ึ7. (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นเช้าวันพระ สุริยาต้องตื่นแต่เช้าหุงข้าว ทำกับข้าวสำหรับไปทำบุญที่วัด ส่วนเด็กสองคนลูกพี่ตั้ม ออกไปโรงเรียนตั้งแต่หกโมงเช้า ไม่ทันกินข้าวกินปลาหรือช่วยแบ่งเบางานใด ๆ เหมือนเมื่อเขายังเป็นเด็กเช่นนั้น
ด้วยเหตุนี้ ป้าจึงเปรย ๆ ว่า “กลัวเด็กสมัยนี้เหลือเกิน ไม่ทันมันหรอก มันพูดอะไรก็ต้องว่าไปตามนั้น คิดดูเถอะ ยะ เด็กผู้หญิงสองคนในสมัยที่โลกมันเป็นอย่างนี้..กับสื่อแบบนี้ ป้ากลัว อย่างไรก็ช่วยอบรมหลานให้ป้าด้วยนะ เตือนกันได้ก็เตือน มอสามกับมอหนึ่ง กำลังดีเลยเชียว”
เขาเอง บางเรื่องก็ต้องถืออุเบกขา เพราะมันเกินกำลังที่จะเข้าไปจัดการ แต่เมื่อสวดมนต์ไหว้พระ ก็อดที่จะแผ่ส่วนบุญ และแผ่เมตตาจิตให้ไม่ได้ ปรารถนาเห็นเด็กสองคนอยู่รอดปลอดภัย มีดวงปัญญาสอนตนให้เดินถูกทาง ประคับประคองตนให้เป็นหลานที่ดี ให้ปู่ย่าพ่อแม่ได้พึ่งพิง หากมันไม่เป็นตามนั้นคงต้องวาง ด้วยเหตุนี้ บางครั้ง หลายคนมองว่าเขาเป็นเฉื่อยชา ไร้อารมณ์
ที่ศาลาวัด เนื่องด้วยวันพระไม่ตรงกับวันหยุดงาน ผู้คนบนศาลาจึงน้อยเต็มที นึกถึงสมัยยังเยาว์เมื่อไปทำบุญกับแม่ในวันพระ คนเต็มศาลาทีเดียว เมื่อมาบวชเณรอยู่วัดในเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับวัดเป็นอีกอย่าง..
“โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว พระก็ต้องปรับตัวตาม ทำงานอย่างที่พระอาจารย์ว่า ก็ถือว่าได้ช่วยกัน”
กำลังใจเพิ่มพูน ยิ่งมาเห็นรอยยิ้มของผู้ที่เคยร่วมเดินทางมองมาที่ตนในยามอยู่บนศาลา จึงเห็นความเป็นมิตรต่อกัน บ้างก็ทักว่าวันพระที่แล้วหายไปไหนมา จึงได้บอกเล่าเรื่องที่ไปสำรวจ วัดและที่เที่ยวในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ให้เหล่าป้า ๆ ได้น้ำลายไหล เตรียมเก็บเงินเพื่อเดินทางไปดูเมืองสามหมอก พระธาตุกองมูด้วยกัน
“ป้าเมารถจะไปไหวรึ”
บ้างก็ว่า “เคยไปมาแล้ว ลูกพาไปสวยดี แต่ก็อยากไปใหม่”
เขารู้ว่าไปกับเขาเนื่องด้วยเหตุอะไร ไปเที่ยวกับลูก ลูกก็มีลูกมีเมีย มีชีวิตครอบครัวของตน จึงไม่ค่อยได้มาใส่ใจผู้เป็นแม่ หากแต่มาด้วยกับคนวัยเดียวกัน คุยเรื่องเดียวกันจึงมีความสุขมากกว่า แม้จะต้องจ่ายมากกว่าเดิมก็ตามที
ลงจากศาลาวัดก็ฆ่าเวลาโดยไปเดินห้าง ไปร้านหนังสือ ลึก ๆ ก็ปรารถนาจะมีสักวันที่หันมาเขียนเรื่องท่องเที่ยวเมืองไทยในมุมของพระศาสนาขึ้นมาบ้าง จะได้มีเงินแบบน้ำซึมบ่อทรายไว้กินยามแก่เฒ่าอย่างที่แสงทองว่าไว้
นึกถึงสาวเจ้ากับภาพน้ำตาคลอเบ้าแล้วต้องถอนหายใจออกมา ป่านฉะนี้ จะกลับจากปางจันทร์หรือยังหนอ ครั้นจะโทรไปหาก่อนก็ไม่ใช่วิสัยและถ้าใครอยากคบกับเขาจริง ๆ คงจะโทรกลับมาเอง
มือกำลังจะหยิบหนังสือของ อสท. มาเปิดอ่านเผื่อมีเรื่องที่ตรงกับใจ ก็จะซื้อเก็บไว้ หากไม่มีจะเพียงอ่านฟรี พลันโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ดูเบอร์ที่โชว์เป็นของเจ้าอ้อย สาวอีสานรอรัก กดรับเอ่ยถามเสียงเบา ๆ ด้วยไม่สะดวกคุย
“อยู่ที่ไหนพี่ยะ ร้านหนังสือใช่ไหม ไปดูหนังสือ.. เดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วก็เปิดไปหน้าที่... เดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะ ต่อไปทัวร์คงจะขายดีกว่าเก่าแน่” ว่าแล้วสาวเจ้าก็วางสายไป ทิ้งให้เขางุนงง กังวลว่าเนื้อหาด้านในเป็นเรื่องอะไร
พอเปิดไปเป็นภาพของตนกับรุ่งโรจน์กำลังจูงข้อมือกันข้ามถนน..ข้อความข้างใต้ภาพบอกว่า
“สงสัยอยากจะลองมีชีวิตแบบโลโซบ้างเป็นแน่ รุ่งโรจน์ จูงมือหนุ่มหน้าเข้ม พากันข้ามถนน ซื้อตั๋ว บขส. ปอ. 2 กลับ กทม.”
และยังมีภาพที่รุ่งโรจน์เกาะบ่าเขาขณะยืนซื้อตั๋วรถ แถมเป็นภาพระยะซูมใกล้ใบหน้าทั้งคู่ จึงรู้ว่าเป็นใคร
ใจ ณ ขณะนั้นเต้นไม่เป็นส่ำ แม้รู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร แต่ก็อดที่จะระแวงสายตาของคนที่มองมาไม่ได้ และใจก็บอกว่าเขาเหล่านั้นคงไม่ได้อ่านเรื่องในเล่มนี้ทุกคนหรอกหรือถ้าอ่าน เขาคงจำไม่ได้หรอก ถือหนังสือเล่มนั้น จ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน เดินทางขึ้นรถเมล์กลับบ้านนึกเป็นห่วงอีกคนเหมือนกัน ข่าวทำนองนี้ กับข่าวทำนองเก่า ๆ เลือกอย่างหลังคงจะดีกว่ากัน เข้าใจอารมณ์ของคนที่ถูกป้ายสีจากสื่อในทันที เรื่องเป็นอย่างหนึ่งแต่กลับตีความเป็นอีกอย่าง รู้ไหมว่าได้สร้างเวรสร้างกรรมติดตัวไว้แล้ว
และทันทีที่กลับถึงบ้านก็พบรถโตโยต้า คัมรี่ สีดำสนิทจอดติดเครื่องนิ่งอยู่หน้าบ้าน..พอเดินไปถึงประตูรั้วบ้านตน ก็อดชะโงกหน้าดูในรถซึ่งติดฟิล์มสีดำสักหน่อยไม่ได้..ไม่เห็นอะไร จึงไขกุญแจบ้าน ถือหนังสือเล่มนั้นเข้าไปนั่งอ่านที่โคนต้นมะม่วง
ถ้าพวกกลุ่มกรี๊ดสลบอ่านเจอคงได้โทรมาแซวแล้วเป็นแน่ แต่นี่ยังเงียบอยู่ หรือไม่ก็เข้ากะทำงานหาเงินไว้สร้างชีวิตจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา หรือหนังสือพวกนี้จะทำให้ต่อมวินิจฉัยโลกบกพร่องหรือเปล่า คิดแล้วก็อดที่จะยิ้มกับภาพนายรุ่งโรจน์ขณะเกาะบ่าตัวเองไม่ได้
และสุริยาต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นคนในภาพถ่ายมายืนกระแอมไออยู่ที่หน้าประตู
“บ้านคุณสุริยาหรือเปล่าครับ” รุ่งโรจน์ในวันนี้ ผิดกับวันที่เห็นในปางจันทร์ วันนี้เขาดูหล่อเนี้ยบในมาดหนุ่มเพลย์บอยด้วยสวมแว่นสีชา ผมหวีเรียบไม่กระดิก เสื้อผ้าทรงทันสมัยโทนสีดำ รัดรูปสมส่วน
สุริยารีบเดินไปที่ประตูบ้านยิ้มรับอย่างอาย ๆ ด้วยบ้านที่ตนอยู่อาศัย แสนจะธรรมดาเหลือเกิน
“หวัดดี” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรรุ่งโรจน์ก็พูดสวนขึ้นมาว่า
“คิดถึงผมหรือเปล่า” เขาพูดได้หน้าตาเฉย
คนต้องตอบซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กับกางเกงสแล็คสีน้ำตาล ทำหน้าปั้นยาก คล้ายจะไม่ได้ยินคำถามนั้น
“เข้าบ้านก่อนซิ” พอเปิดประตูได้ เขาก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับเอามือโอบไปที่เอว พาเจ้าของบ้านเดินไปนั่งที่โต๊ะหินใต้ต้นมะม่วงคล้ายคนคุ้นเคย
“วันนี้วันพระไปวัดมาซิ”
“รู้ด้วย” สุริยาทำหน้างง ๆ ก่อนจะถามกลับไปว่า
“แล้วคุณมาถูกได้อย่างไร”
“ผมก็ถามที่วินมอเตอร์ไซค์เอาซิ ถามว่าหนุ่มหน้ามนคนจัดทัวร์เถื่อนนามสุริยา บ้านอยู่ตรงไหนเห็นร้องอ๋อกันเป็นทางเลย แสดงว่าดังในแถบนี้”
น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าวันนี้อารมณ์ดีเหลือเกิน
“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้นะ รอสักครู่” ว่าพลางก็ลุกขึ้นเดินเข้าบ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะรังเกียจน้ำดื่มจากขวดพลาสติกขุ่นนี่หรือเปล่า แต่ก็เอาเถอะเท่าที่รู้ในวันเก่า เขาเป็นคนอยู่ง่ายนอนง่าย พอเปิดตู้เย็นพบมะม่วงในลิ้นชัก จึงยืนปอกเปลือกแล้วเฉาะใส่ชามถือออกไปด้วย
พอไปถึงพบอีกคนกำลังอ่านหนังสือเจ้าปัญหาตรงหน้าอยู่พอดี
“คือ..”..สุริยาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร
“ดังใหญ่แล้วคุณกับผม นี่คงจะให้คนอ่านตีความว่าผมเป็นเกย์อีกแน่ ๆ เลย ก็ดี เป็นเกย์ก็ดี คุณว่าไหม” ท้ายประโยคไม่น่าที่จะหันมาถามอย่างนั้น..เขาจึงเลือกที่จะไม่ตอบดีกว่า เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกย์เป็นอย่างไร เห็นแต่นายต้องพูดบ่อย ๆ ว่า ไม่แน่อาจจะตัดสินใจทำงานในบาร์เกย์เพราะว่าเงินดีกว่าอยู่ร้านอาหารกึ่งเธค
“ข่าวออกมาแบบนี้พ่อแม่คุณไม่ว่าอะไรรึ”
“ท่านชอบ..เดี๋ยวท่านก็หาจ้างดาราหน้าใหม่ ๆ ที่กำลังเป็นดาวรุ่ง มาให้ผมควงเล่น ๆ สักเดือนสองเดือน ให้ผมพาเจ้าหล่อนออกงานต่าง ๆ กลบข่าวนี้ หลังจากนั้น ก็สุดแต่ผมกับพวกคุณเธอว่าจะสานความสัมพันธ์กันไปถึงไหน แต่ถ้าจะตกล่องปล่องชิ้นกันจริง ๆ ก็ถูกห้ามอีก เพราะคุณแม่ผมต้องการให้”
“ได้กับคนในกลุ่มเศรษฐีด้วยกัน” สุริยาต่อให้ อีกคนพยักหน้าก่อนจะคว้ามะม่วงมันมาเคี้ยวตุ้ย ๆ โดยที่สุริยาไม่ต้องคะยั้นคะยอให้กิน
“วันนี้ว่างไหม ไปเที่ยวกันเถอะ”
“เพิ่งจะขึ้นหราในหนังสือ ยังกล้าเดินกับผมอีกเรอะ เดี๋ยวก็มีรอบสอง กับเล่มอื่น ๆ อีกหรอก”
“ผมไม่สนใจหรอก รึคุณอายที่จะไปกับผม” คนถามมองหน้าตรง ๆ อีกคนจึงได้หลบสายตา
“ถ้าผมเป็นเกย์จริง ๆ คุณกลัวผมหรือเปล่า”
คราวนี้สุริยา สบตาเขา ยิ้มให้ไม่เต็มปาก
“คุณไม่ใช่เกย์หรอก คุณเป็นผู้ชาย ผมรู้”
“ขอบคุณที่คุณคิดอย่างนั้น” พูดจบเขาก็ถอนหายใจออกมา
ก่อนจะพูดว่า
“ตกลงผมติดเงินคุณเท่าไหร่ วันนี้ผมเอาเงินมาใช้คืนให้พร้อมดอกเบี้ย เออ คุณสุริยา มีคนส่งกระเป๋าเงินไปคืนผมที่บ้าน โชคดีชะมัดเลย ไม่ต้องทำบัตรใหม่ นี่ก็ไม่ยอมบอกชื่อแซ่มาด้วย ผมอยากจะสมนาเขาสักหน่อย แต่ช่างเถอะ..เขาคงไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใด ๆ”
“คนดีที่ทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนยังมีอยู่”
“คุณล่ะ หวังสิ่งใดตอบแทนบ้างไหม” รุ่งโรจน์ย้อนถาม
“หวังซิ หวังว่าความดีที่ทำกับคนอื่น ๆ แล้วคนอื่น ๆ จะคิดทำดี ๆ เพื่อคนอื่น ๆ บ้าง”
“ฟังเข้าใจยากจัง” รุ่งโรจน์ว่าพลางดึงแบงก์พันออกมาให้สามใบ
“นี่ผมใช้หนี้คุณ” เขายื่นเงินมาตรงหน้า สุริยายิ้มให้ก่อนจะดึงมาเพียงสองใบ
“แค่นี้แหละ ที่คุณติดผม เออ เสื้อผ้าคุณด้วยซิอยู่กับผมจะเอาไปไหม”
รุ่งโรจน์ไม่ตอบกลับยัดเงินอีกพันใส่มือให้
“จริง ๆ ผมติดหนี้บุญคุณ คุณมาก ๆ นะสุริยา ชีวิตผมทั้งชีวิตทีเดียว ผมไม่ได้บอกคุณหรอก ตอนที่รถล้มไปแล้ว ผมกลัวตายขนาดไหน ผมกลัวว่ามอเตอร์ไซค์จะระเบิดด้วยซ้ำ กลัวว่าหนามจะทิ่มลูกตา หรือแทงฝังไปในเนื้อ กลัวว่างูมันจะมารัดผมหรือเปล่า กลัวว่าไม่มีใครผ่านมายกรถขึ้นแล้วผมจะเป็นอย่างไร วันนั้นจะว่าคุณให้ชีวิตใหม่กับผมก็ได้”
“ถ้าเป็นคนอื่นเขาก็ต้องช่วยคุณเหมือนกันแหละครับ เหตุบังเอิญ คุณไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”
“คุณเป็นคนช่วย คุณอาจไม่คิดอะไร ทำหน้าที่มนุษย์ให้เสร็จสิ้น แต่ผมนี่ซิ คนถูกช่วย มันรู้สึกติดค้าง อยากตอบแทนคุณเท่าที่ผมจะทำได้” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจัง
“คุณคิดช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก อย่างที่ผมว่าไว้ แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว” สุริยาตัดกังวลอีกคนหนึ่งไป
“สิ่งนั้นผมทำอย่างแน่นอน แต่กับคุณคงเป็นพิเศษนะครับ ต่อไปไม่ว่าผมจะทำอะไรดี ๆ กับคุณ หรือจะมีข่าวในทำนองนี้อีกคุณอย่าได้กังวลไปเลย ว่าผมจะทำให้คุณเสื่อมเสีย เราสองคนรู้กันสองคนก็พอแล้ว ว่าผมดีกับคุณหรือช่วยเหลือคุณเพื่ออะไร”
สุริยางุนงง ไม่รู้ว่าเขาจะมาตอบแทนอะไรให้ เท่าที่ให้เงินคืนมาเกินหนึ่งพัน นี่ก็เกรงใจจะแย่แล้ว
“วันนี้ผมจะพาคุณไปหาแสงทอง ผมโทรนัดกับเธอแล้ว ไปเถอะ ไปเอารูปไปให้เธอด้วย” ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็ลุกขึ้นดึงมือสุริยา ให้ลุกขึ้นตาม แล้วเกาะไหล่พาเจ้าของบ้านเดินเข้าบ้าน สุริยารู้ว่าอาการนั้นคือต้องการให้พาไปเอารูปมาดู สุริยาจึงพาเดินไปที่ห้องของตน ซึ่งเก็บกวาดจัดเรียงหนังสือและเสื้อผ้าของใช้ ที่นอน เป็นระเบียบตามนิสัยที่ถูกอบรมสั่งสอนมาจากพระอาจารย์
‘ดูคนใจสะอาด ก็ดูจากข้าวของเครื่องใช้ของเขา’
“ห้องคุณสะอาดจัง แต่เล็กไปหน่อยนะ” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าที่สวมมาจะยับหรือไม่ สุริยาเอื้อมมือเปิดพัดลมตัวเล็กให้ แล้วก็เปิดตู้หยิบเสื้อผ้าของอีกคนยัดใส่ถุงกระดาษห้าง
“เสื้อผ้าของผมเอาไว้ที่นี่แหละครับ เผื่อวันหลัง ผมจะมาค้างด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้นสุริยาชะงักมือ รู้สึกว่าใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ขอผมดูรูปถ่ายของเราดีกว่า ผมอยากเห็น” รุ่งโรจน์ถอดแว่นวางไว้ นอนลืมตาใสแหนวมองมาที่อีกคน สุริยาส่งรูปถ่ายให้ ในระยะเอื้อมมือ แต่รุ่งโรจน์กลับพูดว่า “มานั่งดูด้วยกันใกล้ ๆ แล้วอธิบายด้วยว่าคุณไปที่ไหนมาบ้าง” เขาจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไปนั่งอยู่ข้าง ๆ คนที่นอนเหยียดยาว พลางเปิดดูรูปไปด้วย
“บ้านนี้ บ้านป้าคุณใช่ไหม อาศัยป้าอยู่ซิ อยู่กันกี่คน” เมื่อสุริยาตอบคำถามทุกข้อแล้ว รุ่งโรจน์จึงว่า
“ผมมีคอนโดอยู่ละแวกนี้หนึ่งห้องของพี่ชาย คุณสนใจไหม”
“คงไม่หรอก ผมคงไม่มีปัญญาไปเช่าห้องแพง ๆ อยู่หรอก”
“ใครว่าผมจะให้เช่า ผมจะจ้างคุณให้ไปอยู่คอยทำความสะอาดให้ ดูแลให้ เผื่อบางทีผมไม่อยากกลับบ้าน ผมก็จะมานอนที่นั่น”
“อย่าเลยครับ ผมเกรงใจ” น้ำเสียงสุริยาห่างเหินไม่เหมือนวันวาน ทีนี้รุ่งโรจน์จึงลุกขึ้นนั่งจับมืออีกคนหนึ่งไว้
“บ้านคนอื่น คุณอึดอัด ผมรู้ ไปอยู่บ้านผม คอนโดหลังนั้นเป็นชื่อผม พี่ชายผมซื้อไว้ตั้งแต่สมัยยังไม่มีครอบครัว มาดูแลโรงงานแถวนี้ ก็เก็บไว้หลับนอนยามทำงานดึก ๆ ดื่น ๆ พอพี่เขาแต่งงาน เขาก็โอนให้ผม คุณไปดูก่อนแล้วกัน รับรอง ผมว่าคุณต้องชอบอย่างแน่นอน ที่นั่นนะ มีบางอย่างที่คุณอยากมี อยากรู้ซิว่าอะไร”
สุริยาทำหน้าสงสัย
“อยากรู้คุณก็ต้องไปดูกับผม ปะ วันนี้เราไปหาไอ้หนูแสงทองกันผมนัดไว้แล้ว”