The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Space [ช่องว่าง] จบแล้วค่ะ  (อ่าน 119921 ครั้ง)

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
ช่องว่าง ตอนที่ 22
«ตอบ #270 เมื่อ01-07-2011 17:49:50 »

เขาบอกว่าเวลาที่คนเรามีความทุกข์ มักจะชอบหาที่พึ่งทางใจมาช่วยทำให้ใจสงบ คนที่นับถือศาสนาพุทธก็คงเลือกที่จะเข้าวัดทำบุญสินะ แต่ในเมื่อผมเป็นคริสต์ งั้นผมก็ต้องเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์เพื่อให้พระเจ้าช่วยชำระล้างจิตใจผมสิ

แต่มันไม่ได้ผลหรอก...ผมเคยลองมาแล้ว

ตอนที่ผมเลิกกับพี่ตังค์ใหม่ๆ ผมฟุ้งซ่าน จิตตก รู้สึกผิดบาปเป็นที่สุด การเข้าโบสถ์ไม่ได้ช่วยทำให้จิตใจผมดีขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนกิเลสหนาเกินไปนะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในที่สุดแล้วสิ่งที่ช่วยกอบกู้จิตใจผมได้ ก็คือระยะเวลา... ระยะเวลาที่ช่วยทำให้ผมลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ผมเกริ่นมาเสียยืดยาวจนคุณอาจจะสงสัยว่าผมอยากจะพูดอะไรกันแน่.. ให้คุณลองย้อนกลับไปอ่านข้างบนนะครับ ว่าผมพูดถึงอะไรไปบ้าง แต่หากคุณยังไม่เข้าใจ ผมก็จะอธิบายให้ฟัง

ผมพูดถึงเวลาที่ผมมีปัญหา ผมทุกข์ใจ ผมนอยด์(แดก)

และผมพูดถึงเรื่องในอดีต เรื่องของผมกับคนรักเก่าของผม...

ใช่ครับ วันนี้ผมกำลังเครียด เครียดเรื่องอดีต แต่ไม่ใช่อดีตของผมหรอก

แต่เป็นอดีตของณัฐ...

ผมกำลังสงสัยว่า ผมเองต้องใช้เวลาที่นานมากในการลืมความรักครั้งเก่า ถึงแม้ว่าผมจะเป็นฝ่ายที่เลือกปล่อยมือแล้วเดินจากมาเอง ผมก็ยังคงนึกถึงมันอยู่ดี สงสัยคงเพราะผมเป็นคนเลือดกรุ๊ปโอ เขาว่ากันว่าคนเลือดกรุ๊ปโอมักจะชอบนึกถึงเรื่องในอดีต และด้วยสันดานของคนเป็นมนุษย์ ที่มักจะชอบคิดว่าถ้าตัวเองเป็นแบบนี้ คนอื่นก็จะต้องเป็นเหมือนตัวเองไปด้วย

ผมคิดว่าณัฐเคยนึกถึงเรื่องราวในอดีตไหม? ผมสงสัยว่าณัฐเคยติดต่อไปหาคนเก่าของเขาบ้างไหม? ผมอยากรู้ว่าณัฐเคยไปหาหรือไปเยี่ยมลูกเขาบ้างไหม?

ครับ... ผมยอมรับ...ตอนนี้ผมกำลังน้อยใจ...

น้อยใจกับเรื่องที่มันเกิดขึ้นเมื่อวาน...
....
...
..
.
.

“อะ...อื๊อ! ณัฐ เบาๆสิ..” ผมจิกเล็บลงที่ไหล่ของคนที่กำลังขยับร่างกายอยู่บนตัวผมตอนนี้ จังหวะการสอดประสานของเรารุนแรงและเร่งเร้าจนผมแทบจะทนไม่ไหวและต้องระบายอารมณ์ไปที่ร่างกายของณัฐ
“ฮื้อ!!” และณัฐก็แกล้งผมโดยการถอยออกห่างและกระแทกกลับมาจนสุด ผมกัดริมฝีปากแล้วจ้องณัฐเขม็ง ในใจแอบเคืองที่เขาคอยจะเอาแต่เป็นฝ่ายคุมเกมส์และกลั่นแกล้งผม พอผมจะขอเป็นฝ่ายทำให้เขาบ้างก็ไม่ค่อยจะยอม เพราะกลัวโดนผมเอาคืนน่ะสิ ไอ้คนบ้า!
“ฟี่ครับ..กอดณัฐหน่อย..” ผมยกแขนโอบรอบคอเขาไว้แน่น ณัฐขอมาแบบนี้ผมก็ต้องทำให้สิ หยดเหงื่อจากแก้มณัฐแปะลงมาตรงปลายจมูกผม ผมชอบเวลาที่ณัฐอยู่ข้างบนจัง เพราะมันจะทำให้ผมเห็นร่างกายของเขาได้ชัดทุกส่วน ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกคลั่งไคล้ที่ผมมีให้กับเขาว่ายังไงดี เพราะมันคงไม่มีคำไหนบอกความรู้สึกของผมได้หมดหรอก

ผมมักจะลมหายใจขาดห้วงเสมอเวลาที่เห็นณัฐ
และยิ่งหายใจไม่ค่อยออกเวลาที่เห็นณัฐเปลือยกายโชว์บอดี้ฟิตๆของเขา
แน่นอนว่าผมยิ่งแทบขาดใจไปเลยเมื่อบอดี้ที่ผมคลั่งไคล้นั้นกำลังนัวเนียกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับผมแบบตอนนี้!

“ณัฐ อื๊อ อะ...อ๊ะ!” ผมรู้สึกได้ถึงจังหวะการขยับที่เร็วและแรงมากขึ้นของณัฐ ข้างในของผมมันรู้สึกถึงสัมผัสของณัฐมากมายเหลือเกิน

TRrrr… TRrrr…

แม่ง....ใครโทรมาครับเนี่ย... โทรศัพท์ผมนี่หว่า แต่ช่างเหอะ เดี๋ยวผมโทรกลับก็ได้

TRrrr… TRrrr…

มันยังไม่ยอมวาง!

TRrrr… TRrrr…

“รับก่อนไหมฟี่?” ณัฐหยุดการกระทำแล้วพักถามผม ผมจึงพยักหน้ารับและเตรียมคำด่าไอ้คนที่โทรมาไว้ในใจ ณัฐถอนกายออกจากตัวผมแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์มาให้ ผมนอนมองก้นแน่นๆนั้นขยับไปมาตามจังหวะเดินอย่างเพลินใจแป๊บเดียวโทรศัพท์ก็ถูกยื่นมาตรงหน้าผมแล้ว

‘พี่ตังค์โทรมาทำไม??’ ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจพอเห็นเบอร์โทรเข้า
“รับสิฟี่ ถามว่าเขาโทรมาทำไม” โอ้ว...เสียงเข้มเป็นกาแฟอเมริกาโน่เลยครับ ไม่ใส่น้ำตาลมาสักนิด
“งือ... ไม่อยากรับเลย” ผมลังเลจัง เขาไม่โทรมาหาผมหรอกถ้าไม่มีเรื่องจะรบกวน
“รับสาย แล้วบอกว่าอยู่กับแฟน ไม่ว่างคุย” ผมแอบอึ้งนิดนึง ณัฐเอาจริงเหรอ?
“....” ยังไงดีหว่า ถ้าทำอย่างที่ณัฐพูด มันก็จะโหดร้ายไปไหม? แต่ถ้าผมไม่รับเขาก็คงโทรมาอีก..
“จะรับไหมฟี่ ถ้าไม่รับ ณัฐจะรับเองนะ” พอณัฐว่างั้นผมก็เลยรีบรับสายเลยครับ ไอ้พี่ตังค์เฮงซวย ทำไมโทรมาตอนนี้วะ
“ครับ”
/ฟี่...ทำอะไรอยู่...กว่าจะรับสายได้../
“เอ่อ คือ...ฟี่อยู่กับแฟนครับ ไม่สะดวกคุย”
/อ้าว..ยังงั้นเหรอ..งั้น...พี่ขอโทษนะ...แค่นี้แหละ/
ครับ...แค่นั้นเอง แล้วเขาก็วางสายไป ผมว่างานนี้เขาคงไม่โทรมาอีกแล้วแหละครับ...ผมสงสารพี่เขาขึ้นมาแวบหนึ่งในใจ แต่แล้วก็สลัดความคิดเพ้อเจ้อนั่นออกไป เวลานี้ผมอยู่กับณัฐ จึงไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมาคิดถึงคนอื่น

“ฟี่...” ณัฐเรียกชื่อผมเบาๆแล้วขยับเข้ามากอดผม ผมชอบซุกหน้าไว้กับอกของณัฐแล้วดมกลิ่นของณัฐ จากนั้นเราสองคนก็ดำเนินเรื่องราวกันต่อจากตอนแรก และพอดึกหน่อยณัฐก็กลับบ้านไป...

แล้วผมก็อยู่คนเดียว...

ถามว่าทำไมณัฐต้องกลับบ้านเหรอครับ ทำไมณัฐไม่ค้างเหรอครับ...

ก็แม่ณัฐเขาอยู่คนเดียว พ่อณัฐเขาไปทำงานกะกลางคืน...ณัฐจึงต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เขาไง

ผมก็เลยต้องนอนคนเดียว

รู้ไหมครับว่าการที่ต้องนอนอยู่ท่ามกลางกลิ่นกายของคนรักที่หลงเหลืออยู่บนที่นอนนั้นมันช่างทรมาน ผมได้กลิ่นเขา ผมรู้สึกถึงไออุ่นของเขา แต่ผมไม่อาจสัมผัสเขาได้

ผมช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ ทั้งที่ผมเองก็ได้รับความรักจากเขามามากแล้ว แต่ผมก็ยังไม่พอ ผมอยากจะเหนี่ยวรั้งณัฐให้อยู่กับผมไปตลอด... ก็ผมเหงานี่นะ...

เวลาที่ผมอยู่คนเดียวโดยไม่มีเขา ผมมักจะคิดฟุ้งซ่าน คิดโน่นนี่ไร้สาระ คิดอะไรที่มันบั่นทอนจิตใจของผม บางครั้งผมก็พยายามที่จะไม่คิด แต่ด้วยนิสัยเดิมของผมที่เป็นมาแต่ไหนแต่ไรทำให้ผมห้ามความคิดไม่ได้ และสุดท้ายมันก็มาบั่นทอนจนจิตใจผมเจ็บปวด

ผมอยากจะรู้... ว่าเวลาที่ณัฐอยู่บ้าน หรือเวลาที่ไม่ได้อยู่กับผม...
เขาทำอะไร...
ณัฐได้รับรู้ในทุกเสี้ยวชีวิตของผม ได้รู้จักกับทุกคนในชีวิตผม แต่ผมไม่รู้ ไม่เคยได้รับรู้ชีวิตในเสี้ยวนั้นของเขา ไม่เคยไปบ้านเขา ไม่เคยได้สัมผัสชีวิตในด้านนั้นของเขาเลยแม้สักครั้ง

ผมช่างต่างจากที่ผู้หญิงคนนั้นได้รับรู้...

ผมคิดอิจฉาหล่อน ที่ได้เคยร่วมใช้ชีวิตกับเขา ได้ตื่นนอนพร้อมเขาทุกเช้า ได้เห็นหน้าเขาก่อนนอนทุกคืน...

แล้วคนที่เคยอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน รู้จักกันมาตั้งนาน เขาจะติดต่อหากันไหม เขาจะคิดถึงกันไหม?

ณัฐจะโทรไปหาเขาเวลาลับหลังผมบ้างไหม?

แค่ผมคิดน้ำตาก็ไหลแล้วครับ ผมไม่ชอบร้องไห้เลย มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น แต่ผมก็ห้ามน้ำตาไมได้ ผมกำลังเสียใจ เสียใจกับเรื่องที่ตัวเองนึกขึ้นมาเอง แล้วมันก็มาทำร้ายจิตใจผมเอง ผมรู้ว่าผมไม่เควรคิดเองเออเองโดยไม่ถามเขา

แต่คุณนึกออกไหม ตามนิสัยของณัฐ เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เขาคงไม่มีทางเมินเฉยไม่ใส่ใจเรื่องลูกของเขาได้หรอก ผมจึงเชื่อว่าเขาต้องติดต่อไปหากันบ้างอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือทำไมเขาไม่เคยเล่าให้ผมฟังบ้างเลย ทั้งที่เขาบอกว่ามีอะไรก็จะเล่าให้ผมฟัง แต่เขาไม่เคยพูดถึงมันเลย

ผมเคยอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง ในเรื่องมีคู่สามีภรรยาที่สมกันทุกด้าน ภรรยาแสนสวยและสามีรูปหล่อ ภรรยาทำทุกอย่างเพื่อให้สามีพึงพอใจและรักเธอมากๆ แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่รบกวนจิตใจของคนที่เป็นภรรยามาตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ได้อยู่ร่วมกัน

มันคือเรื่องคนรักเก่าของสามี ผู้หญิงที่เป็นคนแรกของสามีเธอ และเป็นเซ็กส์ครั้งแรกของสามี...

ภรรยารู้ดีว่าสามีเลิกกับผู้หญิงคนนั้นมานานแล้ว แต่เธอก็ยังครุ่นคิดเสมอ ว่าสามีของเธอเคยคิดถึงคนรักเก่าบ้างไหม และแล้วความกังวลของภรรยาก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อคนรักเก่าของสามีย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองนี้ เมืองเดียวกันกับที่เธอและสามีอาศัยอยู่

ภรรยาเห็นคนรักเก่าของสามีแล้วก็นึกลำพองใจ ผู้หญิงคนนั้นสวยสู้เธอไม่ได้ มีดีสู้เธอไม่ได้ แต่ประสาผู้หญิงก็คิดมากไม่เปลี่ยน ถึงภรรยาจะสวยแค่ไหน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เคยเป็นคนที่สามีเธอเคยคบมา และยิ่งตอนนี้สามีของเธอก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องคนรักเก่า นั่นยิ่งทำให้เธอกังวล เพราะเธอไม่รู้ว่าสามีคิดอะไรอยู่ในใจ...

ผมอ่านแล้วผมก็ไม่เข้าใจว่าคนที่เป็นภรรยาจะคิดมากอะไรนักหนา คนเขาเลิกกันไปตั้งนานแล้วก็คงลืมกันไปบ้างแหละ ผมคิดแบบนั้นจนผมมาเจอกับตัวเองนี่แหละครับ ผมถึงได้เข้าใจความรู้สึกของภรรยาแสนสวย แม้ว่าเธอจะมีดีทุกอย่าง เธอสวย เธอเป็นแม่ของลูกเขา เธอรักเขามาก แต่เธอก็ยังกังวลว่าสามีจะกลับไปหาคนรักเก่า

คนที่ไม่เคยเจอเองกับตัว จะไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ...

ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจ แต่ผมแค่หวงและหึง ผมแค่กลัวว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะอยากเอาณัฐกลับไปเป็นของเธอ เหมือนกับที่ภรรยากลัวว่าคนรักเก่าจะมาทวงสามีของเธอไป

ผมคิด...คิดซ้ำไปซ้ำมา... คิดแล้วร้องไห้ ร้องไห้จนผมหมดแรงแล้วก็หลับไป...


นั่นแหละครับ...เรื่องเมื่อวาน เมฆฝนในใจผมมันตั้งเค้าทะมึนยาวนานมาจนวันนี้ แถมตอนเช้าพอผมมาทำงานก็เจอคนปากมอมเป็นคนแรกเลย
“ฟี่ หน้ามึง...โทรมมาก” ผมใช้หางตาเหล่มองคนที่ทักผมด้วยความหงุดหงิด มันไม่รู้บ้างหรือไงว่าเรื่องอะไรควรพูด เรื่องอะไรไม่ควรพูด
“ใครเขาจะเหมือนมึงละทัช หน้าเหียกมาทำงานได้ทุกวัน” ผมพูดไปงั้นแหละครับ ไอ้ทัชมันก็ไมได้ขี้เหร่อะไร แต่ไม่หล่อเท่าณัฐของผมแค่นั้นเอง หึหึ
“วาจาแรงมาก...เอางานมึงไป กูไม่กวนใจมึงละ” ไอ้ทัชวางเอกสารประกอบงานชิ้นใหม่ไว้ที่โต๊ะผมแล้วก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม ผมหยิบเอกสารมาพลิกๆดูก็เห็นว่า ไม่ใช่งานเร่งอะไรนัก ผมเลยเลือกงานชิ้นที่ดูน่าสนใจมาทำก่อน

ผมรู้ตัวอีกที่ก็ตอนที่ทัชมาสะกิดผมให้ไปกินข้าวเที่ยง ผมทำงานเพลินจนไม่ได้มองนาฬิกาอีกแล้ว
“ไปกินข้าวกัน ทำงานไม่รู้เวล่ำเวลานะมึงอะ” มันว่าผมอีกครับ
“จะกินอะไร” ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะกินอะไรดี ลองถามมันดู เผื่อว่าไอ้ทัชจะมีไอเดียดีๆ
“กูอยากกินตามสั่ง จะกินกะเพราไข่เยี่ยวม้า” มันพูดแล้วก็เดินนำเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำของมัน 
“เออ ความคิดดี งั้นกูเอาเหมือนมึงนะทัช” เราสองคนนั่งคุยโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยจนอาหารมาเสิร์ฟ พอผมจะตักข้าวเข้าปาก ไอ้ทัชก็ถามผมเสียงเรียบ
“มึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่าฟี่”
“หือ?”
“กูรู้สึกนะ มึงเงียบๆ ชิ้นงานมึงก็ดูทึมๆ ถ้ามึงไม่ได้เป็นอะไรมึงไม่มีทางแสดงออกแบบนี้หรอก” ไอ้ทัชถามผมด้วยท่าทางที่เหมือนถามเรื่องดินฟ้าอากาศ มันถามเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ผมรู้ว่ามันก็อยากรู้ว่าผมเป็นอะไร
“...กูแค่คิดมากนิดหน่อย...”
“แล้วมึงคิดมากเรื่องเกี่ยวกับอะไรล่ะ”
“เรื่อง...ณัฐ..” ผมตอบแล้วทอดสายตาลงมองจานข้าว หวังว่าการนับเม็ดข้าวจะกลั้นไม่ให้น้ำตาผมหยดลงมาได้
“อืม...มึงเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร มีอะไรไม่เข้าใจกันทำไมไม่คุยไม่บอก”
“...” ผมยังคงนิ่ง...วันนี้ไอ้ทัชดูพึ่งพาได้
“ขนาดเรื่องมึงกับไอ้เม้ง มึงยังไม่เล่าเลยนะ” ผมเงยหน้าสบตาไอ้ทัชด้วยความแปลกใจ นี่มันรู้?
“เม้งบอกเหรอ?”
“อืม มันมาเล่าให้กูฟัง กูก็ตกใจนิดนึงอะนะ แต่กูเข้าใจมัน ก็มึงน่ารักจะตาย เชื่อมั้ย แรกๆที่รู้จักกันกูไม่อยากจะคิดเลยนะว่ามึงเป็นผู้ชาย ดูหน้ามึงสิ หวานซะขนาดนี้”
“กูจะบอกณัฐ” ผมหรี่ตามองไอ้ทัชอย่างระแวง หวังว่ามันคงไม่คิดชั่วกับผม...
“เฮ้ยอย่า แฟนมึงขี้หึงสัด! และกูไม่ได้คิดอะไรกับเพศเดียวกันด้วยเว้ย ไม่ใช่แนวกู” ไอ้ทัชโบกมือห้ามเป็นพัลวันเลยครับ แล้วมันก็กำชับว่าห้ามบอกณัฐเรื่องที่มันชมว่าผมน่ารักอีกหลายรอบ
“มึงอย่าเก็บเรื่องไว้กับตัว มีอะไรก็ต้องถามต้องเล่าบ้าง มึงไม่ได้ตัวคนเดียวนะฟี่”
“อืม...” ผมซึ้งใจขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าเพื่อนห่วงผมแค่ไหน แต่แล้วผมก็เปลี่ยนความคิดทันทีเมื่อได้ยินประโยคต่อไปของไอ้ทัช...
“ถ้าไม่มีมึง กูก็อู้งานไม่ได้ ถ้ามึงเครียดจนป่วยต้องลางาน กูก็ต้องทำงานแทนมึงน่ะสิ” ไอ้เพื่อนเหี้ย...

“เออฟี่ มึงรู้เรื่องจูนยัง” ผมหันหน้าไปมองไอ้ทัชอย่างสงสัย เรื่องจูน? หมายความว่ายังไง?
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องจูนกับคิงเพื่อนมึงอะ”
“หา?? ทำไมวะ ไอ้คิงมีอะไรกับจูน”
“เห็นว่ากำลังดูๆกัน”
“อ้าว ไหงไปถึงขั้นนั้นได้อะ” ผมถามเสียงสูงด้วยความแปลกใจ นี่ผมมัวแต่คิดมากเรื่องตัวเองจนไม่เป็นอันเข้าสังคมกับเพื่อนฝูงเลยเหรอ
“ไม่รู้เหมือนกัน กูเองก็บังเอิญไปเจอสองคนนั้นที่เจเจ พอตอนกลางคืนกูเลยโทรไปถามจูนมา มันก็บอกว่าลองคบๆดู เพราะเห็นว่าคิงมั่นคงมาตลอด เคยชอบมันยังไง ก็ยังชอบมันยังงั้น” ผมพยักหน้าเห็นด้วย ในที่สุดความพยายามของไอ้คิงก็สำเร็จสินะ

ในเวลาหลังเลิกงานที่ทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว ผมมานั่งคิดทบทวนถึงเรื่องเพื่อนสองคนที่ผมได้ฟังจากปากไอ้ทัช ผมเองดีใจที่เพื่อนสนิทของผมจะได้มาลงเอยกัน จูนเป็นคนดี และคิงก็เป็นคนดี

ความมั่นคงยังงั้นเหรอ?

จูนลองให้โอกาสคิงแม้ว่าเธอจะไม่เคยรู้สึกชอบคิงเลย แต่เพราะว่าคิงมั่นคงกับเธอยังงั้นเหรอ?

ผมคิดว่าบางทีการที่เราจะคบกับใครสักคน เหตุผลมันก็ไม่ได้เริ่มมาจากความรัก มันอาจจะเป็นการคบกันเพราะเห็นแก่ความดี คบเพราะสงสาร คบเพราะเห็นใจ ฯลฯ

แล้วณัฐคบผมเพราะอะไร??

TRrrr… TRrrr…

“ว่าไงครับ” ผมรับสายอย่างรวดเร็ว เหมือนว่าใจเราจะสื่อถึงกันนะครับ หรือมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญผมก็ไม่รู้ แต่ว่าเวลาที่ผมกำลังคิดถึงเขา หรือเขากำลังคิดถึงผม ใจเราสองคนมักจะตรงกันเสมอ บางทีผมกำลังจะพิมพ์เมสเสจไปหาเขา เขาก็จะโทรมาหาผมพอดี
/ยังไม่กลับบ้านเหรอครับ?/
”กำลังจะกลับแล้ว”
/แล้วจะไปไหนหรือเปล่า?/
“ไม่หรอก ว่าจะกลับบ้านเลย” ผมรู้ว่าณัฐอยากให้ผมไปหา แต่ในสภาพอารมณ์แบบนี้ ผมไม่อยากจะไปเจอผู้คนเยอะๆ ผมกลัวตัวเองจะไปทำตัวมืดมนจนคนอื่นหดหู่ตามเปล่าๆครับ
/เหรอ.../
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฟี่กลับบ้านก่อน”
/อืม/

ผมว่าณัฐเขาต้องรู้สึกได้ครับ ว่าผมแปลกไป พนันได้เลยว่าคืนนี้ณัฐต้องมากดออดบ้านผมไวกว่าปกติแน่นอน...

----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล1. รู้สึกว่าตอนนี้แต่งออกมาเองก็มึนเอง ถ้าคุณผู้อ่านคิดว่าติดขัดตรงไหนก็บอกได้เลยนะคะ บีจะได้นำไปปรับแก้
ปล2. เรื่องนี้ตอนหลังต้องแฮปปี้แน่ค่ะ เรื่องหื่นก็แน่นอนค่ะ เพราะคาแรคเตอร์ของณัฐเป็นคนที่ขยันทำการบ้านอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ขอหื่นทีละนิด เพราะมาม่ามันมากกว่านิ > <



ออฟไลน์ rellachulla

  • iiRita♥World Behind My Wall♥
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1606
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-8
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
«ตอบ #271 เมื่อ01-07-2011 18:17:07 »

อ่าาา สู้เค้านะณัฐ
ตอนนี้มันมืดมนจริงๆ
อ่านแล้วจะอินตาม
คิดมาก คิดเยอะ ปวดหัว

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
«ตอบ #272 เมื่อ01-07-2011 18:35:42 »

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
«ตอบ #273 เมื่อ01-07-2011 19:09:33 »

มาต่อเร็วๆเน้อ :กอด1:
ไม่มึนนะคะ สำนวนอย่างงี้คิดว่ายังเป็นสไตล์คุณบีอยู่
ถ้าเคยอ่านนิยายคุณบีมาก่อน จะไม่มึนแน่นอนค่ะ :laugh:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
«ตอบ #274 เมื่อ01-07-2011 22:12:42 »

เค้าถึงว่าไม่มีใครมาทำร้ายตัวเราได้มากเท่าความคิดของเราเอง

ออฟไลน์ SoN

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2965
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-15
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
«ตอบ #275 เมื่อ02-07-2011 15:51:29 »

^^

ออฟไลน์ J_Dargon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
«ตอบ #276 เมื่อ02-07-2011 21:47:12 »

ฟี่เนี่ยเป็นคนคิดมากจังน่ะ

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
«ตอบ #277 เมื่อ02-07-2011 22:24:48 »

ถ้าฟี่มีตัวตนจริง และถ้าดิฉันเป็นเพื่อนกับฟี่ ดิฉันคงพูดกับฟี่ว่า
"ฟี่กับผู้หญิงในนิยายที่ฟี่อ่านน่ะ ประสาท"
ถ้าใครที่คิดแบบฟี่คงหาความสุขในชีวิตไม่ได้หรอก
ฟี่เหมือนคนมองไม่เห็นความเป็นจริงของโลก ฟี่เหมือนคนไม่รู้เท่าทันโลก
เพราะฟี่อายุยังน้อย หรือเพราะพื้นฐานรอบครัวของฟี่กันน้า ที่ทำให้ฟี่มีความคิดแบบนี้
ดิฉันสงสารฟี่จัง ทำยังไงน้า ฟี่ถึงจะปรับเปลี่ยนความคิดที่เป็นบ่อนทำลายความสุขของตัวเอง แล้วมาคิดแบบเพิ่มสุขให้ตัวเองน่ะ
แต่..หนูบีเก่งจัง ที่ทำให้คนอ่านเห็นภาพฟี่ได้ชัดเจนและเข้าอกเข้าใจฟี่ซะ
จนเหมือนฟี่มีตัวตนจริงๆเลยน่ะ

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
«ตอบ #278 เมื่อ03-07-2011 16:07:28 »

บรรยากาศมันหม่นเหลือเกิน

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
«ตอบ #279 เมื่อ07-07-2011 22:56:37 »

ณัฐต้องเป็นห่วงแน่นอน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
« ตอบ #279 เมื่อ: 07-07-2011 22:56:37 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 22 (01/07/2011)
«ตอบ #280 เมื่อ29-07-2011 22:07:58 »

หายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
ช่องว่างหมายเลข 23
«ตอบ #281 เมื่อ01-08-2011 17:29:12 »


เสียงกดออดหน้าบ้านปลุกให้ผมโงหัวขึ้นมาจากหมอนอิงบนโซฟา ผมกระพริบตามองรอบตัวด้วยอารมณ์มึนๆ ข้างนอกมืดแล้ว น่าจะประมาณสองทุ่ม เสียงกดออดดังซ้ำอีกครั้งราวกับจะเร่งให้ผมลุกไปเปิดประตู ณ บัดนาว แต่สำหรับคนที่เพิ่งตื่นและปวดหัวตึ้บจะปรับสภาพร่างกายได้ดีแค่ไหนกันเชียวนะ

ผมลุกขึ้นยืนและเดินออกไปตรงประตูหน้า ผมจ้องมองลอดตาแมวและก็เห็นว่าเป็นคนคุ้นเคย ณัฐมีสีหน้านิ่งๆแบบที่ผมเดาไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่ แต่เมื่อผมเปิดประตูออกไปรับเขา ณัฐก็ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ผมเหมือนเคย ความหงุดหงิดในใจของผมมันแทบจะสลายไปทันทีที่เห็นเขายิ้ม แต่ผมก็ย้ำกับตัวเองเอาไว้ให้หนักแน่นมากๆ

ผมยอมรับว่าผมอาจจะน่ารำคาญ ผมอาจจะเป็นคนที่คิดมากเกินไป แต่ที่ผมคิดมันก็เป็นเพราะว่าผมใส่ใจไม่ใช่เหรอ ถ้าหากผมไม่ได้คิดอะไรกับเขา ผมจะเก็บเอาเรื่องบ้าบอมาใส่ใจหรือเปล่า? ก็คงไม่

“เพิ่งตื่นเหรอ” ผมพยักหน้าแทนคำพูด ณัฐยังคงมีน้ำเสียงที่นุ่มนวลเหมือนเคย เขาวางกระเป๋าไว้บนตู้รองเท้าแล้วเดินเข้ามากอดผม
“หน้ามึนเชียว” ผมยิ้มกับคำพูดของณัฐ เขาจูบผมเบาๆตรงหน้าผากและแก้ม
“งือ... ปวดหัวตึ้บๆ” ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะอ้อนเขากลับ ใครกันละที่จะไม่หวั่นไหวไปกับความอ่อนโยนแบบนี้
“ไม่สบายเหรอครับ งานยุ่งเหรอวันนี้”
“ไม่ยุ่งหรอก...คิดเรื่องอื่นมากกว่า” ผมเริ่มพูดแทนการพยักหน้าได้แล้วครับ สมองผมเริ่มทำงานแล้ว
“ไหนบอกณัฐสิ ว่าฟี่คิดมากเรื่องอะไร”
“...” ผมไม่รู้จะเริ่มพูดตรงไหนดี เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าเล็กๆ กลัวว่าถามออกไปแล้วณัฐจะหาว่าผมงี่เง่า คิดมาก
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกณัฐ ฟี่แค่เหนื่อยๆ เดี๋ยวฟี่ก็หายเอง ไม่ต้องห่วงหรอก” สุดท้ายความพยายามของผมก็สูญเปล่า ผมไม่กล้าถามเขาเหมือนเดิม...
“ฟี่... ทำไมกัน มีปัญหาอะไรฟี่พูดกับณัฐไม่ได้เลยเหรอ” ผมส่ายหัวงุด มันไม่ใช่อย่างที่ณัฐคิด แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง
“ไม่ ฟี่ไม่ได้เป็นอะไร ณัฐอย่าสนใจเลย” ผมหันหน้าหนีเขา ถ้ายังขืนจ้องหน้ากันแบบนี้คงได้ทะเลาะกันแน่
“ณัฐไม่ได้ตายด้านนะ ถึงจะได้ไม่รับรู้ว่าฟี่แปลกไป”
“แต่ฟี่ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ฟี่แค่เหนื่อย” ผมขึ้นเสียงตัดบทกับเขา ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้นะ
“ฟี่เห็นณัฐเป็นคนอื่นใช่ไหม?” ณัฐทำเสียงตัดพ้อ สายตาเศร้า ผมเห็นแล้วก็รู้สึกจี๊ดขึ้นมานิดหนึ่ง เรื่องของผมเนี่ยอยากจะรู้หนักหนา ต้องรู้ให้ได้ ต้องเค้นผมให้ได้ แต่พอเรื่องของเขาละไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยถ้าไม่ขอ
“ถ้าณัฐจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจเถอะ อยากจะเห็นฟี่เป็นคนอื่นนักก็ได้” ผมหันหลังเดินหนี แต่ณัฐก็คว้าแขนผมไว้แล้วกอดผมจากด้านหลัง
“ไม่ใช่สิฟี่ ณัฐไม่ได้คิดแบบนั้น ณัฐแค่ไม่อยากให้ฟี่คิดอะไรคนเดียว กังวลอะไรคนเดียว”
“...” ผมรู้สึกร้อนๆที่ขอบตา เหมือนน้ำตามันจะไหล
“ไม่มีอะไรหรอก ฟี่ก็แค่นึกถึง...เรื่องของณัฐ...ไม่เห็นณัฐพูดอะไรให้ฟังบ้างเลย...”
“เรื่องของณัฐ? เรื่องอะไรล่ะ ณัฐก็อยู่กับฟี่นี่ไง ไม่อยู่กับฟี่ก็อยู่บ้าน แล้วฟี่อยากรู้อะไร” ผมส่ายหัว ไม่ได้หมายถึงเรื่องแบบนั้น...
“ฟี่หมายถึง...เรื่องคนนั้น...ณัฐได้ติดต่อกับเขาบ้างหรือเปล่า ไม่เห็นณัฐพูดถึงบ้างเลย...” ก็ณัฐบอกผมเอาไว้ว่ามีอะไรก็จะเล่าให้ฟังนี่นา...
“ก็มันไม่มีอะไรนี่ แล้วจะให้ณัฐเล่าอะไร”
“แล้วณัฐไม่ได้โทรไปหาเขาบ้างเหรอ ณัฐบอกไว้เองนี่ว่ายังไงก็ยังต้องติดต่อกันอยู่...เพราะเรื่องลูก...”
“ณัฐโทรไป เพราะวันนั้นลูกไม่สบาย แล้วณัฐเป็นห่วงลูก แต่เขาก็ไม่รับสาย จะให้ณัฐไปหาที่บ้านก็ไม่กล้าหรอก ก็ณัฐทำเขาเสียใจไว้นี่ จะมีหน้าไปพบเขาได้ยังไง” ไม่รู้ทำไมกันนะ พอผมได้ยินคำว่าลูก ผมก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที...
“ถ้าณัฐห่วงลูกนัก แต่ไม่กล้าไปหาเพราะทำเขาเสียใจ ณัฐก็กลับไปดีกับเขาสิ คืนดีกับเขาซะ จะได้เจอลูกไง” ไม่ไหวแล้ว สุดท้ายผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่...
“อะไรกันฟี่ ก็ณัฐเคยบอกแล้วไงว่ามันไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแล้ว ต่อให้เลิกกับฟี่ ณัฐก็ไม่มีทางกลับไปดีกับเขาหรอก”
“ก็แล้วณัฐเป็นห่วงลูกณัฐไม่ใช่หรือไงล่ะ นี่ก็เป็นทางเดียวไม่ใช่เหรอที่จะทำให้ได้เจอลูก”
“ทำไมฟี่ต้องเอาเรื่องที่ณัฐเป็นห่วงลูกมาต่อรองกันแบบนี้ ณัฐไม่มีสิทธิ์จะห่วงลูกเลยหรือไง ฟี่จะให้ณัฐเป็นคนใจดำที่ไม่เหลียวแลรับผิดชอบเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเลยเหรอ”
“แล้วจะให้ฟี่ทำใจได้ยังไง ณัฐรู้ไหมว่าไอ้คำว่า ‘ลูก’ มันแสลงใจฟี่แค่ไหน”
“....” ณัฐไม่ได้พูดอะไรกลับมา เขาขยับมาใกล้ผมและยกแขนจะสวมกอด แต่ผมก็เบี่ยงตัวออก
“ฟี่มีลูกไม่ได้นี่ ฟี่มีลูกให้ณัฐไม่ได้เหมือนผู้หญิงคนนั้นนี่...” น้ำตาผมไหลอาบแก้ม ผมรู้สึกขึ้นมาวูบหนึ่งว่าผมช่างทำตัวน่ารำคาญเหลือเกิน สักวันณัฐก็คงหมดใจให้ผมเพราะผมเป็นคนแบบนี้...
“ทำไมฟี่ถึงคิดว่าเรื่องนั้นมันถึงจะผูกมัดณัฐไว้ละ มันไม่จำเป็นเลยนะ ถ้าณัฐจะรักฟี่ ก็รักที่ตัวของฟี่ ไม่ได้รักเพราะฟี่มีลูก ไม่ได้เลือกฟี่เพราะความจำเป็นที่มันบังคับ...”
“...” พอณัฐเห็นผมเริ่มนิ่ง เขาก็สอดแขนรอบตัวผมและดึงผมไปนั่งบนตักเขา
“ณัฐยังไม่ทันได้รู้สึกอะไรกับเขาด้วยซ้ำ มันเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวของณัฐเอง พอมีลูกแล้ว ณัฐถึงได้เริ่มรู้สึกว่าว่าเข้ากันไม่ได้ ยังไม่ทันได้ศึกษากันและกันก็ต้องมามีลูกแล้ว”
“ไม่ร้องนะครับฟี่”
“อือ...” ผมขยับตัวหันไปซุกตรงซอกคอของณัฐ ผมชอบกลิ่นของเขา อุณหภูมิของณัฐที่ผมรู้สึกได้บ่งบอกว่าเขาอยู่กับผมในตอนนี้
“เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้วนะฟี่ ณัฐพูดคำไหนก็เป็นคำนั้น ตอนนี้ณัฐอยู่กับฟี่ หัวใจณัฐก็อยู่กับฟี่ ฟี่ไม่ต้องคิดเรื่องของคนอื่นอีก” ผมพยักหน้ารับ แต่แล้วก็นึกได้...
“แล้วทำไมณัฐไม่เห็นเล่าให้ฟี่ฟังเลยว่าโทรไปหาแล้วเขาไม่รับ” บอกจะเล่าให้ฟังทุกเรื่องไงวะ...
“มันตั้งนานแล้วนะฟี่ ณัฐไม่ได้สนใจจำด้วยซ้ำ”
“แล้วทำไมไม่เล่าตั้งแต่ตอนนั้น”
“ก็มันไม่ได้อยู่ในสมองสักนิดนี่นา”

เรื่องหลังจากนั้นคงไม่ต้องพูดต่อหรอกนะครับ เอาเป็นว่าความสงสัยของผมมันก็จางหายไปแล้วละ และหลังจากการปรับความเข้าใจของเราสองคนแล้วผมกับณัฐจะทำอะไรกันต่อก็คงรู้นะครับ หึหึ...


----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล.1 ยังไม่ลืมกันใช่มั้ยคะ... :impress:
ปล.2 คือว่าที่หายไปนานไม่ใช่ว่าขี้เกียจหรือจะดองหรอกนะคะ สมองครีเอทตอนใหม่ได้มากมายแต่ไม่มีเวลาจะเขียน
เพราะว่าช่วงเดือนกค.มีโปรเจคใหม่เข้ามาแบบเร่งด่วน เลยไม่มีเวลาแต่งนิยายเลย
ปล.3 กำลังปั่นตอนที่ 24 นะคะ รับรองว่าสมกับที่รอคอยค่ะ  :m1:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2011 17:35:02 โดย บีบีจัง »

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
«ตอบ #282 เมื่อ01-08-2011 20:15:28 »

อุกรี๊ดดดดดดด  :m3: :m3: :m3:
คุณบีมาต่อแล้ว  :mc4:

ดีใจ เหมือนถูกหวย  :laugh: :laugh: :laugh:

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
«ตอบ #283 เมื่อ01-08-2011 20:40:33 »

 :z10: :z10:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
«ตอบ #284 เมื่อ01-08-2011 20:50:32 »

เซอร์ไพร์ส ชุดใหญ่
แต่แบบฟี่ บางครั้งก็น่ารำคาญจริงๆด้วย
แต่ก็มีคนนิสัยแบบนี้ไม่น้อย

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
«ตอบ #285 เมื่อ01-08-2011 20:53:50 »

น้องบีมาแล้วๆๆ
ยังไม่ลืมหรอก รออ่านเหมือนเดิมแหละ
อืม..นะ บางทีฟี่ก็ดูเหมือนงี่เง่าจริงๆแหละ(แรงไปไหมเนี่ย)
ลูกทั้งคน จะไม่ให้ณัฐรักและห่วงได้ไงเนาะ
ทีเราก็ยังรักยังห่วงคนตั้งหลายคน แต่มันรักคนละแบบ ห่วงคนละแบบไงฟี่

ออฟไลน์ SoN

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2965
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-15
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
«ตอบ #286 เมื่อ01-08-2011 21:49:51 »

^^

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
«ตอบ #287 เมื่อ02-08-2011 01:22:07 »

เอาใจช่วยนะค่า อยากให้ต่อจนจบ สงสารปมในใจของฟี่

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
«ตอบ #288 เมื่อ02-08-2011 02:38:30 »

อ่านแล้วนึกได้เลยว่า
ความรักทำให้คนงี่เง่า เป็นนิยามสำหรับ ฟี่มากๆ (-_____-" )
เพราะเป็นคนคิดมาก คิดลบ และมองโลกในแง่มืดมน
ไม่ค่อยมีจุดหมายอะไรชัดเจน พอมีแฟนเลยเอาทุกสิ่งไปไว้ทีแฟน แล้วกังวลไปล้านแปดเรื่อง
แล้วดันไม่กล้าถาม เพราะคิดคำตอบในแง่ร้ายรอไว้ก่อน

ถ้าบังเอิญมีคนที่กังวลแบบนี้กับแฟนตัวเอง
หายใจลึกๆ ถอดความคิดถึงแฟนออกมาซักสามสิบเปอร์เซนต์
เอาเวลาไปหางานอดิเรกทำ หาที่ของตัวเองจะได้ไม่เครียดมาก
แล้วก็มองรักในด้านดีบ้าง  อย่าคิดแต่ว่าจะเลิกกัน
และเลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
ชีวิตรักจะแฮปปี้นะจ๊ะ

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
«ตอบ #289 เมื่อ02-08-2011 06:53:54 »

ฟี่นี่...เป็นคนขี้เหงาเนอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
« ตอบ #289 เมื่อ: 02-08-2011 06:53:54 »





ออฟไลน์ rellachulla

  • iiRita♥World Behind My Wall♥
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1606
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-8
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
«ตอบ #290 เมื่อ02-08-2011 13:10:57 »

ฟี่ขี้เหงา งี่เง่าด้วย
คิดมาก คิดเยอะ เกิดขึ้นได้กับทุกคน
แต่ณัฐเค้ามีลูกอ่ะ ถ้าณัฐจะห่วงทางโน้นมากกว่าฟี่
มันก้อคือสิ่งที่ฟี่ต้องยอมรับ
เพราะณัฐร่วมกันสร้างเด็กคนนั้นขึ้นมาแล้ว ต้องรับผิดชอบ ต้องดูแล ไปจนวันตายแหละ
ฟี่ใจเย็นๆ นะ ณัฐเองก้ทุกข์ไม่ใช่น้อย
ที่จะพยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นทุกๆฝ่าย
เฮ้ออ มืดมน :เฮ้อ:

A_ay

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
«ตอบ #291 เมื่อ02-08-2011 14:58:14 »

ฟี่เยอะไปนะ :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ถ้าไม่เป็นณัฐนี่  ใครจะรับได้ละเนี่ยย :serius2:

แต่ดีแล้วที่ณัฐเข้าใจฟี่มากๆ o13

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 23 (01/08/2011)
«ตอบ #292 เมื่อ03-08-2011 07:57:43 »

ฟี่ ก็ง้องแง้งเสมอต้น เสมอปลายดีเน๊อะ
แต่แบบนี้เราก็เคยเป็นอ่ะ รำคาญตัวเองเหมือนกัน
คิดเองป่วยเอง แก้ไม่ได้ซ๊ะที  :เฮ้อ:

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
ช่องว่างหมายเลข 24
«ตอบ #293 เมื่อ04-08-2011 17:27:10 »


“ขยายสาขา?” ผมทวนประโยคของณัฐซ้ำอีกรอบเพราะคิดว่าตัวเองคงฟังผิดไป หลังจากที่ณัฐเพิ่งจะพูดอะไรเกี่ยวกับร้านกาแฟ ขยายสาขา และย้ายไปอยู่สาขาใหม่
“อืม พี่โอเขาไปดูที่มาแล้ว ตอนนี้ก็กำลังทำร้านอยู่”
“แล้วเขาจะให้ณัฐไปประจำสาขานั้น?”
“ไม่ใช่ๆ เขาจะให้ผลัดกันไปน่ะ”
“แล้วมันไกลขึ้นนี่”
“อืม ไม่ดีเลยอะ ณัฐไม่อยากไปเลย”
“...” ผมนิ่งคิด อะไรบางอย่างในความรู้สึกผมมันกำลังก่อตัวทีละน้อย มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก แต่ผมก็บอกไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกยังไงกันแน่
“ฟี่ เป็นอะไร ทำไมทำหน้ามุ่ยละ” ผมรู้สึกตัวอีกทีเมื่อณัฐแตะแก้มผม สงสัยผมคงจะเผลอแสดงออกทางสีหน้าไปชัดเจนเลยสินะ
“ไม่รู้สิณัฐ ฟี่ไม่ค่อยอยากให้ณัฐไปสาขาใหม่เลย ไกลก็ไกล แถมฟี่ยังไปหาลำบากด้วย” ผมไปเอานิสัยงี่เง่าแบบนี้มาจากไหนกันนะ...
“ณัฐก็ไม่อยากไป แต่มันเป็นงานนะฟี่”
“งือ” ผมถอนใจแล้วพยักหน้า ก็ณัฐพูดกับผมอ่อนโยนเหลือเกิน จิตใจที่ว้าวุ่นมันก็ค่อยสงบลง ผมหลับตาเพื่อซึมซับสัมผัสที่ณัฐลูบแก้มผม ผมจับมือณัฐไว้แล้วจูบลงไปที่ฝ่ามือ เรื่อยไปตามท่อนแขนและหัวไหล่ ผิวกายเปล่าเปลือยของณัฐทำให้ผมรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง...
“อะไรกัน” ณัฐถามเสียงแผ่วเมื่อปลายลิ้นของผมไล้เลียไปตามแนวกระดูกไหปลาร้าของเขา ผมชอบกลิ่นของณัฐเหลือเกิน ชอบเวลาที่กลิ่นกายของณัฐติดอยู่ตามผ้าห่ม หมอน ที่นอนของผม ผมชอบที่ได้เห็นเสื้อผ้าของณัฐแขวนอยู่ในตู้ของผม...

ชอบเวลาที่ตื่นมาในตอนเช้าและเห็นเขานอนอยู่ข้างผม...

“ฟี่ อือ...” ฝ่ามือของณัฐกดหัวของผมและขยุ้มเส้นผมอย่างทรมานเมื่อผมเคลื่อนตัวลงต่ำและใช้ริมฝีปากงับเจ้าสิ่งที่อ่นนุ่มนั้นเข้ามาในปากของผม ผมชอบเวลาที่มันอ่อนปวกเปียก ชอบเวลาที่ผมได้ทำให้มันตื่นขึ้นมาในปากของผม
“อะ...อา..” เสียงของณัฐกระตุ้นอารมณ์ผมให้โหมกระพือขึ้นไปอีก ผมแทบจะงัดทุกกระบวนท่าออกมาเพื่อให้ณัฐพอใจ แต่ทว่าคืนนี้ยังคงอีกยาวนาน ผมค่อยๆทำไปจะดีกว่า
“อ๊ะ!” ผมพลาดเสียแล้วเมื่อปล่อยให้มือใหญ่ของณัฐเอื้อมมากอบกุมกับน้องหนูของผมได้ นิ้วทั้งห้าของณัฐทำหน้าที่กระตุ้นเร้าอย่างชำนาญจนน้องหนูผมเริ่มแข็งขึง ผมเสียวจนละริมฝีปากออกจากแก่นกายตื่นตัวของณัฐและก็กลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกกดอยู่เบื้องล่างแทน เสื้อยืดของผมถูกณัฐถอดออกอย่างรวดเร็วเหลือแต่เพียงแผ่นอกเปลือยที่หอบเหมือนจะขาดใจ
“อื้อ ณัฐ...อะไรกัน ขี้โกงอะ ตัวเองแรงเยอะกว่านะ...” ผมพยายามประท้วงแต่ก็ดูท่าว่าณัฐจะไม่สนใจเลย แล้วจู่ๆผมก็รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วที่รุกล้ำเข้ามาในร่างกาย ผมผวาเฮือกก่อนจะถูกณัฐจุบกดไว้แน่น อา...นี่เองที่เรียกว่าการถูกจับกด...
“อะ อ๊า!” ปลายนิ้วของณัฐเร่งความเร็วจนแผ่นหลังผมไม่ติดที่นอน
“ชอบไหม...ชอบให้ณัฐทำให้แบบนี้หรือเปล่า?” อึก! ไอ้คนบ้า ถามอะไรตรงๆแบบนั้นกันเล่า ผมเขินเป็นนะโว้ย
“หืม...ไม่พูดไม่ทำต่อนะครับ...” เสียงเซ็กซี่ยั่วเย้าล่อลวงให้ผมตกหลุมพราง เรื่องอะไรผมจะยอมทำตัวออดอ้อนน่าอายแบบนั้นละ
“ฮึก...ชอบ..” แต่ปากผมมันไม่ฟังคำสั่งจากสมองเลยครับ
“น่ารักจริง หึหึ..” ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ทำไมผมถึงไม่เคยต่อต้านเขาได้สำเร็จเลยนะ แล้วจู่ๆนิ้วที่ควานลึกอยู่ภายในก็เพิ่มจำนวนจากหนึ่งเป็นสอง ผมรู้สึกอึดอัดเบื้องล่างขึ้นมาทันที แก่นกายของณัฐบดเบียดเข้ากับต้นขาของผม ผมรู้สึกได้ถึงความเหนอะหนะจากส่วนปลายที่แข็งขึงนั้น ใจอยากจะโผเข้าไปหาและกลืนกินทุกอย่างของณัฐเข้าไปให้หมด แต่ติดที่มือใหญ่ล็อกเอวผมเอาไว้นี่สิ แถมยังไอ้นิ้วยาวๆที่ทำหน้าที่อยู่ตรงส่วนล่างของผมไม่เอื้อให้ผมคิดอย่างอื่นนอกจากส่งเสียงรัญจวนเพื่อให้ณัฐพอใจ...
“อยากได้เหรอ...อยากได้เหรอครับ?” น้ำเสียงอ่อนโยนใจดีขัดกับสายตาชั่วร้าย แต่ผมก็ยังพยักหน้าอ้อนวอนเพื่อให้ณัฐมอบในสิ่งที่ผมอยากได้
“อ๊ะ!!” ผมอุทานเมื่อรู้สึกว่าถูกยกตัวขึ้นสูงพร้อมกับลิ้นอุ่นหนาจาบจ้วงไปยังด้านหลังที่มีนิ้วนำทางอยู่ ผมพยายามดิ้นหนีเพราะไม่ชอบที่ณัฐจะมาใช้ลิ้นกับตรงจุดนั้น มันไม่ได้รู้สึกแย่หรืออะไรหรอกนะครับ แต่ผมคิดว่ามันสกปรกก็เท่านั้น
 “ไม่ชอบเหรอ” อา...มาแล้วครับ เจ้าเสียงเศร้าสร้อยออดอ้อน ณัฐช้อนสายตามองผมเหมือนลูกหมาน้อย ช่างน่าสงสารจนผมใจอ่อนอีกแล้ว
“ชอบสิ แต่มันสก-”
“ไม่ต้องพูดเลยนะฟี่ ณัฐชอบของณัฐ ณัฐรักของณัฐ มันไม่สกปรกเลยนะ ทีฟี่ทำให้ณัฐละ” ณัฐพูดอย่างเด็ดขาดเสียจนผมเถียงไม่ออก ความรู้สึกค่อยๆไต่ระดับจนถึงจุดสูงสุด และผมก็ปลดปล่อยทั้งหมดออกมาจนเกลี้ยง ใบหน้าของณัฐมีหยาดหยดเกาะอยู่เป็นจุดๆ ผมรู้สึกหน้าร้อนวาบ นี่มันน่าอายจริงๆนะ...
“วันนี้หวานนะฟี่ สงสัยเป็นเพราะกินขนมหวานไปตอนมื้อเย็น” เสียงณัฐยั่วเย้าจนผมอยากจะมุดหน้าเข้าไปในผ้านวม แต่เจ้ากรรม...ณัฐคงไม่ปล่อยผมไปง่ายๆ
“จะเสร็จคนเดียวได้ไงละหืม?” ณัฐยืดตัวขึ้นสูง และใช้อุ้งมือทั้งสองกำรอบข้อเท้าผมแน่น ก่อนจะจับแยกออกกว้างแล้วดันขึ้นแนบหน้าอกข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งยกขึ้นพาดบ่าของเขาไว้ เผยส่วนน่าอายให้เชยชมเต็มที่จนผมต้องเบือนหน้าหนี และพยายามเอื้อมมือลงล่างเพื่อปกปิดส่วนลับไม่ให้เขามอง แต่ก็กลับโดนมือยึดแน่นไว้ทั้งคู่
“ณัฐอะ อย่าทำแบบนี้นะ มันน่าอายจะตายไป”
“อายแหละดีแล้ว เวลาฟี่อายแล้วน่ากินที่สุด” แหงะ...ไอ้คนลามก
“อ๋า!” ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็รู้สึกได้ถึงแรงดันที่ปากทางอย่างช้าๆ จากปลายไล่ลึกเข้ามาทีละนิ้วๆ จนสุดความยาว ผมสูดหายใจยาวยืด เอกลักษณ์ของณัฐคือความรุนแรงที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน ณัฐไม่เคยหยุดชะงักแม้ว่าปลายทางจะแน่นแค่ไหน แต่ณัฐจะใช้วิธีขยับเข้ามาทีละน้อยๆ เนิ่นนาน แต่ลึกล้ำ
“ของฟี่คอยจะดูดของณัฐเข้าไปเรื่อยเลย...” เสียงณัฐสั่นเครือ สะโพกแกร่งขยับเข้าออกหลังจากที่รอให้ผมปรับตัวชั่วเวลาหนึ่ง ส่วนปลายของณัฐครูดกับผนังภายในจนผมต้องร้องครางออกมา เสียงหอบหายใจของเราสองคนรุนแรงสอดประสานเข้ากับจังหวะการขยับกายสม่ำเสมอ ผมยกมือลูบแก้มของณัฐด้วยความรู้สึกที่โหยหา แม้จะได้ใกล้ชิดกันสักเท่าไรผมก็ไม่เคยจะรู้สึกว่ามันเพียงพอ...
“อือ...” ผมหลับตารับจูบจากณัฐ เขาดันสะโพกเร็วขึ้นพร้อมกับสอดลิ้นชิมรสชาติในปากผมอย่างช่ำชอง ผมดันไหล่ณัฐออกและสูดอากาศเฮือกใหญ่เข้าปดก่อนที่จะถูกณัฐจู่โจมจูบอีกครั้ง
“อ๊ะ...อา..ณัฐ...ณัฐ...” แม้ว่าผมจะหลับตา แต่ว่าทุกสัมผัสที่รุกเร้าผมอยู่ตอนนี้ก็ช่างคุ้นเคย ผมเรียกชื่อของคนที่โผล่เข้ามาในห้วงความคิดของผม ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองส่งเสียงไม่เป็นภาษา แรงกระแทกจากด้านบนหนักหน่วงตามอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ ผมกรีดร้องหนักขึ้นเมื่อมือของณัฐกอบกุมน้องหนูของผมและรูดรั้งให้ความเสียวทวีขึ้นไปอีก
“ครับ...เรียกชื่อณัฐอีกสิฟี่” ณัฐพูดไปหอบไป จากความคุ้นเคยผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังจะไปถึงจุดสูงสุดแล้ว
“อะอื๊อ! ณัฐ!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อสะโพกหนายันเข้าสุดก่อนถอยออกอย่างรวดเร็ว รู้สึกถึงการเกร็งกระตุกจากส่วนล่างของผม ณัฐตัวสั่นเทิ้ม ปากหอบหาอากาศหายใจ เสียงทุ้มครางต่ำอยู่ข้างหูผมก่อนปลดปล่อยความร้อนออกมาจนสุดตัว แรงรัดของช่องทางด้านหลังมากขึ้นผมคิดว่าตัวเองกำลังจะแตกสลาย ริมฝีปากอุ่นของณัฐจูบที่แก้มผมและพร่ำกระซิบถ้อยคำที่ทำให้ผมหลับสบายได้ทุกคืน...
“รักฟี่นะ...”

ผมนอนมองชายผ้าม่านแสนรักที่อาผึ้งเย็บให้ผมกำลังปลิวไหวเพราะลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ผมชอบนอนมองผ้าม่านปลิวเพราะลมพัด มันรู้สึกสบายตาอย่างบอกไม่ถูก
“อือ...” เสียงทุ้มครางอย่างงัวเงียกับแรงกอดรัดจากด้านหลังเรียกให้ผมหันไปสนใจ คนที่ยังคงหลับตาพริ้มดึงผมเข้าไปหาตัวแล้วกอดไว้แน่นเหมือนเด็กหวงของ ผมอดยิ้มไม่ได้...น่ารัก...
“ตื่นได้แล้วมั้ง...” ผมกระซิบข้างหูคนขี้เซา ณัฐยิ้มน้อยๆและกอดผมแน่นขึ้น แก้มใสซุกเข้ากับสีข้างของผม ณัฐไซ้จมูกกับผิวเนื้อของผมจนพอใจแล้วจึงลืมตาขึ้นมาช้าๆ
“กี่โมงแล้ว”
“เจ็ดโมงครึ่ง”
“ฟี่ตื่นเช้าจัง”
“นอนเต็มอิ่มน่ะ ก็เลยตื่นเช้า ณัฐต้องไปทำงานนี่นะ อยากกินอะไรมั้ย”
“อือ...กินฟี่...”
“กินฟี่ไม่ได้ อยากกินอะไรครับ บอกเร็ว เดี๋ยวฟี่จะลงไปทำให้” ผมประคองแก้มนุ่มให้หันมาคุยกับผม เวลาเช้าๆเขามักจะงัวเงียเสมอ
“ไม่อาว จะกินฟี่” ไม่รู้ว่าไอ้ท่าทีกรุ้มกริ่มร้ายกาจอย่างเมื่อคืนไปไหน กลางคืนเป็นอย่างหนึ่ง พอเช้ามาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เวลางัวเงียณัฐจะช่างอ้อนเสียจริง แล้วแบบนี้ผมจะไม่หลงได้ยังไง...
“อ๋า...อะไรกัน” ณัฐทำเสียงเหมือนแปลกใจเมื่อผมเอื้อมมือลงไปจับส่วนล่างที่ยังคงหลับใหล ทำไมผมจะไม่รู้กันว่าเขาแอ๊บ
“อย่านะฟี่...” ณัฐบีบไหล่ผมแน่นเมื่อผมใช้มือลูบคลำหนักขึ้น ส่วนนั้นจากที่เคยอ่อนปวกเปียกเริ่มพองตัวขึ้นในมือผม
“ฮึ่ย~ รับผิดชอบเลยนะฟี่”
“ไม่อ๊าว!” ผมรีบกระโดดลงจากเตียงเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะถูกตะครุบ ณัฐทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจนผมรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นการออกไปให้พ้นจากระยะของเตียงนอนจะปลอดภัยที่สุด
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ตัวแสบ” เสียงทุ้มตะโกนไล่หลังผมมา เรียกเสียงหัวเราะอย่างสะใจให้ผมได้เป็นอย่างดี


เวลาบ่ายกว่าๆเป็นช่วงที่เรามักจะง่วงนอน แต่สำหรับผมที่หลับมาตั้งแต่ตอนณัฐออกไปทำงานจนป่านนี้คงไม่มีทางง่วงแน่นอน หลังจากที่ผมนอนบิดขี้เกียจได้สองสามครั้ง โทรศัพท์มือถือตรงหัวเตียงผมก็ดังขึ้น
- เชอรี่ –
น่าแปลกที่เชอรี่โทรมาในวันหยุดแบบนี้ เพราะปรกติเธอมักจะยังคงหลับอยู่จนบ่ายสามโน่น ผมเองจะเป็นฝ่ายโทรไปปลุกเธอเสียด้วยซ้ำ
“ว่าไงครับเชอรี่”
/ฟี่~ ตื่นแล้วเหรอ/
“อื้อ เพิ่งจะตื่นเมื่อกี้เอง แปลกจังที่เชอรี่โทรมาช่วงนี้”
/ฮิฮิ วันนี้เชอรี่เอาของออกมาให้เจ้าส้มที่มหา’ลัยน่ะ/
“เจ้าส้มลืมของอีกแล้วเหรอ” ผมนึกขำๆ เจ้าส้ม หรือส้ม คือน้องชายของเชอรี่ที่อายุห่างกันประมาณห้าปี เจ้าส้มเพิ่งเข้าปีหนึ่ง แต่รูปร่างหน้าตาล้ำไปเหมือนเด็กปีห้า อ๋อ เจ้าส้มเรียนเภสัชครับ เลยเรียนห้าปี
/อาทิตย์นี้เป็นครั้งที่สามแล้วนะฟี่ สองครั้งแรกเป็นวันทำงาน ม๊าเลยเอาไปให้ แต่วันนี้เป็นวันเสาร์ เลยใช้เชอรี่ออกมา/
“หึหึ ก็ดีแล้ว จะได้ตื่นเช้าๆไง”
/นั่นสิ เชอรี่ก็เลยได้เจออะไรดีๆแหละฟี่/
“อะไรเหรอ”
/ก็ช่วงนี้เขากำลังรับสมัครนักศึกษาปริญญาโทน่ะสิฟี่/
“เชอรี่จะสมัครเหรอ”
/ใช่ แล้วก็จะชวนฟี่มาสมัครด้วย/ เฮ้ย เชอรี่กับผมเรียนกันคนละสาขามานะ
/อย่าเพิ่งตกใจนะฟี่ เชอรี่จะเรียนสาขานิเทศน่ะ แต่ที่เชอรี่โทรมาเนี่ยก็เพราะว่าเขารับสมัครนักศึกษาทุนสาขามัลติด้วย/ อืม...ฟังดูน่าสนใจ
“แล้วเงื่อนไขของผู้ได้รับทุนละเชอรี่”
/เอ่อ...เดี๋ยวนะ... จะต้องมีเกรดเฉลี่ยระดับป.ตรี 3.50 ขึ้นไป และต้องรักษาเกรดเฉลี่ยระดับป.โทให้ได้ 3.50 ขึ้นทุกเทอม ต้องมีผลงานนำเสนอคณะกรรมการทุกเทอม และเมื่อจบแล้วต้องไปทำงานใช้ทุนในบริษัท XXX ที่เป็นบริษัทในเครือของผู้ให้ทุน/
“โห...เงื่อนไขเยอะมากเลยอะ แล้วฟี่จะไหวมั้ยเนี่ย”
/เชอรี่ว่าอย่างน้อยเกรดเฉลี่ยป.ตรีของฟี่ก็ผ่านแล้วแหละ ฮิฮิ/ ผมนึกถึงเกรดเฉลี่ยผมที่ผ่านเงื่อนไขแบบฉิวเฉียดคือ 3.54 เฮ้อ...สงสัยคงต้องลองสักตั้ง
“งั้นเชอรี่ช่วยเอารายละเอียดมาให้ฟี่ได้มั้ย”
/ได้สิ งั้นเชอรี่เอาไปให้ที่บ้านฟี่เลยนะจ๊ะ/
“โอเค แล้วเจอกันครับ” ความคิดของผมพันกันอีรุงตุงนังหลังจากวางสาย ผมคิดมานานแล้วแหละเรื่องเรียนต่อน่ะ เพียงแต่ว่าช่วงนั้นมันมีเรื่องอะไรให้คิดมากมาย ก็เลยพักโครงการไป แถมยังเก็บเงินค่าเทอมไม่ได้ด้วย ต่อให้สอบได้ก็คงไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม แต่ที่เชอรี่บอกมามันเป็นทุนนี่นะ...

ตอนนี้เหลือปัญหาเดียว...

คือณัฐจะยอมให้ผมเรียนหรือเปล่า...

พ่อทูนหัวของผมน่ะ งี่เง่าน้อยเสียเมื่อไรละครับ...


----------------------------- To Be Continue -----------------------------


ปล.รักทุกคนค่ะ  :-[



bellity

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 24 (04/08/2011)
«ตอบ #294 เมื่อ04-08-2011 18:08:46 »

อัยยะ ฟี่นัฐมาแล้ว

อ่านตอนนี้รู้สึกว่าจะแอบนอยด์ๆ

แต่ชอบประโยคสุดท้ายอ่ะ พ่อทูนหัวของผมงี่เง่าน้อยเสียเมื่อไหร่ เอาไปเลย +1 อิอิ

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 24 (04/08/2011)
«ตอบ #295 เมื่อ04-08-2011 18:35:42 »

อ่านตอนนี้ แล้วรู้สึกว่า nc ตอนนี้มันแปลกๆไป
เหมือนพยายามบรรยายแบบนิยายญี่ปุ่นอ่ะค่ะ   อ่านแล้วสะดุดกึ้กมากเลย
ชอบการบรรยายของคุณบีแบบเก่ามากกว่านะ :กอด1:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 24 (04/08/2011)
«ตอบ #296 เมื่อ04-08-2011 19:18:18 »

ณัฐย้ายสาขา
ฟี่เรียนต่อโท
เหอเหอเหอ ถ้าไม่เชื่อใจกัน
ทะเลาะกันบ่อยแน่ๆ

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
ช่องว่างหมายเลข 25
«ตอบ #297 เมื่อ11-08-2011 19:10:17 »

Special: Nath’s scene

ผมบอกไม่ถูกหรอกว่าที่แท้จริงแล้วผมรู้สึกอย่างไร
หวง? ก็ไม่ใช่
หึง? ก็ไม่ใช่
กลัวว่าฟี่จะห่างไกลจากผมมากขึ้น? ก็ไม่ใช่
กลัวว่าจะมีคนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะกับฟี่? อืม...อันนี้ก็มีส่วน ผมไว้ใจฟี่ แต่ผมไม่ไว้ใจคนอื่น
กลัวว่าเราสองคนจะมีเวลาให้กันน้อยลง? อืม... พอจะเข้าเค้าแล้วครับ...

สำหรับผมและฟี่ ‘เวลา’ เป็นสิ่งที่มีค่ามาก วันหยุดของผมที่ทั้งอาทิตย์มีเพียงวันเดียว แล้วผมยังจะต้องไปเรียนอีก นานๆครั้งที่ผมจะลาหยุดให้ตรงกับวันเสาร์ หรือมีวันหยุดพิเศษ เราจึงจะได้ใช้เวลาร่วมกัน...

ถ้าฟี่จะไปเรียนต่อโท วันเสาร์อาทิตย์ของฟี่ก็ต้องใช้เวลาไปกับการเรียน ไหนจะทำรายงาน ทำโปรเจคท์สารพัด...

แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อเสียเดียวที่ผมจะนึกออกเมื่อฟี่เรียนต่อโท

นอกเหนือจากนั้นก็ล้วนเป็นผลดีกับตัวฟี่ทั้งหมด

แล้วจะมีสาเหตุอะไรที่ผมจะถ่วงความเจริญของฟี่เอาไว้ละครับ...

“ณัฐ ลูกค้าสั่งแก้วเดียว ทำมาทำไมสองแก้วเนี่ย” เสียงพี่เป็ดทำให้ผมรู้สึกตัว มอคค่าแก้วที่ลูกค้าสั่งอยู่ตรงเคาเตอร์ อีกแก้วหนึ่งเป็นลาเต้...ลาเต้ที่ฟี่ชอบดื่มเสมอ... ผมคิดถึงฟี่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเงียบๆเหม่อๆนะ” พี่เป็ดถามผมด้วยสายตาเป็นห่วง ผมนั่งลงบนสตูลแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมเล่าเรื่องในใจผมให้พี่เป็ดฟัง สีหน้าของแกดูครุ่นคิดตามผมไปด้วย พอผมเล่าจบ พี่เป็ดก็จับไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ
“ณัฐมีความสุขมากใช่มั้ย?” ผมพยักหน้ากับคำถามแปลกๆของแก
“ถึงพี่จะไม่เคยพูด แต่พี่ก็รับรู้ได้ว่าณัฐมีความสุข มันเหมือนกับว่าณัฐมีจุดมุ่งหมายในชีวิตมากขึ้น ณัฐรู้ตัวว่าณัฐจะทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร หรือเพื่อใคร” ผมก้มหน้าเมื่อฟังถึงตรงหน้า มันเป็นเรื่องจริงที่เห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยเหรอครับ แค่ผมตั้งใจเรียนมากขึ้น ตั้งใจทำงานมากขึ้น กินเหล้ากินเบียร์น้อยลง มันชัดเจนขนาดนั้นเลยใช่ไหมครับว่าผมทำเพื่อใคร...

“แต่ความสุขมันมากเกินไปจนณัฐรู้สึกกลัวสินะ...” ผมเงยหน้ามองพี่เป็ด ไม่ยักรู้เลยว่าความสุขนั้นมันน่ากลัว...

กลัว...ความสุข...งั้นเหรอ

ผมมีความสุขเวลาที่ได้กุมมือฟี่ มือเล็ก บอบบาง ผมเต็มใจที่จะดูแลฟี่
ผมชอบที่ได้กินอาหารฝีมือฟี่
ผมรักที่ได้ตื่นมาและเห็นหน้าฟี่เป็นคนแรก
ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ฟี่ส่งมาให้ผมผ่านดวงตาสีอ่อนคู่นั้น
ผมรู้ว่าผมควรจะดีใจที่มีฟี่...
แต่ลึกๆแล้ว.... ผมกังวลเสมอมา...ยิ่งรักมาก ยิ่งห่วงมาก...ยิ่งคิดถึง...ก็ยิ่งกลัว
หากว่าความห่างที่มากขึ้น ทำให้เราสองคนเปลี่ยนไป ทำให้เราต้องห่างกัน แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้ามีความสุขมากมายแต่รักษามันไว้ไม่ได้
บางทีผมนอนที่บ้าน...ข้างตัวผมไม่มีฟี่... เมื่อตื่นมาก็ใจหายทุกครั้งที่ไม่เห็นร่างอุ่นๆนั้นซุกตัวอยู่ข้างผม จนนึกออกว่าผมอยู่ที่บ้านของผมเอง...

“พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้ณัฐหายกลัวนะ ใจคนมันก็แบบนี้แหละ แต่รู้ไหม สิ่งดีๆมักจะเกิดจากช่วงเวลาที่เราคิดว่ายากลำบากที่สุด เมื่อเราผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ สิ่งที่ตอบแทนกลับมามักจะมีค่ามากเสมอ” พี่เป็ดพูดยิ้มๆแล้วก็คว้าแก้วลาเต้แก้วนั้นไปดื่ม เพียงอึกเดียวพี่เป็ดก็สำลักทันที
“แค่กๆ ทำไมมันหวานจังละณัฐ” ผมหัวเราะเบาๆ พี่เป็ดไม่กินหวานครับ
“ณัฐคิดถึงฟี่ ก็เลยเผลอชงไปครับ ฟี่ชอบกินหวานๆ” ผมยิ้มเมื่อคิดถึงคนที่ผมแสนรัก ความสุขที่ไม่มีที่มาเอ่อล้นขึ้นมาในใจของผม วินาทีนั้นผมคิดขึ้นมาได้หนึ่งอย่าง
‘การคิดถึงใครสักคน ควรจะต้องคิดถึงแล้วมีพลัง ไม่ใช่คิดถึงแล้วเป็นทุกข์ แบบนั้นมันไม่เรียกว่าการคิดถึงหรอก’
สู้เอาเวลากังวล มาเอาใจช่วยให้ฟี่สอบได้ดีกว่านะ...จริงไหมครับ

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ผมนั่งพลิกอ่านเอกสารที่เชอรี่เอามากองไว้ให้ผม รายละเอียดเกี่ยวกับการสอบบอกเอาไว้อย่างครบถ้วน ผมเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อลองเซิร์ชหาแนวข้อสอบของปีก่อนๆ รายละเอียดมีไม่ค่อยมากนักแต่ผมก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ ผมรู้สึกตื่นเต้นครับ...

พอคิดว่าสิ่งที่ผมเคยคิดไว้เริ่มมีความเป็นไปได้ ผมก็รู้สึกเหมือนเลือดในตัวมันระอุ เอ่อ...ผมไม่ได้ได้จะไปชกมวยนะครับ..

ผมชอบเรียน อยากเรียนเยอะๆ เคยคิดไว้ว่าอยากจะเอาถึงปริญญาเอก แต่ชีวิตจริงมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น... การงาน ความรัก ทำให้ชีวิตจริงของผมเบี่ยงเบนจากความฝันไปมากขึ้นๆ แต่ตอนนี้ ความฝันของผมมันกำลังกลับมาหา...

แต่มันจะทำให้ผมและณัฐมีเวลาให้กันน้อยลงนะ... ความคิดเสี้ยวหนึ่งมันแว่บขึ้นมาแบบนั้น...

ผมอายุยี่สิบสี่ พ้นจากวัยเรียนมาแล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่ในระดับหนึ่ง ผมไม่ใช่วัยรุ่นคลั่งรัก ที่จะทำทุกอย่างเพื่อความรักและบูชาความรักมากกว่าการให้ความสำคัญกับตัวเอง ผมเคยผ่านจุดที่ทำได้แค่เฝ้ามองคนที่ผมรักมาแล้ว ความทรมานที่ไม่ได้รับรักตอบมันย่ำแย่แค่ไหนผมรู้ดี แต่ตอนนี้ณัฐรักผม และเรารักกัน แค่เพียงความห่างที่อาจจะมากขึ้นไม่สามารถทำลายความรู้สึกที่ผมเก็บมานานได้หรอกครับ

ความสัมพันธ์ในครั้งนี้สอนให้ผมได้รู้คุณค่าของความรัก การสูญเสียคนที่รักและการพลัดพรากมากมายทำให้ผมเรียนรู้ที่จะถนอมความรักที่มีอยู่ให้ดีที่สุด ผมจะไม่ทุ่มเทให้ความรักจนผมสูญเสียความเป็นตัวผมเอง และณัฐก็คงไม่ดีใจแน่ๆถ้าผมทำทุกอย่างเพื่อเขาแบบไม่ลืมหูลืมตาจนทิ้งสิ่งสำคัญอื่นๆไป

ณ ตอนนี้ความสัมพันธ์แบบคนรักของเราสองคนมันเพิ่งจะเริ่มเองครับ ยังมีเวลาอีกมากมายที่เราจะได้ใช้ร่วมกัน สิ่งหนึ่งที่ผมจะเชื่อก็คือความรู้สึกนี้จะยังไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาแม้ว่าจะมีตัวแปรอื่นๆเข้ามาในชีวิตของเราสองคนมากมาย

ให้มันรู้ไปสิครับ...ว่าแค่การที่มีเวลาให้กันน้อยลง จะทำให้ผมรักเขาน้อยลง...

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

สอง-สามเดือนผ่านไป...
ซองจดหมายสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้าผม ผมเงยหน้ามองณัฐแบบงงๆ แต่พอเห็นตรามหาวิทยาลัยผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสีหน้าของณัฐจึงดูเหมือนตื่นเต้นนัก
“ณัฐเปิดสิ”
“จะเอางั้นเหรอ” ณัฐถามกลับ และผมก็พยักหน้า ผมมองมือของณัฐแกะซองจดหมายออก หัวใจผมเต้นตึกตักๆแรงขึ้นทุกที ณัฐอ่านจดหมายแบบไม่ออกเสียง ผมมองหน้าณัฐสลับกับจดหมายในมือไปมา ผ่านไปเกือบนาที ณัฐก็วางจดหมายลง
“ฟี่” อ้อมกอดอบอุ่นที่กอดผมอยู่ทุกวันมาแบบรุนแรงและรวดเร็ว ณัฐกอดผมแน่น แน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ผมทำตัวไม่ถูก อยากจะเอื้อมมือไปคว้าจดหมายมาอ่าน แต่ณัฐก็กอดผมจนขยับไม่ได้
“ณัฐ ผลเป็นยังไง ในจดหมายว่ายังไงบ้าง” น้ำเสียงผมเริ่มร้อนรน ผมอยากรู้ผลใจจะขาดอยู่แล้ว
“ฟี่...ต้องสัญญาว่าจะไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งรอบตัวนะ ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาในชิวตของเราสองคนเท่าไร เราก็จะยังมั่นคงต่อกันและกันใช่ไหม?”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นซี่~~ ว่าแต่ณัฐบอกฟี่สักทีเถอะ ฟี่อยากรู้ผลแล้วนะ”
“อะไรกัน ณัฐพูดขนาดนี้แล้วฟี่ยังไม่รู้อีกเหรอ” ณัฐทำหน้ายิ้มแบบกรุ้มกริ่ม ผมเบิกตากว้างทันที
“นี่อย่าบอกนะว่า...”
“อื้อ ฟี่ได้เป็นนักศึกษาปริญญาโทที่น่าหม่ำที่สุดในโลกแล้วนะ” ณัฐหอมแก้มผมฟอดใหญ่
“เฮ้ย จริงดิ นี่ฟี่สอบติดแล้วจริงๆเหรอ อยากจะกรี๊ด!!”
“หึหึ ฟี่ของณัฐเก่งที่สุดเลยครับ” ตอนนั้นผมไม่รู้แล้วครับว่าณัฐหอมแก้มผมไปกี่ครั้ง กอดผมไปกี่หน ผมได้แต่นิ่งอึ้งเป็นตุ๊กตาให้ณัฐกอดรัดฟัดเหวี่ยงไปจนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขากดผมนอนลงบนโซฟานั่นแหละ...
“มัดจำไว้ก่อนเยอะๆ เผื่อฟี่เรียนยุ่ง แล้วไม่มีเวลาทำการบ้านให้ณัฐ” นั่นละเหตุผลของเขา...



----------------------------- To Be Continue -----------------------------

ปล. บีคิดไว้แล้วนะคะ ว่าตอนหน้าจะเป็นตอนจบ บีขออธิบายไว้ตอนนี้เลยว่าเรื่องนี้มันคงสุดได้แค่เท่านี้ เพราะว่าพื้นเพของเรื่องมันก็เกิดจากเอาเรื่องของคนรอบๆตัวมาเก็บเล็กผสมน้อยแล้วปั้นเป็นเรื่องนี้ขึ้นมา โดยบีเริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องเมื่อสมัยอดีต จน ณ ตอนนี้เรื่องมันก็ดำเนินมาถึงเรื่องจริงในปัจจุบัน และก็เป็นจุดที่อิ่มตัวที่สุดแล้วค่ะ ถ้ายังดันทุรังเขียนต่อ ก็มีแต่จะกลายเป็นนิยายหลอกตัวเองไป เพราะงั้นเลยขอยุติไว้แค่ตอนหน้าค่ะ


ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
«ตอบ #298 เมื่อ11-08-2011 20:16:03 »

ขอบคุณสำหรับตอนต่อครับ
แต่...ไม่อยากอ่านตอนหน้าเลย  มันหวิวๆ

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
Re: The Space [ช่องว่าง] ตอนที่ 25 (11/08/2011)
«ตอบ #299 เมื่อ12-08-2011 06:35:32 »

จะรออ่านตอนหน้าต่อนะคะคุณบี :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด