ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศของออฟฟิศทำให้ผมรู้สึกหนาวจนต้องหยิบเอาเสื้อคลุมมาสวมอีกชั้น เวลาหลังเลิกงานหลงเหลือพนักงานเพียงหยิบมือ ผมเองก็เป็นส่วนน้อยที่ยังนั่งทำงานล่วงเวลาต่อ เพราะผมยังไม่อยากกลับบ้าน ถ้าหากกลับไปตอนนี้ผมคงต้องฟุ้งซ่านแน่ๆ
ผมเพิ่งกลับจากต่างจังหวัดมาเมื่อเช้า แล้วก็มาทำงานเลย ณัฐบอกว่าเย็นนี้ตอนเขาเลิกงานแล้วเขาจะไปคุยกับทางโน้น ใจผมเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อนั่งนึกภาพว่าเรื่องราวมันจะลงเอยอย่างไร แม้ณัฐจะรับปากว่าเสร็จเรื่องแล้วจะมาหาผมที่บ้าน ให้ผมทำมื้อเย็นไว้รอเขา เอาเข้าจริงผมก็มานั่งคิดว่าจังหวะนั้นคงไม่มีใครกินอะไรลงหรอก
ตอนนี้คนอื่นๆต่างทะยอยกลับกันไปหมดแล้ว บางคนก็แวะมาถามว่าทำไมผมยังไม่กลับ ผมก็ตอบไปว่าต้องเร่งงาน ทั้งที่ความจริงนั้นงานของผมดำเนินไปได้แค่นิดเดียวเพราะผมไม่มีสมาธิเลย ผมดูนาฬิกาตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว...ณัฐก็ยังไม่โทรมา ผมเลยตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์แล้วกลับบ้านก่อนดีกว่า
TRrrr… TRrrr…
พอผมได้ขึ้นรถโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาทันที ผมเห็นเบอร์ณัฐโชว์ที่หน้าจอจึงรีบกดรับ ผมรู้สึกว่าหัวใจผมเต้นตึกตักๆแรงเป็นพิเศษ ผมแอบคิดไปแว่บหนึ่งว่าถ้าอยู่กับณัฐมากๆแล้วผมจะมีสิทธิ์หัวใจวายได้ไหม
“ฮัลโหล”
/ฟี่...อยู่ไหนแล้ว/
“เพิ่ง...ขึ้นรถน่ะ” ผมใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง เสียงณัฐยังฟังดูสดใสเหมือนเดิม
/อืม...งั้นณัฐจะไปรอฟี่ที่ปากซอยนะ/
“ได้สิ แล้วเจอกันนะ” ผมวางสายแล้วก็นั่งหลับตานิ่ง เมื่อไรจะถึงบ้านสักทีวะ...
“เป็นไงบ้าง” ผมถามทันทีที่เห็นหน้าณัฐ พอผมลงจากรถได้ก็เดินตรงดิ่งไปหาเขาทันที ณัฐจับมือผมไปกุมไว้แล้วพาเดิน สีหน้าณัฐดูยิ้มๆ แต่มันก็ยังมีแววแบบว่า...หมองๆ
“อืม ก็อย่างที่คิดไว้...เขาบอกว่าถ้าเลิกกันก็ไม่ต้องมาเจอลูก”
“แล้วณัฐบอกเขาไปว่ายังไง”
“ณัฐก็บอกเขาไปตรงๆว่าขอเลิก ณัฐบอกว่าณัฐมีคนอื่น แล้วณัฐก็ขอโทษเขา... ตอนแรกเขาก็เงียบไม่พูดอะไร เขาเป็นแบบนี้เสมอแหละฟี่ ไม่พูดไม่จา จนณัฐก็เริ่มหงุดหงิดเขาก็เลยถามณัฐว่าคนอื่นที่ณัฐไปมีน่ะเป็นใคร เขาถามว่าเขารู้จักหรือเปล่า แต่ณัฐไม่ได้บอกว่าเป็นฟี่หรอกนะ ณัฐบอกไปว่าเขาไม่รู้จักหรอก”
“อืม” ผมพยักหน้าเบาๆ
“เขาบอกว่าเขาก็คิดไว้แล้ว เพราะณัฐก็เปลี่ยนไป แล้วยิ่งช่วงนี้ณัฐก็ยิ่งเปลี่ยนไปชัดเจนมากขึ้น แต่เขาก็รอให้ณัฐมาบอกเอง”
“เขาดูโกรธไหม?”
“ณัฐว่าเขาก็คงต้องโกรธแหละ เพียงแต่เขาไม่แสดงออก”
“ณัฐ...เสียใจหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิฟี่ ณัฐรู้สึกโหวงๆนิดหนึ่ง มันเหมือนว่าอะไรบางอย่างหายไป แต่ไม่ได้แปลว่าณัฐเสียใจที่ต้องเลิกกันหรอกนะ”
“มันก็เป็นธรรมดาแหละณัฐ เพราะว่าอยู่กันมานานไง สักวันคงดีขึ้นนะ” ผมฝืนปลอบใจเขา ผมไม่อยากให้เขาคิดแบบนั้น ผมไม่อยากให้ณัฐพูดเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ผมไม่อยากได้ยินทั้งนั้นว่าเขาให้ความสนใจกับคนอื่นนอกจากผม... ผมมันเห็นแก่ตัวใช่ไหมครับ...
“ฟี่..” ณัฐหยุดเดินแล้วก็จับไหล่ให้ผมหันไปมองหน้าเขา เหมือนณัฐจับกระแสความเศร้าใจในน้ำเสียงของผมได้
“ณัฐเลือกฟี่แล้วนะ... ไม่ว่าวันนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่สุดท้ายแล้วณัฐก็เลือกฟี่” ณัฐกอดผมไว้ ในซอยที่มีเพียงเราสองคนและไฟถนน ลมกลางคืนพัดต้นไม้จนเกิดเป็นเสียงซู่ซ่าของใบไม้เสียดสีกัน ผมยกแขนโอบหลังณัฐไว้เหมือนกัน ผมร้องไห้อีกแล้ว น้ำตาผมไหลอีกแล้ว ความรู้สึกตื้นตันมันเอ่อล้นขึ้นมามากมายจนผมกลั้นน้ำตาไม่ไหว
“ฮื้อ ไม่เอานะไม่ร้อง...ช่างร้องจริงๆเลยคนนี้...” ณัฐเอามือเช็ดน้ำตาออกจากหน้าผมเหมือนผู้ใหญ่กำลังปลอบให้เด็กหยุดร้องไห้ ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้รับการดูแล นานแค่ไหนกันนะที่ผมไม่ได้ถูกทนุถนอมแบบนี้ ซึ่งแม้แต่พี่ตังค์เองก็ยังไม่เคยเทคแคร์ผมขนาดนี้ รายนั้นน่ะ ต่อให้ผมนั่งร้องไห้จริงๆก็คงไม่รู้หรอก
“ฟี่จะดูแลณัฐเอง… นะ...ฮึก...”
“ครับๆ แต่ถ้าจะดูแลณัฐจริงๆก็ต้องหยุดร้องเถอะนะ”
“อือ..” ผมสูดน้ำมูกแล้วกลั้นสะอื้น ผมเงยหน้ามองณัฐ คนที่ผมรักมีใบหน้าที่ดูอิดโรยและเหนื่อยล้า ผมไม่รู้ว่าเขาเสียใจที่ต้องเลิกกับเธอคนนั้นอย่างเด็ดขาดหรือเปล่า ถึงปากเขาจะบอกว่าเขาแค่รู้สึกเคว้งคว้าง ไม่ได้เสียใจที่ต้องเลิกกัน ผมก็ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือโกหก เพราะผมอ่านความคิดใครไม่ได้ แต่เมื่อผมได้เห็นใบหน้าของเขา ได้สบตากับเขาแล้วผมก็เชื่ออย่างไร้เงื่อนไข...
ผมไม่ได้หน้ามืดตามัวเพราะความรัก ผมไม่ได้เชื่อณัฐอย่างไร้เหตุผล
ผมเชื่อณัฐเพราะว่าณัฐไม่ได้เป็นคนช่างโกหก
ณัฐที่ผมรู้จักถึงจะเป็นคนกวนประสาททะลึ่งทะเล้น แต่ณัฐไม่เคยหลอกลวงใคร...
“ต่อจากนี้ไปมันจะมีแค่เรื่องของเราสองคนนะฟี่ ณัฐต้องขอโทษด้วยที่ปล่อยให้เรื่องราวมันคาราคาซังมานานขนาดนี้” ณัฐจับมือผมอีกครั้งแล้วเดินต่อ ผมส่ายหัวแล้วบีบมือณัฐแน่น
“ตั้งแต่แรกแล้ว ฟี่ไม่ได้หวังอะไรจากณัฐเลยนะ ฟี่แค่รู้ว่าฟี่ชอบณัฐ แต่ฟี่ก็ไม่ได้คาดหวังให้ณัฐจะชอบฟี่กลับ แต่ตอนนี้ที่เราคิดเหมือนกันมันก็มากพอสำหรับฟี่แล้ว”
“เฮ้อ...ยิ่งฟังฟี่พูดแบบนี้แล้วณัฐยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นแฮะ..”
“อ้าว ทำไมละ?”
“ช่างเถอะฟี่ เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไปณัฐจะดูแลฟี่มากๆเพื่อชดเชยกับที่ผ่านมา” ณัฐสัญญาแล้วก็จับมือผมแน่นขึ้น เขาสอดนิ้วเขามาประกบกับฝ่ามือของผมแนบแน่นขึ้น ตอนนี้ผมมีความสุข แต่ผมก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำผิด ถ้าผมบอกณัฐว่าผมรู้สึกผิด เขาก็จะต้องพูดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ทางที่ดีผมควรหยุดฟุ้งซ่าน และให้ความสำคัญกับคนที่จับมือผมไว้ตอนนี้จะดีกว่าไหม?
Special: Sherry’s scene
“แล้วสรุปก็คบกันแล้วเหรอ?” ฟี่พยักหน้ารับพลางดูดน้ำอัดลมจากแก้วทรงสูง วันนี้ฟี่แต่งตัวสบายๆมาหาเชอรี่ถึงที่บ้านแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับณัฐให้เชอรี่ฟัง
“เฮ้อ...กว่าจะมาถึงวันนี้ได้นะ” เหนื่อยจังเลยค่ะ ฟังเรื่องที่ฟี่เล่าแล้วก็ลุ้นเหมือนดูบอล แต่สุดท้ายมันก็ลงเอยด้วยดีนี่นะ...
“นั่นสิ... ฟี่ยังคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมีวันนี้ได้ รู้ไหมเวลาที่ฟี่นึกถึงเมื่อก่อนที่เราเป็นได้แค่เพื่อนกัน แล้วพอมาดูตอนนี้สิ มันเหมือนฝันเลยนะ” พอฟังที่ฟี่พูดแล้วก็เห็นด้วย เชอรี่เองยังไม่คิดเลยว่าเรื่องราวมันจะมาเป็นแบบนี้ได้...
เชอรี่เองก็รู้จักณัฐมานานพอกับฟี่ แต่เชอรี่ไม่เคยที่จะไปพูดคุยอะไรสนิทสนมเหมือนที่ฟี่คุยกับณัฐ และณัฐก็ไม่เคยพูดเรื่องของเขาให้เชอรี่ฟังเหมือนที่เขาพูดกับฟี่ บางทีเวลาที่สองคนนั้นคุยกัน เชอรี่ก็รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาอยู่ในโลกส่วนตัวที่มีกันเพียงสองคน
ท่าทีของฟี่นั้นแสดงออกมาแต่แรกแล้วว่าชอบณัฐ ซึ่งเรื่องนั้นเชอรี่ก็รู้เห็นมาตลอด แต่เรื่องที่เชอรี่ไม่รู้คือความรู้สึกของณัฐ เชอรี่ไม่รู้ว่าณัฐคิดยังไงกับฟี่ ไม่รู้ว่าณัฐรู้ความรับรู้สึกของฟี่หรือเปล่า
ถึงอย่างนั้นเชอรี่ว่ามันก็ไม่สำคัญ ความรักบางทีมันก็ไม่ได้เริ่มจากคนสองคนรู้สึกดีให้กันพร้อมๆกัน มันอาจจะเกิดจากคนหนึ่งที่มีความรักอันแรงกล้า และชักนำให้คนที่ไม่ได้คิดอะไรให้ร่วมรู้สึกไปด้วย จนได้มารักกันในตอนสุดท้าย...
เชอรี่เคยแอบสังเกตเวลาที่ณัฐมาทำงานกะเช้า และฟี่มากะเย็น ช่วงเวลาที่คนทั้งสองไม่ได้ทำงานกะเดียวกัน เมื่อเอาบรรยากาศรอบตัวณัฐเวลาที่ไม่มีฟี่ มาเทียบกับเวลาที่ฟี่อยู่ใกล้ณัฐมันต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว
เวลาที่ข้างกายณัฐไม่มีฟี่ ณัฐก็ยังร่าเริง... แบบผิวเผิน ยิ้มแย้มและพูดคุย...เพื่อการบริการ และที่สำคัญ ณัฐจะดูเงียบขรึมอยู่เสมอ
แต่พอฟี่มาอยู่ใกล้ณัฐ ณัฐก็จะเปลี่ยนไปอีกโหมด ณัฐจะชวนฟี่คุยโน่นนี่ หัวเราะเฮฮาจนบรรยากาศในร้านครึกครื้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นมาตลอดจนณัฐลาออกไป เชอรี่เชื่อว่าทั้งสองคนคงไม่ทันสังเกตความแตกต่างในจุดนี้ แต่ว่าเรื่องนี้ทั้งน้องว่านและพี่แก๊บก็สังเกตได้แต่ไม่มีใครพูดออกมา อาจเป็นเพราะทุกคนต่างก็กลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปแล้วจะทำลายบรรยากาศดีๆให้พังทลายลง
เชอรี่เองก็ไม่รู้ว่าตอนจบของเรื่องนี้มันจะเป็นอย่างไร แต่ในมุมมองของเชอรี่แล้วสิ่งเดียวที่อยากได้ก็คือให้เพื่อนรักของเชอรี่ได้มีความสุขที่สุดก็เพียงพอแล้ว
“หน้าตาดูสดใสดีนะฟี่” ผมยิ้มให้หญิงสาวที่เอาน้ำหวานเหยือกโตมาวางตรงหน้าผม วันนี้ผมแว่บมาหาอาผึ้งหลังเลิกงานและตั้งใจว่าจะค้างกับแกสักหนึ่งคืน แล้วพรุ่งนี้ก็ออกไปทำงานเลย
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“แสดงว่าคุยกันแล้วใช่ไหม หืม?” ผมพยักหน้ารับกับอาผึ้ง อาผึ้งยิ้มหวาน แกคงดีใจไปกับผมด้วย
“ณัฐเขาบอกว่าเขาเลือกฟี่แล้ว นับจากนี้ไปฟี่จะต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี แต่ฟี่ก็จะต้องอดทนนะลูก เพราะว่ามันจะต้องมีเรื่องให้คิดอีกมากมาย” ผมพยักหน้ารับ เพราะอาผึ้งก็อยู่ในฐานะที่ผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้วนี่นะ...
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม ฟี่จะต้องหนักแน่นเข้าไว้ ถ้าฟี่เลือกที่จะเชื่อใจเขาแล้ว ฟี่ก็ต้องทำให้ได้ อย่าคิดไปเองโดยที่ไม่ถามเขาก่อน มีอะไรในใจก็ต้องพูดคุยกับเขาไปตามตรงนะ ไม่งั้นเราจะไม่สบายใจเอง”
“อาผึ้งพูดเหมือนกับให้โอวาทตอนแต่งงานยังงั้นแหละครับ” ผมพูดกลั้วหัวเราะจนอาผึ้งมองค้อนเข้าให้
“ฟี่ยังไม่รู้หรอก ตอนที่อาตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่กับพ่อของฟี่นะ ช่วงแรกๆอาคิดมาก กังวล เครียดสารพัดเลย แล้วไอ้ที่คิดมากน่ะก็ไร้สาระทั้งนั้น อากังวลไปเองสารพัด กลัวว่าพ่อของฟี่เขาจะทิ้งอากลับไปหาครอบครัว กลัวว่าเขาจะกลับไปคืนดีกับแม่ของฟี่ เอ่อ...อาขอโทษนะลูกที่อาคิดแบบนั้น” เหมือนว่าอาผึ้งเพิ่งจะรู้สึกครับว่าพูดอะไรออกมา แต่ผมก็ไม่โกรธหรอกนะ เพราะผมไม่รู้ว่าจะเคืองทำไม แม่ผมก็ตายไปตั้งนานแล้ว และอาผึ้งก็รักผมขนาดนี้
“ไม่หรอกครับ พอฟังที่อาพูดแล้วฟี่ก็แอบคิดเหมือนกัน ว่าถ้าวันหนึ่งที่เขานึกถึงฟี่น้อยลง ถ้าความรู้สึกที่เขามีให้ฟี่มันจืดจางไป สมมติวันนี้เขาโทรหาฟี่สามรอบ แล้วถ้าวันหน้าเขาโทรหาฟี่รอบเดียวหรือไม่โทรเลย ฟี่คงจะทนไม่ได้แน่ๆเลย”
“จุดนั้นน่ะอาผ่านมาแล้วลูก ฮึฮึ” ผมมองอาผึ้งที่หัวเราะเสียงใส ผมเห็นอาผึ้งในตอนนี้แล้วผมก็อยากจะเป็นให้ได้อย่างแกนะครับ ผมอยากจะก้าวสู่ช่วงอายุของอาได้อย่างสง่างาม ปล่อยวาง และมีความสุขในชีวิต อาผึ้งเป็นไอดอลของผมเลยแหละครับ
“ฟี่จำไว้อย่างเดียวก็พอลูก เชื่อใจเขาให้มากๆ ต่อให้สุดท้ายเขาทำให้เราเสียใจ อย่างน้อยเราก็จะได้คิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว” ผมยังคุยกับอาผึ้งไม่ทันจบโทรศัพท์ผมก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาก่อน
TRrrr… TRrrr…
- 08XXXXXXXX-
/อยู่ไหน/ เบอร์ที่ผมคุ้นเคยโชว์หราอยู่หน้าจอ ผมยิ้มแล้วกดรับ(อ้อ! ผมลืมบอกไปครับว่าผมไม่บันทึกเบอร์ของณัฐ เพราะถ้าผมบันทึกเบอร์แล้วผมจะจำเบอร์เขาไม่ได้ ผมเลยใช้วิธีกดเบอร์เอาเอง) แต่พอได้ยินเสียงขุ่นๆของปลายสายผมก็ต้องขมวดคิ้ว
“ทำไมทำเสียงแบบนั้นละครับ” ผมส่งสายตาให้อาผึ้งที่มองอยู่ ทำไมณัฐถึงทำเสียงหงุดหงิดแบบนั้นใส่ผมละ
/ณัฐถามฟี่ ตอบมาก่อนสิ/
“อยู่บ้านอาผึ้ง”
/ไปทำไม/
“อ้าว ก็มาหาอาน่ะสิ”
/แล้วทำไมไม่บอกณัฐล่ะ/
“เอ่อ...” ผมพูดไม่ออกเลยครับ ผมก็กะว่าจะโทรนะ แต่โทรตอนจะนอนน่ะ...
/รู้ไหมว่าณัฐเป็นห่วง เอาแต่นั่งคิดตลอดเลยว่าป่านนี้ฟี่จะเลิกงานหรือยัง ขึ้นรถหรือยัง/
“...” ผมยังคงเงียบต่อ อาผึ้งเองก็เริ่มส่งสายตาสงสัยมาให้ผมมากขึ้นแล้วครับ
/ณัฐมันไม่สำคัญใช่ไหม ถึงได้ไม่คิดจะโทรมาบอกกันบ้างเลยว่าจะไปไหน /
“ฟี่...ลืมไปน่ะ..ฟี่ขอโทษนะ...” ผมกระซิบเสียงเบาเพราะไม่อยากให้อาผึ้งคิดว่าเรากำลังจะทะเลาะกันครับ...
/ลืมเหรอ? ฟี่ลืมไปงั้นเหรอ... อืม ไม่เป็นไรหรอก ฟี่ก็แค่ลืมไปนี่นะ...งั้นณัฐไปทำงานต่อก่อนแล้วกัน/ แล้วณัฐก็วางสายไปครับ ผมละอึ้งไปเลย ผมมองโทรศัพท์แล้วก็มองหน้าอาผึ้งสลับกัน
“ทำไมเหรอฟี่ มีอะไรหรือเปล่า”
“เหมือนว่าณัฐเขา...จะรอโทรศัพท์ฟี่น่ะครับ ก็ฟี่เลิกงานแล้วแต่ยังไม่ได้โทรไปหาเขาเลย”
“แล้วทำไมฟี่ไม่โทรละ”
“ปรกติเขาจะโทรหาฟี่เองนี่ครับ...แล้วฟี่ก็ลืมด้วย สงสัยฟี่คงไม่ชิน เพราะเมื่อก่อนที่คบกับพี่ตังค์ ฟี่ไม่เคยต้องทำแบบนี้ และพี่ตังค์ก็ไม่เคยจะถามว่าฟี่อยู่ไหนยังไงเลยสักครั้งนะครับ”
“ไม่ชินที่ถูกเป็นห่วงว่างั้นเถอะ แล้วคนนั้นเขาเคืองฟี่หรือเปล่าละ”
“สุดๆเลยละครับ เสียงขุ่นคลั่กมาเลย เหอะๆ”
“จะเอาไงละลูก ค้างไหม หรือว่าจะกลับ?”
“ค้างแหละครับ ก็ฟี่บอกว่าจะค้างก็ต้องค้างสิครับ”
“งั้นเดี๋ยวอาจะไปเตรียมมื้อเย็นก่อน ฟี่อย่าลืมโทรไปเคลียร์แล้วกันนะ” ผมพยักหน้ารับ แต่ในใจผมน่ะเหรอ..
...สับสนอย่างแรงเลยครับ ผมรู้ว่าผมผิดที่ไม่โทรบอก แต่ทำไมเขาต้องหงุดหงิดด้วย ทั้งๆที่เขาแค่โทรมาถามผมก็พอว่าผมอยู่ไหนอะไรยังไงก็จบแล้ว ณัฐมาเหวี่ยงใส่ผมแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆและพาลไม่อยากโทรหา ผมรู้นะว่าเขาเป็นห่วงผม...
สงสัยสุดท้ายแล้วผมก็คงต้องโทรไปง้อเขาจริงๆแหละครับ ก็ทำไงได้ ผมให้ใจเขาไปทั้งดวงแล้ว... ทำใจงอนเขาไม่ลงหรอกครับ..
แต่ทำไมผมรู้สึกโหวงๆในใจพิกล มันเป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่งระหว่างความรู้สึกผิดและน้อยใจ...บางทีมันอาจจะเป็นคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัวเงียบๆเพื่อรอวันระเบิดตูมก็ได้นะครับ...
----------------------------- To Be Continue -----------------------------ปล.ขอโทษนะคะ หายไปหลายวันเลย พอดีกลับบ้านนอก แล้วไม่มีเน็ต เลยไม่ได้อัพให้