มาอัพต่อแล้วครับ ฮุยเลฮุย !
เอิ่ม แอบเห็นคนทวงไอดิล แหะๆ.. รอก่อนนะ ใจเย็นๆนะ
ส่วนศึกกะหมังกุหนิง จริงๆก็คือทั้งเรื่องนี้ ตามพล็อต เหลืออีกสามสี่ตอนแล้วละครับ // กอดเกรียนคนอ่าน คิดถึงๆๆๆ ไปอ่านกัน
Chapter 37 :: ศึกกะหมังกุหนิงPart II“เอาละครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมขอสรุปกับเพื่อนๆเลยว่า..
สโมฯของเราในปีนี้มีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดงบประมาณในเรื่องของการรับน้อง ตามนโยบายนำร่องเพิ่มพื้นที่ให้ประชากรอินดี้”
ผมกล่าวปิดประชุมเมื่อเวลาล่วงไปพอสมควร
แหม่..นับตั้งแต่ประชุมมานี่ผมจามไม่ได้หยุด
“ฮั๊ดเช้ยย!”
นั่น.. ว่าแล้วก็จามอีกที
“เฮ๊ยทัศน์ หวัดแดกหรือไงวะ?”
ไอ้โกเข้ามาตบไหล่ขณะเราเก็บของแยกย้ายกลับ
“เปล่าว่ะ สงสัยโดนใครด่า เหอะๆ”
ผมพูดกลั้วหัวเราะนึกถึงที่ไอ้เกรย์ปรี๊ดแตกเมื่อเช้า เดี๋ยวต้องรีบไปง้อเมียเสียหน่อย
“เออ ประชุมวันนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบไอ้โจไม่โผล่หัวเลยนะ”
ผมว่า พลางเมียงมอง
ไอ้โกยักไหล่
“ตั้งแต่ไอ้หนุ่มบวช มันก็อินดี๊ อินดี้”
ผมพยักหน้าเข้าใจแล้วแยกจากไอ้โก และขับมาดด้าสองมุ่งไปทางถนนนิมมานเหมินท์
..พร้อมทั้งกึ๊ดเติงหา เกรียนน้อย/กลอยใจ/ไอ้เกรย์ ไปตลอดทาง
ผมวนหาที่จอดรถ แล้วก็เดินเท่มายังร้านกาแฟ ‘เฮ๊ย ไอ้เห่ย’ ของคุณแม่ยายจอมเกรียนเหนือเกรียนทั้งปวงใดๆ
….
……..
หะ..
หือ..?
ผมอุทานเมื่อเดินใกล้ถึงร้าน และอยู่ในรัศมีใกล้พอที่จะมองเห็นใครบางคนที่คุ้นตายืนจ้องเขม็งเข้าไปในร้าน
..เฮ่ย
ผมเดินเข้าไปใกล้อีก พอที่จะได้เห็นชัดๆ..
แล้วตอนนั้นเอง..ก็มีคนอีกคนเดินออกมาจากร้าน
“ไงคะ? คุณพี่นีย์”
..อาไผ่?
แม่ผม..?
ผมสะบัดหัวอย่างงงๆ
นี่กูเพี้ยนถึงขนาดขับรถกลับมาบ้านทัศนศุภกฤษณ์เลยเหรอวะ!
ผมมองซ้ายขวา..
เฮ้ย ไม่ใช่ดิ
นี่มันร้านกาแฟชัดๆ!
“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเธอโทรตามฉันทำไม ทิวไผ่”
แม่ผมเม้มปากเบาๆ เอามือกอดอก
“เอ้า ถ้าฉันเดาไม่ผิด คุณนีย์เองไม่ใช่หรือ ที่บอกที่ทางของหนูเกรย์แก่คุณกะหมังกุหนิงให้เขามาฉะกันถึงนี่”
อาผมมองอย่างจับผิด
“ฉันจะไปรู้ได้ไงยะ ก็กะหมังกุหนิงเขาบอกอยากทำความเข้าใจให้มากขึ้น”
แม่ผมทำหน้าอย่างข้าไม่ผิด
“ทำความเข้าใจเสียลั่นร้าน สมเป็นวัชรวงษ์เหลือเกินนะคะ”
อาผมหัวเราะเบาๆ
แต่แม่ดูสับสนขึ้นทันที
“ฉันไม่เคยเห็นกะหมังเขาทำอะไรอย่างนี้เลย..จริงๆ”
ท่านแม่ส่ายหน้าอีก
“ไม่รู้จริงๆ ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป”
ยังไงนะ..?
กะหมัง? กุหนิง?
แล้วมาเกี่ยวอะไรที่นี่..
ผมเดินเข้าไปใกล้ถึงหน้าร้าน
“แม่? อาไผ่?”
หญิงทั้งสองผู้เป็นแม่กับเป็นอาหันมา ผมยกมือไหว้คนทั้งคู่
“มา..ทำอะไรกันครับเนี่ย?”
“มาหาของกินก่อนไปคลินิก พอดีมาเจอมวยคู่เอก เลยโทรตามแม่เรามาชมเสียหน่อย”
อาไผ่พยักเพยิดไปข้างในร้าน
ผมหันไปมอง..
คุณกะหมังกำลังฉอดๆ ใส่แม่เกรย์
เฮ้ย!!
“ฉันควรจะทำยังไงให้เธอรู้สึกขึ้นมาดี”
คุณกะหมังก้าวไปหาแม่เกรย์ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเลย เกรย์กระโดดเข้ามาขวาง
“อย่าเข้ามาใกล้แม่ผมกว่านี้นะ!”
กุหนิงประชิดข้ามาสมทบ
เย้ย!!
“อะไร อะไร อะไรกันครับเนี่ย !”
ผมแจ้นเข้าไปข้างในทันทีเหมือนโดนไฟจี้ก้น
“เกรย์”
ผมคว้าแขนคนรัก
ดวงหน้าขาวมองผมอย่างแค้นๆ แล้วสะบัดมือออก รัวใส่ไม่ยั้ง
“ไอ้เหี้ยทัศน์ มึงฟังนะ! มึงฟังกูให้ดี”
เย้ย..กูฟังมึงเสมอแหละเมียจ๋า ว่าไงจ๊ะ
“ถ้ามึงทำตัวเป็นพระเอกละครหรือพระเอกมิวสิคที่อยู่เฉยๆ.. ปล่อยอีกฝ่ายเขาตบตีแย่งชิงมึงกันเอาเอง
ถึงแม้กูจะรักมึงแค่ไหน กูก็ไม่เอาด้วย กูไม่เอาด้วยได้ยินไหม!"
"กูจะไม่ยอมลดทำลงไปทำพฤติกรรมแบบนั้น เพราะกูรักศักดิ์ศรีของกูมากเท่าๆกัน มึงได้ยินรึยัง!”
เต็มสองหูทะลุถึงรูตรูดแล้ว..
อะไรวะเนี่ย!? กูเพิ่งแจ้นมาถึง มึงฉะกูไม่ปรานีเลยเฮ้ย!
.
.
“อ้าว ตาทัศน์”
คุณกะหมังหันมามองผม
“เธอมาช้าไป น่าจะทันได้ยินที่แม่นี่กับลูกดูถูกน้ากับหนิงเสียๆหายๆ ดูมันปากดี”
หือ..
ท่านแม่เกรียนกับเกรย์ไม่ใช่คนที่จะว่าร้ายใครก่อนนะ
“เอิ่ม..แล้วน้ากะหังมาทำอะไรที่นี่ละครับ”
“เรียกน้าว่าไงนะ!”
เธอแว๊ด
เอิ่ม..
ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“น้ากะหมังไงครับ น้าครับ..เบาหน่อยดีไหมครับ คนเขามองกันหมดแล้วนะ”
เธอเขม่นมอง
“ก็เด็กเกย์นี่ทำตัวหยาบคายกับน้าและลูกหนิงที่น่าสงสาร”
เธอบอกผม พยักเพยิดไปที่ไอ้เกรียน
“แฟนผม ชื่อเกรย์ครับ”
ผมบอกเอือมๆ
“ต๊าย นี่ทัศน์กล้าเรียกมันว่าแฟนเลยหรือ?”
คุณกะหมังมองผมอย่างผิดหวังประหนึ่งผมออกลูกเป็นกบ
ผมพยักหน้างงๆ
“อ่าว.. เมียผมชื่อเกรย์ก็ได้ครับถ้างั้นน่ะ”
อ๊ายยยยยยย!!
ไม่หรอกครับ ไม่มีใครกรี๊ด
แต่คุณกะหมังดูจะกรีดร้องทางสายตาเรียบร้อยแล้ว
“หนิงไม่คิดเลยนะว่าทัศน์จะตกต่ำได้ขนาดนี้!”
สาวสวยมองเชิงดูถูกมาที่ผมสลับกับเกรย์
“ไม่รู้ตัวรึไงนะตาทัศน์”
คุณกะหมังสมทบ
“พวกนี้คงกะจะเกาะเธอกิน เห็นว่าหล่อรวย ฮึ มันหวังจะสบายทางลัด”
.
.
“มันจะมากไปแล้วนะเว้ย!”
เกรย์กลายเป็นผีบ้าขึ้นมาเหมือนกัน
“ที่รัก..”
ผมกระซิบเบาๆ เข้าไปกอดเอวไว้
“ไอ้เหี้ย ปล่อยกู!”
เกรย์ตวาดแว๊ด
“ฟังนะ ฟังให้ดี!”
ไอ้เกรียนสลัดหลุดจากผม แล้วชี้ทั้งคุณกะหมังและกุหนิง
“อย่าเอาความคิดของคุณมายัดเยียดใส่ผมและคนที่เป็นครอบครัวผม
คนอย่างคุณคงรู้จักแต่ความสบาย แต่ไม่รู้จัก..ความภาคภูมิเลยสิใช่ไหม ถึงได้คิดว่าคนอื่นจะไม่รู้ด้วย!"
อย่างนี้แหละครับ ..เกรียน เวลาโมโห จะไม่สนหน้าอินทร์หน้าสพรหมทั้งนั้น แต่มองเห็นทุกคนเสมอเหมือนกันหมด
"เกาะผู้ชายรวยๆน่ะมันง่าย แต่คุณจะหลงเหลือความภาคภูมิใจอะไรในชีวิตที่ว่างเปล่าของคุณ
ผมอาจจะไม่ได้เรียนเมืองนอกเมืองนาอะไร แต่ผมเรียนคณะมนุษยศาสตร์
ความเป็นมนุษย์อย่างเต็มภาคภูมิคือสิ่งที่ผมปรารถนาที่สุดในชีวิต
..ถ้าคุณแก่ขนาดนี้ มีความรู้ขนาดนี้ แล้วยังไม่เข้าใจเรื่องแค่นี้ ช่วยย้ายก้นด่างๆออกไปให้พ้นทั้งคู่เลย!”
พระเจ้า..
..เงียบสนิท
ดูทุกสรรพสิ่งยังคงอึ้งอยู่กับดิเกรย์แมน..
เมื่อคุณกะหมังได้สติ แต่นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรจึงไปเคี่ยวเข็ญกุหนิง
“มันปากดี ด่ามันสิลูก อย่ายอมมัน”
กุหนิงนิ่ง ตาโต ไม่ไหวติง คาดว่าชีวิตนี้ไม่เคยโดนด่าหน้าแหกขนาดนี้มาก่อน
“ลูกเรียนบริหารที่อังกฤษเชียวนะ ตอบโต้มันสิ ยัยหนิง!”
คุณกะหมังไม่ยอมแพ้
..แต่กุหนิงนั้นน่าซีดเต็มที่แล้ว
“หนิง พูดอะไรซี!”
คุณกะหมังเขย่าตัวลูกสาว
.
.
ฮื๊อ..อือ..อื๊อ
เสียงหายใจหอบๆดังมา
แต่ไม่ใช่จากคนพูด ..เป็นจากคนฟัง
“แม่..อย่าเขย่าหนิง”
กุหนิงหน้าซีด เอามือกุมหัวและหายใจรัวเร็ว..
แล้วเธอก็เซจนทรุดลงไป
เฮ้ย!!
“อาไผ่ อาไผ่!”
ผมตะโกนเรียก
“ช่วยทีครับ”
“อะไร หนิงเป็นอะไร สู้มัน”
คุณกะหมังยังไม่ยอมแพ้
“พอเถอะครับคุณน้า! ให้อาไผ่ดู อาไผ่เป็นหมอ”
ผมกล่าว ขณะอาทิวไผ่ เดินเข้ามาประคองกุหนิง
“เอาล่ะ.. นิ่งๆ ไม่เป็นไร ทำใจดีๆ โดนด่าแค่นี้สลบไสลเลย ทีด่าเขาละไม่คิด มันส์ชิบเลย”
“อาครับ”
ผมปราม.. เพราะคุณกะหมังมองอาไผ่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
แต่ก็นั่นแหละ อาไผ่ไม่สนใจหรอก
“ฉะ..ฉัน เป็น..เป็นอะไร”
กุหนิงตะกุกตะกัก
“ไม่รู้.. แรดมากไปมั้ง”
หมอทิวไผ่ว่า
คนอื่นๆตาแทบถลนออกมา แม่ผมมองอยู่ข้างนอกห่างๆ และส่ายหน้าเพลียๆ
..เรารู้กันว่าอาไผ่เป็นคนที่ตรงไปตรงมาเพียงใด
“แล้วคะ..คุณ อะไร..อย่ามาจับตัวฉันนะ”
กุหนิงดิ้นโกรธๆ
“เวลาทำงาน ฉันเป็นหมอ อีกฝ่ายเป็นคนไข้ อย่างอื่นไม่ได้สนใจ”
อาผมพูดเรียบๆ
“ตกลงลูกฉันเป็นอะไร”
คุณกะหมังถามเสียงฉียบขาด
“เท่าที่ดูนะ มันเครียดน่ะซี โดนกดดันด้วยและคงแรดเองด้วยส่วนหนึ่ง”
อาไผ่บอก แล้วหันไปมองกุหนิง
“แนะนำนะอิหนูนะ เข้าวัดนั่งสมาธิเสียบ้าง จิตใจจะได้เป็นสุข”
“ไอ้..ไอ้หมอ..ปากหมา!”
กุหนิงด่า ลุกขึ้นเดินเซๆออกไปทันที
ท่ากุหนิงจะลืมเกรย์ไปเสียแล้ว ได้แต่ชี้อาไผ่แล้วด่าขมุบขมิบ
"ฉันไม่ยอมแน่!"
คุณกะหมังประกาศ
และที่สุดแล้วก็ตามลูกสาวออกไปด้วยพร้อมช่วยประคองเธอ
“เฮ้อ..ยัยเด็ก..”
อาไผ่ถอนหายใจพลางส่ายหน้า
ส่วนแม่ผมนั้นหายไปจากตรงนั้นแล้ว คาดว่าท่านก็คงนึกไม่ถึงว่าเพื่อนรุ่นน้องจะมีอุปนิสัยเช่นนี้
ผมเองก็ยังไม่เคยเห็นคุณกะหมังเกรี้ยวกราดเหมือนแม่ค้าในตลาดอย่างวันนี้ แต่ก็นั่นแหละครับ ผมไม่ได้เจอเธอนานแล้ว..
“สงครามสงบยังวะ จะนับศพทหาร”
ไอ้แอร์แกว่งเท้าหาเกรียน
“เดี๋ยวมึงจะได้นับศพตัวเองไอ้แอร์ หุบปาก!”
นั่น.. ไอ้เกรียนก็เลยจัดให้มันไปหนึ่งดอก
ผมยิ้มบางๆ มองดูเมียที่เพิ่งใช้วาจาเชือดเฉือนทำคนเป็นลมมาหมาดๆ
“เอาล่ะๆ.. ทัศน์ เดี๋ยวอาไปเปิดคลินิกก่อนนะ ป่านนี้คนไข้รอแย่แล้ว”
อาไผ่ว่า
ผมพยักหน้า และเราก็อำลากันตรงนั้น
ลูกค้าในร้านดูท่าทางเสียดายที่อดดูมวยสลับทานกาแฟต่อ
แหม่..!
“แม่ครับ”
ผมบอกกับปรมาจารย์เกรียน
“ขอโทษจริงๆครับที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
ท่านแม่ยิ้ม
“เห๊อะ ไม่ใช่เพราะทัศน์หรอก อีกอย่างแม่ไม่ได้เครียดเลย ปล่อยแม่งแว๊ดไป ..เกรย์ก็เถอะ”
เธอหันไปแตะไหล่ลูกชาย
“ตอบโต้เรียบร้อยแล้วนี่ จบแล้ว อย่าโมโหเลย จิตตกเปล่าๆ”
“แต่มันวอนหา..”
ไอ้เกรียนอ้าปากเถียง
“เกรย์.. เราไปเต้นเร่าๆกับคำพูดเขาก็เป็นทุกข์เอง”
ท่านแม่ขัด
"แม่ครับ!"
เกรย์เบ้หน้า
“ผู้แบกของหนักไปคือบุคคล..”
ท่านแม่จบด้วยประโยคเดียว
ไอ้เกรียนเม้มปากน้อยๆอย่างยอมจำนน
“ครับแม่”
ผมยิ้ม แล้วท่านแม่ก็เดินจากไปทำงานต่อ
ไอ้เกรียนมองผมงอนๆ แล้วสะบัดบ๊อบจากไป ‘เชอะ!’

“เอ่อ.. ก็ ก็ถือว่าจบดีนะ”
ผมเกาหัว
“จบ? มึงรู้ได้ไง ว่าจะจบแล้ว!”
มันว๊าก
เฮ้อ..
ผมแตะแขนขาวนั่นเบาๆ
“ก็ถ้ามันยังไม่จบหรือจะมีอะไรอีกก็ตาม กูจะไม่ปล่อยให้มึงสู้คนเดียวแล้ว ..เชื่อใจกูเถอะนะ”

ไอ้เกรียนสะบัดอีกครั้ง
“เกรย์..สรุปกูผิดอะไรวะเนี่ย?”
ผมเดินตามง้อ
“มึงไสหัวไปเลย!”
อ่าว..
ไอ้นี่ ไล่กูอีก
..”ที่รัก”
ผมขมวดคิ้วเรียกมัน
“สาด อย่ามาเรียกที่รัก ขนลุก”
มันทำตัวสั่น
ผมพยักหน้า..
“เออๆ.. เมียรัก”

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ขอได้รับความขอบคุณจาก..เกรียนน้อย