♥ ประลองรัก...♥ (พิเศษ2) 22/05/11 [เมารัก...เมาเอ็นซี]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ ประลองรัก...♥ (พิเศษ2) 22/05/11 [เมารัก...เมาเอ็นซี]  (อ่าน 149686 ครั้ง)

ออฟไลน์ jellyfish

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
วรกายใหญ่ช้อนร่างเล็กขึ้นอุ้ม ควานหาเสื้อตัวในที่เปียกชื้นมาห่มคลุมน้องน้อยพากลับห้องบรรทมที่แสนอุ่นสบาย เสียงพระสรวลก้องเมื่อสบสายตากับดวงตากลมที่มองมาก่อนหลบหนีไปซุกกับพระอุระ พร้อมกับหน้าหวานที่แดงก่ำ

   อ๋องน้อยที่ถูกวางลงบนแท่นบรรทมเอื้อมจับพระหัตถ์ใหญ่ไว้ทันที ยอมสบพระเนตรคมทั้งที่แสนเขินอาย “ท่านจะไปไหน ไม่นอนกับข้าหรือ”

   เสียงหวานใสที่เต็มไปด้วยสำเนียงออดอ้อนทำให้ไม่อาจห้ามพระทัยลงสูดดมความหอมจากแก้มใสที่แดงปลั่ง “นอนสิ แต่พี่จะไปหาชุดให้เจ้าใส่ก่อน ไม่หนาวหรืออยู่แบบนี้”

   “หนาวสิ” ฟันขาวขบกัดกับริมฝีปากตนเอง คิดถึงช่วงเวลาอันน้อยนิดก่อนใกล้รุ่งดวงตาที่เศร้าหม่นต้องก้มหลบไม่อาจให้ชายสูงศักดิ์ผู้นี้ได้เห็นแล้วอ้อมแอ้มเบาๆออกมา “แต่หากมีท่านมานอนกอดข้าไว้ ก็คงหายหนาว” ถ้อยคำสุดท้ายที่วอนขอทำให้ร่างเล็กต้องแหงนหน้าสบพระเนตรคมอย่างขอร้อง “นอนกอดข้านะ”

   “เที้ยนหยวน” ฮ่องเต้หนุ่มครางชื่อที่แสนเล่อค่าสำหรับพระองค์ด้วยพระทัยวูบไหว รับรู้สิ่งที่ร่างเล็กกำลังนึกคิด และบั่นทอนความสุขอันแสนสั้นนี้ ก่อนลงนอนคว้าร่างเล็กที่เปล่าเปลือยเข้ามาแนบชิดไม่ห่างกาย ปกป้องอากาศหนาวเย็นด้วยพระองค์เอง
 
   ....เพียงแค่น้องน้อยบอก มีหรือพี่จะไม่ทำให้.....

   ร่างเล็กที่ถูกรัดแน่นไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด มีเพียงความคิดที่อยากครอบครองพื้นที่ตรงนี้ไว้ตลอดกาลเพียงผู้เดียว แม้นไม่อาจเป็นจริง หากเป็นได้แค่เพียงฝันสร้างความสุขให้ตราตรึงผ่านไปในแต่ละวัน “ข้าอยากอยู่แบบนี้ไปตลอด อยู่กับท่าน เคียงคู่ท่านเช่นนี้ ไม่อยากให้พระอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าเลย”

   น้ำตาเม็ดเล็กที่ไหลออกมาจากผู้เป็นดั่งดวงพระทัย พาให้ดวงหทัยของฮ่องเต้หนุ่มไหววูบและเจ็บร้าวไม่ต่างกัน ข้อนิ้วพระหัตถ์งอเช็ดหยาดน้ำสายเล็กออกจากใบหน้าหวาน “อย่าร้องไห้นะเที้ยนหยวน เจ้าอย่าทำให้ค่ำคืนนี้ต้องเปื้อนหยดน้ำตาสิ จงมอบรอยยิ้มให้กับพี่ บอกให้พี่รู้ว่าเจ้าก็มีความสุขที่เราได้อยู่ด้วยกัน”

   เหมือนร่างเล็กจะปล่อยผ่านคำพูดฮ่องเต้หนุ่ม เพราะมัวแต่จับจ้องอยู่ที่ข้อนิ้วพระหัตถ์ม่วงช้ำ จนต้องยึดแน่นเพื่อมองดูให้ชัด ความห่วงใยแล่นขึ้นในทันที “ท่านไปโดนอะไรมา ทำไมถึงช้ำแบบนี้ เพราะเมื่อครู่ใช่ไหม ที่ท่านเอามือมารองหลังข้าไว้ ใช่ไหม”

   “ไม่เป็นไรหรอก เท่านี้เอง ดีกว่าให้หลังของเจ้าต้องช้ำเป็นไหนๆ อย่ากังวลเลยนะเที้ยนหยวน เป็นห่วงตัวเจ้าเองไม่ดีกว่าหรือ พี่เห็นนะว่าบวมช้ำแค่ไหน” เป็นครั้งแรกที่ทรงหลบตาน้องน้อย ด้วยไม่ทรงคุ้นชินเอาเสียเลยกับความห่วงใยที่ได้รับ และเต็มอิ่มไปกับความรู้สึกหอมหวานเช่นนี้

   มีใครสักคนเป็นห่วงด้วยใจรัก...มันดีเช่นนี้เอง...

   “ท่านอย่าเปลี่ยนเรื่อง มือของท่านเป็นขนาดนี้แล้วยังบอกว่าไม่เป็นไรได้อย่างไรกัน” ร่างเล็กจ้องมองรอยช้ำวงกว้างบนพระหัตถ์อย่างรู้สึกผิด อยากจะหายามาทาก็ไม่อาจฝืนกายให้ลุกขึ้นได้สะดวกนัก

   “เจ้าเป็นห่วงพี่มากหรือ”

   สุรเสียงเบาแผ่วดุจเด็กน้อยที่หวาดกลัวคำตอบทำให้ร่างเล็กต้องลอบยิ้มออกมา “มากสิ ท่านทำเช่นนี้ไม่ห่วงตัวเองหรืออย่างไร”

   “พี่ห่วงเจ้ามากกว่าเที้ยนหยวน” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งถ้อยคำจากพระทัยกระซิบข้างหูเล็ก ไม่อยากให้ข้อความตกหล่นไปแม้เพียงเสี้ยวความรู้สึกที่แฝงไปกับสายลม
   
   ใบหน้าหวานแดงก่ำรับรู้ได้ถึงความสัจจริงของคำพูด จนด้วยคำพูด ปล่อยให้ความเงียบสงบโรยตัวเข้ามาปกคลุมพร้อมความอุ่นซ่านในหัวใจ

   “เที้ยนหยวนเรียกพี่ว่า พี่ สักครั้งได้ไหม” สุรเสียงทุ้มดังผ่าความเงียบ สายพระเนตรมองใบหน้าเล็กที่ซุกอยู่กับต้นพระพาหา “แล้วลองแทนตัวเองว่าผู้อื่นดูสักหน่อย”

   “หืมม์?” ดวงตาใสเต็มไปด้วยความสงสัย จ้องพระพักตร์เข้มที่แฝงด้วยนัยหยอกล้ออย่างมีความสุข จนริมฝีปากเล็ก ยับย่นเข้าหากันอย่างไม่พอใจ ที่ดูเหมือนกำลังถูกแกล้งเช่นนี้ “ทำไมข้าต้องแทนตัวเองว่าผู้อื่นด้วยเล่า ข้าไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย”

   “เจ้าไม่ใช่ผู้หญิง แต่เจ้าก็แย่งที่ของฮ่องเฮาในอนาคตไปเสียหมดแล้ว ทั้งที่บนเตียงนี้ ทั้งหัวใจของพี่ เจ้าก็ได้ไปหมด เรียกให้พี่ชื่นใจสักนิดไม่ได้เชียวหรือ ไม่ต้องเรียกตัวเจ้าว่าผู้อื่นก็ได้ แต่เรียกข้าว่าพี่สักครั้งเถอะนะ” ฮ่องเต้หนุ่มทำเสียงออดอ้อนน้องน้อยอีกครั้ง พระเนตรเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขดุจดั่งเด็กน้อยที่กำลังเริงรื่น

   “แล้วจะให้พูดว่าอะไรเล่า”  แก้วตาใสตวัดค้อนใส่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของอ้อมพระกรที่แสนอบอุ่น ปกป้องความหนาวเย็นของอากาศและจิตใจให้ห่างไกล

   “เจ้าอยากพูดสิ่งใดก็พูดเถิด ขอเพียงออกจากปากเจ้า พี่ก็อยากจะได้ยินทั้งนั้น”

   “งั้นท่านฟังดีๆนะ ข้าจะพูดแค่รอบเดียวเท่านั้น” ร่างเล็กพาตัวขึ้นแนบชิดพระกรรณ แอบเก็บรอยยิ้มแห่งความสนุกที่จะได้แกล้งมังกรจักพรรดิ์ผู้นี้ “ข้าไม่พูดหรอก ท่านพี่”

   ฮ่องเต้หนุ่มที่ทรงคาดหวังถึงถ้อยคำหวานล้ำ ไม่อาจกลั้นพระสรวลได้เมื่อทรงได้ยินคำพูดของน้อยน้อย ได้แต่ส่ายพระพักตร์กับองค์เองที่คาดหวังดุจดังไม่รู้จักอ๋องน้อยผู้นี้ดีพอ “ขอบใจเจ้ามานะเที้ยนหยวน แค่นี้พี่ก็พอใจแล้ว”

   ร่างเล็กมองพระพักตร์เปื้อนยิ้มของฮ่องเต้หนุ่ม แล้วระงับความเขินอายกลั้นใจพูดเบาๆกับพระอุระที่ซุกหน้าหลบซ่อน “ข้ารักท่าน ฮ่องเต้ของข้า”

   ถ้อยคำแสนแผ่วเบาที่ลอยออกมาจากกลีบปากเล็กพาให้หทัยของฮ่องเต้หวิวโหวงด้วยความสุขที่ถูกเติมเต็ม ถ้อยคำที่รอคอยมาแสนนานในที่สุดก็ได้รับฟัง ทรงโอบรัดร่างบางให้แนบแน่น ให้รับฟังเสียงของพระทัยที่กระหน่ำรัวราวกับกลองศึก พระพักตร์ยิ้มกว้างอย่างที่สุด ก้มลงกระซิบริมหูเล็กเบาๆ ถ่ายทอดทั้งหมดของความรู้สึกที่แสนลึกล้ำลงไปกับข้อความ “พี่ก็รักเจ้ามาก ยอดรักของพี่” 

   ทั้งสองอิ่มเอิบด้วยความรักที่มอบให้แก่กัน เฝ้าบอกรักด้วยทุกการกระทำและคำพูด เก็บซ่อนความทุกข์โศกเอาไว้ภายใน ตักตวงทุกช่วงเวลาแห่งความสุขให้ยาวนาน....จนไม่อาจข่มตาลงได้
   
   ความสุขจะคงอยู่ตราบนานชั่วชีวิต....หากวันพรุ่งนี้จะไม่มาถึง

   * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
   สวัสดีคะ “หวานหยดย้อยเยิ้มแหย่ะ” ไหมคะ แฮ่ๆๆ แต่มันก็มีกลิ่งเศร้าจางๆ ตอนอ่านทวนเรื่องนี้ ไอซ์นึกไปถึงกระทู้หนึ่งในห้องพูดคุย “[[สาววายอยากรู้]] คำถามติดเรท ฝ่ายรับ "เสร็จ" เองได้จริงหรอ??” แล้วมีประเด็นเรื่องการป้องกันขึ้นมา ไอซ์เลยนึกไปถึงการป้องกันสมัยก่อนหากเอามาให้ฮ่องเต้ใช้ มันจะเป็น.... กระเพาะหมู/ ไส้หมู กลายเป็นฉากชวนชิมกันไปเลย  แต่จะมีใครมาชิมหรือเปล่า ส่วนถ้าจะใช้เป็นยาคุมก็ต้องเป็นอุนจิจระเข้..แหย่ะ

   ตอบคุณKURUMA ไม่ใช่คะ เรื่องนี้มาจากเรื่อง Mei Hua เป็นแฟนคิดทางฝั่งเกานู้นอ่ะคะ

ขอบคุณคะ

ออฟไลน์ kuruma

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 441
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +527/-3
อ๋อ งั้นเหรอคะ .. แคู่้รู้สึกว่าคุ้นน่ะค่ะ เดี๋ยวจะตั้งใจอ่านอีกที จะมา Edit เพิ่มนะคะ

ออฟไลน์ Piaanie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
อั่ยย่ะ กลิ่นเศร้ามันกรุ่น แต่กลบกลิ่นรักไม่ได้แหะ  :haun4:

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
หน้าที่ และ ความรัก เฮ้อ!!!!!!!!!!!

O_a

  • บุคคลทั่วไป
หวานจริงๆ เหรอ
น้ำผึ้งหนึ่งหยดผสมบรเพ็ดหนึ่งต้น
ผสมกับน้ำตาอีกหนึ่งปี๊บ
เฮ้อ จิตตก

ออฟไลน์ BExBOY

  • กัญชาเป็นยาเสพติด โปรอ่านฉลากก่อนสูบ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
หวานยิ่งกว่าน้ำผึ่งอีก อ้วก เลี่ยนมากมาย ฮ่าๆๆ

คนอ่านอิจฉาอ๊ะ น่ารักจริงๆ  :-[

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
 :o8: :o8: :o8:


หวานจริงๆๆ




อย่าเศร้าเลยนะ....ขอร้อง     :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ขอให้หวานแบบนี้ไปตลอดเหอะ อย่าดราม่าเล๊ย นะ :monkeysad:

ออฟไลน์ jellyfish

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
ประลองรัก...十八

   พระอาทิตย์ทอแสงชมพูเรื่อส่องลอดหน้าต่างบานใหญ่เข้ามายังแท่นบรรทมที่มีสองร่างเปลือยเปล่าในอ้อมกอดของกันและกัน

   พระเนตรคมเปิดขึ้นอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่ปะทะสายตาคือกลุ่มผมนุ่มที่โชยกลิ่นหอมของน้องน้อยที่ใบหน้าซุกอยู่อ้อมอกของพระองค์ พระหัตถ์ยกขึ้นลูบหัวเล็กๆ ทอดพระเนตรนอกหน้าต่าง แสงที่ส่องเข้าเป็นสัญญาณให้รู้ว่า วันพรุ่งนี้ได้มาถึงแล้ว..วันที่ต้องพรากจาก มาถึงแล้ว

   ฮ่องเต้หนุ่มทรงนอนนิ่งนอนให้ร่างเล็กได้ซุกซบอยู่เช่นนั้น จนแสงอาทิตย์กลายเป็นสีขาวจ้า แยงเปลือกตาบางที่เริ่มยุกยิก ก่อนเปิดกว้างให้เห็นดวงตาใส “ตื่นแล้วหรือเที้ยนหยวนหลับสบายไหม”

   ดวงตาโตที่ยังปรือหรี่ ช้อนมองพระพักตร์เข้มที่ประดับรอยยิ้มไว้เสมอ ก่อนพยักหน้ารับเบาๆ พร้อมกับปากอิ่มที่หาวกว้างเรียกเสียงพระสรวลก้องจนอดมองค้อนไม่ได้ “ท่านหัวเราะทำไม ก็ข้าง่วง”

   “พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเสียหน่อยเที้ยนหยวนถ้าง่วงจะนอนต่อพี่ก็ไม่ว่าเจ้านะ” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งอย่างพระทัยดี พร้อมรอยแย้มพระโอษฐ์เช่นทุกครั้งดุจดั่งไม่มีเรื่องเศร้าในพระทัย

   “แล้วท่านจะนอนกับข้าไหม” ปากเล็กเม้มเข้าหากันในทันทีที่พูดจบ ดวงตาโตช้อนมองอย่างคาดหวัง ความรู้สึกที่ได้อยู่กับผู้เป็นที่รัก มันช่างแสนดี จนอยากจะยืดออกไปให้นานเท่านาน

   “ท่านคงจะไม่นอนกอดเจ้าหรอก แต่ถ้าเป็นพี่...พี่จะนอนกอดอยู่อย่างนี้ จนกว่าเจ้าอยากจะตื่น ดีไหม” ถ้อยคำหยอกล้อที่ชวนให้ใจหายแล้วพาให้กลับมายิ้มได้อีกครั้ง ทำให้ร่างบางยิ่งกระชับอ้อมแขนที่กอดพระกฤษฎี แน่นเข้าคล้ายจะไม่ยอมปล่อยอีกเลย ก่อนหลับตาพริ้มไปอีกครั้ง

   ท่อนพระกรที่ให้น้องน้อยได้นอนหนุนโอบกอดบ่าเล็กเข้ามาให้แนบชิด พระโอษฐ์ยิ้มอย่างอบอุ่นที่สุดยามสายพระเนตรจับจ้องไปทั่วใบหน้าหวาน ใช้เวลาครั้งสุดท้ายให้ตราตรึงตราบนานเท่านาน   

   หน้าผากเนียนเรียบโค้งมน มีไรผมเส้นเล็กลงมาปรก

   เปลือกตาบางใส ปกปิดลูกแก้วสีนิลดวงใหญ่เอาไว้ภายใน ลูกแก้วที่แสดงออกทุกความรู้สึก

   จมูกเล็กที่ทั้งโด่ง และเชิดขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวช่างแสนดื้อรั้นและซุกซน

   แก้มใสที่ขยันแดงก่ำ ไม่ว่าจะเพราะความเขินอาย โกรธเคือง หรือหนาวกาย

   ริมฝีปากอิ่มแสนหวาน ชวนให้หลงใหลทุกครั้งที่ได้สัมผัส จนไม่คิดถอยห่าง

   “พี่รักเจ้าเที้ยนหยวนรักอย่างที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จะรักมากขึ้นทุกครั้งที่หายใจ จะมีเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น” ฮ่องเต้หนุ่มทรงรำพันคำรักกระซิบข้างหูเล็กของคนที่ยิ้มกว้างแม้ในยามหลับลึก

   ฮ่องเต้หนุ่มทรงปล่อยให้เวลาล่วงผ่านล่วงไปจนพระอาทิตย์เกือบตั้งตรงเมื่อนั้นเปลือกตาบางจึงกระพริบปรือขึ้นอีกครั้ง “ตื่นแล้วหรือเที้ยนหยวนหายง่วงหรือยัง”

   “ตื่นแล้ว หายง่วงแล้ว แต่....ข้าหิว”

   ประโยคสุดท้ายที่แสแผ่วเบาจนแทบต้องเอียงหูฟังของอ๋องน้อย ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มทรงพระสรวลด้วยเอ็นดูน้องน้อยที่ตื่นขึ้นมา กะเพาก็ทำงานในทันที “เจ้าจะกินที่นี้ หรือข้างนอกหืมม์?”

