ตอนที่ 43 ความรักมักทำให้คนโง่...
“ถ้าปอนด์คิดว่า... ความรักของตุลย์ ไม่สำคัญกับปอนด์จริงๆ คืนนี้ก็ค้างที่นี่นะ....”
ทันทีที่คำต้องห้ามหลุดออกมาจากปากของเขา ร่างกายของผมก็แข็งทื่อไปชั่วขณะ พร้อมกับคำถามที่ที่ผุดขึ้นในสมอง ผมสมควรจะเลือกกลับไปหาควิลจริงๆ หรือ? ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าเราจะเหมือนเดิมได้หรือเปล่า ในเมื่อเราสองคนก็ไม่ได้เรียนที่เดียวกันแล้ว ผมมั่นใจได้ยังไงว่าผมจะไม่ทำให้ควิลเสียใจซ้ำอีก ยิ่งกว่านั้น เรื่องที่จะลืมเรื่องของตุลย์ทั้งหมดยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้.... แล้วจากวันนี้ไป....
ผมจะบอกควิลอย่างเต็มปากได้ยังไงว่า ความรักของตุลย์ไม่สำคัญกับผมจริงๆ
นาทีต่อมา ผมคลายอ้อมแขนออกจากร่างนุ่มนิ่มนั้นและฉุดตัวเองออกจากห้วงอารมณ์หวามไหวได้ในพริบตาเดียว
“ทำไม ไม่ทำต่อแล้วเหรอ?” ควิลถามด้วยความสับสนกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของผม
“โทษนะ... ปอนด์ว่า.... ปอนด์กลับก่อนดีกว่า” ผมตอบด้วยเสียงอันเบาโหวง โดยไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองหน้าเขา แล้วขยับตัวลุกขึ้นแต่ก็ต้องชะงักเท้ากึก เพราะมือนุ่มของควิลรั้งข้อมือผมไว้ก่อน
“ทำไม...หรือว่าเราทำอะไรผิดไป” เขาถามอีกด้วยเสียงของคนที่สูญเสียความมั่นใจ ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วส่ายหน้า....
“ปอนด์ต่างหากที่ผิด....ผิดที่คิดจะเอาปัญหาที่ตัวเองแก้ไม่ได้ ไปโยนให้เป็นภาระของควิลอย่างหน้าด้านๆ ขอบคุณนะสำหรับความหวังดีของควิล แค่นี้ควิลก็เจ็บมากพอแล้ว อย่าให้เราต้องทำร้ายควิลมากไปกว่านี้เลย”
ผมเห็นนัยน์ตาคู่สวยเต็มไปด้วยความอาวรณ์ จนเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำ คงมีถ้อยคำอีกมากมายจะเขาอยากพูด แต่ไม่มีอะไรหลุดออกมา นอกจากค่อยๆ ปล่อยมือออกจากข้อมือผม
ผมเดินโซเซอย่างไร้เรี่ยวแรงมาถึงรถตัวเองจนได้ เป็นเวลาเที่ยงคืนนิดๆ เท่านั้นทั้งที่สำหรับผมมันเป็นค่ำคืนที่แสนยาวนานนัก ความเครียดที่สั่งสมทำให้บอกตัวเองว่าสมควรอัดบุหรี่สักนิดให้สมองโปร่ง จึงเปิดเบาะรถหยิบบุหรี่และ ไฟแช็กขึ้นจุด และไม่วายหยิบมือถือที่เก็บไว้ใต้เบาะขึ้นมากดดูตามความเคยชิน
สายไม่ได้รับ 5 สาย
ผมดูดบุหรี่มวนนั้นเข้าปอดยาวๆ หนึ่งทีระหว่างที่อีกมือกดดูเบอร์ไปด้วย
เบอร์ไม่คุ้นสามสาย อีกสองสาย มาจากพี่ต้อง ผมขมวดคิ้ว แล้วรีบกดโทรกลับไปด้วยความสงสัย เพราะ ช่วงเวลาที่เลิกงานแล้วแบบนี้ พี่ต้องไม่เคยโทรตามเลยสักครั้งหากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ
“โหย เพิ่งจะโทรกลับมา” พี่ต้องตัดพ้อทันทีที่รับสายโดยไม่กล่าวทักทายใดๆทั้งสิ้น
“ขอโทษพี่ มือถืออยู่ใต้เบาะเลยเพิ่งเห็น พี่มีอะไรหรือเปล่า”
“มีสิ รีบมาที่ร้านด่วนเลยได้ไหม”
“หือ ที่ร้านมีอะไรงั้นเหรอ?” ผมถามด้วยเสียงแสดงความกังวลเล็กน้อย เมื่อพอจับได้ว่าพี่ต้องมีน้ำเสียงที่ร้อนรนกว่าปกติ หวังในใจลึกๆ ว่าคงไม่มีใครตีกัน หรือเกิดเหตุร้ายแรงอะไรขึ้น
“ก็ตุลย์ละสิ เมาแล้วอาละวาด ทำกระจกในห้องน้ำแตกไปบานนึง ไอ้นั่นก็ไม่เท่าไร แต่พอบอกให้ไปโรงพยาบาลมันก็ไม่ยอมไป มันบอกจะรอปอนด์...”
แค่นั้นเอง... ผมแทบลืมไปแล้วว่าปุ่มวางสายอยู่ตรงไหน ไม่ฟังให้จบประโยคด้วยซ้ำ
“ปัดโธ่โว้ย...” ทิ้งบุหรี่ในมือแล้วใช้เท้าขยี้สุดแรงก่อนจะวาดขาขึ้นรถตัวเองอย่างไวที่สุด....
ช่วงเวลาที่ขับรถ ผมไม่รู้จะเริ่มต้นด่าใครก่อนดี เพราะมันหงุดหงิดไปเสียหมด
ไม่ว่าจะเป็นรถที่บิดสุดแรงก็วิ่งได้ไม่เกิน80 km/hr ซึ่งถือว่าปกติแล้วสำหรับคนที่ไม่ชอบขับรถเร็วอย่างผม มาบัดนี้กลับรู้สึกว่ามันช้าอย่างกับเต่าคลาน...
อยากจะด่าไอ้ตุลย์ที่บ้าดีเดือดเลือดพล่าน ทำอะไรไม่เคยคิด
และที่มันน่าด่ามากที่สุด.... มันก็คือตัวผมเองนี่แหละ...
ปากก็บอกว่าไม่ได้คิดอะไร แต่ที่เป็นห่วงมากมายอยู่แบบนี้ก็ห้ามตัวเองไม่เคยได้ ทั้งๆ ที่คิดอยากจะหนีให้ไกลๆ ไปให้พ้นๆ ไม่อยากพบเจอมันอีก แต่สุดท้ายแล้วก็คือผมเองที่ต้องเป็นฝ่ายวิ่งแร่กลับไปหามันก่อนทุกที
ทุกครั้งที่เอ่ยคำพูดทำร้ายใจมัน คือตัวผมเองที่เจ็บมากกว่า ทุกครั้งที่คิดว่ามันคงเข็ดหลาบและเดินหนีไป ก็คือผมเองที่ยืนมือไปฉุดรั้งมันไว้แทบทุกหน
ถ้าจะมีอะไรเหี้ยมากที่สุดในสามอย่างนี้มันก็คงไม่พ้นผมนี่แหละ ที่ทิ้งนิสัยปากไม่ตรงกับใจแบบนี้ไม่ได้ซะที...
คนแรกที่ผมเจอที่ร้านคือพี่ต้อง เขามีท่าทีลุกลน รีบเดินมาหาผมทั้งที่ยังไม่ทันจอดรถดี
“โทษทีนะปอนด์ที่ต้องเรียกมา...พี่ก็รู้แหละว่าอาจจะรบกวนเวลาของคนรัก แต่พี่ก็ไม่รู้จะทำไงดีว่ะ พอเมาละมันน่ากลัวบอกไม่ถูก พี่ไม่กล้าเข้าไปคุย” พี่ต้องรัวคำมากมายด้วยน้ำเสียงแสดงความเกรงใจเพราะรู้ว่าผมกับควิลคงมีความหลังต้องเคลียร์กันยาว แต่ผมไม่ได้ใส่ใจนัก
“มันอยู่ไหน” ผมถามห้วนๆ
“ที่เดิมอ่ะ” สั้นๆ ก็รู้ว่าโต๊ะหน้าสุด ผมเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นอีกจนกระทั่งพบไอ้ตัวปัญหากระดกเหล้าเข้าปากพรวดเดียวอย่างกับดื่มน้ำ ทำเอาผมนึกโมโหเพื่อนๆมันนัก ที่อยู่กันครบแต่ไม่มีใครจะห้ามปรามมันกันสักคน กว่าผมจะเดินถึงตัว มันก็ชงแก้วใหม่เรียบร้อยพร้อมดื่ม
หมับ... เป็นผมที่จับข้อมือมันไว้แน่น
“เฮ้ยใครวะ” มันขึ้นเสียงแล้วหันมาทำหน้ากวนตีนใส่ แต่พอมันเห็นผมชัดเต็มตามันกลับจ้องผมนิ่งไม่พูด ไม่ขยับตัวอะไรทั้งสิ้น
“ปอนด์มาก็ดีแล้ว ช่วยจัดการมันทีเถอะ เมาละเก๋าชิบหาย เสือกต่อยกระจกห้องน้ำทำไมไม่รู้” มาถึงไอ้เดฟ ก็ฟ้องเลย
“มึงจะบ้าหรือไง เลือดไหลจะหมดตัวแล้วมึงยังมีอารมณ์มาแดกเหล้าอีกเหรอ” ผมหายใจแรงด้วยความโกรธจัดขณะพยายามแกะแก้วเหล้าออกจากมือใหญ่ที่โชกเลือด แต่มือแข็งๆ นั้นยังรั้นไม่ยอมปล่อย ถ้าไม่เกรงใจว่ามีคนอยู่กันเยอะ ผมอยากจะตบกะโหลกมันสักฉาดเผื่อสติจะกลับมาบ้าง
“ไม่ต้องมายุ่ง กูจะเป็นจะตายมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงนี่..”
“เหรอ? ถ้าไม่เกี่ยว แล้วมึงบอกพี่ต้องให้ตามกูมาทำไม” ผมสวนกลับไปทันควัน
“เหอะ โทษแล้วกันนะ ที่ไปขัดจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม นี่พี่ต้องเค้าไปอ้อนวอนขอร้องมึงยังไงล่ะถึงยอมกลับมานี่ได้” ให้ตายเถอะ มันยังมีอารมณ์ประชดอีกนะ
“เค้าก็บอกกูว่าถ้ากูไม่รีบมาอาจจะมีคนตายในร้านไง กูกลัวผีอย่างมึงจะเฮี้ยน กูเลยต้องมา เก็ทป่ะ”
“แผลแค่นี้ กูไม่ตายหรอก ถ้ามึงห่วงแค่นั้นมึงก็กลับไปเหอะ”
“เออ กูไปแน่ แต่มึงจำไว้ละกันว่ามึงเป็นคนไล่กูเอง ถ้ากูไปแล้วอย่ามาตามง้อก็แล้วกัน...”
ผมบอกแล้วลุกขึ้นเดินออกไปทันที เดินออกไปถึงหน้าร้านด้วยความโมโห
สัดตุลย์ คนอุตส่าห์เป็นห่วง แต่กลับมาไล่กันเนี่ยนะ
ผมคิดอย่างโมโห พลางเตะกระป๋องหน้าร้านเล่นแก้เซ็ง
ยืนโมโห ได้ไม่นานไอ้ตุลย์ก็เดินตามออกมา ผมหงุดหงิดเลยหันควับเดินหนี แต่บังเอิญหนีไม่ทัน ไอ้ตุลย์จึงตามมาทันและจับข้อมือเอาไว้ได้ “เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป....”
“มึงตามกูมาทำไม” ผมทำเสียงเหวี่ยงสุดชีวิต
“กูก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีขากูมันก็วิ่งตามมึงมาแล้ว” เป็นคำตอบที่สมกับเป็นมันมาก...
“ทีนี้จะไปโรงพยาบาลได้หรือยัง?”
“บอกกูสิว่ามึงเป็นห่วง แล้วกูจะไป” ขนาดแค่จะไปหาหมอมันยังจะต่อรองอีก...
“ขนาดตัวมึงเองมึงยังไม่ห่วงเลย แล้วทำไมกูต้องเป็นห่วงคนอย่างมึงด้วย กูไม่เข้าใจเลย คราวที่แล้วก็ผนัง คราวนี้ก็กระจก กระจกมันผิดอะไร มึงถึงต้องไปชกมันด้วย”
“มึงไม่ต้องห่วงหรอก ถึงยังไง กระจกมันก็ไม่เจ็บหรอก” นั่นไม่ใช่ประเด็นนะ
“แล้วมึงอ่ะ เจ็บป่ะ”
“เจ็บดิ”
“เออ!! เจ็บก็ไปโรงพยาบาลดิ จะมายืนเถียงทำซากอ้อยอะไร”
“กูไม่ได้เจ็บมือ กูเจ็บที่ตรงนี้” มันเอามือทุบอกตุบๆ แววตาและน้ำเสียงแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างชัดเจนผมพลอยเจ็บตามไปด้วย “ถ้ากูไปหาหมอ แล้วหมอที่ไหนเค้าจะรักษาได้วะ”
สรุปอาการเจ็บของมันนี่...หมอเกาลัดกะหมอหมีคงช่วยไรไม่ได้ ต้องรอให้หมอปอนด์มารักษาว่างั้น? อยากจะอ้วกแตกตายจริงๆ พับผ่าสิ
“เอาแผลกายให้รอดก่อนเถอะ แผลใจเอาไว้ทีหลัง” ผมบอกอย่างหมั่นไส้ แล้วดึงแขนขวาข้างที่เจ็บของมันมากุมไว้ ขยุ้มชายเสื้อตัวเองตั้งใจจะเช็ดเลือดให้
“เฮ้ยไม่ต้อง เดี๋ยวเสื้อก็เลอะหรอก”
“ช่างมัน...” ผมว่าอย่างไม่ใส่ใจ ใช้ชายเสื้อยืดสีขาวของตัวเองเช็ดเลือดที่หยดนั่นออกจากปลายนิ้วของมันช้าๆ จนเห็นแผลกระจกบาดที่หลังมือของมันชัดเจนขึ้นอีก
“มึงรู้ไหม ว่าบางทีมึงก็อ่อนโยน” มันบอก ซึ่งผมเถียงอยู่ในใจว่าผมอาจจะกำลังอ่อนแอต่างหาก พอเห็นแผล เห็นเลือดเลยพลอยใจอ่อน
“ไม่หรอก กูมันคนใจร้าย กูเป็นต้นเหตุให้มึงเจ็บตัวไม่รู้กี่ครั้งแล้ว” พอใจอ่อนเสียงก็พลอยอ่อนตามไปด้วย
“มึงซะที่ไหน กูเป็นคนทำตัวเองทั้งนั้น”
“ก็นั่นน่ะสิ แล้วทำไปทำไม”
“ถ้ากูไม่เจ็บตัวแล้วมึงจะกลับมาเหรอ?”
“คิดอะไรโง่ๆ” ไม่รู้ด่าด้วยคำไหนจะสะใจยิ่งกว่านี้แล้ว...
“นั่นสิ บางทีคนมีความรักมักจะโง่ล่ะมั้ง กูเคยเห็นนะ คนที่พยายามจะเอาตัวเองเข้าไปปกป้องคนอื่นจนต้องบาดเจ็บ กูเคยคิดว่ามันโง่ชิบหายเลย แต่พอเป็นตัวกูเอง กูกลับโง่หนักยิ่งกว่ามันอีก” มันหัวเราะแห้งๆ
ผมเห็นด้วยกับมัน บางครั้งความรักก็ทำให้คนเราโง่
ผมกับมันก็คงเป็นคนโง่สองคนที่มารักกัน ต่างกันก็เพียงแค่....
มันทำเรื่องโง่ๆ เพื่อไขว่คว้าความรัก
แต่ผม.... กลับทำเรื่องโง่ๆ เพื่อจะวิ่งหนีความรักไป
โง่ที่คิดว่าการไม่มีมันในวันนี้จะทำให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้น แต่ผมคิดผิด ทุกอย่างมันคงสายเกินไปแล้ว
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตัดมันออกจากชีวิตโดยไม่มีใครต้องเจ็บปวด....
“ตุลย์ กูมีอะไรจะบอกมึงนะ เก็บเอาไว้นานละ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ามึงจะอยากฟังหรือเปล่า”
“มีอะไรก็พูดมาเถอะ กูฟังได้ทุกอย่างแหละ”
“ไม่ใช่ตอนนี้ กูจะบอกก็ต่อเมื่อกูถามอะไรมึงบางอย่างก่อน”
“อะไรวะ ก็ถามมาดิ”
“ยังไม่ถามจนกว่ามึงจะไปหาหมอก่อน”
“โหย มึงนี่มันลีลา เรื่องมากชิบหายเลย”
“เออ กูเรื่องมาก แล้วไง สรุปจะไปไหม? ”
“เออๆ ไปก็ได้...” เออ ค่อยว่าง่ายหน่อย ผมยิ้ม ยื่นมือไปกุมมือข้างที่ไม่เจ็บแล้วพาจูงเดินไปยังรถของมันที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
“เอาแจมาดิ” มันล้วงกุญแจรถแล้วส่งให้แต่โดยดี
“มึงจะขับเองเหรอ?”
“ไม่อ่ะ” ผมปฏิเสธหน้านิ่ง ใช้รีโมทปลดล็อค แล้วเปิดประตูออกดันร่างหนาหนักนั่นเข้าไปนั่ง
“รออยู่นี่นะ อย่าไปไหนล่ะ” ผมโน้มตัวลงไปบอกด้วยเสียงเหมือนสั่งเด็กขณะที่คาดเข็มขัดนิรภัยให้ แต่พอจะถอยออกจากซอกประตูรถ ไอ้เจ้าเด็กโข่งมันก็ยึดแขนไว้ไม่ให้ไป พร้อมทำสายตาอาวรณ์เหมือนเด็กสามขวบโดนแม่พาไปส่งที่โรงเรียนดัดสันดานเอ๊ย... อนุบาล
“จะไปไหน”
“ไปหาคนขับรถให้”
“งั้นไม่ต้องไป กูขับเองก็ได้” ขยับตัวเหมือนจะลุกขึ้นจากเบาะ
“นั่งลงเหอะ ไม่ต้องอวดเก่งได้ไหม” รีบดันไหล่มันกลับไปที่เดิม
“เปล่า แค่อยากให้มึงไปด้วย” โรงพยาบาลหรือบ้านผีสิงวะไปคนเดียวไม่ได้เนี่ย ผมเกาหัวแกรกๆ
“เออ เดี๋ยวกูตามไป”
“แน่นะ” ทำไมพูดยากจังวะ...
ผมชักรำคาญกับความเยอะของมันจนกำมือแน่นด้วยความอยากจะตบกะบาลมันสักทีนึงแต่ต้องยั้งมือไว้เพราะสงสารคนเจ็บ
เฮ้อ.... วันนี้ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ววะ....
ก็ได้.......ก็ได้.... ยอมให้อีกสักครั้ง เพราะสำนึกผิดหรอกนะ...
ผมบอกตัวเองก่อนจะยื่นมือไปกระชากคอเสื้อเด็กสามขวบนั่นเข้าหาตัวพร้อมกับลดศีรษะลงไป กดริมฝีปากตัวเองลงที่มุมปากของมันเบาๆ
“จูบสัญญา ...พอใจหรือยัง...”---------------------------------------------
มาต่อให้ละตามสัญญา
อ่านแล้ว ขอคอมเมนท์ด้วยนะคะ
๛ナーリバス๛