ตอนที่ 13 สิงหาถึงกุมภา ทราบแล้วแต่ไม่เปลี่ยน
ผมแพ้!!
ไม่รู้จะเรียกว่าแพ้หรือเถียงไม่ทันกันแน่ แต่อาจจะเป็นไปได้ว่าผมมึนเมาในเหตุผลที่ยัยมิยกขึ้นมาอ้าง สถาปนิกที่มีฐานะเป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆถึงต้องมาใช้มหาวิทยาลัยแทนห้องทำงานชั่วคราว
ต้นเหตุมาจากคำสั่งของน้องสาวเพียงคนเดียว ร้อยพันเหตุผลที่มันเอามาอ้าง มีผมเข้าไปเกี่ยวในฐานะที่ต้องรับผิดชอบ
“พี่สิงห์ต้องรับผิดชอบ”
ผมใจหายวาบ สันหลังหวะคิดไปถึงว่าไอ้ปากแดงมันฟ้องยัยมิเรื่องที่เราเล่นจ้ำจี้มะเขือเผากันคืนนั้น ผมเตรียมเถียงหัวชนฝาว่าไอ้กุมภามันเมา ส่วนผมก็เคลิ้มไปกับรสเสน่หา ในหัวสมองผมหมุ่นติ้วๆ หาคำแก้ตัวต่างๆนานา
“เอ่อ.............”
ปากอ้าแต่คำพูดจุกอยู่ในหอคอยไม่ยอมออก
“ไม่รู้แหละ พี่สิงห์มีส่วนเกี่ยวข้อง พี่สิงห์ต้องรับผิดชอบ”
ผมลนลานกับน้ำเสียงยัยมิจนลิ้นพันกันนัวไปหมด อยากจะโพล่งออกไปใจจะขาดว่าถ้ามีใครสักคนกระโจนขึ้นมานั่งคร่อมตักอยู่ ไม่มีเวลาให้ได้ตั้งตัวก็ส่งจูบเข้ามาปรนเปรอจนหูอื้อหน้ามืดตามัว เด็กมันยั่วขนาดนั้น แล้วผมก็ห่างหายจากเรื่องอย่างว่ามานานขนาดนี้ อยู่เฉยๆไม่ตอบโต้อะไรกลับไปก็ช่วยเรียกผมว่าไอ้ไก่อ่อนเถอะ แล้วไอ้ปากแดงมันเป็นผู้ชายมันยังเข้าหาผมก่อนได้ แล้วถ้าผมจะตอบสนองกลับไปตามสัญชาตญาณบ้างมันจะแปลกอะไร
“พี่สิงห์ถ้าพี่ไม่รับผิดชอบก็ดูจะใจร้ายเกินไปแล้วนะ”
อะไรวะตอบช้านิดช้าหน่อยตัดพ้อกันเลวร้ายขนาดนี้ลยเหรอ แล้วคนที่มันอยากให้พี่มันรับผิดชอบเป็นพ่อของลูกมันนะนั่น
“เออๆ รับผิดชอบก็รับผิดชอบวะ”
ในเมื่อยัยตัวดีมันตีโพยตีพายซะผมเรียบเรียงคำอธิบายไม่ถูกขนาดนั้น ผมทำจริงผมก็ยอมรับ ถ้าไอ้เดือนสองมันเสียหาย ผมรับผิดชอบได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
“พี่ชายมิต้องเป็นสุภาพบุรุษอย่างนี้สิ ถึงแม้คนก่อเรื่องจะเป็นแฟนเก่าไปแล้ว แต่อย่างน้อยมันเกี่ยวข้องมาถึงพี่สิงห์ แอ่นอกรับแมนๆแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชาย”
“อะไรนะยัยมิ ที่แกร้องแรกแหกกระเชิงนี่เพราะมินตราหรอกเหรอ”
“ก็ใช่นะสิ”
แล้วที่ผมเหวอะหวะไปทั้งสันหลังนี่มันอะไรกัน สรุปแล้วผมต้องรับผิดชอบไม่ใช่เพราะเรื่องคืนนั้น แต่เป็นเพราะคนก่อเรื่องคือมินตรา ส่วนผมเข้าไปมีเอี่ยวในฐานะแฟนเก่าเท่านั้น
จะถอนหายใจหรือร้องไห้ดีวะ หรือทำมันไปทั้งสองอย่างพร้อมกันเลย อึดอัดใจจริงๆ
“แล้วทำไมพี่ต้องรับผิดชอบวะ”
“เพราะพี่มิน......”
“เป็นแฟนเก่าพี่ นี่ยัยมิ แกเองไม่ใช่เหรอเป็นคนบอกพี่ว่าเลิกกันไปแล้วไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว”
“งั้นเพราะพี่กุมเป็นพ่อของลูกมิ”
จะอ้าปากเถียงต่อ เพราะกำลังถือไพ่เหนือกว่ายัยตัวดี เจอเข้าไปไม้นี้ถึงกับอ้าปากค้าง มันเอาลูกมันมาอ้าง เอาหลานผมมาขู่
“แล้ว........?”
“พี่สิงห์อยากให้ลูกมิกำพร้าพ่อเหรอ”
อุวะ!!ยัยมิมันอัพเลเวลน้ำเสียงสั่นเครือและดูเหมือนเรื่องนี้จะยิ่งใหญ่จนผมจะนิ่งเฉยไม่ได้
“โอเคๆหยุดทำเสียงสั่นเสียงเครือก่อน พี่ฟังไม่รู้เรื่อง บอกว่าช่วยคือช่วยดิวะ แกไม่ต้องข่มขู่ก็ได้”
“มิไม่ได้แกล้งทำนะ”
เออ...พี่รู้ว่าเอ็งไม่ได้แกล้งทำเลยน้องรัก ตั้งใจทำและตีบทแตกซะขนาดนั้น น่าจะให้มันลงเรียนการแสดงจริงๆนะ
“แล้วจะเล่าได้ยัง”
“เพื่อนมิบอกว่าพี่กุมกำลังแย่”
“แย่ไงวะ”
มันอะสบายจะตาย ผมสิแย่ เช้าขึ้นต้องส่งมันไปเรียน แล้วไปรับกลับตอนเย็น ใครจะไปรู้ว่าหลังจากวางสายจากยัยมิไป ผมถึงขั้นต้องไปนั่งเฝ้ามันเหมือนอย่างวันนี้
“ก็พี่มินนั่นแหละ เอาเรื่องพี่กุมขึ้นที่ประชุมว่าพี่กุมไม่ให้เกียรติสถานศึกษา มีลูกขณะเรียนไม่พอ ยังเอาลูกมาอวดเหมือนเรื่องธรรมดาๆ อาจารย์มินตราเค้ากลัวนักศึกษาคนอื่นๆจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”
“มันขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผมไม่ได้เข้าข้างใครนะ เรื่องที่มีแฟนมีลูกในวัยเรียนมันไม่ใช่เรื่องสมควรหรอก แต่ผมนับถือน้ำใจไอ้เดือนสองมันอย่าง มันรักลูกของมัน รักทั้งๆที่อาจจะใช่ลูกของตัวเองเท่านั้น ไม่มีความผูกพันใดๆขณะที่ยัยมิกำลังตั้งท้อง แต่เลือดมันข้นกว่าน้ำจริงๆ มันมุ่งมั่นทุ่มเททุกอย่างตั้งแต่เห็นหน้าลูก สายตามันบ่งบอกว่ามั่นใจว่าคนนี้ใช่ลูกตัวเองแน่ๆ มันก็แค่พ่อที่เห่อลูกตัวเองเท่านั้น ใครๆเค้าก็เป็นกัน แต่ใครๆเหล่านั้นไม่ใช่นักศึกษา และไม่ได้พาลูกไปอวดเพื่อนในมหาลัยอย่างที่กุมภาทำ
จุดประสงค์ไอ้ปากแดงแค่จะพาลูกไปให้เพื่อนในกลุ่มมันเห็นหน้าเท่านั้น มันบอกผมว่าเพื่อนทุกคนรู้ว่ามันจะขอเข้ามารับผิดชอบเรื่องลูกกับยัยมิ มันรู้ว่าคนเราพลาดกันได้ แต่เด็กไม่ได้ผิดอะไร และลูกของมันจะต้องมีอนาคตและความอบอุ่นเทียบเท่ากับที่เด็กทุกคนพึงมี แต่เรื่องแบบนี้น่าสนใจยิ่งกว่ามีใครในมหาลัยติดนักกีฬาทีมชาติซะอีก ปากต่อปากบอกต่อๆกันไปมันเลยขยายเป็นวงกว้าง เหมือนโยนก้อนหินลงไปในน้ำแล้วเกิดคลื่นนั่นแหละ
แต่มินตราจะเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นตัดอนาคตเด็กทำไม?
“หึ พี่มินน่ะเกิดเสียดายชิ้นปลามันที่ตัวเองทำหลุดมือไปน่ะสิ หรือไม่ก็แค่หวงก้าง”
“ก้างกับชิ้นปลาที่แกว่ามันคือพี่เหรอวะ”
“ก็ใช่น่ะสิ ตัวเองทิ้งไปเองแท้ๆ”
“แกจะไปสะกิดแผลให้มันเป็นหนองทำไมอีกวะยัยมิ”
“มิขอโทษ แต่มิผิดหวังในตัวพี่มินจริงๆนะ เสียดายที่เคยรู้สึกดีๆด้วย”
ยัยตัวดีมันแค่เสียดายแต่ผมนี่เสียใจ เสียเซ้ล เสียอะไรหลายๆอย่าง เสียความมั่นใจในชีวิตไปชั่วขณะเลยทีเดียว
“เค้าทำในฐานะอาจารย์หรือเปล่า ไม่เกี่ยวกับพี่หรอกมั้ง”
“มิถึงอยากให้พี่สิงห์ช่วยไง”
“ช่วยยังไง”
“ช่วยไปรับไปส่งพี่กุมที่มหาลัยทีสิ”
“ทุกวันนี้มันก็ให้พี่ไปส่งมันบ่อยจะตาย พ่อของลูกแกจะมีรถทำมะเขืออะไรก็ไม่รู้”
“เอาน่า ประหยัดน้ำมันไง”
“แล้วมาเปลืองที่พี่เนี่ยนะ”
“บอสอย่าเพิ่งหัวเสียเรื่องเล็กๆแค่นี้สิคะ ฟังแผนการมิก่อน มิคิดทั้งคืนเลยนะ จากที่ฟังพี่กุมเล่าแล้ว มิมั่นใจว่ามิคิดไม่ผิดแน่ๆ”
นี่น้องสาวผมมันอินกับเด่นจันทร์มากไปหรือเปล่า แล้วมันคิดว่ามันกำลังช่วยคุณดี๋อยู่หรือไงวะ หลังจากที่มันคุยโทรศัพท์กับกุมที่โรงพยาบาลครั้งนั้น ยัยมิก็ขยัยโทรหาพ่อของลูกมันมากกว่าพี่ชายที่มันคลานตามออกมาเสียอีก ผมคิดว่าเค้าคุยกันเรื่องลูก เพราะเป็นครั้งแรกที่หนูมีนต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาล อาจจะไต่ถามกันตามประสาพ่อแม่ลูก ผมเพิ่งหูตาแจ้งวันนี้แหละว่าเด่นจันทร์กำลังถามเอาข้อมูลเพื่อมาสั่งผมให้ช่วยคุณดี๋
[เด่นจันทร์ คุณดี๋ คือตัวละครในเรื่องดอกส้มสีทองที่ดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ขนาดคนเขียนเองที่ไม่เปิดทีวีดูมาเป็นปีๆยังรับรู้ความดังของเรื่องนี้เหมือนนั่งดูทีวีด้วยตัวเองเลยค่ะ]
“แผนการอะไรว่ามา”
“มิถามพี่กุมแล้ว พี่มินมีสอนภาควิชาพี่กุมทุกวันอังคารกับวันศุกร์”
“อือ แล้วไงต่อ”
ไม่รู้ว่ามันจะอธิบายตารางเรียนไอ้ปากแดงทำไม กระดาษแผ่นใหญ่น้องๆวอลล์เปเปอร์อย่างตารางเรียนของกุมภานั้น กินอาณาเขตบอร์ดงานยิงตรงเข้าเรตินาแล้วซึมเข้าสู่สมองเป็นความจำของผมไปแล้วเรียบร้อย
“สองวันนั้นพี่กุมมีเรียนแค่ตัวนี้ตัวเดียว พี่สิงห์ไปส่งพี่กุมอยู่แล้วก็รอรับเลยแล้วกันนะ แค่สองสามชั่วโมงเอง”
สองสามชั่วโมงที่ยัยมิว่ามานั้น ผมอาจจะออกแบบบ้านได้ทั้งหลังเลยนะ ตีมูลค่าเวลาออกมาเป็นเงินหลักแสน ความจำเป็นที่ผมจะทิ้งเงินแสนเพื่อไปเฝ้าไอ้ตุ๊ดปากแดงนั่นจุดคุ้มทุนมันอยู่ที่ตรงไหนวะ
“เพื่อ?”