   “ในนี้ได้ไหม ข้ายังไม่อยากออกไปข้างนอกเลย อยากอยู่กับท่านในนี้...” ไปตลอด สองพยางค์สุดท้ายร่างบางได้แต่พูดอยู่ในใจไม่กล้าเอ่ยออกไปให้ฮ่องเต้ทรงได้ยิน ใบหน้าหวานยังคงซุกอยู่อ้อมพระอุระ ปิดบังหยาดน้ำที่กำลังจะไหลริน

   “เดี๋ยวพี่ไปยกเข้ามาให้นะ เจ้าปล่อยพี่ก่อนสิ เที้ยวหยวน” สุรเสียงทุ้มบอกน้องน้อยที่ยังไม่ยอมคลายมือออก “เจ้าก็แต่งตัวเสีย หรือจะให้พี่เรียกอู่กงกงเข้ามาช่วยเจ้าแต่งตัว”

   “ไม่เอา ข้าแต่งตัวเองได้ แต่ท่านรีบกลับมานะ” ดวงตากลมเยิ้มออดอ้อนฮ่องเต้หนุ่มอย่างน่ารัก กิริยาที่ไม่เคยทำ ก็ทำด้วยความเต็มใจ

   ริมพระโอษฐ์แย้มออกเล็กน้อยๆ ให้กับความน่ารักนี้ ก่อนยกพระหัตถ์ลูบหัวเล็กที่ยังซบอยู่กับหมอนใหญ่ “เจ้าก็อย่าเอาแต่นอนแบบนี้รู้ไหม แต่งตัวแล้วรอพี่ เดี๋ยวเรากินข้าวกัน”   

   อ๋องน้อยมองตามวรองค์สูงที่ดำเนินออกไปจากห้องด้วยความอาลัย อีกเพียงไม่นานแล้วใช่ไหม...ที่ข้าจะมีท่านอยู่เช่นนี้
   อู่กงกงขันทีประจำตำหนักส่วนพระองค์ที่ร่างบางคุ้นเคยไม่ปล่อยให้อ๋องน้อยผู้ร่าเริงได้โศกเศร้าอยู่นาน เมื่อยกอ่างน้ำใบเล็กเข้ามาเพื่อให้อ๋องน้อยได้ชำระล้างหน้าตาให้สดใสสำหรับมือเที่ยง “ทำไมท่านทำหน้าเศร้าอย่างนั้นหล่ะท่านอ๋อง”

   “ข้าหน้าเศร้าหรือ อู่กงกงเจ้าจะคิดถึงข้าไหม” เที้ยวหยวนมองหน้าตาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในน้ำอย่างสงสัย พลางถามขันทีเหี่ยวอย่างหงอยเหงา

   “ทำไมข้าต้องคิดถึงท่านด้วย” ดวงตารีเรียวของขันทีที่กำลังทำหน้าตนเอง มองใบหน้าของอ๋องน้อยเสียนิสัยอย่างไม่เข้าใจ ก่อนหยิบยื่นส่งผืนผ้าที่เตรียมมาให้

   “นั่นสินะ ใครกันจะมาคิดถึงข้าพอข้าไม่ได้อยู่ที่นี้แล้ว ก็คงจะลืมข้ากันไปหมด ข้านี้บ้าเสียจริงถามอะไรไม่รู้เรื่อง” น้ำเสียงใสแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นมัว ยอมรับความจริงที่ว่าตนเองช่างไม่เหมาะให้ผู้ใดคิดถึงเอาเสียเลย

   “ใช่ ท่านนั้นคิดอะไรบ้าๆ ท่านคิดจริงหรือว่าจะประลองชนะองค์ฮ่องเต้ได้ ความสามารถท่านมีแค่ไหนกัน แล้วองค์ฮ่องเต้ที่เป็นหนึ่งในใต้หล้า ท่านคิดว่าจะชนะได้จริงหรือ ถึงมานั่งเศร้าอาวรณ์อยู่แบบนี้ ท่านหน่ะไม่มีทางได้ออกจากวังนี้แน่ๆ เชื่อข้าเถอะ” ขันทีเฒ่าร่ายยาวถึงความจริงเรื่องความสามารถที่แตกต่างกันจนไม่อาจเทียบได้ ของอ๋องน้อยผู้อยู่ตรงหน้า และฮ่องเต้หนุ่มด้วยสีหน้าสบายใจ ไร้เรื่องให้เศร้าหมอง เพราะเช่นไรแล้ว ฝีมือท่านอ๋องหรือที่จะชนะ....ไม่มีทาง

   “อือออออ จริงด้วย” ใบหน้าหวานที่เอาแต่เศร้าหมอง ความรู้สึกที่แสนทรมานค่อยๆ หายไปในทันที แทนทีด้วยความเบิกบานใจ และรอยยิ้มกว้าง “ข้าคงไม่อาจเอาชนะฮ่องเต้ได้อยู่แล้ว ขอบใจเจ้ามากจริงๆอู่กงกง ไม่เสียแรงที่ข้าชื่นชมเจ้า ให้กอดหน่อยสิ” แม้จะเป็นถ้อยคำขออนุญาต หากแต่ร่างบางก็พุ่งเข้าหาร่างของขันทีเฒ่าในทันทีไม่ทันให้ตั้งตัว

   “อู่กงกง เที้ยนหยวนพวกเจ้าทำอะไรกันหน่ะ”   สุรเสียงที่ปนเปด้วยความตกพระทัยและไม่พอทัย ดังก้องห้องบรรทม จนทั้งขันทีเฒ่าและอ๋องน้อยผละออกจากกันเกือบไม่ทัน

   “ข้าแค่ให้รางวัลท่านขันทีดีเด่นที่พูดจาดีเท่านั้นเอง ไม่เอาหน่า ท่านอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ร่างบางเดินเข้ามาใกล้ เพราะอารมณ์ยินดีกว่าปรกติ จึงกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครกล้าทำ....ฉีกยิ้มมังกร!!

   มือเล็กเอื้อมจับพระพักตร์ฮ่องเต้ แล้วฉีกออกจนกลายเป็นรอยแย้มพระโอษฐ์ที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่ขันทีเหี่ยวเคยเห็นมา จนไม่กล้ามองต่อไป หากไม่โดนเรียก

   “อู่กงกงเจ้าออกไปยกชุดสำรับเข้ามาในนี้ให้เราหน่อย ป่านนี้น่าจะเสร็จแล้ว” ฮ่องเต้หนุ่มตรัสหลังทรงคว้ามือเล็กเอาไว้ในพระหัตถ์

   เพียงไม่นาน ขันทีเหี่ยวก็เข้ามาอีกครั้งพร้อมอาหารแล้วรีบกลับออกไปอย่างรวดเร็วเหลือทิ้งไว้เพียง ฮ่องเต้พระพักตร์นิ่ง และอ๋องน้อยที่ยิ้มร่า

   “เที้ยนหยวนถึงเจ้าจะยินดี แต่มันสมควรหรือที่จะไปเที่ยวกอดใครต่อนะ หืมม์” ฮ่องเต้หนุ่มทรงรอให้ขันทีเดินจากไปแล้วจึงทรงรั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้

   “โธ่! ท่าน อย่ากริ้วนะ ยิ้มไม่ได้หรือ วันนี้วันดี ที่ข้ากอดอู่กงกงก็เพราะข้าดีใจเท่านั้นเอง อย่ากริ้วข้านะ ไปกินข้าวกันเถอะ ข้าหิวแล้ว” มือเล็กเอื้อมคว้าพระหัตถ์หนา ลากไปยังโต๊ะตัวเล็กที่ขันทีนำอาหารมาวาง

   “เจ้าดีใจแล้วกอดผู้อื่นเสมอหรืออย่างไรเที้ยวหยวน” แม้น้องน้อยจะพยายามเอาพระทัยด้วยการคีบอาหารมากมายใส่ให้ในจาน หากแต่พระอารมณ์โกรธกริ้วยังคงไม่จางหายไป

   “ไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย ท่านอย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้ว” อ๋องน้อยมองพระพักตร์ฮ่องเต้ที่ยังคงบึ้งตึง จนต้องยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้าแนบพระปฤษฎางค์ เกยใบหน้ากับพระอังสากว้าง สองแขนกอดพระศอแน่น “ข้ากอดท่านแบบนี้ ท่านไม่โกรธข้าแล้วนะ ข้าขอโทษ”

   ฮ่องเต้หนุ่มทรงตกพระทัยกับน้ำเสียงแสนเศร้าของน้องน้อย เพียงแค่ความอาลัยที่วันนี้เป็นดั่งวันสุดท้ายก็ทำลายความสุขมากเพียงพอแล้ว...เหตุใดพระองค์จึงยอมปล่อยเข้าครอบงำเช่นนี้ “พี่ไม่โกรธเจ้าแล้วนะเที้ยนหยวนไปนั่งเถิด หิวไม่ใช่หรือ”

   ร่างบางที่นั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเดิมพร้อมรอยยิ้มหวานที่ทำให้ทรงแปลกพระทัย ทั้งที่พึ่งทรงได้ยินเสียงเศร้าอยู่แท้ๆ แต่ทำไมเวลานี้กลับ....

   “ท่านกินอันนี้สิ อร่อยนะ” สิ่งที่ร่างเล็กคีบใส่จานฮ่องเต้หนุ่ม คือผักใบเขียวที่ไม่ชอบกินถูกตุ๋นจนเปื่อย แต่ก็ยากจะปล่อยให้วางล้นอยู่ที่ขอบจาน

   ใบหน้าหวานยิ้มสดใสดังทุกวันที่ผ่านมา ดุจไม่มีเรื่องเศร้าอีกต่อไป ช่างแตกต่างจากฮ่องเต้หนุ่มที่ไม่ทรงเข้าพระทัยและฝืนเสวยสิ่งที่น้องน้อยคีบให้

   เวลาที่เหลืออีกเพียงน้อยนิดพี่ก็ควรยิ้มให้กับเจ้าใช่ไหม...เหมือนที่เจ้ายิ้มให้กับพี่

   ฮ่องเต้อี้หลงทรงทอดพระเนตรใบหน้าหวานจารจำทุกรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเอาไว้ในพระทัย ไม่อาจละสายตาแม้เพียงเสี้ยววิ ด้วยทรงวิตกว่านี้อาจเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่จะได้รับจากผู้เป็นดวงใจ

   รอยแย้มพระโอษฐ์แสนฝืดเฝือส่งให้ร่างบางทุกครั้งที่ทั้งสองสบสายตากัน แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายใต้รอยแย้มพระโอษฐ์ต้องทรงเก็บกั้นทั้งความทรมานและความสงสัยเอาไว้ไม่น้อย

   ทรมานที่ไม่อาจคว้าร่างบางนี้มาแนบกายได้ตลอดไป...ถึงเวลาที่ต้องลาจากแล้ว

   สงสัยว่าเหตุใด ใบหน้าหวานจึงเอาแต่ยิ้มแย้ม...หรือเจ้าดีใจที่จะได้โบยบินในอิสระเช่นกาลก่อน

   “อิ่มแล้วหรือเที้ยวหยวน” ฮ่องเต้อี้หลงทรงถามเมื่อร่างเล็กวางตะเกียบลงกับจาน ใบหน้าหวานยิ้มกว้างเสียจนน่าน้อยใจ....ดูเจ้าไม่อาลัยที่นี้เลยหรือไรกันนะ

   “อิ่มแล้ว ท่านก็อิ่มแล้วใช่ไหม เราไปที่ลานประลองกันเถอะ จะได้หมดเรื่องกันเสียที”

   ฮ่องเต้หนุ่มทรงหยุดชะงักกับคำที่หลุดจากปากอิ่ม ถึงเวลานี้เสียแล้ว....เวลาที่พระองค์อยากให้ข้ามผ่านไปโดยไม่ต้องสูญเสียดวงใจ

   เจ้าอยากไปถึงเพียงนี้เชียวหรือเที้ยวหยวน...พี่ไม่อาจรั้งตัวเจ้าไว้แล้วสินะ

   ทรงลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ดำเนินตามแผ่นหลังเล็กไปอย่างเงียบๆ ไร้ถ้อยรับสั่งใดๆ นี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ทรงร่วมห้องกับน้องน้อย หนึ่งเดียวที่พระองค์จะรักตราบจนลมหายใจสุดท้าย

   “เที้ยวหยวน”  พระกรหนาคว้าร่างเล็กเข้ามาพระแนบพระอุระก่อนที่ขาเล็กจะก้าวล่วงออกจากห้องนี้ไปตลอดกาล พระพักตร์ซบที่ไหล่บาง เป็นครั้งแรกที่ต้องทรงฝืนบังคับไม่ให้น้ำพระเนตรหลั่งริน

   “ท่านเป็นอะไร”

   เสียงหวานที่ร้องถามอย่างตกใจ พาให้ละอายพระทัยที่ไม่อาจปกปิดความรู้สึกภายในเอาไว้ได้ จนทำให้ผู้ที่กำลังมีความสุขต้องกังวลใจ “เปล่าพี่ไม่ได้เป็นอะไร แค่เกรงว่าเจ้าจะสะดุด ผมเจ้ารุงรังเสียจริงเที้ยนหยวนพี่รวบให้นะ”

   ทรงรั้งร่างเล็กออกห่าง บังคับให้หันหลังด้วยว่าสุดจะกลั้นเต็มทีแล้ว พระหัตถ์ยกขึ้นสัมผัสเส้นเล็ก ค่อยจับเข้ามารวบไว้ด้วยกันทีละนิด ยืดเวลาที่แสนสั้นนี้ออกไปให้ยาวนานที่สุด

   น้ำพระเนตรหลั่งรินโดยมิอาจห้ามทานได้ น้ำตามังกรที่ไหลออกมาด้วยความเจ็บปวดจนสุดกลั้นถูกปาดทิ้งในทันทีอย่างไร้ค่า พร้อมกับที่ปอยผมกลุ่มสุดท้ายถูกยกขึ้นผันด้วยผืนผ้ายาว “เสร็จแล้วเราออกไปกันเถอะเที้ยวหยวน”

   ทรงดำเนินนำร่างเล็กออกสู่ลานประลองด้วยพระทัยที่แตกร้าว เหลือเพียงสิ่งเดียวที่พระองค์จะให้แก่น้องน้อยได้....ชัยชนะในการประลองครั้งนี้

   ...หมดแล้วเวลาที่ทรงยื้อเอาไว้...จบสิ้งลงที่ตรงนี้....

   * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

   ราชครู ราชองค์รักษ์ทั้งแปด และหนึ่งขันทีประจำตำหนัก ต่างจับจ้องจ้องอยู่ที่กลางลานประลองกว้างที่มีเพียงคนสองคนกับอาวุธในมือ หากแต่สายตาของคนทั้งคู่กลับไม่ได้จ้องที่จะประหัตประหารกันเลย

   มีดสั้นในมือเล็กวาวคมเล่นกับแสงอาทิตย์ไม่น้อยไปกว่ากระบี่ในพระหัตถ์หนา คนทั้งสองต่างโค้งกายให้แก่กัน และก้าวถอยหลังห่างออกไปจนเกือบสุดลานประลองแห่งนี้

   ใบหน้าหวานยิ้มส่งให้แก่ฮ่องเต้หนุ่มอย่างยีนดี ในใจคิดเพียงว่าอีกไม่นานก็จะปลดเรื่องทุกข์นี้ออกไปจากใจได้ ไม่ต้องกังวลกับวันเวลาใดๆอีก จะขออยู่ที่นี้เป็นต้นห้องที่ได้นอนซุกในพระอุระไปชั่วชีวิต

   พระหัตถ์หนากอบกุมกระบี่ไว้ในมือ รู้สึกถึงน้ำหนักที่มากล้นกว่าทุกครั้ง จนแทบไม่อาจถือไว้ได้อีก จ้องมองรอยยิ้มกว้างที่ฉายชัด บอกให้องค์เองได้รู้ว่า หนทางที่เลือกนั้น ถูกต้องแล้ว....ไม่เช่นนั้นน้องน้อยจะยิ้มกว้างขนาดนี้ได้หรือ

   ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาจนหนักอึ้งในพระทัย ทำให้พระองค์ทำได้เพียงแค่ตั้งรับอยู่กับที่ จนผู้คนที่อยู่รอบขอบสนามมองอย่างประหลาดใจ ไม่มีครั้งการประลองครั้งไหนที่ฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้จะทรงอยู่กับที่อย่างยอมรับความพ่ายแพ้เช่นครั้งนี้

   ดวงตาโตของอ๋องน้อยมองวรองค์สูงอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดจึงประทับนิ่งเช่นนั้น ทั้งที่องค์เองก็เคยตรัสไว้ว่า ในสนามประลองนั้นการยืนนิ่งถือเป็นสิ่งอันตราย และไม่ควรทำ

   ด้วยความคุ้นชินกับฮ่องเต้หนุ่ม ทำให้ร่างบางนึกไปเองว่าคงทรงเป็นห่วงหากเป็นฝ่ายบุก ร่างเล็กจึงวิ่งเข้าหาคมกระบี่ เพื่อให้การต่อสู้ครั้งนี้จบสิ้นลงเสียที..ความรู้สึกที่น่าอึดอัดจะได้ผ่านพ้นไปเสียที

   ฮ่องเต้หนุ่มทอดมองร่างเล็ก ที่พุ่งเข้ามาราวกับหลุดธนูหลุดจากแล่ง แล้วได้แต่เจ็บร้าวในพระทัย น้องน้อยคงอยากออกไปสู่อิสรภาพเต็มที่เสียแล้ว เหมือนดั่งนกน้อยที่มองเห็นประตูกรงเปิดอยู่ มีหรือจะไม่ถลาตัวออกไป แม้จะมองเห็นพญาเหยี่ยวรออยู่ไม่ห่างก็ตาม

   น้ำพระเนตรไหลรินอย่างช้าๆ มองมีดสั้นในมือเล็ก หากยังคงเป็นเช่นนี้มันคงจะแทงทะลุเข้าสู่พระนาภีจนบาดเจ็บสาหัส แต่หากจะปัดป้องก็เสี่ยงหรือเกินที่น้องน้อยจะบาดเจ็บจากคมกระบี่....ซึ่งพระองค์คงไม่ยอมให้เกิดขึ้นได้เป็นแน่

   ฮ่องเต้อี้หลงโน้มพระวรกายไปข้างหน้าทีท่าคล้ายจะก้มหลบ หากแต่สายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่ปลายคมแหลมอย่างไม่วางพระเนตร ให้คมมีดเฉือนเข้าต้นพระพาหาเป็นทางยาว สร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคน

   ความเจ็บจากบาดแผลไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่พระองค์ทรงรู้สึกด้วยหัวใจ สามเดือนที่ผ่านมาจบลงแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับ พระโลหิตไหลซึมเสื้อทรงออกมา แทนน้ำพระเนตรที่ไม่อาจหลั่งต่อหน้าผู้ใดยามตรัสคำพูดที่แสนเจ็บปวด  “เจ้าชนะแล้วเที้ยวหยวน”

   ร่างบางนิ่งงันยามได้ยินรับสั่งจากร่างสูง เรี่ยวแรงที่อยู่เหือดหายไปจนหมดสิ้น มีดเล่มเล็กในมือถูกปล่อยล่วง หันกายหลับมามองพระพักตร์เข้มดุจไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและรับสั่งที่ได้ยิน

   อ๋องน้อยสุดจะฝืนต่อไปได้ ทรุดกายลงกับพื้นอย่างสิ้นสภาพ แม้แต่น้ำตายังไม่อาจบีบเค้นให้ไหลออกมาได้ “ท่านมอบมีดให้ข้าเพราะเหตุนี้ใช่ไหม เพราะท่านสูงส่งเกินกว่าจะโดนมีดไร้ราคาเฉือนกายใช่ไหม ท่านคิดจะทำแบบนี้แต่แรกแล้วรั้งข้าไว้ทำไมตั้งสามเดือน ที่ผ่านมาท่านทำเพื่อสิ่งใดกัน”
   
   พระพักตร์คมประทานรอยยิ้มอ่อนโยนให้แก่น้องน้อยเป็นครั้งสุดท้าย แม้พระองค์จะทรงรวดร้าวปานพระทัยกำลังแตกสลายก็ไม่ต่าง “เที้ยวหยวนเจ้าชนะแล้ว ทุกอย่างที่เคยเป็นของเจ้าพี่คืนให้ ฮวางหูตามข้าไปทำแผลที่ห้องหนังสือด้วย” วรองค์สูงเดินออกจากลานประลองอย่างสง่างาม ด้วยสายเลือดแห่งมังกรที่วนเวียนอยู่ในพระวรกาย จนไม่อาจแสดงความอ่อนแอให้ผู้ใดเห็นได้

   ผู้คนล้วนจากไปจนหมด หลงเหลือเพียงร่างบางทรุดกายนิ่งอยู่เพียงลำพังอย่างสิ้นหนทาง ใบหน้าที่เคยระบายด้วยรอยยิ้มร่าเริงสดใสอยู่เสมอ หลงเหลือเพียงความเรียบเฉย ดวงตากลมทอดมองไปยาวไกลเกินกว่าจะจับจ้องอยู่ที่สิ่งใด

