INDY in love เกรียนนัก..แต่ก็รักละวะ! 2/4/59 ::Special Idylle:: Final P.289
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: INDY in love เกรียนนัก..แต่ก็รักละวะ! 2/4/59 ::Special Idylle:: Final P.289  (อ่าน 2422144 ครั้ง)

ออฟไลน์ tagloveX-Mark

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 970
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-6
555555+ ยังคงความเกรียนเสมอต้นเสมอปลายเนาะ ขำอ่ะ ทัศน์กำลังจะซึ้ง เกรย์ทำพังซะงั้น เอิ๊ก ๆ
แต่ท่าทางใกล้จะลงเอยด้วยดีละ ^^

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
อยากได้คนหา บ้างแฮ่ๆๆ บางครั้งก็อยากเป็นคนกินบ้างไรบ้าง

ออฟไลน์ Pippin_Fujoshi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ศึก(?)จบแล้วหรือ?

ทั้งซึ้งและเกรียนเช่นเคยนะ
เกรย์จะเกรียนไปไหน??

ส่วนทิวและน้องกร ...ลุ้นกันต่อไป...

ออฟไลน์ dandelion

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ในที่สุดคุนหญิงแม่ก็เข้าใจในความเกรียน
เอ้ย! ไม่ใช่ เข้าใจใจความรักของทัศน์และเกรย์
การเป็นมนุษย์ การเข้าใจมนุษย์ การมีความรัก การเข้าใจความรัก
มันลึกซึ้งแต่ก็ไม่ยากเกินเข้าใจ
ตั้งแต่อ่านนิยายเรื่องนี้มา ได้มุมมอใหม่ ของความรัก ของการใช้ชีวิตเยอะเลย
รู้งี้เลือกเรียนคณะมนุษย์ดีกว่า เผื่อจะได้เกรียน 5555

ออฟไลน์ KURATA

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1

Zymphoniz

  • บุคคลทั่วไป
ยังคงซึ้งเหมือนเดิม

ปล. อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้ใกล้จะจบอีกแล้ว
แล้วน้องกรกับพี่ทิวล่ะเฮ้ย  :z3:

ออฟไลน์ jitsupa apple

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
เกรียนจริงๆ
 :laugh: :laugh: :laugh:

annachang

  • บุคคลทั่วไป
เกรียนหญิงแม่บทน้อยอ่ะ! นึกว่าจะได้เข้าไปตั๊นหน้า เอ๊ย เฉือนความเชิดของว่าที่แม่ยาของยลูกซะหน่อย

แต่เกรย์...เกรียนเหมือนเดิม  :laugh:

ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22
INDY in love..II เกรียนนัก..แต่ก็รักเหมือนเดิม!

..คู่โจ-หนุ่มนี้ เกรียนคนเขียนแต่งเสร็จเรียบร้อยเบ็ดเสร็จ 13 ตอนนะครับ
ขออนุญาตเอามาแปะไว้ด้วยกัน เพราะกลัวมันเหงา ฮ่าๆ
ลิ้งค์เดิมอยู่ที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php
ขอบคุณคนอ่านทุกคน ขอบคุณเกรียน -คราส- ทำสารบัญทั้งหมดของเรื่องนี้ให้ครับ



:: Behind the scene ::


ณ อ่างเน่า เอ๊ย อ่างแก้ว :: นั่งดูหนังและฟังเพลงตะล๊อกต๊อกแต๊ะ เวิ่นเว้ออย่างแรง

ณ รถมอเตอร์ไซค์ :: เล่นคอมจนเบื่อ จึงซิ่งกลับหอ

ณ ฝายหิน :: ปี้เจ้า เอาเสื้อที่แก้ทรงกับกางเกงเปลี่ยนซิบเจ้า

ณ หอ :: อ๊าก ร้อนๆๆ ถอดเสื้อ อาบน้ำ ไปประชุม

ณ หน้ากระจก+เห็นว่ารอบคอกูว่างเปล่า :: ชิบหาย สร้อยพระกูอยู่ไหน!!??

ณ รถมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง :: อยู่ไหนลูกแม่ ฮือๆๆ พระกู แม่ให้มา แม่ม ฮือๆ หลุดไปตอนไหนวะ

ณ บนถนน :: โอย ไม่มีเลย มันหล่นตรงไหนเนี่ย

ณ ฝายหินอีกครั้ง  :: ปี้เจ้า หันสร้อยพระหล่นอยู่แถวนี้ก่อเจ้า
                      :: บ่หันเลยลูก สร้อยทองก่อ
                      :: บ๊ะใจ๊ค่ะ แต่พระเหลี้ยมทอง -*-
                      :: โอ..เปิ่นคงเก็บเอาไปแล้วก๊า

ณ บนถนนอีกครั้ง :: โอย ขอให้เจอทีเถอะ ถ้าเจออัพนิยายภาคสองเลยแม่ง ฮือๆ อ๊ากกก//ลงไปดิ้น  :z10: :z10:

ณ บนถนนอยู่นั่นแหละ :: แม่งเอ๊ย อยู่ที่ไหนวะ ..หรือว่า??

..
….
ณ อ่างแก้ว
สร้อยกูหล่นอยู่นั่น..
ตะกี้บอกว่าหาเจอจะอัพนิยายภาคสอง
แม่ง.. ชิบหายแล้วไง เอาที่ไหนไปอัพเนี่ย -*-

ณ หอ..อีกครั้ง :: แต่งนิยาย..  :serius2: :serius2:

. . . . . .


ให้เสียงภาษาเกรียนโดย อินดี้-โพเอ็ท T_T''

:: INTRO ::


เขาว่ากันว่า..ความรักทำให้คนเป็นตากุ้งยิง ตาบอด เว้ย!

แหม่..ขอโทษทีครับ ผมเข้าใจผิดไปนิดนึง  o22

.

.

“ไอ้เหี้ยนั่น.. แม่ง เมื่อก่อนเหี้ยยังไง ตอนนี้ก็ยังคงเหี้ยอยู่อย่างนั้น”

เสียงบ่นลอยมาตามสายลม
ผมยังคงนั่งจิบโกโก้เย็นต่อไป ณ จุดนี้ เริ่มคุ้นกับเสียงบ่นแบบนี้แล้วครับ


“แม่ง ถ้ามันจะเหี้ยขนาดนี้นะ..-”

“โอย ไอ้เกรย์ พอเถอะ..”
อีกเสียงหนึ่งขัดขึ้นมา
“ถ้ามึงกับพี่ทัศน์จะทะเลาะกันวันเว้นวันอย่างนี้นะ เลิกกันไปซะไม่ง่ายกว่าเหรอวะ?”

เออ..ไอ้แอร์ รุ่นน้องผม พูดมีเหตุผลนะ
ไอ้น้องเกรย์ รุ่นน้องต่างคณะฯและพ่วงตำแหน่งเมียของเพื่อนเงียบไปทันทีอย่างเถียงต่อไม่ออก

สายตาผมละจากแก้วโกโก้ไปมองหน้าน้องเกรย์ที่เม้มปากอย่างจนด้วยคำพูด แล้วผมก็ยิ้มบางๆ
“ที่ฉันยอมทุกสิ่ง เรื่องจริงไม่เคยยอมใคร ก็เพราะรักเธอทั้งหัวใจ อะไรก็ยอมเธอ.. ฮ่าๆ”

“โห พี่หนุ่ม พอเลย ไม่ต้องเสก โลโซมาเลย แง่ง เพื่อนพี่อ่ะโคตรเหี้ย!”
น้องเกรย์เปลี่ยนเป้าหมายจากรูมเมทมาแว๊ดใส่ผมแทน แล้วเก็บข้าวเก็บของลุกจากเก้าอี้ในร้านกาแฟที่เรานั่งอยู่ด้วยกัน หันไปชูนิ้วกลางใส่ไอ้แอร์แล้ว ก้าวฉับๆไป


“ถ้าไอ้ทัศน์มันเหี้ยนัก แล้วเกรย์รักมันทำไมเล่า?”
ผมตะโกนถามตามหลัง
แล้วไอ้แอร์ก็หัวเราะ
“ฮ่าๆ ถามได้ดีพี่ มาๆ แปะมือที ผมล่ะรำคาญเวลามันบ่นพี่ทัศน์เหี้ยอย่างโน้นเหี้ยอย่างนี้ มึงก็รักพี่เขามั๊ย สุดท้ายอ่ะ”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย แล้วหัวเราะลงลูกคอกับไอ้แอร์ พลางยกแก้วโกโก้ขึ้นมาซด

.

.

เฮ๊ย..นั่น!

“แค่กๆ”
แม่ง โกโก้ติดคอ!

ผมสำลักทันที จนไอ้รุ่นน้องกุลีกุจอเอาทิชชูมายื่นให้
ผมละสายตาจากหน้าร้านกาแฟอย่างยากเย็น คว้าทิชชูมาเช็ดและปิดปากไว้กันสำลักออกมาอีก

.

.

“อ้าว หวัดดีครับ”
ไอ้แอร์หันไปหน้าร้านพอดี และยกมือไหว้ “เป็นไงพี่โจ..”


..เสือกเห็นมันอีกนะไอ้แอร์ สายตาหาเรื่องจริงๆ


ผมไม่สนใจรุ่นน้องกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
แต่ก้มลงไป ตั้งหน้า ตั้งตาและตั้งใจกับการสำรวจขาโต๊ะเป็นพิเศษอย่างที่ไม่เคยทำกับโต๊ะตัวไหนมาก่อน


“อ้าวไง ทำอะไรกัน”
เสียงของผู้มาใหม่ถามขึ้น


“..ซ่อมเสาอาคารมั้ง นั่งแดกน้ำอยู่เนี่ย ก็เห็นอยู่ ถามโง่ๆ”
ผมพึมพำโดยไม่เงยมอง


“เกรียน! กูถามแอร์”
เสียงห้วนๆตอบกลับมา

….
…….
ผมจึงหุบปากและสำรวจขาโต๊ะต่อไปจนจะเป็นพันธมิตรกับมดปลวกที่ไต่อยู่ตามพื้นแล้ว


“ดื่มน้ำก่อนสิพี่ แก้วของผมก็ได้”
ไอ้แอร์ชวน

….
…….

“พี่โจแก่งแฮะ”
.
.
หือ..?
แค่คนคนนึงหยิบน้ำขึ้นไปแดกเองได้เนี่ยนะเก่ง?


“เก่งอะไร”
ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำเอื๊อกและเสียงถามที่งงๆเหมือนกันของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่


“ก็ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าของผมแก้วไหน แต่โกโก้กับกาแฟที่วางอยู่ติดกัน พี่หยิบกาแฟโดยไม่ลังเลเลย”

..
….

“ก็นั่งกันอยู่สองคน น้ำสองแก้ว แก้วหนึ่งเป็นกาแฟ แก้วหนึ่งเป็นโกโก้ กาแฟต้องของแอร์อยู่แล้ว”
มันพูดเหมือนแล็คเชอร์แคลคูลัส “..เพราะไอ้หนุ่มกินแต่โกโก้ ไม่เคยกินกาแฟ”


พรวด..!!
ผมสำลักอากาศ

.

.

“โห สมเป็นคู่แท้ เอ๊ย เพื่อนแท้กันมากพี่ รู้ใจจัง”
ไอ้แอร์ตบมือเปาะแปะ


..หน้าผมยังมุดอยู่กับขาโต๊ะ แต่มือควานเก็บหนังสือเพื่อย้ายตูดไปจากตรงนี้โดยเร็ว
เพื่อนแท้หรือศัตรูแท้วะไอ้แอร์ ถ้ามึงรู้เรื่องของพวกกูจริงๆ มึงคงต้องเปลี่ยนคำว่ะ


“เห๊อะ”
นั่นไง กูคิดไม่ทันขาดคำ ไอ้เพื่อนเก่านามว่าโจก็แค่นเสียงสูง
“จะไม่รู้ได้ยังไง จะแดกทีไรก็ลำบากคนอื่นไปซื้อให้ทุกทีแหละ”


โห..แม่ง พูดงี้ก็สวยดิ!

“ไอ้เหี้ย!”
ผมเงยหน้าขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ลืมบรรดาพันธมิตรมดปลวกเบื้องล่างเสียสิ้น

“ถ้าคิดว่ามันเป็นพฤติกรรมที่น่ารำคาญ ก็ไม่ต้องทำให้ตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ใช่มาบ่นเอาตอนนี้”
ผมตัวสั่นด้วยความโกรธ ลุกขึ้นยืนมองหน้า “คนอื่น” ที่เคยรับหน้าที่ไปซื้อโกโก้ให้อย่างขุ่นเคือง

..มันยักไหล่ แบบขี้เกียจจะพูดและไม่ไหวจะเคลียร์ มองผมเหยียดๆแล้วเดินจากไป
“ไว้เจอกัน แอร์”


“เอ่อ.. ครับพี่ หวัดดีครับ”
ไอ้แอร์ยกมือไหว้ลาอย่างงงๆ มองผมที มองแผ่นหลังคนที่เพิ่งเดินจากไปที



..แผ่นหลังเดิมที่คุ้นเคยเดินห่างออกไปอีกครั้ง..อีกครั้ง..และ
..อีกครั้ง
เหมือนที่เคยห่าง..มาตลอด..

“เหี้ย..”
ผมกัดปากด่า

แล้ว..คำถามเดิมที่ถามน้องเกรย์ก็เวียนกลับมาบรรจบกับใจตัวเอง
..ถ้ามันเหี้ยนัก..แล้วจะรักมันทำไม..?

. . . .



ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22
Chapter 1 : ตัดใจ [อื้อหือ..นี่ชื่อตอนแรกมึงเหรอ ให้กำลังใจคนอ่านเหลื๊อเกิน ถุย!]


เสียงกีต้าร์บรรเลงลอดลำโพงมาเบาๆ..จากแล๊ปท็อปเครื่องเก่าที่ผมเปิดค้างไว้ตั้งแต่เช้าเพราะต้องรีบปั่นงานให้เสร็จ
ช่วงนี้งานเยอะบรรลัย จนอยากจะลาออกแม่งแล้วออกไปทำงานเลยโดยไร้ใบปริญญา

ผมพักสายตามานั่งมองต้นโมกที่ใบเริ่มเหี่ยวแห้งลงช้าๆเนื่องจากไม่โดนแดด
ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเอาออกไปวางรับลมข้างนอก โมกน้อยก็ไม่ฟื้น
ผมจึงได้แต่ค่อยๆมองมันตาย.. ไอ้ผมล่ะไม่เคยเลี้ยงต้นไม้รอดเลยซักต้น พับผ่าสิ
วันหลังให้ต้นไม้ที่ชอบอยู่ที่ร้านนั่นแหละดูท่าจะดีกับมันที่สุดแล้ว



เสียงเสียบกุญแจบิดลูกบิดประตูโดยไร้การเคาะ..

ผมเลิกคิ้ว มองใบโมกที่เหี่ยวแห้งแล้วหันหลังกลับไปมองที่ประตูห้อง


แหงล่ะ.. นอกจากผมก็มีแค่คนคนเดียวที่มีกุญแจห้องนี้


“มารยาทน่ะมึงมีมั๊ย ถ้ากูแก้ผ้าอยู่จะทำไง”
ผมฉะทันทีอย่างหัวเสีย


ไอ้เปรตนั่นยักไหล่
“จะเป็นอะไร ก็เคยเห็นมาหมดแล้ว”



..อึ้งเลยกู อึ้งแดกเท่านั้น
ไอ้เหี้ยเอ๊ย!


“มึงควรจะคืนกุญแจกูมาได้แล้วนะ”
ได้ข่าวมึงเก็บข้าวเก็บของออกไปหมดแล้ว


“พอดีกุญแจดอกนี้กูปั๊มเองว่ะ”


ไอ้หน้าด้าน แม่ม..
“เออ งั้นกูซื้อต่อ”


“ไม่เป็นไร เผื่อมึงตายห่าในห้อง จะได้มีกุญแจสำรอง”


“แช่งกูจังนะ มึงนั่นแหละออกไปก่อนที่กูจะเอามีดเสียบ”
ผมเหล่ไปตรงส่วนที่ใช้ทำกับข้าว และมีมีดเล่มเล็กๆวางอยู่ตรงนั้น


“หึหึ”
ไอ้โจกลั้นหัวเราะ
“ก็เอาสิ ถ้ามึงคิดว่ามึงฉวยมีดได้เร็วกว่ากูล็อกแขนมึง”


แม่ม! เออ! มึงเก่ง มึงไวกว่ากู

งานยิ่งเยอะๆกูยิ่งเครียดๆ จะจบแหล่ไม่จบแหล่ ไม่ให้กำลังใจแล้วยังเสือกกวนตีนอีก อยากประเคนตีนให้มันจริงๆ
“ไอ้เหี้ย มึงมาทำไมเนี่ย”


“หือ? คิดว่ากูมาเพราะคิดถึงมึงงั้นเหรอ”


“กูได้พูดคำว่า คิดถึง ซักคำรึยัง?”
ผมมองมันตาขุ่นๆอย่างทนไม่ไหว
ไอ้เชี้ยโจแค่นหัวเราะ แล้ววางหนังสือสามเล่มลงบนเตียง
“เอาไป”


หือ.. นั่นมันหนังสือที่ไอ้ทัศน์ยืมไปนี่หว่า ผมโทรไปว๊ากมันเมื่อกี้เองว่าตรูต้องใช้วันนี้นะเฟร้ย!

“อะไร จู่ๆมึงก็เป็นคนดีขึ้นมา อุตส่าห์เอาหนังสือมาให้กูแทนไอ้ทัศน์?”

แหม..ก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอกนะครับ แต่หางก็อดกระดิกดิ๊กๆขึ้นมานิดนึงไม่ได้อ่ะ
คิดถึงกูเหรอ..


“ก็ถ้าไอ้ทัศน์มันไม่แทบจะกราบตีนกูเพราะต้องรีบไปง้อเมียที่คณะมนุษยฯละก็นะ”


 :z6:เฮ้อ.. กูก็ว่าอยู่


“อือ ขอบใจ”
ผมบอกเนือยๆ ไม่ได้แปลกใจกับเหตุผล เพราะก็รู้ดีอยู่แล้ว
หางที่เตรียมกระดิกเมื่อกี้กลับไปจุกตูดดังเดิมโดยอัตโนมัติ


ไอ้โจพยักหน้าน้อยๆ แล้วหันหลังกลับไป เปิดประตูและปิดลง

ไอ้เหี้ย แล้วกุญแจก็ไม่คืนกู เฮ่อ!

แต่ก็อย่างที่มันว่าแหละ..
ผมจะทำอะไรมันก็รู้ก็เห็นมาหมดแล้ว ผมจะอายอะไร
แม่ม.. ชีวิต -*-


Carry on my wayward son
There’ll be peace when you’re done
Lay your weary head to rest
Don’t you cry no more



ผมเบนสายตาไปหาโทรศัพท์ว่ามันอยู่ส่วนไหนของโลก เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้า

“ครับ ว่าจะใด”
ผมกดรับ และกรอกเสียงลงไป

“เฮ้ยหนุ่ม วันฮือวรรณศิลป์จะไปเที่ยวเฮือนล้านนาไทยสมัยก่อน มาเป็นสต๊าฟฮื้อกำเลาะ”

“สูเขาไปกันเต๊อะ บัดโดยนี้ฮายังบ่ว่างเตื้อ”
ผมปฏิเสธ
ไม่ได้กระตือรือร้นจะไปซักเท่าไหร่ เพราะห่างมาค่อนข้างนาน

“มาซักกำ กนเฮาบ่ค๊บ เกรงใจ๋อาจ๋ารย์เปิ้น บอกเปิ้นว่าจะไป๋ซาวคน ตอนนี้ขาดแหมสิบ”

“โค๊ะ”
ผมอุทาน
อย่างนี้แหละชมรมอินดี้ วันไหนมีอารมณ์มันก็มา วันไหนติสท์แตกมันก็ไม่มา

“เออๆ ก่ได๊ แล้วป๊ะกั๋น”

“เดี๋ยวหนุ่ม จวนมาแหมกน”
ไอ้เบสบอก

“ใค๋”
ผมเสียงสูง

“จวนไอ้โจมาโตย น้องปี๋นึ่งใค่ปรึกษาเขียนเฮื่องสั้น”


แล้วผมก็ต้องอุทานอีกรอบ “โค๊ะ!!”

ให้กูเนี่ยนะไปชวน! It doesn’t เปิง เว้ย!!

. . . . . . . . . . . . . . . .


“เอาล่ะ สต๊าฟวรรณศิลป์ทุกท่าน ขึ้นรถครับขึ้นรถ”
ไอ้เบสกวาดต้อนพลพรรคเราจำนวนน้อยนิดขึ้นรถโดยสารสี่ล้อแดงที่เหมามาเพื่อเดินทางไปศึกษาวัฒนธรรมล้านนาที่บ้านอาจารย์และนักเขียนผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่ง
.
.
“เอา จะยืนหาห่าอะไรไอ้หนุ่ม ขึ้นไปสิ”
ไอ้เบสเลิกคิ้วมองผม ผมจึนพ่นลมหายใจและสะบัดตูดขึ้นรถไป


“ไอ้นี่ก็อีกคน”
ไอ้เบสพูดอีก “ยืนหาพระแสงอะไร ขึ้นไป ไอ้โจ!”

.

.

ครับ ไอ้โจ..
 
มันมาจนได้ ด้วยเหตุผลว่าน้องปีหนึ่งคนที่จะถามเกี่ยวกับการเขียนเรื่องสั้นอาจเป็นเฟรชชี่สาวสวย

แม่ม..
ผมนั่งหน้าบูดเป็นตูดนกฟลามิงโก้อยู่ในรถแดง
ไอ้โจก็ยังคงทำหน้าหล่อกระชากใจสาวๆเช่นเคย
กูอยากถีบมันให้หล่นตูดขวิดลงไปจากรถแดงจัง -*-


ใช้เวลาซัก 20 นาที (รึเปล่าวะ) เราก็มาถึงบ้านของอาจารย์
เราทยอยย้ายตูดลงมาจากรถ
คณะของเราเป็นคณะน้อยๆที่มีคนแค่ประมาณ 10 คน แต่เราก็บอกให้ใจชื้นกันว่า ไม่เป็นไร มันอบอุ่นดี
เราเริ่มต้นโดยการดูผ้าซิ่นพื้นเมืองล้านนาที่ภรรยาของอาจารย์เป็นนักเก็บตัวยง

น้องๆพี่ๆก็ซักถามกันไป อาจารย์ก็บรรยายไป

“อันนี้ยะอย่างใดเจ้า? เปิ้นฮ้องอย่างใดเจ้า?”
น้องๆที่เข้าใหม่สนใจซักถาม

ไอ้ผมก็นั่งจับๆผ้าเล่น ไม่ถูกกับซิ่นครับ -*- แต่ถามว่าสวยไหม มันไม่ใช่แค่สวย
แต่มันบ่งบอก..ตัวตน บ่งบอก..ผู้ผลิต บ่งบอก..ผู้สวมใส่
มันจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมการแต่งกายจึงเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เพราะมันอยู่ในวิถีชีวิตสืบมาเนิ่นนานแล้ว


“เปิ้นแยกอย่างใดเจ้า ว่าผืนไหนเป๋นกนเมือง ผืนไหนเป๋นไตลื้อ เป๋นขึน?”
ไอ้เบสถาม


“กือกนเมืองเหนือเฮานี่นะเจ้า จะอยู่ในขนบธรรมเนียมเดิม ผ้าที่ทำมันก่จะเป๋นโครงสร้างของมันมาแต่โบราณกาล โครงสร้างเหมือนกันหม๊ดฮั่นละ แต่ว่า มันแล้วแต่ใค๋จะแต่งเติมสีสันแบบใด หรือใส่ลายอย่างใดให้มันบ่งบอกอัตลักษณ์ มันก็เหมือนเฮาทำแก๋งโฮะ มันต้องใส่หน่อไม้กับบะเขือ ถ้าบ่มีมันก็บ่เป๋นแก๋งโฮะ รสชาติมันก็ต่างไปแต่ละที่ ใส่อย่างอื่นเพิ่มลงไปแล้วแต่พื้นถิ่น แต่มันจะมี form บางอย่างตี้เหมือนกั๋น”
หญิงแม่แจ่ม ถิ่นเลื่องชื่อเรื่องการทอผ้าซิ่นอธิบายให้เราฟัง
ผมพยักหน้ารับ มองดูผ้าซิ่น พลางคิดว่าคนทอต้องใช้เวลานานแค่ไหนนะกว่าจะเสร็จแต่ละผืน..

. . . . . . . . . . . . . . . . . .

เราออกจากเรือนที่ดูผ้าซิ่น ออกมาดื่มน้ำดื่มท่า แล้วจึงเสวนาประสาหนังสือกับอาจารย์ใต้ร่มไม้
อาจารย์เล่าถึงเรื่องราวหนังสือและบทกวีที่เคยได้อ่านมาทั้งไทยและเทศ เรานั่งฟังบ้าง จดบ้าง ผ่านหูบ้าง ก็ว่ากันไป
แต่ชอบหนังสือทำมือ ที่อาจารย์เขียนเอง ร้อยเชือกเอง เป็นอย่างมาก ผมแอบปลื้ม ฮ่าๆ
แล้วอาจารย์จึงถามว่าเราเขียนงานอะไรกันบ้าง และพอมาถึงผม อาจารย์ก็นึกอยู่แป๊ปหนึ่ง แล้วจำได้
“บทกวี”

.

.
ผมพยักหน้ารับ โดยไม่พูดอะไร
ไม่อยากจะบอกว่าหยุดเขียนมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว.. -*-


“เอาล่ะ เดี๋ยวเราไปดูเรือนล้านนากันดีกว่า”
อาจารย์บอก และผมก็ยิ้ม
นี่ล่ะเป็นช่วงที่ผมรอคอย อยากเห็นหน้าเห็นตาเรือนล้านนาแต่เดิมว่าเป็นอย่างไร ตกแต่งอย่างไร มีเครื่องใช้ไม้สอยอะไรบ้าง

เราเดินผ่านประตูเข้าไป ..แล้วก็เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง
สองข้างรายล้อมไปด้วยเรือนไทยสมัยเก่าที่ใช้ไม้เก่าสร้าง
ผมอ้าปากค้าง เพราะยังไม่เคยเหยียบเรือนไทยเลยซักครั้งในชีวิต


“ขึ้นมาสิ”
อาจารย์เรียก แล้วผมก็พยักหน้า และค่อยๆย่างเท้าขึ้นเรือน
สายตามองสำรวจโน่นนี่ไปเรื่อยๆอย่างสนใจ ลืมคิดถึงแม้แต่ไอ้โจยอดดวงใจ(ถุย)ไปชั่วขณะ


“มานี่ๆ กวีน้อย”
อาจารย์กวักมือเรียก ผมจึงเดินตาม
“แต่ก่อนเนี่ยหนา เปิ้นอยู่ฮวมกั๋นเป๋นครอบครัวใหญ่ อิป้ออิแม่อาจจะนอนห้องนี้ พอลูกมีครอบครัวก็แยกมาอยู่แหมห้องนึ่ง ถ้าว่างๆ อยากจะมานั่งแต่งบทกวีตรงนี้ก่ได๊”

แหม..อาจารย์ใจดีจังครับ แต่ได้ข่าวเป็นห้องสำหรับนอนสองคน ใครจะมานอนกะกรู -*-
ผมเหล่มองไอ้โจ ซึ่งก็อ่านจากสายตามันได้ว่า กูไม่นอนกับมึง
โอเค  กูหันไปทางอื่น แม่ม.. เชี้ย เชี้ย เชี้ย


ผมเดินเล่นดูห้องหับ เข้าเรือนโน้นออกเรือนนี้ไปเรื่อยๆ จนมาจบลงที่ระเบียงนั่งเล่นใต้ต้นขนุน..

บรรยากาศเป็นใจ..
สายลมพัดใบไม้ไหวแผ่วเบา..
ต้นขนุนให้ร่มเงา..
..ผมจึงหยิบกระดาษปากกามาเล่าเรื่องราว


ผมเขียนขยุกขยิกอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ก่อนจะวางปากกาลง

.

.
“ไหน เขียนอะไร เอามาดูบ้าง”
อาจารย์ถามยิ้มๆ แต่ผมทำหน้าเอ๋อเหรอ ขณะอาจารย์ยื่นมือมาคลี่กระดาษออกอ่านแล้วขมวดคิ้ว
อาจารย์นิ่งไปครู่หนึ่ง มองผมอย่างพินิจพิจารณา แล้วกล่าวแก่ผมว่า
“อืม.. แต่อย่างน้อยเค้าก็ว่ากันว่าแพ้เป็นพระชนะเป็นมารไม่ใช่เหรอ?”


ผมแค่นหัวเราะ.. แล้วบอกก่อนเดินหนีไปจากอาจารย์..
“จะแพ้หรือชนะ..ผมก็เป็นมารครับอาจารย์”

. . . . . . . . . . . . .

ซักพักหนึ่งเสียงสาวเท้าตามมาเร็วๆและตามด้วยมือที่ยึดไหล่ก็หยุดผมไว้
ผมหันกลับไปมองอย่างตกใจ ไอ้กูก็นึกว่าผีบ้านผีเรือน -*-

“อะไรของมึง?”
ผมถามอย่างไม่สบอารมณ์

ไอ้โจมองผมอย่างโคตรเหยียดหยาม
“ทีหลังอย่าแต่งกลอนแบบนี้นะ”

ผมถอนใจ ถลึงตามองมัน
“แล้วกูไปนั่งแต่งบนหัวมึงรึไง?”

มันถลึงตามองผมตอบ
“เปล่า แต่อ่านแล้วมันจะอ้วก”

“แล้วพ่องมึงบังคับให้มึงอ่านเหรอ”
ผมโต้กลับ แล้วผลก็คือโดนมันกระชากแขนอย่างแรง
“ไม่ต้องมาพาดพิงถึงกู”


หึ! ไอ้เหี้ยเอ้ย กูอยากร้องไห้

“อะไรๆก็กู เชี้ย กูไปพาดพิงถึงมึงตอนไหน มึงเข้าข้างตัวเองมากเกินไปรึเปล่า”
ผมเม้มปากแน่นแล้วสะบัดมือออก
“จะบอกอะไรให้นะ มึงมันไม่ได้น่าตื่นเต้นเร้าใจให้กูจดจำไปนานเท่าไหร่นักหรอก อย่าหลงตัวเองให้มากแล้วคิดว่ากูจะรักมึงมากขนาดนั้น เพราะถ้ามีคนอื่นเข้ามา..กูก็พร้อมจะพลีร่างให้เค้าอยู่แล้ว!”

แล้วผมก็หันหน้าหนีเดินจากไป แต่เหมือนมันจะไม่ยอมให้จบด้วยคำพูดผม เพราะจะดูเหมือนผมชนะ
มันยึดไหล่ไว้อีกครั้งแล้วยัดกระดาษยับๆใส่มือผม พร้อมบอกสั้นๆ
“หึ ก็มึงมันง่าย”
.
.
ผมปรับสีหน้าที่ชาไปชั่วขณะให้กลับมากวนตีนได้ในทันที และยิ้มบางๆ “แน่นอน”

ผมชินกับคำด่า..
ต่อไปนี้ ถ้ามันแรงมา ผมจะแรงตอบ
ด่ามา ผมก็จะด่าตอบ
ในเมื่อผมมั่นใจว่า ณ จุดนี้ กูไม่ได้ทำอะไรให้หนักหัวมึง ผมก็จะไม่ยอมไอ้เหี้ยไหนอีกต่อไป
ผมไม่มีอะไรเหลือให้มันทำร้ายได้อีกแล้ว ไม่มีคำไหนของมันที่จะมาทำร้ายผมได้อีก..ไม่มี!

.

.

ผมกลับไปนั่งใต้ต้นขนุนอีกครั้ง คลี่กระดาษใบเก่าออกอ่านก่อนจะโยนมันทิ้งไป..

ถ้าจะตัด..จงตัด..ตัดให้ขาด
ถ้าไม่อาจ..เอื้อมถึง..ซึ่งจุดหมาย
ถ้าเหนื่อยล้า..ท้อแท้..แพ้ใจกาย
ก็จากไป..ลาไกล..ไม่ดีฤา
ถ้าพลาดพลั้ง..พลั้งพลาด..ขลาดเงาฝน
ถ้าหมดความ..อดทน..ที่ยึดถือ
ถ้าใจร้าว..ราญแตก..แหลกคามือ
ก็ให้นับ..ว่าเธอคือ..ผู้แพ้ไป


. . . . . . . . . . . . . . . .

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22
Chapter 2 : ชดใช้..

“อืม..มาตรา 6 มาตรา 48 ความแตกต่างเกี่ยวกับตัวแทนผู้ทำสัญญา รัฐสามารถอ้างการขัดกันของกฎหมายได้หรือไม่”
ผมพึมพำขณะรัวคีบอร์ดทำการบ้านวิชากฎหมาย
(ได้ข่าวมันเรียนวิศวะไม่ใช่เหรอวะ --ช่างเถอะ บอกแล้วว่าหมดมุข คนเขียนมันรู้เรื่องภาษา C ที่ไหนวะ)

Carry on my wayward son ..There’ll be peace when you’re done..

.
.
“ครับ ว่าจะใด?”
ผมควานหาโทรศัพท์ หยิบมากดรับโดยไม่มองเบอร์โทร เพราะสายตามองแต่ตัวบทเทอมเปเปอร์ที่พิมพ์ค้างอยู่


“ไม่ต้องดัดจริตพูดครับกับกูหรอก”

.

.
ผมเกือบเขวี้ยงหนังสือกฎหมายลงไปกองกับพื้นขณะภาวนาให้ตัวเองได้เป็นผู้พิพากษาแล้วตัดสินประหารไอ้โจซักวัน


“มีเหี้ย’ไร มึงพูดมาเลย ไม่ต้องอารัมภบท”
ผมหงุดหงิดเต็มที่
ถ้ามันไม่มีเหตุผลเพียงพอในการโทรมาครั้งนี้ ผมจะด่าให้จากผู้ชายกลายเป็นเกย์เลย


“อย่างกะกูอยากโทรหามึงนักนะ”


“อีกห้านาทีกูต้องไปทำงานที่ร้าน ถ้ามึงไม่พูดตอนนี้ก็หุบปากแล้ววางซะ”
ผมบอกเมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่ใกล้เวลาห้าโมงเย็น


“กูตั้งใจจะสร้างสัมพันธ์ระยะยาวกับเมเม่”
มันบอก


“ให้กูเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เหรอ?”
ผมกวนตีนออกไป
จะมาบอกกูทำไม มึงจะคบใครแล้วเกี่ยวอะไรกับกูวะ


“ถุย กูไม่ให้มึงเหยียบเข้าไปในงานแต่งงานกูหรอก กลัวงานล่มว่ะ”

ไอ้เหี้ยนี่ต่อปากต่อคำ -*-


“พูดเหมือนกูอยากไป ส่งเค้กในงานมาให้ซักชิ้นก็พอ กูชอบแดก”


//เกรียน กรูว่าออกทะเลละ -*-
.
.
โอเค กลับมาๆ


“กูอยากแน่ใจว่ามึงจะไม่ทำสัมพันธภาพครั้งนี้ของกูพัง”

-*-
โห..ใช้คำหรูนะมึง กูจะไปทำพังได้ไงวะ

“แล้วจะให้กูทำยังไง จุดธูปสาบานมะ?”

“กวนตีน”

เอ้า! ด่ากูอีก!

“กูอยากให้มึงเอาสายข้อมือนั่นมาให้กู”

…โน
ม่ายยยยย
เรื่องอะไร! ก็มันของผมอะ

“เงียบนี่แปลว่าอะไร?”
มันถามเสียงสูง
ผมแทบจะจินตนาการหน้าตาที่เริ่มโกรธและไม่พอใจแบบเดิมๆได้ คงประมาณอาโนลด์ ชวาสแน็คเกอร์ตอนปวดขี้

“ไอ้หนุ่ม เป็นใบ้หรอหูหนวก?”
มันจัดการแช่งผมให้พิการด้านใดด้านหนึ่ง
อยากตอบไป เปล่าทั้งสองอย่าง กูพิการทางใจ -*- [เชิญอ้วก ก๊ากๆ กระโถนหาเอง] 
อยากต่อปากต่อคำเหมือนกันครับ แต่ก็ได้แต่ตัดบทไป
“ไม่ให้ ของกู”

“ไม่ได้ ต้องเอามาให้กู เพื่อเป็นการยืนยันว่ามึงจะทิ้ง จะตัด จะไม่ยุ่งกับกูและเมเม่”

โค๊ะ!! ขออุทานอีกซักรอบ
กูเคยไปอะไรกับเมเม่มั๊ยเนี่ย โฮก

“กูทิ้งแล้ว”
ผมโกหก ล้วงกระเป๋าไปกำกระเป๋าสตางค์แน่นกว่าที่จำเป็น

“โกหก”

แม่ง.. เสือกรู้อีก -*-

“รู้ได้ไงว่ากูไม่ได้ทิ้ง”

“สันดานมึง ทำไมกูจะไม่รู้”

โอเค จบประเด็น ==!
“มาเอาที่หลังมอละกัน หน้าประตูศึกษาที่เปิดอยู่น่ะ”
ผมตัดสินใจบอกไปในที่สุด

ยากครับ..บอกได้เลยว่ายาก
แต่.. Die Liebe ist die Entsagung. [ไม่มีซับ เพราะกรูเกรียน ฮ่าๆ]
เพราะฉะนั้น คงไม่มีอะไรดีกว่านี้

ยอมปล่อย..ให้ไปซะ
ยอมสละ..ซึ่งสิ่งหวง
ยอมตาม..ไม่ถามทวง
ยอมทิ้งดวง..หฤทัย
[-*- กรูแต่งเอง กรูยังอารมณ์แบบ  :a5:]


ผมยืนเต๊ะท่ารออยู่ที่ริมรั้วสีม่วงของมช. ไม่นานนักร่างสูง หล่อ เท่ห์ มีสไตล์ ไม่ใช่ละ -*-
เออ ก็ไอ้โจนั่นแหละครับ มันขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดเทียบ และลงจากรถมา สีหน้าเฉยชาน่าถีบที่สุดในสามโลก

มันเดินเข้ามา ไม่พูดไม่จา ยื่นมือ แบออก
ผมจะทำยังไงได้ล่ะ ก็ล้วง J&N แสนรักออกมาวางแหมะบนมือมัน..

ยอมปล่อย..ให้ไปซะ
ยอมสละ..ซึ่งสิ่งหวง ฮึ่มๆ
ผมท่องซ้ำไปซ้ำมา
ยุบหนอ พองหนอ โกรธคือข้า โมโหคือกู ไม่ใช่ละ
อ๊าก คนเขียนเป็นอะไรไป (มันหมดมุขจริงๆนะเฟร้ย หื้อกรูไปแต่งทัศน์-เกรย์เต๊อะ)

“จะเอาไปทิ้งเลยเหรอ..”
ผมแอบถามอย่างมีความหวัง แต่กระนั้นก็พยายามแอ๊บไม่ใส่ใจเอาไว้

“รับรองไม่เหลือซาก”
มันตอบเสียงเย็น

เออ!
จะเอาไงก็ตามใจมึงเถอะ

. . . . . . . . . . . . . . . . .

“น้องหนุ่ม น้องหนุ่ม!”
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินพี่เจ้าของร้านเรียก “คะ..ครับ ครับ?”

“ยืนเหม่ออะไรอยู่ ทำงานสิ ลูกค้ายืนรอแน่ะ”

เออว่ะ
ผมเรียกสติสตังกลับมาให้ครบถ้วนกระบวนความ แล้วทำงานต่อไป
เมื่อลูกค้าไม่ค่อยเยอะ ผมก็จัดของบ้าง เช็ดกระจกบ้าง
..และผ่านกระจกใส ผมก็เห็น
มันน่ารักดี.. โจกับเมเม่ เขาเหมาะสมกันดีครับ
หัวร่อต่อกระซิบกันแบบนั้น
ผมไม่ได้ก้มหน้าหนี ก็ยังคงเช็ดกระจกร้านต่อไป
ผมไม่เสียใจหรอกครับ ขอบอกว่าด้านสุดฤทธิ์ เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่มันมีแฟนหลังเราเลิกกันซึ่งเป็นเวลาชาติกว่ามาแล้ว

“พี่คะ เท่าไหร่อ่ะคะ”
น้องผู้หญิงเข้ามาซื้อของครับ น่ารักเชียว ว่าแต่ ทำไมเธอเขินแบบนั้นล่ะ?
อยู่ในร้านนานแล้วนะ ถามราคาของซักสิบชิ้นได้แล้ว ยังไม่ซื้ออะไรกลับออกไปซักอย่าง ได้ข่าวเป็นคนเดียวกับเมื่อวานด้วย -*-

“เอ่อ เอาอันนี้ค่ะ”

โอเค ในที่สุดน้องเค้าก็ตัดสินใจได้ ผมรับของมาใส่ถุงและคิดเงิน
เธอยื่นเงินให้ผมพอดี แต่แถมกระดาษมาด้วยแผ่นหนึ่ง..??
ผมเงยหน้าอย่างงงๆ
เธอตอบคำถามด้วยการบอกว่า “ขอเบอร์ได้มั๊ยคะ”

นิ่งสนิทครับ ผมมองอย่างใบ้กิน แล้วตอบไปอย่างโคตรจริงใจ
“ผมเป็นเกย์ครับ -*-”

 :angry2:<< หน้าน้องเค้า

เธอสะบัดบ็อบเดินฉับๆออกไปจากร้าน
ผมพ่นลมหายใจ เฮ่อ..
หันไปอีกทีไอ้โจกับเมเม่ก็หายไปแล้ว
ผมก้มหน้า รักคือการปล่อยครับ
ไม่มีใครอยากให้คนที่ไม่รักเราต้องมาทนไม่มีความสุขอยู่กับเราถ้าเขาไม่ได้รักเราหรอกครับ
ต่อให้รักแค่ไหน..สุดท้ายก็ต้องปล่อยอยู่ดี
..ผมยิ้มกับกระจก

. . . . . . . . . . . . . . . . .

ผมตื่นเช้า ตักบาตร กรวดน้ำและคว่ำขัน ไม่ใช่ละ -*-
แค่กรวดน้ำครับ กับจ๊อกกิ้งคลายเครียด
ผมวิ่งเหยาะๆไปในสวนด้วยอารมณ์สดชื่น กระปรี้กระเปล่าเต็มที่ แล้วกลับมาอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน
ผมเจอไอ้โจ ผมยิ้มครับ ยิ้มอย่างปกติที่ให้เพื่อนทุกคน แหม่..ผมเป็นหนุ่มน้อยอารมณ์ดี

แต่ด้วยอาการหมั่นไส้หรืออย่างไรไม่แจ้ง มันก็..
“ยิ้มเหี้ยอะไรอยู่ได้ เป็นนางงามเหรอ”

หุบยิ้มไม่ทันเลยกู - -
“เปล่า กูมั่น”
ผมตอบสั้นๆ

“เหมือนไอ้หมอนั่นจะมองตูดมึงอยู่นะ ลองไปถามมันดู เผื่อมันจะสนใจหนุ่มมั่นอย่างมึง”
มันแค่นหัวเราะแล้วเดินจากไป ผมหันไปตามทางที่มันบอก ก็เจอสายตากรุ้มกริ่มของไอ้หน้าเถื่อนๆคนนึงจริงๆด้วย
ไอ้เหี้ย ช่วยหวงกูนิดนึง!
ก่อนที่ผมจะคิดได้ว่า..เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่หว่า

. . . . . . . . . . . . . . . . . . .


“ไอ้ทัศน์ เป็นอะไรวะ นั่งหน้างอ”
ผมทัก เมื่อเพื่อนหนุ่มนั่งทำปากเบี้ยวอยู่ใต้ตึกคณะ

“ทะเลาะกับน้องเกรย์?”
ผมเดา
ไอ้ทัศน์ทำหน้าครุ่นคิด “ไม่เชิงว่ะ”

“มีแววว่าจะไปไม่รอด?”
ผมลองใหม่

“อย่าแช่งดิ”
ไอ้ทัศน์ทำหน้าขุ่นๆ

ผมหัวเราะก๊าก “เอ้า ไม่ได้แช่งเว้ย แค่ว่ามึงสองคนเนี่ยไลฟ์สไตล์ไม่ได้แมตช์กันเท่าไหร่”

“ฮื่อ”
ไอ้ทัศน์พยักหน้าเนือยๆ
ผมจึงนั่งลงข้างๆ เอามือแตะไหล่มันเบาๆ
“กูรู้ว่ามึงรักกัน อาศัยความเข้าใจเยอะๆมึง น้องเกรย์มันเกรียน มึงพยายามเข้าใจมันหน่อย แล้วจะผ่านไปได้”

“กูรูเหลือเกิน ไม่เคยเห็นมีแฟนซักคน”
ไอ้ทัศน์จิก

“กูจำมาจากนิยาย”
ผมพูดปด จริงๆแล้วเรียนรู้จากความผิดพลาดครับ แหะๆ..

“กูไปเรียนละเว้ย เจอกัน”
ไอ้ทัศน์เก็บกระเป๋าแยกไปเรียน ผมเอื้อมไปจับมือมันบีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจ

“เดี๋ยวนี้แม้แต่ไอ้ทัศน์ก็ไม่เว้นเหรอ? แรดชิบ”

…….
ผมเงยมอง
แน่ละครับ มีคนเดียว
ผมลุกขึ้นยืนจ้องตามัน อารมณ์ดีทั้งหมดในวันนี้ระเหยหายไปกับสายลมแสงแดด

“ถ้ามึงไม่ได้ด่ากูวันนึงนี่จะนอนไม่หลับ?”
ผมทำหน้าพร้อมรบ
ไอ้โจยักไหล่
“ไอ้ทัศน์มันมีเมียแล้ว อย่างน้อยก็ไม่น่าจะให้ท่ามัน”

มากไปละมึง !
“กูจะให้ท่าใครเรื่องของกู มึงไม่เกี่ยวก็อย่าเสือก”
ผมอยากต่อยหน้าแม่งเหลือเกิน แต่ก็พูดได้แค่นั้น แล้วเก็บกระเป๋า
“ไปก่อนว่ะโจ ต้องให้ท่าคนอื่นอีกเยอะเลย”

ผมเอามือจับๆหน้าตัวเองที่เพิ่งเอาคอนกรีตโบกมาหมาดๆ
เฮ้อ..ปากกู

แล้วมันก็เอาคืนปากดีๆของผมได้ไม่ยากครับ
เพราะทันทีที่เลิกเรียนแล้วลงมาที่โต๊ะประจำ มันกุ๊กกิ๊กกับเมเม่อยู่ซะแล้ว
ผมฉีกยิ้มนางงามเช่นเดิม แต่ยิ้มก็ต้องหุบลงเมื่อไอ้โจหยิบสายข้อมือมาหมุนควงเล่น
อะไร..ทำไม..
ผมมองตัวอักษร J&N สะท้อนวิบวับกับแสงแดดอ่อนๆ
ไอ้โจลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทำเป็นไม่เห็นผมทั้งๆที่ผมรู้ดีว่ามันเห็นแล้วจากรอยยิ้มมุมปากนั่น
มันเดินไปที่ถังขยะ แล้วค่อยๆหย่อนสายข้อมือของผม..ทิ้งลงไป
..ต่อหน้าต่อตาผม..

คือผมรู้ครับ..ว่ามันไม่ได้ขอคืนไปเก็บไว้บูชาหรอก
แต่ทำไม..เพื่ออะไร..ถึงต้องทิ้งต่อหน้าผมแบบนี้

ผมเม้มปาก กำหมัดแน่น สาบานได้ว่าถ้าฆ่ามันแล้วไม่ติดคุก ผมจะทำโดยไม่เสียดายอะไรเลย
ผมจะไม่ทนกับพฤติกรรมห่วยแตกของมันอีกต่อไป
การที่ผมรักมัน ยอมเพื่อมัน ทนเพื่อมัน ไม่ได้หมายความว่ายอมให้มันมาดูถูก ว่าความรักของผมไม่มีค่าพอที่จะให้เกียรติ
ผมอาจจะต้องเจ็บ แต่ในเมื่ออยู่เฉยๆก็เจ็บ สู้ก็เจ็บ
ผมก็ขอเจ็บเพราะสู้ ดีกว่าหนี

มึงต้องชดใช้คราวนี้ไอ้โจ!

ผมรูดซิปกระเป๋าเป้ของตัวเอง..
หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา..
และหยิบรูปถ่ายใบเล็กๆที่อยู่ในซอกหลืบที่ลึกที่สุดของกระเป๋าออกมา..

ผมเดินจ้องตาไอ้โจไปทางโต๊ะที่มันและเมเม่นั่งอยู่
และปล่อยกระเป๋าสตางค์พร้อมรูปถ่ายหล่นลงพื้น..

“กระเป๋าหล่นอะค่ะ”
แฟนไอ้โจบอกผม และเนื่องจากมันหล่นตรงเท้าพอดี เธอจึงก้มหยิบกระเป๋าให้ผม

“ขอบคุณครับ”
ผมพูดกับเธอ แต่ตามองไอ้โจ

“อะ มีนี่อีก รูปถ่ายคงหล่นจากกระเป๋า”
เธอหยิบมาจากพื้น
ไอ้โจทำหน้าประหลาดใจ
แต่ผมยิ้มอย่างเยือกเย็น..

เมเม่มองรูปถ่ายตาค้างและหันมองโจอย่างตกใจ

“มีอะไรรึเปล่า?”
ไอ้โจมองผมอย่างหวาดระแวง

“งั้นที่เพื่อนโรงเรียนเก่าโจเคยพูดก็จริงน่ะสิ”
เมเม่ยืนขึ้น

“อะไรเม่?”
ไอ้โจยืนบ้าง

“แอ๊บได้แนบเนียนเหลือเกินนะ โธ่เอ้ย!”
เมเม่รีบคว้ากระเป๋าและก้าวฉับๆไปจากโต๊ะ

“เม่ เดี๋ยวสิเม่”
ไอ้โจตะโกนเรียก มันหันมามองผมที่กำลังหยิบรูปถ่ายเก็บเข้ากระเป๋า
รูป..ที่มันหอมแก้มผมตอนมอปลาย!

“ไอ้เหี้ย!”
ไอ้โจตะโกน “มึง..”

ผมจ้องตามัน “อะไร?”

“ไอ้เลว!”
ไอ้โจด่า แต่ผมหน้าด้านและไม่สะทกสะท้าน

“เออ กูเลว เลวมานานแล้วด้วย เพิ่งรู้เหรอ”
ผมหัวเราะหึหึ แล้วหันหลังเดินจากมันไป
ไอ้โจก้าวยาวๆมากระชากแขนผมเข้าหาตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธยิ่งกว่าครั้งใดๆที่ผมเคยเห็น

“ต๊าย เม่ นั่นโจ โจเป็นคู่เกย์กับหนุ่มจริงๆเหรอ”
เมเม่เดินกลับมากับเพื่อนอีกคน ผมปั้นหน้าน่าสงสาร แล้วพูดออกไป
“เราก็บอกโจแล้วว่าให้เอารูปถ่ายไปทิ้ง ทำไมต้องให้เราเก็บไว้ก็ไม่รู้ โจบ้าที่สุดเลย”


เมเม่มองโจอย่างแค้นๆ

ไอ้โจละล่ำละลัก
“เม่ เดี๋ยวก่อนนะ”

“เลิกคบผู้หญิงบังหน้าซะทีเถอะโจ!”

ผมกลั้นยิ้ม แล้วเดินไป เสียงไอ้โจพยายามแก้ตัวแว่วมาให้ได้ยิน

ผมรู้ครับ..ว่าทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดลงไปแล้ว
แต่จะเป็นไรไป ..ในเมื่อผมเลวอยู่แล้ว
แพ้เป็นมาร ชนะก็เป็นมารอย่างผมจะไปกลัวอะไรอีก..

สิ่งที่มันทรมานวันนี้ ยังไม่เท่ากับที่ผมเจ็บปวดมาตลอด
และถ้ามันยังจะทำอะไรผมต่อจากนี้อีก ผมจะทำให้แน่ใจว่าผมจะสู้ยิบตา
แน่นอน ผมไม่ควรเอาเมเม่มาเกี่ยวเลย แต่..ผมก็ทำลงไปแล้ว
สารเลวจริงกู..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ปัง ปัง!
เสียงทุบประตูโครมครามดังขึ้นขณะที่ผมนั่งปั่นโปรเจ็กต์หลังกลับมาจากทำงาน
โอย อะไรเนี่ย หย่อนก้นได้ไม่ทันไร
ผมลุกไปเปิดประตู แล้วก็ต้องรีบปิดทันที
ไอ้เชี้ยเอ้ย ท่าทางอย่างปีศาจ

ผมดันประตูปิดด้วยแรงทั้งหมดที่มีแต่ก็สู้แรงที่กระแทกเปิดเข้ามาไม่ได้

“โอ๊ย! เชี้ย”
ผมตะโกน เมื่อมันเข้ามาจับข้อมืออย่างแรง

“มึง ไอ้เลว มึงทำให้เม่เลิกกับกู มึง ไอ้เหี้ย”

“สมควรชดใช้แล้ว ปล่อย!”
ผมว๊ากกลับ

“ชดใช้? นี่มึงจะแก้แค้นเหรอ มึงคิดว่ามึงจะทำได้เหรอ”
ไอ้โจตะโกนลั่นห้องด้วยอารมณ์เดือดดาล ผมพยายามสลัดข้อมือให้หลุด เหี้ยแม่ง เจ็บชิบหาย
ผมกัดฟันไว้.. ไม่ยอมส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
ได้แต่จ้องตามันอย่างคลั่งแค้น ผมเม้มปากแน่น..

“กูบอกให้ปล่อยไง!”
ผมส่งเสียงลอดไรฟัน

ไอ้โจยิ้มเยือกเย็น
“ได้! มึงอยากได้กูนักใช่ไหม!”

มันปล่อยผม.. ใช่ครับ ปล่อย
แล้วเหวี่ยงไปบนเตียงดังอั๊ก โอย..ให้ตาย

“ถ้าอยากได้นัก กูจะสนองให้”
ไอ้โจเอาตัวมาทาบทับผมไว้
เฮ้ย ไม่ไหวนะ ไม่เอาแบบนี้สิ!

“ออกไปนะเว้ย ไป!”
ผมทั้งตวาด ทั้งเตะถีบอย่างบ้าพลัง
ผมจะไม่ยอมรองรับอารมณ์แค้นของใครเด็ดขาด

“อ้าว รักกูนักไม่ใช่เหรอ”
มันยิ้มเย็นที่ทำให้ผมหวาดกลัวจับใจ

“ไม่เว้ย ไม่ได้รัก ไปให้พ้นจากกูนะ!”
ผมโวยวายลั่น

“หึหึ.. รู้มั๊ย เราก็เคยมีอะไรกันมาหลายครั้งแล้วนะ”
มันแกะเข็มขัดออก ผมเบิ่งตากว้าง

“แต่มึงไม่เคยรู้เลยใช่มั๊ยว่ากูซาดิสม์ หือ..?”

อะไร..หมายความว่ายังไง

มันดึงเข็มขัดออกมา และตวัดเล่นในอากาศ

“กูเป็นพวกชอบทำร้ายคู่นอนว่ะ..”

….ผมกระเถิบตัวหนีโดยอัตโนมัติ
ไม่นะ มันไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่จริง มันแค่ขู่ผมเล่นๆหรอก..

ขวับ!!
มันฟาดเข็มขัดลงบนเตียงอย่างแรง ผมถึงกับต้องร้องด้วยความตกใจ
นึกสภาพว่าถ้ามันฟาดโดนผม..

“มึงบ้าไปแล้วรึไงวะ!”
ผมตะโกน

ขวับ!!
“อื้อออ”
ยังครับ ยังไม่โดน ผมกระโดดหนี จะลุกจากเตียง แต่มันคว้าเอวไว้ แล้วผลักลงไปนอนอย่างเดิม
ผมเงยหน้าขึ้นมาทันได้เห็นเข็มขัดที่กำลังฟาดลงมา

ขวับ!!

“อื้อออ”
ผมร้อง กอดตัวเองแน่น น้ำตามันไหลออกมาจนได้ด้วยความกลัว
ผมค่อยๆลืมตาขึ้น เข็มขัดฟาดลงบนเตียงใกล้ๆตัวผม..
..ไม่โดน

“มึงล้อกูเล่นใช่ไหม มึงไม่ได้จะทำกูจริงๆหรอกใช่ไหม”
ผมละล่ำละลักถาม

“เมื่อกี้กูกะระยะพลาดต่างหาก”
มันตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตายังคงแข็งกร้าว

“โจ..”
ผมเรียกมันเบาๆ
แต่มันตวัดสายตามาทางผม
“เม่เป็นผู้หญิง มึงรู้ว่าเค้าจะต้องเสียใจกับภาพอุบาทว์ๆนั่น มึงคิดรึยังถึงทำ”

“แล้วมึงจำเป็นอะไรที่ต้องเอาสายข้อมือกูไปทิ้งต่อหน้ากูแบบนั้น กูมันไม่มีความรู้สึกอะไรรึไง ห๊ะ!”
ผมแว๊ดขึ้นมาบ้าง “มึงเลว กูก็เหี้ย จะได้พอกันไง”

“อ๋อ อยากเหมาะกับกู?”
มันตวัดสายตาแหลมคม “ได้..จัดให้”

ไม่ทันได้นับวินาทีผมก็ลงไปนอนแผ่บนเตียงอีกรอบ
เตรียมตัวเตะถีบแม่งเต็มที่ แต่ไอ้โจมือไวตีนไวชิบหาย ล็อคไว้ได้หมด

“หึ กูคุ้นดีว่ามึงจะออกมือตีนมายังไงบ้าง รับได้หมดนั่นแหละ”
มันหัวเราะหึหึ

“ปล่อยกู!”
ผมดิ้น

“กูจะทำให้มึงรู้ว่าใครกันแน่จะต้องชดใช้”

ให้ตาย ผมเกลียดเสียงมันจัง โอย ใครก็ได้เอาไอ้เหี้ยนี่ออกไปที
ผมมองตามัน มันก็มองตาผม
แต่สายตาผมไม่แสดงความหวาดกลัวออกไปให้เห็น จ้องมันอย่างคมกริบไม่แพ้กัน..
มันโน้มหน้าลงมา..ใกล้..ใกล้..
ผมหลับตา..เผยอปากขึ้นน้อยๆโดยอัตโนมัติ ..จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะ
“มึงคิดว่ากูจะจูบมึงเหรอ?”

ผมลืมตาขึ้นมาเพื่อจะพบกับแววตาเย้ยๆอย่างเดิมที่คุ้นเคย
ให้ตาย..กูน่าจะรู้นะ ว่าต้องไม่หลงกลมึงอีก!

“ถามจริง มึงง่ายกับทุกคนรึเปล่า?”

ผมกัดฟันไว้
“ก็ถ้าหน้าตาดีหน่อย ให้ทำไรกูยอมหมดแหละ”


……
แล้วมันก็กดปากลงมาจูบผม
ไม่ใช่ด้วยความรัก ไม่ใช่ด้วยความต้องการ
แต่เป็นด้วยความเกลียดอย่างที่สุด
ผมปิดปากแน่น เจ็บปวดใจแต่น้ำตาไม่ไหลออกมา
ผมรู้ครับว่าผมผิด แต่ผมก็เสียใจเหลือเกิน..



ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22

Chapter 3 : ทำไม..?
Jo’s POV



ร่างขาวโพลนนอนแผ่หมดแรงอยู่ใกล้ตัวผมหลังบทเซ็กส์อันร้อนแรงผ่านพ้นไป

(คนอ่าน:กรูขอเหตุผลดีๆที่คนเขียนตัดฉากนี้ออกไปมาซักข้อซิ!
คนเขียน: เพราะเกรียนครับ แหะๆ//โดนโบก)



ย้ำว่าบทเซ็กส์..ไม่ใช่บทรัก
แต่ผมไม่สน ผมอยากให้มันเจ็บ..

กลิ่นเดิมที่คุ้นเคย.. ท่าทีที่คุ้นตา..
ทว่า..ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ..ผมกับมัน

ผมเกลียดผู้ชายคนนี้..เกลียดจับขั้วหัวใจ
เกลียดจนอยากจะทำลายทั้งชีวิตน้อยๆให้แหลกคามือผม!
คุณจะว่าผมเลว จะว่าผมเหี้ย ผมไม่สนใจ
โถ โถ โถ..คุณคงมองเขาเป็นหนุ่มน้อยที่น่าสงสาร
อย่าให้ได้เห็นธาตุแท้มัน ยิ่งกว่างูเห่าเถอะ!

..ผมอยากเอามือบีบคอมันให้ตายทั้งหลับเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่ติดว่า...
ผมขยับตัวเล็กน้อยไปฝากจุมพิตเล็กๆไว้บนหน้าผาก
คนที่ดำดิ่งสู่ภวังค์ไปแล้วไม่รู้สึกตัว แต่ก็ดี มึงไม่สมควรได้รับจูบอ่อนโยนแบบนี้จากกูหรอก
เทียบกับที่มึงทำให้กูเจ็บปวดมา..
ใครต้องชดใช้ให้ใครกันแน่..


“อือ..”
ร่างข้างๆคราง เพราะพยายามพลิกตัวแล้วเจ็บ

ผมนอนลืมตาโพลง เฉย..ไม่สนใจ


“อือ..โอ๊ย”


แม่ง ไอ้เหี้ยนี่เรียกร้องความสนใจ!
“เงียบเถอะน่ะ รำคาญ”


ดวงตาใสค่อยๆลืมขึ้นในความมืด.. ผมเมินไม่ใส่ใจ

ไม่ใช่ไม่รู้..ว่าหัวใจคนข้างๆแตกสลายแค่ไหนที่ผม..ทำกับมันแบบนี้
แต่นี่เป็นสิ่งที่มันสมควรได้รับแล้ว ..ผมแน่ใจ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

สกุณาร้องทักทายอรุณรุ่งของวันต่อมาที่ผมยังคงลืมตาตื่น
ไม่นานนักก็ไม่ไหวจะนอนอีกต่อไป จึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว คงปล่อยร่างเปลือยข้างๆนอนขดกอดตัวเองให้ไออุ่น
ผมไม่ทำ..แม้แต่จะหยิบผ้าห่มไปคลุมให้
ผมใจร้ายมากใช่ไหม.. แต่ผมจะไม่ให้ในสิ่งที่มันไม่มีค่าพอจะได้..

.
.
“อ้าว น้องโจ วันนี้ไบ่ทำสายข้อมือแหมก๋า?”
อ้ายเหลียงร้องถาม เมื่อผมขี่มอเตอร์ไซค์มาแวะจอดซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าปากซอยเข้าบ้านที่เช่าไว้หลังย้ายออกจากห้องหนุ่ม


“เอ่อ ไม่ละครับ”
ผมส่ายหน้าน้อยๆ


“อ้ายยะได้หมดเลยหนา จะเอา เจเอ็นคือตะวา หรือจะเอาเจเค จะเอาเอสเอ็มยังได้เลย”


เฮ่อ ไปกันใหญ่แล้วอ้ายเหลียง
ผมส่ายหน้าย้ำอีกครั้ง


“แต่สายต้นแบบสวยมากเลยหนา”
อ้ายเหลียงยังคงพูด ผมพยักหน้าน้อยๆ แล้วรีบขี่มอเตอร์ไซค์จากไป

.
.
ผมก้าวช้าๆเข้าบ้านที่อยู่ในซอยลึก ยิ่งเปลี่ยวยิ่งราคาถูกครับ ผมถือสโลแกนตามนี้
ผมวางถุงข้าวเหนียวหมูปิ้งไว้บนโต๊ะ
มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง..
สายข้อมือ J&N มาอยู่บนมือผม..

ในที่สุดผมก็ได้คู่มันคืนมา..
ผมเปิดลิ้นชักข้างเตียง.. แล้ววางสายข้อมือ J&N ที่เพิ่งได้มาเมื่อวานซืนไว้กับคู่ของมัน
อันหนึ่งเป็นของหนุ่ม..อันหนึ่งเป็นของผม..
..ถ้าไอ้หนุ่มไม่ทิ้งก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่กับมัน เอากลับมาไว้ที่ผมนี่แหละ..ดีแล้ว


“อะไรอะ”
ไอ้หนุ่มชะโงกหน้ามามอง และพยายามแกะๆกำปั้นผมออก

“ไอ้โจ แบมือออกมาน๊าเว้ยย”
มันเริ่มโวยวายเมื่อผมยังคงกำแน่น

“อะไรอะ อะไรๆๆๆๆๆ จะดู”

แล้วในที่สุดผมก็ต้องแบมือ เมื่อไอ้หนุ่มจอมแสบทำท่าจะงับมือผมเอาจริงๆ


“สุขสันต์วันครบรอบแต่งงาน ฮ่าๆ”
ผมบอกล้อๆ สายข้อมือสีเงินสองอันวางสง่าอยู่บนมือ
ผมทำเอง..

“ยังไม่ได้แต่งเว้ย”
ไอ้หนุ่มโวยเขินๆ แต่ก็ฉีกยิ้มดีใจ
ผมหยิบอันหนึ่งมาใส่ให้มัน.. และโดยไม่ต้องสั่ง..มันก็หยิบอีกอันมาใส่ให้ผม
เราโอบกอดกันในสายลมหนาวของยอดดอย..
หนุ่มน้อย..ของผม


ทำไมครับ.. ทำไมคนที่เรารักกับคนที่เราเกลียดต้องเป็นคนเดียวกันด้วย?

. . . . . . . . . . . . . . . . .

อยากพบ..อีกครั้งหนึ่ง
อยากซึ้ง..อีกสักนาที
อยากทำดีๆกับเธอ..อีกสักครั้ง
ที่แล้ว..ไม่เสียใจ
กอดไว้..ทั้งน้ำตา
ก่อนจะยอมรับว่าเรา..เข้ากันไม่ได้


..
….ผมล่ะเกลียดจริงๆเวลา อ.มช. เปิดเพลงแบบนี้
เพราะผมต้องมาทนเห็นสีหน้าตอแหลเศร้าสร้อยของไอ้ดวงหน้าขาวๆที่นั่งตรงข้าม
วันนี้ยิ่งซีดเผือดกว่าปกติ เพราะเมื่อคืน..อืม ผมจะละไว้ในฐานที่เข้าใจ


“ไม่อยากเชื่อว่าจะลุกขึ้นมามหา’ลัยไหว ทนมือทนตีนดีนะมึงอะ”
ผมเปรย

คนนั่งตรงข้ามเงยมองผมด้วยสายตาแห่งความแค้นเคือง แต่ไม่พูดอะไรออกมา
มันคงเกลียดจนพูดไม่ออก
ดี! เพราะผมก็เกลียดเหมือนกัน
หึ..

ผมกินเสร็จแล้วเอาจานไปเก็บ
ก่อนจะเดินกลับมาเพื่อพบกับอริกลุ่มเดิมจากโรงเรียนเก่าที่กำลังเย้ยหยันเพื่อนร่วมรุ่นผมอยู่อย่างเคย


“แต๋วจ๋า วิ้ว..”
ไอ้พัทผิวปากเมื่อเดินผ่านไอ้หนุ่ม จนไอ้ทัศน์กับไอ้โกต้องเงยหน้าขึ้นส่งสายตาข่มขู่
เพื่อนอีกสองคนรู้ครับ ว่าไอ้กลุ่มนี้เป็นศัตรูเก่าของผมกับไอ้หนุ่ม พวกมันก็พร้อมใจกันปกป้องทุกครั้งตามประสาเพื่อนที่ดี


“หนุ่มน้อย ฮ่ะๆ”
ไอ้พัทหัวเราะ พยายามเอามือลูบไรผมของมันเล่น
แต่ไอ้หนุ่มได้แต่นั่งเฉย.. เฮ้ย
ปล่อยให้มันทำได้ยังไงวะ!

ผมก้าวฉับๆ กลับไปที่โต๊ะ

“กูว่าพวกมึงมีเรียนอะไรก็ไปซะไป ไม่ต้องมาเห่าอยู่แถวนี้ แล้วเอามือมึงออกไปด้วย”
ผมปัดมือพวกมันออกจากหัวไอ้หนุ่ม เหมือนอย่างที่ทำเสมอตอนอยู่มัธยมปลาย
ผมไม่เคยปล่อยให้คนพวกนี้รังแกหนุ่ม..


“วิ้ว โทษทีว่ะ”
มันชักมือออก “กูลืมว่านี่คือหนุ่มน้อยของไอ้โจ”
ไอ้พัทยักไหล่ แล้วหันหลังเดินออกไปจาก อ.มช.


“ไอ้พวกนี้นี่มันกวนตีนจริงๆเลยนะ”
ไอ้ทัศน์ออกความเห็น

“เออ อย่าไปสนใจเลย”
เมียพี่กรีนว่า

“แต่กูงงอยู่อย่างนึง”
ไอ้ทัศน์ขมวดคิ้ว “ทำไมไอ้พัทมันเรียกไอ้หนุ่มว่า หนุ่มน้อยของไอ้โจ วะ?”

..
….
……
อ.มช.ที่คราคร่ำไปด้วยนักศึกษากลับเงียบสงัดไปทันทีในโสตประสาทของผมและคนที่นั่งอยู่ใกล้ตัว
เราต่างเงียบ..
ไม่มีคำอธิบายใดๆ..

. . . . . . . . . . . . . . . .

“เอาสิ จะคิดว่ากูนัดพวกไอ้พัทมาก็ได้ จะคิดว่ากูใช้ให้ไอ้พัทพูดคำนั้นก็ได้”
ไอ้หนุ่มเดินตามผมมาจากอ.มช. และมองด้วยแววตาอยากฆ่าคน

“ถ้าอยากเรียกร้องความสนใจ ไม่ต้องถึงกับใช้ไอ้พัทมาก็ได้มั้ง”
ผมกวนตีนกลับไป
กูได้ว่าอะไรมึงซักคำรึยัง กูรู้ว่ามันเรื่องบังเอิญ ฟาย..


“ใช่ กูอยากให้มึงสนใจกูมาก เพราะกูพิศวาสมึงเหลือเกินนี่”
มันก้าวเท้าเข้ามาหาผมช้าๆ
ผมรู้ว่ามันโกรธเรื่องเมื่อคืนแค่ไหน ..แต่สีหน้าผมยังคงเย็นชา


“แล้วไง..?”
ผมถาม


“กูเกลียดมึง!”
มันตวาดใส่ แล้วยกมือขึ้นตบผม ผลั๊วะ!


..หน้าชาเลยกู เห็นระบบสุริยจักรวาล..


“รู้มั๊ยว่ามึงมันน่าขยะแขยง”
ผมว่า

เอาสิ มึงทำร้ายร่างกาย กูทำร้ายจิตใจ ดูซิ ใครมันจะบ้าก่อนกัน


“รู้!”
มันตอบแข็งกร้าว
“แล้วมึงไม่ได้เอาคนน่าขยะแขยงอย่างกูทำเมียรึไง”


โห..
ปากดี.. ฝีปากกล้านักนะมึงเดี๋ยวนี้น่ะ


ผมมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครที่รู้จัก ก็กระชากแขนมันมาใกล้ตัว
“กูไม่เรียกมึงว่าเมีย ไม่ใช่แม้แต่คู่นอน เป็นที่ระบายอารมณ์เฉยๆว่ะ”


คนพูดก็เจ็บครับ..ใช่ว่าจะเจ็บแต่คนฟัง
ไอ้หนุ่มหน้าซีดเผือด เหมือนใกล้เป็นลมเต็มที
เป็นไปเลย กูปล่อยให้มึงนอนอยู่เนี่ยแหละ แล้วกูจะไม่ช่วยเด็ดขาด


“ปล่อย..”
ไอ้หนุ่มเสียงเครือ สุดท้ายก็สะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้

ผมเองก็เริ่มไม่ได้เหมือนกัน
“กูก็ไม่ได้อยากแตะมึงมาตั้งนานแล้ว”

ผมปล่อยมือ..
“กูต้องบอกว่ากูชอบผู้หญิง แทนที่จะบอกตรงๆว่ากูรังเกียจมึง มึงจะให้กูแตะมึงยังไงหลังจากที่มึงไปฟัดกับไอ้ตัวไหนก็ไม่รู้มา..”


ดวงตาเปียกชื้นเงยมองผมด้วยความไม่เข้าใจ
มันอ้าปากจะพูด แต่ผมย้ำชัดๆ..
“อย่าโกหกกูอีก เพราะกูอยู่ที่นั่น.. ตั้งแต่ต้นจนจบ จะให้กูบรรยายมั๊ยว่ามึงทำอะไรกันบ้าง..”
ความสามารถในการพูดผมมีแค่นั้น..

ร่างเล็กทรุดลงตรงหน้าผม ส่ายหน้าไปมาราวกับคำพูดของผมแยกมันออกจากคนที่เหลือทั้งโลก
ผมไม่ปราณีคนคนนี้ แม้น้ำตาลูกผู้ชายหยดเล็กๆจะไหลลงมาแล้วจากดวงตาผมเอง

“ถ้ามึงรักกู อย่างที่เราเคยสัญญากัน มึงช่วยบอกกูซักคำได้มั๊ยว่าทำไม..”
ผมถามเยือกเย็น..
“ทำไมมึงถึงนอกใจกู..”

. . . . . . . . . . . . . . . . . .
[/b]

ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22

กฎข้อที่ 1 ห้ามอิน
กฎข้อที่ 2 ในกรณีที่ไม่อาจทำตามกฎข้อที่หนึ่ง อนุญาตให้เตรียมทิชชู่ ผ้ากันเปื้อน เสื้อเก่าๆหรืออะไรก็ตามไว้ได้



Chapter 4 : รอยมลทิน..



“ถ้ามึงรักกู อย่างที่เราเคยสัญญากัน มึงช่วยบอกกูซักคำได้มั๊ยว่าทำไม..”
เหมือนผมได้ยินเสียงของพญามัจจุราช..


“ทำไมมึงถึงนอกใจกู..”

..
….
…….
ผมอยากให้นี่เป็นนิยายที่ไม่เกรียน..
ผมจะได้ส่ายหน้าปฏิเสธหรือมีคำอธิบายดีๆมาแก้ตัวว่าผมเป็นนายเอกที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง..
แต่ทั้งหมดที่ผมทำได้คือนิ่งเงียบ..


“อยากพูดกับกูนักไม่ใช่เหรอ อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมกูถึงเปลี่ยนไป กูยอมบอกแล้วนี่ไง มึงพูดสิ!”
มันก้มลงมาเขย่าไหล่ผมที่กองอยู่กับพื้น
ผมก้มหน้าไม่กล้ามองสบตา.. ไม่คิดเลยว่ามันจะรู้เรื่องนี้

“กูบอกให้พูดมา พูดสิ พูด!”
ดูเหมือนมันจะไม่กลัวว่าไหล่ผมจะแตกออกเป็นสองซีกแล้วระเบิดบึ้มในทุ่งข้าวสาลี

ผมพยายามอย่างที่สุดที่จะหยุดน้ำตาไว้และไม่สะอึกสะอื้น ให้ตายเถอะ..

“แล้วก็เงียบที กูเบื่อน้ำตาตอแหลของมึงเต็มทนแล้ว”
มันตวาด
ผมกัดฟัน กลั้นเสียงไว้

นี่เอง..ตอบคำถามทุกอย่างว่าทำไมมันถึงหยาบกับผมนัก ..ไม่เหมือนคนที่เคยรักกันมาก่อน


“ถ้ามึงรักกู  ลองบอกสิ ว่าทำไมถึงอ้าขาให้ทุกคนที่อยากเอามึงห๊ะ พูดมา!”


ผมพยายามส่ายหน้าไปมาจนคอแทบหลุด ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ทุกคน มันไม่ใช่แบบนั้น..
แต่เท่าที่ผมพูดได้คือ..
“ขอโทษ..”


“ไอ้เลว!”
ดูเหมือนคำขอโทษจะไม่ช่วยอะไร..
ผมพยายามหยุดร้องไห้และหายใจ แต่มันหายใจยิ่งติดขัดขึ้นเรื่อยๆ จนต้องอ้าปากขออากาศ


“ทำไม จะพูดอะไร พูดสิ อ้าปากค้างไว้ทำไม”
ผมส่ายหน้า พยายามเอามือปัดใส่หน้าเพื่อให้ลมพัดผ่านอย่างต้องการผ่อนคลาย แต่มันจับมือผมไปบีบแน่นไว้ทั้งสองมือ


“จะ..โจ โจ”
ผมพยายามเรียกสติมัน จับมือมันกำไว้แน่น
อากาศอยู่ไหน..

ไอ้โจขมวดคิ้ว
ลังเลไปชั่วอึดใจ


“หนุ่ม หนุ่ม..”
มันเรียกผม


“โจ..”
ผมเรียกตอบ จิกเล็บลงบนมือมันแน่น อ้าปากหอบเอากากาศเข้าไปให้มากที่สุด

ไอ้โจคลายมือออก แล้วเอามาจับสองแก้มผมไว้
“หายใจช้าๆ หายใจช้าๆ ใจเย็นๆ”
ลืมตัวใช่มั๊ยมึง.. -*-


“อือ..อือ”
ผมยังร้องไห้ไม่หยุด

“อย่า..หยุดร้องก่อน หายใจลึกๆช้าๆ ได้ยินมั๊ย”
มันมองตาผม เอาสองมือลูบแก้มไปมา
“เอามือมึงจับมือกูไว้ จิกลงไปเลย”

ผมส่ายหน้า..
แล้วมันก็จับมือผมให้แตะตรงข้อศอกมัน
“ใจเย็นๆ..”

ผมผ่อนคลายลง มองตามันไป
ได้ยินคำว่า ใจเย็นๆ หายใจช้าๆ ซ้ำไปซ้ำมา

ผมทำตามที่มันบอก จนปิดปากลงช้าๆ แล้วหายใจทางจมูกปกติ
โอเค..ถ้าคราวหน้าเป็นอีก ผมก็มีวิธีแล้ว ผมจะดูแลตัวเองได้ จะได้ไม่ต้องให้ใครช่วย

แล้วดูเหมือนในที่สุดมันก็รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่
“อ๋อ ไม่รู้จะใช้วิธีไหน ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง ก็เลยต้องแกล้งทำท่าจะเป็นจะตายเรียกร้องความสงสาร?”

เวร..
ผมส่ายหน้าไปมาช้าๆ
พอกูเลวอย่างนึง..หมายความว่าต้องเลวหมดทุกอย่างเลยใช่ไหม..

มันผลักผมออกจากตัวด้วยท่าทางรังเกียจอย่างที่สุด
“มึงนอกใจกู มึงตั้งใจจะมีผัวกี่คนห๊ะ พอกูเลิก พอกูอยากมีผู้หญิงคนอื่นที่กูจะรักจริงๆ มึงก็ตามทำลายมากี่ครั้งแล้ว พอกูเอาคืนบ้าง มึงก็มาเสแสร้งทำตัวอ่อนแอ แม่ง น่าตบชิบหาย!”
มันกำหมัดเหมือนจะลงมือกับผมจริงๆ
ซึ่งผมก็ไม่กลัว..ผมอยากให้มันทำด้วยซ้ำ จะได้สาสมกัน เพราะถึงยังไง ผมก็ไม่มีทางเจ็บไปกว่านี้แล้ว


“ทีนี้มึงก็เข้าใจแล้วว่าทำไม ถ้ามึงไม่มีอะไรจะพูด เราก็จบกันจริงๆซะที ที่นี่ ตรงนี้ เดี๋ยวนี้”

..
……
ผมได้แต่มองมันเหมือนฟังคำตัดสินจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
คำว่าจบ.. ได้ยินจากมันมาก็หลายต่อหลายหน
แล้วก็เจ็บ.. มานับครั้งไม่ถ้วน
แต่ดูเหมือนคราวนี้จะเป็นคราวที่ผมหมดความสามารถในการพูดอย่างที่สุด..

“จะไม่พูดอะไรใช่มั๊ย จะไม่ตอบใช่มั๊ยว่าทำไม”
มันมองผมด้วยสายตาคมกริบ
แล้วอย่างเดียวที่ผมสามารถพูดได้ก็คือ..
“ขอโทษ”
.
.
“หึ..”
มันแค่นหัวเราะ มองผมอย่างเหยียดหยาม
..และผมก็รู้ว่าทุกอย่างจบแล้ว

. . . . . . . . . . . . . . . . . . .

Does the pain weight out the pride..?
And you look for a place to hide..
Did someone break your heart inside..?
..You’re in ruins


น่าประหลาดใจที่แค่ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่สวนกันไปมายังทำให้ผมหวาดกลัวได้
แค่คนเดินมากระแทกด้วยความบังเอิญ ผมยังแทบจะหดมุดหนีลงไปในพื้นดิน
ผมอยากจะมีที่ซักที่ไว้แอบซ่อนตัวเอง..ไม่ให้ใครมองเห็น
ผมไม่อยากเจอใครอีกเลย..

. . . . . . . . . . . . . . . . . .


“เฮ้ย ไอ้หนุ่ม ไปกินข้าวกัน”
ไอ้ทัศน์เอามือมาแตะไหล่เรียกผม
ผมสะดุ้งตกใจ และเดินหนี

“กูกินแล้ว มะ..มึงไปกินเถอะ”
ผมโกหกแล้วเดินหนีไป

ผมไม่อยากอยู่ใกล้ใครทั้งนั้น แม้แต่เพื่อน..

ขนาดไอ้ทัศน์..มันมีอะไรกับใครมาตั้งเยอะแยะ.. แต่พอมันมีน้องเกรย์เป็นตัวเป็นตน มันยังหยุดเลย..
แต่ผม..ผมมันเหี้ยจริงๆ..


“เฮ้ย ไอ้โจ ไอ้หนุ่มไม่ยอมไปกินข้าวกับพวกเรา ลากมันมาด้วย”
ไอ้ทัศน์ตะโกนเรียกเมื่อโจทก์ของผมเดินมาพอดี..

ไอ้โจส่งสายตาว่างเปล่ามาทางผม..
และสายตาของผมก็พยายามหาร่องรอยบางอย่างในดวงตาคู่นั้น
แต่ก็ไม่เจออะไรที่เกี่ยวข้องกับผมเลย..

“กูไม่ใช่พ่อมัน มันมีตีน คงเดินไปเองได้”
โจบอกเสียงเย็น และไม่มองผมอีกต่อไป

ผมอาจจะไม่ได้อ้าขาให้ใครต่อใครทุกคนที่ต้องการตามที่มันด่า..
แต่การนอกใจ..แม้เพียงครั้งเดียวก็คือนอกใจอยู่ดี..
ค่าเท่ากัน..

ผมเคยเป็นหนุ่มมั่น..
และผมชอบผู้ชายคนนั้นทั้งๆที่ผมมีไอ้โจอยู่แล้ว..
ผมมีอะไรกับเขา..

ผมไม่เคยปริปากบอกมันว่าผมเคยทำตัวยังไง..ละอายใจเกินกว่าจะพูดออกมาได้
จนกระทั่งวันที่ผมสูญเสียมันไป..ผมถึงรู้ว่าผมรักมันมากเหลือเกิน

หลังจากนั้นเราจึงสลับกัน..โจกลับกลายเป็นคนเจ้าชู้..ส่วนผม..ได้แต่จมปลักอยู่กับความรักครั้งเดียว
แต่เวลามันก็หมดแล้ว..สำหรับความภักดีที่สายเกินไป

..Like a liar looking for forgiveness ..from a stone

. . . . . . . . . . . . . . . . . . .



"ณัฐพล..ณัฐพล!"

เฮ้ย แม่มๆ
ผมตกใจผงกหัวขึ้นมาจากโต๊ะที่ฟุบอยู่
"ออกมาพบที่หน้าชั้นด้วย เลิกคลาสค่ะ"
อาจารย์บอกผมก่อนหันไปบอกทั้งห้อง
ไอ้ทัศน์มองหน้าผม แล้วพยักหน้าให้ ก่อนไปยืนรออยู่หน้าห้อง

"อาจารย์ไม่เคยเห็นใครทำข้อสอบได้คะแนนห่วยเท่านี้มาก่อนเลย"
อาจารย์ยื่นใบคะแนนมาให้ "นายทิวทัศน์เพื่อนเธออาจจะบอกว่าเธอมีรายงานรัฐศาสตร์ของเธอ แต่ถ้าเธอให้ความสำคัญกับรัฐศาสตร์นัก ก็ขอแนะนำให้เธอย้ายคณะ!"

..
....
"ขอโทษครับอาจารย์"
ผมบอกไป
แล้วเดินเอื่อยๆออกมาจากห้อง

"ไอ้หนุ่ม โอเคมั๊ยวะ"
ไอ้ทัศน์ตบไหล่
แต่ผมถอนใจ
"กูไม่ไหววิศวะ ทัศน์.."
ผมบอกตามตรง "มันไม่ใช่ทางของกู.. ความสุขของกูไม่ได้อยู่กับวิศวะเลย.. ทุกอย่างที่กูอยากทำตอนนี้คือเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าแล้วแบกไปเที่ยว.."
ผมบอกตามตรงอีกเหมือนกัน


"..."
เหมือนไอ้ทัศน์จะจนด้วยคำพูด
"ถ้าเป็นเกรย์ก็คงจะบอกว่า..ไปเลย เพราะมันเกรียน"

ผมหัวเราะ แล้วก็ส่ายหน้า "กูทำไม่ได้ กูต้องรับผิดชอบทางที่กูเลือกแล้วก่อน"

ไอ้ทัศน์พยักหน้า แล้วตบไหล่
"งั้นก็อดทน ทำให้ดีที่สุดเท่าที่มึงจะทำได้!"

. . . . . . . . . . . . . . .


ผมนั่งเอานิ้วจิ้มหญ้าอินดี้เล่นอยู่ที่อ่างแก้ว ฝนตกหนักหลายวัน น้ำในอ่างเยอะเหลือเกิน
ผมเอนหลังพิงต้นมะพร้าว หลับตานิ่งๆอย่างผ่อนคลายอารมณ์

“ไม่ ไม่ อือ….”
ผมพยายามวิ่งหนีอะไรก็ไม่รู้ที่ทำหวาดกลัวจับใจ ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะต้องจากไปตลอดกาล

“ไม่ อย่า ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ผมร่ำร้องตะโกน

“หนุ่ม..”
เสียงตะโกนผ่านมาจากที่ไกลแสนไกล

“อย่า ไม่..”
ผมพลิกตัวไปมาด้วยความอึดอัด

“หนุ่ม..หนุ่ม เด็กเวร ตื่นสิ”
ผมรู้สึกที่แรงตบเบาที่หลังและเปลี่ยนมาเขย่าไหล่ “หนุ่ม..ตื่น”

ผมลืมตาโพลงขึ้นมา หน้าไอ้โจกระจ่างชัดในความมืด

“มึง!”
ผมโผเข้ากอดมันแน่นทันที มันลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจ

“มึงแค่ฝันร้ายเท่านั้นเองนะ ไม่เป็นไรแล้ว..”
มันถอนใจแต่ก็กอดผมไว้แน่น
“กลัวผี แต่ก็ชอบจัง ดูหนังผีก่อนนอนเนี่ย”
มันบ่น..
ผมจึงค่อยๆผ่อนคลายลง
แล้วก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดูหนังผีแล้วฝันร้าย
สัปดาห์นี้แทบจะเรียกว่าสัปดาห์ดูหนังผีแล้วฝันร้ายแห่งชาติเลยทีเดียว -*-

“แต่มันน่ากลัวจริงๆนะ”
ผมบอกอยากตื่นๆ แล้วเอาหน้ามุดอกมันแน่น

“กูว่าชีวิตจริงกูก็เกรียนนะ แต่ทำไมในฝันเกรียนไม่ออกเลยวะ วิ่งหน้าตั้งอย่างเดียวอะ เง้อ..”
ผมบ่น
ในฝันนี่แพ้ตลอดอะ สู้ผีไม่ได้ เจอผีปุ๊บ เกรียนไม่ออกเลย เผ่นแน่บ -*-

“ฮ่ะๆ..”
ไอ้โจลูบหัวพลางหัวเราะพลาง

“อย่ามาฮากูนะมึง แม่ม ซีเรียส”
ผมเม้มปาก แล้วถอนใจ
ใครที่ฝันร้ายติดกันทุกคืนคงรู้ดีว่ามันทรมานแค่ไหน..

ไอ้หนุ่มลุกขึ้นไปเปิดไฟ แล้วกลับมานั่งข้างๆผม
“ก็ถ้าความเกรียนมันไม่ได้ตามมึงไปถึงในฝัน..”
มันเอื้อมมือมาจับมือผมไว้
“กูเองก็ตามเข้าไปช่วยมึงในฝันไม่ได้”

ผมเงยหน้ามองมัน ..ก็แน่ล่ะสิ ไม่มีใครช่วยใครเรื่องพวกนี้ได้ซักหน่อย

“แต่..” มันบีบมือแน่น
“กูคอยปลุกมึงให้ตื่นขึ้นมา เพื่อจะรู้ว่ามึงยังปลอดภัยอยู่กับกูได้..”

ในตอนนั้นเองที่ผมคิดว่า..ผมจะได้ซุกอกคนคนนี้ไปตลอด..



แล้วตอนนี้ โจก็ออกห่างผมไป..ตลอดกาล..
ใช่ครับ.. รักของเราจบแล้ว
แต่ความผิดที่ผมได้ทำลงไป และถ้อยคำด่าที่ย้ำเตือนซ้ำไปซ้ำมา..เหมือนเส้นที่กั้นแบ่งแยกระหว่าง..
..ผมที่น่ารังเกียจกับผู้คนปกติที่เหลือทั้งโลก


. . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22

Warning : ห้ามอินเช่นเคย


INDY special :: บทกวี(ที่ไม่อาจ)..สร้างโลก


“ลมเพลมพัด ร้องขับขานเป็นลำนำ ว่าพี่นี้เป็นคนจร มาจากดินแดนด้ามขวาน..มาหาความรักแม่คนงาม แค่อยากให้เจ้ารับรู้..เพียงอยากให้เจ้ารับฟัง”
ผมอ้าปากร้องเพลงที่เคยฟังสมัยเด็กๆด้วยอารมณ์ติสท์เต็มที่..


“อะไรวะ เป็นคนเหนือ ไปร้องเพลงใต้ซะงั้น”
ไอ้โกทัก
ส่วนไอ้ทัศน์หัวเราะ “มันก็ร้องเพราะดี”

ผมยักไหล่ “บทกวีและดนตรีไม่มีพรมแดนเว้ย”


ผมนั่งอยู่กับไอ้โก,ไอ้ทัศน์และเตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของย้ายก้นไปจากที่นี่
เพราะรู้ว่าอีกไม่นานคู่รักคู่แค้นของผม ซึ่งนั่นก็คือ โคนัน ไอ้โจเว้ย
มันคงจะมานั่งที่ม้าหินอ่อนนี่ด้วย..



“อ้าว จะรีบไปไหนวะไอ้หนุ่ม?”
ไอ้โกทักเมื่อเห็นผมเก็บข้าวเก็บของ


“เอ่อ”
ผมนิ่งคิด แล้วก็คิดออก
“มึงไม่รู้เหรอ น้ำจะท่วมโลกแล้วนะ กูต้องรีบไปสร้างเรือโนอาห์ก่อน ถ้าพวกมึงว่างๆก็รวบรวมบรรดาสิงสาราสัตว์ไว้เป็นคู่ๆนะ ไปละ บาย”
.
.
 o22<< หน้าเพื่อนผม

แต่ผมไม่สนใจว่าไอ้สองตัวนั่นจะทำหน้ายังไง ผมต้องรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีซะก่อน


.
.
“เป็นมุขขอตัวกลับที่ควายมาก”
เสียงขุ่นๆลอยมากระทบโสตประสาท..


ผมพ่นลมหายใจ เอามือเท้าเอว แล้วสะบัดหน้ากลับมาแบบนางสาวไทยที่โดนปลดเป็นพริตตี้ขายรถ

“กูมันเลว”
ผมบอกไอ้โจแทนความคิดมัน และเสริม
“กูมันร่าน นอกใจมึง เอากับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตามึง และกูขอโทษ แต่นั่นไม่ได้ช่วยอะไร และไม่ได้ทำให้กูเลวน้อยลง ถึงแม้กูจะรักมึงแค่ไหน แต่เมื่อกูทรยศต่อความไว้วางใจของมึง ความรักก็หมดความหมาย และกูเข้าใจดี”
ผมพูดเร็วแทบไม่หายใจ

“กูเข้าใจความเจ็บปวดของมึง และอยากให้มึงเข้าใจด้วยว่า..”
ผมกลืนน้ำลาย “คนที่ต้องอยู่กับตราบาปและรอยมลทินนี้ไปจนชั่วชีวิตจะเป็นยังไง ซึ่งคนคนนั้นก็คือกู..”

..ดวงตาผมแห้งผาก
คาดว่าต่อมผลิตน้ำตาคงไม่ผลิตไม่ทันหรอก เพราะถ้าคุณคิดว่าสองสามตอนดราม่าของ INDY in love
ไอน้องเกรย์ร้องไห้เรื่องพ่อ น้องกร และเรื่องในอดีตของเจ้าตัวจนน้ำท่วมอ่างแก้วนั้น ของผมคงต้องท่วมแม่น้ำปิง..

ไอ้โจดูจะอึ้งไปที่ผมยืนเท้าเอวแว๊ดใส่มันด้วยการประจานความเลวของตัวเอง
และมันก็ยังไม่พูดอะไรออกมา..


“กูรู้..”
ผมพยักหน้าอย่างยอมจำนนต่อฟ้าดินและต่อไอ้โจ
“แต่ตอนนี้กูก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะไสหัวไปให้ห่างจากชีวิตมึงอย่างที่มึงต้องการ แต่ทำไม..”

ผมมองตามัน “ทำไมมึงต้องคอยจิกกัดกูอยู่ตลอดเวลา?”
มันเป็นคำถาม แต่ผมไม่ได้ต้องการคำตอบจากมัน ผมกลับพูดต่อ
“มุขขอตัวกลับของกูอาจจะควาย แล้วมึงจะให้กูบอกพวกมันว่ายังไง ว่ากูต้องหลบหน้า ว่ากูกลัวเจอมึงงั้นเหรอ?”

ดวงตาไอ้โจยังคงเย็นชา..นิ่งเฉย..

ผมกัดฟัน “ถ้ากูบอกความจริง พวกมันก็ต้องสงสัยว่าทำไม มึงไม่อยากให้ใครรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าเราเคย..”
ผมหยุดไว้แค่นั้น..ไม่อาจพูดต่อได้



“เออ กูเข้าใจ”
ในที่สุดไอ้โจก็พูดออกมา แม้ดวงตามันยังคงเหี้ยมเกรียม
“แต่ก็ช่วยกรุณาทำตัวให้มีชีวิตชีวา ไม่ใช่ทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายน่าสมเพชให้คนอื่นสงสัย! เรียกร้องความสงสารรึไง!”


ผมพ่นลมหายใจออกมา แล้วว๊ากใส่มัน
“มึงรู้มั๊ย กูเครียด คนมันกำลังอ่อนไหว กำลังกดดัน แต่กูก็กำลังพยายามเต็มที่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมึงควรพยายามเข้าใจ ให้เวลากูหน่อย และที่สำคัญนะโจ เรียนรู้ที่จะหุบปากซะบ้าง!”

แล้วผมก็หันหลังกระทืบเท้าโครมๆจากมา
เพราะขืนอยู่ต่อไอ้โจคงลากผมไปฆ่า แล้วเสียบประจานไว้หน้าคณะวิศวฯนี่แหละ

. . . . . . . . . . . . . . . .


“พี่หนุ่มๆ”

เอ..ใครเรียกนะ?
ผมหันไปมอง
อ่าว ภรรยาสุดสวาทขาดใจของไอ้ทัศน์นั่นเอง มันคือ น้องนน เกรย์เว้ย!


“พี่หนุ่ม พรุ่งนี้ที่ชมรมวรรณศิลป์จัดกิจกรรม 'บทกวี..สร้างโลก' พี่หนุ่มย้ายก้นมาด้วยนะ”
เมียไอ้ทัศน์แจ้งข่าว

ผมพยักหน้ารับรู้ “ได้สิ เรื่องบทกวีพี่ไม่พลาดอยู่แล้ว”

ผมยิ้มให้น้องเกรย์และตั้งท่าจะเดินจากไปเรียน


“เอ้อ.. เจ๊หนุ่ม”
ไอ้น้องเกรย์จอมเกรียนเรียกอีกครั้ง

“หือ?”
ผมหันไปเลิกคิ้ว

“ชวนพี่โจมาด้วยนะ คนจะได้เยอะๆ รุ่นน้องจะได้รู้สึกว่าเราใส่ใจ”
.
.
 :a5:<< หน้าผม


ขอโทษเถอะเทพยดาฟ้าดิน คนอื่นไม่มีปากชวนมันแล้วเรอะ!!


.
.
ผมนั่งยืดขาราบกับพื้นหญ้านั่งทำใจแอสไพรินอยู่ที่อ่างแก้ว
ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดเบอร์ที่ไม่อยากกดเลยซักนิดเดียว..

..ผมรอสายเรียก
แล้วก็ได้ยินเสียงกดรับ


“ถ้าจะโทรหาชู้ ก็ผิดเบอร์แล้วล่ะ”

.

.

ผมถอนหายใจ ไม่สนใจคำที่มันถากถาง ตั้งใจจะบอกข่าวของชมรมอย่างเดียว

“พรุ่งนี้ชมรมจัดงานบทกวี..สร้างโลก อยากได้สต๊าฟไปช่วยดูแลน้อง เท่านี้แหละ”
ผมพูดอย่างรวดเร็วแล้วรีบกดวาง

..ไม่ต้องการรับฟังคำด่าใดๆอีกแล้ว


ไม่ใช่ผมไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง

ยอมรับสิครับ..ยอมรับมาสามปีแล้ว
ผมเองก็ประณามตัวเองต่างๆนาๆ และไม่เคยต้องการให้ใครเห็นใจคนเลว
แต่ตอนนี้..ผมเพียงแค่เหนื่อยและทรมานกับตราบาปนี้เหลือเกิน


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


“กลอนกับบทกวีต่างกันยังไงน่ะครับพี่ๆ?”
รุ่นน้องถามขึ้นในห้องชมรมวรรณศิลป์

ไอ้โจหันมามองผมโดยอัตโนมัติเหมือนทุกครั้ง


“อืม..อันนี้พี่ไม่รู้นะ ว่ากูรูทั้งหลายให้ความเห็นว่ายังไง แต่ในความเห็นของพี่ กลอนเป็นสับเซตของบทกวีครับ”
ผมยักไหล่ บอกน้องอย่างจริงใจ
“กลอนกับบทกวีต่างก็เป็นวรรณกรรม เพียงแต่ที่มีคำว่ากลอน เป็นเพราะร้อยกรองมีหลายประเภท นอกจากกลอน ยังมีโคลง ฉันท์ กาพย์อีกด้วย ซึ่งแต่ละประเภทก็มีฉันทลักษณ์เป็นของตนเอง ส่วนบทกวีนั้นคือทุกอย่างรวมกัน”

น้องเกรย์ยิ้ม ลุกขึ้นมายืนเคียงข้างผม
“และนอกจากนั้น..แม้ถ้อยคำที่ไม่มีฉันทลักษณ์เลย แต่หากมีวรรณศิลป์ก็เป็นบทกวีครับ..”


. . . . . . . . . . . .


ผมปลีกตัวออกจากห้องชมรมมานั่งเล่นดูดาวพราวพรายที่ระเบียงอาคารกิจกรรมนักศึกษา
..ผมคิดถึงแม่ครับ
ฮ่ะๆ ไม่รู้สินะ
ไม่รู้ใครเป็นเหมือนผมบ้าง.. เห็นดวงดาวแล้วผมคิดถึงแม่
ทำผิดพลาดอะไรไป..ผมก็คิดถึงแม่
ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนเลว..ผมก็คิดถึงแม่
ผม..



“มานั่งอินดี้อยู่ตรงนี้คิดว่าเท่?”
.
.
ทายสิครับว่าใครเห่า..



“รู้มั๊ย ถ้ามึงยังไม่เรียนรู้ที่จะหุบปาก กูจะเริ่มคิดว่ามึงยังiydกูอยู่นะ”
กล้าพูดนะกู - -'
ผมสวนกลับนิ่งๆ ทั้งๆที่ไม่ได้คิดจริงจัง


“คิดได้นะ”
ไอ้โจแค่นหัวเราะ “มึงคิดว่ากูจะเอาคนอย่างมึงไปทำอะไรได้อีก?”


เจ็บครับ..
แต่ผมสมควรได้รับแล้วนี่นา..


“อือ..”
ผมพยักหน้า ตายังมองดวงดาว
“ด่ามาเลย ด่าเสร็จแล้วก็ช่วยไปด้วย กูจะได้ดูดาวต่อ”


ไอ้โจทำเสียง “เฮอะ” ในลำคอ แล้วทิ้งผมไว้ลำพังที่ริมระเบียงเหมือนก่อนหน้านั้น..


ผมหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กกับปากกาที่มักพกติดตัวเอาไว้เสมอขึ้นมา และรัวเขียนลงไป..
ก่อนจะกลับหอ..ผมฉีกหน้าที่เขียน..แปะติดไว้บนบอร์ด 'บทกวี..สร้างโลก' หน้าห้องชมรมวรรณศิลป์


ดวงดาวทอแสง..
..กายอ่อนแรง
หัวใจแฝงความสำนึกผิด..
..ม่านเมฆม้วนดำดิ่งลงใน..ห้วงความคิด
..ที่ซึ่งไม่มีสิทธิ์ แม้จะเอ่ย..ขอโทษ..

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22

Chapter 5 :: คำสุดท้าย..



ดวงดาวทอแสง..
..กายอ่อนแรง
หัวใจแฝงความสำนึกผิด..
..ม่านเมฆม้วนผมดำดิ่งลงใน..ห้วงความคิด
..ที่ซึ่งไม่มีสิทธิ์ แม้จะเอ่ย..ขอโทษ..


มันเป็นเศษกระดาษที่ฉีกจากสมุดบันทึก..เป็นลายมือหวัดๆที่ผมคุ้นตาดี..

ขอโทษ..
ขอโทษเหรอ?

คิดว่าคำขอโทษมันพอ? คิดว่าคำขอโทษมันชดใช้อะไรได้?

ผมแค่นหัวเราะอย่างเยือกเย็น
ขอไปตามหาไอ้ตัวเลวซักหน่อยเถอะ!



“อีแรด!”
นั่นคือคำแรกที่ผมด่าเมื่อเจอตัวมัน


ไม่ใช่ไม่แปลกใจตัวเองนะครับที่ด่าได้หมาและตุ๊ดขนาดนี้
แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว..ผมอยากให้ไอ้หนุ่มมันเจ็บ! เจ็บ..ปวดทรมาน..


ดวงหน้าขาวหันมาเผชิญหน้ากับผม
“ไม่เอาน่า กูเชื่อว่ามึงด่าได้แรงกว่านั้น”

เดี๋ยวนี้อดีตเมียกูมันคอนกรีตเสริมเหล็กดีๆนี่เอง!

“ได้”
ผมตอบ และยื่นหน้าไปกระซิบชัดๆ “ร่าน!”


แม้ใบหน้านั้นจะเผือดซีดแต่ปากมันยังเม้มท้าทาย
“ไม่เอาน่า มึงมีอีกเป็นสองสามร้อยคำ งัดออกมาใช้ให้หมดดิ”

ไอ้หนุ่มยืนกอดอกรอฟัง..

..มันวอนครับ ไอ้นี่มันวอนจนผมอยากเอาตีนนาบหน้า

ผมไม่มีคำไหนจะพูดกันมันอีกต่อไป
ท่าว่าต่อไปจะไม่ต้องพูดแล้ว..
กูว่าฉุดกระชากลากถูแม่งแบบจำเลยรักดีกว่า..
แต่ไม่ใช่ฉุดไปทำอะไรนะครับ..
..แต่ฉุดไปดูผมทำอะไรต่างหาก

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ผมโผล่ไปที่ห้องชมรมวรรณศิลป์ที่ไอ้หนุ่มมักจะไปนั่งอินดี้อยู่ทุกวันตอนเย็นในระยะหลังนี้
วันนี้แม่งตั้งวงเหล้ากันครับ น่านนน << วิจารณญาณ

ผมเข้ามาถึงห้องก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงครับ แม้ใครจะเอ่ยทักทาย


“เฮ๊ย โจ!”

“อ้าวโจ”

ผมตรงไปหาไอ้หนุ่มลากแขนมันขึ้นมาจากจากวงเหล้า


“ห่าเอ๊ย! อะไรวะ?”
ไอ้เปรตนั่นโวยวาย

ผมไม่อธิบายอะไรสักอย่าง ใช้แรงควายลากแม่งออกมาอย่างเดียว

“เหี๊ยโจ ปล่อยกู!”
ไอ้หนุ่มสะบัดข้อมือออก ดิ้นไปดิ้นมาโวยวายไปตามทางจนแทบทุกห้องชมรมเปิดประตูออกมาดู

แต่ผมไม่สนใจ..


“สารเลว ปล่อยกู!”
ไอ้หนุ่มตะโกนลั่น

ผมแทบฟาดปากมันด้วยส้นตีน
มึงเลวกว่ากูมั๊ยได้ข่าว!!

ผมลากมันมาถึงมอเตอร์ไซค์ตัวเองซึ่งจอดอยู่ตรงที่ห้ามจอด

“ไปกับกู”
ผมบอกสั้นๆ

มันอ้าปากจะด่า แต่ผมกระชากไหล่เข้าหาตัว บีบอย่างแรงแล้วสั่งช้าๆชัดๆ
“หุบปาก อย่าดิ้น ไม่งั้นกูฆ่า”

.

.
สายตาผมหมายความตามนั้น..



 “รู้มั๊ย..บอกกูดีๆก็ได้”
ไอ้หนุ่มเม้มปาก

“กูไปกับมึงอยู่แล้ว”
มันมองตาผม
“แต่ไม่ใช่เพราะกลัวตาย แต่เพราะกูจะทำในสิ่งที่มึงต้องการ จะได้ระบายความแค้นที่มันคับอกมึงออกมาได้ไง!”


เรามองอย่างกะฆ่ากันตาย แล้วผมก็ถอนสายตา สตาร์ทรถมอร์เตอร์ไซค์
เมื่อไอ้หนุ่มนั่งซ้อน ผมจึงบึ่งรถฝ่าความมืดไปทางบ้านเช่าของตัวเอง..

.

.

ผมจอดรถหน้าบ้าน พร้อมลากไอ้หนุ่มลงมาแบบจำเลยรักภาคเกรียน
เข้ามาในบ้านได้ก็ผลักแม่งเข้าไปและดึงประตูปิด..


“อ้าว..มาแล้วเหรอสุดหล่อ?”
ชายหนุ่มหน้าหวานร่างเล็กเดินออกมายิ้มแป้น แต่เมื่อเห็นไอ้หนุ่มยืนหอบๆก็ทำหน้างง

“เราจะเล่น 3P กันเหรอ?”
เขาถามพลางเลิกคิ้ว แต่ก็ยักไหล่ “ได้เหมือนกัน ยังไงก็ได้”


ผมเดินเข้าไปโอบเอวคอด แล้วประกบปากจูบ ‘กอล์ฟ’ หนุ่มหน้าใสที่คว้ามาฟัด!
นัวเนียกันพอเป็นพิธีแล้วผมก็ผละหน้าออกมา
“เขาแค่มาสังเกตการณ์น่ะ”
ผมตอบกอล์ฟ กอล์ฟยักไหล่ไม่เป็นไร “ชวนมาร่วมด้วยสิ”

แต่ผมหันไปมองไอ้หนุ่ม
“ไม่.. เขาจะแค่ดู ดูเท่านั้น”

.

.
ผมเริ่มเปลื้องผ้าหนุ่มกอล์ฟออกด้วยความร่วมมืออย่างดีของกอล์ฟ
เรามีความต้องการตรงกันคือ One Night Stand เท่านั้น เพียงแต่เหตุผลอาจจะต่างกันเล็กน้อย..
ผมผลักร่างกอล์ฟลงบนเตียง เหลือบไปเห็นไอ้หนุ่มตัวสั่นงั่กๆ อยู่ริมประตู

ผมบรรเลงพลางรักกับกอล์ฟ จูบร่างเนียนไปหมดทั้งตัวจนกอล์ฟครางอื้อ..


ไอ้หนุ่มยืนเหมือนจะตายอยู่ตรงนั้น มันกัดฟันและผมเห็นความสั่นไหวในดวงตา
สิ่งที่ผมทำเพียงหัวเราะหึหึในลำคอและประโลมจูบกอล์ฟต่อไป

“อืม..โจ”
กอล์ฟดิ้นยั่วๆ

ผมถอดเสื้อผ้าตัวเองออก เพื่อเตรียมจัดการร่างน้อยตรงหน้า
ส่วนตรงหน้าไม่แข็งตัว แต่กอล์ฟก็ยินดีช่วยเหลือ

“อะไร ทำหน้าให้มีอารมณ์หน่อยสิ ผมไม่เซ็กซี่เหรอ”
กอล์ฟกระเซ้าถาม ก่อนจะอ้าปากครอบแก่นกายของผม

ไอ้หนุ่มยืนกัดฟัน
น้ำตา..ปริ่มขอบตาแต่ไม่ไหล
ตัวสั่น..แต่ไม่ทรุด

มันคงจะเข้าใจดี..ว่าสาสมแล้ว
และทีนี้..มันก็จะได้รู้ว่าผมรู้สึกยังไง!


ส่วนตรงหน้าผมแข็งตัวขึ้นมา กอล์ฟยักคิ้ว และหันหลังแอ่นก้นให้ผม
ผมลูบแผ่นหลังเนียนเบาๆ และขยับเข้าหา..


ไอ้หนุ่มหลับตาเหมือนสุดจะทน มือจับลูกบิด..
ไม่..ผมไม่อนุญาตให้มันหนี


“มึง! หยุดอยู่ตรงนั้น”
ผมเสียงเหี้ยม..
“อย่าหลับตา และดูซะ กูจะทำให้มันวิเศษ..”

ผมจัดการสอดใส่เข้าไปในร่างตรงหน้า กอล์ฟครางอย่างพอใจ..
ผมเองก็อดไม่ไหวส่งเสียงออกมาเหมือนกัน

ผมกระแทกกระทั้นเข้าไปในตัวกอล์ฟจนเราสองคนครางกระเส่า

ไอ้หนุ่มยืนสั่น กระเถิบร่างชิดผนัง

ผมรู้..ว่ามันปวดร้าวแค่ไหน
แต่นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ..


ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายสลับกับเสียงกลั้นสะอื้นดังผ่านเสียงครางของกอล์ฟเข้ามา


ผมหันไปมองมัน..
มันไม่ได้ร้องไห้..
แต่ยืนมอง.. มองจนผมและกอล์ฟปลดปล่อยไปถึงสวรรค์พร้อมๆกัน..


..”ดีมั๊ย?”
ผมตั้งคำถาม แต่หันสายตาไปทางไอ้หนุ่ม


“อืม..ดีสิ”
เสียงหอล์ฟตอบมา ผมโอบร่างกอล์ฟไว้ และพลิกให้ประกบจูบอีกครั้ง

.
.
“กูไปได้รึยัง?”
เสียงที่พยายามเข้มแข็งถามกร้าวๆ

ผมจูบกับกอล์ฟอยู่อีกพักใหญ่ แล้วจึงค่อยเอี้ยวหน้าไปหาอดีตแฟน
“ไปได้แล้ว จะไปตายที่ไหน มึงไปเลย”
ผมตอบเสียงเยือกเย็น..

ไอ้หนุ่มพยักหน้า แล้วบอกกับผมเบาๆก่อนเปิดประตูออกไป
“ขอโทษ..”

แล้วนั่นก็คือ..คำสุดท้าย..ที่ผมได้ยินก่อนเสียงประตูปิด..

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22
Chapter 6 : ทางเลือก..

ผมค่อยๆเดินออกมาจากบ้านเช่าเล็กๆหลังนั้น..

ไม่มีคำบรรยายในความรู้สึกขณะนี้
ไม่มีน้ำตาบนใบหน้า
ไม่มีสิ่งใดที่ผมเรียกกลับคืนมาได้..


ไอ้โจมันเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ใช่พระอริยมาจากไหน
ไม่มีทางให้อภัยกับเรื่องทำนองนี้ได้..ไม่มีทาง

ถ้าในทางกลับกันเป็นผม.. ผมก็อาจทำอย่างเดียวกันกับที่มันทำในวันนี้
ไม่มีเหตุผลดีๆเลยสักข้อที่ผมจะแก้ตัวให้ตัวเอง..
ที่จะทำให้ตัวเองดูดีขึ้น..
หรือทำให้โจดูเลวร้าย
..ทุกอย่างสมควรแล้ว

ผมนอกใจโจ..ผมยังจำได้ดีว่ามีอะไรกับคนอื่น แม้จะไม่รู้ว่ามันแอบดูอยู่ก็เถอะ
..แต่เพราะผมอยากลองล้วนๆ..

สารเลว..โคตรเลยใช่ไหม..
การนอกใจ..แม้เพียงครั้งเดียว..ก็คือนอกใจอยู่ดี


ผมเดินออกมาตามซอยเปลี่ยวๆ
บรรยากาศให้มาก..ลมแรง..ส่อแววว่าฝนกำลังจะตกหนัก

แล้วมันก็ตกลงมาจริงๆ..

ผมไม่ได้ตั้งใจจะเล่น MV เพียงแต่.. ไม่ได้ต้องการรีบร้อนเข้าไปหลบสายน้ำฟ้า..
ผมเดินก้าวช้าๆด้วยร่างกายที่สั่นเทาและใจที่สั่นกว่า..


ที่สุดก็ทรุดลงกลางสายฝน..
ไม่มีคน..ไม่มีใคร..ไม่มีแม้แต่หมาสักตัว
ผมอ้าปากกรีดร้องให้กับความผิดพลาดที่น่าสมเพชของตัวเอง

และ..ปล่อยให้สายน้ำตาไหลลงมาปะปนกับสายฝน
ปล่อยให้ร่างกายเปียกชุ่ม..
แม้จะรู้ดีว่า..ฝนจะตกลงมาแรงแค่ไหนก็ล้างคราบคาวของผมออกไม่ได้
..ไม่มีวัน



วูบหนึ่งเหมือนผมเห็นไอ้โจเดินมา ทรุดลงตรงหน้า
..และคว้าผมไปกอดไว้
..กระซิบคำว่าไม่เป็นไร


แต่แล้ว..ความเป็นจริงก็กระชากผมออกจากภาพหลอน

ผมอยู่ตรงนั้นคนเดียว..


“จะไปตายที่ไหน มึงไปเลย”
ถ้อยคำของอดีตคนรักลอยวนไปมาในหัว

ผมลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซออกไปจากซอย
กวักเรียกรถโดยสาร ขึ้นไปทั้งที่ร่างกายเปียกปอน
“ไปริมแม่น้ำปิงครับ”

.

.

คุณลุงส่งผมลงตรงขัวเหล็ก..สะพานข้ามแม่น้ำปิง
ผมเดินช้าๆไปที่ราวสะพาน..ด้วยความนิ่ง
ไม่ร้องไห้..ไม่ฟูมฟาย

ความตาย..เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยกลัว..และมากกว่ายินดีที่จะอ้าแขนรับ


เพียงแต่..ผมเป็นหลายอย่าง ยกเว้น..คนขี้ขลาด



ถ้าผมกระโดดลงไป..
ผมก็หนีทุกอย่างได้ ยกเว้นความผิดบาปในใจที่จะฝังในวิญญาณที่หลุดออกจากร่าง
ผมคงจะได้ตายตามที่ไอ้โจมันตวาดออกมา..


และเมื่อผมกระโดดลงไปจริงๆ..
พ่อกับแม่คงใจสลายที่ลูกชายคนเดียวมีความฝันอันสูงสุดว่าอยากเป็นผีพราย
และโจ..ก็จะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตที่มันเป็นต้นเหตุให้ผมตาย
ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดมัน..หากผมขี้ขลาดพอที่จะตาย

When my time comes..forget the wrong that I’ve done
Help me leave behind some..reasons to be missed..


โทรศัพท์สั่นและดังขึ้น

โจ..

แว่บหนึ่งชื่อนี้เข้ามาในหัว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพียงเพื่อจะเห็นชื่อ
อินดี้ทัศน์..


ผมกดรับสาย

“เฮ๊ยไอ้หนุ่ม แดกเหล้ามั๊ย?”

เสียงไอ้ทัศน์แว่วมาตามสาย

คืนวันศุกร์ทีไรไอ้เวรนี่ชวนไปทำเรื่องสร้างสรรค์ตลอด แต่ด้วยความที่ผมรู้ว่าเอาเข้าจริงไอ้ทัศน์คือคนที่พึ่งพาได้กว่าใคร
..จึงถามมันออกไป

“ทัศน์..”
ผมว่าผมจำคำถามนี้ได้จากหนังสักเรื่อง เป็นคำถามที่ผมไม่เคยลืมเลย
“ถ้าใครคนหนึ่งทำผิดพลาด..พลาดครั้งใหญ่ เขาควรจะได้รับโอกาสที่สองบ้างไหม หรือต้องชดใช้ความผิดไปตลอดชีวิต”

.
.

ไอ้ทัศน์เงียบไปอึดใจหนึ่ง..

“มันไม่ใช่ควรหรือไม่ควร มันอยู่ที่ทางเลือกของเขาเอง”
ไอ้ทัศน์บอกมา

ผมเลิกคิ้ว
“มึงหมายความว่ายังไง”

ไอ้ทัศน์บอกนิ่งๆ
“ก็ไม่มีใครบอกได้นะ ว่าใครคนหนึ่งคนไหนควรจะได้รับโอกาสครั้งที่สองหรือไม่ เชื่อเถอะ ไม่มีใครรู้หรอก มันเป็นคำถามโลกแตกเหมือนไก่กับควายอะไรเกิดก่อน”

ทัศนคติไหนของมึง?

แต่ผมก็ตั้งใจฟังมันพูดต่อ..

“มันอยู่ที่ใครคนนั้นจะเลือกว่า เขาจะยอมจมอยู่กับความผิดที่เขาไม่ได้ไปตลอดชีวิต หรือจะเริ่มต้นทำสิ่งใหม่เท่าที่เขาทำได้ ความผิดมันลบล้างกันไม่ได้ แต่มันบรรเทาได้..”

ผมเม้มปาก และบอกมันไปในที่สุด
“ถ้าใครคนนั้นกำลังยืนอยู่บนสะพานที่ข้างล่างเป็นแม่น้ำปิง..”

ไอ้ทัศน์ตอบกลับมา
“ก็อยู่ที่ใครคนนั้นว่าจะเลือกโดดลงไปตายห่าหรือย้ายก้นลีบๆกลับมาหอพักซะ”

“กูตอบไม่ได้ว่ะหนุ่ม เพราะมันไม่ใช่คำถาม.. มันเป็นทางเลือก มันอยู่ที่ใครคนนั้นจะเลือกอะไร”

ผมเงียบไปจนไอ้ทัศน์พูดออกมา
“กูไม่รู้นะว่าใครคนนั้นเป็นใคร แต่ถ้าหากเป็นมึง..”
มันเว้นช่วง และก็พูดเบาๆทว่าหนักแน่น

“มึงรู้ใช่ไหมว่ากูยังคงเป็นเพื่อนมึง..เสมอไป”

.

.

ผมยิ้มในสายฝน..
และตระหนักได้ว่าความเป็นเพื่อนมีคุณค่าแค่ไหน

ผมปล่อยราวสะพาน
..เพราะมันไม่ใช่ควรหรือไม่
..มันคือทางเลือก
และผมเลือกที่จะไม่ตาย..


. . . . . . . . . . . . . . . . . . .


สิบวันแล้วที่ผมมาอยู่ที่นี่..
พรุ่งนี้ก็จะถึงวันของผม.. พ่อกับแม่ผมจะมา..
ผมไม่รู้ว่าผมควรไหม หรือทำถูกไหม.. แต่ผมเลือกแล้ว
และเลือกด้วยเจตนาบริสุทธิ์..

.

.

พ่อและแม่ปลงผม..
ดวงตาผมหลับลง..ประนมมือ
ไม่นึกถึงเรื่องเรียนที่ดร็อปไว้..
และไม่นึกถึงว่ามันจะไปสิ้นสุดลงตรงไหน..

..ผมแค่ทำสิ่งที่ผมทำได้..
และผมจะมอบอานิสงส์ทุกอย่างเพื่อขอให้ไอ้โจมีความสุขกายสบายใจ..

.

.

คนเราอาจเปลี่ยนอดีตไม่ได้..แต่เราเลือกทำปัจจุบันและกำหนดอนาคตได้เสมอ..

ผมเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากในวัด..ทุกเวลา
ขณะทำวัตรเช้า..ทำวัตรเย็น..กวาดลานวัด..ให้อาหารไก่..วิปัสสนากรรมฐาน
หรือแม้ในความฝัน..

.

.

และแล้วหลังจากผมบวชได้หนึ่งสัปดาห์..
ร่างที่คุ้นเคยก็ซิ่งมอเตอร์ไซค์กระหืดกระหอบมาจอดที่ลานวัด
ผมกวาดใบไม้ต่อไปโดยปราศจากความระแวดระวังภัย

..ร่างนั้นเพียงยืนนิ่งมอง..
และก็ทำแค่นั้น..มอง

.

.

เช้าวันต่อมา..ผมก็เจอร่างเดิมอีกครั้งเมื่อออกบิณฑบาต
แม้จะตกใจที่ร้อยวันพันปีคนที่ไม่เคยตักบาตรมาขอนิมนต์
แต่ผมก็ทำหน้าที่ของภิกษุโดยบริสุทธิ์..รับของถวาย..และให้พร..

..โดยไม่สบตา

แต่..
เมื่อคนคนเดิมยืนอยู่ที่เดิมตลอดเจ็ดวัน..ตักบาตรให้พระรูปเดียวตลอดเจ็ดวัน..
วันที่แปดผมจึงตัดสินใจ.. ไม่ว่าในใจเขาคิดอย่างไร..หรือตั้งใจทำอะไร..ผมจะขอเขาหนึ่งอย่าง..

มือแกร่งหยิบของใส่ลงใบบาตร..วางดอกไม้..ประนมมือไหว้ คุกเข่าลง
หลังจากผมให้พร..
ผมกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่นและจริงจัง โดยไม่หวังคำตอบใดๆเลย..
นอกจากให้คนที่กำลังคุกเข่ามีชีวิตที่เป็นสุขนับจากนี้..และหากเขายังมีสิ่งนั้นอยู่ในใจ..ความสุขที่ว่าก็จะไม่เกิดขึ้น



“ความเจ็บแค้นของโยม..อาตมาขอบิณฑบาตได้ไหม..”

แล้วผมก็อุ้มบาตรเดินจากไปตามทาง..

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22
Chapter 7 : Does the pain weight out the pride?

..ผมนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งริมประตู

บนเตียง.. ร่างบางของหนุ่มกอล์ฟยังคงมองมาอย่างไม่พอใจ


“สรุป นายจะไม่ต่อแล้วใช่ไหม?”
เขาถามงอนๆ
ผมจึงส่ายหน้าเบาๆ ดวงตายังคงเหม่อมองออกไปข้างนอกบ้าน..


“โอเค”
กอล์ฟยักไหล่ “ฉันจะได้ไปต่อ”


“อืม”
ผมครางรับ ขณะเขาแต่งตัว เดินลั้ลลากลับไปขึ้นรถตัวเองและซิ่งทิ้งห่างบ้านเช่าผมไป


“ขอโทษ..”

.

.

คำๆนั้นยังคงดังก้องอยู่ในใจ


ทำไม..ทำไมกันนะ?

ทุกอย่างก็สำเร็จ..ลุล่วงด้วยดี
ไอ้หนุ่มได้รับกรรมที่มันก่อไว้แล้ว..
อย่าว่าแต่ผม แม้แต่ต้นไม้สายน้ำก็คงจะรับรู้ได้ว่าไอ้หนุ่มเจ็บปวดเพียงใดขณะนี้
สาสมกันแล้ว..

แต่ทำไมผมหมดแรง..ได้เพียงทรุดลงตรงนี้..


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ผมไปเรียนตามปกติ..
ไม่แปลกใจที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของอดีตเมีย
เพราะเราเรียนคนละแผนกกัน เจอกันเฉพาะเวลาเข้ากลุ่มเท่านั้น

ผมยังคงไปกินข้าว ไปเที่ยวกับไอ้ทัศน์ไอ้โกเมื่อมีเวลา แต่ก็ไม่เจอไอ้หนุ่มเช่นเดิม

มันน่าแปลกใจ..ที่เพื่อนที่เหลืออีกสองคนไม่ได้พูดถึงมันเลย..


ผมนั่งเช็ควิชาเรียนในอินเตอร์เน็ตไปมา
พลางคิดคำนึงในใจ.. เป็นสัปดาห์แล้วที่ไอ้ตูดหมึกนั่นหายหัวไป
ผมพยายามบอกตัวเองว่าผมไม่ได้เป็นห่วงมัน..
แต่..

..ผมไม่เจอมันเลยนะ

ผมลุกจากเก้าอี้ไปค้นรหัสผ่านในลิ้นชัก
ไอ้หนุ่มเคยขอให้ผมช่วยลงทะเบียนให้ ผมรู้ว่ารหัสอะไร ถ้าเพียงแต่ใบนั้นยังอยู่..


เศษกระดาษสีฟ้าสงบนิ่งอยู่ในลิ้นชัก ผมหยิบมาและล็อกอินเข้ารหัสนายณัฐพล..


เจ็ดวิชาที่ผมลงทะเบียนให้มันโชว์หราบนหน้าจอ..

เพียงแต่.. หลังทุกวิชามีตัวอักษร W กำกับอยู่..


มันคิดว่ามันกำลังทำอะไรของมัน!



.

.

ผมผุดลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มากด
แต่ก็ชะงัก
..ผมจะโทรทำไม
มันดร็อปเรียน.. ก็ช่างพ่อช่างแม่มันสิ
ถ้ามันจะทำลายอนาคตตัวเองเพราะเรื่องแค่นี้ ก็ถือว่ามันไม่มีหัวคิดเอง ช่วยไม่ได้..
ไม่ใช่ความผิดผมเลย..


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


“ใกล้สอบทำกูมึนตึ๊บหมดแล้วว่ะ ขี้เกียจก็ขี้เกียจ ไอ้หนุ่มก็ไม่อยู่ให้ถามอีก”
เสียงไอ้ทัศน์บ่นดังมาจากโต๊ะ
ผมเดินไปทางที่เพื่อนสองคนนั่งอยู่

“อ่าว ไอ้โจ นั่งๆ”
ไอ้โกชวน
“สอบวันไหนวะน่ะ”

“อืม ใกล้ละ ระยะเผาขน”
ผมตอบเบาๆ คอยฟังว่าไอ้ทัศน์จะพูดอะไรอีกไหม
แต่เพื่อนก็เงียบไป และไม่พูดอะไรอีก

“กูไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้เลยว่ะ”
ไอ้ทัศน์บ่นอีกครั้ง
ผมหันไปมองมันนิ่งๆ มันต้องรู้สิว่าไอ้ตูดหมึกอยู่ที่ไหน!


“แล้วคนที่ติวให้มึงเป็นปกติไปไหนซะละ?”


ไอ้ทัศน์เงยหน้าขึ้นมองผมอย่างงงๆ แต่แล้วก็นึกได้
“ไอ้หนุ่ม?”


เออ.. ก็จะใครซะอีกล่ะ
ผมมองมันประมาณ ถามอะไรโง่ๆ
แต่ไอ้ทัศน์มองกลับมาแบบโง่กว่า “มึงไม่รู้เหรอโจ?”


อะไร..ไม่รู้อะไร
ผมไม่รู้อะไร?


ผมยักไหล่อย่างหงุดหงิดและไม่ใส่ใจ
“กูไม่รู้หรอกว่ามันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ต้องรู้จริงมั๊ย”


ไอ้ทัศน์ขมวดคิ้ว
“นี่พวกมึงยังทะเลาะกันอยู่?”


ผมไม่ตอบ..
ไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น
ยังไงก็จบกันแล้ว..


ไอ้ทัศน์พยักหน้าน้อยๆ แค่นหัวเราะ
“โอเค ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ดีแล้ว กูก็คงไม่จำเป็นต้องบอกเหมือนกัน”


หน็อย..!
ไอ้เวรทัศน์!


“อ้าว มึงไม่รู้ว่าไอ้หนุ่มบวชเหรอโจ..”
เสียงไอ้โกแทรกขึ้นมาอย่างแปลกใจ



อะไร..อะไรนะ


“มันไปไหนนะ?”
ผมผุดลุกขึ้น

ไอ้โกตอบอีกทีอย่างงงๆ
“บวช”


.

.

บวช..

บวชเนี่ยนะ


“สิ้นคิด!”
ผมตวาดลั่น
“มันไม่รู้หน้าที่ตัวเองรึไง หน้าที่มันคือเรียน แต่เสือกดร็อปเรียนไปบวช”


“เฮ้ย ใจเย็นดิ กูว่ามันคงมีปัญหาอะไรสักอย่าง”
ไอ้โกลุกขึ้นมาตบไหล่ผมอย่างแปลกใจในความเดือดดาล
แต่ผมไม่หยุด
“ปัญหาอะไรก็เถอะ มันไม่ควรจะหนีแบบนั้นสิ ไอ้..”

ยังไม่ทันจะไอ้อะไร ทัศน์ก็สวนขึ้นมา


“มันไม่ได้หนี”
เพื่อนหนุ่มมองผมเข้มๆ


“ไม่ได้หนีงั้นเหรอ”
ผมมองตอบกลับไปด้วยอารมณ์คุกกรุ่น ในใจยังคงหวังให้นี่เป็นเรื่องล้อเล่น
“อีกเดือนนึงก็จะสอบอยู่แล้ว ถ้ามันดร็อปไปตอนนี้ มันต้องเรียนใหม่หมด และจบช้าไปปีนึง มันคุ้มกันรึไง ทำไมมันไม่ทน”


ไอ้ทัศน์ลุกขึ้นยืน
“มึงรู้งั้นเหรอว่ามันต้องทนกับอะไร มึงรู้ความเจ็บปวดของมันเหรอ”


“เออ กูรู้ กูก็เคยเหมือนกัน! มึงน่ะไม่รู้อะไรหรอกว่ะทัศน์”
ผมตวาด ไม่รู้ว่าไอ้ทัศน์รู้อะไรแค่ไหนและได้อย่างไร
แต่ตอนนี้มันเกินจะสะกดอารมณ์แล้ว
ผมอยากไปคว้าตัวไอ้หนุ่มมาเขย่าๆทุบๆแล้วปั้นใหม่เสียจริงๆ


“ใช่ กูไม่รู้อะไรหรอก”
ไอ้ทัศน์พยักหน้า
“ไอ้หนุ่มบอกกูแค่ว่ามันจะบวช และมันขออโหสิกรรมจากกูเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นที่มันมีกับมึง กูไม่รู้ กูรู้ว่ามีบางอย่าง แต่กูก็ไม่รู้หรอกว่าอะไร”


ไอ้ทัศน์ยังคงมองตาผม
“แต่กูรู้ว่ามันไม่ได้หนี จบช้าไปปีนึงแล้วทำไม ถ้าจบมาแล้วไอ้หนุ่มมันมีคุณภาพ ไอ้หนุ่มเป็นคนเก่ง แต่ในเมื่อวันนึง มันแค่เหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว และมันอยากจะทำบุญ อยากจะขออานิสงส์ในการบวชช่วยให้มันมีแรง มีความสงบในใจ และขออโหสิกรรมจากสิ่งต่างๆ แล้วไอ้หนุ่มมันผิดมากไหม แล้วมึงเป็นอะไร? มึงมีปัญหาอะไร?”


ผม..
ผม..

ไม่จริง..ผมไม่เชื่อ


เราอยู่คนละโลกกันแล้วจริงๆหรือ?



ผมยืนขาชาอยู่ตรงนั้น..
“ไม่จริงใช่ไหม..”


ไอ้ทัศน์ไม่ตอบคำถาม เพียงแต่พูดเบาๆ
“วัดอุโมงค์”


ผมกลับหลังหันคว้ากุญแจรถทันที แต่ไอ้ทัศน์ย้ำเตือน
“โจ.. มึงจะยังไงก็เรื่องของมึง แต่อย่าลืมว่ามึงเป็นฆราวาส อีกฝ่ายเป็นภิกษุ..”


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


มันเป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคย แต่บัดนี้ดูเหมือนมันไกลแสนไกล..


ร่างขาวในจีวรเหลืองยืนกวาดลานวัดอยู่
..ผมไม่อยากเชื่อเลย


เพื่ออะไร..
มันทิ้งทุกอย่าง..เพื่ออะไร..

ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก..
ร่างที่อยู่ไกลออกไปไม่แสดงอาการรับรู้หรือเห็นผม
ผมทำได้เพียงยืนมอง..


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ไม่รู้ทำไม..
คนไม่เคยเข้าวัดอย่างผม ถึงวนเวียนมาวัดทุกวันตั้งแต่วันนั้น


พระหนุ่ม..
พระหนุ่มกวาดลานวัด..พระหนุ่มให้อาหารไก่ ..พระหนุ่มนั่งสมาธิ..

เขาไม่เห็นผม ..แต่ผมเห็นเขา
ผมมองเขา..
ผมไม่รู้ว่าจะบาปไหมที่มองพระด้วยสายตาแบบนี้..
แต่ผมก็ละสายตาไปไม่ได้เลย..


พระหนุ่มเห็นผมเฉพาะตอนเช้าที่ผมตักบาตรให้เท่านั้น
..ข้าวของตักบาตรผมคงพิสดารมาก
แม้แต่อมยิ้มยังมีสารพัดรส..

พระหนุ่มไม่เคยพูดอะไร นอกจากให้ศีลให้พร..
ผมเองก็ไม่เคยพูดอะไร.. นอกจากหยิบของใส่บาตรและประนมมือไหว้..

แต่ในวันนี้..
พระหนุ่มพูดอย่างอื่นที่ทำให้ผมไม่สามารถลุกขึ้นจากพื้นได้..

.

.

"ความเจ็บแค้นของโยม..อาตมาขอบิณฑบาตได้ไหม..”

ประโยคนั้นลอยผ่านสายลม..กระทบโสตประสาทผมอย่างจัง..ก่อนที่ร่างห่มเหลืองจะหันหลังเดินจากไป
ผมปวดร้าวในใจ..
แก้แค้นไป..แก้แค้นมา..สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง..

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22

Chapter 8 : Back To The Beginning..



..อะตีตัง นานวาคะเมยยะนัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง
          บุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ด้วยอาลัย
          และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง..

ยะทะตีตัมปะหีนันตังอัปปัตตัญจะ อะนาคะตัง,
          สิ่งเป็นอดีตก็ละไปแล้ว.. สิ่งเป็นอนาคตก็ยังไม่มา..

ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมังตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ,
อะสังหิรัง อะสังกุปปังตัง วิทธา มะนุพรูหะเย.
          ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้น ๆ อย่างแจ่มแจ้ง
          ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนี้ไว้.

อัชเชวะ กิจจะมาตัปปังโก ชัญญา มะระณัง สุเว,
          ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้, ใครจะรู้ความตาย แม้พรุ่งนี้..




ผมทำวัตร.. สวดซ้ำๆทุกวัน
แต่การสวดซ้ำๆ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมประจักษ์แจ้ง.. แต่มันคือการสวด..แล้วคิด
..สวด..แล้วคิด..
ทุกๆวัน..


ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ..
บุคคลแหละ เป็นผู้แบกของหนักพาไป
การแบกถือของหนัก เป็นความทุกข์ในโลก
การปลงภาระหนักเสียได้เป็นความสุข..



ผมจะไม่แบกเอาไว้อีกต่อไป..

.


.


ผมสวดมนต์ซ้ำๆอยู่คนเดียว..
แต่เมื่อออกจากการเพ่งสมาธิไปที่บทสวด ..ก็ปรากฎว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว



“โยมต้องการอะไรหรือ?”
ผมเปล่งเสียงถามออกไป..มองพื้นนิ่ง..สงบเยือกเย็น..


ไม่มีเสียงตอบกลับมา จนผ่านไปหลายนาที และผมก้าวเดินผ่านเขาไป
เสียงที่คุ้นเคยจึงบอกเบาๆ..
“ผมแค่อยากสวดมนต์ด้วยเท่านั้น”


“บทสวดมนต์เป็นสิ่งบริสุทธิ์..ไม่ใช่สักแต่ท่องๆออกมา โยมต้องเข้าใจว่ามันสื่ออะไร ต้องมีสมาธิกับมัน ถ้าโยมมีเจตนาบริสุทธิ์ ความสงบจะเกิดกับโยม แต่ถ้ามีเจตนาอื่นแอบแฝง มันจะไม่มีทางช่วยให้อะไรดีขึ้นมา”

ผมบอกเพียงเท่านั้นแล้วออกเดินไป..



หลายวัน..หลายเดือนผ่านมาแล้ว
ผมครองผ้าเหลืองด้วยใจพิสุทธิ์..
บางครั้งโยมพ่อโยมแม่แวะมาเยี่ยม.. บางคราโยมทัศน์โยมโกก็มาคุยหลายอย่างให้ฟัง
และโยมโจ..ก็ไม่เคยพลาดตักบาตร..
วันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยินเขาสวดมนต์


..เสียงสวดมนต์ที่ทุ้มลึก..กังวาน..
ผมได้ยินแล้วรู้สึกบอกไม่ถูกจริงๆ..



เช้าวันต่อมาผมออกบิณฑบาตเช่นเดิม..
อากาศเย็นสบายกับเสียงนกขับขานยามอรุณทำให้ผมแช่มชื่นเสมอ..
แต่ในใจยังเหมือนมีบางอย่างที่เป็นพันธะผูกติดซึ่งยังแกะไม่ออก..
..ผมควรจะทำอย่างไรดี



“นิมนต์ครับ..”
เสียงทุ้มลึกกล่าวขึ้นเบื้องหน้า
ผมถอนหายใจเบาๆ ก้มหน้านิ่งเปิดบาตรรับของ


เมื่อมีผู้บริสุทธิ์ใจให้..สิ่งที่เราควรทำคือบริสุทธิ์ใจรับมันเสีย..


มือแกร่งใส่ถุงข้าวสวย..ไข่ตุ๋น..ปลาทอด..น้ำออร่า..นมตราหมี..อมยิ้ม..ลงในบาตร
ก่อนวางดอกดาหลาดอกงามลง


ผมเตรียมปิดฝา
แต่..


“เดี๋ยวก่อนครับ ยังไม่หมด..”
เสียงนั้นห้ามไว้ช้าๆ
มือแกร่งค่อยๆยื่นมาวางไว้บนบาตร..

....
.........
............
...............
“นี่เป็นความเจ็บแค้นทั้งหมดของผม.. ผมมอบให้บิณฑบาตไป..”



..ผมเผลอเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ..
แต่ดวงตาสีเข้มมองกลับมาให้รู้ว่าหมายความตามนั้น..


“สิ่งใดที่เราสองคนเคยล่วงเกินกันด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ผมขออภัยให้ทั้งหมด และเช่นเดียวกัน..”
เขามองผม
“โปรดอภัยให้ผมด้วย..”

.

.

ร่างนั้นคุกเข่าลงประนมมือและกรวดน้ำ..



“ขะ..ขอจงสำเร็จตามปรารถนาทุกประการเถิด..”

ผมกล่าวก่อนเดินจากไปด้วยความรู้สึกที่ต่อให้โลกแตกในนาทีถัดจากนี้..ผมก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว..

.


.

“หลวงพี่แน่ใจเหรอ ว่าจะไม่รอให้ครบปี นี่ก็มาครึ่งทางแล้ว”
เสียงโยมเพื่อนถามออกมา

โกกับทัศน์มักจะมาเยี่ยม คุยสนทนากันในช่วงวันหยุด
และในวันนี้เมื่อเวลาผันผ่านมาเนิ่นนานจนจิตใจผมคลายกังวล ผมจึงยิ้มน้อยๆ
“อาตมาไม่ได้ทำยอดบวชนี่โยมเพื่อน ตอนนี้อาตมาอยากจะไปที่ที่นึง จำต้องลาสิกขาแต่เพียงเท่านี้”

“แล้วหลวงพี่จะกลับไปเรียนเมื่อไหร่ล่ะครับ..”
โยมโกถามออกมา

“คงจะเป็นเทอมหน้า อย่ากังวลเรื่องนั้นเลย อาตมาไม่แก่เกินเรียนหรอก และในความจริงแล้ว ..อาตมาก็เรียนอยู่ทุกวัน บางที..ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้..อาจจะเรียนมากกว่าที่เคยได้เรียนมาตลอดชีวิตก็เป็นได้..”
ผมตอบตามที่รู้สึก

เพื่อนทั้งสองพยักหน้า
โยมทัศน์ทำหน้าฉงนก่อนถามออกมา
“ว่าแต่.. จะไปที่ไหนละครับ?”

.
.
ผมไม่ตอบอะไร..

.

.

ปุยเมฆลอยคลอเคล้า..เคลียยอดดอยโอบเขา..เป็นเช่นชันฉากลึกแนวไพร
..ดั่งฝากฝังตราตรึงไว้มั่น..ผูกพันมิยอมห่างไกล..เคียงคู่ฟ้าเชียงใหม่ให้งามนักหนา..


ผมยืนมองรั้วม่วงม.ช.ท่ามกลางดอกไม้บานและบทเพลงม.ช.รำลึกที่ถูกเปิดเป็นธรรมดาในช่วงรับปริญญาเช่นขณะนี้
ผมไม่ได้รับปริญญา..เพื่อนผมเองก็ยัง
แต่ปีหน้าพวกเขาคงรับ..
..ปีหน้าซึ่งผมเปล่า..
ผมคงรับถัดจากปีหน้า..ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด..

ไม่เรียน..ก็ไม่รู้
ไม่ผิด..ก็ไม่รู้ว่าถูกเป็นยังไง..

ณ จุดนี้ ผมไม่แคร์..

..อากาศปลอดโปร่งอย่างไม่น่าเชื่อ
ลมพัดเย็นสบาย..

ผมมองรั้วม่วงด้วยความรัก..
มันเป็นสถานที่อบรมสั่งสอนทักษะความรู้และบ่มเพาะจิตใจผม
ผมจะกลับเข้าไป..แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

..ตอนนี้ ผมจะไปที่หนึ่งก่อน..


ในรั้วม่วงแห่งนี้..คงมากมีมนต์ขลัง..จึงฝังใจใฝ่รักบูชา
ห่างแต่กาย..ใจยังฝั่งแน่น..ถิ่นแดนที่ตรึงอุรา..ม.ช.นี้ยังตรึงตราเรานั้นแนบเอย..


เสียงเพลงลอยผ่านสายลมก่อนที่ผมจะกวักรถโดยสารให้ไปส่งที่อาเขต..

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ขอบคุณ..คนเกรียน..ที่เขียนอ่าน
ขอบคุณ..ที่ช่วยสาน..สื่อความฝัน
ขอบคุณ..ที่เป็นแรง..ช่วยแบ่งปัน
ขอบคุณ..ที่รักกัน..จนมั่นใจ..


ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22

Chapter 9 : ตามหาหัวใจ~ (แหวะ!!)


มันรู้สึกเหมือนความเจ็บปวดทุกอย่างได้รับการบรรเทา..
ผมเพิ่งรู้ว่าการให้อภัยเป็นยาชั้นดี
..ไม่มีอะไรบั่นทอนจิตใจคุณได้..ถ้าคุณไม่แบกไว้..


. . . . . . .


ผมยืนรอใส่บาตรเหมือนเดิม..
ณ ที่เดิม และเวลาเดิม..

ผมอมยิ้มน้อยๆ..พกความปรารถนาดีมาเต็มเปี่ยม..


แต่รอแล้ว..รอเล่า
พระรูปที่ผมรอก็ไม่มาเสียที..


ผมมาเรียนด้วยความกระวนกระวาย
รอเวลาเลิกเรียนจะได้ไปดูที่ใต้ต้นโพธิ์ที่พระหนุ่มมักจะไปสวดมนต์

แต่เมื่อถึงเวลานั้น..ผมก็เจอเพียงต้นโพธิ์ที่เดียวดาย

ไก่แจ้เดินคุ้ยเขี่ยหาอาหารตามลานดิน

..คนที่ให้อาหารพวกเจ้าอยู่เสมอไปไหนเสียเล่า..ไก่น้อย


.


.


ผมนั่งให้อาหารไก่ในวัดอุโมงค์ทุกวันด้วยใจพะวงสงสัยว่าพระหนุ่มหายไปไหน..จะถามใครก็ไม่กล้า..
ผมจะทำอย่างไรดี..

ผมนั่งให้อาหารไก่น้อยอย่างเลื่อนลอย
ผมจะถาม..หรือไม่ถามดี

ถ้าถาม..ถามถึงใคร..
ถามถึงคนที่เคยทรยศหักหลัง..ทำให้ผมเจ็บปางตาย?


ถ้าถาม..แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ในวันข้างหน้าไอ้หนุ่มอาจจะทำร้ายผมอีกก็ได้..


อะตีตัง นานวาคะเมยยะนัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง,
          บุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว..ด้วยอาลัย
          และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง..



ผมประหวัดนึกถึงบทสวดที่ผมได้ยินแทบทุกวัน..
มันไม่ใช่การทำให้เราประมาทหรือทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงผล..

..แต่มันเพียงบอกว่า อย่ายึดมั่นที่ถือมั่นกับอดีตและหวาดหวั่นกับอนาคตนักเลย..

ชีวิตเราอาจไม่อยู่ถึงวันพรุ่งนี้.. Who knows..?


.


.


“เอ่อ.. หลวงพี่ครับ ไม่ทราบว่าเห็นพระหนุ่มบ้างมั๊ยครับ บวชมาได้ซักหกเดือน..”
ผมถามพระรูปหนึ่งที่เดินมาตรงท่าน้ำ

พระรูปนั้นทำท่านึก..
“อ้อ.. พระหนุ่มสึกไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง”



สึกแล้ว.. สึกแล้วงั้นเหรอ

..ไม่หรอกนะครับ ผมไม่อยากจะทำตัวให้เป็นคนบาป

แต่ให้ตายสิ..


กูโคตรดีใจเลย!


.


.


“ป้าครับ ไม่ทราบว่าคนที่ชื่อณัฐพลกลับมาอยู่ที่นี่มั๊ยครับ”
ผมกลับมาถามที่หอมัน..

“ไม่มีนี่ลูก ห้องเดิมที่น้องหนุ่มเคยอยู่ยังว่าง..”
.
.
นี่คำตอบของป้าเจ้าของหอ..


เอาละ..
อย่าเพิ่งหวั่นใจไปไอ้โจ..
ไอ้หนุ่มอาจอยู่บ้านที่แม่ริม..


ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่บ้านมัน
ผมยังจำทางได้ดี..ไม่ลืมแน่นอน


“สวัสดีครับ มีไค๋อยู่ก่ครับ”
ผมตะโกนผ่านรั้วไม้เตี้ยๆเข้าไป


หญิงผิวขาวหน้าตาเป็นคนเมืองออกมาหน้าบ้าน
“อ้าว เจ้าโจ เข้ามาก่อนสิ”


ผมยกมือสวัสดีแม่ไอ้หนุ่มและเปิดประตูรั้วเข้าไปในบ้าน
ผมกับไอ้หนุ่มเป็นเพื่อนกันมาหลายปี เคยมาที่บ้านมันก็หลายครั้ง พ่อกับแม่มันจึงจำผมได้ดี
“แม่ครับ ผมมาหาหนุ่ม..”


แม่ของไอ้หนุ่มยิ้มแห้งๆ แล้วเอาน้ำเอาท่าให้ผมกิน ขณะพ่อมันกลับมาถึงบ้านพอดี
“พ่อสวัสดีครับ ผมมาหาหนุ่ม”


“อ้อ..”
พ่อไอ้หนุ่มพยักหน้า แต่ขมวดคิ้ว
“หนุ่มบ่ได้อยู่ตี๊บ้าน”

“แล้วอยู่ไหนล่ะครับ?”
ผมรุกถาม


พ่อไอ้หนุ่มส่ายหน้า
“บ่ฮู้ลูก หนุ่มปิ๊กมา กราบพ่อกราบแม่ แล้วก่อู้ว่าจะไป๋ตี๊ตี๊นึ่ง หื้อป้อกับแม่บ่ต้องเป๋นห่วง”

..
….
…….
..ที่ที่หนึ่ง ..แล้วมันที่ไหนล่ะ?


“พ่อกับแม่พอจะรู้มั๊ยครับว่าไปไหน?”
ผมถามอย่างคาดหวัง

แม่ตบไหล่ผม แล้วบอกว่า
“บ่ฮู๊ลูก หนุ่มบ่ได้อู๊หยังนัก บอกแค่ว่าตี๊นึ่ง..”


..ก็แล้วไอ้ที่หนึ่งนั่นมันที่ไหนละวะ!

.


.


“เป็นอะไรวะไอ้โจ เดินมาอย่างกะทำเมียหาย”



..พักนี้มึงฉลาดเฉลียวดีนะไอ้ทัศน์นะ



ผมนั่งลงข้างเพื่อนหนุ่มแล้วถามออกไปตรงๆ
“พวกมึงรู้มั๊ยไอ้หนุ่มอยู่ไหน?”

สามีน้องเกรย์กับภรรยาพี่กรีนมองหน้าผมอย่างงงๆ
“ก็อยู่วัดไง”

“สึกแล้ว..”
ผมบอกเบาๆ

“สึกจริงเหรอเนี่ย”
ไอ้โกรำพึง

“พวกมึงรู้เหรอ?”
ผมเบิ่งตา

“รู้ว่าจะสึก”
ไอ้โกรับ “ก็เราไปคุยด้วยประจำ”

“แล้ว..”
ผมมองอย่างมีความหวัง

และไอ้ทัศน์ก็ดับความหวังนั้นเสียสนิท
“แต่ไม่รู้ว่าไปไหน.. ทำไมมึงไม่ลองไปที่บ้านมันล่ะ?”

.

.

ผมถอนหายใจยาว..
ลากเท้าไปที่ห้องชมรมอย่างเลื่อนลอย เผื่อจะมีข่าวคราวของกวีชมรมบ้าง..


“อ่าว ไอ้โจ หายหัวไปนานเลย”
เพื่อนทัก แต่ผมถามกลับไป
“ไอ้หนุ่มมาที่นี่บ้างรึเปล่า..”


เพื่อนผมส่ายหน้าอย่างงงๆ
“อ้าว ไม่ใช่ว่ามันบวชอยู่เหรอ..?”

.


.

ผมนั่งยืดขาพิงชั้นหนังสือวรรณศิลป์..

ผมจะไปหามันได้ที่ไหน

..มึงอยู่ไหน
อยู่ไหนเหรอ..


ผมเดินออกจากห้อง..สายตาเหลือบไปเห็นบทกวีที่ไม่อาจสร้างโลก


ดวงดาวทอแสง..
..กายอ่อนแรง
หัวใจแฝง..ความสำนึกผิด..
..ม่านเมฆม้วนดำดิ่งลงใน..ห้วงความคิด
..ที่ซึ่งไม่มีสิทธิ์ แม้จะเอ่ย..ขอโทษ..



..ผมนิ่งไป


“อีแรด”

“ร่าน!”

“สารเลว”



..และอีกหลากหลายคำที่เหยียดหยามประนาม
ผมแทบน้ำตาตกเสียเอง

ความเจ็บปวดที่ผมได้รับดูเล็กน้อยลงไปถนัดใจเมื่อคำนึงว่ามันต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบไหนตลอดสามปีที่ผ่านมา..


ในตอนนั้น..มันดูเหมือนไม่มีอะไรเจ็บปวดไปกว่าการโดนไอ้หนุ่มนอกใจ
และไม่มีอะไรที่ผมต้องการมากไปกว่าการได้ทำให้มันทรมานเท่าๆกัน..

..วันเวลายาวนานที่ผมคอยดูให้มั่นใจว่ามีมันอยู่ข้างกายเพื่อคอยตอกย้ำไม่ให้มันลืมว่ามันทำอะไรไว้
..ที่ผมมีโอกาสเสมอจะเอาคืนและทำร้าย..
ความสะใจในวันนั้น..กลายเป็นน้ำร้อนจัดที่สาดใส่หัวใจผมในตอนนี้


..ผมเพิ่งจะรู้ว่า..มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
..ความเจ็บปวดของผมไม่อาจลบได้ด้วยความเจ็บปวดของมัน


เพราะสิ่งที่ทรมานที่สุดไม่ใช่ความเจ็บปวดของเรา แต่..เป็นความเจ็บปวดของคนที่เรารัก


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22
Chapter 10 : ตั้งแต่ครั้งที่เราจากกันแสนไกล..


ยอดดอยสูงตระหง่านงดงามเหลือเกินในความสดใสของท้องฟ้าหลังสายฝนในวันนั้น
อย่างน้อย..เราก็ขอบคุณฟ้า ที่ทำให้เราได้มีช่วงเวลาที่มีความสุขช่วงหนึ่งที่นี่..
ที่ได้ทำประโยชน์ที่นี่.. ได้พบความรักความอบอุ่นของคนต่างภาษาที่นี่..
และได้เป็นเทียนเล่มน้อย..ของที่นี่..

สายหมอก..หยอกลมฟ้า..ป่าฝน
สายใจ..ในจิตคน..บ่นหา
สายรุ้ง..รุ่งรางแต่ง..แต้มนภา
แห่งยอดดอย..เสียดฟ้า..ข้าเคยเนา



..ผมปิดสมุดบันทึกเล่มเก่าเก็บลงกระเป๋าหลังจากหยิบมาอ่านจนถึงหน้าสุดท้าย
บันทึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ผมรักและผูกพัน..


สี่ล้อและสองเท้าพาผมก้าวมาถึงอาณาเขตขุนเขาอันไพศาลแห่งนี้แล้ว ..แม่ฮ่องสอน

ผมออกจากบ้านที่อำเภอแม่ริม..ไปม.ช...และไปอาเขต
จากนั้นจึงเดินทางทางด้วยรถโดยสารประจำทางมาถึงอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

จุดมุ่งหมายของผม..คือหมู่บ้านแม่ละ
บ้านบนดอยของชาวปกากะญอ..

ปกากะญอ หรือที่คนพื้นราบเรียกว่าชาวกะเหรี่ยง
แต่จริงๆพวกเขาเรียกตัวเองว่าปกากะญอ ..คำนี้แปลว่าคน

ไม่มีรถโดยสารใดไปส่งผมที่บ้านแม่ละบนดอยสูงท่ามกลางเส้นทางที่ค่อนข้างยากลำบากได้
ผมจึงยืนคอยอยู่ที่ถนนใหญ่..รอให้มีรถของชาวบ้านสักคันมุ่งหน้าเข้าไป..และผมจะทำการโบก ขออาศัยไปลงที่บ้านแม่ละด้วย..หรือไม่ ก็ไปไกลที่สุดเท่าที่เขาจะไป ผมเดินเท้าเข้าไปเองได้หากเหลือระยะทางไม่ไกลนัก


ในที่สุดพระเจ้าแม่ฮ่องสอนก็เข้าข้าง..รถที่มาส่งกะหล่ำปีกำลังจะขึ้นกลับไปหมู่บ้านพอดี
“ขอหื๊อผมไป๋โตยคนเน้อครับ พะตี”

“เกยหันตี๊ไหนน้อ เกยไปแม่ละแม่นก่อ”
ลุงคนขับ ที่ผมเรียกว่า พะตี ซึ่งเป็นคำใช้เรียกลุงในภาษาปกากะญอมองผมแล้วถามขึ้นเป็นภาษาคำเมืองที่ไม่ชัดนัก

ผมยิ้มให้ ก่อนตอบตามตรง
“ผมเกยยะค่ายอาสาครับ พักอยู่ที่บ้านปาพะแก่ ผมใค่ปิ๊กไป๋เยี่ยมเปิ่น”

เป็นที่แน่นอนว่าพะตียินดีต้อนรับผมขึ้นรถ โดยจุดหมายคือบ้านแม่ละ และเหตุผลคือ..ผมเคยไปที่นั่น.. พร้อมกับใครบางคน..


ผมปีนขึ้นไปนั่งท้ายกระบะ..
บนนั้นประกอบด้วยผู้โดยสาร สาขาโบกรถเฉกเช่นผมหลายคนด้วยกัน 
ฝั่งตรงข้ามถัดจากผมเป็นหญิงปกากะญออุ้มลูกน้อยไว้แนบอก ถัดไปเป็นผู้เฒ่า และมีอ้ายผู้บ่าวอีกสี่ห้าคน ผมยิ้มและยกมือไหว้ทุกๆคนแล้วนั่งกอดเข่าขณะรถแล่นไปช้าๆ..


ผมกอดกระเป๋าเป้แนบอก ..มองฝั่งตรงข้ามอย่างพินิจพิจารณา
..มองเพื่อจะไม่เสียใจกับเรื่องนี้อีกตลอดกาล..


ใบหน้าไอ้โจยิ้มตอบกลับมาจากอีกฟากของท้ายรถ
..เราเคยนั่งตรงข้ามกันเมื่อเกือบสี่ปีก่อน..คราที่เราขึ้นดอยครั้งแรก..


ตั้งแต่ครั้ง..ที่เราจากกันแสนไกล ..เหตุและผลมากมายไม่เคยสำคัญ..
..เท่ากับความรู้สึกที่ใจของฉันนั้นเก็บให้เธอ



เฮ้อ..
ให้ตายเถอะ
ผมเบื่อตัวเองที่เป็นพวกอินกับบทเพลง


เพลงบางเพลง..ผมฟังซ้ำกี่รอบก็ไม่เคยเบื่อ..
เพลงบางเพลง..ผ่านไปนานแค่ไหน..ผมก็ยังมีน้ำตา


ผมสะบัดหัวไล่ แค่ได้คิดถึง ของสาวญารินดาออกไปจากหัว
และฮัมเพลงบางระจันแทน
ซึ่งก็..ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

คำถามเดิมผุดขึ้นมาอีกรอบ ..แล้วผมจะเสือกกลับมาที่นี่ทำไม?

ผมบวชมาแล้ว..โจอโหสิกรรมให้ผมแล้ว..
แล้วผมจะกลับมาที่ที่เรารักกันทำไม..

เหตุผลง่ายๆที่ผมรู้ดี..

ก็เพราะผมยังคงรักมันน่ะสิครับ..

..แล้วทำไมผมถึงจะไม่อยากกลับมาที่ที่ผมมีความทรงจำดีๆร่วมกับคนที่ผมรัก..
ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นเพียงอดีต.. ตราบใดที่มันเป็นอดีตที่งดงาม..มันก็จะเบ่งบานในใจผม..เสมอไป



ผมล้วงหยิบภาพถ่ายที่เคยถ่ายกับมันสมัยมอปลายออกมาดูอีกครั้ง..
เคยดูมิวสิควิดิโอ..ไม่แปลกครับ
พระเอกเอ็มนางเอกวีหยิบรูปเก่ามาดูแทบจะทุกเพลงอกหัก
ถ้ายังคิดเติงหาแต๊คิดเติงหาว่าเนี่ย ก็จะต้องร้องไห้คร่ำครวญ
หรือหากจะตัดใจไปหาคนใหม่ก็จะต้องปล่อยรูปทิ้งไปในสายลม

..แต่ผมไม่ทำทั้งสองอย่าง

ผมไม่ร้องไห้..และผมไม่ทิ้ง
แม้ในใจ..ไม่เคยคิดสักวินาทีให้โจย้อนกลับมาหา..ให้เรากลับมารักกัน
เพราะสำหรับบางความรัก..ไม่ใช่มีไว้เพื่อให้ได้อยู่ร่วมกันหรือสานต่อ..

รักบางรัก..อาจมีไว้เพียงเพื่อให้..รัก


ผมเก็บรูปถ่ายสอดไว้ในกระเป๋าเช่นเดิม..


รถจอดที่ทางเข้าหมู่บ้าน ผมไหว้ขอบคุณพะตี แล้วสะพายเป้ขึ้นบ่า เดินช้าๆเข้าไปในหมู่บ้าน

..แม่ละเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโขอยู่..
เริ่มจากอาคารเรียนที่สร้างเสร็จแล้ว..
คราวที่ผมกับไอ้โจมาค่ายอาสาสมันมอปลาย เราทำไว้เพียงโครงสร้างอาคารเพราะขาดงบประมาณ
จากนั้นโรงเรียนจึงท่าผ้าป่าและได้สร้างจนสำเร็จ
จากที่เคยใช้โซล่าเซลส์ ขณะนี้ไฟฟ้าก็เข้ามาถึงแล้ว..ประปาหมู่บ้านมีแล้ว


ยังมีใครจำผมได้ไหม..ผมไม่รู้..


สายลมหนาวพัดผ่านแผ่วเบา..
ขุนเขาโอบล้อม มองไปทางไหนก็เห็นต้นไม้ เว้นว่าจะเงยหน้าตรง ก็จะเห็นแผ่นฟ้ากว้าง..




“พี่นุ่ม นั่นพี่นุ่ม!”
เสียงเด็กที่ล้อมวงเล่นอยู่ด้วยกันคนหนึ่งในนั้นตะโกนและพรรคพวกเพื่อนที่เหลือจึงหันมองตามที่มือเด็กน้อยนั่นชี้
..หันมาที่ผม

“อ้ายนุ่ม!”
เสียงคนหนึ่งตะโกน คนที่ผมจำได้ว่าชื่อบือพอ

ผมยิ้มและอ้าแขน..
บือพอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนผม
เด็กคนอื่นๆกิ่งกรูเข้ามาหาด้วย


ผมเคยมาอยู่ที่นี่ราวครึ่งเดือน
..เวลาแค่นั้นก็เพียงพอที่ผมและคนที่ได้สัมผัสกายสัมผัสใจกันที่นี่จะผูกพัน ..เพราะเราไม่มีอะไรให้กันนอกจากน้ำจิตน้ำใจ
ผมให้แรงกายแรงใจสร้างที่ทางศึกษา..พวกเขาให้อาหารเลี้ยงกายและความรักเลี้ยงใจ

เราเป็นครอบครัว..
แม้ในคราวนั้น..ผมพูดปกากะญอไม่เป็นเลยสักคำเดียว



“พี่มาคนเดียวหรือคะ”
เด็กน้อยคนหนึ่งถามขึ้น

เด็กปกากะญอรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เรียนหนังสือไทย พูดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาปกากะญอ แม้ว่าสำเนียงจะไม่เป็นไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สื่อสารกับคนพื้นราบได้เข้าใจ


ผมพยักหน้า
“ครับ พี่มาคนเดียว”


“พี่โจ้ไม่มาด้วยหรือคะ”


..ไม่ใช่พี่โจ้จ๊ะน้อง ..พี่โจ

ให้ตายสิผมว่าผมจะไม่อะไรแล้วนะ..
แต่จากที่ยืนอยู่..ผมก็คุกเข่าลงและส่ายหน้า

“ไม่ได้มาครับ ..และจะไม่มา”


แต่ละครั้งที่เราผ่านมาพบกัน..อาจบังเอิญได้ยินข่าวคราวของเธอ
..นั่นคือความรู้สึกที่ดีที่ฉันคอยอยู่เสมอ



..น้องบือพอพาผมมาที่เรือนหลังเดิมที่ผมเคยอยู่ นั่นคือเรือนของปาพะแก่
คำว่า'ปา' ในภาษาปกากะญอหมายถึง'พ่อ'ครับ

เรือนของปาพะแก่ปลูกเหมือนชาวปกากะญอทั่วไป คือเป็นบ้านไม้ ยกพื้นสูง มีใต้ถุน บ้านหลังไม่ใหญ่นัก ใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกทำฝาผนังและมุงด้วยสังกะสีบางส่วนและบางส่วนใช้ใบตองตึง..


ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นขั้นบันไดบ้าน ที่ใช้เพียงไม้ท่อนตอกเป็นบันได
เปล่าเลย.. ผมไม่ได้รู้สึกว่ายากลำบากในการขึ้นบ้าน
แต่..ผมเคยนั่งมองฟ้ากับไอ้โจที่บันไดขั้นบนสุด..


ขอบฟ้าที่เรานั่งมองคราวนั้นยังมีความหมาย..

หยิงวัยกลางคนนุ่งซิ่นแดงคนหนึ่งเดินออกมาจากครัว และตกตะลึงเมื่อเห็นผม
พลันสายตาแห่งความตกตะลึงก็เปลี่ยนเป็นความดีใจจนพูดไม่ออก ได้แต่ลงมาจับตัวผมเขย่า

..ผมยิ้มและโอบกอดเธอ
“โอมึเชอเปอ..โม”

ผมสวมกอดเอาไว้..

โอมึเชอเปอ หมายถึง สวัสดี ในภาษาปกากะญอ
ส่วนคำว่าโม หมายถึง แม่

เธอเป็นหญิงปกากะญอโดยแท้..เธอพูดภาษาไทยไม่เป็นเลย
เธอเป็นคนแม่ฮ่องสอน..ผมเป็นคนเชียงใหม่..เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
แต่เกือบสี่ปีที่แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นคนดูแลผม..ทำกับข้าวให้ผมกิน..และรักผมเสมือนหนึ่งลูกชายแท้ๆ


“ปา?”
ผมถามพลางหันมองหา


เธอพูดภาษาปกากะญอและชี้ไปทางสวนกะหล่ำปลี เป็นทำนองให้รู้ว่าปายังไม่กลับจากสวน
ผมพยักหน้ารับ และเอ่ยเบาๆ
“กาโมทีซ่านา..”

โมยิ้มและพยักหน้าเช่นกัน
“กาโมทีซ่านา”

แปลว่าคิดถึง..



ผมเอาเป้ขึ้นไปไว้บนเรือน โมยินดีต้อนรับผมตามคาด
สเต็ปแรกของผมจึงไปช่วยโมทำกับข้าวในครัว
เรายังใช้การก่อไฟหุงหาอาหารกันอยู่ ใช้ตะเกียงให้แสงสว่าง..
ผมรู้ว่าไฟเข้ามาก็คงทำให้ชาวบ้านสะดวกสบายขึ้น
แต่ความสบายของคนบางคนก็ไม่ได้อยู่ที่ความยากลำบากในวิถีชีวิต
และที่ยิ่งไปกว่านั้น..คนเรามองความยากลำบากได้ไม่เท่ากัน

ผมไม่เห็นความลำบากใจของการก่อไฟหุงข้าวต้มแกงของโมเลย..
ผมไม่เคยเห็นความยากลำบากของชาวบ้านที่อาบน้ำซักผ้าในลำธารเช่นกัน..


ทำกับข้าวเสร็จผมก็ออกมาเดินเล่น พบผู้คนที่ยังจำผมได้บ้าง ผมก็ยิ้มและคุยทักทายหากใครพอจะพูดไทยได้


..ผมยืนอยู่ริมห้วยที่ไหลลงมาจากเขาสูงเบื้องบน
สายน้ำใสแจ๋ว..ปลาน้อยว่ายเวียน..
ผมทำได้เพียงยืนดูอยู่นิ่งๆ..


..ต้นไม้ลำธารยิ่งมองยิ่งคิดถึงเธอมากมาย


ผมทรุดนั่งลงใต้ร่มไม้ ..หย่อนเท้าแอบอิงสายน้ำเย็นใส
คิดถึงโจ..ก็คิดถึง
แต่ก็ไม่ได้คิดถึงแบบโหยหาคร่ำครวญ

แต่คิดถึง..เพราะผมมีความสุขทุกครั้งที่สัมผัสได้ว่า..ครั้งนึงเราเคยรักกัน..
และใช้ชีวิตด้วยกัน..ที่นี่


..ผมพิงต้นไม้และแหงนมองฟ้า หลับตาลงพัก..
เพียงพัก..มิใช่ยอมตาย


ชีวิตที่มันขาดเธอวันนี้ยังเดินต่อไป..


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


“อ้ายหนุ่มบ่เฮียนแล้วก๋า”
ลูกชายของปาและโมที่พูดภาษาไทยได้เอ่ยถามผมในวงข้าวใต้แสงเทียนของบ้านเรา ผมส่ายหน้าปฏิเสธ


“เฮียน แต่อ้ายดร็อปไว้ คือหยุดเอาไว้ก่อน พี่ปิ๊กไปเฮียนแหมรอบแต๊ แต่จะยะหยังก่อนซักกำ”


ผมบอกว่าอยากทำอะไรบางอย่างก่อน
ผมกลับไปเรียนแน่นอน..แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ และก็ไม่ได้นานนักหลังจากนี้..


ผมไม่ใช่คนเพื่อชีวิตที่มองว่ามหาวิทยาลัยไม่ให้อะไรนอกจากใบปริญญาและไม่เคยคิดว่าการศึกษาไม่ใช่สิ่งสำคัญ..
เท่าๆกับที่ผมไม่ได้มองว่าการได้เรียนและจบมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่จะต้องชิบหายหากไม่สำเร็จ


มหาวิทยาลัยเป็นชีวิตจำลอง..ที่คุณจะได้รับสิ่งต่างๆมากมายแน่ถ้าคุณใช้ชีวิตเป็น
แต่ในขณะเดียวกัน..หากคุณไม่มีโอกาสเรียนและจบมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตที่ดีงามของคุณจะสิ้นสุดเพียงแค่นั้น..


มันไม่ได้สำคัญที่คุณเป็นใครและอยู่ที่ไหน..มันสำคัญที่คุณทำอะไร..



เช้าวันรุ่งขึ้น..ผมขึ้นเนินลงเนินตามปาออกไปทำสวนกะหล่ำ

อาชีพของชาวบ้านที่นี่ก็คือการทำนา ทำไร่ ทำสวน
ส่วนหนึ่งก็เพื่อยังชีพและอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อส่งไปขายยังพื้นราบ

ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมไม่เคยเห็นชาวบ้านมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งทุบตีกันเลย
ครั้งผมถามปาว่าเคยมีไหม ปาก็ตอบว่า ไม่มี.. ส่วนใหญ่มีแต่เรื่องช่วยๆกัน อย่างทำนา สร้างบ้าน พอใครทำ ทุกคนที่รู้ก็จะไปช่วย..

ผมรู้สึกจุกแทนคนเมืองนิดๆ..
พวกเขาไม่มีอะไรจะแย่งกันอย่างพวกเราๆ พวกเขาจึงไม่ต้องทะเลาะกัน..


ชีวิตของก้าวเดินต่อไปช้าๆ..และผมก็ไม่ได้รีบวิ่งไปไหน..
ผมทำสิ่งที่ผมมีความสุข..
บางวันผมก็ไปช่วยสอนหนังสือที่โรงเรียนเล็กขนาดเพียงสองสามอาคารเตี้ยๆหน้าหมู่บ้าน
..และบางวัน..ผมก็นั่งเขียนบทกวีอยู่ใต้ต้นไม้สักต้น..


ผมกับสมุดบันทึกและปากกากลายเป็นแฝดสามที่ชินตาชาวแม่ละเป็นอย่างดี
ผมตื่นพร้อมกับไก่ขันและหลับลงพร้อมสกุณาเกาะกิ่งไม้เข้าสู่ภวังค์..

เงียบ..สงบ..สะอาด


แม้บางคืนในสายลมหนาวเย็น..ผมจะอดเดินไปตามแนวขั้นบันไดใหญ่ที่ชาวบ้านเอาไว้ทำนาไม่ได้..
ผมย่างก้าวช้าๆ..
ผมเคยเดินตามหลังใครบางคนที่ตรงนี้..ในสายลมหนาว..ใต้แสงดาวจรัส

..โจ


ผมนั่งผิงไฟจิบเหล้าต้มร่วมกับชาวบ้านและมองเด็กๆหยอกล้อเล่นกัน
อากาศบนดอยนั้นหนาวเหลือใจ..การต้มเหล้าและใส่สมุนไพรลงไปเป็นวิถีของชาวบ้านที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย ไม่ใช่ขี้เหลาเมายาอย่างที่เราเราบางคนเข้าใจผิดกัน



“อ้ายโจบ่มาโตยก๋า”
..เฮ้อ เอาอีกแล้ว คำถามนี้..

ผมยิ้ม..และส่ายหน้า



“ออซิ ออซิ”
พะตีท่านหนึ่งยื่นแก้วมาให้ ผมพยักหน้าขอบคุณ
ออซิ คือชวนดื่มเหล้า ผมจิบพอให้ร่างกายอบอุ่นไปองสามแก้ม (จิบ?) << วิจารณญาณครับ


“หนุ่ม ออเมเลี๊ยะ”
แม่เฒ่าท่านหนึ่งถามอย่างใจดีและยื่นปลาย่างมาให้
ผมยิ้มและตอบ “ออริ”


เขาถามว่ากินข้าวหรือยังและยื่นปลามาให้
แม้ผมจะตอบรับว่ากินแล้ว แต่ก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจ คงรับปลาย่างมาแกะกิน


ในวันที่อากาศหนาวมากๆหรือเป็นช่วงหัวรุ่ง..ผมจะซุกตัวในผ้าห่ม แทนที่จะเป็นเพียงเสื้อหนาว
ชาวปกากะญอขันกิริยานี้น่าดู แต่ผมหัวเราะแล้วบอกว่า “ก็ผมหนาวนี่”


วันนี้ก็เช่นเดียวกัน..ผมเดินขึ้นมาบนโบสถ์

อ้อ..ชาวปกากะญอส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ครับ เนื่องจากมีเพราะมีนักบุญคนหนึ่งเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในหมู่บ้านตั้งนมนานมาแล้ว ก่อนหน้านั้นนับถือผีสางตามแบบชาวเขาทั่วไป งบประมาณสร้างโบสถ์ให้ชาวบ้านก็มาจากบาทหลวงท่านหนึ่ง

จากบนโบสถ์มองลงไปเห็นทิวทัศน์ของขุนเขาและหมู่บ้านกว่าห้าสิบหลังคาเรือน..
ผมกระชับผ้าห่มแนบลำตัว..สมุดและปากกากำแน่นอยู่ในมือ

ค่ายอาสาเมื่อสี่ปีที่แล้ว..
มีคนนั่งตรงข้ามกับผม
คนที่ก่อไฟ..
คนที่ไม่กลัวฝน..
คนที่ไม่เคยทอดทิ้งผมไม่ว่าในภาวะใด..
..ผมขอบคุณ

..เม็ดฝนสาดกระทบ ผืนดิน
ทุกถิ่นเรือนยลยิน กู่ก้อง
ไอน้ำปนไอหนาว จึ่งก่อ..ไฟฟืน
ไออุ่นเอื้อโอบอุ้ม ..กรุ่นร้อน หนาวคลาย..


มันเป็นบทกวีที่ผมแต่งโดยไม่ใส่ใจฉันทลักษณ์ในวันนั้น..วันที่ไอ้โจยังอยู่ตรงนี้..

แต่จนบัดนี้..มันก็ไม่สำคัญว่าไอ้จักรินทร์อยู่ที่ไหน..และมีชีวิตอย่างไร..
แม้เหตุผลที่ทำให้มันอยู่ตรงนั้น..และผมอยู่ตรงนี้..ก็ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดคงเป็นเพียง..

ผมหลับตา..โอบกอดตัวเอง
“กาโมทีซ่านา..”

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kny

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-15

ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22
Chapter 11 : ตั้งแต่ครั้งที่เราจากกันแสนไกล..


..ม.ช. ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมนัก
ผมแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เพราะภาระงานและการสอบไฟนอลของภาคเรียนที่ 2 ชั้นปีที่ 3 นี้

..แต่หากว่างเมื่อไหร่..


เหอะๆ.. ไม่คิดเลยว่าวันนึง ผมจะต้องมายืนมองฟ้าและมองหาใครคนหนึ่งที่นี่..


อ่างแก้ว..ยังมีน้ำนิ่งสนิท นานๆทีเจ้าปลาจะกระโดดเล่นให้น้ำสะท้านสะเทือนบ้าง
ผมในเสื้อช๊อปนั่งกอดเข่า หน้าตานิ่งสงบริมอ่าง..
ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริงที่เคยนั่งเล่นอยู่ตรงนี้ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงของผมอีกครั้ง..

แม้เราไม่เคยมีความทรงจำดีๆแบบคนรักร่วมกันใน ม.ช. แต่เราก็เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน..
ไอ้หนุ่มพูดมาก..ปากหมา..และยิ้มเก่งที่สุด
ผมยังเห็นมันหันมายิ้มกับกลุ่มเพื่อน..ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นอยู่เลย..

ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น..ขอแค่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นอีกสักครั้งหนึ่ง..ครั้งเดียวก็พอ..


ตั้งแต่ครั้งที่เราจากกันแสนไกล..เหตุและผลมากมายไม่เคยสำคัญ
เท่ากับความรู้สึกที่ใจของฉันนั้นเก็บให้เธอ..




“แม่ครับ หนุ่มปิ๊กมาแล้วก่ะครับ”
ผมมาบ้านมันที่แม่ริมบ่อยจนจะเป็นพันธมิตรกับต้นไม้ดอกไม้ในบ้านแล้ว

แม่ยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู แต่ก็ส่ายหน้า
“ถ้าปิ๊กมา แม่จะบอกลูกเจ้า แต่น้องหนุ่มยังบ่ปิ๊กมาเตื๊อ..”

ผมพยักหน้า..
กี่ครั้งกี่ครั้งไอ้หนุ่มก็..ยังบ่ปิ๊กมาเตื้อ

ยังบ่ปิ๊กมาเตื้อ..

แล้วเมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่มันจะมา....

.

.

“เฮ้ ไอ้โจ ช่วงนี้ขึ้นมาชมรมทุกวันเลยวะ”
เสียงเพื่อนทักทาย ผมพยักหน้าเนือยๆ

ใช่ครับ ผมขึ้นมาห้องชมรมทุกวัน
..เพียงเพื่อหวัง หวังว่าจะได้ยินอะไรหรือได้ข่าวคราวบ้าง..


“วรรณศิลป์ๆ มีไปรษณีย์มาส่ง”
เสียงหย่อนบางอย่างไว้ที่กล่องหน้าห้องชมรม

ผมเดินเนือยๆไปหน้าประตู
ไปรษณีย์มาส่งก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ส่วนใหญ่จะเป็นเอกสารต่างๆ
และก็จริงดังนั้น ผมหยิบเอกสารสองสามฉบับออกมา..แต่มีบางอย่างหล่นออกจากมือ

..กระดาษแผ่นหนึ่ง

ผมก้มลงหยิบขึ้นมา

อ่อ..มันคือไปรษณียบัตรนี่เอง
ไม่แปลกหรอกครับ พวกเราเวลาไปเที่ยวไหนก็นิยมส่งไปรษณีย์กลับมาที่ห้องชมรมอยู่แล้ว
ไอ้หนุ่มก็มักจะทำอย่างนั้น

ผมพลิกไปรษณียบัตรอ่านดู มันมีแค่ที่อยู่ชมรม กับประโยคสั้นๆเขียนด้วยลายมือ ไม่ได้ระบุว่าส่งมาจากใคร
แต่ใจผมเต้นผิดจังหวะ..

กาโมทีซ่านา..

ผมจ้องมองตาไม่กะพริบ..

ลายมือไอ้หนุ่มแน่นอน ชัดเจน !

มันคงอยากจะบอกชมรมว่า มันคิดถึงนะ..


ใช่..ผมรู้จักคำนี้
มันเป็นภาษาปกากะญอ..


ทันใดนั้นผมก็ต้องตบหน้าผากตัวเอง..

ไอ้โจ ทำไมมึงโง่อย่างนี้ จะดักดานอีกนานไหม!!

ผมแนบไปรษณียบัตรนั้นไว้แนบอก
ผมรู้ว่ามาจากหนุ่ม.. และก็รู้ดีว่ามันไม่ได้คาดหวังจะให้มาถึงผม เพราะปกติผมแทบไม่ได้ขึ้นมาชมรม
เพียงแต่เป็นนิสัยของมันที่จะเขียน..

บนแผ่นไปรษณียบัตรไม่มีที่อยู่ ไม่มีรูปภาพบอกสถานที่
แต่ผมว่า..ผมรู้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน


แต่ละครั้งที่เราผ่านมาพบกัน อาจบังเอิญได้ยินข่าวคราวของเธอ..
..นั่นคือความรู้สึกที่ดีที่ฉันคอยอยู่เสมอ



สอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว..ผมเสร็จภารกิจทางหน้าที่
ผมขอไปทำตามหัวใจบ้างก็แล้วกัน..

ผมมาถึงแม่ฮ่องสอน..ที่ที่ผมเคยเดินทางมาก่อนเมื่อสี่ปีที่แล้ว
..ที่ที่ผมรักกับใครบางคน..

ผมอยู่ในอำเภอแม่สะเรียง..ริมถนนใหญ่..กำลังรอรถสักคันที่จะขึ้นดอย..ผมจะขอโดยสารไปด้วย

หลังจากคอยอยู่ร่วมชั่วโมง ก็มีรถขึ้นไปจนได้..ผมปีนขึ้นไปนั่งท้ายรถกระบะว่างๆที่ดูท่าทางจะเสร็จจากการส่งผักที่ตลอดในตัวเมือง

รถกระตุกวิ่งโคลงเคลงไปตลอดทางด้วยถนนที่ทอดขึ้นไปข้างบนนั้นแสนขรุขระ
แต่ผมก็นั่งด้วยความอดทน..ท้องฟ้าสีฟ้าสมชื่อผงาดอยู่เบื้องบน ..ผมเงยขึ้นมอง
ประหวัดถึงคนที่เคยนั่งมองฟ้าท้ายรถกระบะด้วยกันตามเส้นทางนี้..
มือแกร่งล้วงกระเป๋ากางเกงกำสายข้อมือ J&N ที่แอบเก็บคืนมาจากถังขยะไว้แน่น..

..มึงกำลังคอยกูอยู่หรือเปล่า? ..มึงยังจำเรื่องราวของเราได้ไหม..?


ขอบฟ้าที่เรานั่งมองคราวนั้น..ยังมีความหมาย
ต้นไม้ลำธารยิ่งมองยิ่งคิดถึงเธอมากมาย..



“ตะบรื้อโดโด”
ผมกล่าวขอบคุณ
..และกระโดดลงจากรถด้วยหัวใจที่เต้นรัว
ผมจะมาเจอกับความว่างเปล่าหรือเปล่าหนอ..


เสียงร้องเพลงดังมาจากกลุ่มเด็กๆในหมู่บ้าน..ผมอมยิ้ม
จะกี่ปีผ่านไป..วัยเยาว์ก็ยังบริสุทธิ์สดใสอยู่นั่นเอง

บือหมื่อ อะทิ โอะ เลอแล
บือพอ อะทิ โอะ เลอแล
บือหมื่อ อะทิ เลอ ว่าแร
บือพอ อะทิ เลอ ว่าแร
อะทู่ โด้ อะหล้า จวี่แย
กว่าแก มื่อแม เดอ โพ่เค


เพลงนี้เป็นเพลงต้นข้าว.. บ่งบอกความหมายถึงเพื่อระลึกถึงข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขา..

ผมค่อยๆย่างเท้าเดินเข้าไปใกล้เด็กๆกลุ่มนั้น..
กลุ่มที่มีเด็กโข่งคนนึงยืนเต้นอยู่ตรงกลาง..
เต้นท่าประหลาด..บ้าๆ..บอๆ..ตูดเด้งๆส่ายไปมา.. ชวนให้ตีแรงๆอย่างมันเขี้ยวนัก..
ผมดำขลับยาวระต้นคอ..ผิวขาวเนียนคล้ำแดดขึ้นพอประมาณ..
ใช่แล้ว..
..หนุ่มน้อยของไอ้โจ..


“เฮ้ นั่น..นั่น!”
เด็กน้อยคนหนึ่งหันมาเห็นผู้มาเยือนเข้าแล้ว..


“อ้ายโจ้!!”
เสียงเล็กๆของเด็กน้อยตะโกน


ร่างที่เต้นลิงเต้นค่างอยู่หันสายตามาปะทะกับผม..
ท่าแร้งท่ากาหรืออะไรก็ตามที่มันกำลังทำหยุดชะงัก..ดวงตาสุกใสแม้มองจากระยะไกลกลับเห็นได้ชัดว่ามองนิ่ง..

เราประสานสายตากันอย่างตกตะลึง..
มันคงตกตะลึงที่เจอผมอีกครั้งที่นี่..หลังจากที่คงไม่คิดแล้วว่าจะเจอกันอีก..
..ส่วนผม ก็ตกตะลึง..ที่คิดถึงมันได้มากถึงเพียงนี้..

เด็กเกือบทั้งกลุ่มวิ่งกรูเข้ามาหาผม
ผมดีใจที่ทุกคนยังจำผมได้ทั้งที่ผ่านไปยาวนานถึงสี่ปี..แต่ผมก็ไม่อาจถอนสายตาไปจากร่างที่ยังยืนเป็นรูปปั้นอยู่ตรงนั้นได้..

มันควรจะเป็นฉากซึ้งๆแบบพระเอกตามหานางเอกจนเจอ
แต่เท่าที่เกิดขึ้นคือ สองมือซึ่งชูสองนิ้วเต้นของไอ้หนุ่มชะงักค้าง แหม่..ไม่รู้ทำไมต้องชะงักท่านั้นด้วยวะ
มึงเอาท่าสวยๆหน่อยได้ไหม..?


“โอมึเชอเปอ”
ผมกล่าวแก่เด็กๆที่วิ่งมาหา


“พี่นุ่ม พี่โจ้มา”
เด็กคนหนึ่งกระตุกแขนที่มือชูสองนิ้วของไอ้หนุ่มน้อยลงมา มันจึงตระหนักว่ากำลังทำท่าประหลาดอยู่


แล้วไอ้หนุ่มก็มองผ่านผมไป..ราวกับเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย

.

.

“เฮ้..เฮ้”
ผมเดินตามมันไป


“ปาเก้ปาปริก้าปลาร้าโกงกางโปเต้”
ไอ้หนุ่มหันมาทำหน้าไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จัก และรัวภาษาที่มันคาดว่าจะทำให้ผมคิดว่ามันเป็นชาวปกากะญอได้


“หนุ่ม”
ผมเรียกชื่อเบาๆ


“วาโก้ไทรอัมพ์เวียนนาเอลเซ่รอสโซ่เจเพลส”
มันหันมาโบกไม้โบกมือไม่เข้าใจและส่งภาษาพวกนั้นออกมา


 :o7:<< หน้าผม


“นี่..มึง..”
ผมพยายามจะพูด แต่ดวงตาโตกลมโตคู่นั้นบ่งว่า ..มันไม่รับรู้เรื่องราวอะไรเลย


ผมอพยพไปขออาศัยบ้านเดิมของโมกับปานอน
ซึ่งท่านทั้งสองก็อนุญาตให้ผมนอนห้องเดียวกับไอ้หนุ่มนั่นแหละ


 :undecided:<< หน้าไอ้หนุ่ม

 :a2:<< หน้าผม

.

.

“เอิ่ม..มึงจะนอนฟากไหนล่ะ”
ผมพยายามชวนคุยหลังจากมันรัวภาษารอสโซ่เจเพลสใส่ผมทั้งวันเหมือนมันเป็นญวนแล้วผมเป็นอินเดียนแดง
สิ่งที่เกิดกับผมคือ ผมพูดภาษาไทยกับไมค์ ไทสัน


..ผมจ้องมองกิริยาของมันเงียบๆ พอจัดที่นอนฝั่งตัวเองแล้วหันไปเรียกอีกครั้ง ก็ปรากฎว่ามันซุกตัวหลับไปแล้ว..
ผมเอื้อมมือไปลูบหน้าผากเนียนเบาๆ..


เช้าวันต่อมา..และต่อมา
ภาษาของมันก็ยิ่งประหลาดขึ้นเรื่อยๆ จำได้ว่ามีประโยคหนึ่งเสือกพูดว่า “ปลาร้าลาบก้อยหอยลาย” ออกมาด้วยแน่ะ
มันคงหิวจัด ผมคิดเอานะ


ร่างเล็กในชุดชาวเขานอนเอกเขนกริมธารน้ำ..เขียนขยุกขยิกสบายอารมณ์ลงสมุดเล่มเล็ก

..มันดูสดชื่น..ร่าเริง..และมีชีวิตชีวา
ยิ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ..ภาพของมันยิ่งทำให้ผมนึกถึงไม้ที่กำลังผลิใบ..งดงาม..มีคุณค่า

..แม้จะเป็นไม้งามที่ไม่ยอมอยู่ในชีวิตผมอีกแล้ว

ผมจะเอายังไงต่อไปดีหนอ..?


ชีวิตที่มันขาดเธอวันนี้ยังเดินต่อไป..
..แค่ได้คิดถึงก็เป็นสุขใจ


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22

Chapter 12 :: ฝากใจกับจันทร์.. ฝากฝันกับดาว..


..เฮ้อ 


ฮื้อ..


ฮ้า..

นี่ถ้าผมรู้ว่าเอเลี่ยนอุทานยังไง ผมคงอุทานตามมันไปแล้ว


..ผมนั่งเอาผ้าห่มพันตัวถอนหายใจใต้เวิ้งฟ้าอยู่ที่นอกชานบ้าน

มันมาทำไมครับพี่น้องครับ ไอตัวที่นอนอุตุร่วมห้องผมอยู่เนี่ย!?

ผมไม่เข้าใจว่าเหตุผลนรกแตกข้อไหนที่ทำให้มันแจ้นมาถึงนี่
แต่ผมบอกได้เลย ผมไม่แฮปปี้
ไม่-แฮป-ปี้!!

มันไม่ดีกับหัวใจเลยรู้ไหม..

ใช่เลย! ถูกต้อง! ผมบวชมาแล้ว
ผมเข้าใจสถานการณ์ของเราสองคนดี
แน่นอน..ผมให้อภัยทั้งตัวเองและมันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
และรู้สึกเป็นอิสระที่สุดเมื่อมันเอ่ยคำว่าให้อภัย..
เราหลุดพ้นจากกันและกันแล้วในพันธะความแค้น..

แล้วทำไมพอมันโผล่หัวมา ผมถึงได้ใจเต้นจะหลุดกระเด้งกระดอนออกมาจากอกอย่างนี้หนอ?

“นั่งคิดอะไรหน้าตามู่ทู่เชียววะ?”
.
.

นั่น..เสียงอะไรตามมาหลอน?

ผมนั่งห่อตัวทำหูทวนลมต่อไป เสมือนหนึ่งมันเป็นเหลือบ ยุง ริ้น ไร ตะไคร่น้ำ
ไม่ใช่โกรธอะไรมันนะครับ แน่นอนว่าไม่มีเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ..ผมไม่เคยมองมันไม่ดีหรือน่ารังเกียจ
มันยังคงเป็นบุคคลที่ผมรัก
ถึงแม้ผมจะเจ็บปางตาย แต่มันก็เจ็บมาก่อนไม่แพ้กัน
เราหายกันแล้ว..

“เฮ้ เอิ่ม..”
ไอ้โจมันทำท่าคิด แล้วก็พ่นออกมา..
“ทิพรสแม็กกี้เด็กสมบูรณ์น้ำจิ้มสุกี้พันท้ายสูตรกวางตุ้งซุปผงฟ้าไทยจ่ายน้อยอร่อยมาก”

โห..
แม่งยกมาทั้งครัว

 o18<< หน้าผม

“อะไรของมึงวะ?”
ผมหลุดถามพรวดออกมา

แล้วคำพูดภาษาปกติชาวบ้านร้านตลาดของผมก็ทำให้ไอ้คนตรงหน้าตาเป็นประกาย

“เฮ้ย มึง มึง.. มึงพูดจาภาษาคนกับกูแล้ว!”
ไอ้โจทำอย่างกับตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเป็นตะกวด

“เอ้า ก็กูคนนี่เว้ย”
ผมว๊ากใส่มันอย่างหงุดหงิด

“ชู่ว์..”
มันขยับหน้าเข้ามาใกล้และเอานิ้วชี้ทาบปากผมไว้

“จะปลุกคนทั้งเรือนรึไง”
ไอ้โจเตือนดุดุ

ผมนิ่งมอง..
จริงๆแล้วตาเราจ้องกันในระยะน้อยกว่าคืบเช่นนี้
ในฐานะแฟนเก่า..ควรจะมีภาพอดีตซ้อนทับเข้ามากระตุกหัวใจเล่น
แต่นี่กลับไม่มีอะไรเลย..

ผมมองเห็นเพียงสิ่งที่เป็นปัจจุบัน..
..ผมที่อยู่ตรงนี้และมันที่อยู่ตรงข้าม

“กู..”
ผมขยับตัวจะผละออกมา
แต่สองมือแกร่งของมันจับไหล่เอาไว้มั่น

“กูไม่ได้มาทวงอะไรคืน..”
มันกล่าว

ผมไม่ค่อยเข้าใจ..

“กูแค่มาขอให้เราเป็นเพื่อนกัน”
มันบอกเพียงเท่านั้น มองตาผม..
ผมมองตอบ และตอบเสียงเย็นๆ..

“มิตรภาพบังคับไม่ได้หรอก ถ้ามันจะเกิด มันก็เกิดเอง”
แล้วผมก็ผละจากไปจนได้
ให้ผมนอนเถอะครับ
..คืนนี้ดาวสวยเหลือเกิน

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

“ไอ้หนุ่ม ไปช่วยปาเก็บกะหล่ำไป”
เสียงคุ้นตะโกนขึ้นมาบนเรือน ผมโผล่หน้าหงิกๆออกมาจากครัว

“ยะกับเข้าอยู่เว้ย!”
ผมควงทัพพี

ไอ้โจหลุดหัวเราะ
“ทำอะไรกินละ”

“ผัดกะเพรา”
ผมตอบขุ่นๆอย่างห่างเหิน
มันพยักหน้า
“ไม่มีกะเพราในครัวไม่ใช่เหรอ?”

“ฮื่อ”
ผมพยักหน้า
“เดี๋ยวใส่ใบมะกรูดแทน”

“เย้ย! ฮ่ะๆ”
ไอ้โจอุทาน แล้วหลุดหัวเราะ ก่อนหันหลังวิ่งแน่วไปบนเนิน

ผมมองตามหลังอย่างไม่เข้าใจ คิดว่าอากาศบริสุทธิ์บนดอยทำให้มันเพี้ยนไปแล้ว

.

.

ผมซอยใบมะกรูดเตรียมใส่ผัด โดยไม่สนใจว่ามันจะกลายเป็นผัดอะไร
ก็ชาวเขาชาวดอย มีอะไร เราก็กินอันนั้นแหละครับ ไม่เรื่องมากหรอก

“อะ”
มือหนึ่งแตะเบาๆที่ไหล่ ผมจึงหันขวับไป

ไอ้นี่นิ! นึกว่าผีบ้านผีเรือน

ไอ้โจยื่นบางอย่างมาให้ในความสลัวของห้องครัวที่ตามเทียน
ผมเพ่งมอง..

มันคือกะเพราะประมาณสักสิบก้าน
“เฮ้ มันขึ้นอยู่ตรงไหนน่ะ”
ผมหางกระดิก

“เมื่อวานกูเดินผ่าน เห็นหลังบ้านแม่เท่าจือโดปลูกไว้ เลยเก็บมาให้”
มันอธิบาย

“โห แป๊ะเนาะ”
ผมรับมา

“ขอบ-”

ขณะกำลังจะกล่าว มันก็ขัดขึ้นมา
..และนั่นก็ทำให้ผมตีนกระตุก

“ไม่ต้องขอบใจหรอก กูรู้ว่ากูจะต้องกินด้วยน่ะ กูทำเพื่อปากท้องตัวเองว่ะ”

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ทำกับข้าวเสร็จแล้ว ผมก็เดินไปยังสวนกะหล่ำเพื่อช่วยงานปากับโมที่สวน
เดินไปก็ร้องเพลงไปกับเด็กดอย เป็นเพลงคิดถึงพี่ไหมในทำนองแปลกๆที่เด็กๆอมยิ้ม

“คิดถึงพี่หน่อยนะกลอยใจพี่ ห่างกัน..อย่างนี้ น้องคิดถึงพี่บ้างไหม
อย่าลืม..อย่าลืม..อย่าลืมสัจจา สัญญาที่ให้..ว่าตัวห่างไกลหัวใจชิดกัน”

ผมแหกปากในสวนกะหล่ำ เด็กๆยิ้ม แม้จะฟังไม่ออก

“คิดถึงพี่ก่อนน้องนอนก็ได้ เมื่อยามหลับใหลน้องเจ้าจะได้..นอนฝัน
ข้างขึ้นเมื่อใด แก้วใจโปรดมองแสงของ..ดวงจันทร์ เราสบตากันในแสงเรื่อเรือง..”

ผมยิ้มอย่างปลื้มใจ

ไอ้โจที่กำลังถอนกะหล่ำอยู่หันมาหัวเราะขันๆ
ผมถลึงตาใส่มัน

ก็กูชอบเพลงนี้นี่หว่า -_* มึงกล้ามีปัญหา?!

ผมร้องต่ออย่างไม่สนใจ..

“คืนไหนข้างแรม ฟ้าแซมดารา น้องจงมองหาดาวประจำเมือง
ทุกคราวเราจ้องดูเดือนดาว ทุกคราวเราฝันเห็นกันเนืองๆ ถึงสุดมุมเมือง..ไม่ไกล”

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

และแล้วเมื่อเรากลับกินข้าว ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีโดยไม่มีใครจู๊ด..จู๊ด
ผมยิงฟันให้ปากับโมและเด็กๆ

“กินได้นี่”
ไอ้โจว่า

ปากมันวอนส้นตีนจริงๆ

กินข้าวเสร็จ พักอีกนิด มันจึงลงไปใต้ถุนบ้าน ช่วยปาเย็นหลังคา

หลังคาที่ว่านี้ใช้ใบตองตึงเย็นเข้าด้วยกันโดยใช้ไม้ไผ่ที่เหลาบางๆแหลมๆ
ไอ้โจก่อไฟให้ชาวเราคลายหนาว
ปา ไอ้โจ และผม เย็บหลังคากันอย่างขะมักเขม้น
ไม่ต้องบอกก็รู้นะ ว่าหลังคาใครสภาพย่ำแย่ที่สุด TT..

ใบตองตึงหาได้ทั่วไปบนเนินเขา เอาใบที่แห้งแล้วมาเย็บทำหลังคาใช้ได้ประมาณปีนึงถึงค่อยเปลี่ยน
แต่ละบ้านจะมีใบตองตึงเก็บเอาไว้ใต้ถุนแทบทุกหลัง

วันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวเหลือใจ ผมรู้สึกของคุณที่ไอ้โจหมั่นเป่าฟืนให้ไฟลุกอยู่เสมอ
มันรู้ใช่ไหมว่าผมขี้หนาว..

“ขอบใจ..”
ผมเอ่ยเบาๆกับใบตองตึง

“หะ?”
ไอ้โจเลิกคิ้ว

ผมเงยขึ้นมอง
“กูบอกว่า ขอบใจ..”

..มันพยักหน้า

ในนาทีนั้นผมรู้ตัวว่าผมรับมันเป็นเพื่อนแล้วเรียบร้อย..

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

“เฮ้ย เร็วดิวะ”
ผมเชียร์อยู่ข้างล่าง

“ไอ้โจ เร็วๆ เร็ววว”
ผมเร่ง

ได้ยินเสียงจึ๊กจั๊กอยู่เหนือศีรษะ

“มึงเบาๆ ได้มั๊ยหนุ่ม ชีวิตกูแขวนอยู่บนเส้นด้ายเนี่ย”
มันว๊ากลงมา
ผมหัวเราะคิกคัก

“อยากกิน อยากกิน อยากกิน!”
ผมตะโกนลั่น

“เว้ย เว้ย อ๊ากก”
ไอ้โจร่วงก้นจ้ำเบ้าลงมา
ผมทั้งขำทั้งฮาและทั้งห่วงรุดเข้าไปพยุง

“เห้ย เป็นไงบ้าง”
ผมถาม

“ห่า! วิ่ง! เดี๋ยวมดแดงคบไข่!”
มันว่า แล้วผมจึงพยุงมันวิ่ง

รังมดแดงสองสามรังหล่นมาพร้อมตัวมัน

“โธ่เว้ย กูอยากกินไข่มดแดง”
ผมวิ่งไปบ่นไป

“หุบปากเถอะน่ามึง เอายากนะเว้ย รังเบ้อเริ่ม”
มันว่าหงุดหงิด

เราสองคนหอบแฮ่กๆ

“เอ้า ล่นหนีหยังกั๋นมา หมูป่าก๋า?”
โมคนหนึ่งที่พูดเมืองถามเรา

สองหัวส่ายหน้าแล้วบอกอย่างแมนๆ
“มดแดงครับ!”

 :z6:<<  หน้าโม

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

“น้อง บอกโมทีนะ ว่าพรุ่งนี้ พี่ต้องกลับเชียงใหม่แล้ว พี่กลัวบอกแล้วโมฟังไม่เข้าใจ เห็นใจภาษาปกากญอกระท่อนกระแท่นของพี่เถอะ”
เสียงแว่วมาจากบนเรือนขณะผมกลับมาจากเก็บผัก

“อ้าว พี่โจจะกลับแล้วเหรอครับ”
เด็กถาม

“อืม ต้องกลับแล้วละ”
.
.
มันโผล่ร่างลงบันไดมาและเจอกับผมที่ยืนหอบผักไว้ในอ้อมแขน

“อ้อ.. มึงจะกลับแล้วเหรอ”
ผมถามอย่างลืมวันลืมคืนและลืมว่านี่ไม่ใช่บ้านเรา

ไอ้โจพยักหน้า
“กูต้องไปฝึกงานอีก”

เออ..จริงสินะ
มันจบปีสามแล้ว ปีหน้าปีสุดท้าย..

ผมพยักหน้า..
และหอบผักขึ้นบันไดไป

“เทอมหน้าจะกลับไปเรียนปีสามใหม่ไหม?”
มันถามผมขณะเราสวนกัน

“กลับ”
ผมตอบสั้นๆ

ผมอาจจะไม่ได้เห็นการสำเร็จการศึกษาเป็นความสุขในชีวิต
แต่อย่างน้อย..มันก็คงเป็นความสุขของพ่อกับแม่ผม
..และผมจะทำให้ท่าน

“งั้นก็เอาไว้เจอกัน”
ไอ้โจบอก

ผมหันมาว๊าก
“แล้วมึงวางแผนจะบอกกูเมื่อไหร่ล่ะว่าจะกลับ ก่อนขึ้นรถออกจากหมู่บ้านเรอะ?”

ไอ้โจเลิกคิ้ว
“อืม.. มึงสน?”

หะ? หือ?

สน..
สนสิเว้ย มึงเพื่อนกูไม่ใช่เหรอ
ผมตั้งท่าจะว๊ากอีกรอบ แต่เมื่อมองตาก็มองเห็นถึงความลังเล ไม่แน่ใจ และไม่เข้าใจผมอย่างจริงใจของมัน

ผมพูดอะไรไม่ออกเลย..ให้ตายเถอะ..

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ผมนั่งคลุมผ้าห่อตัวในสายลมหนาว
รู้สึกว่าไม่อยากให้พรุ่งนี้เดินทางมาถึงเลย
แผ่นหลังไอ้โจตะคุ่มตะคุ่มอยู่ใกล้กองไฟที่ลุกโชนให้ความอบอุ่น

ผมเดินไปแตะไหล่มันเพื่อให้กำลังใจ
“พรุ่งนี้ก็เดินทางดีๆนะมึง โชคดีในการฝึกงานด้วย มึงทำได้เพื่อน”

มันหันมายิ้ม
“ขอบใจ.. มึงก็แจ้นกลับไปเรียนด้วยละ”
มันเตือน

“เออ รู้แล้ว”
ผมรับ “แล้วกูจะพยายาม”

มันมองตาผม ประหนึ่งว่าจะรอให้ผมพร้อม

“แต่พรุ่งนี้ กูจำเป็นต้องไปนะ”
ประโยคหลังนี่หมายความว่ายังไงวะ..

แต่ผมก็พยักหน้าบ้าง
“กูรู้..”
แล้วก็ทำหน้าทะเล้น
“อย่างกับกูสนนะว่ามึงจะไปไหน ก๊ากๆ”

ผมย้ายตูดมานั่งห่อตัวในผ้าห่มต่อ
ไอ้โจหันไปเติมฟืน

เบื้องบนเราเวิ้งฟ้าดารดาษไปด้วยดวงดาวที่ผสานรัศมีกับจันทรา

ไอ้โจเติมฟืนและร้องเพลงในสายลมเบาๆก่อนลา

“คิดถึงพี่หน่อยนะกลอยใจเจ้า..พี่ตรม..พี่เหงา..เพราะคิดถึงเจ้าเชื่อไหม..
ฝากใจกับจันทร์..ฝากฝันกับดาว.. ทุกคราวก็ได้ เราต่างสุขใจเมื่อคิดถึงกัน”

..ผมไม่รู้ว่าผมเคยรักมันไหม
..ผมไม่สนใจว่าเคยเกลียดมันเท่าไหร่

น้ำตาผมหลั่ง..
ฝากดาวกับจันทร์ช่วยดูแลและอวยพรให้มันประสบความสำเร็จด้วยนะครับ..

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ออฟไลน์ kny

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-15

ออฟไลน์ INDY-POET

  • อินดี้กวีเกรียน✍
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +918/-22
:: The End :: กลับสู่หัวใจ


เป็นคืนที่ช่างเมามายกว่าจะลากกายทุลักทุเลคืนขึ้นเรือนก็ปาเข้าไปค่อนรุ่ง
อากาศหนาวนัก.. แต่ละคนจึงพร้อมใจอยู่ผิงไฟกินเหล้าต้มกันจนลืมนอน
รวมทั้งผมด้วย..


“ฝากจายยยกาบบบจาน ฝากกกขวานกาบบบบบดาว”


เสียงยานคางของไอ้หนุ่มดังฝ่าควันไฟมาสร้างความรำคาญให้ประสาทหูของผม

ฮะ..ฮะ..

ล้อเล่นครับ ผมไม่รำคาญเลย
แต่ไอ้หอกนั่นกำลังเมาอย่างหนัก และช่วยดัดแปลงเพลงอมตะให้ลงโลงอยู่ตอนนี้


“เราต่างสุขจายยย เมื่อขีดถึงกันนน เอิงเอย”

.

.

เฮ้อ..


“นี่..ไอ้หนุ่ม”

ผมลุกจากท่อนไม้ที่อาศัยเป็นม้านั่งแล้วเข้าไปช่วยพยุงไอ้คนที่เดินโซเซใกล้ล้มใส่กองฟางให้อยู่เฉยๆ
แต่ร่างที่สติใกล้หลุดลอยก็เซมาปะทะอกกว้างของผม..


“คิดถึง..”
เสียงพึมพำอู้อี้ดังออกมาจากอกผม


แค่เสียงแผ่วเบา..แต่กลับทำให้ผมสั่นสะท้านยิ่งกว่าอากาศหนาวบนยอดดอยมากนัก


ผมไม่แน่ใจว่าไอ้หนุ่มพูดกับใคร..แต่ผมก็โอบรัดร่างมันไว้


“พรุ่งนี้กูไปฝึกงานแล้วนะ..”
ผมกระซิบกันคนเมา


..มันไม่แสดงอาการรับรู้
แต่ผมยังคงเอ่ยต่อและลูบหัวเล็กๆนั่นไปพลาง

“ดูแลตัวเองละ กูจะรอมึงกลับไปเรียน..”



..ใช้เวลาอีกร่วมชั่วโมงหลังจากนั้น ผมจึงจะโน้มน้าวให้ไอ้หนุ่มกลับไปที่เรือนกับผมได้ ..เฮ้อ
ที่ทำสำเร็จ เพราะผมหลอกว่ากลับถึงเรือนแล้วมันจะได้กินพิซซ่าฮัท -_-‘

ฮ่าๆ.. มีซะที่ไหนเล่า!!

ผมพยุง จริงๆ มันคือน้องๆจากลาก ช่วยมันจนมาถึงเรือน
ผมวางร่างที่ใกล้สลบไสลลงบนเสื่อ
และกุมมือน้อยนั่นไว้

..เราสองคนผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน
มากจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีอีกวันที่เราได้อยู่ใกล้แสนใกล้เช่นนี้อีก..


ผมโน้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากเนียนเบาๆ..แต่หวังให้ประทับไว้นานแสนนาน


ขณะนี้.. ผมไม่อาจนอนได้ เพราะเหลือบเห็นแสงเรื่อเรืองแต้มขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกเสียแล้ว
วันนี้..ผมต้องไป


ผมล้วงสายข้อมือที่เคยทิ้งลงถังขยะ..แขวนคืนไว้ให้ผู้เป็นเจ้าของที่ตะปูซึ่งตอกไว้กับประตูไม้



..หวังว่าสายลมแห่งกาลเวลา..จะนำเรามาพบกันอีก




. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .



ผมพลิกตัวไปมาหาความอบอุ่น..
จำได้รางๆว่ามีอกกว้างๆให้ซบนี่นา..

..ผมฝันไปรึเปล่านะ ว่าโดนขโมยจูบที่หน้าผากเบาๆทั้งเมาๆ  ก่อนที่จะผล็อยหลับไป..


..นกร้องและไก่ขันมักเป็นเสียงแรกๆที่ได้ยินยามเช้าที่แม่ละแห่งนี้
เป็นเสียงที่ผมคุ้นชินดี

ร่างผมที่นอนอุตุรู้สึกตัวขึ้นอย่างประหลาดใจที่เช้านี้กลับไม่ได้ยิน ..แสงแดดจ้าส่องลอดฝาไม้ไผ่เข้ามา
ผมผุดลุกขึ้น ..นาฬิกาตายไปตั้งแต่สัปดาห์แรกๆที่มาอยู่ที่นี่ ผมจึงไม่แน่ใจเวลา แต่ขณะนี้น่าจะสายมากแล้ว


“ชิบหาย”
ผมสบถเบาๆ แล้วเสยผมยุ่งๆของตัวเองเพื่อหวังให้มันแลดูเป็นทรงหล่อเหลา


ผมลุกขึ้นเตรียมลงไปล้างหน้าแปรงฟัน ..ไอ้โจไม่อยู่ข้างตัวแล้ว

ก่อนที่มือผมจะผลักประตู สายตาก็สะดุดกับบางสิ่งบางอย่างที่แขวนอยู่..
ผมหยิบขึ้นมา..

สายข้อมือ J&N ของผมเอง..

ผมกำไว้และผลักประตูออก
บือพอขึ้นเรือนมาพอดี ผมจึงจึงถามออกไปแผ่วๆ

“อ้ายโจ้ไปแล้วแม่นก่อ..”

เด็กน้อยพยักหน้ารับ
“ติดรถโตยปาไป๋ตี๊ถนนใหญ่ตั้งกะรุ่งสางแล้วครับอ้าย อ้ายโจ้บอกว่าเพิ่งปิ๊กมาเฮือนต๋อนใกล้เจ้า เลยบ่ได้ปลุก ฮื๊ออ้ายนุ่มพักผ่อน”


อืม..ผมรู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่ามันจะกลับไปฝึกงาน
ผมพยักหน้าให้บือพอ แล้วทรุดนั่งลงริมประตู

กำสายข้อมือแน่น..
มันเก็บคืนมาให้ผมหรือ..

..ขอบคุณ

อย่างน้อย.. มันก็เป็นของของผม..

.

.

ทุกๆวันในสายลมหนาว สายข้อมืออันเก่ายังคงคล้องอยู่กับผม..

ขอบฟ้าที่เรานั่งมองคราวนั้นยังมีความหมาย..



. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


เมฆขาวลอยละล่อง..

ไม่รู้คนบนดอยกำลังมองฟ้าอยู่ไหม ..ถ้าหากใช่
เราก็กำลังมองฟ้าผืนเดียวกัน..

สายลมพัดน้ำในอ่างแก้วพลิ้วเป็นระลอกคลื่นน้อยๆ
แดดต้องน้ำทอแสงบางๆ
เสร็จจากฝึกงาน..ผมต้องมาอยู่ตรงนี้ทุกทีสิน่า..



. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .



จันทราทอประกายผ่านผ้ากำมะหยี่ดำมืดที่คลุมอยู่เบื้องบน

ไม่รู้คนที่มช.กำลังมองพระจันทร์ไหม ..ถ้าใช่
เราก็กำลังมองพระจันทร์ดวงเดียวกัน..

สายลมยามดึกพัดต้นไม้ใบหญ้าไหวเอนเบาๆ
ก่อเกิดเงาตะคุ่มทั่วบริเวณ
ก่อนนอน..ผมต้องมานั่งที่นอกชานทุกคืนสิน่า..


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


‘คิดถึง’

..ผมเขียนคำนี้ลงไปเป็นครั้งที่ร้อย บนบอร์ดของห้องชมรมวรรณศิลป์
พร้อมๆกับโกหกตัวเองว่าไม่ได้หวังให้มีใครคนหนึ่งกลับมาอ่านมัน..

อีกสองสามวันก็จะเปิดเทอมใหม่แล้ว..
ผมลุ้นยิ่งกว่าตอนสอบโควตาภาคเหนือ..เราจะได้เจอกันไหม..



. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ผมเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเป้..เตรียมกลับสู่บ้านเกิด
กราบลาโมและปา..โบกมือลาเด็กน้อย..สัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมใหม่

อีกสองสามวันก็จะเปิดเทอมแล้ว..
..ผมโกหกตัวเองว่าไม่ได้หวังให้มีใครรอพบเจอ..


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


เด็กปีหนึ่งเดินกันขวักไขว่ตอนรับเทอมใหม่ที่มาถึง

..ผมอยู่ปีสี่ ปีสุดท้ายแล้ว..
อยากเจอรุ่นน้องสักคน ไม่ใช่รุ่นน้องปีหนึ่ง ไม่ได้หวังจะจีบ
แต่อยากเจอรุ่นน้องปีสาม รุ่นน้องที่อายุเท่าผม..

ผมเดินเอื่อยๆ หนีไอ้ทัศน์และไอ้โกที่กำลังกวนตีน..
ไปจบที่อ่างแก้วอีกใช่ไหมกู..


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ผมใส่เสื้อนักศึกษาตัวเก่า ..ดีนะที่ไม่อ้วนกว่านี้อีกสองสามโล ไม่งั้นยัดเข้าไม่ได้แน่
บรรยากาศเงียบสงบบนดอยที่คุ้นเคยมานานทำให้ผมประหม่าเล็กน้อยเมื่อเจอความวุ่นวายเดินชนหลังชนไหล่ในมอ

อย่ากระนั้นเลย.. ขอไปตั้งหลักที่อ่างแก้วก่อน
จะได้เจอรุ่นพี่ปีสี่สักคนไหมหนอ..

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ผมยืนนิ่งมองสายน้ำ..
ผมหวังอะไร..รอใครอยู่ มันตกดอยไปแล้วล่ะมั้งเนี่ย

แม่ง..ไปดีกว่า


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ผมกลิ้งหลุนๆ (?) มาถึงอ่างแก้ว
สอดส่ายสายตามองหาร่างที่คุ้นเคย ห่าแดก เจอแต่หมากับแมว ต้นไม้และสายน้ำ

ไม่ได้นัดกันไว้นี่หว่า..
กูหวังจะมาเจอใคร ว่าแล้วก็ไปดีกว่า..



. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ผมเดินไปที่ห้องชมรมวรรณศิลป์
ห้องยังคงรกแบบอินดี้ๆ.. ผมพิงผนัง
..ยังไม่มีร่องรอยว่ามีใครมา

ผมหยิบปากกาก้าวไปยังบอร์ดเดิมที่เขียนคำนั้นไว้เป็นร้อยคำ..


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ผมเดินไปที่ห้องชมรมวรรณศิลป์
ประตูแง้มอยู่เล็กน้อย..
มีใครอยู่หรือ?

ผมถอดรองเท้าออกแล้วก้าวไปยืนตรงหน้าประตู..



. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ผมจับปากกาเขียนคำว่า..คิดถึง


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ผมใช้สายตาอ่านคำว่า..คิดถึง

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .



เรามองหน้ากัน..ใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยเสมือนไกลแสนไกล

เราสองคนไม่พูดอะไร..

ต่อจากนี้ไป..ก็ปล่อยให้หัวใจทำหน้าที่ของมัน..


. . . . . . . .THANKS
INDY-poet



โอเค.. แปะเรียบร้อยแล้ว  :z2: :z2:
รอติดตาม INDY special :: New Year และ INDY in love.. Chapter 37 : ศึกกะหมังกุหนิง เร็วๆนี้นะจ๊ะ บั๊บบุย

ออฟไลน์ nunamicky

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +182/-3

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
เกรียนเกรย์สู้ต่อไปนะ ต่อไปคู่กรทิวจะโผล่มาบ่อยๆ ขึ้นหรือเปล่าเนี่ย

namtarn11

  • บุคคลทั่วไป
อ่านกี่ครั้งก็เศร้า :o12:

 แล้วตอนพิเศษขอหนุ่มโจไม่มีบ้างหรอ เกรียนคนเขียน

Zymphoniz

  • บุคคลทั่วไป
เห็น โจหนุ่ม แล้วยังคงเจ็บจี๊ดๆ ที่หัวใจ  :เฮ้อ:
แม้จะจบด้วยดีก็เถอะ

ออฟไลน์ loverken

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด