สึกคึกคักไม่แพ้กัน ยิ่งได้ยินเสียงโห่ร้องตะโกนกับเสียงกรีดร้องของบรรดาสาวๆที่อยู่ข้างสนามดังแข่งกับเสียงนกหวีดของกรรมการ การแข่งขันบาสชายที่กำลังระอุอยู่ในขณะนี้เมื่อแต้มของทั้งสองทีมสูสีกันมา ชนิดที่ว่าหากทีมใดพลาดอีกทีมก็มีโอกาสลุ้น
"พี่เบอร์ 9 กรี๊ดดดดดดดดดดด""เบอร์ 9 สู้ๆๆๆๆๆ" เสียงกรี๊ดยิ่งดังสนั่น เมื่อนักศึกษาหนุ่มหน้าตาระดับนายแบบตัวสูง หน้าตาดี เจ้าของเสื้อเบอร์ 9 หันมาโบกไม้โบกมือให้กองเชียร์ข้างสนาม เมื่อเสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขันสิ้นสุดลงและฝ่ายของตนได้รับชัยชนะไปอย่างเฉียดฉิวเพียงแค่ 4 แต้ม ทิ้งห่างฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่ 2 ลูกเท่านั้น
"สุดยอดเลยว่ะ แบบนี้ต้องฉลองโว้ย" เสียงเพื่อนร่วมทีมตะโกนทั้งที่ยังหอบแฮ่ก ตอนที่วิ่งออกมาสมทบข้างสนาม เสียงกรี๊ดยังคงดังต่อไม่หยุดแม้ว่าเกมจะสิ้นสุดลงไปแล้ว แถมยังมีสาวๆที่ใจกล้าวิ่งเอาผ้าเย็นกับน้ำมาเสิร์ฟให้รุ่นพี่ที่หมายปองอีกต่างหาก
"ดูมันดิ!! หล่อแล้วยังเก่งอีก สาวๆแมร่งติดตรึม น่าอิจฉา!!!" หนึ่งในเพื่อนร่วมทีมอดเอ่ยแซวไม่ได้ เจ้าตัวหันมายักคิ้วพร้อมกับคลี่ยิ้มตรงมุมปาก เหมือนกับจะบอกเป็นนัยว่าตัวเองแน่..ตามคำชมที่ได้ยิน แล้วสายตาก็ดันไปสะดุดเข้ากับใบหน้าของใครบางคนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างสนาม สายตาอีกฝ่ายที่มองตรงมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง หากแต่ก็ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ สายตาที่เดาไม่ออกถึงสิ่งที่ต้องการ เพียงแค่ทอดมองมาแบบนั้นไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน แม้ว่าทางนี้จะรู้ตัวแล้ว..ว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาและจ้องตอบกลับไปบ้าง ทางนั้นก็ยังไม่ยอมละสายตา
"ใครวะ เห็นยืนมองอยู่นานแล้ว คนรู้จักเหรอ" "ไม่รู้ดิ!! เห็นมองมา ก็เลยจ้องกลับแล้วดูมันดิ""เฮ่ย!! หรือว่า...มันจะชอบมึงวะ" เจ้าของเสื้อเบอร์9 ถึงกับสะดุ้งทำหน้าเบ้ แล้วจ้องกลับไปทางเดิม ที่ยังมีสายตาคู่นั้นจ้องมองมา
"กู ไม่ ชอบ ตุ๊....." ตรู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
.
.
.
.
.
สะดุ้งตื่นตาหูแหก!!!! ก่อนจะควานมือหาเจ้าของเสียงแสบแก้วหูขึ้นมากดปิด แล้วทำท่าจะขว้างใส่กำแพง แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเดือนนี้พังไป 3 เรือนแล้ว เพราะงั้น...ต้องอดใจเอาไว้ก่อน ขี้เกียจไปตามหาซื้อนาฬิกาปลุกเรือนใหม่
แต่...!!! ทำไมต้องฝันถึงเรื่องบ้าๆนั่นด้วยวะ!!
เรื่องก็ผ่านมาตั้งนานหลายปี ก็น่าจะลืมมันไปได้ซักทีซิ!!
'บัดซบเหอะ!!!! ไม่ใช่ตุ๊ดเว้ย ก็แค่ชอบผู้ชายผิดตรงไหน ใครๆก็เป็นกัน' อารมณ์หนังจีนกำลังภายในที่เพิ่งดูไปเมื่อคืนก่อนนอนเหมือนจะปะทุคลายจุดชีพจรทั่วร่าง มันจะไม่ผิดหรอกถ้าไอ้แว่น...มันไม่ใช่ผู้ชายทั้งแท่งเหมือนกัน!!
'นายเขมทิน กฤษณาพิทักษ์' มีชื่อเล่นจริงๆว่า'เข้ม' แต่หลังจากหันมาใส่แว่นจากเข้มก็เลยกลายเป็นไอ้แว่นไปโดยปริยาย ไอ้แว่นเรียนจบแค่ ป.4(ปริญญาตรี 4 ปี) ด้านการบริหารธุรกิจ เกรดเฉลี่ยแค่พอไปวัดไปวาได้ไม่อายใคร ประมาณว่าจบปุ๊บได้งานปั๊บ แต่เนื่องจากเบื่องานนั่งโต๊ะประจำตำแหน่งหาเช้ากินค่ำ(และต่อด้วยเมาหัวราน้ำ) ก็เลยตัดสินใจลาออกมาเปิดร้านของตัวเอง
ปัจจุบันเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ ที่มีชื่อว่า'แก้วกลม'(ตอนแรกจะเป็นแก้วกลมกล่อม แต่มันยาวเกินเลยตัดเอาแค่สองพยางค์) ตั้งอยู่ชั้นล่างสุดของตึกสำนักงานใหญ่ใจกลางเมือง ภายในร้านจะมีที่ให้นั่งเพียงสามสี่โต๊ะ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานในตึกและ take away เสียส่วนใหญ่หรือไม่ก็โทรมาสั่งให้ขึ้นไปส่งข้างบนแบบ delivery ขนาดว่าเพิ่มรายการอาหารเป็นพวกขนมชิ้นเล็กๆ กับอาหารชุดแบบง่ายๆ โต๊ะก็ยังคงสะอาดเอี่ยมแทบทุกวัน(เพราะไม่มีคนมานั่ง)
"พี่แว่น!! อย่ามัวเหม่อ เดี๋ยวก็เสร็จไม่ทันบ่าย เบื้องบนจะได้โทรมาฉีกอกเอาอีก" เจ้าของร้านที่กำลังจัดกล่องอาหารชุดแบบที่เค้าเรียกกันว่า'Snack box' กลับมาสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง เมื่อเกือบจะโดนน้องสาวที่เคารพนามว่าน้องขิงงับหูเอา เพราะมัวเหม่อเมาค้างจนมือไม่ทำงาน
"อื้อ!! ก็เร่งมืออยู่นี่ไง" ที่จริงเกือบแล้ว...!! ไอ้แว่นเกือบนั่งหลับในน้ำลายไหลยืดลงกล่องที่กำลังพับอยู่
เบื้องบนที่ว่าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพี่ทิพย์ลูกค้าเจ้าประจำที่มักจะโทรมาสั่งของสำหรับจัดเลี้ยงยามที่มีประชุมหรือสัมมนาบนตึก เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่น่าเคารพนับถือเพราะหาเงินมาเข้ากระเป๋าไอ้แว่นได้เสมอ และแกจะน่ารักกว่านี้มากเหอะ..ถ้า....ไม่ติดคำว่า 'ของพี่ด่วนนะ' แม่เจ้า!! ถ้าได้ยินประโยคนี้เมื่อไหร่ แทบจะต้องทิ้งงานทั้งหมดหน้าร้านมาจัดของให้ทันที
กรุ๊งกริ๊ง เสียงกระดิ่งที่หน้าร้านดังบอกว่ามีคนเปิดเข้ามา เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งกันนะ!! ตอนไหนไม่มีลูกค้าก็นั่งง่วงงึม ถ้าช่วงไหนกำลังยุ่งหัวปั่นลูกค้าก็ตรึมจนงานล้นมือ จนไม่รู้จะหยิบฉวยอะไรก่อนดี
"พี่ไปดูหน้าร้านนะ" ขิงหันมาพยักหน้าแบบขอไปที ประมาณว่าถึงอยู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร
ลูกค้าตัวเป็นๆ คนแรกของวัน ค่อยๆเดินเข้ามาเหมือนระวังอะไรซักอย่าง มีการมองซ้ายมองขวาคล้ายจะข้ามถนนก็ไม่ปาน ก่อนจะก้าวเข้ามาในร้านพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า ถ้า..ตรงประตูไม่มีเสียงกระดิ่งดังให้ได้ยินล่ะก็..คงไม่มีใครรู้ว่ามีลูกค้าเดินเข้ามาในร้านแน่
"แก้วกลม,สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ" คำทักทายแบบฉบับพนักงานขายทั่วไป ลูกค้าเท้าเบาหันมามองหน้าตามเสียง แต่ก็ยังคงจดจ้องอยู่แบบนั้นเหมือนกับว่ากำลังลังเลอะไรบางอย่าง
"คือว่า...ผมได้กลิ่นขนมอบ ก็เลยเข้ามาไม่ทราบว่า....." ผมเหลือบไปมองที่ป้ายกระดานข้างหน้าร้าน ที่เอาไว้เขียนบอกเมนูอาหารให้คุณลูกค้าที่ผ่านไปมาได้แวะเวียนเข้ามาเลือกซื้อ เพราะไม่อยากทำอะไรที่ซ้ำๆเดิมๆ รายการอาหารจึงเปลี่ยนไปทุกวันแล้วแต่อารมณ์ของคนทำ
"วันนี้ทางเราทำ snack box ก็เลยมี ชินามอนโรลกับพายสับปะรดนะครับ เพิ่งจะอบเสร็จ แล้วก็มีเค้กชิ้นทางด้านนี้...ส่วนเครื่องดื่มแนะนำวันนี้ก็มี....ฯลฯ" ไอ้แว่นก็พูดร่ายรายการอาหารและเครื่องดื่มยาวเหยียดพร้อมออกท่าทางประกอบคล้ายทำกายบริหารให้ตัวเองตื่นไปด้วยในตัว
"เอ่อ..คือว่า...ผมอยากได้โกโก้เย็นซักแก้ว กับพายซักชิ้นก็พอครับ" คุณลูกค้าบอกเสียงเบาราวกับว่าเกรงใจ ที่น่าแปลกก็คือคุณเค้ายังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปทางไหน ไม่หาที่นั่ง ไม่สนใจตู้ขนมเค้กที่ชี้ชวนให้ดู หรือแม้กระทั่งการขอดูรายการอาหารกลับจ้องมองหน้าคนที่กำลังชงโกโก้ไม่วางตา
"ทานที่นี่หรือรับกลับบ้านดีครับ" ไอ้แว่นก็เริ่มถามอีกรอบลดความกดดันของบรรยากาศโดยรอบ
"อ้อ..เอ่อ...ผมนั่งตรงนี้ได้ไหมครับ" อยากจะยกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง ติดที่มือกำลังคนผงโกโก้ให้เข้ากันอยู่ 'อยากนั่งก็นั่งไปดิวะ' แล้วช่วยเลิกส่งสายตาปริบๆกระพริบถี่ๆมาซักทีเหอะ เดี๋ยวปั๊ดลองจิ้มให้ตาบอดซักข้างซะหรอก
"เชิญครับ" คนที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ตอบกลับเสียงเรียบ ...มองมาแบบนี้จะให้คิดเข้าข้างตัวเองรึยังงายยยยยย เป็นแบบนี้แต่ก็เลือกนะเว้ยเฮ้ย ไม่ใช่จะใจง่ายกับใครๆ
"พี่แว่น!! ได้เวลาเอาของขึ้นไปส่งแล้ว มาช่วยกันหน่อย" เสียงน้องสาวตะโกนเรียกมาจากข้างใน เพราะไม่เห็นลูกค้าที่ยังนั่งตาแป๋วอยู่ในร้าน และไอ้แว่นก็ไม่บอก.......ก็ได้เวลาชิ่งแล้วใครไหนจะอยู่รอ ....ไม่ชอบถูกจีบเว้ย ต้องเป็นฝ่ายรุกซิถึงจะเข้ากับคนอย่างไอ้เข้ม หึหึ...
กล่อง snack box ที่เสร็จเรียบร้อยแล้วถูกจัดเรียงใส่ถุงใบใหญ่อีกรอบเพื่อความสะดวกในการขนย้ายขึ้นไปข้างบน นอกจากนั้นยังมีรายการเครื่องดื่มของลูกค้าตามชั้นต่างๆที่สั่งให้เอาขึ้นไปให้ข้างบนอีกถุง
"เดี๋ยวพี่เอาไปส่งเอง ขิงไปอยู่หน้าร้านนะ" ยัยขิงหันมามองด้วยหางตาเหมือนไม่เชื่อฝีมือพี่มัน แต่ก็ยอมพยักหน้าตกลงแต่โดยดี พร้อมกับยืดตัวบิดขี้เกียจ แล้วเดินออกไปหน้าร้านแต่โดยดี พอชะโงกหน้าตามไปดูก็ไม่เห็นเงาของลูกค้าตาหวานคนเมื่อกี้แล้ว มีเพียงแก้วโกโก้แก้วเดิมวางทับเงินแบงก์ใหญ่อยู่บนเคาท์เตอร์
สองศรีพี่น้องหันมาสบตากันอย่างงงๆ โกโก้แก้วละพันเหอะครับท่าน แหม่ๆถ้าขายได้แบบนี้วันละสองสามแก้วก็พออยู่ได้แล้วนะ ไม่ต้องเหนื่อยด้วย
============
จบตอนแรก==============
แหะ แหะ ในขณะที่กำลังจิตตกสุดขีด
ข้าพเจ้าหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ แล้ว....แล้วพล็อตมันก็มา
ตั้งใจให้เป็นเรื่องสั้น(จริงๆนะ) จะสั้นไรยังไง ฝากติดตามต่อไปด้วยขอรับ
คิดถึงทุกคนจัง