   “ท่านเที้ยนหยวนกลับเข้าในตำหนักก่อนเถอะนะ อย่านั่งตากแดดอยู่ตรงนี้เลย เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้นะ” ขันทีอู่กงกงเดินเข้ามาประคองร่างบางที่นั่งอยู่ ฉุดให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินกลับเข้าตำหนักอย่างแสนสงสาร อ๋องน้อยที่เหมือนไม่รับรู้อะไร จะจับหันซ้าย หันขวาย่อมได้ คล้ายคนไร้จิตวิญญาณ

   ขันทีเฒ่าที่ร่างกายบอบบางไม่ต่างกันประคองร่างเล็กลงนอนบนพระแท่นบรรทม “ท่านนอนพักเสียก่อนนะ แล้วค่อยทำอย่างอื่น ข้าจะคอยอยู่ข้างนอก”

   “ไม่! ข้าจะเก็บของ ข้าจะออกจากวังนี้” ทันทีที่ร่างกายสัมผัสถึงความอ่อนนุ่นของแท่นบรรทม ความทรงจำมากมายที่เกิดขึ้นบนเตียงนี้พรั่งพรูขึ้นมา จนไม่อาจทนได้อีกแล้ว

   ร่างกายที่ไร้หัวใจเดินไปรวบเสื้อผ้าของตนเองที่ถูกจัดเก็บอย่างประณีต มายัดลงหีบใบเล็กที่พาติดตัวเข้ามาในวัง หยาดน้ำร้อนคลออยู่เต็มสองดวงตา แต่ตำแหน่งที่ได้มาพร้อมกับการถือกำเนิดก็ทำให้ต้องแสร้งแข็งแรงต่อหน้าใครๆ

   ป้ายหยกประจำตำแหน่งปาหยางอ๋องถูกส่งคืน มือบางนำมันมาคล้องไว้สายเชือกพันรอบเอว ก่อนยกหีบที่เก็บของทุกอย่างลงไปเรียบร้อย

   “ท่านอ๋องท่านลืมมีดเล่มนี้” อู่กงกงยื่นมีดเล็กที่หยิบมาด้วยจากลานประลองแก่เจ้าของ ด้วยคิดว่าคงลืมเอาไว้โดยไม่เจตนา

   มีดเล็กที่ประดับด้วยของสูงค่าในสายตาช่างพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำที่คลอหน่วง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองขันทีที่อุตส่าห์ถือมันกลับมาด้วย “มันไม่ใช่ของข้าแต่แรกแล้ว เก็บถวายคืนเจ้าของเหอะ แล้วเราคงได้พบกันที่ข้างนอกบ้างนะอู่กงกง”
   
   “แล้วท่านจะไม่อยู่ทูลลาฮ่องเต้หน่อยหรือ” ใบหน้าที่มากด้วยริ้วรอยมีน้ำใสไหลรินอย่างช้าๆ เพียงแค่สองเดือนกว่าที่ได้ใกล้ชิดก็สร้างความผูกพันให้ไม่น้อยเลย

   “ไม่หรอก หากพระองค์อยากได้คำทูลลาจากข้า ก็คงอยู่ที่นี้ ในเวลานี้ ข้าไปก่อนนะอู่กงกง” อ๋องน้อยค่อยๆก้าวเดินอย่างช้าๆ พร้อมหีบเล็กในมือ และน้ำตาที่ไหลลงอย่างสุดกลั้น

   .....ไหนท่านว่าคืนทุกอย่างให้กับข้า ใยไม่คืนหัวใจของข้ามาด้วย....

   จากหน้าต่างห้องทรงอักษร ฮ่องเต้อี้หลงกำลังทอดมองน้องน้อยเดินห่างไปทุกขณะ พระโลหิตที่ต้นพระพาหาหยุดไหลแล้ว แต่น้ำพระเนตรในใจกำลังเอ่อท่วมอยู่ภายในอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดลงได้

   ขอให้เจ้ามีชีวิตที่สุขสบาย ได้พบกับหญิงงามที่รักเจ้าไม่น้อยไปกว่าพี่

   ...ลาก่อนน้องน้อย....
   
* ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
สวัสดีคะ ความสุขยังไม่ทันจาง ความเศร้าก็ลงมาตู้มใหญ่ๆๆ (ใหญ่จริงๆนะคะ เพราะเศร้าที่สุดแล้วของเรื่อง) ในที่สุดท่านอ๋องก็ได้ออกจากวังเสียที เฮ้อออออ

ขอบคุณคะ


   


   
   



ออฟไลน์ Piaanie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
แง่ะ ฮอ่งเต้อ่ะทำไมไม่ชนะเล่าโธ่ ไม่งั้นก็ได้อยู่ต่อแล้วจะมาเป็นคนดีเสียสละซะงั้น เจ๊ไม่ปลื้ม เชอะ  :z6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






O_a

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมทั้งสองคนถึงไม่พูดความต้องการจริงๆ ของตัวเองออกมา
บอกรักก็บอกแล้ว
แต่เอาคิดเออเองกันทั้งคู่
คำว่า รัก คำเดียวมันไม่พอจริงๆเหรอ
ในเมื่อทั้งคู่ไม่มั่นใจในรักของอีกฝ่าย
ก็ต้องปล่อยให้รักของตัวเองหายไป

ตอนนี้อ่านแล้วอึดอัดมากมาย

ice-vanilla

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ได้เข้ามาไม่กี่วัน เจอมาม่าชามใหญ่ซะงั้น :o12:

ถ้าคุณ Jellyfish ไม่บอกว่าจบ happy เราคงช้ำใจล่วงหน้าไปเรียบร้อย

คิดเองเออเองกันแบบนี้แล้วมันจะลงเอยกันยังไงอ่ะ :sad4:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
อ๊ายยยยยยยยยย   ไม่เจงงงงงงง   ฮืออออออ    ตาฮ่องเต้อย่าทำเป้นคนดีที่ชอบเสียสละไปหน่อยเลยน้องน้อยจะออกจากวังแล้วนะรีบไปฉุดกับมาดิ  แง่ง :serius2:

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
ต่างคน ก็ต่างคิด

ฮองเต้โง่เขลาเบาปัญญากับเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ

ออฟไลน์ jellyfish

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
ประลองรัก...十九

   วังทู่หลงที่ปิดเงียบมานานด้วยเจ้าของวังถูกเนรเทศไปอยู่ยังถิ่นทุรกันดาร แม้นตอนนี้จะมีเจ้าของวังคนใหม่ หากแต่ก็ไม่ต่างไปจากเดิม ทั้งวังยังคงเงียบเหงา มีข้ารับใช้ที่ทำหน้าที่ต่างๆภายใต้การดูแลของพ่อบ้านประจำวังเท่านั้น ในขณะที่เจ้าของวังกลับเอาแต่เก็บตัวเงียบ

   “นี้แก ธุระที่ข้าให้ไปจัดการหน่ะเรียบร้อยหรือยัง” พ่อบ้านหุ่นอ้วนท้วนถามเสียงเคร่งกับคนงานในบ้านที่ใช้ออกไปทำธุระ

   “เรียบร้อยแล้วขอรับลุงฟู่ไห่ นางว่าค่ำๆจะจัดส่งมาให้” อี้หลุนก้มหน้าตอบพ่อบ้านเก่าแก่ประจำวังทู่หลงหลังจากที่สวนทางหน้าประตูครัวที่พ่อบ้านเดินออกมาพร้อมกาน้ำชาในมือ

   “ดีแล้ว ข้าสงสารท่านอ๋อง ท่านเอาแต่นิ่งเงียบเก็บตัวตั้งแต่ออกจากวังหลวง เผื่อว่าบางทีท่านอาจจะสดชื่นขึ้น” สีหน้าพอใจของพ่อบ้านพาให้อี้หลุนดีใจที่ไม่ถูกด่าแต่วัน

   ใครๆก็รู้กันทั่ววังทู่หลงว่า ลุงฟู่ไห่ผู้นี้รักและเอ็นดูท่านอ๋องมากเพียงใด เมื่อครั้งเก่ายามที่ท่านอ๋องเป็นเพียงชายผู้มีรักเดียวและเสียใจจากการถูกหญิงสาวที่ภัคดีทอดทิ้งก็ได้พ่อบ้านผู้นี้คอยปลอบใจ พาออกหาความสำราญกับการเที่ยวเล่นหญิงงามจนกลายเป็นอ๋องเจ้าสำราญไปเสีย....นี้ก็คงคิดหวังใช้วิธีเดิมชักนำอ๋องน้อยคนเก่ากลับมา

   “แล้วเจ้าได้ถามหรือเปล่าว่าทางนู้นจะส่งใครมา” เหมือนจะชุกคิดขึ้นได้ พ่อบ้านฟู่ไห่จึงรีบถามก่อนที่อี้หลุนจะเดินจากไป

   “เอ่อ....ข้า..ไม่ได้ถามขอรับ” อี้หลุนที่คิดว่าจะรอดตัวตอบกลับแบบตะกุกตะกัก นึกอย่างเตะตัวเองที่พลาดจนได้

   “เออ ไม่ได้เรื่อง ไปไหนก็ไปไป้” พ่อบ้านอ้วนไม่พอใจหากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงตัดใจเดินไปตามระเบียงกว้างสู่ห้องของเจ้าของวังคนใหม่

   “ท่านอ๋องขอรับ ลุงขอเข้าไปนะขอรับ”

   “อือ เข้ามา” เสียงอ้อแอ้ของอ๋องน้อยดังลอดประตูออกมาทำให้พ่อบ้านได้แต่ลอบถอนหายใจ อดไม่ได้ที่จะสงสารยิ่งได้เห็นสภาพที่เคยเป็นคุณชายหนุ่มรูปงามหลงเหลือเพียงขี้เมาทรุดโทรม ก็ไต้แต่หวังว่าสิ่งที่คิดไว้จะได้ผลเช่นวันวาน

   “ลุงนำน้ำชามาให้ท่านอ๋อง~”

   “ข้าสั่งเหล้า ไม่ใช่น้ำชาแบบนี้” อ๋องน้อยที่นั่งกอดไหเหล้าอยู่บนเก้าอี้กลางห้องตวาดถามเสียงดัง แม้จะปวดหัวจนทรงกายไม่อยู่แล้วก็ตาม

   เสียงตวาดไร้น้ำหนักไม่อาจทำให้ผู้เฒ่าเกรงกลัวได้ “แต่ท่านอ๋องเอาแต่ดื่มเหล้าแทนน้ำเช่นนี้มาเป็นอาทิตย์แล้ว ดื่มน้ำชาแล้วนอนพักเสียหน่อยไม่ดีกว่าขอรับ หากเป็นอะไรไป~”

   “ทำไมจะเป็นอะไรลุง คนอย่างข้าเป็นอะไรไป ใครจะมาสนใจ ไปเอาเหล้ามา เอามาอีกเยอะๆ ข้าจะกินจนตายไปนั่นแหล่ะ อยากรู้นักว่าที่พูดว่ารักข้า จะมาสนใจข้าบ้างไหม หรือมันก็แค่ลมปากที่เชื่อไม่ได้ ไปเอาเหล้ามา เอาเหล้าอะไรมาก็ได้ แต่ไม่ต้องเอาเหมาไถมาให้ รู้ไหม” เพราะเมาจนขาดสติ ทำให้ปาหยางอ๋องคนใหม่พร่ำเพ้อ นึกอยากรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นความจริง หรือแค่คำลวง

   จากถ้อยคำของอ๋องที่แกเลี้ยงดูมาแต่เล็ก ทำให้พอเดาได้ออกแบบรำไรว่า สามเดือนในวังหลวง อ๋องของแกคงได้ไปผูกใจรักใคร่ไม่นางในรูปงาม หรือขันทีน้อยเข้าเสียแล้ว และครั้งนี้คงเป็นรักจริงที่ไม่ต่างจากรักแรกที่ทำให้เจ็บปวด...โธ่ ท่านอ๋องของลุง

    พ่อบ้านใหญ่ยอมจำนนนำไหเหล้าไหใหม่เข้ามาให้อ๋องผู้พ่ายรัก แต่กลับพบว่าผู้ที่ร่ำร้องหาสุราได้เมาจนซุกอยู่กับโต๊ะ ในมือยังจับจอกเหล้าเอาไว้แน่น ต้องค่อยเอาออก ก่อนพาไปนอนที่เตียง “ข้างนอกหน่ะ มีใครอยู่บ้างไหม ไปหาน้ำอุ่นมาให้ท่านอ๋องเช็ดตัวหน่อย”

   จื้อลี้เดินนำน้ำอุ่นเข้ามาภายในห้องพร้อมด้วยผ้าสำหรับเช็ดตัว มองหน้าพ่อบ้านอย่างสงสัยว่าจะให้ทำเช่นไรต่อไป

   “เอ้า มองหน้าข้าทำไม ก็เช็ดตัวให้ท่านอ๋องสิ”

   “ขอรับ” จื้อลี้รับคำอย่างว่าง่าย ปลดเสื้อที่ท่านอ๋องสวมใส่ แล้วต้องลอบกลืนน้ำลายกับร่องรอยสีจางบนผิวขาว แม้ท่านอ๋องจะออกจากวังมาได้อาทิตย์กว่า แต่รอยเหล่านี้ยังดูชัดเจน

   แผ่นอกขาวเต็มไปด้วยรอยรักที่บางจุดจางลงไปไม่มาก จนข้ารับใช้หนุ่มนึกอิจฉาท่านอ๋อง สาวที่กระทำรอยได้เข้มเช่นนี้ย่อมมีลีลารักที่ร้อนแรง ไม่แปลกที่ท่านอ๋องจะอาวรณ์จนปล่อยให้ตัวเองเมามาย

   ....สาวในวังเร่าร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ.....

   พ่อบ้านผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานอย่างฟู่ไห่ จ้องมองอกขาวๆของท่านอ๋องแล้วยิ่งแน่ใจในความคิด....สาวผู้นี้คงผูกใจท่านอ๋องได้อย่างลึกซึ้ง “เห็นแล้วอย่าเอาไปพูดให้ใครฟังรู้ไหม”

   แต่สาวในวังจะเทียบได้หรือกับสิ่งที่ลุงจัดหาให้ไม่ช้านานท่านจะลืมนางผู้นั้นได้....ลุงสัญญา


   * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

   ดวงตาโตปรือขึ้นมาหลังจากหลับไปนานช่วงกลางวัน หวังจะได้เห็นพระพักตร์คมเข้มและรอยแย้มพระโอษฐ์แสนอบอุ่นอย่างที่เห็นประจำ แต่ภาพที่เห็นจนเจนตากลับเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น

   น้ำตาเม็ดเล็กไหลลงมาที่ข้างแก้มโดยไม่ทันรู้ตัว สองมือปาดออกอย่างไม่ใยดี ก่อนพลิกกายนอนคว่ำให้หน้าคว่ำลงกับหมอนใบใหญ่ไม่ยอมรับว่ากำลังร้องไห้ ทั้งที่ในใจก็แทบทนไม่ได้แล้ว “เพียงแค่อาทิตย์กว่าๆ ข้าก็แทบทนไม่ได้เสียแล้ว เพราะท่านองค์เดียว ไหนว่ารักข้าแล้วทำเช่นนี้ทำไม ท่านเป็นฮ่องเต้ที่ใจร้ายที่สุดเลย”

   “ท่านอ๋องค่ะ  อยู่ไหม” เสียงเรียกแปลกหูดังจากหน้าประตูทำให้ร่างบางที่กำลังร้องไห้กับหมอนหนุนต้องรีบลุกขึ้น เช็ดใบหน้าให้เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู

   “ใคร? มาเรียกข้าทำไม” เสียห้วนถามดังไม่สนใจว่าเสียงจากอีกฝากของประตูจะหวานหูเพียงใดก็ตาม

   “ท่านอ๋องเปิดประตูหน่อยขอรับ”

   เสียงทุ้มที่คุ้นเคยของพ่อบ้านใหญ่ทำให้ร่างโปร่งยอมเปิดประตูห้อง ก่อนพบกับร่างเล็กของสาวงามที่รูปร่างแสนอวบอัดในชุดแสนบางเปิดเผยทุกสัดส่วน”เธอเป็นใคร”

   “ท่านอ๋องจำไห่ซินไม่ได้หรือค่ะ อะไรกันแค่สามเดือนท่านอ๋องก็ลืมเลือนข้าไปเสียแล้ว ไหนเลยหญิงโคมแดงหรือจะสู้นางในได้ ช่างน่าน้อยใจนัก” เสียงหวานถูกดัดแหลม มือเล็กยกผ้าผืนน้อยขึ้นซับหางตาเบาๆดูน่าสงสารยิ่งนัก

   ดวงตาโตหรี่แคบมองท่าทางมากจริตที่เคยเห็นว่าน่ามองอย่างรำคาญ ก้มมองต่ำเห็นเนินเนื้อใต้ผืนผ้าบางสีหวาน แล้วเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายจนแสดงออกทางสีหน้า “รู้ตัวก็ออกไปจากบ้านข้าซะ ลุงฟู่ไห่แล้วคราวหลังอย่าให้ใครเข้ามาได้อีก”

   “แต่ท่านอ๋อง ท่าน...โธ่! เอ้านี้เงินของเจ้า แล้วกลับไปที่หอโคมแดงก่อนไป” พ่อบ้านอ้วนนำเงินค่าจ้างจ่ายให้กับสาวงามจากหอโคมแดง มองให้พ้นสายตา จึงเคาะห้องท่านอ๋องอีกครั้ง”

   “มีอะไรอีกเล่าลุง” เสียงแสนเบื่อหน่ายดังมาจากข้างใน

   “ลุงขอเข้าไปนะขอรับ” ไม่มีเสียงตอบกลับจากภายใจ แต่มือบวมๆก็ลองผลักประตูแผ่วเบา น่าแปลกที่ท่านอ๋องไม่ได้ลงดาลขัดเอาไว้ 

   ใบหน้าหมองคล้ำ ขอบตาแดงช้ำเลอะหยาดน้ำตาของท่านอ๋องพาให้พ่อบ้านเศร้าใจตามไปด้วย “ท่านอ๋องไม่ออกไปข้างนอกบ้างหรือขอรับ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในนี้”

   “ลุงจะให้ข้าออกไปไหน ข้าพึ่งกลับมาอยู่บ้านได้แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น” ดวงตากลมเหลือบมองคนเก่าแก่ เข้าใจในความหวังดี แต่ก็ไร้อารมณ์เกินกว่าจะออกไปข้างนอก

   “ลุงหมายถึง....ให้ท่านอ๋องออกไปเที่ยวเล่นบ้าง ลุงไม่สบายใจเลยที่เห็นท่านอ๋องเอาแต่เก็บตัวซึมเศร้าอยู่แต่ในห้องเช่นนี้ ลุงเป็นห่วงนะขอรับ” ฟู่ไห่พูดออกมาจากใจ นับแต่ออกมาจากวังหลวงคนตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลงไป เอาแต่หมกตัวดื่มเหล้าอยู่ในห้องไม่ยอมไปเที่ยวที่ไหน และไม่ร่าเริงเหมือนก่อน

   “นั่นสินะ ทำไมข้าต้องมานั่งซึมเศร้าให้คนที่รักเป็นห่วงข้าเช่นนี้ ข้าจะไปเศร้าเพื่อคนที่ไม่รักข้าจริงทำไมกัน ข้างนอกมีอะไรสนุกรอข้าอีกตั้งเยอะใช่ไหม” ใบหน้าหวานที่ยังเจือปนความเศร้าหันมาถามชายชรา ให้ใบหน้าอ้วนกลมพยักรับ “ข้าขอโทษที่ทำให้ลุงเป็นห่วง ลุงออกไปให้คนเตรียมน้ำไว้ให้ข้าอาบหน่อย คืนนี้ข้าอาจจะนอนข้างนอกไม่กลับมา”

   เมื่อได้คำสั่งอย่างที่ใจปรารถนาแม้จะเกินมานิด หากแต่ก็ทำให้ลุงพ่อบ้านดีใจ รีบออกไปสั่งการให้เด็กรับใช้เตรียมน้ำไว้รอท่าปาหยางอ๋องคนใหม่ที่จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

   เที้ยนหยวนมองตามพ่อบ้านชราแล้วได้แต่ถอดถอนหายใจ ได้แต่นิ่งคิดว่าปล่อยให้เวลาหายไปกับความเศร้าเสียมากมายทำไม ทั้งที่ก็ยังมีคนที่รักและหวังดีเช่นลุงฟู่ไห่ผู้นี้อยู่

