“ผม” นักศึกษาคนหนึ่ง ที่ชื่นชอบการอ่านและเขียนนิยายเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อมีเวลาว่าง ผมจะต้องมานั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ ผมทำแบบนี้มาประมาณ 3 ปีแล้ว และวันนี้ก็เป็นอย่างเช่นทุกวันที่ผ่านมา
ผมนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์กำลังอ่านนิยายเรื่องหนึ่งอยากหมดอาลัยตายอยาก ผมกำลังอ่านนิยายเรื่องหนึ่งที่เป็นแนวดราม่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบนิยายแนวนี้ อ่านแล้วรู้สึกท้อแท้ และเศร้าโศกตามตัวละครในเรื่อง แต่เรื่องนี้ผมอ่านทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องแนวดราม่า แต่เพราะที่ผมอ่านเพราะว่า เรื่องนี้แต่งโดยนักเขียนที่ผมติดตามผลงานมาโดยตลอด
ผมชอบนักเขียนคนนี้เพราะการใช้คำของเขา เขาใช้คำได้สละสลวยสวยงาม ไม่ต้องมีคำพูดเยอะแยะ แต่สามารถสื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้เป็นอย่างดี
หากแต่นักเขียนคนนี้ชอบแต่งเรื่องให้เป็นแนวดราม่าเสียทุกครั้งไป ซึ่งผมก็ต้องตามอ่านทุกครั้งไป พอเจอชื่อนักเขียนคนนี้ทีไร รู้สึกหัวใจมันกระชุ่มกระชวย แต่มันก็แค่เห็นชื่อ พอเจอเนื้อเรื่องที่ดราม่าสุดขีดผมก็หมดแรงที่จะกระชุ่มกระชวยต่อทันที
ผมนั่งอ่านเรื่องที่นักเขียนคนนี้แต่งเป็นเรื่องที่ 7 นั่งอ่านทุกคำพูด อ่านไปก็ร้องไห้ไป เพื่อน ๆ ของผมชอบหาว่าผมเป็นคนบ้า แต่พวกเขาไม่รู้ความรู้สึกของผมหรอก ผมปล่อยให้พวกนั้นว่าผมไป ผมไม่สนใจหรอก แต่ถ้าใครมาว่านักเขียนในดวงใจของผมล่ะก็.....เคือง!!
วันนี้หลังจากที่ผมนั่งอ่านนิยายของนักเขียนที่ผมชอบจบ ผมก็รู้สึกอยากจะแต่งนิยายขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทั้ง ๆ ที่ในหัวของผมตอนนี้ไม่มีแม้พล็อตเรื่อง ผมเปิดโปรแกรม Microsoft Word ขึ้นมา เพื่อพิมพ์สิ่งที่ผมอยากจะพิมพ์ลงไปบนหน้ากระดาษ ตอนนี้ผมกลับคิดอยากที่จะพิมพ์เรื่องราวของนักเขียนคนหนึ่ง ที่มีความรัก........
ผมนั่งพิมพ์ไปได้ครึ่งหน้าก็เกิดความรู้สึก “ตัน” ขึ้นมากะทันหัน จึงเปิดโปรแกรม Windows Live Messenger ขึ้นมาแก้ขัด แต่แล้วก็มีหน้าต่างเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ว่ามีเมล์แอดมาหาผม ผมไม่รู้ว่าใคร แต่ก็กดรับไป ผมเห็นเมล์เมื่อสักครู่ออนไลน์อยู่ ผมจึงเข้าไปทัก
“สวัสดีครับ”ผมพิมพ์คำทักทายก่อนจะยิงคำถามยอดฮิต
“ชื่ออะไรเหรอครับ เห็นแอดมา”
“ชื่อ สน ครับ”ตอนนี้ผมกำลังมีอัตราการสูบฉีดเลือดมากอยู่แน่ ๆ เพราะคนที่ชื่อ “สน” เป็นชื่อนักเขียนในดวงใจของผม แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช่หรือไม่ เพียงได้อ่านคำว่า “สน” ผมก็รู้สึกดีใจมาก ๆ แล้ว
“ครับ ผมชื่อวิทย์ครับ”
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“ครับ”แล้วประโยคก็หยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ นานพอสมควรถึงจะมีการสนทนาต่อ
“คือผมเห็นคุณมาอ่านนิยายของผมบ่อย ๆ ผมเลยอยากจะทำความรู้จักน่ะครับ ขอโทษที่รบกวนเวลาของคุณ”แสดงว่าผมคิดถูกแล้วจริง ๆ เขาคือ “สน” นักเขียนนิยายในดวงใจของผม ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะอยากคุยกับผม ถ้าใครได้เห็นผมตอนนี้เขาคงจะหาว่าผมบ้าเป็นแน่
“ครับ ผมติดตามนิยายคุณทุกเรื่องเลย ชอบมาก ๆ ครับ...”ผมก็ร่ายยาวไปเรื่อย คุยไปคุยมาถึงรู้ว่าเขากำลังเขินที่คุยกับผมอยู่ ที่เขาเงียบหายไปนานเพราะเขาไม่กล้าที่จะพิมพ์ถามหรือคุยอะไรกับผม และได้รู้อีกว่าเขาทำงานประจำแห่งหนึ่งใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้นัดหรือทำอะไรมากกว่าคุยในโปรแกรมนี้หรอกครับ ทุกอย่างปกติ
ผมคุยกับพี่สนแทบทุกวัน คุยกันทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องเรียน การงาน หรือแม้แต่ความรัก พี่สนบอกว่าเขาเคยมีคนรักอยู่ครั้งหนึ่ง แต่เขาก็เลิกกันเพราะคนรักของเขานอกใจไปมีคนใหม่ พี่สนจึงครองตัวเป็นโสดตลอดมา จนกระทั่งวันนี้ การที่คุยกับพี่สนก็ทำให้เกิดสายใยเล็ก ๆ ทอขึ้นมาอย่างช้า ๆ วันใดถ้าผมไม่ได้คุยกับพี่สน ผมจะรู้สึกโหวง ๆ ขึ้นมา ราวกับชีวิตนี้ไม่มีความสุขเอาเสียเลย แต่แล้วพี่สนเขาก็ทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคาดหวังมาตลอดว่าจะเป็นจริง
“วิทย์ พี่ขอเบอร์หน่อยสิ คือ....เผื่อพี่มีธุระหรือไม่ว่างจะเล่นคอมฯ พี่จะได้โทรหาวิทย์ได้”ผมยิ้มแก้มแทบปริ เมื่อรู้ว่าพี่สนจะขอเบอร์โทรศัพท์ของผม นั่นหมายความว่า ผมจะสามารถสนิทกับพี่สนได้อีก
ตั้งแต่วันที่พี่สนขอเบอร์โทรศัพท์ของผมไป ผมก็ได้คุยกับพี่สนทุกวัน ขนาดคุยกันทางโปรแกรมแล้ว ก็ยังจะต้องคุยทางโทรศัพท์อีก ผมกับพี่สนเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพี่สนทำในสิ่งที่ผมไม่คาดฝันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“วิทย์ คือพี่....เอ่อ.....ไหน ๆ เราก็คุยกันขนาดนี้แล้ว พี่ก็.....เอ่อ......มาเจอกันหน่อย....จะดีมั้ย”ประโยคที่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แสดงให้รู้ว่าพี่สนเขินมากเวลาจะขอเจอผม แต่ผมสิ ปากค้างไปแล้ว แต่ผมก็พอจะรวบรวมสติให้ตอบตกลงพี่สนไปได้ มันช่างยากเย็นเหลือเกิน
และวันนี้ก็เป็นวันที่ผมและพี่สนจะมาพบเจอกันเป็นครั้งแรก ผมตื่นเต้นมาก ๆ ผมเลือกใส่ชุดที่ดูดีที่สุดของผม เพื่อพี่สน ผมคิดว่าจะมารอพี่สน แต่ก็ไม่ทันแล้ว พี่สนโทรมาหาผมบอกว่าถึงแล้ว พี่สนบอกถึงลักษณะชุดที่พี่เขาใส่ เสื้อยืดสีฟ้า กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ ผมมองหาพี่สนได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะพี่สนเป็นคนที่สูง และดูดี เป็นที่สะดุดตาต่อใครหลาย ๆ คนที่ผ่านไปมา
“สวัสดีครับ”ผมรู้สึกเกร็งขึ้นมากะทันหัน เพราะพี่สนหน้าตาดีมาก รู้สึกเวลาอยู่ใกล้พี่สนแล้วรัศมีผมจะน้อยลงทันตา
“สวัสดีครับ วิทย์”พี่สนทักทายพร้อมกับโปรยยิ้มหวานมาให้ผม ผมนี่แทบจะละลาย ผู้ชายอะไรยิ้มหวานได้ขนาดนี้
และพวกผมก็เดินเที่ยวกันตามประสา ดูท่าทางพี่สนเองก็คงจะเขินไม่ได้น้อยไปกว่าผมสักเท่าไรนัก ระหว่างที่เราเดินเที่ยวนั้นก็มีทั้งผู้ชายผู้หญิงมองมาที่ผมและพี่สนตลอด พี่สนดูดีมากจริง ๆ เมื่อถึงเวลาค่ำ ๆ ผมก็ต้องขอตัวกลับก่อน พี่สนอาสาจะไปส่งผม แต่ผมก็เกรงใจ วันนี้ทำให้ผมได้เห็นว่าเวลาพี่สนงอนแล้วน่ารักขนาดไหน ผมเลยต้องยอมให้พี่สนไปส่งผม เพราะไม่อยากให้พี่สนงอนผม ก่อนที่จะลงจากรถ ผมก็ต้องช็อกกับสิ่งที่พี่สนบอกกับผม
“วิทย์ คือ..จะเป็นอะไรมั้ย ถ้าพี่อยากจะ....เอ่อ....อยากจะคบกับวิทย์ ในฐานะ....เอ่อ คนรักน่ะ”พูดเส็จพี่สนก็อายม้วน หน้าแดงแจ๋ ผมก็ได้แต่อึ้งกับสิ่งที่พี่สนบอก
“ผม..ตกลงครับ”ผมก็ได้บังคับให้ปากที่ชอบค้างตลอดของผม ตอบพี่สนไป วันนี้ผมโชคดีจังเลยนะ
ผมเข้าห้องเปิดคอมพิวเตอร์และนั่งพิมพ์นิยายของผมต่อ ตอนนี้มันไม่ “ตัน” แล้ว ผมสมองปลอดโปร่งสุด ๆ ผมนั่งพิมพ์จนถึงตีสอง ได้ยินเสียงข้อความเข้า จึงกดเปิดอ่าน แล้วมันก็ทำให้ผมมีความสุขมาก ๆ อีกครั้ง
“ฝันดีนะครับ ที่รักของสน”
ตอนนี้ผมคบหาดูใจกับพี่สน นักเขียนนิยายในดวงใจของผม ผมก็ไม่ได้อินเลิฟอะไรกันขนาดนั้น เพราะพี่สนเองก็เป็นผู้ใหญ่ ไม่ค่อยจะทำอะไรเด็ก ๆ อย่างที่รุ่นของผมทำ คู่ของผมไม่ได้หวาน แต่ก็ไม่ได้จืด ไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกดีต่าง ๆ ยังคงเหมือนเดิม และเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ พี่สนยังคงนิสัยดีและน่ารักสำหรับผมอยู่เสมอ ผมนัดเจอกันอาทิตย์ละครั้ง นอกนั้นจะคุยผ่านทางโปรแกรมและโทรศัพท์ ถามว่าผมน้อยใจบ้างหรือเปล่า ผมก็ตอบได้เต็มปากว่าไม่ เพราะการเจอหน้าหรือการได้อยู่ด้วยกัน นั้นไม่ได้หมายความว่าความรักที่ผมมีต่อพี่สนจะลดลง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมคิดถึงพี่สนมาก ๆ ผมไม่ได้เป็นคนที่พูดหวาน แต่ทุกครั้งที่ผมบอกพี่สนว่าคิดถึง แสดงว่าผมคิดถึงพี่เขาจริง ๆ มันมากจนต้องบอกพี่สนออกมาเป็นคำพูด ทางพี่สนเองก็ไม่ได้หวานเหมือนกับผม แต่พี่สนจะแสดงออกทางร่างกายมากกว่า ว่าเป็นห่วงหรือคิดถึงผม