“เพื่อจะดูปฎิกิริยาของพี่มินไง พี่สิงห์รู้มั้ยว่าพิษรักแหงหึงของผู้หญิงมันมหาศาลแค่ไหน”
“ไม่รู้สิ พี่ไม่เคยทำตัวไม่ดีให้ใครหึงนี่หว่า”
“ขนาดที่ว่ายอมเสี่ยงเพื่อทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าอะ ถ้าสาเหตุมันเกิดมาจากหึงพี่สิงห์นะ เค้าจะต้องยิ่งแค้น และเค้าจะต้องเร่งหาเรื่องพี่กุมเร็วขึ้นแน่ๆ”
“ห๊ะ นั่นมันยิ่งทำให้พ่อของลูกแกเดือดร้อนไม่ใช่หรือไง แกเล่นอะไรของแกวะยัยมิ เรียนน้อยแล้วว่างเหรอ”
“โอ๊ย พี่สิงห์ มองโลกสวยงามมากไปหรือเปล่า ถ้าเค้าเป็นอย่างที่มิว่าจริงนะพี่สิงห์ เค้าจะทำแค่ขู่พี่กุมเพื่อยื่นข้อเสนอเท่านั้นแหละ”
“ข้อเสนออะไรของแกวะ”
เอาตรงๆคือยิ่งคุยกับยัยมิแล้วผมยิ่งงง หรือว่าผมกับน้องจะมามีปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่างวัยเอาตอนนี้
“ข้อเสนอแลกเปลี่ยนกันเพื่อให้พี่กุมช่วยเค้าคืนดีกับพี่สิงห์ไง”
“แกคิดได้ไงเนี่ย ถ้าเค้าต้องการอย่างนั้นจริงๆเค้าเข้าทางพี่ง่ายกว่ามั้ยวะ จะผ่านทางไอ้ปากแดงทำไม มันกับพี่ตีกันไม่เว้นแต่ละวัน”
“แล้วเค้าจะรู้มั้ยว่าพี่สองคนตีกันอะ แล้วถ้าเค้าเข้าทางพี่สิงห์ พี่สิงห์จะกลับไปสนใจเค้าเหรอ มีโอกาสหรือไง”
“ไม่ล่ะ พี่คิดว่าถ้ามันมีครั้งแรก ครั้งที่สองจะตามมาไม่ยากหรอก แกยังบอกเลย”
“เค้าเข้าข้างพี่สิงห์แล้วไม่สำเร็จไง วันนั้นพี่รีบแจ้นกลับบ้านเพราะพี่กุมโทรตามใช่มั้ย”
“ไม่ใช่โว้ย เพราะหนูมีนไม่สบายต่างหาก”
“แล้วไม่เป็นห่วงพ่อหนูมีนเลยหรือไง สักนิ๊ดดดดดนึงไรงี้มีมะ”
“ก็นิดหน่อย มันอยู่บ้านคนเดียว แล้วหนูมีนโตขึ้นมากแล้วด้วย มันคงจะวุ่นวายอะ”
“นั่นไง ก็ถ้าพี่กุมเดือดร้อน มันก็กระทบกันไปหมดถูกมะ พี่สิงห์ก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ต่อให้ไม่คิดอะไรกับพี่กุมนะ แต่ก็เพราะหลาน ทีนี้เค้าก็จะพลิกจากนางร้ายมาเป็นนางเอกบอกพี่สิงห์ว่า มินจะคุยกับอธิการให้นะคะสิงห์ สิงห์ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ เพื่อสิงห์แล้วมินช่วยได้”
ผมขนลุกซู่ตอนที่ยัยน้องสาวแก่แดดมันดัดเสียงอ่อนเสียงหวานเลียนเสียงมินตรา ทำไมเมื่อก่อนผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าน้ำเสียงพวกนี้จะทำให้ผมรู้สึกจั้กจี้รูหูอย่างบอกไม่ถูก มันดูเสแสร้งสุดๆ แต่ตอนนั้นผมกลับไม่คิดมาถึงจุดนี้เลย ผมกลับมองท่าทีออดอ้อนพวกนั้นเป็นเสน่ห์ของผู้หญิงไปซะได้
“พี่สิงห์ ตกลงว่าไง”
ผมจะว่าอะไรได้วะ คิดอะไรไม่ออกเลยเนี่ย นึกไปไม่ถึงด้วยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตจริง ตกลงละครที่เราดูๆกันอยู่นั้นเอามาจากชีวิตจริงของคน หรือคนเลียนแบบการใช้ชีวิตจากละครกันแน่วะ จริงๆแล้วคนที่อ่อนเดียงสาและไม่ทันโลกคือนายสิงหาต่างหาก
“ยัยมิ แล้วมินเค้าจะกลับมาคืนดีกับพี่ทำไมวะ แล้วอีกอย่างเค้าจะหึงพี่กับกุมทำไม”
“โอ้ย ถ้าเดือนนี้บิลค่าโทรมิแพงห้ามบ่นนะพี่สิงห์ มิจะชี้ทางสว่างให้ พี่มินเป็นคนสวย เพียบพร้อม มิไม่เถียงหรอก แต่ผู้หญิงวัยสามสิบมันจะเลือกเหมือนตอนอายุ 18 ได้ไง ถ้าไม่่คิดอะไรมาก หลับหูหลับตาคว้าๆไปมันก็ได้อยู่หรอก แต่ถ้าคิดสักนิด คนที่เคยอยู่ข้างๆเค้ามีอะไรบกพร่องบ้าง ถึงไม่รวยล้นฟ้า แต่ชาตินี้ทั้งชาติเค้าไม่ลำบากแน่ๆ เค้ารักหน้าตาและศักดิ์ศรีของตัวเองขนาดนั้น เค้าคงไม่ใช่ผู้หญิงที่จะนั่งทำผมตั้งกระบังแล้วชูคอสวยๆอยู่บ้านแน่ๆ”
“แกจะบอกพี่ว่าแค่มีพี่เพื่อซัพพอร์ท ส่วนเค้าก็จะทำงานเพื่อรักษาหน้าตาตัวเองว่างั้น”
“ถูก ทำเป็นงานอดิเรกไง เหมือนๆเวิกกิ้งวูแมน เข้ากั๊นเข้ากันกับพี่สิงห์เคียงบ่าเคียงไหล่ ใครๆก็ชื่นชม”
“ไม่ใช่มั้งมิ ถ้าเค้าคิดอย่างนั้นเค้าจะเลิกกับพี่ทำไม พี่เป็นของพี่แบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“ก็ตอนนั้นใครจะไปคิดว่าพี่สิงห์จะกำจัดพวกแร้งที่มารุมทึ้งสมบัติของพ่อกับแม่เราได้ล่ะ ใครๆก็ต้องคิดว่าเราสิ้นเนื้อประดาตัวกันทั้งนั้นแหละ”
“สรุปก็คือ คงจะรักพี่อยู่บ้าง แต่ก็กลัวลำบากมากกว่างั้นสิ”
“ถูก....พี่ชายมิฉับไวเสมอ เข้าใจแล้วนะ มิไม่อยากให้พี่กุมเค้าเดือดร้อน เค้าไม่ควรต้องมาเป็นเครื่องมือของใคร”
“แต่แกกำลังใช้พี่ชายตัวเองเป็นเครื่องมืออยู่นะน้องรัก ตัดเงินเดือนหน้าลงหน่อยดีมั้ยเนี่ย”
“พี่สิงห์กับพี่กุมไม่เหมือนกันหรอก โอ้ยยยย อึดอัดจริงๆมิปิดบังไม่ค่อยเก่ง มิพูดๆไปเลยแล้วกันนะ”
“เออ พี่ก็ไม่ไหวจะคิดตามแกแล้วเหมือนกัน เอาตรงๆเต็มๆเหอะ”
“เอ่อ ตอนพี่สิงห์ไปส่งพี่กุมที่มหาลัย มีใครล้อว่าพี่กุม เอ่อ ไม่ค่อยแมนบ้างหรือเปล่า”
“แกรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเหรอยัยมิ”
ผมรู้ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ยัยมิต้องการ แต่นั่นมันบอกอะไรมากกว่าคำตอบตรงๆซะอีก ผมเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ซะเงียบเชียบ กลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวความรู้สึกของน้องหลังจากที่ได้รับรู้ แต่มันกลับกลายไปว่ายัยมิรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
“พี่สิงห์ก็รู้เรื่องนี้แล้วเหมือนกันเหรอ”
‘เรื่องนี้’ที่เราสองคนพี่น้องพูดถึง ผมไม่มั่นใจว่าจะใช่เรื่องเดียวกันหรือเปล่า แต่น้ำเสียงตื่นเต้นที่โต้ตอบกลับมาของยัยมิ ผมให้เป็นเรื่องเดียวกันเกิน 50%
“ทีนี้พี่สิงห์เข้าใจมิมากขึ้นแล้วใช่มั้ย ว่าทำไมมิถึงไม่อยากจะบอกว่าพ่อของลูกเป็นใครตอนที่พี่ถาม”
“หนูมีนจะเดินได้อยู่แล้ว แกยังจะมาถามอีกเหรอว่าพี่เข้าใจแกแล้วหรือยัง ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว”
“มิไม่ได้เรียกร้องความเห็นใจนะ มิแค่จะท้าวความกลับไปถึงเรื่องพี่กุมต่างหาก นั่นแหละ คือมิพอรู้ว่าพี่กุมเค้าไม่ได้ชอบผู้หญิงแบบมิหรอก พอจะเข้าหูมาบ้างว่าพี่เค้ามีแฟน แต่นิสัยมิพี่สิงห์ก็รู้ว่าแค่คำพูดมิไม่ปักใจเชื่อ”
“แกเลยเอาตัวเข้าแลกเพื่อพิสูจน์เนี่ยนะ”
“ไม่ใช่ๆ เรื่องนั้นเพราะเมาแล้วก็ยาจริงๆพี่ ตอนนั้นมิมืดแปดด้าน แน่ใจว่านอนกับพี่กุมแน่ๆ แต่มิไม่รู้ว่าเค้าจะเชื่อมิมั้ย เพราะเค้าไม่ได้สนใจผู้หญิง แล้วถ้ามิไปบอกว่ามิท้องกับเค้า เค้าจะเชื่อเหรอ เข้าใจยัง”
“เออ เข้าใจแล้ว เหตุผลแกแน่นจริงๆเหอะให้ตาย”
“พี่กุมเป็นคนดีนะ ถึงมิจะพลาดแต่ได้เค้าเป็นพ่อของลูกมิก็ดีใจ ถึงเค้าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆมิไม่แคร์นะ มิสงสารพี่เค้าด้วยซ้ำ พี่กุมคงไม่อยากจะปิดบังใครหรอก แต่มันประกาศไม่ได้ มิไม่อยากให้พี่กุมโดนเล่นทุกทาง”
“แกหมายถึงเรื่องที่มีลูกแล้วก็เรื่องเป็นเกย์อะเหรอ”
“ใช่ค่ะ มิไม่รู้นะว่าพี่มินรู้เรื่องนี้มั้ย แต่มิเดาว่าคงพอรู้จากปากนักศึกษานั่นแหละ ถ้าเกย์คนไหนหน้าตาดีก็จะมีคนสนใจเยอะหน่อย ทีนี้รู้ยังว่าทำไมมิถึงบอกว่าพี่มินอาจจะหึงได้”
“อือ เออ ยัยมิ”
“มีอะไรเหรอพี่สิงห์”
“มินเค้ารู้นะ เรื่องที่กุมเป็นแบบนี้”
“นั่นไง มิว่าแล้วเชียว สัญชาตญาณของผู้หญิงบอกมิให้จับมาทางนี้ พี่สิงห์ต้องรับผิดชอบตามไปดูแลพี่กุมเลยนะ”
“เออๆวกเข้าหาคำสั่งจนได้นะแก”
“มิไม่รู้นี่นาว่าพี่กุมเค้าจะได้อยู่ดูแลลูกไปถึงตอนไหน มิอยากให้เค้าได้อยู่กับลูกไปนานๆเท่าที่จะทำได้ มิรู้นะว่าพี่สิงห์เป็นพ่อให้ลูกมิได้ แต่มิก็ไม่อยากให้ใครมาพรากพ่อพรากลูกเหมือนกัน”
มันพูดซะผมสะเทือนใจเลย ผมกับยัยมิกังวลในเรื่องเดียวกัน ความสุขที่ได้เฝ้ามองดูพ่อลูกเค้าดูแลกันนั้นมันจับลึกลงไปในใจจนอดนึกไปไม่ได้ว่า กุมภากับมีนาจะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดมั้ย เค้าสองคนพ่อลูกจะเหมือนงานเลี้ยงที่มีวันเลิกราหรือเปล่า คิดถึงทีไรอดใจหายไม่ได้สักที ยิ่งนานวันเข้าผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันน่ารักขึ้นทุกวัน ผมเริ่มมองว่าผู้ชายมีเสน่ห์ต่อเพศเดียวกันก็ตอนอยู่กับมันนี่แหละ
คำสั่งของยัยมิเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมตามมาเฝ้ากุมภาที่มหาลัยเท่านั้น เหตุผลหลักจริงๆคือผมอยากให้สิ่งที่เป็นอยู่ดำเนินไปแบบนี้นานๆ แค่สัปดาห์ละสองวันไม่ได้มากมายอะไร และเวลาช่วงบ่ายแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่กระทบกับหนูมีนเท่าไหร่ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สาวน้อยของผมกำลังนอนกลางวัน และเดี๋ยวนี้โปรเจคใหญ่ของผมกำลังอยู่ในขั้นตอนทำโมเดลของมาสเตอร์แปลน ผมเลยให้ไอ้โจ้ขึ้นมาทำที่ห้อง จะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลหนูมีนให้อีกทาง
แรกๆผมกลายเป็นตัวประหลาดให้เด็กๆมอง ผู้ชายในชุดลำลองนั่งๆนอนๆแถวคณะเพื่อรอรับผู้ชายอีกคนกลับด้วยกันกลายเป็นจุดเด่นแปลกใหม่ให้กับคนที่เดินผ่านไปมาหน้าคณะไอ้ปากแดง แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก ผมเริ่มชินจนไม่รู้สึกเก้อเขินอะไร เหมือนคนมองน้อยลง หรือจะมองเท่าเดิมผมก็ไม่เคยนับ แต่ผมชินจนชิลล์ มองได้มองไป ผมไม่แคร์อยู่แล้ว คนพวกนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรในชีวิตผมมากไปกว่าเพื่อนร่วมประเทศ
ไม่มีออดเตือนเวลาหมดคาบเรียนสำหรับนักศึกาามหาวิทยาลัย นอกจากต้องจำเวลาเลิกเรียนเอาเองและพึ่งพานาฬิกาเท่านั้น และตอนนี้มันก็เลยเวลานั้นไปร่วมชั่วโมงแล้วยังไม่เห็นไอ้ปากแดงมันโผล่หน้ามา ปกติมันไม่เคยผิดเวลาเลยสักที ผมนึกถึงหน้าที่ตัวเองที่ต้องมาเฝ้าระวังไอ้เดือนที่สองตามคำสั่ง ถ้าไม่ปลายหางตาไปอีกทางหนึ่งคงลืมไปแล้วเหมือนกันว่า คนอย่างนายสิงหารู้สึกหงุดหงิดเป็นกับเค้าเหมือนกัน ไม่ได้บ้าบอไปวันๆอย่างที่คนบางคนมันว่าเอาไว้
ลงมาช้ามันทำให้ผมแค่ขุ่นใจ แต่ที่มันกลายเป็นหงุดหงิดเข้าขั้นโกรธนั้น ไอ้คนที่ผมต้องคอยเฝ้าระวังจากการระรานของแฟนเก่ากำลังเดินยิ้มหน้าบานมากับผู้ชายฝูงใหญ่ มันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าไม่มีใครในฝูงนั้นเดินหยอกล้อถึงเนื้อถึงตัวกันเกินเพื่อนทั่วไป ทั้งๆที่มันเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่มันก็ทำให้ผมไม่สบอารมณ์และปั้นหน้ายิ้มเพื่อรับไหว้เด็กพวกนี้ไม่ได้
มันใช้เวลาร่ำลากันอีกนานจนกระแสความเดือดดาลในตัวผมพลุ่งพล่านควันออกหูไปหมด ผมไม่เคยมองเห็นการจับมือถือแขนของผู้ชายกับผู้ชายที่ไหนน่าเกลียดเท่าที่เห็นอยู่ตอนนี้เลย ใจอยากจะเข้าไปกระชากไอ้ตัวดีแล้วรีบกลับบ้าน แต่ส่วนของความเป็นผู้ใหญ่บอกให้ผมสะกดอารมณ์ไว้จนเท้าจิกพื้น รอจนกว่าพวกมันจะโบกมือลากับครบแกงค์ รอจนกว่ากุมภาจะเดินมาหาผมอีกครั้ง
“ผมขอโทษนะที่ลงมาช้า เรากลับกันได้หรือยังครับ”
คำตอบคือข้อมือของกุมภาถูกกระชาก แล้วร่างทั้งร่างก็ลอยหวือมาตามแรงดึงและเท้าที่จำอ้าวออกไปของผู้นำอย่างผม แรงดึงรั้งต่อต้านกลับมา แต่ตัวเล็กแค่นั้นจะต้านแรงผมที่มีตัวผลักดันเป็นความโกรธได้ยังไง
โกรธที่มันลงมาช้า โกรธที่เห็นว่ามันเดินหยอกล้อมากับผู้ชาย
แรงอารมณ์มันโหมกระพือจนไม่รู้ว่าผมกำลังโกรธอย่างไหนมากกว่ากัน
๐ สวัสดีค่ะทุกคน ก่อนอื่นขอบคุณมากๆนะคะสำหรับคนที่ไปร่วมกดไลค์ในแฟนเพจ ไม่คิดเลยว่าผลตอบรับจะท่วมท้นขนาดนั้น แต่ดีใจนะไม่ใช่ไม่ดีใจค่ะ แต่ตั้งตัวไม่ทัน ตอนนั้นนั่งคุยกับพี่เล่นๆว่าถ้าถึง 100 คนฉลองดีมั้ย คนเขียนเปิดแฟนเพจมาร่วมสัปดาห์เห็นจะได้ มีคนกด 60 ส่วนต่างอีก 40 ที่จะครบร้อย คงกินเวลาหลายวัน น่าจะเตรียมตอนพิเศษทัน เลยบออกคนอ่านว่าถ้าถึงร้อยจะฉลอง ตื่นเช้าขึ้นมาตกใจมาก เพราะไม่ใช่แค่ถึงร้อย แต่ผ่านไปแล้วร้อยกว่าๆ แต่บอกว่าจะฉลองจะทำยังไงดี เลยเอาเรื่องสั้นเรื่องใหม่ที่เขียนไว้เป็นโปร 3 ลงเล้าลงมาให้อ่านแก้ขัดไปก่อนนะคะ ถึงตอนพิเศษแล้วจะลบออกเน้อ และลงในแฟนเพจที่เดียวค่ะ ใครที่ยังไม่ทราบ ยังตามเข้าไปกดไปอ่านได้นะคะ ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้จะมีตอนพิเศษมาแทนที่ก็จะลบตอนนี้ออกค่ะ
๐ แฟนเพจของคนเขียนเซกิเอาลงให้แล้ว หรือไม่ก็ค้นหาคำว่า TRomance's fic นะคะ
๐ ขอบคุณสำหรับเรื่องคำผิดที่ช่วยดูให้กันทุกครั้งนะคะ
๐ ขอบคุณณคนอ่านทุกคนที่เข้ามาสนับสนุนกันค่ะ TRomance