‘..เหล็กที่แข็งหลอมรวมให้ละลาย
ร่วมใจร่วมกายด้วยแรงเชียร์
เหล็กที่แกร่งทั้งหลาย
หล่อหลอมรวมเป็นเกียร์
กอดคอเชียร์ด้วยใจ..’รุ่นน้องร้องเพลงต้อนรับ.. เมื่อบัณฑิตทยอยเดินเข้าไป
ผมรู้สึกโล่งใจ..ที่ในที่สุดก็มาถึงวันนี้จนได้..
คณาจารย์และเจ้าหน้าที่ของคณะแจ้งกำหนดการและซักซ้อมพิธีการให้บัณฑิตตลอดทั้งเช้า
ผมต้องขอบคุณนมกับขนมของไอ้โจที่ทำให้ไม่หน้ามืดไปเสียก่อน
น่าจะเชื่อแม่กินข้าวเช้ามาด้วย - -
เมื่อเสร็จพิธีการที่ห้องประชุมคณะ
ผมก็ค่อยๆ เดินไปยังโต๊ะที่เรานัดกันไว้ โชคดีที่ออกมาได้เป็นคนแรกๆ
ไม่เห็นใครอยู่ที่โต๊ะแฮะ แต่ข้าวของยังวางอยู่
อ้าว อยู่นั่นเอง..
โจกับน้องเกรย์ยืนคุยกันอยู่ที่ข้างต้นไม้
ผมเดินไปหาเงียบๆ..
“เหมือนบัณฑิตทยอยออกกันมาแล้วพี่”
เกรย์บอกไอ้โจ
“เออ เกรย์ไปรอที่โต๊ะเลยก็ได้ พี่ซื้อข้าวไว้ละ ออกไปกินข้างนอกคนแน่นมาก ผู้ปกครองเริ่มมากันเยอะแล้ว เดี๋ยวบ่ายหนุ่มมันต้องรีบไปเข้าหอประชุม คาบบ่ายเกรย์ว่างอยู่ใช่ไหม ไปส่งด้วย”
“รู้แล้วพี่”เกรย์กรอกตาไปมา
“ทำไมพี่ไม่ไปส่งเองซะเลย กำกับขนาดนี้”
..
….
ไอ้โจเงียบไป
“พี่ไม่อยากให้มันอึดอัด เราไปแหละดีแล้ว”
“บางที พี่หนุ่มอาจจะไม่..”
“การที่เขาตัดสินใจว่าจะไม่ติดต่อพี่อีกก็แปลว่าเขาอยากเลือกแบบนี้ แล้วพี่ก็เคารพการตัดสินใจด้วย”
เกรย์ถอนหายใจ ยกมือกอดอก
“งั้นพี่มาทำไม ไม่งดเจอกันตลอดชีวิตซะเลยล่ะ”
สีหน้าโจไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
“พี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาดร็อปเรียน ถึงแม้เขาจะบอกว่ามันเป็นการตัดสินใจของเขา แต่พี่ก็เป็นแรงผลักหลักที่ส่งเขาไปสู่การตัดสินใจนั้น เขาถึงต้องมารับปริญญาพร้อมรุ่นน้องในปีนี้ พี่อยากอยู่ข้างๆเขา เป็นกำลังใจให้เขา ไม่อยากให้เขาประหม่า”
ไอ้โจถอนหายใจ
“เสร็จจากนี้ ถ้าเขาเลือกเหมือนเดิม พี่ก็จะปล่อยเขาไป”
น้องเกรย์ทำตาโต ตบมือเปาะแปะ
“ใจหล่อมากพี่” ก่อนที่จะเสริมท้าย “หลังจากที่เลวมาตลอดน่ะนะ”
“ไอ้นี่” ไอ้โจทำท่าง้างตีนใส่เกรย์ หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันมาเจอผม
สีหน้าเปื้อนรอยยิ้มนั้นชะงักไป..
ผมเองก็พยายามทำหน้าให้เหมือนไม่ได้ยินอะไร
แต่คงไม่ช่วยมากนัก..
เมื่อดวงตาสีดำสนิทมองนิ่งค้างจนผมต้องหลบสายตา
“เอ่อ..”
น้องเกรย์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“เหนื่อยไหมครับพี่ มานั่งทานข้าวเถอะครับ”
เราสามคนนั่งทานข้าวกันเงียบๆ ก่อนที่น้องเกรย์จะแว้นพาผมไปส่งที่หอประชุมและไอ้โจแว้นตามมาทีหลัง
..ตลอดสามวันของการซ้อม น้องเกรย์เป็นคนหลักไปรับไปส่งและหาข้าวให้กิน
ส่วนไอ้โจจะโผล่มาเฉพาะเวลาถ่ายรูป บางครั้งกินข้าวมันก็ไม่ยอมมาด้วยนะ
แต่คราวใดที่ผมมองไปรอบๆ ตัว ก็จะเห็นมันอยู่มุมใดมุมหนึ่งเสมอ..
ให้ตายเถอะ..
เวลาเลยเที่ยง ของวันซ้อมใหญ่ผมเดินออกมาจากหอประชุมพร้อมบัณฑิตภาคเช้าคนอื่นๆ
“พ่อ แม่..!”ผมอุทาน เมื่อมาเจอเกรย์ยังจุดนัดพบหน้าลานน้ำพุ
“ไหนว่าจะมาวันจริงไงครับ”
“ก่โจโทรไปว่าวันพู้กคนจะแน่น ก่ฮื้อแม่กับพ่อมาถ่ายฮูปโตยตั๋วในมอวันนี้ แล้ววันพู้กก่จะได้ถ่ายแค่หน้าหอประชุมแล้วปิ๊กบ้าน เพราะตั๋วคงหมดแรงพอดี”
แม่เข้ามาลูบหัวผม
ผมหันไปมองหน้าไอ้ตัวการ แต่ขานั้นก็มองแต่กล้อง มึงกะจะให้กล้องท้องรึไงวะ..?
.
.
22 มกราคม วันรับปริญญา ผมตื่นแต่เช้ามืด ออกจากบ้านพร้อมพ่อและแม่มาที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผมบอกทั้งสองคนให้ไปพักผ่อนหาอะไรทานรอก่อน ใกล้เวลาผมออกมาค่อยไปเจอกันที่เดิม
ผมเดินเข้าไปรอตั้งแถวในหอประชุม
โจกับน้องเกรย์นั่งอยู่ด้วยกันหน้าลานน้ำพุที่เดิม
อารมณ์เหมือนสองคนนี้ตามหลอนมาก
ผมแอบขำและรู้สึกขอบคุณไปพร้อมๆ กัน
ผมนั่งรอในหอประชุมอย่างง่วงๆ แต่พอใกล้ถึงชื่อตัวเองตาก็สว่างทันที..
“ข้าพระพุทธเจ้า…คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ขอพระราชทานพระราชวโรกาสกราบทูลเบิกรายนามผู้สำเร็จการศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์เป็นลำดับดังนี้ ได้แก่..”
เสียงคณบดีก้องสะท้อนไปทั้งหอประชุม
จนกระทั่ง..
ณัฐพล หวงมณีผมถวายบังคม ก้าวเท้า ยื่นมือรับพระราชทานปริญญาบัตร ถอยเท้ากลับและถวายบังคมอีกครั้ง แนบปริญญาบัตรกับอกและเดินลงจากเวที
จนกระทั่งถึงที่นั่ง..
ปริญญาบัตรอยู่ในมือผมแล้ว ผมเปิดออกดู..
ตรารูปช้างชูคบเพลิงพร้อมพุทธศาสนสุภาษิตประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ‘อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา’ ซึ่งแปลว่า ‘บัณฑิตย่อมฝึกตน’ ประทับอยู่บนปริญญาบัตร ซึ่งมีใจความว่า
ตัวผม.. เป็นผู้สำเร็จการศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
มีศักดิ์ สิทธิและเกียรติแห่งปริญญานี้ทุกประการ..
ผมอมยิ้ม..
ถึงแม้ในมือผมจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘กระดาษแผ่นเดียว’
แต่ผมว่าในสมองและหัวใจของผม ..มันไม่น่าจะมีแค่นั้นหรอกครับ
ลูกพระวิษณุคนนี้จะพยายามครองตนให้เป็นคนดีและสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อส่วนรวมต่อไป..
บัณฑิตภาคเช้าทยอยออกจากหอประชุม ปริญญาบัตรแนบอก พู่ที่หมวกเปลี่ยนมาอยู่ด้านขวา
ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย..
ผมเดินยิ้มออกมา สายตามองเห็นพ่อกับแม่ ใบหน้าอวบ ผ่องใสมีน้ำตาคลอ อ้าแขนรับผม
ผมเข้าไปกอด.. มอบปริญญาบัตรให้สมใจ
หลังจากนั้นจึงมองเห็นผู้มาใหม่อีกหนึ่งคน
“ทัศน์!”ผมอุทาน เพื่อนรักคว้าผมไปกอดไว้พลางหัวเราะ
“เพื่อนกู โตเป็นหนุ่มแล้ว ฮ่าๆ”
“สัส”
ผมก่นด่ามัน
เราผละจากกันยิ้มๆ
ไอ้ทัศน์กำยำ หล่อเหลาขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แต่ก็นั่นแหละนะ ไม่มีใครหล่อเท่าไอ้โจ (เฮ๊ย!)
“เอาล่ะครับ บัณฑิตของเราพร้อม ช่างภาพพร้อม ชักภาพครับผมชักภาพ”
น้องเกรย์โฆษกประจำงานเชิญชวนทุกคนอีกครั้ง..
.
.
“พี่หนุ่มครับ ปีนี้เราบูมกันที่ไร่ฟอร์ด ถ้าเสร็จแล้ว ไปกันเถอะครับ”
ไอ้แอร์เอ่ยชวน
ผมมองไปที่ไร่ฟอร์ดฝั่งตรงข้ามหอประชุม ที่เริ่มจะมีฝุ่นตลบ แล้วพยักหน้าบางๆ
เราทั้งกลุ่มเดินข้ามถนนตรงเข้าไป..
ทันทีที่มาถึงผมก็จามแล้วจามอีก
“นุ่ม โอเคก่ลูก”
มารดาลูบหัว ผมยิ้มเหยๆ
ไม่เอาน่า.. จะมาเป็นอะไรตอนนี้วะ?“ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไปหรอก”
ไอ้โจเอ่ยขึ้นหนักๆ
“ได้ยังไงเล่า”
พี่กรีนว่า “หนุ่มต้องไปให้รู่นน้องบูมก่อนนะ”
ผมพยักหน้าให้พี่กรีน แต่เอามือทาบไว้ที่อก รู้สึกหอบมาก
“หนุ่มเป็นภูมิแพ้ครับพี่กรีน เดี๋ยวมันจะจามจนหอบแดกเลย”
ไอ้โจชี้แจง
ผมหันมองทุกคน
“แต่..”
พี่กรีน ผู้เคร่งครัดทำหน้าไม่พอใจ
“พี่กรีน..พวกเรา..มาเถอะครับ”
ไอ้โจมองเพื่อนพี่น้องวิศวฯ
มันขยับมายืนตรงหน้าผม ผายมือทั้งสองข้างออก ไอ้ทัศน์พยักหน้ารับ
โก พี่กรีน ไอ้แอร์ เดินมาประสานมือ ล้อมผมเป็นวงกลม ผมพยายามเอี้ยวมองแต่ละคน
อะไรวะ..?
ทั้งห้าคนมองหน้าผม ส่งรอยยิ้มและก้มหน้าลง..
“มาเถิดมา.. ผองเราวิศวกรรม มาช่วยกันค้ำชูธงเลือดหมูเด่น
ตั้งใจ..ให้เหมือนดังเช่น เราเกิดมาเป็นผู้สร้าง..ทั้งดวงมาลย์
ร่วมรักสมัครสมาน ตั้งปฏิญาณจะสร้างตราบสิ้นวิญญู..เสียงหนักแน่นทั้งห้าดังประสาน แค่ห้าคนแต่มันช่างดังกังวานนัก
มันมาจากความ'รู้จัก'จริงๆ จากความรักและห่วงใยอย่างจริงใจ
ผมกลืนน้ำลาย..
พยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
..วิศวกรต้องรักสามัคคี เลือดหมูเรานี้ทุกคนยังข้นอยู่
พี่น้องปรองดองร่วมหมู่ เราจะเคียงคู่อยู่ร่วม.. ร่วมชีวา
ตราบฟ้า..ดินสลาย..ให้โลกลือชาว่าเอ็นจิเนียร์ มช.’'ผมก้มหน้าลง น้ำตาหยดแหมะๆ ถูกมือคู่ไหนก็ไม่รู้ดึงไปกอด มือคู่ไหนก็ไม่รู้ตบหลังตบไหล่เบาๆ
ผมเงยหน้ามองโจที่ยังส่งยิ้มให้ แม้จะอยู่ห่างมากกว่าคนอื่นๆ
มันไม่ได้เข้ามาละเลงกอดผมอย่างสี่คนที่เหลือ แต่จับกล้องและถ่ายรูปเอาไว้ให้..
ข้อมือขวายังคล้องไว้ด้วยสายข้อมือที่มีอักษรย่อของเราสองคน..
.
.
‘ขอบฟ้าที่เรานั่งมองคราวนั้นยังมีความหมาย..
..ต้นไม้ลำธารยิ่งมองยิ่งคิดถึงเธอมากมาย’เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากภาระกิจรับปริญญา ผมกลับเข้ามาในมออีกครั้ง..
ตั้งใจจะเก็บความทรงจำต่างๆเอาไว้ ก่อนที่จะกลับสู่ชีวิตทำงานปกติ
แมกไม้ที่อ่างแก้วยังคงสวยงาม น้ำขอบอ่างก็ยังเน่าตราบเท่าที่ไม่ได้รับการดูแลมากอย่างที่ควรจะเป็น
ผมทรุดลงนั่งใต้ต้นมะพร้าวที่นั่งอยู่ประจำ..
หลับตา..ซึมซับเรื่องราวดีๆ ตลอดสามสี่วันที่ผ่านมา
มือเรียวค่อยๆ ล้วงสายข้อมือที่ไอ้โจแขวนคืนไว้ให้ที่เรือนปากับโมออกมากำไว้หลวมๆ..
..ผมไม่รู้ว่าเราอยู่ในสถานะอะไร
แต่มันเป็นบุคคลที่มีความหมายสำหรับผมเสมอ..
ในที่สุด..ผมก็ลืมตาขึ้น พร้อมกับพ่นลมหายใจออก
มองสายน้ำอย่างสั่งลาก่อนค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้น
และหันหลังไปเพื่อพบกับ..
ผมรีบเอาสายข้อมือยัดใส่ลงกระเป๋า ภาวนาขอให้คนที่มีของแบบเดียวกันบนข้อมือไม่ได้สังเกตเห็น
“เอ่อ..”
ผมพยายามหาคำพูด
“มึง เอ่อ.. มา เออ มีอะไรรึเปล่า?”
ร่างสูงโปร่งก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้จนผมหวั่นใจต้องถอยหลังหนี
“เฮ้ เดี๋ยวก็ตกน้ำหรอก”
มือแกร่งคว้าเอวผมไว้ก่อนจะได้ลงไปพิสูจน์ว่าตกลงข้างใต้อ่างแก้วมีปราสาทจริงหรือไม่
“เออ..ขอบใจ”
ผมเอ่ยตะกุกตะกัก ขยับหนีไปจนพิงต้นมะพร้าว
โจพยักหน้าเบาๆ เอ่ยเสียงหนักๆ
“กูมีอะไรจะบอก”
ขายาวก้าวเข้ามาประชิดตัว..
หลายวันที่ผ่านมา ผมชินกับการมองเห็นมัน อุ่นใจที่มีมัน แต่ไม่คุ้นกับระยะประชิดเช่นนี้เลย
ใจผมเต้นแรงจนรู้สึกเหมือนจะหอบ
“อะไร..”
ผมถามทั้งที่ก้ม สายตาอยู่แค่ระดับหน้าอกของร่างเบื้องหน้า
โจค่อยๆโน้มใบหน้าลงมา ขยับเข้ามาใกล้ ..จนผมได้ยินเสียงลมหายใจ
ปณิธานที่ยึดมั่นมาตลอดหนึ่งปีพร้อมใจกันกระโดดลงสู่อ่างน้ำสีคล้ำเบื้องล่าง
ผมเผยอปาก หลับตาอย่างยอมจำนน
จมูกเคลียจมูกเบาๆ ก่อนที่ริมฝีปากตรงหน้าจะย้ายมาอยู่ที่ริมหู
“ยินดีด้วย”เสียงเข้มกระซิบบอกเช่นนั้น.. ก่อนจะยัดบางอย่างหนักๆลงในมือผม
หลายอึดใจ กว่าผมจะลืมตาที่รู้สึกหนักกว่าปกติขึ้นได้
ระยะประชิดที่ว่าหายไปแล้ว เรายืนห่างกันเป็นเมตร ในมือผมมีอัลบั้มรูปสีน้ำตาล
ผมค่อยๆ เปิดมันออกดู..
เป็นภาพของผมในสถานที่ต่างๆ กับเพื่อนพ้องน้องพี่และครอบครัว ตลอดช่วงที่มารับปริญญา
ทุกรูปดูดีไม่มีที่ติและเป็นฝีมือคนตรงหน้า.. ยกเว้นรูปสุดท้าย..
“ขอบใจ”
ผมไม่รู้จะเอ่ยอะไรนอกจากคำนี้
.
.
หลังจากอัดรูปครอบครัวติดไว้กลางบ้านอย่างที่แม่ต้องการ
ในห้องนอนผมก็มีรูปขนาด 4x6 ใส่กรอบไม้ไว้อีกหนึ่งอัน
รูปผู้ชายสองคนริมอ่างแก้ว ที่หลังรูปถูกเขียนด้วยลายมือว่า
‘โชคดี’. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
แก้ไขสรรพนามตาม #8379 บอกครับ ผมก็ลืมๆ แล้วเหมือนกัน ขอบคุณที่ช่วยดูช่วยแจ้งนะ
ขอได้รับความขอบคุณจาก เกรียน(มิใช่)น้อย 