ทุกวันนี้ผมกับพี่สนแสดงความรักกันด้วยคำพูด และการกอดกัน กอดเพื่อเน้นย้ำให้รู้ว่าคิดถึงและห่วงใยเสมอ ไม่มีอะไรที่เกินเลยไปกว่านี้ พี่สนให้เหตุผลว่า เพราะผมยังเด็กอยู่ ผมยังเรียนอยู่ ยังไม่อยากจะให้ทำอะไรแบบนั้น เพราะผมจะเป็นฝ่ายเสียหาย ทางผมเองก็คิดว่าเพราะผมเด็กในสายตาเขาอยู่ ผมจึงอยากจะให้ผมมีการงานทำก่อน
ตอนนี้นิยายของผมกลายเป็นไดอารี่ของผมไปเสียแล้ว ทุกวันผมจะต้องมานั่งพิมพ์ถึงเรื่องราวระหว่างผมกับพี่สน คู่ของผมเคยทะเลาะกัน แต่ไม่ได้รุนแรงมาก เพราะพี่สนจะใช้เหตุผลในการคุย คิดอย่างเป็นกระบวนการว่าทำอย่างไรปัญหานี้ถึงจะจบ ผมนับถือพี่สนจริง ๆ
ผมคบกับพี่สนไปเรื่อย ๆ จนผมเรียนจบปริญญาตรี พี่สนก็ยังปฏิบัติกับผมเช่นเคย คอยดูแลผมเสมอ ผมเคยมานั่งคิดว่า ผมได้ทำอะไรให้พี่สนบ้าง เพราะพี่สนช่างดีกับผมเหลือเกิน จนพี่สนดูออกว่าผมคิดอะไรอยู่ จึงบอกผมว่า
“วิทย์ พี่ไม่ได้ต้องการอะไรจากวิทย์นอกจากความรักเลย พี่รักวิทย์มาก พี่ถึงอยากดูแลวิทย์ตลอด อย่าได้น้อยใจพี่เลย”
ผมก็ได้แต่ดูแลพี่สนบ้าง เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดี ผมรักพี่สนมาก มันจะไม่มีทางลดลง มันจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ผมสัญญา
ผมหางานทำเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเรียนมา เงินเดือนอาจจะไม่มาก แต่ผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมทำ ผมกับพี่สนก็คบกันเหมือนเดิม แสดงความรักกันมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย คือผมได้จูบพี่สนแล้ว นี่คือความก้าวหน้าของความรักและการงานของผม
และวันนี้ เป็นวันครบรอบการคบกันระหว่างผมกับพี่สน พวกผมเลือกที่จะหยุดจากการทำงาน เพื่อไปพักผ่อนด้วยกันที่ต่างจังหวัด
ความรักของผมอาจจะไม่ได้โดนเด่น อาจจะไม่มีเซ็กส์เพื่อให้ตื่นเต้นเร้าใจ แต่ผมกลับมีความสุขมาก ๆ เพราะผมได้รับความรักอย่างท่วมท้นจิตใจของผม คู่ของผมไม่ได้สมบูรณ์แบบ คู่ของผมไม่ได้หวานปานน้ำผึ้ง ออกจะเฉื่อย ๆ แต่ผมกลับไม่รู้สึกเบื่อกับสิ่งที่เป็นอยู่ ความรักสำหรับผม ไม่จำเป็นต้องมีเซ็กส์ ไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันทุกวัน ไม่จำเป็นต้องแสดงออกต่อหน้าสาธารณชน แต่ผมกับพี่สนต่างก็รับรู้ได้ว่า เราต่างมอบรักให้กันมากมายเพียงใด เท่านั้นก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ.........
นิยายของผม เปรียบเสมือนไดอารี่เล่มน้อย ๆ ของผม ซึ่งตอนนี้มันก็ได้เปิดให้กับคนอื่น ๆ ได้อ่าน บางคนอาจจะไม่ชอบ บางคนอาจจะชอบ แต่สำหรับผมแล้ว พี่สนเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของผม
~รักพี่สนนะครับ~
วิทย์