[เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:  (อ่าน 73037 ครั้ง)

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่19
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

การสัมมนากลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ตลอด3วันผ่านไปอย่างราบรื่น ผมมีหน้าที่ดูแลเรื่องผังที่นั่งผู้ร่วมประชุม เอกสารสำหรับ
ผู้ร่วมประชุมเพื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกับที่ประชุม ของว่างสำหรับช่วงคอฟฟี่เบรค รวมถึงหน้าที่จดรายงานการประชุมตลอด3วัน
วันแรกที่ต้องเตรียมงานก่อนการประชุม ทั้งไม่คุ้นกับงานและสมองเบลอด้วยพิษไข้ นึกดูแล้วก็ต้องถอนใจโล่งอกที่งานไม่พลาด
พอเข้าวันที่สองและสามอาการเบลอๆงงๆเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งครับ เดาว่าเป็นเพราะผมยุ่งซะจนไม่มีเวลาจะคิดเรื่องตัวเอง
คืนที่สามนี่ล่ะครับที่เกิดเรื่องขึ้นจนได้ พี่ศรัณย์ชวนผมไปท่องราตรีพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเค้าและบรรดาผู้ชายที่มาร่วมประชุม
แต่ผมไม่ชอบเที่ยวกลางคืนน่ะครับเลยอ้างไปว่าผมยังไม่หายดี คืนนั้นผมก็เลยนอนหลับไปก่อนส่วนพี่ศรัณย์ก็เอากุญแจห้องไป
ก็ไม่ต้องกังวลว่าพี่ศรัณย์จะกลับมากี่ทุ่มกี่ยาม พอมีเวลาว่างผมก็เริ่มจิตตกอีกแล้วสิครับ นั่งซึมอยู่อย่างนั้นแล้วก็เหมือนหมดสติ
เพราะจู่ๆสิ่งที่มองเห็น สิ่งที่ทำอยู่ก็ดับวูบไปเลย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหน ท่าทางคราวนี้จิตใจของผมย่ำแย่จริงๆล่ะครับ

“อืมมมม หายดีรึยางงงง หนายดูซิตัวร้อนรึเปล่า”
เสียงอู้อี้ของพี่ศรัณย์ดังอยู่ข้างๆนี่เอง
“เฮ้ย พี่ทำอะไรน่ะ”
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นพี่ศรัณย์ล้มตัวลงนอนข้างบนเตียงผม
“พี่จาดูว่า น้องนิวตัวร้อนม๊ายยยย หนายๆ ขอจับหน่อยดิ๊ มาให้จับหน่อยมา”
มือของพี่ศรัณย์เปะป่ายไปทั่ว
“น้องไม่เป็นไรแล้ว พี่ศรัณย์ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยดีกว่าครับ ท่าจะเมามาก”
ผมทำใจเย็นค่อยๆพูดและลุกจากเตียง
“มาวววววว ก็มาวอ่ะคร้าบบบบบ ไม่อยากล้างหน้านี่นา น้องนิวเช็ดหน้าให้พี่หน่อยนะ นะคร้าบบ”
พี่ศรัณย์ยังโอ้เอ้อยู่
“เอ่อ ก็ได้ครับ งั้นพี่ไปนอนที่เตียงพี่ไป นิวไปเอาผ้าขนหนูกับน้ำมาก่อนนะครับ”
ผมได้ทีผลุนผลันเข้าห้องน้ำไปเลย

ระหว่างที่ผมยืนใจสั่น เพราะสับสนและเริ่มรู้สึกว่าท่าทางของพี่ศรัณย์ชักจะไม่น่าไว้ใจซะแล้ว เค้าก็มาเคาะประตูเร่งเสียงดัง
ผมจึงมีเวลานึกอะไรไม่ได้มาก ต้องรีบเอาผ้าชุบน้ำแล้วออกไปเผชิญหน้ากับพี่ศรัณย์ที่ยังอยู่ในสภาพเมามายแทบยืนไม่อยู่

“พี่ศรัณย์ไปนั่งที่โซฟาแล้วกัน น้องจะตามไปเช็ดหน้าให้ครับ”
ไม่รอล่ะ ผมกึ่งลากกึ่งจูงพี่ศรัณย์ไปนั่งเอนกายที่โซฟาจนได้
ปกติพี่ศรัณย์เป็นคนผิวคล้ำแต่ก็ไม่ถึงกับดำหรอกครับด้วยว่าผิวพรรณสะอาดสะอ้านอย่างที่ผมแอบเรียกลับหลังว่า ‘ผิวลูกผู้ดี’
แต่คืนนี้พี่เค้าคงดื่มเยอะจริงๆ เพราะทั้งหน้าตาเนื้อตัวแดงจัดทีเดียวความร้อนผ่าวแผ่ซ่านออกมาจากทั้งผิวกายและลมหายใจ
ผมเดินไปซักผ้าขนหนูและชุบน้ำเย็นอีกหลายครั้งเพราะแค่วางผ้าที่เปียกหมาดๆไปที่ตัวพี่ศรัณย์ก็ทำให้ผ้าร้อนแทบจะในทันที
ตอนนี้ผู้ชายขี้เมาตรงหน้าผมหมดฤทธิ์และหลับสนิทเหมือนเด็กคออ่อนที่แอบหนีไปร่ำสุรากับเพื่อนฝูงเมื่อเมาเข้าขั้นก็หลับไป
ผมเองแทบจะยืนไม่อยู่เช่นกันสงสัยอาการไข้จะกำเริบขึ้นมาจริงๆซะแล้ว พอจะกลับไปนอนต่อผมถึงกับเดินเซไปจนแทบล้ม
พี่ศรัณย์ลุกมาจากโซฟาตอนไหนไม่รู้จู่ๆก็พุ่งเข้ามากอดผมซะแน่นในจังหวะที่ผมกำลังเดินโซเซอยู่นั่นเองจึงไม่ทันได้ระวังตัว

“พี่ศรัณย์ปล่อยนิวเถอะครับ เมามากแล้วก็ไปนอนไป นิวเหนื่อยแล้วดูแลพี่ไม่ไหวแล้วนะครับ”
ผมเบี่ยงตัวหลบ
“ม่ายอาวอ่ะ ถ้าพี่ปล่อยนิวก็หลุดมือพี่อ่าดิ ไม่ต้องทำไรแล้วน๊า พี่จะดูแลน้องนิวเองงงงงง”
พูดไปก็ซุกไซ้ไปด้วย
“แต่นิวเหม็นเหล้า ตัวพี่มีทั้งกลิ่นเหล้ากลิ่นตัว นิวจะอ้วกอยู่แล้วปล่อยซะเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ผมสะบัดหลุดจนได้
“ก็ตัวนิวห๊อม…..หอมอ่า ขอพี่กอดอีกหน่อยนะครับน้องชายยยย”
เค้าดึงผมไปกอดอีกจนได้แถมมือไม้ก็ไม่อยู่สุขซะด้วย
“พี่จะบ้าเหรอ เรานามสกุลเดียวกันนะ สายเลือดเดียวกันก็ว่าได้”
รู้ว่าเค้าชอบผู้ชายก็ช๊อคแล้วแต่นี่เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วย
“ไม่อยากได้บ้านคืนเหรอ”
คำนี้ทำให้ผมชะงักไปเลยจริงๆ
“แน่ะๆๆ อยากได้ใช่ม้า ก็รับข้อเสนอของพี่คืนนี้สิคร้าบบ”
ใช่ครับผมอยากได้บ้านคืนแต่อยากพ้นจากเงื้อมมือพี่เศรัณย์มากกว่า
“ข้อเสนออะไร”
ผมนึกอะไรไม่ออกแต่การพูดต่อรองเพื่อถ่วงเวลาก็น่าจะดีกว่าดิ้นรนให้เปลืองแรงเปล่า
“พี่จะเอาเงินขอพี่ให้นิวไปไถ่บ้านคืนจากพ่อพี่ แต่นิวต้องฝึกงานกะพี่จนกว่าจะเรียนจบแล้วเราก็หาเวลามาที่นี่กันบ่อยๆงายยย”
เพื่อนๆเคยได้ยินเรื่องของพวกผู้ดียุคเก่ามั้ยครับที่ชอบสมสู่กันเองน่ะ เจอเข้าจริงๆแล้วนี่ไงครับ
“แล้วพี่จะบอกลุงวิชิตว่ายังไงครับ คิดเหรอว่าถ้าเงินของพี่หายไปทีละเป็นแสนๆพ่อพี่จะไม่สงสัย”
แต่ถึงผมจะรู้สึกขยะแขยงและอนาถใจยังไง ผมต้องต่อรองให้นานที่สุดเพื่อหาทางรอด
“เรื่องนี้ม่ายมีปัญหาหรอก น่านะ ถ้านิวยอมพี่นิวจะได้บ้านคืนเร็วขึ้นแถมยังได้งานทำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยนะ สนรึยางงง”
ผมยังไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น ลีลาการซุกไซ้กอดรัดของพี่ศรัณย์ช่ำชองจนผมอ่อนปวกเปียกไปหมด แต่สมองของผมยังสั่งการอยู่
ผมจะทำอะไรบุ่มบ่ามก็ไม่ได้และไม่ว่าคืนนี้จะผ่านไปแบบไหน ผมจะยังคงทำงานที่นี่ต่อไปได้หรือ แล้วผมมีทางเลือกอะไรบ้าง
“เอ่อ พี่ศรัณย์มีถุงยางรึเปล่า”
เออได้ผลแฮะเค้านิ่งไปพักนึงแล้วส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบว่าไม่มี
“งั้นน้องไปซื้อให้นะ”
ผมได้ทีรีบผละออกจากอ้อมแขนล่ำสันของพี่ศรัณย์ คว้ากระเป๋าตังได้ก็ชิ่งออกจากห้องทันที
พ้นออกมาด้านนอกได้ผมก็ลงไปนั่งใจหายใจคว่ำอยู่ที่Lobbyโรงแรมดูจนแน่ใจว่าเค้าไม่ตามมาก็ค่อยโล่งใจและผมก็นั่งอยู่อย่างนั้นถึงเช้า


ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่20
ข้อแลกเปลี่ยน

ผมกลับมาที่ห้องอีกทีตอน9โมงเช้า วันนี้เป็นวันที่เราต้องกลับกรุงเทพฯแล้ว ผมรอจนแน่ใจว่าทั้งพนักงานและแขกของโรงแรม
มีจำนวนพลุกพล่านมากพอ ผมจึงตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปที่ห้องนอนซึ่งเพิ่งเกิดเรื่องเมื่อคืนนี้ เปิดประตูเข้าไปก็พบว่าพี่ศรัณย์
นอนหลับไหลไม่ได้สติ ผมย่องเข้าไปอย่างเงียบกริบ รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาจัดของลงในกระเป๋าเดินทางเตรียมชิ่ง

“จะไปไหนล่ะ เก็บของเงียบเลยนะ”
พี่ศรัณย์ลุกขึ้นนั่งบนเตียงถามพลางสะบัดหน้าไล่ความมึนเมา
“น้องจะกลับละครับ ก็หมดหน้าที่แล้วนี่ครับ การสัมมนาก็เสร็จแล้ว น้องอยากกลับไปพักผ่อนที่บ้าน”
ผมไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเค้าจะว่าอย่างไรแต่เวลานี้ผมอยากไปให้ห่างพี่ศรัณย์ที่สุด
“ไหนล่ะถุงยาง”
พี่ศรัณย์ลุงจากเตียงนอนมานั่งย่อตัวอยู่ข้างๆแล้วทวงถามผม
“อะไร ถุงยางอะไร ไม่เห็นรู้เรื่องเลย น้องกลับเลยดีกว่า เดี๋ยวต้องรวบรวมงานส่งพี่วิด้วยพรุ่งนี้ก็วันศุกร์แล้ว”
ผมรู้ว่าเป็นการแก้ตัวที่งี่เง่ามาก การทำไขสือแบบนี้คงรอดยาก แต่สมองสั่งงานไม่ทันจริงๆครับ
“ช่างเหอะ แล้วน้องนิวจะกลับยังไงครับ”
พี่ศรัณย์วิ่งมาขวางหน้าผมไว้ในขณะที่ผมกำลังกำลังจะลากกระเป๋าเดินออกไป
“ถึงน้องจะจนเป็นหนี้สินที่ติดค้างกันเป็นปีเป็นชาติ แต่น้องก็คงไม่สิ้นปัญญาถึงกับจะหาทางไปไม่ได้หรอก”
ผมเริ่มจะโมโหแล้วเหมือนกัน มันจะอะไรกับผมนักหนา
“ไม่เอาน่า พี่ว่าเราคุยกันดีๆได้นี่นา พี่บอกแล้วไงว่าพี่มีข้อเสนอ หรือมีอะไรที่น้องนิวอยากได้มากกว่านี้ก็บอกได้”
พี่ศรัณย์เดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นยื่นมือมาบีบไหล่ผมและออกแรงหนักขึ้นจนผมต้องปล่อยมือจากกระเป๋าที่ลากมาเมื่อครู่
“พี่ศรัณย์ก็ทราบอยู่แล้ว ถึงยังไงน้องก็ต้องหาเงินมาชดใช้ไถ่ถอนบ้านออกไปจนได้ ข้อเสนอของพี่ไม่จำเป็นเลย”
ผมจ้องหน้าของพี่ศรัณย์อีกครั้ง ผมดูท่าทางที่หายเมาของเค้าก็เบาใจว่าคงพอมีสติที่จะพูดกันรู้เรื่องกว่าเมื่อคืน
“อวดดีเกินไปแล้วนะ เรื่องแบบนี้ผู้ชายเค้าไม่ถือหรอกมีแต่ได้กับได้ โตจนขนาดนี้อย่าทำเป็นไม่เคยหน่อยเลยน่ะ”
พี่ศรัณย์ใช้น้ำเสียง ท่าทาง ที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสชนิดถอดแบบลุงวิชิตออกมาทีเดียว
“แต่นิวถือและไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องถูกต้องโดยเฉพาะเราเป็นลูกพี่ลูกน้องกนและเป็นผู้ชายเหมือนกัน”
ผมพยายามให้เหตุผลงัดข้อกับความเห็นแก่ตัวของพี่ศรัณย์ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเลยเพราะแทนที่เค้าจะฟังบ้างก็เปล่า

พี่ศรัณย์ยังเดินเข้าใกล้ผมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผมถอยหลังและขัดขืนแต่เค้าก็ยิ่งออกแรงรั้งผมเค้าไปกอดรัดจนหายใจไม่ออก
“พี่ปล่อยน้องก่อนเถอะ ใจเย็นๆแล้วค่อยคุยกันอีกที เอ่อ บางที บางทีข้อเสนอของพี่ก็น่าสนใจ”
คำพูดนี้ทำให้เค้าปล่อยตัวผม
“แปลว่าจะยอมรับข้อเสนอของพี่ใช่มั่ยครับ”
เค้าก้มหน้าลงมาใกล้ผมจนได้กลิ่นลมหายใจที่มีกลิ่นเหล้าเจือจางของพี่ศรัณย์
“เดี๋ยวครับ น้องยังไม่พร้อม คือ โอ๊ยยยย น้องปวดท้องอ่ะ สงสัยท้องเสียแต่เช้า”
ว่าแล้วก็รีบชิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที

โอ๊ย……นี่มันอะไรกันนักหนา ทำไมผมต้องเปลี่ยนห้องน้ำเป็นห้องวางแผนการเอาตัวรอดอยู่เรื่อยเลยแล้วจะเอาไงล่ะเนี่ย
แม้จะผ่านไปหลายนทีแต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าควรจะเอาตัวรอดจากเรื่องนี้อย่างไร รู้ก็แต่ว่าผมไม่มีทางหลบอยู่ในนี้ได้ตลอด
เมื่อตัดสินใจแน่แล้วก็เปิดประตูออกมา ก็เห็นว่าพี่ศรัณย์เก็บข้าวของส่วนตัวลงกระเป๋าใกล้เสร็จแล้ว เอาไงของเค้าล่ะเนี่ย

“กลับกันเลยดีกว่า”
พี่ศรัณย์พูดขึ้นโยไม่ได้หันมามองผมสักนิด
“แปลว่าพี่เปลี่ยนใจเรื่องข้อเสนอแล้วใช่มั้ย น้องขอบคุณนะครับ ยังไงซะเราก็เป็นพี่น้องกันอยู่ดี มนไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
แม้จะยังไม่วางใจในท่าทีของพี่ศรัณย์นักแต่ถ้าเค้ามีจิตสำนึกและเปลี่ยนใจมันก็คงจะดี
“เปล่าครับ แต่พี่มาคิดๆดู เรื่องนี้เราน่าจะมีเวลาทำความตกลงกันนานๆ”
พี่ศรัณย์ยืดตัวขึ้นและลุกเดินมาประจันหน้าผม ยิ้มให้ผมเหมือนกำลังพูดเรื่องยั่วล้อกันเล่นไม่จริงจัง
“เชื่อเถอะเรายังต้องตกลงกันได้อีกหลายครั้ง เพราะน้องนิวยังมีเวลาทำงานเป็นผู้ช่วยของพี่อีกตั้งเดือนนึงเลยนะ”
คราวนี้รอยยิ้มของพี่ศรัณย์ดูมีเลสนัยและไม่น่าไว้ใจเลยจนนิดเดียว แต่อย่างน้อยผมก็ยังโล่งใจที่รอดพ้นเหตุการณ์เฉพาะหน้านี้ไปได้
“แล้วอีกอย่าง” พี่ศรัณย์เว้นวรรคไปนิดหนึ่งเอื้อมมือมาโอบคอผมแล้วดึงเข้าไปหาเค้าก่อนที่พี่ศรัณย์จะก้มหน้าลงมาข้างๆหูผม
แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า “พี่เชื่อว่าเงินซื้อได้ทุกอย่างรวมทั้งศักดิ์ศรีของคนด้วย”


ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
โย่ว กำลังชีวิตทำไมมันยิ่งกว่าละครน้ำเน่าอีกอ่ะ

ต่อให้ทำดีแทบตาย คนแบบนี้ก็จะหาทางทำลายเราได้ทุกทางเช่นกัน
อยู่ห่างๆไว้แหละเป็นดี

เขาเคยคิดหรือได้ยินคำว่าพี่น้องบ้างไหม
 :a6: :a6: :a6:

งานนี้พึ่งคนที่เขารักเราจริงไม่ดีกว่าหรือ
พลาดท่าเสียทีให้พวกนี้ เจ็บไปจนวันตาย
 :m16: :m16: :m16:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
โธ่ นิว ถ้าเป็นอย่างนี้รับข้อเสนอของเทคซะยังจะดีกว่าอีกนะ เฮ้อ... :m17:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ได้เข้ามาอ่านตั้งนาน มีครบทุกรสชาติเลยนะครับ
ซึ้งกับเทคจริงๆ
 o7

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
สงสารเทค  เข้าใจนิว  :เฮ้อ:

ระวังตัวน้า  เด๋วพี่ศรันย์งาบไปก่อน เห่อ หมดกัน

ยังพอมีโอกาสมั้ย  เทคกับนิว   :m8:

ออฟไลน์ A GE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
 :m16: :m16: ทำไมพี่ศรัณย์ถึงได้ทำอย่างนี้ล่ะครับ  :a5: :a5:  ถึงจะไม่สนิทสนมกันมาแต่เด็ก  แต่คำว่าสายเลือดเดียวกันก็น่าจะทำให้คิดอะไรได้บ้างนะครับ  :angry2: :angry2:

luvdisc

  • บุคคลทั่วไป
แอร๊ยยยยยยยยยยยยส พี่ศรัณย์ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด เชี่ยได้ใจมาก ช๊อบ ชอบ         :m3:

helmet

  • บุคคลทั่วไป
หวัดดีคับพี่นิว

เด๋วถ้าบิวสอบเสร็จจะมาตามอ่านนะคร๊าบบ

 :a11: :a11: :a11:

ช่วงนี้ขออ่านหนังสือสอบก่อน  :a5:

jammy

  • บุคคลทั่วไป
อนาจใจจังเป็นญาติกันเเท้ๆทำกันได้ :sad2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่21
เงินหรือศักดิ์ศรี

ไม่ว่าเงินหรือศักดิ์ศรีต่างก็เป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น เงินทำให้ชีวิตของเราอยู่รอด แต่คนเราจะมีชีวิตอยู่รอดไปทำไม
ถ้าการมีชีวิตอยู่ต่อไปของเราต้องกลายเป็นคนไร้ศักดิ์ศรี ผมเชื่อว่าศักดิ์ศรีกินไม่ได้ ทำให้ท้องอิ่มก็ไม่ได้ ปลดปล่อยความยากจน
ไปจากเราก็ไม่ได้ แน่ล่ะพูดมาแบบนี้บทสรุปของผมก็น่าจะเป็นคำพูดที่ว่า “แล้วจะนอนกอดศักดิ์ศรีจนตายไปพร้อมกันทำไม”
อย่าเพิ่งตัดสินจากความคิดในมุมนี้ของผมเท่านั้นครับ เพราะแม้ว่าศักดิ์ศรีจะไม่ทำให้เรากินอิ่มนอนหลับหรือสุขสบายขึ้นมา

แต่การใช้ชีวิตที่เคลือบด้วยเปลือกสวยหรูโดยปราศจากศักดิ์ศรีนั้น เราก็คงหาค่าอะไรไม่ได้เพราะชีวิตเราควรมีค่าไม่ใช่แค่มีราคา
ความมีค่าอยู่ในตัวเราทุกคน แต่การมีราคาเป็นสิ่งที่คนอื่นกำหนดให้เรา และเราจะยอมรับราคานั้นหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของเราด้วย
ผมเชื่อเสมอว่าจงตีค่าตัวเองไว้อย่างพอดีเราจะได้ไม่หยิ่งผยองถือว่าเราดีกว่าใครแต่ก็อย่าตีค่าต่ำเกินไปจนไม่รู้จักเห็นค่าตัวเอง

เมื่อกลับมาถึงบ้านลุงวิชิตผมก็ขอตัวขึ้นห้องนอนอ้างว่าต้องรวบรวมและสรุปรายงานการประชุมไปส่งให้พี่วิในตอนเช้าพรุ่งนี้
คนอื่นๆก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร คงจะมีก็แต่พี่ศรัณย์ที่หลังจากนั้นประมาณ4ทุ่มเค้ามาเคาะห้องผมเพื่อจะคุยด้วย
ผมเดินออกมาคุยนอกห้องถามว่าเค้ามีธุระอะไร พี่ศรัณย์มาถามผมว่าเรื่องข้อเสนอที่เค้าเคยพูดไว้ ผมจะตัดสินใจอย่างไร

“เดี๋ยวพร่งนี้น้องค่อยบอกได้มั้ยครับ ตอนนี้ยังรวบรวมงานส่งพี่วิไม่เสร็จเลยครับ”
ผมบ่ายเบี่ยงเพราะยังไงก็ไม่ยอมแน่
“ทำไมคิดนานนักล่ะครับ พี่รอนานๆไม่ไหวนะน้องนิว”
พี่ศรัณย์โอบไหล่ผมลูบไล้เบาๆ
“น้องก็อยากคิดให้รอบคอบเท่านั้นครับ สำหรับพี่อาจเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับนิวมันคือเรื่องใหญ่มาก”
“ก็ได้ครับ แต่อย่าลืมว่าถ้าน้องนิวทำตามข้อตกลงของพี่ น้องจะได้ทุกอย่างที่ควรได้และได้มากกว่าที่อยากได้อีกนะ”

“ครับ” ผมหายใจเข้าลึกๆแล้วหันมายิ้มหวานๆ “แต่น้องต้องคิดก่อนว่าน้องจะได้คุ้มกับที่เสียไปมั้ยและน้องมีราคาแค่ไหน”

“ถึงกับประเมินราคาเชียว”
พี่ศรัณย์ทำท่าประหลาดใจนิดๆแล้วยิ่งก้มหน้ามาที่ซอกคอของผม “ถ้าสินค้าดีราคาเท่าไหร่พี่ก็สู้”
“เดินทางมาเหนื่อยๆ แล้วพรุ่งนี้พี่ต้องเข้าประชุมแต่เช้านี่นา ไปนอนเถอะครับ น้องจะกลับไปทำงานต่อแล้ว”
“ก็ได้ครับ พี่ดูไม่ผิดจริงๆว่าอย่างน้องนิวคงเข้าใจอะไรง่าย แล้วเรื่องนี้ก็จะมีเรารู้กันสองคน ก็คิดซะว่าพี่น้องเล่นกันนะจ๊ะ”

เมื่อแยกตัวมาจากพี่ศรัณย์ได้ ผมก็รีบเข้าห้องและล๊อกกลอนอย่างแน่นหนา เดินตรงไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งพี่ศรัณย์หามาให้
สำหรับต้องพิมพ์งานที่ได้รับมอบหมายจากพี่วิ ตอนนี้ที่หน้าจอยังมีงานค้างอยู่คือ สรุปรายงานการประชุมที่ผมจดไว้ตลอด3วัน
แต่ผมเซฟงานไว้และปิดหน้าจอลงไปก่อนเนื่องจากผมยังมีเรื่องที่ต้องพิมพ์อย่างเร่งด่วนและสำคัญมากซึ่งต้องส่งให้ทันพรุ่งนี้
ใบลาออก ของผมถูกนำไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของลุงวิชิต โดยมีผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของลุงวิชิตเตรียมพร้อมจะให้เหตุผลเต็มที่

“ทำไมถึงคิดจะลาออกซะล่ะ หรือว่าลุงใช้งานเธอหนักเกินไป”
ลุงวิชิตซึ่งบัดนี้กลายเป็นคุณลุงใจดีสำหรับผมไปแล้ว
“เปล่าหรอกครับ แต่เหตุผลก็มีบอกไว้ในจดหมายลาออกอยู่แล้ว เชิญคุณลุงอ่านก่อนก็ได้ครับ”
ผมตอบอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงสบายๆและเป็นกันเองมากกว่าครั้งที่เจอกันแรกๆเมื่อหลายเดือนก่อน
“เอาล่ะ นั่งรอลุงซักครู่ลุงขออ่านเหตุผลของเธอก่อนนะ”
ลุงวิชิตแกะซองจดหมายออกและเริ่มอ่านไปทีละบรรทัดอย่างว่องไว
“เหตุผลของเธอ ลุงคงขัดไม่ได้ซะแล้วสิ เรื่องเกี่ยวกับอนาคตของเธอเลยนี่นา”
ลุงวิชิตวางจดหมายทับลงบนซองตรงหน้าเค้า
“ครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ ยังคิดว่าอยากใช้โอกาสที่คุณลุงเมตตามอบให้อย่างเต็มที่จนกว่าจะสิ้นปี”
ผมเลือกใช้ทั้งน้ำเสียง สายตา และคำพูดที่อ่อนน้อม สุภาพอย่างที่สุดเพื่อให้การลาออกครั้งนี้ส่งผลดีมากกว่าจะผิดใจกัน
“ตลอดเวลา2เดือนมานี้ ลุงเห็นเธอทำงานเอาจริงเอาจังนะ คุณวิลันดาก็บอกว่าสอนงานเธอแล้วไม่หนักใจอะไร ลุงเคยถามถึง
การสอนงานให้เธอว่าเป็นยังไง คุณวิลันดาก็ว่าสอนจนเป็นงานแล้ว นี่ถ้าเธอต้องกลับไปเรียนเค้าก็คงเสียดายเชียวล่ะ”

ลุงวิชิตพูดยิ้มๆ จะว่าไปตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมก็เห็นเค้ายิ้มบ่อยๆจนตอนนี้ผมไม่เกร็งไม่กลัวเหมือนมื่อครั้งก่อนๆที่เจอกันแล้วครับ
เหตุผลในการลาออกของผมซึ่งลุงวิชิตไม่อาจขัดได้ นั่นคือผมต้องไปฝึกงานสื่อสารมวลชนเพื่อขอจบตามหลักสูตรที่เรียนครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2007 00:38:19 โดย :+:So Much In L »

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่22
DJ. Generation

การลาออกของผมผ่านไปอย่างราบรื่น เนื่องจากเช้าวันที่ผมยื่นใบลาออกกับลุงวิชิตนั้น พี่ศรัณย์ติดประชุมตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง
เมื่อเสร็จธุระแล้วผมก็กลับไปเอาของใช้ที่ผมนำติดตัวมาสำหรับใช้ที่บ้านลุงวิชิตในช่วงสายวันเดียวกันและไปหาคุณหญิงน้า
ผมไม่ได้เล่ารายละเอียดจริงๆให้ใครฟังทั้งสิ้น(จะว่าไปที่จริงแล้วก็คือผมเพิ่งจะเล่าเรื่องนี้ก็ตอนที่พิมพ์เรื่องเล่านี่เองแหล่ะครับ)
หลังพ้นจากพวกผู้ดีจอมปลอมมาเสียได้สิ่งที่ต้องคิดเป็นลำดับต่อไปก็คือหางานพิเศษทำให้ได้เร็วที่สุดเพราะเหลือเวลาไม่มาก
ก็จะถึงกำหนดการจ่ายค่าไถ่บ้านให้ครบเต็มจำนวนทุกบาททุกสตางค์ แต่การหางานทำในกรุงเทพฯก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเอาซะเลย

“คุณเห็นว่าเราน่าจะลองหางานที่บ้านเรานะ ต่างจังหวัดน่าจะหางานได้ง่ายกว่า แล้วเราจะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนนายแม่เราด้วย”
คุณหญิงน้า ให้คำปรึกษากับผมหลังจากเห็นว่าผมยังคงหางานพิเศษไม่ได้เสียทีทั้งที่ผ่านมาหลายวันแล้ว
“น้องก็ว่าอย่างนั้นครับ เพราะถึงจะหางานไม่ได้แต่ค่าใช้จ่ายก็ไม่สิ้นเปลือง อีกอย่างก็ใกล้สอบแล้วด้วยยังไม่ได้เข้าเรียนเลย”
ผมเห็นด้วย เพราะในสถานการณ์แบบนี้ถ้าได้ไปอยู่ใกล้ๆนายแม่ ได้ดูแลท่านด้วย หางานไปด้วยคงดีกว่าปล่อยท่านอยู่คนเดียว

ผมกลับมาอยู่ที่โคราชได้ไม่กี่วันก็มีประกาศทางสถานีวิทยุว่ารับสมัครผู้ที่สนใจจะฝึกงานDJ. โดยเป็นโครงการที่ทางคลื่นนี้
จัดขึ้นแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่จะให้โอกาสคนฟังที่อยากเป็นนักจัดรายการวิทยุไปลองทำงานจริง ผมก็เลยตัดสินใจไปสมัครดู
แต่ปัญหาเรื่องไม่รู้ถนนหนทางของผมทำให้ต้องเรียก พี่อาร์ท กลับมาเป็นสารถีขับรถพาไปหาสถานีวิทยุแห่งนั้นในวันที่สมัคร
พี่อาร์ทเองก็กำลังวุ่นวายกับการเรียนปริญญาเอกซึ่งนับว่าเป็นปีสุดท้ายแล้วและดูท่าทางจะเครียดมากทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงาน
แต่เค้าก็มีน้ำใจพาผมไปสมัครทดลองงาน รอรับกลับและเมื่อผมได้เข้าไปฝึกหัดงานDJ.เรียบร้อยแล้วพี่อาร์ทก็คอยรับส่งด้วย

“เป็นไงมั่งนิว ทำมาตั้งหลายวันแล้ว สนุกป่ะ พี่โคตรอยากทำเลยว่ะ”
พี่อาร์ทถามในวันหนึ่งขณะเราทานข้าวเย็นด้วยกัน
“ก็หนุกดีอ่ะพี่ ถ้าพี่อยากทำจริงๆก็ลาออกจากที่เรียนป.เอกซะเลยสิแล้วมาเป็นดีเจ”
ผมได้ทีเลยแซวซะหน่อยว่าระหว่างเป็นดอกเตอร์กับเป็นดีเจฝึกหัดจะเอาอย่างไหน
“ไอ้บ้า เรียนมาแทบตายเรื่องอะไรจะลาออกวะไอ้อ้วนนี่ พูดมาได้”
ฟังจากที่พูดดูเหมือนจะไม่ชอบใจแต่น้ำเสียงก็ยังคงแสดงว่าพี่อาร์ทล้อเล่น
“จะรู้เหรอ เห็นว่าอยากทำนี่นา ดีซะอีกไหนๆพี่ก็มารับนิวทุกวันตั้งหลายวันแล้วเนี่ยทำไมไม่มาทำงานด้วยเลยล่ะ”
ก็มันจริงนี่ครับระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆก็ยังจะมารับ ผมบอกว่าจะกลับเองเค้าก็ไม่ยอมจะมารับผมกลับซะให้ได้

อย่างที่บอกล่ะครับพี่อาร์ทก็คงเห็นว่างานที่ผมทำสนุกและไม่ค่อยมีเรื่องให้เครียดเหมือนอย่างกับงานวิจัยของเค้าก็เลยพูดไปงั้น
พอเอาเข้าจริงก็กลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำงานวิจัยส่งเพื่อจะได้เป็นดอกเตอร์กับเค้าซะที ส่วนผมเองก็ค่อยๆเรียนรู้งานDJ.จากพี่ๆ
แรกๆที่ผมเริ่มทำก็เหมือนเมื่อตอนทดสอบก่อนจะเข้าโครงการดีเจฝึกหัด คือให้อ่านพวกข่าวบันเทิงคั่นรายการเพลงทุกครึ่งชม.
ไม่ใช่ว่าพอเค้ารับแล้วก็จะได้เป็นดีเจทันทีหรอกนะครับ มีคนเข้าฝึกฝนรุ่นผมตั้งหลายคนก็สลับคิวกันอ่านข่าวและเกร็ดความรู้

ผมโชคดีกว่านิดหน่อยตรงที่เรียนเรื่องการเขียนข่าวมาก่อนเมื่อหาข่าวหรือเกร็ดความรู้จากเวปต่างๆได้แล้วก็เอามาสรุปอีกทีครับ
แต่สิ่งที่ยากและต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นานเลยก็คือ การใช้เสียงสูงเสียงต่ำในการรายงานข่าวบันเทิง เพราะพี่เจ้าของสถานีเค้าไม่
ต้องการนอ่านข่าวแบบเรียบๆโดยขาดสีสัน ดังนั้นช่วงแรกๆถึงผมจะอ่านออกเสียงร.เรือและควบกล้ำได้ชัดแต่ก็แข็งทื่อเกินไป
พอจะหัดออกเสียงให้ดูหวือหวาตื่นเต้นเพื่อสร้างสีสันก็ดันพูดเร็วเกินไปรัวเกินไปจนพี่ๆดีเจเค้าบอกว่าลิ้นพันกันฟังไม่รู้เรื่องอีก

จนผ่านไปเป็นเดือนจึงเริ่มเข้าที่เข้าทางคือพูดคล่อง ชัดเจน มีลูกเล่นแต่ไม่รัวจนฟังไม่รู้เรื่อง ซึ่งกว่าจะผ่านได้เล่นเอาเกือบท้อเลย
แล้ววันหนึ่งเมื่อผมผ่านความท้อแท้มาได้ ผมก็ได้รับข่าวดีจากพี่เจี๊ยบที่เป็นทั้งเจ้านายและเจ้าของสถานีที่ผมไปฝึกงานดีเจอยู่ครับ
“สิ้นเดือนนี้พี่จะปรับผังใหม่ พอวันที่1มกราปีหน้าพี่จะให้นิวมาจัดรายการเต็มตัวแล้ว อีกแค่เดือนเดียวเตรียมตัวให้ดีนะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นแม้จะรู้สึกว่าเร็วเกินไปและหวั่นใจบ้างแต่ก็ยังน้อยกว่าตวามดีใจและตื่นเต้นที่อีกไม่นานผมก็จะได้เป็นDJ.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2007 01:00:28 โดย :+:So Much In L »

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่23
คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ

เมื่อข่าวคราวที่ผมจะเข้ามาเป็นดีเจใหม่และจะได้รับเงินเดือนเทียบเท่าพนักงานประจำสถานีแพร่ออกไปด้วยความดีใจของเพื่อน
ในที่ทำงานที่ร่วมรุ่นฝึกฝนงานนักจัดรายการมาด้วยกัน ทำให้พี่ปิ๊กที่จัดรายการมาก่อนผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจผม

“สวัสดีครับพี่ๆ”
ผมเดินเข้ามาในสถานี้และยกมือไหว้พี่ๆที่อยู่แถวนั้นเมื่อเห็นพี่ปิ๊กเดินมาจึงยกมือไหว้เค้าด้วยแต่เค้าก็ไม่มอง
“เออ มาก็ดีแล้วล่ะเดี๋ยววันนี้พี่จะให้นิวลองจัดรายการลงเทปให้พี่ฟังก่อนนะ จะได้มาตรวจดูว่าต้องปรับหรือเพิ่มลดอะไรบ้าง”
พี่เจี๊ยบ เจ้านายของผมซึ่งเห็นท่าทางเชิดใส่ของพี่ปิ๊กแล้วก็รีบเดินมาชวนคุยเรื่องอื่นคงเห็นผมสีหน้าไม่ดีล่ะมั้งครับ
“โอเคเลยครับ แล้วพี่จะให้นิวไปดราฟเทปตอนไหนล่ะครับ”
ผมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจท่าทีของพี่ปิ๊กแล้วคุยเรื่องงานกับพี่เจี๊ยบต่อไป
“เออ จะให้พี่แน่งน้อยไปช่วยละกัน เอาห้องซ้อม2นะ ตอนบ่ายนิวไม่มีคิวอ่านข่าวใช่ป่ะ เอาตอนนั้นแหล่ะ”
พี่เจี๊ยบกำหนดเวลาและสถานที่ไว้เบ็ดเสร็จแล้วหันไปสั่งพี่แน่งน้อยดีเจใจดีเสียงสวยทั้งในวิทยุและตัวจริง
“ได้เลยค่ะพี่ นิวกินข้าวก่อนละกันนะ พี่เลิกจัดตอนเที่ยงครึ่ง เดี๋ยวพี่ขอกินข้าวก่อน บ่ายโมงเจอกันห้องซ้อมสองเด้อ”
พี่แน่งน้อยรับคำพี่เจี๊ยบ แล้วหันมานัดแนะเวลากับผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะวิ่งกลับไปเตรียมจัดรายการต่อ

การฝึกจัดรายการในช่วงบ่ายผ่านไปด้วยความสนุกสนาน พี่แน่งน้อยสอนการเชื่อมเพลง ต่อเพลง สอนให้ดูคอร์ดเพลงเร็วและช้า
สอนให้เปิดจิงเกิ้ลเข้ารายการ และแนะนำว่าช่วงไหนมีใครเป็นสปอนเซอร์บ้างต้องจำให้ดีจะได้ไม่เปิดสปอตโฆษณาผิดตัวน่ะครับ
ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเรื่องของความเข้าใจและอาศัยความชำนาญที่ต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆส่วนเรื่องเพลง สปอท ก็มีในคอมฯอยู่แล้วครับ
จนกระทั่งช่วงเย็นๆที่ผมกำลังจะกลับบ้านแล้ว ผมก็ออกมานั่งรอพี่อาร์ทที่หน้าออฟฟิศตามเดิมจึงได้เจอพี่ปิ๊กที่กำลังจะเข้าไป
จัดรายการช่วง6โมงเย็น เมื่อเจอกันจังๆผมก็พยายามเลี่ยงเพราะรู้สึกว่าสายตาท่าทางที่เค้าแสดงออกต่อผมนั้นไม่ค่อยเป็นมิตร

“ทำไมเจอฉันแล้วไม่ไหว้”
นี่คือคำท้วงติงของพี่ปิ๊กทั้งๆที่เค้าเดินผ่านไปได้ซักพักแล้วถึงเดินย้อนกลับมาถามผม
“ก็นิวเห็นว่าพี่รีบๆก็เลยไม่ทันได้ทักครับ ขอโทษที”
ผมเกือบจะพูดแล้วว่าทีตอนเช้าผมไหว้ทำไมไม่รับไหว้ล่ะ
“ก็แล้วไป นึกว่าพอจะได้เป็นดีเจเลยคิดตีเสมอ ก็แค่ดีเจใหม่จะอะไรนักหนา อย่ามาอวดดีกะฉันแล้วกัน”
พี่ปิ๊กพูดลอยๆไม่ได้มองหน้าผม แต่ก็คงไม่ได้หมายถึงใครเพราะตรงนั้นก็มีแค่ผมกับเค้าเท่านั้น
“ผมไม่ได้คิดงั้นนะครับพี่ แต่ก่อนตอนผมฟังวิทยุอ่ะ ผมก็ยังนึกชอบพี่เลยว่าจัดรายการสนุกดี”
ผมบอกจากใจจริง แม้ตอนนี้จะเริ่มเสื่อมความนิยมลงไปแล้วก็เหอะ
“อ๋อ พอมาเจอจริงๆตอนนี้ก็คงไม่ชอบแล้วใช่มั้ย แหงสิ ก็คงคิดว่าจะดังเท่าฉันแล้วล่ะมั้ง ให้มันน้อยๆหน่อยนะนิว”
อ้าว ซวยเลย ไม่รู้ว่าผมพูดไม่เคลียร์หรือพี่ปิ๊กอยากหาเรื่องผมให้ได้ถึงแปลเจตนาผมไปซะคนละทาง
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพียงแต่เดี๋ยวนี้ผมมาฝึกงานไงครับ ช่วงที่พี่เริ่มจัดผมก้กลับบ้านละ แล้วพอกลับไปก็มัวแต่ดูละคร”
ผมก็พูดไปตามตรงอีกเช่นเคย เพราะเมื่อก่อนตอน6โมงเย็นถึง2ทุ่มผมก็ฟังพี่เค้าจัดรายการจริงๆหลังจากนั้นก็ไปดูละคร
“เอาเถอะ ถึงนิวไม่ฟังพี่ซักคนก็คงไม่เป็นไรหรอก คนฟังพี่ตั้งเยอะตั้งแยะ อย่างว่านะชั่วโมงบินผิดกันน่ะ”
พูดจบพี่ปิ๊กก็ยักไหล่แบบฝรั่งมังคาแสดงท่าทางว่าไม่ใส่ใจ ต่อให้ผมจะไม่ฟังเค้าจัดรายการแต่คนอื่นก็ฟังเพราะเค้าดังอยู่แล้ว
“นี่จะ6โมงแล้ว นิวไปรอพี่ที่เค้าจะมารับ ด้านนอกนะครับ สวัสดีครับ”
ผมรีบขอตัวออกจากบรรยากาศมาคุตรงนั้น และไม่ลืมยกมือไหว้พี่ปิ๊ก

เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วผมก็เล่าให้นายแม่ฟังว่าที่ทำงานใหม่ต้องเจอกับอะไรบ้าง นายแม่เองก็เป็นห่วงไม่อยากให้มีปัญหากับใคร
ผมเองก็บอกไปว่าจะพยายามเลี่ยง แล้วอีกอย่างผมก็จะพยายามอยู่ห่างๆไว้ เมื่อรู้สึกว่าเค้าไม่ชอบเราก็คงไม่เข้าไปข้องเกี่ยวด้วย
“ทำแบบนั้นมันก็ดีหรอกลูก แต่คนเราไม่เหมือนกันนะลูก น้องอาจคิดว่าต่างคนต่างทำงานก็หมดเรื่องแต่เค้าคิดแบบนี้รึเปล่า”
นายแม่ เตือนให้ผมคิดให้รอบคอบอีกครั้ง เพราะถึงจะได้ทำงานพิเศษที่ตรงกับสายที่เรียนมา และเป็นงานที่ผมชอบมากก็ตาม
แต่ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็ไม่อยากให้ผมต้องทนแรงกดดันจากเพื่อนร่วมงานประเถทที่ชอบข่มคนอื่นให้ด้อยกว่าตัวเค้าแบบพี่ปิ๊ก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2007 01:08:45 โดย :+:So Much In L »

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่24
ฟ้าหลังฝน

การจ่ายเงินค่าไถ่บ้านงวดสุดท้ายเร็วกว่าที่ผมคิดเพราะคุณหญิงน้านำเงินมาให้ลุงวิชิตตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม ผมและคุณหญิงน้า
ปรึกษากันว่าเราจะไม่โอนเงินให้ลุงวิชิตทางบัญชีเหมือนที่เคยทำมางวดก่อนๆ แต่จะเอาเงินก้อนนี้ไปมอบให้ลุงวิชิตที่บ้าน
ผมล่ะซึ้งกับคำที่ว่า ‘มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่’ ก็วันนี้แหล่ะครับ เพราะหลังจากกการโอนเงิรผ่อนบ้านให้ลุงวิชิต
อย่างถูกต้อง ตรงเวลาและครบทุกจำนวนตามที่ตกลงกันไว้ แถมคราวนี้การมาขอพบลุงวิชิตของผมกับคุณหญิงน้ายังมาพร้อม
กับเงินจำนวนไม่ใช่น้อย ดังนั้นท่าทีและการต้อนรับของลุงวิชิตจึงแตกต่างจากวันแรกเมื่อหลายเดือนก่อนที่เราเคยมาขอเข้าพบ
ครั้งนี้ลุงวิชิตออกมานั่งรถที่ระเบียงบ้านคอยการมาถึงจของผมและคุณหญิงน้า โดยไม่ต้องให้แม่แป้นสาวใช้คอยไปเชิญมาพบ

“มากันแต่เช้าเลยนะครับคุณหญิง ไม่ต้องกลัวหรอกครับถ้าเงินครบยังไงผมก็ไม่ผิดคำพูดแน่”
ลุงวิชิตถามหลังจากจิบกาแฟในแก้วไปเพียงเล็กน้อย
“ดิฉันเห็นว่าคุณวิชิตว่างช่วงเช้าก็เลยอยากจัดการธุระให้เสร็จเร็วหน่อยน่ะค่ะเพราะนี่ก็ลางานมาแค่ครึ่งวัน”
คุณหญิงน้าออกตัวเพื่อรักษามารยาทแต่ความจริงแล้วเพราะเราสองคนน้าหลานไม่อยากยืดเยื้อกับคนบ้านนี้ต่างหาก
“งั้นก็ดีครับ ถึงยังไงก็ต้องเคลียร์กันที่เงินก้อนสุดท้ายนี้อยู่แล้ว ไม่ทราบว่าจะจ่ายเป็นเชคหรือเงินสดล่ะครับ”
สุดท้ายลุงวิชิตก็เป็นคนที่วกกลับเข้าเรื่องซะเอง
“เงินสดค่ะ ตั้งใจว่าจะให้คุณวิชิตถือเงินสดไว้เลยจะได้อุ่นใจว่าทางเราไม่บิดพลิ้วแน่นอน”
คุณหญิงน้าบอกผมล่วงหน้าว่ากันพลาดเอาไปให้เองเลยจะได้นัดวันโอนที่คืนด้วยน่ะครับ
“ผมว่าคุณหญิงไม่ไว้ใจผมมากกว่ามั้ง คงคิดว่าถ้าโอนเงินงวดสุดท้ายมาแล้วผมจะแกล้งลืมแล้วไม่โอนบ้านคืนให้”
แววตาและน้ำเสียงของลุงวิชิตแสดงความรู้ทันอย่างออกนอกหน้า แต่ถ้าจริงแล้วจะทำไมในเมื่อเอาเงินมาให้ไม่ได้มาขอเงินนี่

“แหม คุณลุงรอบคอบเสมอเลยนะครับ น้องก็บอกคุณหญิงน้าแล้ว่าถ้าทำอย่างนี้คุณลุงอาจเข้าใจผิดได้แต่เราก็ถือว่าเราจริงใจ”
ผมรีบขัดขึ้นเพื่อแก้สถานการณ์ เพราะท่าทางคุณหญิงน้าก็ใช่จะยอมให้ลูบคมได้ง่ายๆ
“ไอ้เจ้าคนนี้ฉลาดนัก ช่างไกล่เกลี่ยได้ดีนี่ เอาเถอะถือว่าลุงพูดเล่นก็แล้วกันนะนิว แล้วเธอหางานได้รึยังเนี่ย”
เค้าว่ากันว่าคนมีเงินน่ะจะพูดจาจะหัวเราะก็เสียงดังกว่าคนทั่วไปเห็นจะจริงครับ เสียงลุงวิชิตลั่นคับบ้านเชียวล่ะตอนนี้
“หาได้แล้วครับ โชคดีที่ไปลองเทสงานดีเจแล้วผ่าน ก้เลยให้ลองงานไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้เงินเดือนนะครับ”
“อ้าว แล้วจะคุ้มเหรอ ระวังจะโดนเค้าหลอกให้ทำงานให้ฟรีนะ แต่ก็เป็นการฝึกงานเพื่อขอจบด้วยนี่ก็ต้องทำสินะ”
เกือบแล้วมั้ยล่ะครับ เพราะตอนที่ผมจะลาออกน่ะผมบอกว่าจะไปฝึกงานสื่อสารมวลชนเพื่อขอจบแต่จริงๆแล้วไม่ใช่หรอกครับ
“เอ่อ อ่ะครับ ใช่เลยครับ น้องเองก็อยากได้งานที่มีเงินมาช่วยคุณน้าผ่อนบ้านให้คุณลุงแต่ตอนนี้เรื่องเรียนจบสำคัญที่สุดครับ”
“เอาอย่างนี้สิ พอเรียนจบก็โทรศัพท์มาหาลุงนะ ลุงจะดูตำแหน่งว่างๆที่บริษัทไว้ให้ แล้วเราจะได้มาทำงานด้วยกันอีก”

ลุงวิชิตเอ่ยปากชวนด้วยน้ำเสียงจริงใจ แสดงว่าช่วงที่ผมมาทำงานที่นี่ถือว่าผ่านการประเมินสินะแอบภูมิใจนะเนี่ย

“แต่น้องเรียนจบด้านสื่อสารฯมานะครับ คงหาตำแหน่งในบริษัทคุณลุงยากซักหน่อยมั้งครับน่าจะรับคนที่จบมาโดยตรง”
ผมปฏิเสธให้ดูเหมือนเกรงใจเสียเต็มประดาทั้งที่ความจริงแล้วผมปฎิเสธด้วยเหตุผลอื่นต่างหากล่ะ
“ลืมแล้วเหรอว่าเราเป็นญาติกัน พ่อเธอก็เป็นน้องชายแท้ๆของลุง ทำไมแค่นี้ลุงจะช่วยหลานชายไม่ได้ล่ะ จริงมั้ยคุณหญิง”
ลุงวิชิตหันไปขอความเห็นจากคุณหญิงน้า ผมนึกในใจว่าตอนนี้ผมพ้นสภาพลูกหนี้แล้วน่ะสิถึงมาเห็นผมเป็นญาติ
“ก็คงต้องรอให้หลานเรียนจบก่อนน่ะค่ะคุณวิชิต ตอนนี้แค่ให้เค้าเรียนจบได้ดิฉันก็สบายใจแล้ว”
คุณหญิงน้าไม่ตอบรับหรือบ่ายเบี่ยง แต่ก็ให้คำตอบที่ทุกฝ่ายสบายใจ
“อะไรกันคุณหญิง หลานชายออกจะตั้งใจเรียน ผมล่ะนับถือน้ำใจเด็กจริงๆ ตัวแค่นี้ก็กล้าออกหน้ารับผิดชอบปัญหาใหญ่ๆ
ทั้งที่ตอนปัญหามันมีขึ้นมาน่ะ เจ้าหลานชายยังเล็กอยู่เลย ใครจะนึกนะคุณหญิงว่าปัญหาของคนรุ่นก่อนต้องพึ่งพาคนรุ่นนี้”

ผมนั่งฟังประโยคชื่นชมของลุงวิชิตด้วยความไม่แน่ใจว่าเค้าจริงใจรึเปล่า แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าไม่มีความนัยแฝงเร้น

“น้องต้องกราบขอบพระคุณคุณลุงมากๆเลยครับ” ผมยกมือไหว้และก้มลงกราบไปที่ตักของลุงวิชิตตามที่เตรียมการมา
“เพราะต่อให้น้องมีเงินทองมากมายมาคืนให้คุณลุง แต่คุณลุงไม่ให้โอกาสไม่เชื่อถือคำพูดของน้อง น้องก็คงทำอะไรไม่ได้เลย
ขอบพระคุณอย่างที่สุดที่ยังเชื่อในเกียรติอันน้อยนิดของน้อง ถ้าคุณลุงไม่ให้โอกาสแต่แรกน้องคงทำความตั้งใจนี้ไม่สำเร็จแน่”

ขณะที่พูดอยู่นี้ผมก็ลอบมองสีหน้าของ ลุงวิชิต ไปด้วยเห็นแววตากับท่าทีที่อ่อนโยนลงบ้างแล้วก็ค่อยสบายใจหน่อย
“ลุงเองก็เกือบจะตัดโอกาสที่จะได้รู้ว่าตระกูลของเรายังมีคนใจเด็ดและรักษาเกียรติอย่างเธอ ต่อไปเราจะเป็นญาติที่ดีต่อกันนะ”
หลังจากการเล่นละครของผมจบลง ผมก็ยืดตัวตรงและขอนัดหมายวันที่จะไปโอนบ้านซึ่งลุงวิชิตก็ตกลงโดยดีไม่มีท่าทีบิดพลิ้วให้เห็น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2007 12:58:39 โดย :+:So Much In L »

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่25
พี่ศรัณย์

ถัดจากนั้นเพียงสามวัน ลุงวิชิตและคุณป้าสมร ก็เดินทางมายังจังหวัดที่ผมอยู่เพื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านหลังนี้คืนให้ผม
งานนี้คุณหญิงน้าไม่ได้เดินทางมาด้วยเนื่องจากเชื่อใจผมแล้วว่าผมจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้สำเร็จได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน
คุณหญิงน้าเตรียมเงินจำนวนหนึ่งให้ผมติดตัวไว้เพื่อใช้เป็นค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กับกรมที่ดินตามขนาดพื้นที่ของตัวบ้าน

แต่การณ์กลับเป็นว่าลุงวิชิตจะออกค่าใช้จ่ายส่วนนิ้แทนให้ทั้งหมด เพื่อเป็นการแสดงน้ำใจให้กับผมในฐานะที่เราเป็นญาติกัน
สำหรับนายแม่และพี่ชายนั้นไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย โดยให้เหตุผลว่าในเมื่อผมเป็นคนจัดการปัญหานี้จนสำเร็จลงได้ก็ยกสิทธิ์ขาด
เรื่องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งหมดของบ้านหลังนี้ให้ผมเป็นคนจัดการ รวมทั้งสิทธิ์ในการบริหารจัดการบ้านหลังนี้ด้วยเช่นกัน
ฉะนั้นเมื่อผมลงชื่อเป็นผู้ซื้อบ้านแล้ว ฐานะเจ้าของคนใหม่แห่ง ‘บ้านนพรัตน์’ จึงคืนมาเป็นของผมโดยสมบูรณ์แต่เพียงผู้เดียว

“นี่ก็เที่ยงแล้วนะ หาอะไรทานกันก่อนดีมั้ยลูก”
ป้าสมรถามขึ้นหลังจากที่พวกเราทั้งสามเดินลงมาจากอาคารของกรมที่ดิน
“เดี๋ยวรอตาศรัณย์ก่อนสิคุณ จะได้ไปทานซะพร้อมๆกัน”
ลุงวิชิตพูดถึงลูกชายคนเล็กของเค้าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอกันวันนี้
“พี่ศรัณย์มาด้วยเหรอครับคุณลุง”
ผมถามด้วยความแปลกใจและตกใจปนกัน เพราะต้งแต่ลาออกก็ไม่ได้เจอพี่ศรัณย์อีกเลย
“ลุงขับรถไม่ไหวแล้วลูก ก็เลยให้พี่เค้าขับรถมาให้ทีแรกก็อิดออดแต่พอรู้ว่าจะมาโอนที่ให้เธอ พี่ศรัณย์ก็เลยยอมมา”
“เพื่ออะไร” ผมเผลอหลุดปากออกมา “ก็คงเห็นว่ามาทำธุระให้ญาติพี่น้องน่ะก็เลยขับมาส่งลุง นัดกันเที่ยงๆเดี๋ยวคงมา”
ลุงวิชิตให้คำตอบกับผมทั้งที่ผมก็หลุดปากไปอย่างนั้นเอง แล้วซักพักพี่ศรัณย์ก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดใกล้ๆกับจุดที่พวกเรายืนอยู่

“มีร้านอาหารอร่อยๆแนะนำมั้ยครับน้องนิว”
พี่ศรัณย์ถามขณะที่พวกเราอยู่บนรถเตรียมจะไปหาที่ทานอาหารกลางวัน
“อาหารอร่อยน่ะหาไม่ยากหรอกครับ แต่ผมไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยยิ่งต้องใช้หนี้ใช้สินด้วยแล้วก็ไม่มีโอกาสไปร้านอาหารหรอก”
“อะไรกัน แค่ร้านอาหารอร่อยๆจะสิ้นเปลืองซักเท่าไหร่ใช่มั้ยครับคุณพ่อ”
พี่ศรัณย์หันไปถามลุงวิชิตที่นั่งเบาะหน้าข้างคนขับ
“ศรัณย์ก็อย่าเรื่องมากน่ะลูก น้องเค้ารู้จักใช้เงินก็ดีแล้ว ใครจะช่างเสาะหาที่กินที่เที่ยวได้อย่างลูกล่ะ” ลุงวิชิตปรามลูกชาย
“แม่ก็เห็นด้วยกับที่น้องนิวพูด ถึงไม่เป็นหนี้เป็นสินก็ควรกินอยู่แบบพอดี ไม่สิ้นเปลืองน่ะถูกแล้วจ้ะ” ป้าสมรหันมายิ้มให้ผม
“แหม คุณพ่อคุณแม่ พอเจอหลานรักเข้าหน่อยก็ถล่มลูกเลยนะ ลูกก็แค่อยากให้น้องนิวเป็นไกด์พาไปทานอาหารน่ะครับ”
ปากพี่ศรัณย์ก็พูดทำนองน้อยใจลุงวิชิตกับป้าสมรไปอย่างนั้น แต่สายตาลามกที่มองมาทางกระจกหลังสิครับที่ผมขนลุก
“งั้นน้องจะพาไปทานร้านอาหารตามสั่งละกันครับ อาหารอร่อยแต่คงต้องทนร้อนทนควันและกลิ่นผัดกับข้าวนะครับ”
“เอาเลยลูก เธอพาลุงกับป้าไปทานร้านนี้แหล่ะ ลุงก็ชอบทานอะไรง่ายๆอยู่แล้ว นะคุณสมรนะ” ลุงวิชิตช่วยตัดสินใจ
“ค่ะคุณ งานนี้ก็ต้องแล้วแต่คนนำทางล่ะค่ะ นะนิวนะ” ป้าสมรรับคำแล้วหันมาพยักหน้ากับผม

ผมบอกเส้นทางให้พี่ศรัณย์ขับรถไปจนถึงร้านอาหารตามสั่ง ซึ่งเป็นร้านที่ขายริมถนน เจ้าของร้านจะหันหน้าร้านมาด้านนอก
ทั้งตู้กระจกสำหรับวางสิ่งของที่ต้องใช้ประกอบอาหาร เครื่องครัว เตาแก้ส ก็จะอยู่ด้านหน้าร้านทั้งหมด มีโต๊ะให้นั่งด้านใน
เมื่อได้ที่นั่งแล้วผมก็ถามว่าแต่ละคนจะทานอะไรกันบ้าง ลุงวิชิตและป้าสมรมีท่าทีสบายๆอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะทนสภาพร้านได้
แต่พี่ศรัณย์น่ะสิครับ นั่งยุกยิกๆเหมือนกับว่าผมพาไปนั่งในดงหมามุ่ยอย่างนั้นล่ะ ช่วยไม่ได้ก็ร้านนี้อร่อยจริงๆนี่แต่ว่าไม่หรูหรา
เมื่อทานอาหารกันเสร็จแล้ว พี่ศรัณย์อาสาไปส่งผมที่บ้านก่อนที่จะพาลุงวิชิตและป้าสมรกลับกรุงเทพ เพราะยังไงก็เป็นทางผ่าน
ผมบอกไปแล้วว่าไม่ต้องไปส่งเพราะผมมีนัดกับเพื่อน แต่บังเอิญว่าลุงวิชิตอยากไปกราบกระดูกคุณย่าที่มาเก็บไว้ที่วัดในโคราช
ลุงวิชิตบอกให้พี่ศรัณย์ไปส่งเค้าและป้าสมรที่วัดก่อนจะได้ถือโอกาสพาลูกชายเค้าไปกราบกระดูกคุณย่าด้วยเพราะนานๆจะมานี่
ผมเองก็ต้องติดรถไปด้วยเพื่อพาครอบครัวของลุงวิชิตไปให้ถึงที่เก็บกระดูกคุณย่า ซึ่งนายแม่มาเปลี่ยนที่ไว้เมื่อต้นปีนี่เองน่ะครับ

“งั้นน้องขอตัวก่อนนะครับ” ผมรีบหาทางเลี่ยงออกจากครอบครัวนี้ให้เร็วที่สุด
“เอาไว้เจอกันใหม่นะลูก ว่างๆแวะไปหาป้ากับลุงมั่งนะจ๊ะ”
ป้าสมรรับไหว้ผมแล้วเดินเข้ามากอด ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมป้าสมรถึงเมตตาผมนักแต่ผมก็รู้สึกดีนะครับ
“ฝากบอกนายแม่เธอด้วยนะว่าลุงไม่ได้แวะไปหา เอาไว้มีเวลาจะมาเยี่ยมเยียนกันใหม่นะ”
ลุงวิชิตเองก็เดินมาตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะฝากความไปถึงนายแม่ 
“ลูกอยากไปซื้อของที่ห้าง เดี๋ยวลูกไปกับน้องนิวนะครับแล้วจะกลับมารับที่นี่พี่ไปด้วยคนนะ”
เมื่อเจอมุขหน้าด้านขนาดนี้ผมก็จนปัญญาเหมือนกัน เลยต้องยอมให้พี่ศรัณย์มาส่งที่ห้างสรรพสินค้าตามที่ผมอ้างว่านัดเพื่อนไว้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2007 19:38:26 โดย :+:So Much In L »

Serendipity

  • บุคคลทั่วไป
แล้วพีนิวจะทำยังไงต่อไปล่ะคับเนี่ย
มาต่อเร็วๆนะคับ^^
 :m13: :m13: :m13:

jammy

  • บุคคลทั่วไป
ยังไม่เลิกหวังเเฮะไอ้นี่ :m16:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :m26: อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆจัง

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจด้วยนะครับ ในที่สุดก้อทำสำเร็จ

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่26
คนพาล

ผมพาพี่ศรัณย์มาห้างสรรพสินค้าที่อยู่คู่จังหวัดผมมานาน แทนการจะพาไปที่ห้างใหญ่อย่างเดอะมอลล์เพราะคิดว่าถ้าพี่ศรัณย์มา
เจอห้างสรรพสินค้าเล็กๆมีของให้เลืกไม่มากนักพี่ศรัณย์จะได้กลับไปหาพ่อแม่เค้าซะทีไม่ต้องตามติดเป็นเงาตามตัวผมอยู่อย่างนี้

“พี่ศรัณย์จะไปซื้ออะไรก็ตามสบายนะครับ ผมจะแยกไปก่อน ป่านนี้เพื่อนคงมาแล้ว”
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าผมไม่ได้นัดใครไว้ทั้งนั้นแต่ก็เป็นข้ออ้างเดียวที่ผมน่าจะหลุดไปจากการตามติดของพี่ศรัณย์
“อืม พี่ก็ว่าจะเดินดูของไปเรื่อยๆนะ อีกซักพักค่อยกลับไปรับคุณพ่อคุณแม่น่ะครับ น้องนิวไปเดินกับพี่หน่อยสิ”
พี่ศรัณย์ยังคงจะยื้อผมไว้ให้อยู่กับเค้าต่อทั้งที่ผมก็บอกแสดงออกขัดเจนว่าไม่อยากอยู่ใกล้เค้า
“แต่ผมรีบ ไม่อยากให้เพื่อนรอนานนี่ก็บ่ายโมงกว่าแล้วด้วย ขอตัวนะครับ”
ผมเสียงแข็งด้วยความไม่พอใจและไม่เห็นว่าจะต้องรักษาน้ำใจกันอีกต่อไป
“แต่พี่ไม่รีบ งั้นพี่ไปด้วยละกน ให้แน่ใจว่าน้องนิวเจอเพื่อนแล้วพี่ค่อยไปซื้อของก็ได้”
โห....ไอ้หน้าด้าน ถ้าผมไม่อายคนแถวนั้นคำๆนี้จะต้องหลุดจากปากผมเข้าหูพี่ศรัณย์แน่ๆ
“พี่จะตามไปคุมผมรึไง อย่าลืมสิว่าผมไม่ใช่ลูกน้องและไม่ใช่ลูกหนี้ของพี่แล้วนะ”
ผมเริ่มโมโหจนไม่เก็บคำพูดแล้วครับ นั่นแหล่ะครับโกรธสุดก็ด่าได้เท่านี้
“อ้อ ไม่ต้องย้ำหรอก ทำไมล่ะพอไม่ต้องกราบกรานคุณพ่อพี่แล้วก็เลยจองหองใส่พี่เหรอ”
พี่ศรัณย์เสียงเข้มใส่ผม ท่าทีโอหังแบบนี้แหล่ะที่ถอดแบบลุงวิชิตมาทุกกระเบียด
“ผมไปหาเพื่อนดีกว่า”

ผมเดินหนีแต่พี่ศรัณย์ก็เดินตาม ผมไม่รู้จะไปไหนดีเลยขึ้นไปนั่งชั้น5ที่เป็นโซน Fast Food
ผมขึ้นมานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของชั้นขายอาหารประมาณ15นาทีแล้วครับ ตอนนี้ฝั่งตรงข้ามผมมีพี่ศรัณย์นั่งจ้องหน้าผมไม่วางตา
แม้ผมจะแสร้งหันไปหันมาเหมือนกับว่ากระวนกระวายใจรอคอยเพื่อนที่นัดไว้ แต่ก็ต้องชะงักเพราะสายตาของพี่ศรัณย์ทุกทีสิ

“ไหนล่ะเพื่อนน้องนิว พี่ว่ารอตั้งนานแล้วนะ รู้งี้ไปเดินซื้อของกับพี่ซะก็สิ้นเรื่อง”
พี่ศรัณย์หมุนนาฬิกาข้อมือดูอีกครั้งสองครั้ง
“ผมลองโทร.หาเพื่อนอีกทีดีกว่า เผื่อกำลังเดินทางมา”
ผมลุกขึ้นแกล้งเดินไปหาตู้โทรศัพท์ แต่พี่ศรัณย์ท้วงว่าทำไมไม่ใช้มือถือ
“หรือว่าความจริงน้องนิวไม่ได้นัดใครแต่ไม่อยากเจอพี่ก็เลยโกหกเพื่อจะชิ่ง รังเกียจพี่มากรึไง”
เออ...ฉลาดซะทีก็ดีเหมือนกันแต่ผมก็สะดุ้งสุดตัวเพราะท้ายประโยคเสียงพี่ศรัณย์ดังขึ้น
“แล้วผมจะนัดกับใครหรือไม่นัดใครเลย มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
เอาสิ! เป็นไงเป็นกัน ผมก็เดือดเหมือนกัน ยุ่งอะไรกับชีวิตกูนักวะ
“ทำไมพูดจาห่างเหินแบบนั้นล่ะน้องชาย ลืมแล้วเหรอว่าเราเคยอยู่ห้องเดียวกันตั้ง3วัน3คืน”
นอกจากจะใช้วาจาที่จาบจ้วงด้วยน้ำเสียงจองหองไม่เคยเปลี่ยนแล้วยังคงโลมเลียผมด้วยสายตา
“อยู่แล้วทำไม ในเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นซักนิดอย่าคิดว่าจะไซโคกันหน่อยเลยน่ะ”
ผมเถียงเพราะผมรู้ว่าผมมีสิทธิ์ปกป้องตัวเอง
“แล้วนึกว่าคนอื่นจะเชื่อมั้ยล่ะ”
พี่ศรัณย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ใช้ข้อศอกเท้าโต๊ะแล้วยื่นหน้ามาหาผม
“หมายความว่ายังไง”
ผมถามกลับ และเริ่มหวั่นใจว่าคนพาลอย่างนี้คงทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน
“แค่พี่บอกใครๆว่านิวมาทำงานพิเศษอย่างอื่นนอกจากงานที่บริษัทและงานพิเศษที่ว่าก็คืองานที่นิวต้องตามพี่ไปที่ชะอำ”
พี่ศรัณย์ เอามือลูบใต้คางของเค้าไปมา และเหล่ตามองผมอย่างไว้เชิง
“หุบปากเลยนะ คิดเหรอว่าพ่อกับแม่ของคุณจะยอมรับได้ถ้ารู้ว่าลูกชายเป็นเกย์ คงไม่ง่ายนักหรอกที่คุณจะไปเสียชื่อไปด้วย”
“พี่ไม่โง่หรอก แค่พี่บอกว่าน้องนิวมากับพี่ก็จริงแต่ไปค้างกับใครก็ไม่รู้ตั้ง3วันจนหาเงินมาใช้หนี้คุณพ่อพี่ได้เร็วก่อนถึงกำหนด
นิวลองคิดดูสิว่าใครกันแน่ที่จะรับไม่ได้ เออ แล้วอย่าลืมคิดเผื่อด้วยนะว่านายแม่กับคุณหญิงน้าของนิวน่ะใครจะช๊อคกว่ากัน”

พี่ศรัณย์ เยาะเย้ยผมด้วยคำพูดทุกถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความลำพองใจ ทั้งยังอวดดี ผมน้ำตาร่วงด้วยความโกรธและคับแค้นใจ

ไม่ใช่ว่าผมกลัวคำขู่ของเค้า ไม่ใช่ว่าผมจะสนใจความคิดสกปรกนั่น แต่เพราะผมชิงชังเศษมนุษย์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมนี่ต่างหาก
“นี่น่ะเหรอสายเลือดผู้ดี ตีราคาคนเป็นเงินก็ทำได้ ป้ายสีสาดโคลนอย่างไม่รู้จักอาย ต่ำทรามจนน่าเสียดายสายเลือด”
ผมด่าออกไปเบาๆเพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน แต่เน้นทุกๆก็คำหวังจะให้เค้าได้ยินให้ชัดเจน
“หึหึหึ ถึงจะด่าอีกแค่ไหนก็คงไม่ทำให้เงินในบัญชีพี่ลดลงได้หรอก แล้วเงินที่พี่มีนี้แหล่ะที่จะซื้อนิวได้ ยกเว้นจะติดใจให้กินฟรี”
แย่แล้วครับ คราวนี้พี่ศรัณย์ท่าทางจะโมโหผมจริงๆถึงกับลุกขึ้นมากระชากแขนผมที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“เลิกดูถูกคนที่เค้าจนกว่าซะทีเถอะ แล้วถ้าผมจะต้องขายให้พี่ สู้ให้คนอื่นกินฟรีดีกว่า”
“ปากดีเหลือเกินนะ อยากรู้นักว่าถ้าเอาไอ้นั่นอุดปากจะติดใจจนดูดไม่เลิกรึเปล่าจ๊ะน้องรัก”

พี่ศรัณย์ฉุดผมให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วดึงตัวผมเข้าไปใกล้เพื่อให้ผมได้ฟังประโยคชั่วชาติเมื่อครู่นี้

“เดนมนุษย์ชัดๆ”
ผมหันไปจ้องหน้าอย่างเอาเรื่องและคิดจะสู้ไม่ถอย
“เดนมนุษย์เหรอ มานี่เลยมา”
พี่ศรัณย์รั้งผมไปโอบไว้แน่นกว่าเดิมพร้อมกับลากตัวผมให้เดินตามไปกับเค้า
“จะทำอะไรนี่มันในห้างนะ”
ผมตกใจแต่ไม่กล้าโวยวาย พี่ศรัณย์ยิ่งได้ใจโอบผมและบีบหัวไหล่จนตัวผมชิดติดพี่ศรัณย์มากขึ้น
“ในห้างสิยิ่งดีไม่ต้องเสียค่าโรงแรม”
พี่ศรัณย์ก้มมากระซิบที่ข้างหูผมแล้วสูดกลิ่นน้ำหอมที่ซอกคอของผมด้วยท่าทีสุดหื่นกาม
“ไอ้ทุเรศ สมสู่กับพี่กับน้องตัวเองก็ได้งั้นเหรอ”
ผมด่าหยาบที่สุดเท่าที่จะคิดได้ ทั้งที่ยังสลัดอ้อมกอดของพี่ศรัณย์ไม่ได้ซักที

“สมสู่กันเองนี่แหล่ะดีนัก เลือดจะได้เข้มข้นไม่มีเลือดไพร่มาเจือให้จาง อีกอย่างจะได้ไม่มีใครปากสว่างฟ้องกันเองให้ใครรู้ไง”
พี่ศรัณย์ยังคงโอบไหล่ผมไว้แน่นและพูดจาน่ารังเกียจมากขึ้นไปอีก จนมาถึงหน้าประตูห้องน้ำชายซึ่งแทบจะไม่มีใครเดินผ่าน
“เข้าไป”
พี่ศรัณย์ดันตัวผมเพื่อเปิดประตูห้องน้ำ
แต่ผมไม่ยอมพี่ศรัณย์ผลักผมอีกครั้งผมก็เลยกระแทกเข่าใส่เป้ากางเกงพี่ศรัณย์ ได้ผลครับเค้าลงไปกองอยู่ที่พื้น
จากหน้าตาหื่นกามเมื่อครู่กลับบิดเบี้ยวเขียวคล้ำ คงจุกจนพูดไม่ออกแล้วล่ะครับ “สมน้ำหน้า”
ผมวิ่งหนีจากตรงนั้นแต่ยังไปไม่พ้นทางเดินแคบๆแถวนั้นเลยครับพอหันไปอีกทีก็เห็นพี่ศรัณย์วิ่งตามมาจนเกือบจะทันอยู่แล้ว
“นิวจะวิ่งไปไหน” มือแข็งแรงของผู้ชายคนหนึ่งคว้าข้อศอกผมไว้และถามผมด้วยเสียงห้าวๆผมหันไปมองถึงรู้ว่าเป็นพี่อาร์ท
ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมากทีเดียวเมื่อพี่ศรัณย์มาถึงผมเห็นว่าจวนตัวแล้วก็เลยพูดไปว่า “คนนี้ชื่อพี่อาร์ทเป็นแฟนผมรู้จักกันไว้ซะสิ”
พีศรัณย์ยืนอึ้งไปเล็กน้อย แต่พอเห็นพี่อาร์ทที่สวมบทบาทได้อย่างรวดเร็วทำท่าจะชกโครมเข้าให้เท่านั้นแหล่ะ พี่ศรัณย์ก็โกยแทบไม่ทัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่27
ความในใจ

พี่ศรัณย์ทำหน้างงนิดหน่อยที่จู่ๆผมก็มีแฟนโผล่ขึ้นมาเป้นตัวเป็นตน แต่นั่นก็ทำให้เค้ายอมเดินจากไปโดยไม่ต้องพูดอะไรกันอีก
เมื่อหันกลับมาเห็นหน้าพี่อาร์ทยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก ผมก็เลยบอกว่าช่วยพาผมไปจากที่นี่ก่อนหาที่นั่งคุยกันแล้วจะเล่าให้ฟัง

“นิวขอโทษนะที่เอาพี่ไปอ้างแบบนั้น แต่ก็อยากที่นิวเล่ามาทั้งหมดแหล่ะ นิวก็เพิ่งเจอเกย์หื่นๆแบบนี้ไม่รู้จะหาทางออกไหน”
ผมอธิบายยืดยาวจนมาสรุปที่คำขอโทษซึ่งผมไม่รู้ว่าพี่อาร์ทจะคิดยังไงที่จู่ๆก็ถูกผมเอาไปแอบอ้างว่าเป็นแฟนทั้งที่เค้าไม่ใช่เกย์
“เออ ดีแล้วล่ะถ้าคิดอะไรไม่ออกจะบอกไปแบบนั้นก็ได้ เฮ้อ โชคดีนะเว่ยที่มาเจอพี่ไม่งั้นจะทำไงเนี่ยเจ้าอ้วน” พี่อาร์ทลูบหัว
“กลัวพี่จะเสียหายอ่ะดิ อยู่ดีไม่ว่าดีดันเดินเข้ามาเป็นคู่เกย์ของนิวไปได้”
ผมยังเกรงใจอยู่ดีที่ทำให้เค้าต้องมารับสมอ้างไปด้วย
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่หว่า ดีซะอีกลองเป็นเกย์ดูซักวันก็ไม่เสียหายอะไรใช่ป่ะ”
พี่อาร์ทพูดทีเล่นทีจริงแต่ก็ทำให้ผมอึ้งเล็กน้อย
“อย่าพูดกำกวมได้ป่ะ”
ผมเหล่ตาแสดงท่าจับพิรุธอย่างเห็นได้ชัด “เฮ้ย อย่าขี้สงสัยเด่ะ เออ พี่ไปเอาน้ำมาให้นะมาตั้งนานละ”
พี่อาร์ทไม่ตอบคำถามของผม แต่ลุกขึ้นเดินไปรินน้ำใส่แก้วมาให้ตามหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดี ใช่ครับตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านพี่อาร์ท

หลังจากที่ผมขอให้พี่อาร์ทพาออกจากห้างฯแห่งนั้น พี่อาร์ทก็ตั้งใจว่าจะไปส่งผมที่บ้านน่ะแหล่ะแต่เค้าต้องแวะเอาของที่บ้านแม่
พอมาถึงที่บ้านแม่พี่อาร์ทคนข้างบ้านบอกว่าแม่พี่อาร์ทออกไปข้างนอกผมก็เลยเล่ารายละเอียดต่างๆในระหว่างที่นั่งรอด้วยกัน
เมื่อเล่าเรื่องที่คับข้องใจให้พี่อาร์ทฟังจนหมดแล้วก็ถามเค้าว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างเพราะพี่อาร์ทก็ดูเครียดๆไม่เหมือนที่ผ่านมา

“พี่อย่างเซ็งมากว่ะนิว ตอนนี้พ่อก็ด่าพี่ว่าจะเรียนอะไรนักหนา แม่ก็มาทวงเงินเบี้ยเลี้ยงที่พี่ต้องได้จากงานวิจัยเอามาจ่ายหนี้
บัตรเครดิตแล้วไอ้บัตรเนี่ยพี่ก็บอกแม่แล้วว่าอย่าไปทำเลยก็ไม่เชื่อ ตั้งแต่ทำมาเนี่ยแม่พี่รูดเงินไปให้พี่ชายพี่ใช้ตลอดเลยนะเว่ยนิว
คิดดูดิแต่พอไม่มีเงินจ่ายเค้าแม่ก็มาทวงกะพี่ พี่ถามว่าทำไมไม่ให้พี่ชายพี่มันใช้เงินคืน แม่ก็บอกว่ามันลำบากแล้วพี่ไม่ลำบากรึไง
อาจารย์เก้าเป็นที่ปรึกษางานวิจัยพี่อ่ะนะ ก็ทวงงานอยู่ได้แล้วงานเก่าที่พี่ทำเสร็จแล้วส่งไปนะ เค้าเอาไปเสนอว่าเป็นชื่อเค้าทำเอง
ตอนนี้เงินเดือนก็ได้เพิ่มขึ้นแล้วถ้าได้งานวิจัยอีก2ชิ้นก็มีสิทธิ์ลุ้นศาสตราจารย์ แต่ไอ้ตำแหน่งกับเงินของเค้ามาจากสมองของพี่
พี่ไม่เข้าใจว่ะ ทำไมคนรอบข้างพี่จ้องจะเอาประโยชน์จากพี่ พอหาให้ไม่ได้หาให้ไม่ทันก็ด่าพากันด่าพี่หาว่าเรื่องแค่นี้ก็ทำไมได้
แม่งเอ้ย ถ้าทำง่ายๆก็ทำกันเองดิวะ ตอนนี้พี่รู้สึกว่าไม่มีใครรักพี่ซักคน มีแต่จะกดดันให้พี่เป็นอย่างใจเค้า พี่โคตรเหนื่อยว่ะ”


โถ...พ่อคุณ พอให้โอกาสเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง พี่แกระบายซะผมเป็นกระโถนท้องพระโรงเลยเชียว แต่ก็น่าเห็นใจนะครับ
ผมเข้าใจความรู้สึกพี่อาร์ทในเวลานี้มากๆเลยครับ เพราะผมก็ผ่านการแบกรับภาระแทนคนรอบข้างมาแล้ว รู้ดีว่าเหนื่อยแค่ไหน
เมื่อเทียบกันแล้วผมยังโชคดีซะกว่าที่คนรอบข้างของผมยังเป็นกำลังใจช่วยให้ผมไม่ทรุดลงไปกลางทาง แต่พี่อาร์ทไม่มีใครเลย

“เอาน่า ถึงไงพี่ก็มีนิวอยู่นะ มีอะไรก็เล่าได้ปรึกษาได้ ถึงช่วยอะไรไม่ได้แต่ช่วยรับฟังก็น่าจะช่วยได้มั้ง” ผมปลอบใจ
“แต่พี่อยากมีใครที่รักพี่จริงๆว่ะตอนนี้พี่ว้าเหว่อ่ะ เฮ้ย อย่ายิ้มอย่างนั้นดิพี่ไมได้ปัญญาอ่อนนะแต่เหมือนหมดแรงชีวิตว่ะ”
“เออๆก็รู้แหล่ะ แต่ไม่เคยเจอโหมดอ่อนไหวนี่หว่าเจอแต่เถื่อนๆ นิวว่าพี่ไปกอดแม่ดิเวลานิวกอดแม่จะรู้สึกมีพลังชีวิตขึ้นอ่ะ”

ผมก็แนะนำตามที่ผมทำอยู่เสมอ ผมเชื่อว่าการกอดกันเหมือนการชาร์ตแบต ทำให้ความอ่อนล้ากลับมีพลังขึ้นมาอย่างประหลาด
“แต่แม่พี่ไม่ชอบแสดงความรัก ก็ประสาคนจีนอ่ะนิวเอะอะโวยวาย พี่เคยไปกอดแม่แต่โดนด่ากลับซะอีกมาหาว่าเป็นลูกแหง่”
“อ้าวกรรมแล้วล่ะ นิวก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแต่นิวเชื่อว่าอ้อมกอดของแม่ถ่ายทอดอบอุ่นและเติมเต็มทุกอย่างให้เราได้มากที่สุด”

“งั้นพี่ขอกอดนิวได้ป่ะ”
พี่อาร์ทพูดขึ้นลอยผมไมเคยเห็นเค้าย่ำแย่เท่านี้มาก่อน ผมก็เลยขยับเข้าไปกอดเค้าไว้เพื่อให้กำลังใจ
“ขอบคุณนะนิวพี่รู้สึกดีขึ้นมาก นิวโชคดีว่ะที่มีแต่คนรัก ถ้ามีใครรักพี่กอดพี่ไว้แบบนี้นานๆก็ดีเนอะ แต่แม่งไม่มีใครเลย”
พี่อาร์ทกอดผมไว้แน่นซบหน้าลงที่บ่าผมแล้วก็รำพันไปพร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลพราก จนผมเองก็พลอยสงสารและเศร้าไปด้วย
“ตอนนี้พี่อบอุ่นป่ะล่ะ”
ผมถามพี่อาร์ทและยังไม่คลายอ้อมกอดพี่อาร์ทพยักหน้าแทนคำตอบ
“งั้นนิวก็รักพี่นะ”
ผมปลอบใจด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆเพราะผมมีเพื่อนขี้เหงา เพื่อนขี้งอน จึงไม่เห็นว่าจะแปลกถ้าเราจะบอกว่ารักเพื่อน
“พี่ก็รักนิวว่ะ รักมากด้วย ไม่รู้ทำไมว่ะมีปัญหาทีไรพี่คิดถึงนิวทุกทีเลย นิวรักพี่จริงดิ”
พี่อาร์ทซบหน้าลงร้องไห้เหมือนเด็กๆ นี่แหล่ะน๊า...ครอบครัวแยกกันก็เป็นปัญหา แต่อยู่ด้วยกันแล้วไม่เข้าใจกันก็ใช่ว่าจะดี
“ก็จริงดิพี่ เราสองคนสนิทกันจะตาย พี่เป็นพี่นิวเป็นน้อง ถ้าพี่น้องไม่รักกันจะรักแมวที่ไหนวะ”
ผมพูดขำๆเพื่อกลบความเศร้า ผมเป็นโรคประหลาดเห็นคนอื่นร้องไห้ทีไรจะบ่อน้ำตาแตกไปด้วยซะให้ได้
“แล้วนิวรู้มั้ยคนรักกันเค้าทำกันยังไงพี่จะบอกให้”
เฮ้ย! อีกแล้วเหรอ ผมตกใจสุดๆเพราะนอกจากที่เค้าพูดแล้วว่าตรงหว่างขาของพี่อาร์ทมีบางอย่างแข็งตัวขึ้นเป็นลำดันหน้าขาของผม

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่28
สถานการณ์น่าอึดอัด

ผมรีบผละจากอ้อมกอดของพี่อาร์ททันที อดนึกไม่ได้ว่าเป็นหารหนีเสือปะจระเข้รึเปล่า แต่ผมเชื่อว่าเค้าคงไม่ทำอะไรรุนแรง
ยังไงซะแม่เค้าก็เป็นเพื่อนกับนายแม่ของผมเค้าคงไม่ใช้อารมณ์ชั่ววูบทำเรื่องไม่ดีในบ้านของเค้าเองแน่ๆ แต่ผมก็ต้องถอยก่อน
ผมดันตัวพี่อาร์ทให้ออกห่างจากผมนิดหนึ่ง ไม่มากจนเหมือนกับว่าผมรังเกียจเค้าแต่ก็ห่างพอจะรู้ว่าท่อนลำของเค้าไม่ถูไถอยู่ที่
บริเวณหน้าขาของผมแล้วก็โล่งใจได้ ผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งทำไมผมจะไม่รู้ว่าเวลามีอารมณ์ร่างกายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง

“เอ่อ พี่อาร์ทในบ้านมันร้อนอ่ะ ไปเดินตากแอร์ในห้างกันดีกว่านะ เขียนโน้ตบอกแม่พี่ไว้สิว่าถ้ามาถึงบ้านแล้วให้โทร.หาพี่”
เออ ผมล่ะขำตัวเองจริงๆตอนแรกก็หนีพี่ศรัณย์จากห้างมาบ้านพี่อาร์ทตอนนี้ก็จะชิ่งจากบ้านพี่อาร์ทกลับไปเดินห้างอีกแล้ว
“นิวไม่รักพี่แล้วเหรอ ไหนว่าจะอยู่กับพี่ไง พี่บอกแล้วว่าพี่ไม่มีใครเลย นิวก็รักพี่สักคนสิ ได้เปล่า”
พี่อาร์ททำเสียงอ้อนผิดปกติอย่างแรง ผมยังนึกว่าเถื่อนๆอย่างเค้าจะลากไปตบจูบซะอีก ฮ่าๆๆๆๆ
“แต่นิวไม่ได้รักพี่แบบแฟน นิวรักพี่แบบพี่ชายต่างหากล่ะ แล้วพี่เองก็เหอะ แน่ใจแล้วเหรอว่ารักนิวแบบไหน”
ผมแสดงจุดยืนของตัวเองและพยายามให้พี่อาร์ททบทวนความรู้สึกของเค้าให้ดีว่านี่คือความรักหรือความผูกพันกันแน่?
“แล้วถ้าพี่ยืนยันว่าพี่รักแบบแฟน พี่จะมีโอกาสนั้นมั้ย”
พี่อาร์ทก็ไม่ละความพยายามเหมือนกัน
“แต่นิวไม่ใช่เกย์”
ผมปฏิเสธเสียงแข็ง ถึงผมจะยอมรับตัวเองแล้วก็เหอะแต่ผมก็จะยอมรับตัวตนของผมกับเทคเท่านั้น
“พี่ก็ไม่ใช่ พี่ยังมีอารมณ์กับผู้หญิง แต่พี่ก็รักนิวด้วย แล้วถ้านิวรับรักพี่พี่ก็ยินดีเลิกรักผู้หญิงทุกคน มองก็ไม่มองด้วยเอ้า”
เอากับเค้าสิ ผมเริ่มงงแล้วว่าพี่อาร์ทเป็นประเภทไหนกันแน่ หรือแค่จะตามน้ำเพื่อให้ผมยอมรับเค้าให้ได้ซักทาง

“ฟังให้ดีนะพี่ เราจะเป็นพี่น้องกันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว และถ้านิวจะรักผู้ชายขึ้นมาจริงๆนิวก็มีคนที่นิวจะรักอยู่แล้วครับ”
ผมรู้ว่าคำพูดนี้มันเยื่อไยมาก แต่เมื่อเทียบกับที่ผมเคยทำร้ายจิตใจเทคแล้วนี่ยังน้อยไปแล้วทำไมผมจะต้องเลี้ยงไข้ด้วยล่ะ
“พี่เข้าใจแล้ว จริงๆนิวไม่ต้องโกหกพี่ก็ได้ว่านิวไม่ได้เป็นเกย์ นิวบอกพี่ได้ป่ะว่านิวรักใครอยู่”
พี่อาร์ทยอมจำนนอย่างง่ายดาย ซึ่งผมก็พอใจที่เราจะไม่มีความบาดหมางต่อกัน แต่คำถามพี่อาร์ทนี่สิ ถ้าผมตอบจะเร็วไปมั้ย
“นิวขอเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัวได้ป่ะ อีกอย่างนิวก็ยังไม่แน่ใจอะไรอีกหลายอย่างเลยนะพี่ ถ้านิวตัดสินใจได้นิวจะบอกพี่ครับ”
ผมหาทางออกแบบนี้ แต่ก็จริงนี่ครับ ถึงแม้ว่าถ้าผมจะรักผู้ชายซักคน คนแรกที่ผมจะรักก็คือเทค แต่ขอให้ทุกอย่างลงตัวอีกนิด
“ถึงนิวไม่บอกพี่ก็เดาได้ว่าคนที่นิวรักจะเป็นใคร แต่จำไว้นะว่าพี่จะรักนิวไปแบบนี้แหล่ะ ที่ตรงนี้มีพี่รออยู่เสมอ”
พี่อาร์ทพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็มีรอยยิ้มบางๆทำให้ผมสบายใจขึ้น แต่ให้ตายเหอะผมไม่ชอบให้ใครรอเลยจริงๆ
“แปลว่าเรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้ใช่มั้ยครับ”
ผมถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งผมและพี่อาร์ทคิดตรงกันว่าเราจะคบกันต่อไปในฐานะพี่น้อง

“ใช่สิ ยังไงนิวก็จะเป็นน้องชายของพี่ตลอดไป เออ ก็ดีเหมือนกันเผื่อต่อไปพี่จีบสาวๆจะได้ให้นิวช่วยดู”
เอ้า เปลี่ยนรสนิยมอีกแล้วเหรอวะ ตอนแรกก็บอกว่ามีอารมณ์กับผม ตอนนี้ก็จะกลับไปจีบสาวอีกแล้ว สักทางเหอะพี่
“สรุปจะกลับไปคบผู้หญิงแน่แล้วใช่มั้ยเนี่ย”
ผมอดหัวเราะไม่ได้ เพราะนึกอยู่แล้วว่าท่าทางพี่อาร์ทคงไม่ใช่เกย์หรอกมั้ง
“อ้าว ก็ถ้าพี่จะมีแฟนเป็นผู้ชายพี่ก็จะมีนิวคนเดียวไง แต่ถ้ามีแฟนเป็นผู้หญิงพี่ก็มีไปเรื่อยแลห่ะ กำไรชีวิตโว้ยไอ้อ้วน”
เออ แต่ถ้าคิดแบบนี้นอกจากจะเถื่อนแล้วยังใจดำอีกด้วย แต่ผมว่าคงพูดเล่นน่ะเพราะเท่าที่รู้จักกันพี่อาร์ทไม่ใช่คนมักมาก
“แต่นิวคงดูไม่ได้หรอกนะว่าคนไหนนิสัยเป็นยังไง เดี๋ยวนิวจะช่วยดูก็แล้วกันว่าคนไหนสวยๆ จะช่วยเลือกพี่สะใภ้ด้วย”
ผมยิ้มให้พี่อาร์ทอย่างเปิดเผย ตอนนี้สถานการณ์ที่เคยอึดอัดกลับคลี่คลายลงมากแล้วล่ะครับ
“งั้นนิวขอถือว่าพี่ไม่เคยบอกรักนิวก็แล้วกันนะ”
ผมสรุปตามความคิดของผมเอง
“ไม่เอาโว้ย พี่บอกแล้วไงต่อให้พี่เจอคนสวยแค่ไหน พี่ก็จะเก็บพื้นที่ในใจไว้รอนิวเสมอ สมองเสื่อมรึไงวะเพิ่งพูดไปหยกๆ”

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่29
หวังพบพานกับรักประโลมจิตใจ รักกลายเป็นเจ็บนานช่างรวดร้าว
 
เทคจะกลับมาเมืองไทยช่วงปีใหม่ครับ เค้าส่งเมล์มาบอกผมตั้งแต่ก่อนสิ้นเดือนธันวา ผมเองก็ส่งเมล์กลับไปบอกเตค้าเรื่องงาน
ซึ่งนับจากวันที่1มกราคม พ.ศ.2548ผมจะเริ่มงานดีเจแบบจริงจังโดยบรรจุเป็นพนักงานคนหนึ่งของสถานีวิทยุที่ผึกงานอยู่
ประมาณวันที่28 ธันวาคม พ.ศ. 2547เทค โทรศัพท์มาหาผม พอดีกับช่วงที่ผมกำลังหาข่าวจากอินเตอร์เนตเพื่อจะไปอ่านใน
ช่วงคั่นรายการของพี่ดีเจที่กำลังจัดรายการอยู่ ผมรับสายแล้วทั้งตื่นเต้นและดีใจเมื่อเทคบอกว่ากลับมาถึงเมืองไทยตั้งแต่เมื่อวาน

เทค บอกว่าจะมาหาผมที่โคราชในวันสิ้นเดือนเพื่อจะอยู่ฉลองปีใหม่กับผมด้วย ผมดีใจมากๆเพราะคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะบอกให้
เทคได้รุ้ความรู้สึกในใจของผมสักที การได้ผ่านปัญหา โดยเฉพาะคนที่มาบอกว่าเค้ารักผมล้วนทำให้ผมยิ่งคิดถึงเทคมากขึ้นครับ
นึกถึงครั้งแรกที่เทคบอกรักและจูบผม ตอนนั้นผมกลัว ตกใจและโกรธ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจขยะแขยงเหมือนที่รู้สึกกับพี่ศรัณย์
หรือกับพี่อาร์ทที่บอกรักผมเพียงครั้งเดียวแต่ผมรู้สึกอึดอัดมากกว่าที่เคยได้ยินคำว่ารักจากเทคทั้งที่เทคพูดซ้ำๆแต่ผมก็ฟังไม่เบื่อ
ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะยอมรับตัวเองและบอกความรู้สึกของผมให้เทคได้รู้ซะทีก่อนที่จะช้าไปมากกว่านี้ จริงมั้ยครับเพื่อนๆ

“นิว รอเรานานมั้ย ขอโทษทีนะเราลงรถทัวร์แล้วเดินไปอีกทางนึงอ่ะ เคยแต่เอารถมาเลยงงๆ”
เทคเดินมาทักผมจากด้านหลัง แทบจะไม่ต้องหันกลับไปมองผมก็จดจำเสียงของผู้ชายคนนี้ได้ขึ้นใจทีเดียว
แต่แทนคำตอบทุกอย่าง ผมน้ำตาคลอด้วยความเต็มตื้นเมื่อคนที่ผมรอมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ผมจะโผเข้าสวมกอดเทคไว้สุดตัว
“นิวเป็นไรอ่ะ เฮ้ย เจอกันทั้งทีอย่าร้องไห้สินิวเราใจเสียหมด”
เทคกอดตอบผมไว้แน่นพอกันแต่ก็คงสงสัยจนต้องถามผม อาจเพราะไม่คิดว่าผมจะเป็นฝ่ายกอดเค้าก่อน
“เราดีใจนี่นา รู้มั้ยเราคิดถึงเทคแค่ไหนเราเหนื่อยจะตายเลยเทค ตอนนี้เราแทบยืนไม่อยู่ขอเรากอดเทคนานๆหน่อยนะ”
ผมยังคงสวมกอดเอวของเทคไว้แน่นเหมือนกลัวว่าถ้าคลายอ้อมแขนเพียงนิดจะทำให้ผู้ชายตัวสูงใหญ่คนนี้หลุดลอยไปจากผม
“โอ๋ๆๆ อย่าร้องไห้เลยนะคนดี เรากลับมาก็เพราะเราคิดถึงนิวเหมือนกันแหล่ะ ถ้าเหนื่อยมากนักก็ซบที่อกเราสินิว”
เทค เลื่อนมือข้างหนึ่งจากที่โอบกอดผมนั้นเปลี่ยนเป็นลูบศรีษะและหลังของผมเหมือนจะปลอบโยนเด็กขี้แงที่ร้องไห้ไม่หยุด

ผมคิดอะไรไว้หลายอย่าง มีเรื่องราวมากมายที่อยากไถ่ถามทุกข์สุขของเทค รวมทั้งสิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องบอกเทคให้รู้ให้ได้เลย
แต่พอเจอกันจริงๆ สิ่งที่ผมไม่ได้คิดไว้และไม่เคยคิดว่าจะกล้าทำก็คือการโผเข้ากอดเทคกลางสถานีขนส่งแบบนี้ ไม่อายแล้วครับ
ยิ่งได้กอดเทคนานขึ้นเท่าไหร่ร่างกายและจิตใจของผมก็อบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด น้ำตาที่ไหลรินอยู่นั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
แผงอกของเทคกว้างใหญ่ให้ผมได้พักพิงเสมอ รูปร่างสูงหนาของเทคเหมือนเกราะป้องกันภัยทุกอย่างที่จะมาถึงผมไม่ว่าทิศใดๆ
อ้อมแขนของเทคกอดรัดผมไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม แต่ผมไม่รู้สึกอึดอัดสักนิดกลับอยากให้เค้ากอดไว้แน่นๆแบบนี้ตลอดไปด้วยซ้ำ
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่ติดกายเทคอยู่นี้ยังคงเป็นน้ำหอมกลิ่นเดิมที่ผมคุ้นเคยมานาน เหมือนกับเจ้าของน้ำหอมที่ผมไม่เคยลืมได้เลย

“เช็ดน้ำตาซักหน่อยนะ เดี๋ยวคนเค้าจะคิดว่าเรารังแกนิว”
เทค ช่วยซับน้ำตาให้ผมอย่างเบามือเหมือนที่เคยทำ ทุกสัมผัสยังนุ่มนวลเสมอ
“ขอบใจนะ สงสัยเราจะดีใจมากไปหน่อยเราคิดว่าเราจะไม่ได้เจอเทคอีกแล้วซะอีก”
ผมพูดด้วยความรู้สึกที่คละปนกันหลากหลาย ทั้งความรู้สึกผิดและหวั่นใจว่าเค้าจะไม่กลับมาอีก
“ทำไมนิวคิดงั้นล่ะ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ จำไว้นะต่อให้เราตายเราก็จะกลับมาหานิวให้ได้เลย”
เทค พูดเพื่อเอาใจผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมไม่สบายใจเลยที่เค้าพูดเรื่องความตายทั้งที่ยังหนุ่มแน่นแบบนี้

“เรากลัวว่าจดหมายฉบับนั้น จะทำให้เทคเข้าใจเราผิด จะทำให้เทคไม่อยากเจอเราอีกน่ะสิ”
ผมหมายถึงจดหมายจากคนใจร้ายฉบับนั้น ตอนนั้นผมก็รักเทคแล้วแต่ผมก็จำเป็นต้องเขียนไปแบบนั้น
“ไม่หรอกนิว ต่อให้นิวปฏืเสธเราอีกกี่ครั้ง เราก็ไม่โกรธนิว และเราอยากให้นิวสบายใจว่าเราเข้าใจนิวดีนะ”
เทค ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเก็บผ้าเช็ดหน้าที่ซับน้ำตาให้ผมลงในกระเป๋าเสื้อของเค้า
“เทคเข้าใจเราจริงๆนะ หมายถึงว่าเทครู้ใช่มั้ยว่าเราคิดยังไง เทตอ่านจดหมายแล้วเข้าใจสิ่งที่เราอยากบอกจริงๆนะ”
ผมถามย้ำและยิ้มบางๆหวังว่าสิ่งที่ผมต้องการบอกเค้าก็คือผมรักเค้าแต่ผมทำตามใจตัวเองไม่ได้นั้นเค้าจะรู้ใจผมจริงๆ
“แน่นอนอยู่แล้ว เราจะไม่บังคับนิวอีกแล้วและเราก็ตัดใจได้แล้วนะ เราสัญญาต่อไปเราจะไม่พูดเพ้อเจ้ออีกแล้วนะเพื่อน”
เราต่างก็ผละออกจากกันทั้งที่ใจผมอย่างอ้อยอิ่งอยู่ในอ้อมกอดเค้านานๆ แต่ผมก็เริ่มปลาบแปลบใจกับคำตอบของเทค
“เพื่อนเหรอ”
ผมครางออกมาเบาๆเริ่มแน่ใจว่าเทคไม่ได้เข้าใจความหมายลึกๆในจดหมายของผมเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้....เทค มาอยู่นี่เองเหรอ ไอหาทอยเลทซะรอบกว่าจะเจอ ร้อนก็ร้อน คนก็เยอะ”
เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา ผมและเทคหันไปเห็นชายหนุ่มแต่งตัวโก้หรูเดินตรงมาทางนี้ สักพักเทคจึงแนะนำให้รู้จัก'แฟนเค้า'

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2007 18:51:05 โดย :+:So Much In L »

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
ตอนที่30
ชาตินี้ แม้เป็นได้เพียงเพื่อนกัน แต่รู้ไว้คนอย่างฉัน ไม่มีวันลบเธอจากใจ

โชคดีเหลือเกินที่ผมผละออกจากอ้อมกอดของเทคก่อนที่‘ตัวจริง’ของเค้าจะโผล่มาเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นเมื่อครู่นี้
ผมหันไปยิ้มทักทายโดยกะประเมินจากสายตาว่า‘แฟนคนล่าสุดของเทค’คงจะอายุเท่าๆกับผมกับเทคนี่แหล่ะครับ

“Hello I ชื่อโฟ๊ก I’m glad to meet you”
แฟนเทคแนะนำตัวพร้อมยื่นมือมาเชคแฮนด์ตามธรรรมเนียมสากล
“เราชื่อนิวยินดีเหมือนกัน ชื่อโฟ๊กมาจากอะไรเหรอ เพลง โฟลคซองคำเมือง หรือว่า รถโฟล์คล่ะครับ”
ผมชวนแฟนของเทคคุยแก้เก้อ ทั้งที่ตอนนั้นสมองผมเหมือนหลอดไฟที่ดับๆติดๆ ขมุกขมัวไปหมด
“อืม แล้วแต่อ่ะไอไม่ซีเรียส แต่ถ้าเลือกได้ขอเป็นรถโฟล์คดีกว่าค่อยดูมีคลาสหน่อย ใช่ป่ะเทค”
โฟล์คหันไปอ้อนเทค แหม.....ช่างน่ารักน่าเอ็นดูซะจริง
“แหม ยังไงมันก็ออกเสียงว่าโฟ๊กอยู่ดีแหล่ะน่ะ ไปหาไรกินดีกว่า นิวจะพาเราไปไหนก่อนดี”
เทคหันมาถามผมซึ่งยืนงงอยู่ก็เพราะแต่เดิมเราตกลงกันไว้แบบหนึ่งเพราะผมไม่รู้ว่าจะมีอีกคนเพิ่มเข้ามา
“เอ่อ ทีแรกเราจัดห้องพักไว้ให้ที่บ้านเราน่ะ กะว่าจะให้เอากระเป๋าเดินทางไปไว้ก่อนแล้วออกมาหาไรกิน”
ผมตอบไปตามตรงเพราะผมไม่ระแคระคายซักนิดว่าเทคจะมาหาผมพร้อมกับคนรักใหม่ของเค้าเจอแบบนี้ผมก็เสียสูญไปเลย

“แล้วถ้าเรากับแฟนไปพักที่บ้านนิวจะสะดวกมั้ยล่ะ เกรงใจนายแม่ของนิวด้วยน่ะสิ”
เทคออกตัวอย่างเกรงใจ ก็คงเป็นเพราะเทครู้อยู่แล้วว่าเป็นความสะเพร่าที่ไม่ได้บอกผมว่าจะพาแฟนมาด้วย
“โอ๊ยยยยยย ไม่เอาหรอกเทค เรามาเที่ยวนะไม่ได้มาเข้าค่ายจะได้ไปแออัดกันอยู่ที่บ้านนิว เอ่อ…เราเกรงใจน่ะนิว”
โฟล์ค ตัดบทด้วยความรำคาญแต่ท่าทีที่เค้าหันมาพูดกับผมเหมือนจะเกรงใจนั้นกลับมาบางอย่างที่แฝงอยู่หรือผมจะคิดมากไปเอง
“เอาเป็นว่าโฟล์คกับเทคตกลงกันเองดีกว่าสะดวกแบบไหนก็บอกเรานะ เราต้อนรับเพื่อนได้สบายอยู่แล้ว”
ผมบอกอย่างจริงใจ เพราะถือว่ายังไงซะผมก็เป็นเจ้าบ้านต้องให้การต้อนรับอย่างดีที่สุดก็ต้องแล้วแต่เค้าล่ะครับ
“เราอยากไปค้างบ้านนิวไปกราบนายแม่กับคุณป้าใหญ่ด้วย แล้วก็............”
เทค ยังพูดไมทันจบประโยคดี โฟล์คก็ขัดขึ้นซะก่อน เอาเหอะ ตกลงกันยังไงแล้วค่อยบอกผมก็แล้วกัน

“ไอตัดสินใจจะนอนโรงแรม เทคอยากไปค้างบ้านนิวก็ตามใจนะ ถ้าใจดำทิ้งไอไว้คนเดียวได้ก็ลองดู”
โฟล์ค ทำท่าจะลากกระเป๋าเดินทางไปอีกทาง หลังจากตัดพ้อเทคด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดสุดขีด
“โอเคๆครับ เราไม่ทิ้งโฟล์คไปไหนหรอก” เทคหันไปง้อแฟนแล้วกลับมายิ้มเจื่อนๆบอกผมว่า “ขอโทษทีนะนิวเข้าใจเรานะ”
ผมมีสิทธิ์จะโกรธ มีสิทธิ์ที่จะไม่เข้าใจด้วยเหรอครับ ในเมื่อตอนนี้เค้าเป็นแฟนกันแล้ว แต่ผมเป็นใครกันล่ะ ก็แค่คนอื่นเท่านั้น
“คริกๆๆๆ อะไรกันน่ะเทค แค่จะตามใจแฟนก็จะต้องขอโทษและขอความเห็นใจกันด้วยเหรอ ก็แค่เพื่อนเก่า”
เสียงหัวเราะต้นประโยคช่างไร้เดียงสาและเห็นเป็นเรื่องขบขันสุดๆ แต่ท้ายประโยคที่ใช้หางตามองมาทางผมน่ะสิบาดลึกกว่าคำพูด

เมื่อตกลงกันได้ผมก็พาเทคและโฟล์คไปหาที่พักเป็นโรงแรมระดับห้าดาวซึ่งเศรษฐีอย่างเค้าทั้งคู่มีปัญญาจ่ายได้แน่ จริงสินะ!
เทคเองก็ร่ำรวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งมาคบกับโฟล์คซึ่งก็คงรวยไม่น้อยไปกว่ากัน เสียเงินแพงหน่อยเพื่อแลกกับความสบาย
ย่อมดีกว่าไปทนอุดอู้อยู่ในบ้านแคบๆไม่มีบริกรคอยอำนวยความสะดวก ไม่มีร้านอาหาร ไม่มีพนักงานให้เรียกใช้ตลอด24ชม.
ผมถามว่าทั้งคู่มีโปรแกรมอะไรกันต่อบ้าง เทค บอกว่าอยากไปไหว้อนุสาวรีย์ย่าโม ส่วนโฟล์คขอนอนพักผ่อนที่ห้องจะดีกว่า
ดังนั้นช่วงที่เค้าเข้าพักในโรงแรม ผมก็เลยมานั่งรออยู่ด้านล่างที่เป็น Coffee Shop สั่งกาแฟรสขมมาดื่มเพื่อไล่ความซึมเซา
สักประเดี๋ยว เทค ก็ตามลงมา ผมสังเกตท่าทางของ เทค ดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ คิดว่าคงเป็นเรื่องที่พักก็เลยพูดให้เค้าสบายใจ

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกนิว โอเค เราไม่สบายใจที่แฟนเราแสดงอาการแบบนั้นเรื่องที่พัก แต่เราไม่สบายใจเรื่องอื่น”
เทค เปิดฉากด้วยคำพูดที่ส่งผ่านความอึดอัดใจมาพร้อมด้วยแววตาที่ยากจะอธิบายได้
“แล้วเรื่องอะไรล่ะ หรือว่าไม่ชอบโรงแรมนี้ เสียใจจ้ะเปลี่ยนไม่ทันแล้วเพื่อน”
ผมพยายามพูดเหมือนจะเดาใจและสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้น
“นิว เราขอโทษเรื่องที่เราพาแฟนมาด้วยแล้วไม่ได้บอกนิวก่อน”
เทคกุมมือผมไว้ ตอนนั้นแม้แก้วกาแฟจะร้อนแต่มือผมเย็นจัด
“เฮ้ย คิดมากไปเปล่า แค่มีเพื่อนร่วมคณะทัวร์เพิ่มอีกคนเดียวไม่ทำให้เราวุ่นวายอะไรนักหนาหรอกน่า”
ผมฝืนยิ้มและพูดถึงเฉพาะเรื่องการต้อนรับเค้าทั้งคู่ ทั้งที่ในใจผมก็รู้ดีว่าความอึดอัดใจมีมากกว่าเรื่องนี้
“เราอ่านจดหมายของนิวแล้ว เราคิดว่านิวตัดขาดเราแน่ หมายถึงชาตินี้เราก็คงเป็นได้แค่เพียงเพื่อนกัน เราก็เลย…..”

“ก็เลยตกลงเป็นแฟนกับโฟล์ค แล้วก็พาโฟล์คมาให้เราเห็น ให้เรารู้ว่าเทคไม่แคร์เราเหมือนกันใช่มั้ย”
ความอึดอัดใจที่คุกรุ่นพลุ่งพล่านขึ้นโดยไม่ตั้งใจทำให้ผมเผลอตัวกระชากมือกลับ
“เราขอโทษที่แสดงกิริยาไม่ดี”
เมื่อรู้สึกตัวผมก็ข่มใจให้เย็นลงและสูดลมหายใจลึก ยืดตัวตรงพร้อมจะฟังเหตุผลของเทคว่าเค้าคิดอะไรอยู่กันแน่
“เรารู้ว่านิวมีภาระอีกมากเราก็ไม่อยากเพิ่มความกังวลใจให้นิวอีก เรารู้ว่าความรักระหว่างเพื่อนจะสวยงามเสมอและยั่งยืนเสมอ
แต่ก่อนเราวู่วามเกินไปและไม่พยายามเข้าใจนิวเลย มาถึงวันนี้เราเองโตขึ้นมีสิ่งที่ต้องดูแลรับผิดชอบมากขึ้น เราถึงเข้าใจแล้วว่า
การต้องคิดต้องทำเพื่อใครคนอื่นมันเป็นยังไง เราไม่อยากเห็นแก่ตัวดึงนิวไว้อีกแล้ว และในช่วงเวลานั้นโฟล์คคือคนที่อยู่กับเรา
เค้าให้กำลังใจและเตือนสติให้เรายอมเป็นแค่เพื่อนนิวยังจะมีโอกาสคบหากันไปได้ตลอดชีวิตแต่ถ้าเรายิ่งเอาแต่ใจมากเท่าไหร่
นิวก็ยิ่งลำบากใจ ถ้านิวเบื่อหน่ายความงี่เง่าของเราจนทิ้งเราไป ทีนี้แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็คงไม่เหลือด้วย เราทนไม่ได้จริงๆนะ
เราตั้งใจไว้แล้วว่าต่อไปเราจะดีกับแฟนเราให้มากๆ รักเค้าเหมือนที่เรารักนิว และเราจะไม่กวนใจนิวด้วยเรื่องความรักเก่าๆอีก”


“อืม เราดีใจนะที่เทคคิดได้ซะที ไปไหว้ย่าโมกันเถอะ เดี๋ยวโฟล์คจะรอนาน”
ผมเค้นทุกคำอย่างยากลำบาก มันทั้งสับสนและทรมานที่ต้องเผชิญความเจ็บปวดอย่างไม่มีโอกาสตั้งตัว
“เราขอกอดนิวอีกครั้งได้รึเปล่า อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อน หวังว่านิวคงไม่ตำหนิเรานะ”
เทคจะรู้มั้ยว่านี่เป็นคำขอร้องที่ผมเต็มใจจะทำมากที่สุด แม้ในฐานะเพื่อนผมก็คงต้องยอมรับให้ได้ 
ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ให้แนบเนียนที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นหยดน้ำตามากมายของผมต้องไหลรินไม่หยุดแน่
นี่เป็นอ้อมกอดแรกที่ผมกับเทคกอดกันอย่างจริงจังไม่ใช่การหยอกล้อกันเล่นแต่แทนที่จะอบอุ่นซาบซึ้งมันกลับเหน็บหนาวเหลือเกิน


อวสาน :+:กว่าจะรู้ว่ารัก:+: ภาค3
โปรดติดตามการปิดฉากฉบับสมบูรณ์ได้ใน :+:กว่าจะรู้ว่ารัก:+: ภาค 4
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-10-2007 14:55:14 โดย :+:So Much In L »

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

 :try2: :try2: :try2: :try2:

ขออนุญาตเอาตัวมาแปะไว้ก่อนนะ

แบบว่าอ่านไม่ทัน  :m23:



น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วปวดร้าวจริง ๆ
ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยนะเนี่ย
ชีวิตหนอชีวิต :m15:

ออฟไลน์ รอยยิ้มอาบยาพิษ

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
เพลง แม้ไม่มีวัน
นันทิดา แก้วบัวสาย

ยินดี ที่เธอมีใจให้กัน
ที่เธอช่างดีกับฉัน มากมายได้อย่างนี้
แต่ฉัน ฉันเองเหมือนคนไม่ดี
ไม่รับน้ำใจไมตรี ของคนที่ดีเหลือเกิน

ฉันรู้ ว่าเธอคงน้อยใจ
ยิ่งใกล้ยิ่งชิดเท่าไหร่
กลับกลายเป็นความห่างเกิน
โปรดรู้ ฉันยังเสียใจเหลือเกิน
ที่ฉันต้องทำเป็นเมิน
เพราะไม่อยากให้เธอคิดไกล

แม้ไม่มีวัน ที่ฉันจะรักเธอ
แต่ขอให้รู้เสมอ เธอสำคัญกว่าใคร
ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เธอทำให้
จะจารึกไว้ในใจ ของคนใจร้ายอย่างฉัน

ยินดี ที่ได้เจอคนอย่างเธอ
ได้แต่ปลื้มใจเสมอ ที่เธอแสนดีอย่างนั้น
ชาตินี้ แม้เป็นได้เพียงเพื่อนกัน
แต่รู้ไว้คนอย่างฉัน ไม่มีวันลบเธอจากใจ


abcd

  • บุคคลทั่วไป
ง่า..เศร้าจบภาค3ยางเศร้าขนาดนี้  ภาค4จาเศร้ากว่านี้มะเนี่ยพี่นิว  ถ้าเทคคบกับโฟล์คเพื่อประชดพี่นิว แย้วต่อไปจาลงเอยกันแบบไหนล่ะเนี่ย มีแต่เศร้ากับเศร้า  :sad2:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
วันเวลามีค่าเสมอ จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ทุกสิ่งที่อ้างว่านั่นดี นู้นดี ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ตีกรอบขึ้นมา
สรรค์สร้างเพื่ออ้างตัวเองเหนือคนอื่น

แท้จริงแล้วกลับไม่มองหัวใจตัวเอง
 o7 o7 o7

ANA

  • บุคคลทั่วไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด