ผมใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผ่านไปหลายเดือนผมก็ยิ้มแย้มและพูดคุยเหมือนที่เคยเป็น ผมร่วมสนุกสนานไปกับเพื่อนที่เรียน และใช้เวลากับการทำงานพิเศษ แต่ช่วงนี้ผมเรียนหนัก ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาไปทำงานพิเศษช่วงกลางวันเท่าไร เพราะอย่างนั้นผมจึงมักจะเข้ากะช่วงเย็นตอนปิดร้านบ่อยๆ
วันนี้ผมก็หัวยุ่งอยู่กับการทำงานส่งอาจารย์ ไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่อาจารย์สั่งงานมาแรกๆถึงไม่มีอารมณ์อยากจะทำ แต่พอเวลาจวนเจียนใกล้จะต้องส่งงานมันก็เริ่มมีไฟขึ้นมา...ไฟลนก้นน่ะครับ
“ฟี่~ ” ผมเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกผม หญิงสาวผู้น่ารักและเป็นดาวของคณะอักษรศาสตร์เดินตรงรี่มาหาผมที่ม้าหินอ่อน ผมเหลือบเห็นไอ้ทัชรีบจัดแต่งทรงผมและเสื้อผ้าขึ้นมากะทันหัน แหม...เห็นสาวไม่ได้นะมึง...
“ว่าไงเชอรี่ ทำไมเดินมาตึกสถาปัตย์ได้ล่ะ” ผมหันไปยิ้มให้เชอรี่ที่เดินมาหย่อนก้นข้างผม
“แวะมาหาฟี่ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลย” ใช่ครับ อย่างที่บอกว่าผมเข้ากะเย็นประจำ เจอแต่น้องว่านกับพี่แก๊บเท่านั้น ส่วนเชอรี่นั้นเธอเป็นสาวกลางวัน เพราะเรียนไม่ยุ่งเท่าผม สาขาเธอจะเน้นเรื่องส่งงานมากกว่าเรื่องเข้าเรียนครับ
“แล้วเชอรี่ไม่อยากเจอทัชบ้างเหรอครับ” เชอรี่หันไปมองไอ้ทัชที่เสนอหน้ามาใกล้แล้วยิ้มหวานเจี๊ยบกลับไปให้
“แล้วทัชเป็นอะไรกับเชอรี่ละคะ เชอรี่ถึงต้องอยากเจอทัช” ไอ้ทัชหน้าม้านไปเลยครับ แต่แป๊บเดียวก็กลับมาระรื่นได้ต่อตามประสาคนหน้าด้าน
“แล้ววันนี้รี่ไม่มีเรียนเหรอ” จูนถามเชอรี่บ้าง สองคนนี้เขาเรียนมัธยมที่เดียวกันมาครับ แต่ว่าอยู่กันคนละห้องเลยไม่ค่อยสนิทกัน ตอนที่เข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆนั้นถ้าเชอรี่เปรียบเหมือนดาวของคณะอักษรศาสตร์ จูนก็เปรียบเหมือนโอเอซิสของสถาปัตย์ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปสองสาวก็ประกาศตนว่าไม่ใช่พวกสาวหน้าหวานแอ๊บแบ๊วไปวันๆ เพราะพิษสงที่เธอมีนั้นไม่ธรรมดา ใครที่แหยมมาจีบไม่ดูตาม้าตาเรือเป็นต้องโดนดีไปทุกราย
“เลิกเรียนแล้ว เดี๋ยวเชอรี่จะไปทำงานแล้วแหละ ว่าแต่ฟี่จะให้เชอรี่ซื้อขนมใส่ตู้เย็นไว้ให้มั้ย” เชอรี่จะคอยซื้อของกินใส่ตู้เย็นที่ร้านไว้ให้ผมกินเวลาเข้ากะตอนกลางคืนครับ เพราะว่าผมจะไปที่ร้านตอนเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่คนเยอะจนไม่มีเวลาไปหาข้าวกิน
“อืม...ขอเป็นน้ำเต้าหู้ใส่แต่สาคูกับลูกเดือยแล้วกัน เอา-”
“เอาหวานๆ” เสียงใสพูดขัดขึ้นมาอย่างคนรู้ใจ ผมยิ้มแล้วหยิกแก้มเชอรี่เบาๆ เธอรู้ทุกอย่างแหละครับว่าผมชอบกินอะไร
“งั้นเชอรี่ไปละนะ บ๊ายบายจ้ะจูน เม้งแล้วก็ทัช” เชอรี่โบกมือลาเพื่อนทั้งสามคนของผมแล้วก็สะพายกระเป๋าเดินนวยนาดออกไป
“น่ารักจริงจริ๊ง~” ไอ้ทัชมองเชอรี่เดินออกไปแล้วก็พร่ำเพ้อครับ พวกผมสามคนไม่สนใจคนละเมอแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำการบ้านต่อไป
พอทำงานส่งอาจารย์เสร็จตอนหกโมงเย็นกว่าๆผมก็บึ่งน้องฟิโอเร่ไปที่ร้านทันที เชอรี่กับณัฐกลับไปแล้ว เหลือแต่พี่แก๊บแล้วก็น้องว่าน พี่แก๊บพอเห็นหน้าผมก็ยิ้มร่ามาเลย
“ท๊อฟฟี่ผู้น่ารักกกกก” พี่แก๊บเดินอ้าแขนกว้างตั้งท่าจะกอดผม แต่ผมก็เบี่ยงตัวออกและดันอกพี่แก๊บไว้
“จะใช้อะไรก็บอกมาเลยครับ ไม่ต้องมาทำท่าน่าขนลุก”
“แหม ใจร้ายจัง พี่ไม่ได้จะใช้อะไรสักหน่อย” พี่แก๊บยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยที่ผมรู้ดีว่าแกมักจะใช้เวลามีธุระเรื่องงาน
“ก็ดีครับ” พอผมไม่ใส่ใจแกก็รีบกลับคำและจับแขนผมไว้แน่น
“พี่แค่อยากจะขอให้ฟี่ช่วยมาเปิดร้านตอนเช้าให้หน่อยน่ะ” เหวอ! มากไปไหมครับพี่
“เฮ้ย ไม่ได้ ผมมีเรียน” ซะเมื่อไรละครับ ไม่เอาเว้ย ไม่อยากมาเปิดร้านตอนเช้า ขี้เกียจตื่น
“อย่ามาขี้จุ๊เบ่เบ๊กับพี่ แกให้ตารางเรียนพี่ไว้เมื่อต้นเทอม จงมาเข้ากะให้พี่เสียดีๆ” ผมกุมขมับ ไม่น่าให้ตารางเรียนกับไอ้พี่แก๊บไปเลย
“น่านะฟีฟี่ผู้น่ารัก”
“ถ้าพี่เรียกผมแบบนั้นผมจะลาออกจริงๆ”
“โอเคๆ น้องฟี่ มาเข้ากะให้พี่แก๊บหน่อยนะครับ” พี่แก๊บเปลี่ยนมาทำท่าขึงขัง และตอนที่ผมกำลังจะใจอ่อนนั้น ผมก็นึกบางอย่างออก
“แล้วเปิดร้านกับใครเหรอครับ”
“กับณัฐน่ะ พี่ถึงขอให้เป็นฟี่มาไง ถ้าเป็นน้องว่านคงไม่ไหว” ที่พี่แก๊บพูดว่าไม่ไหวก็เพราะว่า ระบบงานที่ร้านนี้จะไม่มีนโยบายให้พนักงานที่ทำงานต่ำกว่าแปดเดือนเข้ากะร่วมกันตามลำพังครับ เนื่องจากว่าที่ร้านจะมีอยู่สามกะ คือช่วงเช้า ช่วงกลางวัน และช่วงเย็น โดยช่วงเช้านั้นพี่แก๊บจะไม่เข้าร้าน เพราะแกไม่ตื่นเช้า แต่จะมาเข้าร้านตั้งแต่ตอนกะกลางวัน ซึ่งตอนเช้าถ้าไม่เป็นผมก็ต้องเป็นเชอรี่ที่ทำงานมาปีกว่าแล้วมาเปิดร้านให้ เพราะว่าถ้าปล่อยคนที่ยังทำงานไม่ค่อยชำนาญให้เข้ากะตามลำพัง เวลามีปัญหาอาจจะวุ่นวายครับ
ปัญหาอะไรน่ะเหรอครับ?
ก็เช่น ลูกค้า A ยืมหนังสือไปเป็นเวลามากกว่า 1 ปี ค่าเช่าก็บานเบอะ แล้วถ้าลูกค้าเอามาคืน เราก็จะต้องมีการเจรจาเรื่องค่าเช่ากับค่าปรับ ซึ่งหากไม่มีประสบการณ์เพียงพอก็จะไม่รู้ว่าควรคิดเงินเท่าไร เป็นต้นครับ (มันไม่ง่ายนะครับ ไหนจะลูกค้าพูดไม่รู้เรื่อง ไหนจะต้องแก้บัญชีให้สอดคล้องกับยอดเงินในระบบยืมคืน บลาๆๆๆ)
“ไม่เอาครับ” ผมยืนยัน ให้ตายผมก็ไม่มาเข้ากะให้หรอกครับ
“พี่ให้สองแรงเลย”
“ตกลงครับ” อ่า...ไม่ต้องตกใจครับที่ผมเปลี่ยนใจกะทันหัน ก็พี่แก๊บบอกว่าสองแรงนี่นา!!
** สองแรงคือการให้ค่าแรงสองเท่าครับ **“ดีมาก ปิดร้านแล้วอย่าลืมเอากุญแจร้านไปนะ” ตามนั้นแหละครับ สุดท้ายผมก็ต้องมาเข้ากะตามลำพังกับคนที่ยากจะเผชิญหน้าที่สุด...
ผมรู้สึกว่าหมดแรงยังกะไปทำงานใช้แรงมา ที่จริงผมไม่ได้เหนื่อยกายหรอกนะ แต่ผมเหนื่อยใจ เหนื่อยใจเมื่อนึกถึงเรื่องวันพรุ่งนี้ พอเข้าห้องได้ผมก็เอากระเป๋าไว้ที่และตัดสินใจว่าออกไปเรียกเหงื่อสักหน่อยดีกว่า...อา...อย่าคิดลึกครับ
“คิง กูจะไปวิ่ง ฝากซื้อไรเปล่า” ผมเคาะประตูห้องไอ้คิง แล้วเจ้าของห้องก็โผล่ออกมาในสภาพหัวยุ่งสุดๆ
“เอ่อ...ขอกระทิงแดงกับมะขามจี๊ดให้กูหน่อย” ผมพยักหน้ารับแล้วก็เดินลงบันไดมาครับ รองเท้าวิ่งคู่เก่งของผมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดกับพื้นไม้ปาร์เกต์ของอพาร์ทเมนท์ ดูท่าว่าไอ้คิงคงการบ้านเยอะเอาการ
ผมเลือกที่จะวิ่งไปตามถนนของหมู่บ้านจัดสรรในซอยนี่แหละครับ รถมันน้อยดี หมาจรจัดก็ไม่มี คืนนี้ลมมันเย็นๆเลยไม่ร้อนเท่าไร และผมก็อยากจะเหนื่อยให้หายบ้าด้วย เผื่อจะสงบอารมณ์ได้
ตอนวิ่งไปบางทีเจอคนรู้จักผมก็ทักทาย ร้านค้าหลายร้านยังคงเปิดอยู่ แถวย่านมหาวิทยาลัยก็ดีแบบนี้แหละครับ กลางคืนมันก็ครึกครื้น แต่ถ้าเลยตีหนึ่งไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันจะเงียบเป็นป่าช้าเลยแหละครับ
แปลกที่วันนี้ผมไม่สามารถสลัดเรื่องราววุ่นวายออกไปจากสมองได้ ยิ่งบรรยากาศรอบตัวผมเงียบสงบมากเท่าไร ผมก็ยิ่งคิดโน่นคิดนี่มากขึ้น ผมนึกถึงพี่ตังค์ นึกถึงแฟนสมัยมัธยม นึกถึงพ่อ นึกถึงแม่ นึกถึงใครต่อใครมั่วไปหมด แล้วก็นึกถึงณัฐ...
TRrrr… TRrrr…
โทรศัพท์มือถือของผมสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง เบอร์โชว์หน้าจอไม่เชิญชวนให้ผมกระตือรือร้นที่จะรับเท่าไรนัก ผมจ้องมองอย่างอ้อยอิ่งกว่าจะกดรับสายได้
“สวัสดีครับพี่ตังค์”
/ฟี่ ทำอะไรอยู่/ ประโยคเด็ดของพี่ตังค์ที่มักจะเริ่มในการสนทนาทางโทรศัพท์ ผมนั่งบนเก้าอี้ยาวในสวนใกล้ๆ สงสัยว่าจะต้องใช้พลังงานในการคุยมากกว่าวิ่งเสียอีก
“ออกมาวิ่งครับ พี่ตังค์มีธุระอะไรหรือเปล่า” ประโยคเด็ดของผมเหมือนกัน แต่เป็นประโยคเด็ดเวลาคุยกับพี่ตังค์นะ... เพราะพี่ตังค์จะไม่โทรหาผมถ้าไม่มีเรื่องให้ช่วยหรอก...
/เปล่า ไม่ได้มีธุระอะไรหรอก พี่แค่อยากโทรมาเล่าน่ะ ว่าพี่จะไปทำงานต่างจังหวัดแล้ว/
“หา? พี่เนี่ยนะ นึกยังไงละครับ”
/ที่ทำงานใหม่น่ะ ได้เงินเยอะกว่าเดิม/
“อืม ดีใจด้วยนะครับ” ผมยิ้มให้กับลมกับแล้ง เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้รับรู้หรอกว่าผมทำหน้ายังไง แล้วเราสองคนก็เงียบ ผมไม่รู้จะคุยอะไร ไม่รู้ว่าเขาโทรหาผมทำไม เขาแค่อยากโทรมาเล่าสารทุกข์สุขดิบกับผมงั้นเหรอ ไม่แค่นั้นหรอกมั้ง...
/ฟี่...มีความสุขดีหรือเปล่า?/ น้ำเสียงเอื้ออาทรที่ไม่มีอะไรแอบแฝงทำให้ใจผมสั่น แค่วูบเดียว...
“ครับ ตอนนี้เรียนยุ่งๆ”
/ปีสองจะขึ้นปีสามก็งี้แหละ เดี๋ยวพอปีสามละหนักกว่านี้อีก/
“ครับ...”
/ถ้าพี่ย้ายไปแล้วเราก็คงห่างกันมากนะ.../
“แล้วพี่จะย้ายไปที่ไหนครับ”
/สุราษฯ/
“โห ไกลจัง”
/อืม.../
“....”
ผมคงไม่ต้องเล่าต่อว่าบทสนทนาของเราจบลงที่ตรงไหน พี่ตังค์แค่บอกว่าจะติดต่อมาอีก แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังหรือรอคอย เพราะผมเองก็แค่รู้สึกยินดีไปกับพี่เขาด้วยเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดอีก
เพราะผมไม่เคยมองกลับหลัง... อะไรที่ผมทิ้งมันไปแล้ว ผมจะไม่คว้ามันกลับมาอีก...
ผมตื่นมาตั้งแต่เจ็ดโมง ร้านเปิดแปดโมง มีเวลาอีกตั้งชั่วโมงนึง ผมเลยตัดสินใจทำมื้อเช้าไปกินที่ร้านดีกว่า ขนมปังก็มี ไส้กรอกก็มี ทำแซนด์วิชแล้วก็อบไส้กรอกไปน่าจะเวิร์ค ผมจัดแจงหากล่องทัพเพอร์แวร์มาใส่ของกินให้มิดชิด ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าผมทำอาหารเช้าไปในปริมาณแค่ไหน...
จนได้เห็นสีหน้าตื่นเต้นของเขา...
“พี่ฟี่ น่ากินจัง ทำมาเผื่อณัฐด้วยใช่มั้ย?” ผมยิ้มให้กับเจ้าของใบหน้าหล่อที่ยังดูงัวเงียๆ ดูเขาคงไม่ชินกับการตื่นเช้าเท่าไร
“อื้ม กินสิ” ผมมองของกินที่ผมเอามาแล้วก็นึกแปลกใจ นี่ผมทำมาสำหรับสองคนกินสบายๆเลยนะเนี่ย ตอนทำผมคิดอะไรอยู่นะ
“เดี๋ยวณัฐไปชงกาแฟมาเผื่อนะ” ว่าแล้วณัฐก็เดินเข้าไปในห้องพักแล้วชงกาแฟมาเผื่อผม เรานั่งกินมื้อเช้ากันหลังเคาเตอร์นั่นแหละ กาแฟที่ณัฐชงมามันอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อจนผมเคลิ้มทีเดียว
“เป็นไงล่ะ ฝีมือผม” เจ้าตัวทำท่ายืดอกภูมิใจ
“รสดีมากเลย”
“แซนด์วิชพี่ฟี่ก็อร่อยมากนะ” ผมเชื่อครับ เพราะผมทำมาสามคู่ ณัฐฟาดไปสอง
ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้กินมื้อเช้ามานานมาก พอจัดการอาหารเรียบร้อยผมก็เดินไปจัดหนังสือการ์ตูนที่ชั้นบนให้เรียบร้อย ไม่ต้องแปลกใจว่าผมขยันนะครับ ที่จริงผมมีเจตนาแอบแฝง...
ผมทนอยู่ใกล้ณัฐไม่ได้ครับ เพราะผมคิดไม่ดี..
ผมอยู่กับณัฐในช่วงที่ร้านเงียบๆไม่วุ่นวาย ณัฐที่เพิ่งตื่น ณัฐที่ผมยุ่งๆ ณัฐที่ใส่ยีนส์เดฟเอวต่ำเห็นขอบบ็อกเซอร์ เวลาณัฐยกแขนสูงๆแล้วชายเสื้อเปิดจนเห็นหน้าท้องวับๆแวมๆผมก็ใจตุ๊มๆต่อมๆ
โคตรละอายใจเลย...
“พี่ฟี่ยังไม่มีแฟนเหรอ” ขณะที่เรากำลังนั่งว่างๆกันอยู่ณัฐก็เริ่มชวนผมคุย แล้วเขาก็ถามเรื่องแฟนขึ้นมา
“ยังหรอก แต่ก็เคยมีนะ”
“แล้วทำไมตอนนี้ไม่มีละครับ หรือถือว่าน่ารักเลือกได้”
“เอ่อ ช่วยชมว่าหล่อได้ไหม”
“ไม่ได้หรอกครับ เพราะพี่ฟี่ไม่หล่อ แต่พี่ฟี่น่ารัก”
“ก็อยากจะเขินนะ แต่มันเป็นคำชมที่ทะแม่งๆ” ผมขมวดคิ้ว แล้วณัฐก็เอานิ้วชี้มาจิ้มที่หน้าผากผม...
ณัฐเอานิ้วจิ้มหน้าผากผม
ณัฐเอานิ้วจิ้มหน้าผากผม
ณัฐเอานิ้วจิ้มหน้าผากผม
ผมบ้าไปเลยครับ ผมเขินแกะ(Sheep)หายเลย ผมจะเขินทำไมวะ แค่ณัฐเอานิ้วจิ้มหน้าผากผมเองนะ!! ผมจะใจเต้นทำไมเนี่ย!
“ห้ามทำคิ้วขมวดครับ เดี๋ยวหน้าแก่นะ” ณัฐพูดเสียงเข้ม ผมก็ได้แต่พยักหน้า แล้วผมก็นั่งเขินไปแป๊บหนึ่ง
ผมมีเรื่องอยากถามเขา... ผมมานึกดู ตั้งแต่ที่เขาเริ่มทำงานมามันก็ห้าเดือนได้แล้ว(ไวเหมือนโกหก) เราก็คุยกันบ่อยและก็รู้จักกันมาพอแล้ว หากผมอยากถามเรื่องนี้ คงไม่เป็นไร(ละมั้ง??)
“ถามไรหน่อยสิณัฐ”
“ครับ?” เขาหันมาทำหน้าหล่อใส่ผม ทำไมน่ารักแบบนี้นะ...
“ทำไมถึงมีลูกไวจังเลย ณัฐเพิ่ง 19 เองนะ” ผมถามน้ำเสียงจริงจัง ณัฐนิ่งไปแวบหนึ่ง ไม่ใช่นิ่งโกรธ หรือไม่พอใจ แต่เป็นการคิดน่ะครับ นิ่งคิดไปนิดหนึ่ง
“อืม...มันเป็นเรื่องฉุกเฉินครับ”
“ฉุกเฉินงั้นเหรอ?”
“เรื่องไม่คาดคิดน่ะครับ”
“ณัฐไม่ได้ตั้งใจให้ท้อง” ณัฐพูดเหมือนรู้สึกผิดแล้วก็เงียบไป ผมเองก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน
“ณัฐจำได้ วันนั้น ณัฐพาแฟนไปไหว้พ่อแม่ที่บ้าน แล้วพ่อแม่ไม่อยู่พอดี ก็เลย...” อืม ผมเข้าใจครับ คนหนุ่ม อารมณ์ร้อน...
“ครั้งเดียวเองครับพี่ฟี่ เหอะๆ” ณัฐหัวเราะเสียงแห้ง ผมเองก็พูดไม่ออก ไอ้คนที่เขาอยากจะมีกันก็แสนยากเย็น แต่ทำไมไอ้คนที่วุฒิภาวะไม่พร้อมถึงได้มีง่ายจัง(วะ)
“ตอนแรกณัฐก็ไม่รู้ แฟนณัฐเขาจะไปเอาออก แต่ณัฐไม่ให้เอาออก” อืม...มีความคิดเหมือนกันแฮะ..
“ก็ดีแล้ว ยังไงเขาก็เป็นชีวิตเป็นเลือดเนื้อของเรา” ผมตบไหล่ให้กำลังใจเขา พอผมได้ฟังเรื่องพวกนี้แล้ว ผมรู้สึก...โล่งใจ..เพราะอะไรนะ...
“พี่ฟี่รู้มั้ย ช่วงนั้นน่ะ ผมเครียดมากเลยนะ แทบจะบ้าตาย ร้องไห้ทุกวัน กินข้าวปลาไม่ลง” ผมนึกไปถึงครั้งที่สองที่ผมเจอณัฐ ลองคำนวณดูแล้วช่วงเวลามันก็พอดีกัน สงสัยช่วงนั้นที่ณัฐโทรมไปก็คงเพราะเรื่องนี้นี่เอง...
“ณัฐ ณัฐเป็นคนที่น่านับถือมากนะ ณัฐยังมีสามัญสำนึกของความเป็นคน แม้ว่าณัฐจะยังไม่พร้อม แต่ณัฐก็เลือกที่จะเก็บเขาไว้ ทั้งที่ณัฐจะเลือกหนีปัญหาไปก็ได้” ผมให้กำลังใจณัฐ ณัฐเป็นเด็กหนุ่ม เป็นคนรุ่นใหม่ที่ยังคงมีสำนึกดี ถ้าผมจะบอกว่าความคิดดีๆของเขาทำให้ผมรู้สึกดีไปด้วยคงไม่เกินไปหรอกนะ
“ขอบคุณครับ” ณัฐยิ้มให้ผม จะผิดไหมถ้าผมจะบอกว่าอยากกอดเขา แต่อย่าเลย จะช็อกซะเปล่าๆ...
ผมจะจำเหตุการณ์วันนี้ให้แม่น วันที่เขาเปิดใจเล่าเรื่องราวให้ผมฟัง วันที่อารมณ์รุนแรงของผมที่มีต่อเขาค่อยเจือจางลง ความปรารถนาและความสเน่หาค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความหวังดี ผมหวังดีกับเขา ขอให้เขาจัดการปัญหาในชีวิตเขาไปได้
ตอนนี้ผมไม่เจ็บปวดแล้ว อาจจะมีปวดแปล๊บๆเวลาที่แฟนเขามาหา แต่ก็ไม่อิจฉาริษยารุนแรงเหมือนเมื่อก่อน
ผมรู้ตัวแล้ว ว่าถ้าผมชอบเขาจริง ก็ขอแค่ได้เห็นเขามีความสุขก็พอแล้ว แค่เห็นเขายิ้มได้ แค่เห็นเขามีความสุข ช่องว่างในใจผมมันก็เต็มตื้นขึ้นมาบ้าง...
----------------------------- To Be Continue -----------------------------ปล.1 ขอโทษนะคะถ้าตอนนี้หดหู่น้อยไปหน่อย บังเอิญว่าวันนี้อารมณ์ดี ปล.2 ลืมบอกไปว่าเรื่องนี้เนี่ย ในแต่ละตอนบางทีอาจจะข้ามช่วงระยะเวลาไปหลายเดือนนะคะ เพราะว่าช่วงนี้เป็นเหมือนการเล่าเรื่องในอดีต
ซึ่งไคลแมกซ์มันอยู่ที่อนาคตค่ะ หึหึ