   ต่อไปนี้ ข้าจะไม่เศร้าเพราะท่านอีกแล้ว...ฮ่องเต้ใจร้าย

   ร่างบางใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำ แต่งตัวให้กลายเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่มีรูปงานยวนตา มากล้นด้วยเสน่ห์ดังเช่นวันวานก่อนเข้าวังหลวง

   พร้อมแล้วสำหรับออกท่องราตรี...ที่ร้างลาไปนาน

   * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

   ขาเรียวย่างก้าวเข้าไปในหอโคมแดงชั้นเลิศที่ร้างลาไปนาน บรรยากาศภายในยังคงเดิมที่มีการประมูลแย่งชิงสาวรูปงาม หากแต่วันนี้เขายังไม่พร้อมที่จะแย่งชิงผู้ใด

   “อ่ะ คุณชายหนุ่มเชิญนั่งทางนี้ก่อนค่ะ เด็กๆ มาดูแลคุณชายด้วยเร็ว อย่าให้ท่านต้องคอยนาน” แม่เล้าสายตาแหลมคมมองเพียงปราดเดียวก็รู้ได้ว่า คุณชายผิวขาวเนียนตัดกับชุดแดงผู้นี้ต้องเป็นชายหนุ่มมากด้วยเงินทองที่พร้อมจับจ่ายโดยไม่ยั้งคิดเป็นแน่

   “คารวะคุณชาย ข้าน้อยชื่อชิงหมิง ยินดีรับใช้คุณชายค่ะ ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไรหรือ พอจะบอกสาวผู้ต่ำต้อยเช่นข้าได้หรือไม่ค่ะ” เสียงอ้อนหวาและท่าทางเอาใจด้วยการรินเหล้าป้อนให้ถึงกลีบปากอิ่มไม่ทำให้อ๋องเที้ยนหยวนพอใจเช่นดังวันวานอีกแล้ว

   “ข้าชื่อเที....” กลีบปากอิ่มที่กำลังเอ่ยชื่อตนหยุดชะงัก ด้วยมีเสียงทุ้มที่ตราแน่นในใจเคยเรียกชื่อนี้เอาไว้ด้วยความอ่อนโยน จนไม่อาจให้ใครได้เรียกชื่อนี้ “เจ้าไม่ต้องรู้ชื่อข้าหรอก ทำให้ข้ามีความสุขก็พอแล้ว”

   “ได้ค่ะคุณชาย” ชิงหมิงน้อมรับอย่างอ้อนน้อม พยายามเบียดชิดให้เนินเนื้อแน่นสัมผัสต้นแขนเรียวทุกครั้งที่เธอประคองเหล้าจอกเล็กเข้าปากคุณชายหนุ่ม “หมดจอกนี้เลยนะค่ะคุณชาย”

   ใบหน้าใสเริ่มแดงก่ำเมื่อให้ลำคอผ่านเหล้าเข้าไปจนหมดไปหลายไห หากแต่หญิงงามข้างกายก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเทเหล้าให้อยู่เนืองๆ

   ความเมาเริ่มทำให้สติการรับรู้ลดน้อยลงทุกขณะ มือไม้ที่เคยอยู่นิ่งค่อยๆเลี้ยวลดไปตามส่วนเว้าโค้งภายใต้เนื้อผ้าบางเบา สูดดมกลิ่นนางที่หอมหวานเต็มปอด

   ริมฝีปากอิ่มระริมไปตามลำคอขาวหมายจะเชยชิมกลีบปากสีชาดที่แต่งแต้มมาอย่างดี หากสายตา
กลมไม่ไปปะทะกับสองบุรุษที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา

   หนึ่งในสองสายตาที่มองมาช่างน่ากลัวเสียจนต้องหยุดสิ่งที่กำลังจะกระทำ เบือนหน้าหนีไปทางอื่นเสีย ปล่อยให้หญิงงามที่เผยอริมฝีปากรับต้องคอยเก้อ

   “คุณชายเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ หรือว่าไม่พอใจชิงหมิงกัน” ใบหน้างามก้มนิดๆดุจดังละอายต่อความผิดแม้เพียงนิดที่เกิดโดยไม่รู้ตัว ช่างเป็นภาพที่แสนน่าสงสารเสียนี้กระไร

   นิ้วเรียวเชยคางเล็กขึ้นมาอีกครั้ง พยายามมองจ้องแต่เพียงใบหน้างดงามนี้ไม่เลยไปยังสองบุรุษที่นั่งอยู่ข้างหลังถัดไปเพียงไม่กี่โต๊ะ เรียวปากอิ่มก้มประทับกลีบปากสีสดอย่างช้าๆแผ่วเบา ก่อนละออกมา

   อ๋องน้อยกัดริมฝีปากแน่นเมื่อเผลอสายตาไปเห็นสองบุรุษที่นั่งอยู่ แววตาที่ทรงอำนาจชวนให้น่ากลัวดุจดั่งสิงห์หนุ่ม จ้องเหยื่อน้อยไม่วางตา

   “คุณชายเป็นอะไรไปค่ะ ทำไมหน้าซีด แล้วกัดปากตัวเองเช่นนั้น ไม่เจ็บหรือค่ะ” ชิงหมิงมองใบหน้าที่เปลี่ยนสีจากแดงเรื่อเพราะความเมาเป็นซีดเผือดอย่างสงสัย แล้วไหนยังกัดริมฝีปากตนเอง

   “เอ่อ......ข้าว่าเราไปบ้านกันเหอะ ข้าไม่ชอบที่นี้เอาเสียเลย เจ้าให้เด็กในร้านมาคิดค่าอาหารแล้วก็ค่าตัวเจ้าเสียสิ” อ๋องน้อยใบหน้าซีดเผือด สั่งให้ชิงหมิงทำตาม โดยที่ดวงตากลมยังลอบชำเลืองสองบุรุษที่พร้อมจะลุกเข้ามาหาได้ทุกเมื่อ

   เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเสร็จสิ้น อ๋องน้อยก็รีบพาหญิงงามออกจากร้านอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าเดินผ่านโต๊ะเล็กที่ไร้หญิงสาวดั่งที่โต๊ะในหอโคมแดงควรเป็น

   * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
   
   ในห้องหับที่ปิดชิด ร่างได้สัดส่วนของชิงหมิงกำลังเปิดเปลือยอย่างช้าๆด้วยฝีมืออ๋องน้อยที่ละห่างจากหญิงสาวไปนานถึงสามเดือน

   ยอดอกอิ่มชูชันรับอากาศเย็นยามค่ำคืน เชิญชวนให้มือเล็กเข้าไปกอบกุมสัมผัสความหนุ่นยุ่นของทรวงอกหญิงวัยกำดัด ก่อนที่ริมฝีปากเล็กจะเข้าครอบครองเม็ดเล็กที่ตั้งชันพร้อมสำหรับการเล้าโลมจากชายหนุ่ม

   อ๋องน้อยทอดมองใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความเขินอายปนปรารถนาแต่กลับถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเข้ม และแววตาน่ากลัวที่วันนี้ได้พบเจอ จนต้องส่ายหน้าขับไล่ภาพนั้นออกไปจากห้วงความคิด ก้มต่ำลงมาที่หน้าอกอิ่มและเพียงแค่เรียวลิ้นเล็กสัมผัสติ่งเม็ดเล็ก จมูกได้สูดกลิ่นกายหวาน แผงอกตึงแน่นด้วยกล้ามเนื้อของหนึ่งบุรุษที่คุ้นเคยก็ปรากฏชัดในมโนความคิดอีกครั้งจนยากที่จะขับไล่ออกไป

   ใบหน้างามเกินชายซุกซบกับสองเนินเนื้ออย่างยอมแพ้ต่อความคิดของตนเองที่ส่งภาพหนึ่งบุรุษเข้ามาหลอกหลอน..... ท่านทำกับข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือฮ่องเต้

   จะไม่ปล่อยให้ข้ากลับไปใช้ชีวิตได้ดังเดิมเลยใช่ไหม

   “อุ้ย! คุณชายเป็นอะไรค่ะ ร้องไห้ทำไมกัน” เสียงร้องอย่าตกใจ เมื่อความชื้นที่สัมผัสได้นั้นช่างร้อนผ่าว เกินกว่าจะเป็นสายน้ำจากโพรงปาก

   “ข้า....เปล่า.....เจ้าออกไปเถอะ จะกลับเลยก็ได้” อ๋องน้อยไม่อาจกลั้นน้ำตาตนเองได้อีกต่อไป หันหลังให้แก่หญิงสาวรูปงามที่หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีทางปล่อยให้พ้นมือไปได้

   ท่านทำให้ข้าเป็นถึงขนาดนี้ ท่านต้องรับผิดชอบ....ฮ่องเต้อี้หลง

   * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

สวัสดีคะ อย่าพึ่งรำคาญคนทั้งสองนะคะ บางทีศักดิ์ศรี(โง่ๆ) ก็ค้ำคอให้ทำอะไรงี่เง่าๆได้ตั้งมากมาย

ขอบคุณคะ


ออฟไลน์ Pikky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 492
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-0
ตอนล่าสุดเศร้าจังเลยคะ เหมือนจะเข้าใจกันแล้วแท้ๆๆ
 
แต่สุดท้ายฮ่องเต้ก็ตีความรู้สึกของอ๋องน้อยผิดไปอีกแล้ว :เฮ้อ:

แล้วอย่างนี้จะเจ็บกันอีกนานไหมอ่า กว่าจะคืนดีกัน

ชอบอ่านแบบว่า อ๋องน้อยอ้อน แล้วก็เอาใจฮ่องเต้อ่ะ  :o8:

 :L2: เอาดอกไม้ให้ไรเตอร์ที่ขยันอัพมากกกก ตามอ่านแทบไม่ทัน

ออฟไลน์ Piaanie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
อึดอัดจัง สงสารท่านอ๋องน้อยด้วย ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วกลับมาสำราญแบบเก่าไม่ได้ซะแล้ว โถๆ โกรธฮ่องเต้แล้ว เชอะ  :z6:

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
ไม่มาหาที่วัง แต่ไปที่หอโคมแดงหรือ
เป็นไรมากป่าวเนี้ยะฮองเต้

ออฟไลน์ kitty

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +258/-7

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
เบื่อจริงๆ รีบง้อกันเร็วๆเข้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






O_a

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้อ ไปเจอที่หอโคมแดงแบบนี้
จะยิ่งเข้าใจผิดหรือเปล่า
ก็ได้แต่หวังว่า ฮ่องเต้จะหึงจนหน้ามืด
จับน้องน้อยไปขังลืมไว้ที่ห้องบรรทมในวัง
ไม่ให้ออกไปเจอใครอีก

ออฟไลน์ jellyfish

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
ประลองรัก...十九    



นับแต่วันที่เที้ยนหยวนเดินออกจากวังหลวงไป เขตพระราชฐานส่วนพระองค์กลับคืนสู่ความเงียบเหงาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ช่างเงียบเหงาเสียจนไร้ชีวิตดุจดังต้นไม้ยามฤดูใบไม้ร่วง ที่ได้แต่ยืนต้นแห้งเหี่ยว

   ฮ่องเต้หนุ่มเฝ้าเพียรขังองค์เองไว้ห้องทรงอักษรไม่ย่างพระบาทกลับสู่ห้องบรรทมอีกเลยนับแต่คืนนั้น ด้วยห้องแห่งนั้นมากล้นด้วยภาพความทรงจำสีหวานมากมาน

   “เที้ยนหยวนเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง อยู่ข้างนอกนั้นคงสุขสบายดีไม่น้อยใช่ไหม พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน” สุรเสียงแว่วดังมาจากห้องทรงอักษรพาผู้ได้ยินต้องลอบถอนหายใจอดสงสารผู้เป็นนายไม่ได้

   “กระหม่อมนำสำรับมาให้ พระองค์ทรงเสวยอะไรบ้างเถิด ตั้งแต่วันนั้นพระองค์ก็เอาแต่ทรงงานหนักเช่นนี้ ไม่ได้เสวยอะไรหนักๆ~”

   “เอาวางไว้ตรงนั้นก่อนเถอะ เราหิวแล้วจะไปกินเอง” ฮ่องเต้หนุ่มทรงขัดคำพูดของขันทีเฒ่าก่อนที่จะได้พูดจนจบประโยค

   ในเวลาเช่นนี้ ลำคอของพระองค์มันช่างแห้งผากเกินกว่าจะส่งผ่านสิ่งใดลงไปในลำคอได้ ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลได้ลอยหายไปหลงเหลือเพียงความรัก และห่วงหาในน้องน้อยเท่านั้น

   “แต่พระองค์จะทรงประชวรเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ด้วยความเป็นห่วงทำให้ขันทีร่างเล็กอาจเอื้อมกล่าววาจาเตือนฮ่องเต้หนุ่มผู้ทรงโดนพิษรักเล่นงาน

   “เราไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าออกไปได้แล้วอู่กงกง เราอยากอยู่คนเดียว” รับสั่งเสร็จสิ้น ฮ่องเต้ก็ทรงเบือนพระพักตร์ไปทางหน้าต่างบานแคบที่เคยใช้ทอดพระเนตรน้องน้อยเดินจากไป

   “หากพระองค์ประสงค์สิ่งใดขอให้ทรงเรียกกระหม่อมได้ตลอดเวลา”

   “เจ้าออกไปเถอะ เรามีอะไรแล้วจะเรียกเอง” เป็นอีกครั้งที่ขันทีผู้นี้โดยขัด ด้วยสุรเสียงแสนหม่น ก่อนที่อู่กงกงจะยอมล่าถอยออกห่างปิดบานประตูห้องทรงอักษรเสียแผ่วเบา

   แม้วัยจะล่วงเลยจนร่างกายเหี่ยวย่น หากแต่สายตาก็ไม่ฝ้าฝางเกินกว่าจะมองเห็นหยาดพระเนตรที่รินไหลอยู่เงียบ พาให้หัวใจของข้ารองบาทหวาดหวั่นไม่ได้

   อำนาจแห่งรักที่มากล้น...พึ่งประจักษ์ชัดก็ครานี้

   เพราะความเป็นห่วงนายเหนือหัวพาให้อู่กงกงมาหยุดอยู่หน้าทหารยามสองคนที่ประจำการเรือนพักท่านราชครูในวังหลวง “ท่านราชครูอยู่ที่นี้หรือเปล่า”

   “อยู่ขอรับ แต่ท่านสั่งไว้ว่าหากไม่มีกิจสำคัญให้มาใหม่ เวลานี้ท่านกำลังปรึกษาเรื่องสำคัญกับท่านหัวหน้าราชองค์รักษ์ฮวางหูอยู่” ทหารเลวทั้งสอง ยื่นไม้พลองขนาดใหญ่เข้าขวาง ถ่ายทอดคำพูดของราชครูให้ผู้มาเยือนได้รับรู้

   “ธุระสำคัญกับท่านฮวางหูงั้นหรือ” ขันทีเหี่ยวพึมพำกับตนเองพลางใช้ความคิด “ดีเลย งั้นเจ้าเข้าไปเรียนท่านราชครูว่าข้ามาหา มีเรื่องร้อนใจมาก น่าจะเป็นเรื่องเดียวกับที่ท่านทั้งสองกำลังปรึกษากันอยู่”

   “ขอรับ กรุณารอตรงนี้สักครู่ ข้าน้อยจะเข้าไปเรียนท่านราชครูให้ทราบเสียก่อน” หนึ่งในสองของทหารยามเดินหายเข้าไปในเรือนพักหลังเล็กหากแต่งด้วยของสูงค่า สมฐานะราชครูในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

   รอเพียงไม่นานทหารยามผู้นั้นก็กลับมาอีกครั้ง นำขันทีชั้นสูงเข้าไปยังห้องทำงานของท่านราชครูที่บัดนี้มีหัวหน้าราชองค์รักษ์อยู่ร่วมด้วย

   “ท่านอู่กงกงมีเรื่องอะไรหรือถึงยอมออกจากราชฐานส่วนพระองค์มาหาข้าที่นี้ได้” ชายชรายศสูงพร้อมด้วยชายหนุ่มฉกรรจ์ ลุกขึ้นต้องรับขันทีที่พึ่งเข้ามาใหม่อย่างให้เกรียติ

   “ ข้ามีเรื่องร้อนใจ และอาจจะเป็นเรื่องเดียวกับที่ทำให้ท่านฮวางหูมาหาท่านถึงที่นี้เช่นกัน” ดวงตารีได้รูปลอบมองใบหน้าเคร่งเคียดของบุรุษทั้งสองแล้วยิ่งมั่นใจว่าตนคงคิดไม่ผิด

   “เช่นนั้นก็เชิญท่านนั่งลงก่อน ส่วนเจ้าออกไปปิดประตูหากวันนี้ใครมาหาข้า ให้บอกไปว่าข้าไม่อยู่ กลับไปที่จวนนอกวังแล้ว”

   “ขอรับท่านราชครู”

   ฮวางหูรอให้บานประตูปิดแนบแน่น ก่อนเอ่ยทายถึงเรื่องที่ทำให้ขันทีผู้เคร่งครัดต้องออกมาถึงที่แห่งนี้ “ที่ท่านมาหาท่านราชครูเกรงว่าจะเป็นเรื่องของฮ่องเต้ใช่หรือไม่”

   “เป็นเรื่องนี้ไม่ผิดแล้ว ท่านฮวางหู นับวันข้ายิ่งเป็นห่วงพระองค์ เกือบอาทิตย์มาแล้วนับแต่ที่ท่านอ๋องออกจากวังไป พระองค์ไม่ทรงเสวยอะไรเลยนอกจากน้ำแกงร้อนที่ข้าขอร้องให้ทรงเสวยบ้าง แต่นั่นก็น้อยเต็มที แล้วไหนยังจะทรงงานจนไม่กลับห้องบรรทมเลย ข้ากลัวเหลือเกินว่าจะทรงประชวรไป ได้แต่หวังพึ่งท่านราชครูให้ช่วยทูลองค์ฮ่องเต้บ้าง” สิ้นสุดคำพูดพร้อมด้วยลมหายใจที่พรั่งพรูของอู่กงกง พาให้ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น

   “จะให้ข้าช่วยพูดงั้นหรือท่านอู่กงกง เกรงว่าจะไม่ได้การ ใช่ว่าข้าไม่เคยทูล พระองค์ยามนี้อาการสาหัสเสียยิ่งกว่าเด็กรุ่นหนุ่มอกหักเสียอีก” ชายชราเครายาวได้แต่นั่งจิบน้ำชาระบายความทุกข์ร้อนออกมา หากแต่ก็ไม่อาจช่วยให้อะไรดีขึ้น

   “จะมีผู้ใดคาดคิดบ้างไหมนะว่าฮ่องเต้ผู้แสนปรีชาทั้งที่พระชนม์เพียงเท่านี้ จะพ่ายแพ้แก่ความรัก และโดยเฉพาะยิ่งป็นความรักที่มีน้องชายของพระองค์เอง”

   “นั่นสิ จะมีผู้ใดคาดคิดได้กัน” ฮวางหูรับคำของขันทีที่เอ่ยเปรยออกมา ก่อนพูดถึงสิ่งที่ตนได้เห็นมา “หากพระองค์ทรงเรียกหาน้ำจัณฑ์บ้างก็คงจะดีเสียกว่าทรงเงียบเช่นนี้ บางครั้งข้าเห็นว่าพระองค์สามารถทอดพระเนตรมีดเล่มที่ประทานแก่ท่านอ๋องได้เป็นนาน จนข้านึกกังวล”

   “ข้าได้ข่าวมาว่าทางวังทู่หลงเองก็เป็นทุกข์ไม่น้อยใช่หรือไม่ท่านฮวางหู” ราชครูเฒ่าหันหน้ามาทางเด็กรุ่นหนุ่ม ถามอย่างสงสัยกับข่าวที่ตนได้ยินมา

   “ขอรับท่านราชครู ข้าให้เด็กไปแอบสืบมาโดยไม่พระองค์ทรงรู้ ท่านอ๋องเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเรียกหาแต่เหล้าอยู่ทั้งวัน เมาแล้วก็หลับ ตื่นขึ้นมาก็ดื่มจนหลับไป เป็นอยู่อย่างนี้ตั้งแต่กลับไปแล้ว”

   “เฮ้อ ก็ทรงรักมากขนาดนั้น ส่วนท่านอ๋องแม้นนิสัยจะไม่ดีพร้อม แต่ก็รักองค์ฮ่องเต้มาก ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงยอมพ่ายในการประลองครั้งนั้น” อู่กงกงส่ายหน้าไม่เข้าใจสิ่งที่ฮ่องเต้หนุ่มทรงปฏิบัติ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนสวนทางต่อพระทัยโดยสิ้นเชิง

   “ไม่มีใครเข้าใจมังกรที่บินสูงได้หรอกท่านอู่กงกง เฉกเช่นเดียวกับมังกรที่ไม่เข้าใจชาวมนุษย์ที่เดินดินอยู่เบื้องล่าง แล้วยิ่งมีสิ่งกั้นขวาง เป็นฐานันดร และความขัดแย้งด้วยแล้ว ก็ยิ่งยากที่จะเข้าใจได้” ราชครูสูงวัยถ่ายทอดสิ่งที่ตนคิดออกมา พร้อมด้วยความหนักใจเหลือแสน

   ความขัดแย้งแม้จางหายไป หากแต่ฐานันดรที่ติดตัว ต่อให้ขัดถูเพียงใด ก็ไม่อาจจะลบล้างได้

   “หากเป็นเช่นที่ท่านราชครูพูด ทำไมเราไม่พามังกรโฉบลงต่ำ มองดูวิถีของมนุษย์เดินดินบ้างเล่า” คำพูดของหัวหน้าราชองค์รักษ์ จุดประกายความสงสัยให้แก่ผู้ฟังทั้งสอง เป็นอย่างยิ่ง

   “ท่านจะทำเช่นไร” ขันทีเหี่ยวมองหน้าราชองค์รักษ์อย่างแคลงใจในใบหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์นี้เหลือเกิน

   “ก็เชิญเสด็จออกนอกวังอย่างไรเล่า บางทีความครึกครื้นและสีสันที่มากล้นภายนอกจะช่วยให้ฮ่องเต้ของพวกเราทรงเกษมสำราญขึ้นมาได้บ้าง อาจมีหญิงงามที่รอให้ออกไปพบเจออยู่ ใครจะรู้”

   หัวหงอก หัวดำทั้งสามภายในเรือนท่านราชครูดูมีความหวังขึ้นมาบ้าง แม้จะรับรู้ว่าสิ่งนั้นช่างยากเหลือแสนที่จะให้พระองค์เปลี่ยนพระทัยให้แก่ผู้อื่นแทนที่ท่านอ๋องผู้เคยเจ้าสำราญ

   หัวใจมังกรมีเพียงดวงเดียว...และมอบให้แก่น้องน้อยไปจนหมดสิ้นแล้ว
   
    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

   “ฮวางหูเรากลับกันเสียที งานไหว้เจ้าครั้งนี้ไม่เห็นมีอะไรที่เราต้องออกมาดูด้วยตนเองอย่างที่เจ้าบอกเลย” คุณชายหนุ่มในชุดผ้าไหมน้ำเงินอย่างดี หันมาพูดกับข้ารับใช้ที่พยายามพาออกมางานศาลเจ้าที่เจ้าตัวบอกว่ามีบางสิ่งน่าสงสัยว่าเคลือบแฝงอยู่ในการจัดงานครั้งนี้

   “พระ เอ้ยคุณชายจะไม่เดินเที่ยวงานหน่อยหรือขอรับ ผู้คนออกมากมาย” ข้ารับใช้ร่างสูงใหญ่โน้มศีรษะลงต่ำอย่างนอบน้อม หวังดึงให้ผู้เป็นนายเดินเที่ยวในงามที่ผู้คับคั่ง หวังว่าอาจมสาวรูปงามเดินผ่านเข้าคลายเศร้าแก่จิตใจที่หม่นหมอง

   “ก็เพราะคนเยอะขนาดนี้ เราถึงอยากกลับ หากเจ้าอยากอยู่เราก็ไม่บังคับ คืนนี้เราอนุญาตให้เจ้าไม่ต้องกลับเข้าไปที่บ้านเราก็ได้” คุณชายหนุ่มระวังทุกคำพูดสายตาพลางจับจ้องผู้คนที่สัญจรไปมา

   “ได้อย่างไรฝ่า อ่ะ คุณชาย หากท่านอยากกลับ ข้าน้อยก็ขอกลับด้วย แต่เวลานี้คอแห้งเหลือทน ขอให้ข้าน้อยได้เข้าโรงน้ำชาสักนิดได้หรือไม่” ข้ารับใช้พยายามถ่วงรั้งนายเหนือหัวอย่างสดความสามารถ ได้แต่คาดหวังว่าจะมีผู้ใดผ่านเข้ามาในใจมังกรหนุ่มได้บ้าง

   “ตามใจเจ้า นำไปสิ” คุณชายหนุ่มไว้ใจข้ารับใช้เดินตามไปเพื่อหวังจิบน้ำชาแก้เหนื่อย โดยลืมสังเกตว่าที่หน้าโรงน้ำชาแห่งนี้ มีโคมแดงปักไว้อยู่หน้าร้าน

   “เสี่ยวเอ่อ เอาเหล้ามาสองไห กับแกล้มสองสามอย่าง อย่าช้านะ คุณชายข้าขี้โมโห” ข้ารับใช้หนุ่มเดินเข้าไปนั่งโต๊ะว่างที่เหลืออยู่ไม่มากเกือบสุดทางเข้าออก สั่งการทุกอย่างโดยลำพัง

   “ที่นี้มัน...” ใบหน้าคมเข้มเหลียวมองรอบๆกาย ก่อนที่สายตาจะด่ำดิ่งสู่ความรวดร้าว ยามนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ได้มาเยือนที่นี้....เมื่อสามเดือนที่แล้ว

   ครั้งสุดท้ายที่ได้มาเยือน...คือครั้งแรกที่พี่พบเจ้า ป่านนี้เจ้าจะเป็นเช่นไร น้องน้อยของพี่

   “ขอรับที่นี้คือที่เรามานั่งพักกันครั้งสุดท้าย” ข้ารับใช้ที่เคยยิ้มแย้มกลายเป็นหม่นเศร้าตามผู้เป็นนาย เมื่อนึกได้ว่าที่แห่งนี้ เคยมีความหลังสิ่งใดอยู่ ร่างสูงทรุดลงกับพื้น “โปรดประทานโทษแก่กระหม่อมด้วยที่พาพระองค์มาที่นี้” 

   เพียงแค่ที่ทรงเก็บไว้ในพระทัยก็มากล้นพออยู่แล้ว....ข้ายังพลาดเข้ามาที่นี้ นี้หรือผู้คู่ควรกับตำแหน่งราชองค์รักษ์

   “ลุกขึ้นฮวางหู ก่อนที่เจ้าจะทำให้คนทั้งร้าน..” เสียงตักเตือนข้ารับใช้จางหายเมื่อสายตามองเห็นรูปร่างที่คุ้นเคยนั่งถัดไปอยู่ข้างหน้าเพียงไม่กี่โต๊ะ

   แผ่นหลังบางที่มองเห็นเพียงช่วงวิก็บอกได้ว่าเป็นใด นับอะไรกับท่าทางและน้ำเสียงที่เจนใจ คนผู้นั้นคือน้องน้อยของพระองค์ไม่ผิดแน่....น้องน้อยที่กำลังมีความสุขกับหญิงงาม

   ข้ารับใช้พาสายตาไปยังทิศเดียวกับผู้เป็นนายก่อนนึกอยากฆ่าตัวเองให้ตายนัก ร้านอื่นมีอีกมากไม่พาเข้า วันอื่นก็มากมาย ไม่พาออก ใยจึงต้องเป็นร้านนี้ เวลานี้ด้วยเล่า...หรือสวรรค์จักไม่ปราณีนายเหนือหัวของข้าแล้ว “คุณชายขอรับ เรากลับกันเสียทีเถิดขอรับ”

   “ยัง เราจะนั่งที่นี้ก่อน ไหนๆก็สั่งมาแล้วทั้งเหล้าและกับแกล้ม รินเหล้าให้เราที” แม้ปากจะสั่งเช่นนั้น หากแต่สายตากลับไม่เหลียวแลที่จอกเหล้าสักนิด ด้วยกำลังจ้องมองร่างข้างหน้าอย่างพินิจ

   รูปร่างเพรียวบางผ่ายผอมลงจนน่าใจหาย แขนเรียวที่โอบกอดเอวบางของสาวงาม ครั้งหนึ่งเคยโอบกอดคอเอาไว้แน่นด้วยความรักและความสุขที่มากล้น

   ริมฝีปากอิ่มเล็กที่เคยได้เชยชิม กำลังไล่ละกับผิวขาวที่ไม่เนียนเท่ากับผิวที่มือใหญ่เคยสัมผัส

   เจ้าทำเช่นนี้ได้ คงมีความสุขดีแล้ว...พี่คงต้องดีใจพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลอยู่ภายใน

   ดวงตาคู่กลมโตเหลือบแลมองผ่านมายามประคองใบหน้าขอหญิงสาวขึ้นจุมพิต และชายหนุ่มก็มั่นใจว่าน้องน้อย มองเห็นคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ แต่กับเมินผ่านไป ดังคนไม่เคยรู้ใจ

   ภาพตรงหน้าที่ปรากฏเรียกตะกอนในใจให้ขึ้นฟุ้ง อยากจะกระชากร่างเพรียวบางนี้มาถามเหลือเกิน...เจ้าลืมพี่ไปแล้วหรือ...,ลืมไปแล้วหรือไรว่าเราเป็นอะไรกันเคยผูกพันกันมากเพียงใด

   ข้ารับใช้จ้องมองท่านอ๋องที่คุ้นเคยในช่วงระยะเวลาสามเดือนอย่างโกรธจัดที่หาญกล้าทำเช่นนี้ต่อหน้านายเหนือหัวของเขา

   ความโกรธแค้นของฮวางหูมีอันต้องหายไปเมื่อมองร่างสูงใหญ่ของนายเหนือหัว สองมือกำแน่นเข้าหากัน ดวงตาคมดุที่ไม่ได้เห็นมานานยามโกรธจัด

   “คุณชาย” มือหนาของฮวางหูคว้าแขนกำยำอย่างจนสุดแรง เมื่อร่างสูงที่เคยนั่งอยู่ผุดลุกเมื่อเห็นอ๋องน้อยเดินออกไปด้วยใบหน้าซีดเซียวพร้อมสาวงาม 

   “ขอบใจฮวางหู พวกเราเองก็สมควรกลับกันได้แล้ว” คุณชายหนุ่มที่สติขาดไปแล้ว นิ่งงันพยายามตั้งสติอีกครั้ง ย้ำกับตัวเองถึงหนทางที่เลือกไปแล้ว

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

   ยามค่ำคืนที่อากาศหนาวเหน็บฮ่องเต้หนุ่มทรงประทับทอดพระเนตรมีดสั้นในมือที่น้องน้อยของพระองค์เจตนาทิ้งเอาไว้อย่างไร้อาวรณ์

   ภาพในคืนวานที่ได้ทรงทอดเนตรในหอโคมแดงยังตรึงแน่นให้รู้ว่า น้องน้อยมีความสุขเพียงใดกับชีวิตแสนอิสระที่ได้คืน..... “จะเหลือสักเสี้ยวหนึ่งของใจเจ้าเพื่อคิดถึงพี่บ้างไหมนะ เที้ยนหยวน”

   “ฝ่าบาท แย่แล้วกระหม่อม” ราชองค์รักษ์ฮวางหูรีบวิ่งเข้ามาให้ห้องทรงอักษร เพื่อทูลข่าวไม่สู้ดีให้แก่ฮ่องเต้หนุ่ม “ทหารเวรแจ้งแก่กระหม่อมว่ามีผู้บุกรุกลักลอบเข้ามา และกำลังมุ่งหน้ามาที่ราชฐานส่วนพระองค์”

   “รู้หรือเปล่าว่าพวกไหน” ฮ่องเต้อี้หลงตวัดสายพระเนตรมองในทันทีสุรเสียงทรงอำนาจจนแม้แต่องค์รักษ์คนสนิทยังอดหวาดหวั่นมิได้

   “คือ.....”

   “คืออะไรอยู่นั่น หรือว่า?” ฮ่องเต้หนุ่มไม่อาจพระทัยเย็นอยู่ได้รับสั่งถามคนสนิทที่มีเพียงพยักหน้าตอบกลับมาเท่านั้น “ดี ปล่อยให้เข้ามา เราจะไปรอที่ห้องนอน หากเป็นจริงดั่งที่เราคิด คงคิดว่าได้จะได้พบเราที่นั่น”

   “แต่ฝ่าบาท...หากว่าไม่ใช่จะไม่เป็นการเสี่ยงเกินไปหรือกระหม่อม” ฮวางหูเอ่ยค้านในฐานะของราชองค์รักษ์ แม้นรู้จักฝีพระหัตถ์เพียงใด แต่ก็ไม่อาจหักห้ามความเป็นห่วงได้

   “ไม่หรอก ออกไปบอกทหารให้เล่นละครเหมือนเวรยามหละหลวมลักลอบเข้ามาง่าย แล้วเราจะจัดการเอง ในเมื่อคิดจะเข้า ก็อย่าหวังว่าเราจะปล่อยให้ออกไป”

   วรองค์สูงดำเนินออกจากห้องทรงอักษรสู่ห้องบรรทมอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ราชองค์รักษ์มองตามด้วยวามหวาดเกรงในพระราชอำนาจ และสายพระเนตรที่แสนคม

   ถึงเวลาแล้วที่มังกรจะกางกรงเล็บจับยึดลูกกวางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
   สวัสดีคะ ฮ่องเต้โดนด่าไปเยอะ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเรียกความสงสารกลับมาได้บ้างไหมหนอ ตอนหน้าก็จบแล้ว ฝากด้วยนะคะ

   ขอบคุณคะ

   ปล. คุณ Pikky เรื่องนี้ไอซ์ขยันแปะเพราะมีอยู่แล้ว แต่เรื่องหน้า(ถ้ามี) นั้นนน รับรองได้ว่า ดองนานจนลืมกันเลยหล่ะคะ

ออฟไลน์ พี่วันเสาร์

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +282/-3
 :z13:น้องไอซ์
นิยายที่ไม่ดองคือนิยายที่สนุกและน่าติดตามที่สุด o13
ฮ่องเต้กับน้องน้อยทำเอาจิตตกไปเลย
ต่างคนต่างคิดความเศร้าจึงมาเยือน :o12:

ออฟไลน์ kitty

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +258/-7

O_a

  • บุคคลทั่วไป
อ่านไปก็คิดไปว่ายิ่งอ่านยิ่งขมขื่น
เฮ้อ T T
จนมาเกือบจบตอนค่อยยิ้มออก
ตอนหน้าจะมีคนถูกขังในห้องบรรทมใช่ปะ
ในที่สุดฝันจะเป็นจริง

+1 สำหรับความขยันของน้องไอซ์นะคะ
เพราะฉนั้นเรื่องหน้าอย่าดองเค็ม^^

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
+1

ชอบจัง เสียดายที่ไม่ได้ตามมาตั้งแต่แรก ... แต่หลังจากนี้ไม่มีพลาด ^^

 :a5: อย่าเพิ่งจบได้มั้ย  :sad4: มาต่อตอนพิเศษให้บ้างนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2011 23:23:01 โดย ณยฎา »

ออฟไลน์ Piaanie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
เค้าก็ยังโกรธฮ่องเต้อยู่ดี เชอะ  :angry2: สั่งคำเดียวก็ได้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแล้ว เล่นตัวจริงๆ

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
 :oo1: :oo1:

เข้ามาแล้วจับกดเลยนะ ฝ่าบาท อย่าปล่อยให้รอดไปได้ละ


 o18 o18



ออฟไลน์ jellyfish

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
ประลองรัก...二十

   ในคืนเดือนแรมที่พระจันทร์ห่างหายช่างมืดมิดจนเกือบมองสิ่งใดไม่เห็น ช่วยให้บางคนหลบหลีกกายจนพาตนเองเข้าสู่วังหลวงได้อย่างย่ามใจ จนไร้ความระแวดระวัง

   ร่างโปร่งในชุดดำ ส่ายสายตามองหาเหล่าทหารยามที่ยืนจับกลุ่มพูดคุยจนละเลยหน้าที่อย่างพอใจ ก่อนรีบมุ่งไปยังสถานที่ที่ต้องการ....รังมังกร

   เขตราชฐานส่วนพระองค์ที่ผู้บุกรุกเข้ามาถึงดูเงียบงันจนผิดสังเกต เหล่าทหารยามหายหน้าไปจนสิ้น ดวงโคมถูกปิดมืดไร้แสงไฟส่องทาง มีเพียงแสงไฟริบหรี่ในห้องบรรทมที่อดผ่าน “หายไปไหนกันหมด”

   เท้าเล็กเดินไปตามทางที่คุ้นชิน เปิดประตูห้องบรรทมเห็นวรกายสูงนอนนิ่งบนแท่นบรรทมอย่างสบายพระทัยจนไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของผู้บุกรุกแม้สักนิด

   เรียวปากอิ่มภายใต้ผ้าคลุมหน้ากระตุกยิ้มอย่างพึงใจ เดินเข้าไปใกล้แท่นบรรทมมองพระพักตร์คมซูบด้วยสายตาที่ปนเปในหลายอารมณ์ ทั้งรัก คิดถึง และน้อยใจ....

   นิ้วมือเรียวแตะสัมผัสลงบนพระนลาฏกว้าง  ไล้ลงมายังเปลือกพระเนตรที่ปิดสนิท โดยไม่รู้เลยว่าตาของตนเองกำลังมีน้ำใสมาหล่อเลี้ยง “ท่านใจร้ายมาก รู้ตัวไหม ทำให้ข้าทรมานเช่นนี้ใยจึงมาหลับสบายอยู่ได้อีก”

   “ใครว่าพี่หลับสบายกันเที้ยนหยวน พี่ก็ทรมานไม่ต่างจากเจ้าเลย”

   สุรเสียงนุ่มแผ่วในความเงียบ พาให้ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกตะลึง จะชักมือเรียวกลับหากถูกความไวที่เหนือกว่ารั้งไว้ “ท่าน”

   “อะไรกันตกใจทำไมหืมม์ พี่เสียอีกที่ต้องตกใจ นอนหลับตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นเจ้าอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว” วรองค์สูงยันกายขึ้นนั่ง พระหัตถ์รั้งร่างเล็กกว่าให้ลงนั่งเคียงข้าง

   “อย่างท่านหรือจะตกใจ ไม่ใช่ว่ารู้อยู่ก่อน แล้วรอเวลาแกล้งข้าหรือ” เสียงหวานเชิดขึ้น ใบหน้าเล็กไม่ยอมสบพระเนตรคม ขยับหนีวรกายสูงที่ขยับเข้ามาชิด
   “พี่หรือแกล้งเจ้า ใครกันที่ลอบเข้ามาหาพี่ยามดึกขนาดนี้ แล้วจะหนีไปไหน เดี๋ยวได้ตกลงไปพอดี เข้ามานั่งข้างในเถอะ” พระพักตร์คมยิ้มกริ่มจนไม่น่าวางใจ หากผู้บุกรุกร่างเล็กก็ไม่อาจฝืนตัวให้หลุดจากความไม่น่าวางใจนี้ได้ เมื่อท่อนพระกรใหญ่โอบรอบเอวบาง

   “อื้อ ปล่อยข้านะ ใครว่าข้ามาหาท่านกัน ข้างนอกนั่นแสนอิสรเสรี” ร่างเล็กพยายามแกะท่อนพระกรหนาออกจากเอวตนเอง แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อท่อนพระกรยังคงโอบรัด

   “ไม่ได้มาหาพี่หรอกหรือเที้ยนหยวน แล้วเจ้าลอบเข้ามาทำไมยามดึกเช่นนี้ จะบอกพี่ว่ามาหาอู่กงกงหรือ คงไม่ใช่หรอกนะ พี่ว่า”  พระพักตร์วางซ้อนลงบนไหล่เล็กของน้องน้อยแสนงอนที่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

   “ข้าไม่ได้มาหาอู่กงกง แต่ว่าข้า....”ใบหน้าที่เบือนหนีไปทางอื่นด้วยไม่อยากให้ฮ่องเต้ได้เห็นใบหน้าที่ร้อนผ่าว อีกทั้งพระเนตรแหลมคมที่คอยจ้องแต่จะทำให้เขินอาย

   “เจ้าทำไมหรือเที้ยนหยวน ไม่ได้มาหาอู่กงกง ก็เหลือแค่พี่ไม่ก็ฮวางหู ไหนบอกซิว่าเจ้ามาหาใครกัน” นิ้วพระหัตถ์เชยคางเล็กให้หันกลับมาทางพระองค์ที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง

   “มาหา....มาหา” เสียงแผ่วอ้อมแอ้มในลำคอ แม้จะถูกบังคับให้หันหน้ามาไปทางพระพักตร์คม แต่ดวงตากลมโตก็มองเลยไปยังทิศอื่นด้วยความเขินอายสุดกำลัง “ข้ามาหามีดของข้า”

   ถ้อยคำแผ่วเบาที่เกือบต้องเอียงพระกรรณฟังนั้นสร้างรอยพระโอษฐ์ขององค์ฮ่องเต้อี้หลงได้ไม่น้อย “มาหามีด หรือมาหาคนให้มีดกันเที้ยนหยวน ” วรกายที่ประทับซ้อนหลังนั้น กระซิบถามข้างใบหูเล็ก

   แม้พระองค์จะทรงทราบอยู่แล้ว...แต่ก็ไม่อาจห้ามพระทัยไม่ให้แกล้งน้องน้อยแสนซนคนนี้ได้

   “คนให้ อ่ะ ไม่ใช่ ข้ามาหามีดของข้าคืน แล้วท่านก็ปล่อยข้าได้แล้วนะ” ผู้บุกรุกร่างบางขืนตัวให้ออกจากอ้อมพระกรแต่ก็ไม่อาจทำได้ สุดท้ายจึงต้องร้องขอด้วยความน่าสงสารและดวงตาอ้อนวอน

   “มีดหน่ะพี่คืนให้ได้ แต่ให้พี่ปล่อยเจ้าคงไม่ได้เสียแล้วเที้ยนหยวน เพราะเจ้ามีโทษติดตัวรู้บ้างหรือไม่” สุรเสียงทุ้มยังคงกระซิบข้างใบหูเล็ก

   เพราะคำว่าโทษติดตัวทำให้ร่างบางต้องหันกลับมามองพระพักตร์คมอย่างตกใจ ตลอดเวลาที่ออกไปก็เอาแต่อยู่ในวังทู่หลงไม่ได้ออกไปข้างนอก แล้วจะมีโทษได้อย่างไร นอกเสียจากคืนวานที่ไปหอโคมแดงเพียงเท่านั้น

   ฮ่องเต้หนุ่มทรงมองใบหน้าสวยที่มีดวงตากลมโตอย่างพึงใจ “ก็ใครกันเล่าที่พาร่างกายแสนสวยอันเป็นสมบัติส่วนองค์ฮ่องเต้ ไปให้สาวอื่นได้ชื่นชมกัน”

   สถานะที่ทรงประทานให้อย่างถือสิทธิ์ทำให้ใบหน้าหวานแดงกล่ำและร้อนผ่าว อยากจะเบื่อหน้าหนีไปทางอื่นเสียก็ไม่ได้ เมื่อพระหัตถ์หนาออกแรงพลิกกายให้หันกลับมาเผชิญหน้ากันอย่างไร้ทางเลี่ยง

   “ข้าไม่ได้...ไม่ได้” เสียงอึกอักจากลำคอช่างน่ารำคาญเสียจริงในความคิดของอ๋องน้อย หากแต่เวลานี้ก็ยากจะหาคำไหนมาโต้เถียงได้ “ไม่ได้เป็นสมบัติของท่านเสียหน่อย”

   “หรอกหรือ แต่พี่กลับรู้สึกว่าเจ้าเป็นของพี่ ที่ใครก็ห้ามแตะต้องทั้งนั้น พี่ควรเอาโทษเหล่านางพวกนั้นดีหรือไม่นะ ที่บังอาจมายั่วยวนเจ้าเช่นนี้” แม้ถ้อยรับสั่งจะแสนน่ากลัว หากแต่สุเสียงกลับอ่อนโยน พร้อมรอยแย้มพระโอษฐ์บนพระพักตร์

   “ข้าเป็นเพียงแค่ของของท่านหรอกหรือ ไม่ใช่....” เมื่อนึกถึงคำพูดในหัวแล้วร่างเล็กได้แต่เขินอายกับตนเอง จนต้องซบลงกับพระอุระหนา กระซิบเพียงแผ่วเบา “ไม่ใช่ดวงใจท่านหรือ”

   “เที้ยนหยวน นนน” เสียงอู้อี้ที่ดังมาจากร่างเล็กสร้างความชุ่มชื่นในหทัยฮ่องเต้ได้อย่างยิ่งยวด อ้อมพระกรยิ่งกอดรัดร่างเล็กแนบสนิทกับพระวรกาย ประทานรอยจุมพิตลงบนผมนุ่มที่โชยกลิ่นหอม

   “หรือข้าไม่ใช่กัน” เพราะความอายที่มีมาก ร่างเล็กจึงเลือกเอาความแสนงอนเข้ามากลบเกลื่อน

   “เจ้าเป็นยิ่งกว่าดวงใจของพี่เสียอีก เจ้าเป็นชีวิตทั้งชีวิตของพี่ รู้หรือเปล่าคนดี” ฮ่องเต้หนุ่มถามย้ำให้น้องน้อยรู้ว่าตนสำคัญเพียงใด

   “ท่านบอกข้าเช่นนี้ มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ข้าเองก็...รักท่าน” สองพยางค์สุดท้ายแผ่วเบาหากไม่เกินกว่าจะได้ยินและทำให้พระทัยของฮ่องเต้ที่เคยเจ็บช้ำ เต็มตื้นไปความสุขอย่างที่สุด

   นิ้วพระหัตถ์เรียวเชยคางเล็กขึ้นมา ประทับแนบลงบนกลีบปากเล็กที่แสนซุกซน หากวันนี้พระองค์จะทรงลบล้างร่องรอยของสาวทุกนางให้จางหายไป ต่อแต่นี้จะไม่มีผู้ใดได้ประทับนอกจากพระองค์

   โพรงปากเล็กเปิดรับการรุกรานอย่างเต็มใจ อ้อมแขนเรียวโอบกอดพระศอหนาแนบชิดสองร่างให้สนิมแน่น ร้องครางในลำคอเมื่อลมหายใจที่มีถูกช่วงชิง

   ร่างเล็กถูกผ่อนลงสู่แท่นบรรทม ร่างกายผอมบางขยับขึ้นลงด้วยความเหนื่อยหอบ เมื่อชุดดำที่สวมใส่ถูกปลดออก ผิวขาวใสทั่วกายก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทั่วทั้งตัว ให้คนทอดพระเนตรได้แย้มพระโอษฐ์อย่างพอพระทัย

   สองร่างแนบชิดกันและกันทดแทนช่วงเวลาที่ห่างหาย บอกผ่านสัมผัสที่แสนอ่อนหวานและเร่าร้อนให้รับรู้ถึงความโหยหา ที่ไม่อาจมีผู้ใดมาลบเลือนได้

   บานประตูบางกั้นฉายเงาร่างที่โอบกอดรัดแน่นเคลื่อนกายตามกระแสของความปรารถนา ท่วงทำนองแห่งความสุขที่ไร้เงื่อนไขบรรเลงท่ามกลางความเงียบสงบ จนขันทีเหี่ยวผู้ไม่เคยสัมผัสสิ่งเหล่านี้ ได้แต่ข่มกลั้นความอาย รีบก้าวเดินให้ผ่านไปยังห้องพักของตนเอง

   บทเพลงแห่งรักที่ไร้เสียงร้อง มีเพียงเสียงแห่งสุขที่สอดประสานดังลอดผ่านออกมาบอกให้รู้ถึงหัวใจของคนทั้งสองที่ถูกเติมเต็มด้วยรัก จากนี้และตลอดไป...ขออย่าให้มีสิ่งใดพรากคนทั้งคู่ออกจากันได้อีก

   * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *
   
   เสียงใสของหรีดหริ่งห่างหายไป เริ่มต้นวันใหม่ด้วยเสียงนกตัวน้อยที่เกาะกิ่งอยู่ในอุทยานหลวงปลุกให้ฮ่องเต้ผู้ทรงมีความสำราญในพระสุบินตื่นขึ้นรับความจริงที่หวานยิ่งกว่า

   ร่างเล็กในอ้อมพระอุระเปลือยเปล่าเปิดผิวขาวช่วงลาดไหล่ประดับด้วยรอยสีหวานถูกประทานจุมพิตแผ่วเบา ก่อนทรงกระชับอ้อมพระกรเข้ามาให้แนบชิด สูดดมกลิ่นกายที่หอมหวน ตอกย้ำให้ทรงรู้ว่านี้คือความจริงที่ยิ่งกว่าฝันใดๆ

   “อื้อออ ไม่เอาหน่าชิงหมิง เจ้าไม่เหนื่อย แต่ข้าง่วงนะ” เสียงพึมพำเบาๆแสนงัวเงีย พร้อมมือปัดไล่สิ่งที่รบกวนการหลับใหลก่อนซุกตัวเข้าหาความอบอุ่น ซุกหน้าอยู่กับผิวกายที่แผ่ไอขับไล่ความหนาวเย็น

   “ชิงหมิงที่ไหนกันเที้ยนหยวน เลอะใหญ่แล้ว” ฮ่องเต้กระซิบเสียงแผ่วข้างใบหูเล็กของคนขี้เซา วาจายามหลับใหลช่างน่าจับมาลงโทษยิ่งนัก...นอนซุกกับอกพี่ยังกล้ากล่าวถึงหญิงอื่นอีกหรือ?

   “อืออออออ” เสียงครางแผ่วเบาของคนง่วงงุน แต่ทว่าไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาจากนิทราแสนหวานเอาเสียเลย ใบหน้าหวานดูหลับสบายยิ่งขึ้น ซุกกายกับพระฉวีอุ่นไม่รับรู้ถึงพระอารมณ์ที่ถูกกระตุ้น

   “เจ้าตื่นหรือยังนี้เที้ยนหยวน หลับแบบนี้คนที่จะลำบากคือเจ้านะ” องค์อี้หลงทรงกระซิบข้างใบหูเล็กอีกครั้ง หากว่าร่างเล็กกลับไม่มีทีว่าจะตื่นขึ้นเลย นอกเสียจากร่างกายที่แดงเรื่อขึ้นโดยเจ้าตัวไม่รู้ “ไม่ตื่นจริงหรือ....ช่างขี้เซาเสียจริงน้องของพี่”

   แม้จะดุจดังถ้อยคำบ่นด้วยความเหนื่อยใจ หากว่าพระพักตร์กลับฉาบไว้ด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์ ยิ่งปากเล็กแนบชิดกับพระอุระเพียงใดก็ยิ่งแสนน่ารักเชิญชวนให้สัมผัส จนไม่อาจหักห้ามพระทัยได้ แม้จะทรงเตือนองค์เองว่าทำเช่นนั้น ก็ไม่ต่างจากโจรป่าเอาเสียเลย

   นิ้วพระหัตถ์เชยใบหน้าเล็กที่ซุกซบขึ้นมามอบจุมพิตยามเช้าแสนลึกซึ้ง กลีบปากอิ่มเผยอขึ้นให้ทรงเชยชิมความล้ำที่ไม่มีวันหมด ช่วงชิงลมหายใจของคนหลับจนเกือบหมด

   “อื้อออออ” เสียงร้องดังในลำคอร้องขออากาศที่ถูกช่วงชิง ก่อนใช้แรงที่มีเพียงนิดทุบพระอุระหนา ให้รู้ว่าไม่สามารถแล้วจริงๆ ก่อนถูกปล่อยออกเป็นอิสระอีกครั้ง แผ่นอกบางขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วภายใต้ผ้าห่ม เลื่อนกายถอยหนีผู้เป็นเจ้าของแท่นบรรทม หากก็ไม่สามารถหนีได้ไกลด้วยติดอยู่ในอ้อมพระกร ดวงตากลมมองพระพักตร์คมหากไม่กล้าสบสายพระเนตรมากนัก “ท่านชอบแกล้งคนหลับหรืออย่างไร ข้ากำลังฝันดีอยู่เชียว”

   “มีฝันใดดีกว่าเมื่อคืนอีกหรือเที้ยนหยวน” พระเนตรคมแฝงแววล้อเลียน ทรงสำราญเมื่อได้เห็นใบหน้าสวยแดงเรื่อ นิ้วพระหัตถ์เกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้า “หากพี่ไม่รีบปลุกเจ้า สงสัยว่าเจ้าคงปลุกอย่างอื่นของพี่ให้ตื่นโดยไม่รู้ตัว แล้วคนเดือดร้อนจะเป็นเจ้านะ นี้เห็นว่าเมื่อคืนเจ้าเหนื่อยอ่อนจึงสงสาร ไม่ขอบคุณพี่แล้วยังมาว่าอีกหรือ”

   ใบหน้าที่แดงอยู่แล้ว ยิ่งแดงกล่ำเมื่อได้ฟังถ้อยรับสั่งที่น่าหวาดเสียว “ท่านพูดอะไรแต่เช้า ไม่เอา ข้าจะกลับวังข้าแล้ว เอามีดข้าคืนมาด้วย ข้าเข้ามาเพื่อจะเอามีดเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาค้างแบบนี้เลย”

   “ถ้าอี้หลงที่หนึ่ง กับอี้หลงที่สองรู้ว่าเจ้าเข้าวังมา แต่ไม่ไปหามัน คงน้อยใจเป็นแน่” พระหัตถ์หนารั้งร่างเล็กเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นจากแท่นบรรทมได้ พลางกล่าวลอยขึ้นมาถึงสัตว์เลี้ยงแสนรักของน้องน้อย

   “แล้วพวกมันเป็นเช่นไรบ้าง อยู่สบายดีไหม ท่านอย่าให้ใครมารังแกพวกมันได้นะ” น้ำเสียงของอ๋องน้องเศร้าสลดลงเมื่อนึกถึงเจ้าอูฐโง่ และสิงโตตัวน้อย “มันจะคิดถึงข้าอย่างที่ข้าคิดถึงมันบ้างไหม”

   องค์อี้หลงทอดเนตรน้องน้อยอย่างเอื้อเอ็นดู จากถ้อยคำที่ร่างเล็กพึมพำกับตนเอง ทำให้พระองค์อยากถามอีกข้อที่ทรงรู้คำตอบ หากก็อยากฟังจากปากเล็ก “แล้วเจ้าไม่คิดถึงอี้หลงบ้างหรอกหรือ”

   สิ้นคำถามแผ่วเบา ทำให้ดวงตากลมต้องเงยขึ้นมองพระพักตร์ผู้ถาม มองสบในพระเนตรกล้าคม ก่อนตอบด้วยคำถามที่ไม่ต่างจากกันนักด้วยความน้อยใจเมื่อนึกถึงเรื่องกลางสนามประลอง “แล้วอี้หลงผู้นั้น คิดถึงข้าบ้างหรือไม่”

   “คิดถึงสิ พี่คิดถึงเจ้าใจจะขาด ทุกลมหายใจเอาแต่เพรียกหาเจ้า ไม่รู้หรือ เที้ยนหยวน” ความน้อยใจของน้องน้อยที่พระองค์สัมผัสได้ พาให้โอบกระชับร่างเล็กเข้ามาอีกครั้ง พระหัตถ์ลูบไล้บนหัวกลม ปลอบขวัญให้คลายความน้อยใจ

   “คิดถึงข้า แล้วทำไมวันนั้นถึงทำเช่นนั้น ทำไมไม่เอาชนะข้า ปล่อยข้าออกไปทำไม” ความน้อยใจที่มีมากถูกกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตาอาบใบหน้า เปื้อนพระอุระที่ซุกซบอยู่ มือบางพยายามเหลือเกินที่จะผละออกหากไม่อาจต้านแรงของฮ่องเต้หนุ่มได้

   “เที้ยนหยวน ” ฮ่องเต้หนุ่มครางแผ่วด้วยชื่อผู้เป็นดั่งดวงหทัย ขืนแรงน้อยนิดที่พยายามผลักดันพระองค์ให้ออกห่าง “พี่ขอโทษ พี่คิดว่าเจ้าจะอยากออกไปสู่อิสรภาพข้างนอก ที่มีความสุขมากมายรอเจ้าอยู่”

   “ข้าจะอยากออกไปอีกทำไมกัน ข้างนอกนั่นข้าก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ท่านปล่อยข้าไป แต่ก็ยังตามไปหลอกหลอนข้า ไม่ให้ข้ามีความสุข เช่นนี้จะปล่อยข้าไปทำไมกัน” มือเล็กที่รู้ว่าไม่อาจสู่แรงฮ่องเต้หนุ่มได้ ยอมเลิกผลักไส หากเปลี่ยนเป็นทุบตีอยู่อย่างนั้น ระบายความเจ็บปวดที่ได้รับในช่วงกว่าอาทิตย์ที่ผ่านมา

   “พี่ขอโทษ พี่ขอโทษเจ้า” พระองค์ทรงปล่อยให้แรงน้อยนิดทุบตีพระอุระ จนกว่าน้องน้อยจะพอใจ ยอมเป็นที่ระบายความทุกข์เศร้า แม้นว่าพระองค์จะทรงทรมานไม่ต่างกัน หากแต่เวลานี้ ความทุกข์ทรมานนั้นได้จากไปแล้ว นับแต่ได้น้องน้อยคืนมา “พี่จะไม่ปล่อยเจ้าไปไหนอีกแล้ว จะอยู่เคียงข้างเจ้า จะไม่มีใครแยกเราออกจากกันได้อีก พี่สัญญา”

   “คำสัญญาออกจากปากท่านแล้วห้ามกลับคำนะ” เสียงเล็กออดอ้อนอย่างไม่รู้ตัว เพียงเพราะความเงียบเหงาและเจ็บปวดที่ไม่อยากเจอมันอีก ทำให้อ๋องผู้นี้ต้องพาตัวเองกลับสู่อ้อมกอดที่อบอุ่นนี้อีกครั้ง

   “คำพูดของฮ่องเต้ กลับได้อย่างไรกัน ต่อให้เจ้าดิ้นรน หรือเรียกร้อง พี่ก็จะไม่ปล่อยดวงใจให้หลุดลอยไปอีกแล้วเที้ยนหยวน ” นิ้วพระหัตถ์เกลี่ยใบหน้าใส ขับไล่หยาดน้ำตาให้หายไปจากดวงตาคู่โตที่ทรงหลงรัก

   คนทั้งสองยินยอมให้ความเงียบเข้ามาคลอบคลุมอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องมีเสียงใดๆ ขอเพียงแค่หัวใจทั้งคู่อาศัยท่วงทำนองเดียวกันเท่านั้น วาจาอื่นๆ ก็สิ้นความหมาย

   ร่างกายผอมบางที่ไร้สิ่งปกคลุมนอกจากผ้าห่มผืนกว้างเร้นกายจากความหนาวเหน็บ เข้าสู่วรกายใหญ่อิงแอบขอความอุ่นที่ไม่เคยมีนางใดมอบให้ได้

   พระหัตถ์ใหญ่ลูบไล้บนผิวเนียนมืออย่างเพลิดเพลิน ขอบคุณเหล่าทวยเทพที่ประทานน้องน้อยผู้นี้คืนสู่อ้อมอกอีกครั้ง ต่อจากนี้ จะไม่ปล่อยออกจากมืออีกแล้ว

   “ท่าน เสื้อผ้าข้าอยู่ที่ไหนกัน ข้าอยากแต่งตัวแล้ว” ความอิ่มเอมที่เข้ามาในหัวใจ สัมผัสแสนสบายจากพระหัตถ์ใหญ่ พาให้เคลิบเคลิ้ม จนดวงตาใกล้ปิดลงอีกครั้ง แต่สัญชาตญาณแห่งการระวังภัยก็บอกให้รู้ว่า ก่อนจะหลับไปอีกครั้ง ควรหาเสื้อผ้ามาใส่เสียให้เรียบร้อย

   มิเช่นนั้นอาจต้องลำบากกายอีกก็เป็นได้....   

   “พี่โยนทิ้งลงไปจากเตียงหมดแล้ว หากจะหยิบก็ต้องข้ามพี่ไป เจ้ากล้าหรือเที้ยนหยวน ”ประโยคสุดท้ายทรงกระซิบแผ่วข้างหูเล็ก พระเนตรแสนเจ้าเล่ห์ดุจดั่งไม่ใช่พญามังกร

   นั่นอย่างไรเล่า...สัญชาตญาณข้าไม่เคยพลาดเรื่องท่านเลยสักครั้ง

   “ท่าน....ท่านเป็นฮ่องเต้จริงหรือเปล่า หรือเป็นนางปิศาจจิ้งจอกเก้าหางปลอมกายมาเพื่อดูดพลังชีวิตของข้ากัน” เพราะคำท้าที่แสนน่ากลัว และเสี่ยงเกินกว่าจะข้ามไปทำให้อ๋องน้อยหงุดหงิดมองเห็นฮ่องเต้หนุ่มเป็นนางปิศาจจอมเจ้าเล่ห์ที่ยังชีพด้วยการล่อหลวงชายหนุ่มมาร่วมสัมพันธ์แล้วสูบพลังชีพ

   เสียงพระสรวลดังก้องไปทั่วกับข้อกล่าวหาของน้องน้อยช่างคิด “พี่หน่ะไม่ใช่นางปิศาจนั่นหรอก หากจะเป็น คงเป็นจอมปิศาจที่เจ้าต้องถูกสังเวยทุกคืนวันเสียมากกว่า”

   ใบหน้าหวานเชิดขึ้นได้เพียงนิด จมูกรั้นก็ชนกับพระหนุเข้าเสียแล้ว กลายเป็นการหอมโดยไม่ได้ตั้งใจ ยิ่งสร้างความเขินอายให้ต้องกลบเกลื่อนด้วยความแสนงอน “ท่าน! พูดแต่ละอย่าง สงสัยจะเป็นจอมปิศาจจริงๆกระมั้ง”

   “จริงของเจ้า พี่เป็นจอมปิศาจที่จะสั่งปิดหอโคมแดงที่เจ้าชอบไปเที่ยว แล้วก็อาจจะสั่งจับชิงหมิงอะไรของเจ้ามาลงโทษให้เข็ดหลาบว่าต่อไป ห้ามยุ่งกับของเบื้องสูงอีก เจ้าว่าดีหรือไม่” สุรเสียงเด็ดขาดสม
ดั่งพระราชอำนาจชี้เป็นชี้ตาย

   “เฮ้ย! ท่านจะทำได้เช่นไร พวกเขาไม่ผิดอะไร แล้วท่านปิดไปข้าจะไปเที่ยวที่ไหนกัน อีกอย่าง.....ชิงหมิงก็ยังไม่ได้ยุ่งกับของเบื้องสูงของท่านเลยนะ” ประโยคหลังช่างแสนแผ่วเบา คล้ายว่าหากมีผู้อื่นรับรู้ ก็อาจเสียเชิงชายเป็นได้

   “เจ้ายังคิดว่าจะได้ออกไปเที่ยวเล่นอีกหรือเที้ยนหยวน ส่วนชิงหมิงหน่ะ หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดนางก็รอดตัวไป แต่คืนนี้พี่จะพิสูจน์อีกครั้ง แล้วถ้าเจ้าไม่ให้ความร่วมมือรับรองได้ว่า ทั้งหอโคมแดง และนางผู้นั้นต้องปิดฉากลงแน่”  

   “ก็ได้ ข้าไม่ไปแล้ว”....หากท่านไม่เผลอ ประโยคหลังที่ต่ออยู่ในใจ อ๋องน้อยมั่นใจว่าจะไม่มีทางเผยให้ฮ่องเต้ผู้นี้ได้รู้เด็ดขาด.....เพื่อความสุขเล็กๆน้อยๆ ชั่วครั้งชั่วคราวในอนาคต

   “ดีมากเที้ยนหยวน เจ้าพูดเองแล้วนะ หิวหรือยัง พี่จะได้เรียกให้ใครยกสำรับเข้ามาให้” แววพระเนตรของฮ่องเต้ฉายแววพอพระทัยกับคำของน้องน้อย โดยไม่รู้เลยว่ามีคำอื่นใดแอบแฝงเอาไว้

   “หิวแล้ว”

   เสียงใสช่างเอาแต่ใจเรียกให้พระองค์ต้องประทับจุมพิตลงบนหน้าผากแคบเล็กนั้นอย่างนุ่มนวล เลื่อนลงมาประทับกลีบปากอิ่มที่ยื่นออกมาน้อยๆ ก่อนลงจากแท่นบรรทม เพื่อแต่งองค์ให้เรียบร้อย

   ฮ่องเต้หนุ่มเปลือยวรกาย โดยไม่ทันให้ร่างเล็กรู้ตัวล่วงหน้า ใบหน้าหวานที่ได้เห็นวรกายสูงใหญ่ไร้เครื่องบดบังกำลังแดงกล่ำ คว้าผ้าห่มขึ้นปิดหน้าแทบไม่ทัน “จะลุกไปทำไมไม่บอกข้าก่อนเล่า”

   พระสรวลก้องเมื่อเห็นท่าทางของน้องน้อย พลางเย้าแหย่ให้ได้เขินอายมากขึ้น “เจ้าจะปิดหน้าทำไม ใช่ว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส เมื่อคืนเจ้ายังไม่เห็นอายเลยนะเที้ยนหยวน ”

   “ไม่ต้องพูดเลยนะ ใครจะเหมือนท่านเล่า” เสียงอู้อี้จากใต้ผ้าห่มผืนกว้าง แม้จะร้อนกาย แต่ความอับอายก็มีมากกว่า ทั้งอับอายทั้งอิจฉาในรูปร่างที่สมส่วน และกล้ามเนื้อที่สวยงาม

   “ออกมาได้แล้วเที้ยนหยวน อยู่ในนั้นไม่ร้อนหรือ” ทรงยื้อผ้าห่มกับร่างเล็กที่นอนคลุมโปง “พี่ไม่แกล้งเจ้าหรอก พี่แต่งตัวเสร็จแล้ว”

   “จริงนะ” อ๋องน้อยถามด้วยความหวาดระแวง รู้ดีว่ายามนี้ใบหน้าของตนคงกำลังแดงจัด

   “จริงสิ” ฮ่องเต้หนุ่มทรงตอบรับ พร้อมเลื่อนผ้าห่มออกจากกายน้องน้อย “พี่ออกไปบอกคนข้างนอก เจ้าก็แต่งตัวเสียนะ” ก่อนดำเนินออกจากห้องทรงไม่ลืมที่จะจุมพิตบนแก้มนิ่มหนึ่งครั้ง


VVVV

VVV

VV

V

ออฟไลน์ jellyfish

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
ร่างเล็กรอให้บานประตูปิดลง ก่อนค่อยๆหนีบผ้าห่มผืนหนาที่ห่อพันกายลงจากเตียง มาคว้าเสื้อผ้ายับย่นขึ้นสวมกายอย่างรวดเร็ว พอดีกับที่ประตูห้องถูกเปิด

   “อ่ะ ท่านเที้ยนหยวน แต่งตัวเสร็จแล้วหรือ องค์ฮ่องเต้ให้ข้ามาช่วยท่านแต่งตัว แต่ท่านเสร็จแล้ว งั้นข้าขอตัวก่อนนะ” ขันทีเหี่ยวเข้ามาเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว และตั้งท่าจะออกไปอย่างรีบร้อน

   “เดี๋ยว ทำไมต้องรีบออกไปแบบนั้น ไม่คิดถึงข้าเลยหรืออย่างไร แม้แต่หน้าข้าเจ้าก็ไม่ยอมมอง” อ๋องน้อยจับจ้องพฤติกรรมของขันทีเหี่ยวที่คุ้นเคยกันในระยะหนึ่งอย่างน้อยใจ เมื่อได้เจอกันก็ควรดีใจ ไม่ใช่หลบหน้าหลบตาเช่นนี้

   ขันทีเหี่ยวฟังเสียงเศร้าอย่างนึกสงสาร แต่หากเงยหน้ามองใบหน้าหวานภาพเงาที่ชวนให้กระดากอายก็พลันโผล่ขึ้นมาจนไม่กล้าสู้หน้า ทั้งที่ใจก็คิดถึงอ๋องแสนป่วนผู้นี้ไม่น้อย

   “เจ้าไม่คิดถึงข้าจริงด้วย คงเป็นเพราะข้ามันน่าเบื่อ ทำแต่เรื่องสินะ”

   น้ำเสียงบาดใจยิ่งทำให้คนฟังเสียใจ ข่มความอับอายต่อภาพที่เห็นเมื่อคืน เงยหน้าขึ้นมอง แต่กลับต้องตกใจที่เห็นใบหน้าหวานมีสายน้ำไหลจากสองตา แต่ที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่า เสียจนตกตะลึงคือ พระพักตร์ดุของฮ่องเต้หนุ่ม ผู้ประทับตรงนี้เมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ “ข้า.....”

   “ว่าอย่างไรเล่า ไม่คิดถึงข้าเลยใช่ไหม” จากเสียงเศร้า กลายเป็นเผลอเอาแต่ใจ พยายามบีบเค้นน้ำตาให้ไหลออกมามากเท่าที่จะทำได้...หวังจะได้ยินสักคำว่าคิดถึงจากคนตรงหน้า

   “ข้า.....คิด..” แม้จะสงสารอ๋องน้อยตรงหน้าเพียงใด แต่อู่กงกงก็ยังได้แต่อ้ำอึ้ง ด้วยสายพระเนตรพิฆาตจากวรองค์สูงที่ประทับนิ่งด้านหลังอ๋องเที้ยนหยวน

   “สักคำเจ้าก็จะไม่พูดให้ข้าดีใจเลยหรือ” อ๋องน้อยผู้ไม่รู้ชะตากรรม ยังคงเล่นบทโศก บีบเค้นให้ขันทีที่ตนรักใคร่ไม่ต่างจากลุงชินดงได้พูดสักคำว่า...คิดถึง

   ร่างกายที่บอบบางของอ๋องน้องเดินเข้ามาใกล้ สองแขนเรียวตั้งท่าขึ้นคล้ายจะโอบกอดเป็นผลให้ ขันทีสูงวัยตกใจ รีบยันแผ่นอกบางเอาไว้จนสุดแรง สายตาเหลือบไปเห็นรอยสีหวานที่ซอกคอขาวผ่องก็ยิ่งตื่นตกใจ ทำได้เพียงแค่ยันแขนออกไปจนสุด สายตาจ้องมองพื้นตลอดเวลา

   “เลิกเล่นได้แล้วเที้ยนหยวน ส่วนเจ้าไม่มีอะไรก็ออกไปได้แล้วอู่กงกง” สุรเสียงทุ้มนิ่งดังขึ้นจากเบื้องหลังด้วยทรงขัดพระทัยในคำพูดและการกระทำของน้องน้อย

   ...แล้วอย่างนี้พี่จะไว้ใจเจ้าได้อย่างไร แม้แต่อู่กงกงเจ้ายังไม่ละเว้น เฮ้อ เที้ยนหยวน !   

   “กระหม่อม” ขันทีเหี่ยวได้โอกาสรีบน้อมรับคำสั่งก่อน เดินออกจากห้องไปอย่างโล่งใจ รอดพ้นพระอารมณ์กริ้วโกรธและห่วงแหนมาได้ ช่างเป็นโชคดียิ่งนัก

   ร่างเล็กที่สนุกกับการแกล้งขันทีเหี่ยว สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงคุ้นแสนดุจากเบื้องหลัง ค่อยๆหันกลับไปพร้อมน้ำตาที่ยังนองหน้า หวังว่าได้คลายพระอารมณ์ฮ่องเต้ลงได้...แล้วมันก็เป็นจริง

   “เที้ยนหยวน เจ้าร้องไห้ทำไมกัน โธ่ คนดีของพี่ อย่าร้องนะ” ฮ่องเต้หนุ่มประทับนั่งที่เก้าอี้รั้งให้ร่างเล็กนั่งลงบนพระเพลากว้าง นิ้วพระหัตถ์เกลี่ยไล่หยาดน้ำออกจนสิ้น ความกริ้วโกรธที่มีละลายหายไปกับสายน้ำตา

   “ข้าแค่อยากรู้ว่าคนที่ข้ารักไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ จะคิดถึงข้าบ้างไหม ข้าผิดหรือ ทำไม~” ใบหน้าหวานซุกซบพระอังสาแอบซ่อนรอยยิ้มที่กลั้นเอาไว้ ไม่ให้ฮ่องเต้สุดที่รักได้เห็น

   “ไม่หรอกเที้ยนหยวน อย่าร้องเลยนะ อู่กงกงก็คิดถึงเจ้าเช่นกันนะ” ทรงปลอบโยนน้องน้อยอย่างแสนสงสาร ประทานจุมพิตเบาๆที่เปลือกตาบางทั้งสองข้าง เรียกขวัญที่หายไป ไม่สนพระทัยเสียงเคาะและเปิดประตูเข้ามาของนางกำนัลจากห้องเครื่อง

   ใบหน้าหวานแดงก่ำเมื่อได้รับจุมพิตอันเป็นเวลาเดียวกับที่มีคนเข้ามาในห้อง เหล่านางกำนัลวางจากสำรับแล้วจากไปอย่างเงียบๆ ไม่กล้าพูดสิ่งใด

   “ท่านหน่ะ....” จากที่มีความสุขเมื่อได้แกล้งผู้อื่น ยามนี้ร่างบางกำลังเขินอายไม่กล้าพูดสิ่งใด ได้แต่ซุกหน้ากับพระอังสา กัดลงไปอย่างแรงเพื่อลดความเขินอายที่มี

   “โอ้ย! เที้ยนหยวน พี่เจ็บแล้วพอเถอะนะ กินข้าวกันได้แล้ว” ฮ่องเต้หนุ่มง้างกลีบปากเล็กของจากพระอังสา หากแต่ไม่ยอมปล่อยให้เป็นอิสระ

   “ท่านก็ปล่อยข้าสิ ข้าจะได้ไปนั่งที่เก้าอี้เสียที” เสียงหวานอ้อนวอน พร้อมดวงตากลมโตมองพระพักตร์อย่างขอร้อง

   “เจ้าก็นั่งอยู่บนนี้ไม่สบายหรือ ไม่ต้องไปนั่งที่อื่นหรอก พี่ป้อนให้ด้วยนะ” ไม่เพียงแค่คำรับสั่งเท่านั้น หากแต่ทรงจ่อช้อนเงินที่มีข้าวพอดีคำเข้ากับกลีบปากเล็ก

   ปากเล็กเปิดอ้ารับข้าวเข้าไปเคี้ยวอย่างจำนน เลิกดิ้นรนที่จะไปนั่งเก้าอี้ตัวอื่นอีก เพราะรู้ดีว่า ใช้แรงเท่าไหร่ก็ไม่อาจเอาชนะฮ่องเต้องค์นี้ได้เป็นแน่

   องค์อี้หลงทรงพระสำราญกับการสลับป้อนข้าวให้น้องน้อยและองค์เอง พลางคิดไปถึงเรื่องที่ค้างคาพระทัย “หากพี่ถามสิ่งหนึ่งเจ้าจะตอบพี่ได้ไหม”

   “ท่านจะถามอะไรข้า  ถ้าท่านจะถามว่าข้ารักท่านไหม ข้าก็บอกไปแล้วเมื่อคืน” อ๋องน้อยดักทางเอาไว้เสียก่อน ใช่ว่าไม่อยากพูด แต่ก็เขินอายทุกครั้งที่ต้องพูด

   “เรื่องนั้นพี่รู้แม้เจ้าไม่พูด เพราะสายตาของเจ้ามันบอกพี่ทุกครั้งที่เจ้ามองมา แต่พี่สงสัยว่า...เหตุใดเจ้าจึงลอบเข้าวังมา ทั้งที่คืนก่อนหน้านั้นพี่ก็เห็นว่าเจ้ามีความสุขในหอโคมแดง”

   “แล้วท่านไม่ดีใจหรือไงที่ข้ากลับมา ข้าจะได้กลับแล้วไม่เข้ามาวังหลวงอีกเลย จะเอาอี้หลงที่หนึ่ง อี้หลงที่สองไปด้วย”  คำถามที่ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวถูกอ๋องน้อยกลบเกลื่อนด้วยการแกล้งโกรธ จะให้บอกความจริงนั้นมันช่าง....

   “ไม่ใช่เที้ยนหยวน ไม่ใช่อย่างนั้น ขอเพียงแค่เจ้ากลับมาอยู่กับพี่ก็เพียงพอแล้ว พี่ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นเลย อย่าพูดว่าจะไม่ไปจากพี่อีกเลย” ฮ่องเต้หนุ่มรีบรับสั่งอย่างรวดเร็ว โอบกอดร่างเล็กไว้แน่นดุจดังหวาดกลัวว่าจะเสียผู้เป็นดวงใจไปอีกครั้ง

   สุรเสียงกระวนกระวายทำให้อ๋องน้อยรู้สึกผิดที่ขู่ขวัญจนพญามังกรหวาดกลัว และมั่นใจว่านี้อาจเป็นเพียงเรื่องที่เดียวในใต้หล้าที่ทำให้มังกรผู้ยิ่งใหญ่เป็นเช่นนี้ได้ “ถ้าท่านอยากรู้จริงๆ ข้าจะบอกก็ได้”

   “ข้าหน่ะ เป็นเพียงแค่อ๋องปลายแถว ไม่ใช่องค์หญิงที่ต้องทนเก็บทุกอย่าง ไม่ใช่องค์ชายที่ต้องถือ
เกรียติยศให้ลำบาก ข้าเป็นแค่คนที่เอาแต่ใจ  ยามที่ข้าทุกข์ก็สามารถป่าวประกาศให้คนได้รู้ทั่ว แล้วเรื่องอะไรที่จะข้าต้องทนเจ็บอยู่แบบนั้น สู่ลอบเข้ามาหาท่านไม่ดีกว่าหรือ หากพลาดถูกทหารจับได้ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องเสีย แต่หากข้าไม่มีท่านเคียงข้าง สิ่งที่ข้าต้องเสียก็คือหัวใจ ความรัก และความสุขชั่วชีวิต เป็นท่าน ท่านจะยอมแลกหรือไม่”

   “เที้ยนหยวน ” ทรงพึมพำชื่อร่างในอ้อมพระอุระด้วยความตื้นตัน น้ำพระเนตรไหลลงมาอย่างช้าๆ “ขอบคุณ ขอบคุณเจ้ามาก พี่รักเจ้านะเที้ยนหยวน สัญญาว่าจากนี้จะไม่มีวันที่เจ้าจะโดดเดี่ยว จะไม่มีวันที่เจ้าต้องเสียความรัก และความสุขไป”

   “ข้าก็รักท่าน รักทั้งที่ก็รู้ว่าคงไม่มีหวังได้ครอบครองท่าน ไม่มีวันได้อยู่กับท่านไปตลอด ข้า~”

   นิ้วพระหัตถ์ปิดลงที่ริมฝีปากอิ่ม ไม่ให้พูดอะไรออกมาได้อีก “อย่าพูดเช่นนั้นเที้ยนหยวน พี่บอกเจ้าแล้วว่าจะไม่ปล่อยเจ้าไปอยู่ที่ใด แลจะมีเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น เชื่อพี่ อยู่กับพี่ที่นี้”

   “จะได้อย่างไร อีกไม่นานท่านก็มีนางสนม มีฮองเฮา แล้วท่านจะเอาข้าไว้ที่ใดกัน แค่ท่านรักข้า เท่าที่ก็มาเพียงพอแล้ว” ร่างเล็กยกเอาความจริงที่ไม่อาจแสร้งลืมเลือนได้ มาเตือนพระสติของฮ่องเต้หนุ่ม

   “ ไม่ พี่จะไม่มีใคร อยู่กับพี่ได้โปรด เจ้าได้โปรดฟังคำร้องขอจากฮ่องเต้ผู้ที่รักเจ้าด้วย ห้ามคิดอะไรแบบนั้นอีกรู้ไหม” พระพักตร์คมซุกที่แผ่นอกบาง รั้งเอวเล็กไว้แน่น ไม่อาจปล่อยไปให้หลุดมือได้อีกแล้ว

   “ได้อย่างไร ข้าไม่ใช่องค์หญิงหรือสาวงามที่จะได้อยู่กับท่านโดยไม่มีใครครหา แล้วไหนจะรัชทายาทที่อย่างไรข้าก็ไม่มีวันมอบให้แก่ท่านได้ พวกขุนนางไม่มีวันยอมแน่” มือเล็กลูบปฤษฎางค์กว้างอย่างปลอบโยน ลมหายใจถูกถอนออกมาแผ่วเบา

   “เจ้าอย่ากังวลเรื่องพวกนั้นเลย พี่มีวิธีที่จะทำให้เจ้าได้อยู่กับพี่ไปตลอดแน่ๆ ส่วนเรื่องรัชทายาท ก็แล้วแต่สวรรค์จะทรงโปรดเถิด วันนี้เจ้าอยู่ในตำหนักรอพี่ก่อนได้ไหม อย่าคิดหนีออกไปอีก จะได้ไหม” พระพักตร์คมจ้องมองร่างเล็กอย่างขอร้อง

   “แม้แต่จะออกไปหาอี้หลงที่หนึ่ง ที่สองก็ไม่ได้หรอ” อ๋องน้อยร้องถามผู้ทำองค์เป็นเก้าอี้ให้ได้นั่งรอง

   “ไปได้ แต่เจ้าต้องกลับมารอพี่ที่นี้นะเที้ยนหยวน ” แม้นจะมีปัญหามากมายสักเพียงใด แต่สิ่งเดียวที่พระองค์หวาดหวั่นในยามนี้ คือการเสียน้องน้อยไป

   สุรเสียงขุ่นที่บอกให้ผู้ฟังรับรู้ได้ว่าพระองค์ทรงหนักใจเพียงใด ทำให้ร่างเล็กพยักหน้ายอมรับอย่างง่ายดาย....เพื่อให้พระองค์ได้เบาใจ

   พระพักตร์ฉายรอยแย้มพระโอษฐ์อ่อนๆ “ขอบใจเจ้ามากนะเที้ยนหยวน เชื่อมั่นในรักของเรา แล้วทุกอย่างจะดีเองนะ คนดีของพี่” ขมับเล็กของน้องน้อยถูกพระองค์ตราประทับด้วยความรักล้นหทัย

   บรรยากาศในห้องบรรทมต่อจากนั้นมีแต่เรื่องสนุกสนามที่ปากอิ่มช่างเล่าสรรหามาเพื่อปัดเป่าเรื่อทุกข์ในใจให้จางหายไป มีบ้างที่ปากอิ่มถูกหยุดคำพูดด้วยพรโอษฐ์ร้อนกับสัมผัสแสนหวาน และกว่าที่มื้ออาหารจะผ่านพ้นไป จากปากอิ่มก็กลายเป็นปากบวมช้ำไปเสียแล้ว

   “รอพี่ที่นี้นะเที้ยนหยวน อย่าพึ่งออกไปซนที่ไหน พี่ไปประชุมกับพวกขุนนางแล้วจะรีบกลับมาหาเจ้า” ก่อนดำเนินออกจากห้องทรงไม่ลืมที่จะสั่งน้องน้อยอีกครั้ง ด้วยความกลัวเหลือเกินว่ากลับมาแล้วจะไม่เจอคนผู้นี้อีก

   “ท่านทำให้ปากข้าเป็นแบบนี้แล้วจะหนีไปไหนอีก ใครเห็นก็คงหัวเราะข้ากันไปหมด” เสียงอู้อี้ลอดผ่านมือเล็กที่กุมปากตนเองเอาไว้ สายตามองค้อนฮ่องเต้หนุ่ม

   “ก็ดีแล้ว แล้วพี่จะรีบกลับมานะ” ฮ่องเต้หนุ่มจุมพิตบนเรือนผมนุ่มอย่างเอ็นดูแล้วเสด็จออกจากห้องบรรทม เพื่อออกไปสู้รบกับเหล่าขุนนาง เพื่อความรักของพระองค์

 * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

   ร่างเล็กนั่งรอเงียบๆอย่างเหงาๆอยู่ในตำหนัก แม้แต่ขันทีประจำตำหนักก็ยังไม่เข้าคุย จะเดินเข้าไปหา อีกฝ่ายก็เอาแต่ ก้มหน้าก้มตา ผิดแปลกไปกว่าทุกครั้ง   

   “นี้อู่กงกง เจ้าเป็นอะไร ข้าคุยด้วยก็ไม่ยอมมองหน้า หรือว่าเจ้าไม่ชอบใจที่ข้ากลับมาที่นี้อีก” เมื่อสิ้นความอดทน ร่างเล็กที่ปากเริ่มหายเจ่อบวมก็เดินตามขันทีแสนเหี่ยว ดุจดังเป็นเงา ร้องเรียกคำตอบแก้ข้อสงสัย

   “เปล่า....ข้า..เมื่อคืน..คือ” แม้จะผ่านโลกมามากกว่า หากว่าสิ่งเมื่อคืนก็ทำให้ผู้ไร้ประสบการณ์เขินอาย ยังคงไม่กล้าสบสายตากลมโตคู่ตรงหน้า

   ....ก็ใครจะคิดว่า คนแบบนี้ จะส่งเสียงได้หวานรัญจวนถึงเพียงนั้น

   แล้วใครจะคิดบ้างว่า ฮ่องเต้ผู้ทรงนิ่งขรึมจะทรงมีท่วงท่าในความรักที่ลึกล้ำ อย่างที่เงาฉายให้เห็น

   “เจ้า เมื่อคืนทำไม บอกข้ามานะอู่กงกง” อ๋องเที้ยนหยวน ที่ยังคงไม่รู้เรื่อง เดินมาดักขวางหน้าขันทีตัวบางอย่างสงสัย น้ำเสียงคาดคั้นให้พูดความจริง

   “ข้า...” แค่เผลอเงยหน้าขึ้นมอง อู่กงกงก็ต้องก้มหลบอีกครั้ง เมื่อสายตาซอกซอนเข้าไปเห็นผิวเนื้อขาวที่มีรอยแดงแต่งแต้มอย่างสวยงาม

   “เจ้าทำไม ก็พูดมาสิ ไม่พูดข้าก็ไม่รู้หรอกนะ หรือเจ้าหลงรักข้าเข้าแล้ว ยากหน่อยนะอู่กงกง เพราะเจ้าเองก็ไม่ใช่ขันทีน้อยๆที่ข้าพอจะปันใจให้ได้ อีกอย่างองค์ฮ่องเต้คงกริ้วแน่ ถ้ารู้ว่าเราจะลักลอบคบหากัน”อ๋องน้อยตีความท่าทางของขันทีเฒ่าได้อย่างน่ากลัว

   “ท่านคิดอะไรของท่านหน่ะ ท่านอ๋อง ที่ข้าเป็นอย่างนี้ก็เพราะท่านกับฮ่องเต้นั่นแหล่ะ ทำอะไรกัน รู้ไหมว่าเสียงมันดังลอดออกมาข้างนอก ไฟตะเกียงที่ยังไม่ดับมันก็ฉายเงาออกมา เป็นท่าน ท่านไม่เขินหรืออย่างไร” เพราะไม่อาจรับความคิดของอ๋องน้อยดวงใจของฮ่องเต้หนุ่มได้ ทำให้ขันทีเฒ่าเผลอหลุดปากออกมา พร้อมความรู้สึกของตนเอง “ข้าหน่ะ เรื่องพวกนี้ก็ไม่เคย แล้วได้มาเห็นพวกท่านสองคน รู้ไหมว่าช่างน่าตกใจเสียยิ่งกว่าอะไร เมื่อคืนข้าก็นอนไม่หลับ เพราะเสียงที่ท่านร้องออกมามันดังก้องในหูข้า”

   ดวงตาที่โตอยู่แล้ว ยิ่งเบิกกว้างขึ้น ปากเล็กๆอ้าออกจากกัน ปล่อยให้ขันทีเฒ่าเดินผ่านไปอย่างตกตะลึง ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นแดงจัด และขาวซีดสลับกันไป ขาเล็กๆพาก้าวกลับห้องบรรทมโดยไม่รู้ตัว

   มีคนเห็น...มีคนได้ยิน....แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปมองได้เล่า?

   ท่านต้องรับผิดชอบ

   ร่างบางนั่งนิ่งวิตกจริตคนเดียวอยู่ในห้อง หากไม่ได้ให้สัญญา ป่านนี้อาจลอบกลับวังทู่หลงไปแล้วก็เป็นได้ และทันทีที่ได้เห็น ขันทีเฒ่าเข้ามาเพื่อยกสำรับมาให้ จากที่เคยตามตื้อกลายเป็นต้องหลบหน้า ไม่กล้าออกไปไหน รอคอยให้ผู้เป็นเจ้าของตำหนักกลับมา

   เสียงฝีเท้าที่คุ้นหู เรียกให้ร่างเล็กที่เอาแต่อยู่ในห้อง เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อยู่ในห้อง รอคอยอย่างคาดหวังให้คนที่เดินเข้ามาคือผู้เป็นเจ้าของห้อง

   “ว่าอย่างไรเที้ยนหยวน เป็นอะไรไปหืมม์ เห็นอู่กงกงบอกว่าไม่ยอมออกไปกินข้าวข้างนอก ต้องยกขึ้นมาให้ข้างใน ไม่สบายหรือเปล่า หรือว่าเมื่อคืนเจ้า...”

   “หยุดเลยนะ อย่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนอีก” ร่างเล็กรีบถลากายลงมาใช้มือปิดพระโอษฐ์เอาไว้ในทันที

   “เกิดอะไรขึ้นกันเที้ยนหยวน ” แม้จะไม่เข้าพระทัยมากนัก แต่แค่เห็นน้องน้อยยังอยู่ก็ทำให้ทรงดีพระทัยมากพอแล้ว จับมือเล็กมา ขึ้นจรดริมฝีปาก พาไปนั่งยังตั่งกว้างใกล้หน้าต่าง

   “ก็ที่ท่านกับข้า...เมื่อคืนหน่ะ” ร่างเล็กเว้นช่วงคำ ด้วยความเขินอาย ก้มหน้าจนคางเล็กเกือบชิดกับแผ่นอกของตนเอง “ขันทีเหี่ยว...”

   “อู่กงกง เป็นขันทีประจำตำหนัก อายุก็มากกว่าเจ้านะเที้ยนหยวน ” ทรงเอ็ดน้องน้อยเรื่องการเรียกขานขันทีเฒ่าอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่สมควร แม้จะเป็นดวงหทัยของพระองค์ ก็ใช่ว่าจะเรียกใครอย่างไรก็ได้

   “นั่นแหล่ะๆ เขา...เดินผ่านหน้าระเบียง ตอนนั้นแล้ว....โอ้ย ท่านต้องรับผิดชอบนะ ข้าจะไปมีหน้ามองใครต่อใครได้อย่างไรเล่า”

   ฮ่องเต้หนุ่มทรงนิ่งฟังถ้อยคำที่ไม่ปะติดปะต่อ หากก็พอเข้าใจได้ ก่อนทรงพระสรวลก้อง “เจ้าก็ไม่ต้องมองใครสิ มองแค่พี่คนเดียวก็พอแล้ว ส่วนให้พี่รับผิดชอบหน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ไม่ปล่อยให้เจ้าเสียหายแน่ๆ”

   “ท่านจะทำเช่นไร จะไปพูดกับอู่กงกงใช่ไหม ว่าไม่ใช่แบบที่เขาเข้าใจหน่ะ ใช่ไหม” ประกายตาใสเกิดขึ้นในดวงตากลมทันทีด้วยความดีใจ ถึงที่คนอื่นเข้าใจจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ใช่ว่าอยากให้รู้กันทั่วเสียหน่อย

   หากเรื่องนี้แพร่ออกไปนอกวังหลวง..ชื่อเสียงของอ๋องเที้ยนหยวน ก็คงหมดกันในคราวนี้

   “จะพูดแบบนั้นก็เป็นการโป้ปดสิ ให้เข้าใจถูกหน่ะดีแล้ว คนจะได้รู้กันทั่วว่าเจ้าเป็นของพี่” ทรงไหวองค์หลบการโจมตีของมือในฉับพลัน แล้วคว้ากอบกุมไว้แน่น โอบร่างเล็กเข้ามา ไม่ให้ดิ้นหนี รับสั่งด้วยพระพักตร์เปี่ยมสุข “พี่คุยกับท่านราชครูแล้ว อีกสองสามวันจะออกราชโองการ แต่งตั้งเจ้าให้ควบคุมกรมอาลักษณ์ มีตำแหน่งที่ชัดเจน อยู่ในวัง เห็นไหมว่าพี่รับผิดชอบเจ้าไม่ปล่อยให้เสียหาย แล้วจะกลัวอะไรกับแค่มีคนมาเห็นว่าเจ้ากำลังถวายงานให้พี่”
 
   “ไม่ ท่านไม่เข้าใจข้าเลย แล้วอีกอย่างข้าก็ไม่อยากดูแลกรมอาลักษณ์ด้วย มีแต่พวกอาลักษณ์แก่ๆ พูดไม่รู้เรื่อง ไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย ให้ข้าดูแลพวกนางกำนัล หรือขันทีใหม่ก็ได้ แต่ไม่เอากรมอาลักษณ์” เสียงใสออดอ้อน ใบหน้าหวานบึ้งตึงกับตำแหน่งที่ได้รับ

   “ไม่ได้!” สุรเสียงทุ้มดุ แสนเด็ดขาดในพระราชอำนาจ ทอดเนตรน้องน้อยอย่างไม่พอพระทัย แค่เพียงมองตากลมใสก็รู้แล้วนิสัยเสียยังอยู่ครบ แม้บัดนี้จะมีสวามีเช่นพระองค์แล้วก็ตาม “พี่ให้เจ้าอยู่กรมอาลักษณ์ก็ดีแล้ว ให้อู่กงกงมาเห็นก็สมควรแล้ว ต่อไปจะดูสิว่ามีใครกล้ายุ่งกับเจ้ากัน แล้วอย่าหวังว่าจะได้เกี้ยวนางกำนัลหรือขันทีใหม่อีกเลยเที้ยนหยวน ใครมันกล้ามาให้เจ้าเชยชม พี่จะตัดหัวมัน”

   “โหดร้าย ทรงเป็นฮ่องเต้ที่โหดร้ายที่สุด คอยดูว่าข้าจะออกไปหาสา..”

   ฮ่องเต้หนุ่มไม่ทรงรอให้น้องน้อยช่างพูดได้พูดจบ เมื่อทรงปิดปากเล็กนั่นเสีย ก่อนทรงอุ้มไปวางบนแท่นบรรทมนุ่ม ยุติการโต้เถียงเอาแต่ใจ และกว่าที่อ๋องน้อยจะรู้สึกตนอีกครั้ง จากคำพูดก็หลงเหลือเพียงเสียงครางหวานให้คนที่ตั้งใจเข้ามาร้องเรียกต้องขนลุกซู่ และฝันร้ายไปอีกคืน

   ชะตากรรมของขันทีเฒ่า ช่างน่าสงสารยิ่งนัก...แต่ก็ดีแล้ว ที่ฮ่องเต้องค์เดิมกลับมาแล้ว ไม่ใช่เพียงหุ่นในชุดคลุมมังกรเฉกเช่นอาทิตย์ที่ผ่านมา

   * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

   ราชโองการแต่งตั้งอ๋องน้อยเที้ยนหยวน ให้เป็นผู้ควบคุมกรมอาลักษณ์มีขึ้นหลังจากนั้นเพียงสองวัน ของใช้จากวังทู่หงถูกย้ายเข้ามาในวังหลวง ตำหนักส่วนพระองค์ฮ่องเต้ แม้จะมีเสียงคัดค้านจากขุนนางหัวเก่าบางคน แต่นั่นก็เงียบหายไปในเวลาไม่นาน

   ในเช้าวันหนึ่งทีอากาศแสนปลอดโปร่ง ร่างเล็กตื่นขึ้นมาในอ้อมพระพาหาเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา มีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่าง...เปลือกพระเนตรยังคงปิดสนิท

   ใบหน้าหวานยิ้มกว้าง นิ้วเรียวไล้จากพระนลาฏกว้างสู่พระนาสิกโด่ง หยุดที่พระโอษฐ์ได้รูป ความทรงจำแสนหวาน จากฝีพระโอษฐ์นี้เรียกให้ดวงหน้าเล็กแดงกล่ำ ก่อนใช้กลีบปากตนเองปิดลงที่ฝีพระโอษฐ์อย่างแผ่วเบา แล้วพึมพำอยู่ไม่ห่าง “ ข้ารักท่านที่สุด ท่านพี่อี้หลง”

   “พี่ก็รักเจ้า น้องน้อยของพี่” พระเนตรเปิดกว้าง ยิ้มรับคำบอกรักแสนหวานในเช้าที่แสนดี กอดกระชับร่างเล็กเข้าแนบพระอุระ ฮ่องเต้หนุ่มบรรจงมอบความหวานล้ำให้แก่อ๋องเที้ยนหยวน หวังว่าในสักวัน ความรักที่พระองค์ประทานให้ จะทำให้อ๋องผู้นี้เปลี่ยนแปลงนิสัย เลิกหาความสำราญกับสาวงาม หรือขันทีน้อยอีก แต่ไม่ว่าจะกี่นิสัย กี่อุปสรรคขวากหนาม พระองค์ไม่เคยหวาดหวั่น ขอเพียงสิ่งเดียว ให้ความรักนี้คงอยู่ตราบเท่าพระชนม์ชีพ ได้เคียงคู่กันไปแบบนี้

   ใครจะเชื่อกัน ว่าเพียงแค่สามเดือน ได้เปลี่ยนแปลงหัวใจสองดวงที่เคยเงียบเหงา ให้เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขอย่างลึกซึ้ง

   ใครจะเชื่อกันว่า ฮ่องเต้ผู้ทรงนิ่งขรึม มียศสูงส่งจะหลงรักอ๋องน้องผู้ไม่ได้เรื่อง

   แล้วใครจะเชื่อกัน อ๋องน้อยที่เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ จะมอบหัวใจให้แก่ฮ่องเต้หนุ่มแสนดุ

   แต่มันก็เป็นไป เพียงแค่ทั้งสองมีใจที่รักมั่นต่อกัน สิ่งใดก็หาสำคัญไม่ ต่อให้ยากเย็นเหลือแสน ทั้งสองก็จะผ่านพ้นไปด้วยกัน เพื่อท่าน เพื่อเจ้า...เพื่อรักของเรา
   
    * ~ * ~ * ~ * ~ *~ * ~* ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ * ~ *

   สวัสดีคะ ตอนจบมาแล้ววววววววคะ ไอซ์มีความสามารถอย่างสูงเรื่องทำให้ตอนจบกลายเป็นตอนป่วง เพราะงั้น มันเลยดูป่วงไปหน่อย ขอโทษนะคะ ส่วนตอนพิเศษ มีอีกสองตอนคะ รออ่านนะคะ
   ส่วนเรื่องดองนั้นมัน... เท่าที่ดูจากการอัพฟิคแต่ละเรื่องแล้ว มันเป็นเช่นนั้นจริงจังคะ แต่จะพยายามทำให้ดีขึ้นนะคะ (กระซิบเบาๆว่าเรื่องหน้านั้น น่าจะม่าม่าท้องอืดเลยแหล่ะคะ)

   ขอบคุณนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด