[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 247227 ครั้ง)

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ฟ่ง น่ารักมากขึ้นนะเนี่ย

พี่น้องมาทำงานด้วยกันแบบนี้จะฆ่ากันตายกันมั้ยเนี่ย  :serius2:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ชอบมากเลยยาวยาวแบบนี้อะ ลุ้นลุ้น

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
แวะมาอัพกำหนดเปิดจองเล่ม6 ค่ะ (เนื้อหาของเล่มนี้คือตั้งแต่ตอน51-60นะคะ)

เปิดจอง

My Neighbor is a spy! คนข้างห้องผมเป็นสายลับ!6
แนว : ดราม่าแอคชั่น
จำนวนหน้า :  210 หน้าพร้อมภาพประกอบ
ราคา 220บาท (ยังไม่รวมค่าจัดส่ง)
 
เนื้อเรื่องย่อ


เปิดรีปริ๊นMy neighbor is a spy เล่ม1-5 และเรื่องYes! Master. นะคะ
รายละเอียดเรื่องYes!Master. (มีลงในเล้าแล้วนะคะ แต่เป็นเนื้อหาตัดแยกออกไปจากเรื่องMy neighbor is a spyค่ะ)

Yes! Master.

ราคา220

รายละเอียด http://juon.exteen.com/20101005/yes-master
กำหนดจอง+รีปริ๊นของรอบนี้

2สิงหาคม - 2กันยายน 2554

 
(ตัดยอดก่อนวันที่4 กันยายน 2554 นะคะ)

อัตราค่าส่ง
ลงทะเบียน

1 เล่ม 30 บาท

2-3เล่ม 40 บาท

4-6 เล่ม 60 บาท

EMS

1 เล่ม 50 บาท

2-3 เล่ม 65 บาท

4 เล่ม 80 บาท

5-6 เล่ม 95 บาท

(เกินกว่าที่ระบุเอาไว้ในนี้สอบถามทางอีเมลนะคะ)



ตรวจสอบรายชื่อผู้จองได้ที่

http://juon.exteen.com/my-neighbor-is-spy-1-54


ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-08-2011 10:04:00 โดย juon »

ออฟไลน์ MRchai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 286
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ชอบมากเลยครับนิยายแนวนี้มีลุ้นตลอด

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่42  เตรียมการ
      ฟ่งยกมือขึ้นขยับแว่นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นรัสเลอร์หอบข้าวหอบของลงมาชั้นล่างราวกับจะย้ายบ้าน
   “คุณจะไปไหนหรือครับ?”
   ผู้ถูกทักชะงักตัวและวางเป้ใบใหญ่ลง ก่อนจะยิ้มอย่างดีใจ “คุณไม่อยากให้ผมไปหรือนี่ ดีใจจัง”
   “ผมไม่ได้พูดอย่างนั้นเสียหน่อย” ฟ่งว่าและทำหน้าบูด เขากับรัสเลอร์กลับขึ้นไปแยกส่วนแปลนส่วนสุดท้ายของวันเสร็จ จากนั้นก็เลยรีบลงมา เพราะไม่อยากอยู่กับเจ้าหนุ่มคนนี้นานนัก ฟ่งยังจำได้ว่าเมื่อวานตอนอยู่ด้วยกันสองคนรัสเลอร์ทำอะไรเขาเอาไว้
   ถึงจะขอโทษแล้วก็ใช่ว่าจะหายระแวงกันได้ง่ายๆ หรอกนะ
   “นายซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วยัง?” เสียงของราฟาแอลดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ก้าวเข้ามาในห้องรับแขก รัสเลอร์พยักหน้า โบกตั๋วอิเล็กทรอนิคในมือไปมา
   “ลำพังนายคงไปสนามบินคนเดียวได้นะ?” หนุ่มผมบลอนด์ถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยใส่ใจนัก รัสเลอร์ทำหน้ายู่
   “เห็นของฉันเยอะขนาดนี้ จะใจดำอำมหิตขนาดให้ขึ้นรถบัสไปเองเลยเหรอ”
   “ฉันคิดว่านายพกพวกเครื่องบินเล็ก หรือพวกจรวดติดหลังมาซะอีก” รูฟัสที่เพิ่งเดินเข้ามาแทรกขึ้นบ้าง หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มกระพริบตามองทั้งสองคนก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขอความเห็นใจ
   “ถ้าหน่วยอนุมัติงบให้ก็ดีหรอก ฉันจะเอามาให้พวกนายทดลองใช้ก่อนเลย”
   “ไม่ต้อง ขอบใจ” ทั้งรูฟัสและราฟาแอลพูดขึ้นแทบจะพร้อมกัน ฟ่งมองหน้าทั้งสามคนอย่างงุนงง
   “พวกคุณคุยเรื่องอะไรกันน่ะ อย่างกับว่าคุณรัสเลอร์จะกลับวันนี้งั้นแหละ” หนุ่มสวมแว่นถามอย่างไม่ค่อยเชื่อถือนัก ผู้ถูกถามพยักหน้า
   “ถึงคุณจะไม่อยากให้ผมกลับขนาดไหน แต่ผมต้องกลับแล้วล่ะ ครบกำหนดลาแล้ว”
   พูดพลางยิ้มโชว์ฟันมาให้คนถาม ฟ่งทำหน้าหงิก ขณะที่รูฟัสพูดแทรกขึ้นอีก “รีบๆ ไสกลับไปเลย”
   หนุ่มตาสองสีว่า คนถูกไล่ทำหน้าหงิกบ้าง “แหม... ทีมีปัญหาล่ะเรียกใช้แต่ฉัน พอเสร็จธุระแล้วก็ถีบหัวส่งเลยนะ ไอ้พวกแล้งน้ำใจ”
   “นี่มันเป็นหน้าที่ต่างหากล่ะ ใช่ว่าเราอยากจะให้นายมาช่วยสักหน่อย” ราฟาแอลแย้ง  และพูดต่อ โดยไม่สนใจเสียง’เฮอะ’อย่างไม่พอใจของอีกฝ่าย
   “เอ้า มีอะไรจะสั่งเสียอีก ถ้าไม่มีก็หอบของขึ้นรถได้แล้ว ชักช้าจะปล่อยให้นั่งรถบัส”
   รัสเลอร์ทำตาโต ร้องด้วยเสียงแปลกใจจนน่าหมั่นไส้ “ว้าว คุณราฟี่จะไปส่งผมด้วยตัวเองเชียวหรือนี่ พระเจ้าต้องกินยาผิดแน่ๆ เลย”
   ราฟาแอลหรี่ตามอง ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไร รัสเลอร์ก็จัดการหอบข้าวหอบของไปที่รถเปอร์โยต์ที่จอดอยู่อย่างอารมณ์ดี
-----------------------------------------------
   “เฮ้ รัสเลอร์ หน้าแบบนั้นกลับไปถึงหน่วยแล้วนายจะแก้ตัวว่าไง” รูฟัสตะโกนถามขณะที่หนุ่มนักประดิษฐ์กำลังจะขึ้นรถ รัสเลอร์ลูบแก้มปูดๆ ของตัวเอง ก่อนจะหันไปตอบคำถาม
   “ฉันจะบอกว่า เป็นบาดแผลจากความรัก”
   “เออ...ตามสบายเลย” รูฟัสว่าและหัวเราะนิดหน่อย ฟ่งเดินตามออกมา ถึงกับหน้าเจื่อนนิดๆ ตอนนี้เขารู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว ที่โมโหรัสเลอร์ไปขนาดนั้น
   “มีอะไรอยากจะพูดหรือเปล่าครับ?” รูฟัสถาม เมื่อเห็นฟ่งทำหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ มองดูรัสเลอร์ก้าวขึ้นรถ ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง อีกฝ่ายเลยพูดต่อ
   “อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะครับ เดี๋ยวเขาก็จะกลับแล้ว” รูฟัสช่วยกระตุ้นเมื่อเห็นสีหน้าลังเลของฟ่ง หนุ่มสวมแว่นกะพริบตาแล้วพูดออกไปในที่สุด
   “คุณรัสเลอร์ เอ้อ..ผม...”
   “อะไรนะ!!!” เสียงดังของเครื่องยนต์รถทำให้อีกฝ่ายฟังไม่ค่อยถนัด ฟ่งจึงต้องเดินเข้าไปไกลๆ เห็นรัสเลอร์เปิดกระจกออกมา “มีอะไรหรือ?”
   “คือ..ผมขอโทษที่ต่อยคุณ”
   “อา..” รัสเลอร์ครางและยิ้มอย่างดีใจ
   “ก้มลงมาใกล้ๆ หน่อยสิครับ” เขาว่าและกวักมือ ฟ่งทำตามอย่างว่าง่าย รัสเลอร์ชะโงกหน้าออกมาหน่อยหนึ่ง แล้วก็จูบแก้มเขาดังจุ๊บ
   “คุณ!!” ฟ่งพูดอย่างตกใจและเอามือเช็ดแก้ม รัสเลอร์หัวเราะ และโบกมือให้
   “โชคดีนะครับ ไว้ค่อยเจอกันใหม่” เขาว่า ขณะที่รถเคลื่อนออกไป ฟ่งนิ่วหน้าและสำนึกได้ว่าไม่ควรไว้ใจผู้ชายคนนี้เลยสักนิด
   “ไม่ให้เจอแล้วโว้ย!!” เสียงรูฟัสตะโกนไล่หลังพร้อมกับชูนิ้วกลางใส่
   “ถูกลวนลามอีกแล้วหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีกล่าวอย่างรู้ทัน ขณะเดินเข้ามาหา ฟ่งพยักหน้า และก่อนที่จะได้พูดอะไร แก้มอีกข้างหนึ่งก็ถูกหอมฟอด
   “ก็คุณไม่ค่อยระวังตัวแบบนี้แหละ” รูฟัสว่าและยิ้มกริ่ม ฟ่งถลึงตาใส่ทันที “พวกคุณมันจอมฉวยโอกาส!!”
   ฟ่งโพล่งใส่หน้าและเดินกลับเข้าบ้านไป โดยมีรูฟัสเดินตามไปติดๆ
--------------------------------------------------
   “อีกสองสัปดาห์ฉันจะต้องไปประเทศไทย” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยขึ้น  ขณะเป่าผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ หลังจากกลับมาจากมื้ออาหารที่สำนักงานใหญ่แล้ว  ผู้เป็นลูกน้องที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
   “มีธุระอะไรหรือครับ?”
   “ฉันเคยเล่าเรื่องโครงการเทสก้าเทริโพก้าให้นายฟังแล้วยัง?” ผู้เป็นเจ้านายย้อนถาม  จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า และพูดเสริมขึ้นต่อ “ครับ โครงการที่คุณท่านให้คุณไปบอกปฏิเสธเมื่อคราวที่แล้วนี่ครับ”
   “เออ ใช่ ตอนนี้คุณพ่ออยากให้พวกฉันกลับไปร่วมโครงการนั่นล่ะ”
   “?”
   “แปลกใจหรือไง?” ผู้เป็นเจ้านายย้อนถามอีก “ริเวิลกระโดดเข้าไปร่วมแล้ว นายไม่ได้ข่าวเลยหรือ?”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่ได้ข่าวเลยครับ”
   เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียงดัง’เฮอะ’ เขาเองก็เพิ่งรู้ตอนที่เว่ยชิงบอกนี่แหละ แต่เว่ยจินหยินเหมือนจะได้ยินมาบ้างแล้ว ไอ้พี่บ้านั่น....
   “นายติดต่ออยู่กับคุณพ่อ ติดต่ออยู่กับเถียนซาน นายไม่ได้ข่าวบ้างเลยรึไง?” เว่ยเฟิงปิงเค้นถามต่อ ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างจางซื่อเยี่ยนจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ จางซื่อเยี่ยนมองเขาอึ้งๆ แล้วสั่นศีรษะอีก
   “ไม่เคยครับ อีกอย่าง ผมไม่ได้ติดต่อกับคุณท่านเป็นการส่วนตัวนานแล้ว”
   “อ้อ...” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว จนจางซื่อเยี่ยนอดขนลุกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่พอใจอะไรอยู่อีกนะ
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเงียบไปพักหนึ่ง แล้วเก็บเครื่องเป่าผม ก่อนจะถอนหายใจออกมา
   “ช่างเถอะ... คราวนี้คุณพ่อพูดถึงตำแหน่งผู้สืบทอดด้วย”
   “?” จางซื่อเยี่ยนหันมาทางเจ้านายของเขาทันที และเห็นนัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงกำลังจ้องเขม็งมาเช่นกัน เหมือนจะตรวจจับความผิดปกติบนใบหน้าของเขาก็ไม่ปาน
   “นายจะช่วยฉันเรื่องนี้ใช่ไหม?”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ครับ ผมจะทำอย่างสุดความสามารถ”
   เว่ยเฟิงปิงมองเขาอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะแค่นรอยยิ้มออกมา “ดี เพราะคราวนี้มีพี่จินหยินไปด้วย”
   “คุณชายรองน่ะหรือครับ?!” คนได้ฟังโพล่งออกมา จนผู้เป็นเจ้านายต้องส่งเสียงถามอีก “ทำไม ผิดคาดมากหรือ?”
   คนถูกถามพยักหน้าช้าๆ “ถ้าส่งคุณไป ก็ไม่น่าจะส่งคุณชายรองไปอีกนี่ครับ..”
   “นายก็สงสัยเหมือนกันสินะ” เว่ยเฟิงปิงว่า และเดินมานั่งตรงเตียงนอน หันหน้าไปหาจางซื่อเยี่ยน “คุณพ่อพูดเรื่องพิจารณาผู้สืบทอด หลังจากงานนี้ แล้วให้ฉันไปกับพี่จินหยิน คิดว่าคุณพ่ออยากให้พี่จินหยินเก็บฉันตอนนั้นรึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปอีก ก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่หรอกครับ ผมว่าถ้าคุณท่านอยากเก็บคุณ.... คงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้”
   เว่ยเฟิงปิงแค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะพยักหน้า “นั่นสินะ คุณพ่อกับพี่จินหยินคิดจะเล่นเกมบ้าบออะไรอีก ถึงดึงฉันเข้าไปด้วยแบบนี้ คิดจะทดสอบฉันหรือไง”
   พูดค้างไปพักหนึ่ง เว่ยเฟิงปิงจึงพูดขึ้นต่อ “พรุ่งนี้ฉันจะสั่งคนให้ไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนั่นเพิ่มเติม แล้วก็เรื่องของพวกริเวิลด้วย นายเองก็เตรียมตัวให้ดีล่ะ”
   “ครับ”
   เว่ยเฟิงปิงมองจางซื่อเยี่ยน ก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
   ไม่ว่าพ่อกับพี่เขาจะวางแผนอะไร งานนี้เขาจะถอยไม่ได้เด็ดขาด
---------------------------------------
   “กำลังรออยู่เลย” เสียงเอ่ยทักดังขึ้นทันทีที่เถียนซานไขประตูเข้ามาในห้อง เขาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นผู้เป็นเจ้านายนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอน
   “ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกไว้ก่อน ฉันแอบหลบเข้ามาน่ะ” เว่ยจินหยินกล่าว และยกมือขึ้นดันแว่นตากรอบทองด้วยความเคยชิน ขณะที่เถียนซานเดินเข้ามาและหยุดยืนอยู่อย่างนั้น เพราะในห้องมีเก้าอี้อยู่ตัวเดียว
   “หนีใครมาหรือครับ?”
   “เปล่า ฉันแค่อยากคุยกับนายเงียบๆ นั่งก่อนสิ” ผู้เป็นเจ้านายว่า และเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้นั่งลง  เถียนซานจึงจำต้องหย่อนก้นลงบนเตียงนอน เพื่อรับฟังเรื่องราวจากเจ้านายของเขา  ท่าทางจะเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเว่ยจินหยินถึงกับลงทุนถ่อมาหาเขาที่ตึกของหน่วยดำด้วยตัวเอง
   “นายรู้หรือยังว่าเมื่อวานคุณพ่อปรึกษาเรื่องอะไร?”
   “ไม่ทราบครับ” เถียนซานสั่นศีรษะ เขาชินเสียแล้วกับวิธีเริ่มเรื่องแบบนี้ของเว่ยจินหยิน นัยน์ตาภายใต้กรอบแว่นมองมาอย่างแปลกใจนิดหน่อย และพูดต่อ
   “จำเรื่องเทสก้าเทริโพก้าที่ฉันเคยคุยกับนายได้ใช่ไหม?”   
   “อ้อ เรื่องนั้น..” เถียนซานพูดออกมาหลังจากนิ่งนึกอยู่พักใหญ่ เว่ยจินหยินพยักหน้า
   “คุณพ่อจะกลับลำเข้าร่วมงานนี้”
   “เพราะริเวิลหรือครับ?”
   “นายก็รู้นี่!” ผู้เป็นเจ้านายพูดสวนออกมาทันที  เถียนซานสั่นศีรษะ
   “เดาเอาน่ะครับ ก็คุณท่านเคยยกเลิกเรื่องนี้ไปแล้ว ถ้าจะมีอะไรทำให้ต้องกลับคำพูด ก็คงมีแต่ริเวิลเท่านั้นแหละครับ อีกอย่างได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่าริเวิลส่งคนเข้าร่วมโครงการนี้แล้ว”
   “อืม นั่นแหละ” ผู้เป็นเจ้านายยอมรับ และกล่าวสืบต่อ “ฉันอยากให้นายไปกับฉัน  เรื่องนี้มันตึงมือเกินกว่าจะใช้เด็กๆ ”
   “ไม่เชื่อมือไมเคิลกับโจหรือครับ”
   “ก็ไม่เชิงหรอกนะ เด็กๆ พวกนั้นทำงานดี แต่ว่างานนี้มันเสี่ยงและเปราะบางเกินไป ฉันอยากได้คนที่มีประสบการณ์แล้วก็เชื่อใจได้  อีกอย่างเรื่องนี้จะมีผลกับการคัดเลือกผู้สืบทอดคนต่อไปด้วย”
   “?”
   “คุณพ่อจะให้เฟิงปิงไปกับฉันด้วย” เว่ยจินหยินพูดต่อ เถียนซานเงยหน้าขึ้นมองอดีตเจ้านาย “คุณชาย....”
   “ท่าทางคุณพ่อจะวางแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” เว่ยจินหยินพูดยิ้มๆ “นายก็รู้ เฟิงปิงหวังจะขึ้นครองตำแหน่งหัวหน้าตระกูลรุ่นต่อไป ริเวิลกับฉันเองก็ยิ่งกว่าศัตรูคู่อาฆาต   
   “ครับ ผมจะไปกับคุณ” เถียนซานพูดออกมาในที่สุด เขาเป็นคนเก่าคนแก่ที่ทำงานให้กับตระกูลเว่ยมานาน รู้กระทั่งความสัมพันธ์บางอย่างของคนในตระกูลที่คนนอกหรือแม้แต่คนในตระกูลเองไม่เคยรู้ เรื่องของเว่ยชิงกับเว่ยจินหยินนั้น.....
   “ฉันรู้ว่านายจะต้องตอบตกลง” เว่ยจินหยินพูดและยิ้มออกมา “กำหนดการเหลืออีกสองสัปดาห์ อาซาน ฉันอยากให้นายไปกับฉันวันนี้เลย”
   “?!”
   “ฉันรู้ว่านายมีงานมาก เรื่องดูแลหน่วยดำไม่ใช่ของง่าย แต่ว่ายังไงฉันก็ยังอยากให้นายไปกับฉันวันนี้ ฉันมีเรื่องหลายอย่างจะต้องปรึกษากับนาย แล้วก็ไหว้วานนายด้วย”
   เถียนซานพยักหน้าอีก สำหรับเว่ยจินหยินแล้ว เรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่อดีตเจ้านายของเขากระทำมาจนถึงทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพราะตำแหน่งสำคัญตำแหน่งนี้นี่เอง แม้ว่าเบื้องหลังของมันยากจะอธิบายให้ใครเข้าใจได้ก็ตาม
   “ผมคงต้องขอเวลาเตรียมตัวสักหน่อย” ชายวัยสี่สิบแปดเอ่ยต่อ ด้วยตำแหน่งของเขานั้น การจะผละงานไปเลยในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะทำนัก ถึงเว่ยจินหยินจะลงทุนมาอ้อนวอนด้วยตัวเองก็เถอะ
   “อืม ฉันเข้าใจ” ผู้เป็นอดีตเจ้านายพยักหน้า “ฉันจะรอนายที่นี่แหละ คุณพ่อคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะอนุญาตให้ใช้กำลังคนเต็มที่ อีกอย่าง สายงานของนายก็อยู่ใต้บังคับบัญชาฉันครึ่งหนึ่ง”
   “ทราบแล้วล่ะครับ” เถียนซานว่า และเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่นั่งอยู่ “แต่ผมคงต้องใช้เวลานานพอดู เพราะนี่เป็นเรื่องกะทันหัน ยังไงคุณชายกลับไปที่ตึกก่อน แล้วผมค่อยตามไปดีกว่า”
   มุมปากของเว่ยจินหยินปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ “ฉันมาคนเดียวนะ ใจคอนายจะให้ฉันกลับไปคนเดียวหรือ?”
   นัยน์ตาสีหินน้ำตกของเถียนซานเบิ่งกว้าง ก่อนจะขมวดคิ้ว และพูดตอบ “แอบหนีออกมาคนเดียวอีกแล้วหรือครับ?”
   เว่ยจินหยินหัวเราะเบาๆ แล้วยิ้มอีก “อืม ขึ้นแท็กซี่มาน่ะ”
   “ไม่ได้ให้ใครตามมาเลยหรือครับ” เถียนซานร้องอย่างตกใจ ก่อนจะครางออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า “โธ่ คุณชาย... นี่มันอันตรายมากเลยนะครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ผมคง....”
   “ไฮ้! ฉันก็มานั่งอยู่ตรงนี้แล้วไง” เว่ยจินหยินว่า และพูดต่อ “ถ้านายเป็นห่วงฉันนักล่ะก็.. ไปส่งฉันสิ”
   เถียนซานมองหน้าอดีตเจ้านาย และถอนหายใจเฮือก เว่ยจินหยินเป็นบุคคลที่ศัตรูรอบด้าน จะออกจากสำนักงานครั้งไหน จะต้องมีขบวนอารักขายาวเหยียด แต่เผลอทีไรจะต้องแอบหลบมาหาเขาแบบนี้ทุกที เถียนซานเริ่มคิดว่าเขาคงต้องอบรมลูกน้องที่ส่งไปทำงานแทนตัวเองใหม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรับมือเจ้านายของเขาได้กี่น้ำ
   “อาซาน โมโหหรือ?” เว่ยจินหยินเอ่ยปากถาม ช้อนนัยน์ตามองเขาผ่านแว่นตากรอบทองหนาเตอะ เถียนซานมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “งั้นนั่งรออยู่ในนี้นะครับ ห้ามออกไปไหน ห้ามให้ใครรู้นะ ถ้ามีใครมาเคาะประตูก็ห้ามเปิดนะครับ”
   เว่ยจินหยินหัวเราะร่วน “อืม นายเห็นฉันเป็นเด็กสี่ขวบหรือไง เอาเถอะ ฉันจะเชื่อฟังนายก็แล้วกัน ถ้าดึกนักฉันจะค้างที่นี่เลย”
   “ไม่ดึกหรอกครับ ผมจะพาคุณกลับตึกวันนี้แหละ” เถียนซานพูด และย่นคิ้วอย่างอ่อนอกอ่อนใจเมื่อเห็นรอยยิ้มของเจ้านาย
   “งั้น.. รบกวนด้วยนะ”
---------------------------------------------
   ฟ่งเดินกลับขึ้นมาบนห้อง  มองไปรอบๆ แล้วก็ให้รู้สึกใจหาย เมื่อสองสามวันก่อนห้องนอนนี้เคยมีคอมพิวเตอร์วางระเกะระกะ  แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว
   พอรัสเลอร์ไม่อยู่แล้ว ห้องก็ดูเงียบเหงาไปถนัด
   ถ้าไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นออกมา รัสเลอร์คงเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งหรอก อย่างน้อยเขาก็คุยสนุก แล้วก็เป็นมิตรดี
   ร่างบางถอนหายใจ งานในส่วนของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้เขาควรจะทำอย่างไรต่อ คุยกับรูฟัสเรื่องแผนชีวิตในอนาคตดีไหม แต่บางทีอาจจะเป็นการรบกวนฝั่งนั้นมากไปหน่อย ก็รูฟัสมีงานต้องทำต่อนี่นา
   ฟ่งยืนเหม่อ เขากำลังนึกเรื่องที่รูฟัสจะต้องทำ เรื่องที่รูฟัสจะต้องเข้าไปในห้องที่เขาออกแบบ ไม่มีหนทางอื่นที่ไม่ต้องเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้แล้วหรือ เขาไม่อยากให้รูฟัสทำงานนี้เลย ถึงจะรู้ว่าเจ้าตัวจะทำงานเสี่ยงมานับต่อนับแล้วก็เถอะ
   ขณะที่กำลังคิดไปต่างๆ นานา ร่างบางก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกถึงวงแขนแกร่งที่โอบมาจากทางด้านหลัง รูฟัสรั้งร่างนั้นเข้ามาในอ้อมกอด จูบเคลียพวงแก้มนั้นเบาๆ ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาตรงลำคอ ฟ่งร้องห้ามอย่างตกใจ
   “อย่า!! เดี๋ยวเป็นรอย”
   “มันเป็นรอยอยู่แล้วนี่ครับ” รูฟัสว่า แต่ก็ยอมหยุด ฟ่งรีบดึงผ้าพันคอขึ้นมาปิด และหันหน้ากลับมามองรูฟัสด้วยสายตาไม่พอใจทันที
   “ก็รอยนี่คุณเป็นคนทำ”
   “ครับ อายหรือ?” รูฟัสเอ่ยและยิ้มราวกับว่าเป็นเรื่องที่หน้าภูมิใจ ฟ่งทำหน้าหงิก
   “อายสิ! เพราะรอยนี่แหละ ผมเลยถูกคุณรัสเลอร์จูบ”
   “อ้อ....” รูฟัสครางเสียงยาว นัยน์ตาสองสีนั่นฉายแววแปลกๆ จนฟ่งคิดว่าเขาอาจจะพูดอะไรผิด
“ผมรู้ล่ะครับ วันหลังคุณใส่เสื้อหุ้มคอดีกว่า จะได้ไม่มีใครเห็น”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ร่างบางขมวดคิ้ว พลางมองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาอดกลั้นเต็มที่ “แทนที่คุณจะคิดแก้ปัญหาแบบนั้น ผมว่าคุณน่าจะหยุดทำรอยนี่มากกว่า”
   “มันห้ามกันไม่ได้หรอกครับ ผมน่ะอยากทำให้คุณเป็นรอยทั้งตัวด้วยซ้ำ”
   “!!!” ฟ่งเบิ่งตามองรูฟัสอย่างตกใจ อีกฝ่ายยิ้มร่า
   “แต่ถ้าคุณไม่ชอบ ผมจะพยายามเลื่อนไปทำที่อื่นก็ได้ครับ ตรงท้องน้อยหรือขาอ่อนอะไรแบบนี้”
   “รูฟัส!!” ฟ่งเรียกชื่อนั้นอย่างตระหนก และครางออกมา “หยุดคิดอะไรแบบนั้นกับร่างกายผมทีเถอะ”
   “ครับ” รูฟัสว่า และก้มหน้าลงจูบริมฝีปากสีชมพูนั้นเบาๆ ฟ่งครางอืมในลำคอ พลางนึกว่าคนคนนี้เข้าใจในสิ่งที่เขาบอกจริงๆ รึเปล่านะ
“Я вас люблю” หนุ่มรัสเซียกระซิบ และค่อยๆ ดันตัวอีกฝ่ายไปที่เตียง ฟ่งรีบใช้ขายันพื้นเอาไว้ทันที ก่อนที่จะหงายหลังล้มลงไปบนเตียง
   “เดี๋ยว!!”
   “Why?” อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างสงสัย ฟ่งเริ่มแน่ในว่ารูฟัสไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด
   “นี่มันยังเช้าอยู่นะ!!” ร่างบางส่งเสียงแย้ง เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว พลางยิ้มร่า “บ่ายแล้วครับ” รูฟัสช่วยแก้ให้  แต่อีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าไม่ยอมแพ้
   “แต่คุณคลาวเดียอยู่นะ”
   “คลาวเดียเพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อครู่นี้เองครับ” รูฟัสพูดตอบ และก้มลงหอมแก้มฟ่งอีกฟอดหนึ่ง ร่างผอมบางดิ้นขลุกขลัก และมองหน้าอีกฝ่ายอย่างตื่นๆ คนถูกมองคลี่ยิ้มบางๆ
   “ถ้าไม่อยากให้ทำก็น่าจะบอกแต่แรกนี่ครับ”
   “ผมบอกจนปากจะฉีกอยู่แล้ว” ฟ่งว่า คราวนี้รูฟัสย่นคิ้วบ้าง “คุณบอกแค่ว่าไม่อยากให้ผมทำรอยที่คอ”
   “แล้วคุณไม่เข้าใจหรือไง”
   “เข้าใจครับ ผมก็ว่าจะเปลี่ยนไปทำที่อื่นไงครับ”
   “รูฟัส....” ฟ่งคราง และมองอีกฝ่ายอย่างเหลืออด “ต้องให้ผมพูดใส่หูคุณชัดๆ ใช่ไหมว่า ผมไม่!!!”
   รูฟัสรีบยกมือขึ้นปิดปากของอีกฝ่าย และกระซิบเบาๆ “ไม่ต้องครับ เพราะผมไม่อยากได้ยิน”
   นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งค้าง ขณะที่อีกฝ่ายเปลี่ยนจากมือเป็นริมฝีปาก เสียงครางอืมดังลอดออกมาจากลำคอของฟ่งอีกครั้ง พร้อมกับนิ้วที่จิกแน่นอยู่บนลำแขน  ก่อนที่ร่างกายจะถูกกดให้นั่งลงไปบนเตียง
   “เดี๋ยวก่อน รูฟัส!!” ฟ่งร้องขึ้นอีกครั้งเมื่อซิบกางเกงถูกรูดลง แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับเสียงร้องห้ามนี้มากนัก รูฟัสรูดนิ้วลงเบาๆ บนปลายสีชมพูที่โผล่พ้นขอบกางเกงชั้นในออกมา
   “อ๊ะ!~!” ฟ่งร้องเสียงสั่นและหลับตาปี๋  หนุ่มตาสองสีหัวเราะหึๆ อย่างพอใจ และดึงขอบกางเกงชั้นในลงจนเปิดเผยส่วนที่เหลือออกมาเกือบหมด ฟ่งถลึงตามองอีกฝ่าย ขณะที่กำลังนึกว่ารูฟัสช่างไม่รู้จักเลือกเวลาเอาเสียเลย ทางนั้นก็ครอบปากลงไปบนอวัยวะกลางหว่างขาของเขา คราวนี้ฟ่งเลยต้องรีบร้องออกมา
   “อย่า..มันสกปรก” ร่างบางร้องห้าม และเบิ่งนัยน์ตาค้างเมื่ออีกฝ่ายค่อยๆ ดูดกลืนอวัยวะของตนเข้าไปในปาก พร้อมกับช้อนตาขึ้นมองอย่างท้าทาย
   ฟ่งยกมือขึ้นปิดปากด้วยความขัดเขินปนตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองรูฟัสตอนที่กำลังทำแบบนี้ชัดๆ รูฟัสค่อยๆ ขยับศีรษะช้าๆ เป็นจังหวะ ไม่นานนักเสียงครางหวานหูก็ดังลอดออกมา พร้อมกับมือที่ยื่นมาจับศีรษะของเขาอย่างลืมตัว และสะโพกที่เริ่มขยับตอบสนอง
   ฟ่งขมวดคิ้วมุ่น บอกตัวเองว่าเขาไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้เลยสักนิด แต่ลิ้นของรูฟัสก็คล่องเสียจนเขาต้องร้องครางออกมา สุดท้ายก็ได้แต่หอบหายใจเฮือกๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายเคล้าลิ้นกับส่วนนั้นตามความพอใจ
   รูฟัสช้อนตามองร่างที่นั่งอยู่อีกครั้ง ฟ่งขมวดคิ้วมุ่นและหลับตาปี๋ รูฟัสกอบมือไปที่สะโพกซึ่งพยายามแอ่นเข้าหาเขาอย่างลืมตัว และคลึงเคล้นเบาๆ
   ฟ่งหอบหายใจเสียงหนัก พยายามจะบอกให้รูฟัสหยุด แต่เสียงที่ลอดออกมากลับกลายเป็นเสียงครางกระเส่าอย่างน่าเจ็บใจ
   “ยะ...อย่า... อ๊า!!” ท้ายที่สุดฟ่งก็ต้องกระแทกแผ่นหลังลงกับเตียง แอ่นตัวตอบสนองการกระตุ้นด้วยความซ่านเสียวอย่างไม่อาจระงับอารมณ์ลงได้
   รูฟัสถอนริมฝีปากออก ขณะที่ร่างผอมบางสั่นกึกๆ ก่อนจะประโลมจูบลงไปบนเนินขาอ่อนด้านใน ทิ้งรอยจ้ำสีชมพูจางๆ เอาไว้ และจับขาทั้งสองข้างของฟ่งยกขึ้น ล้วงขวดเจลหล่อลื่นออกมาจากกระเป๋างกางเกง และราดลงไปตรงร่องสะโพก
   ร่างผอมบางสะดุ้งเฮือก เมื่อพบว่าปลายนิ้วเรียวค่อยๆ สอดเข้ามาพร้อมของเหลวลื่นๆ ฟ่งผงกศีรษะขึ้นอีกครั้ง พยายามจะบอกให้รูฟัสหยุด แต่สิ่งที่เห็นคือร่างแข็งแกร่งที่ขยับขึ้นมา ใบหน้าคมสันที่โน้มเข้ามาหา และริมฝีปากอุ่นจัดที่ประกบเข้ามาอย่างไม่ให้ตั้งตัว
   รสจูบล้ำลึกแทบจะทำให้สติโบยบิน ฟ่งตะกายสองมือขึ้นเกาะไหล่ของรูฟัสอย่างลืมตัว ขณะที่อีกฝ่ายสอดมือเข้าไปในอกเสื้อ ลูบไล้แผ่นอกเรียบก่อนจะค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อออก
   ฟ่งส่งเสียงครางต่ำในลำคอ ขณะที่รูฟัสเลื่อนริมฝีปากไล้ไปตามซอกคอ เนินอก ขบเม้มยอดอกสีอ่อนอย่างซุกซน มืออีกข้างยังคงรุกเข้ามาในร่างกายเรื่อยๆ ร่างผอมบางจิกเล็บลงบนที่นอนแน่น ในตอนที่อีกฝ่ายรวบมือของเขาขึ้นไป
   รูฟัสถอนนิ้วมือออก พลางขับตัว ดึงเสื้อของฟ่งขึ้นไปจนถึงข้อมือ แล้วผูกเอาไว้หลวมๆ จากนั้นก็เริ่มระดมจูบลงไปบนร่างเปลือยเปล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะเบียดเสียดยอดปลายร้อนจัดเข้าไปในช่องทางหลืบเร้นที่ขยายรอท่าไว้ก่อนแล้ว
   ฟ่งสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นมองอย่างตกใจ และเห็นใบหน้าคมเข้มกำลังขมวดคิ้วมุ่น ระหว่างการสอดใส่ นัยน์ตาสองสีเหลือบมองมาทางเขา และค่อยๆ โน้มเข้ามาใกล้ จนได้ยินเสียงหอบหายใจถี่หนัก หัวใจของฟ่งเต้นแรงมากขึ้น เมื่อแว่นตาถูกถอดออก และริมฝีปากถูกบดเบียดอย่างรุนแรงอีกครั้ง
   สองขาถูกจับแยกออกกว้าง รูฟัสก้มลงแนบจูบลงบนเรียวขาอ่อน ก่อนจะขยับตัวเข้าออกจนได้ยินเสียงเตียงลั่น ฟ่งครางเสียงพร่า สองมือที่ถูกพันธนาการอยู่บิดเร่า รู้สึกถึงริมฝีปากร้อนผ่าวที่ระดมจูบลงมาบนเรือนร่างนับครั้งไม่ถ้วน ความเสียวซ่านประดังประเดเข้ามาจนยากจะคุมสติได้อีก
   รูฟัสจูบเนินอกแบนราบนั้นจนเป็นรอยแดง จากนั้นก็ยกขาข้างหนึ่งของฟ่งขึ้น ตะแคงร่างผอมบางลงกับเตียง กระทั้นกายเป็นจังหวะต่อเนื่องอีกครั้ง ฟ่งครางเสียงสั่น ทั้งใบหน้าและลำตัวกลายเป็นสีชมพูจัด ความร้อนแรงที่เคลื่อนเข้าออกอย่างบ้าคลั่งแทบทำให้สิ้นสติ
   รูฟัสจับตัวฟ่งให้พลิกคว่ำลง โอบเอวขึ้นมา แล้วสานต่อจังหวะอย่างเร้าร้อนรุนแรงกว่าเดิม ร่างผอมบางส่งเสียงครางอย่างหมดอาย ตะกายมือที่ถูกพันธนาการไปด้านหน้า ดึงรั้งจนผ้าปูที่นอนยับย่น กระนั้นก็ยังไม่อาจระบายความเสียวซ่านที่ได้รับออกไปได้เลยแม้สักครึ่งเดียว
   รูฟัสจูบไล่ลงไปบนแผ่นหลังผอมบางนั้น เพิ่มรอยจ้ำสีชมพูจางๆ นับไม่ถ้วน ขบกัดเนินไหล่ของอีกฝ่ายด้วยความซ่านกระสัน เสียงร้องครางและส่วนกลางลำตัวของอีกฝ่ายที่ยังคงผงาดชูชันยิ่งเร้าอารมณ์รักให้โหมสูงขึ้น
   ลมหายใจของทั้งคู่ขาดห้วงแทบจะพร้อมกัน ในตอนที่ของเหลวสีขาวขุ่นไหลทะลักออกมา
--------------------------------------
   “ฟ่งครับ?” รูฟัสกระซิบเรียกชื่อคนรักเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนอนซุกหน้ากับหมอนนิ่ง ทั้งๆ ที่ผ่านจุดนั้นมาตั้งหลายนาทีแล้ว
   “อืม..” ฟ่งส่งเสียงครางตอบรับ แต่ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา รูฟัสมองด้วยความเป็นห่วง
   “เจ็บมากหรือครับ?” ร่างสูงใหญ่ถาม และขยับเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดใส่หมอนอีก
   “ปะ..เปล่า” ฟ่งตอบ และยิ่งซุกหน้าลงกับหมอนแน่นกว่าเดิม จนรูฟัสขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก็ดีอยู่หรอกที่ฟ่งไม่ได้ลุกหนีเขาไปไหนหลังจากทำเสร็จ แต่นิ่งแบบนี้ก็น่าหวั่นใจอยู่เหมือนกัน บางทีฟ่งอาจจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ล่ะมั้ง
   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” รูฟัสเอ่ยถามอีกครั้ง เขาสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว และกำลังคิดว่าจะช่วยฟ่งทำความสะอาดตรงนั้น แต่จนแล้วจนรอดฟ่งก็ไม่ยอมพลิกตัวกลับมาเสียที คนถูกถามสั่นศีรษะ
   “งั้นเงยหน้ามาคุยกันหน่อยสิครับ”
   “ไม่เอา” ฟ่งตอบ และสั่นศีรษะอีกครั้ง รูฟัสถามด้วยความแปลกใจ “ทำไมล่ะ?”
   ฟ่งบีบหมอนที่เขาซุกอยู่แน่น ใบหูกลายเป็นสีแดงจัด จนรูฟัสอดใจเต้นไปด้วยไม่ได้
   “คะ..คุณทำให้ผมรู้สึกดีเกินไป” ร่างผอมบางพูดอู้อี้ใส่หมอน แต่ก็ชัดพอจะทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง
   “?” รูฟัสจัดการพลิกร่างนั้นขึ้นทันที ฟ่งหน้าแดง ริมฝีปากสั่นสะท้าน
   “อย่า...ผมไม่มีแรง” ร่างผอมบางร้องเสียงแผ่ว พยายามยกแขนขึ้นมาบังใบหน้าไว้ รูฟัสก้มตัวลงถามอย่างตื่นเต้น
   “รู้สึกดีขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
   “อืม” อีกฝ่ายพยักหน้า รูฟัสดึงมือที่ยกขึ้นมาบังไว้ออก และพบว่าอีกฝ่ายไม่มีแรงจริงๆ
   “อย่ามอง!!” ฟ่งพยายามร้องห้าม เมื่อเห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายที่มองลงมา รูฟัสมองดูร่างเปลือยที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำสีชมพูแล้วนึกขอโทษอยู่ในใจ
   เพราะนอกจากตรงท้องน้อยกับขาอ่อนแล้ว เขายังเผลอทำรอยที่คอซ้ำด้วย สงสัยคงใช้เวลาหลายวันกว่าจะจาง
   “ลุกไหวไหมครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยถาม อีกฝ่ายสั่นศีรษะ ปรือนัยน์ตาขึ้นมอง
   “จะไปแล้วหรือ?” ฟ่งเอ่ยถาม พลางยกมือขึ้นฉวยชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้ เมื่อเห็นว่ารูฟัสทำท่าจะลุกขึ้น ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงนั่งทันที ก่อนจะสั่นศีรษะ และก้มลงจูบหน้าผากฟ่งเบาๆ  ได้ยินเสียงฟ่งครางอืมในลำคอ
   “อยู่กับผมนะ” ฟ่งพูดด้วยสติเลือนราง ร่างแกร่งตัดสินใจล้มตัวลงนอนข้างๆ ลูบศีรษะนั้นอย่างเอ็นดู
   “ครับ ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป” รูฟัสกระซิบ แต่ดูเหมือนว่าฟ่งจะผล็อยหลับไปแล้ว ผู้มีนัยน์ตาสองสีคลี่ยิ้มบางๆ
   ฟ่งจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าคำพูดเมื่อครู่มีความหมายขนาดไหน
--------------------------------------
   รถเก๋งเปอร์โยต์สีบรอนด์เงิน แล่นเข้ามาจอดบริเวณสนามหน้าบ้าน เสียงเครื่องยนต์ของมันดังพอที่จะทำให้คนในบ้านบางคนรู้สึกตัว
   “คลาวเดียล่ะ?” ราฟาแอลเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นหน้าคนออกมารับ
   “ไปข้างนอก ไปบ้านทิมิอามั้ง” รูฟัสตอบ พลางยักไหล่อย่างไม่ค่อยแยแสนัก ราฟาแอลหรี่ตาลงนิดหน่อย ก่อนจะยักไหล่ตอบ
   “อืม...” หนุ่มผมบล็อนด์ลากเสียงยาว รูฟัสนึกสงสัยว่าเพื่อนร่วมงานของเขาไปก่อวีรกรรมอะไรเอาไว้ให้แฟนสาวต้องไปจัดการอีกหรือเปล่า
   “แฟนแกล่ะ?”
   “นอน” รูฟัสตอบ และขมวดคิ้วเมื่อเห็นสายตาแปลกๆ ของราฟาแอล
   “ล่อกันแต่เย็นเลยเรอะ!?”
   “ไม่ใช่ธุระของคุณหรอกน่ะ!!” รูฟัสตัดบท อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ และเดินเข้าไปในบ้าน
   “เอาเถอะ ฉันมีข่าวดีมาบอก แต่บางทีอาจจะเป็นข่าวไม่ดีก็ได้นะ”
   “อะไรอีกล่ะ?”
   “พรุ่งนี้แกกับฉันต้องบินไปที่ไทย อืม..ไม่สิ คงจะมีแฟนแกด้วย”
   “หา?” รูฟัสส่งเสียงอย่างไม่เชื่อหู นัยน์ตาสองสีเบิ่งกว้างอย่างแปลกใจ
   “ไม่ต้องมา ‘หา?’ พรุ่งนี้แหละ ฟังไม่ผิดหรอก เพราะงานมันจะเริ่มอีกสองอาทิตย์ แล้วแกกับฉันมีอะไรที่ต้องทำที่นั่นอีกหลายอย่าง อย่างน้อยก็ต้องไปก่อนจะมีการทดสอบเจ้าห้องบ้านั่นล่ะ”
   “นี่ตกลงคุณไปส่งรัสเลอร์หรือไปเจอคนของ”เบื้องบน”มาเนี่ย”
   “ทั้งสองอย่าง” ราฟาแอลตอบ ได้ยินเสียงรูฟัสถอนหายใจ
   “กะแล้ว แต่ว่าเรายังไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านเจาะระบบคอมพิวเตอร์เลยนะ”
   “เรื่องนั้นน่ะ เบื้องบนจะจัดคนมาให้เราพรุ่งนี้” ราฟาแอลตอบ รูฟัสยกมือขึ้นเกาศีรษะ และถามต่อ
   “แล้วแปลนนั่นล่ะ คุณกับผมยังไม่ได้ศึกษากันอย่างจริงจังเลยนี่”
   “พอไปถึงไทยแล้วก็มีเวลาเองแหละน่า อย่างน้อยคนเขียนก็ไปกับเราด้วย”
   “ฟ่งน่ะรึ?”
   “อืม” หนุ่มผมบลอนด์พยักหน้าและกล่าวสืบต่อ “ดูเหมือนตอนอยู่นี่เจ้ารัสเลอร์จะติดต่อกับเบื้องบนด้วย ทางนั้นรู้สึกแปลกใจน่าดูที่แกหาคนเขียนแปลนมาได้ เลยพอจะยอมให้อภัยเรื่องที่หนีงานไป ฉันเลยถือโอกาสบอกว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว น่าจะให้กลับไปพร้อมๆ กันเลย”
   “ผมไม่อยากให้ฟ่งมายุ่งกับเรื่องนี้”
   “แล้วกัน แทนที่แกจะขอบใจฉันที่ช่วยให้กลับด้วยกัน เอาเถอะๆ  ฉันไม่พาเด็กนั่นเข้าไปนำทางเราหรอกน่า ขืนเอาคนไม่เคยทำงานไปมีหวังได้วุ่นวายหนักกว่าเดิม”
   “อืม  ดีใจที่คุณคิดแบบนั้น แล้วนี่สรุปผมต้องจัดกระเป๋าเลยใช่ไหม?”
   อีกฝ่ายยักไหล่แทนคำตอบ
   “แล้วแต่ เดินทางเย็นพรุ่งนี้ ก็คงถึงโน่นตอนเช้าๆ แหละ เออ นี่พาสปอร์ตใหม่ของแก”ราฟาแอลว่า และโยนสมุดพาสปอร์ตสีเลือดหมูมาให้ รูฟัสรับมาและขมวดคิ้ว
   “นี่พาสปอร์ตประเทศไทยนี่”
   “เออ คราวนี้ให้แกถือสัญชาติไทยไปเลยไง ง่ายดี แกก็ดูพูดภาษาไทยคล่องนี่”
   “แล้วชื่อนี่อะไร วิชิต.. วิชิต กิลเบิร์ก” รูฟัสอ่านชื่อตัวเองในพาสปอร์ตแล้วทำหน้าแปลกๆ ราฟาแอลหัวเราะหึๆ
   “ลูกครึ่งไง ลูกครึ่ง จริงๆ แล้วแกก็เป็นลูกครึ่งอยู่แล้วนี่”
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ ทำท่าจะอ้าปากพูด แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าไม่ควรคิดมากกับเรื่องชื่อ
   “เอาเถอะ อย่างน้อยถ้าเป็นพาสปอร์ตประเทศเดียวกันก็คงไม่ถูกตรวจอะไรมากหรอก แล้วคุณล่ะ?”
   “ฉันจะถือพาสปอร์ตของออสเตรีย แกคิดว่าหน้าอย่างฉันพอจะเป็นนักดนตรีได้มั้ย?”
   รูฟัสมองดูเพื่อนร่วมงานขึ้นๆ ลงๆ “ผมว่าอย่างคุณเนี่ยเหมาะจะเป็นนักมวยมากกว่า”
   ราฟาแอลถลึงตาใส่เพื่อนร่วมงานทันที “ถ้าฉันเหมือนนักมวยนะ แกก็ด้วยนั่นแหละ ส่วนแฟนแกใช้พาสปอร์ตของเฟิงปิงไปแล้วกัน ฉันอยากให้แยกกันเดินทาง แต่พอมาคิดอีกที ให้แกกับแฟนแกไปด้วยกันดีกว่า”
   “มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ” รูฟัสว่า ราฟาแอลมองอย่างเอือมระอาเต็มที่
   “ตกลงตามนี้นะ เดี๋ยวฉันจะออกไปหาทิมิอาเสียหน่อย”
   “จะไปเคลียร์กับคลาวเดียหรืองไง ตามสบายเลย”
   รูฟัสว่าพลางโบกมือไล่หลังราฟาแอลที่หมุนตัวเดินกลับออกด้านนอกไป
-----------------------------------------

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
ขอบอกว่าเรื่องนี้สนุกมากค่ะ อ่านมาสามวันจนทันแล้ว ตาแฉะกันไปข้างเลยลงต่อกันยาวมากอ่ะ อ่านจนสะใจกันไปเลย ขอบคุณนะค่ะ
จะถึงไคลแม๊กของเรื่องแล้ว ต้องบู้กันมันแน่ๆ ณ สุดยอดห้องนิรภัย  แถมลุ้นฟ่งด้วยว่าจะเอ่ยบอกบอกรักรูฟัสเมื่อไร

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่43  ไร้เดียงสา
   ฟ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ และพบว่าเป็นเวลาเช้าแล้ว ร่างบางขยับตัว เขาอยู่ในชุดเสื้อนอนหลวมโคร่ง สงสัยว่ารูฟัสจะเอามาเปลี่ยนให้ ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับหมอน เขาไม่อยากจะลุกในตอนนี้ ความรู้สึกเมื่อวานยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ มันดีมากเสียจนเขาเผลออ้อนให้รูฟัสอยู่ใกล้ๆ เมื่อนึกถึงผู้ชายคนนั้นแล้วก็ให้รู้สึกเขินอายขึ้นมา
   เขาจะรักรูฟัสได้หรือเปล่านะ?
   ฟ่งพลิกตัวมาอีกด้านหนึ่ง และพบว่าไม่มีใครนอนอยู่ข้างเขา ชายหนุ่มถอนหายใจ รูฟัสคงตื่นแล้ว ปกติถ้ายังนอนอยู่คงไม่ปล่อยให้เขาพลิกตัวไปมาแบบนี้หรอก ร่างบางยันกายลุกขึ้น  ในจังหวะเดียวกับที่รูฟัสเปิดประตูเข้ามาพอดี
   “อา...คุณตื่นแล้ว ผมกำลังเป็นห่วงว่าคุณจะไม่สบายหรือเปล่า”
   “ผม..เอ้อ..เจ็บคอนิดหน่อย” ฟ่งตอบและยกมือลูบตรงคอของตัวเอง รูฟัสเดินเข้ามาและเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
   “ไม่สบายหรือครับ”
   “เปล่า”   ฟ่งปฏิเสธ เขาคิดว่าตัวเองรู้ว่าเจ็บคอเพราะอะไร แต่บอกทางนั้นไปจะดีหรือ?
   “ไปหาหมอไหมครับ จะได้ขอยา”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ...” ฟ่งเงียบไปพักหนึ่ง พอเห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของรูฟัสก็จำต้องพูดต่อ “เอ่อ คงเพราะเมื่อวานผมร้องดังไปหน่อย”
   ท่อนสุดท้ายเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ รูฟัสยิ้มกว้าง ก้มลงหอมแก้มคนที่นั่งอยู่บนเตียงฟอดหนึ่ง
   “งั้นเดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้นะครับ” หนุ่มตาสองสีว่าและเดินไปรินน้ำจากเหยือกที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องนอน ฟ่งรับแก้วมาและดื่มเข้าไปสองอึก
   “ดื่มให้หมดนะครับ” อีกฝ่ายกระตุ้น ร่างบางพยักหน้าและดื่มต่อจนหมด รูฟัสรับแก้วกลับไปวางที่และเดินมานั่งลงข้างๆ
   “ผมมีเรื่องจะบอกคุณ วันนี้เราจะกลับเมืองไทยกัน”
   “จริงเหรอ?!!” ฟ่งโพล่งออกมา นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายด้วยความดีใจ
   “พูดจริงๆ นะ! ผมจะได้กลับบ้านแล้วเหรอ?”
   “อืม” รูฟัสพยักหน้าและลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นเบาๆ
   “เย้!! จะได้กลับบ้านแล้ว” ฟ่งโผเข้ากอดรูฟัส ร้องดีใจเหมือนเด็กๆ
   “ผมต้องเตรียมตัวอะไรบ้างครับ พาสปอร์ต? หนังสือเดินทาง? หรือว่าต้องไปสถานทูต?”
   “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ” รูฟัสตอบ เห็นท่าทางดีใจของฟ่งแล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ นี่เขาทำให้ฟ่งต้องลำบากมากมายขนาดไหนกันนะ จะว่าไปฟ่งไม่ได้กลับเมืองไทยมาเกือบเดือนแล้วนี่นา
   “ผมเตรียมไว้หมดแล้วล่ะครับ คุณแค่เก็บของที่คุณจะเอาไปก็พอ”
   “อืม...ผมไม่ได้พาอะไรมาเลยนี่ ไม่ต้องขนอะไรกลับไปหรอก”
   “แล้วเสื้อผ้าล่ะครับ” รูฟัสกล่าว และมองไปยังตู้เสื้อผ้า ฟ่งทำหน้าแปลกใจ
   “มันเป็นเสื้อใส่ที่เมืองหนาวนี่ ไม่ต้องเอาไปหรอก ประเทศไทยร้อนจะตาย”
   “แต่ผมอุตส่าห์ซื้อให้.. เอ้อ  ไม่เป็นไรหรอกครับ” รูฟัสรีบพูดปัด นึกแปลกใจที่ตัวเองสนใจเรื่องงี่เง่าแบบนี้ มันก็จริงอย่างฟ่งว่า ประเทศไทยร้อน ไม่ต้องเอากลับไปหรอก
   “อ๊ะ!  ขอโทษ” ฟ่งอุทาน เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ควรจะตอบแบบนั้นออกไปเลย
   “ผมขนกลับไปก็ได้ ก็คุณซื้อให้ผมนี่นา”
   “ถ้าลำบากก็ไม่ต้องหรอกครับ?” รูฟัสว่า อีกฝ่ายสั่นศีรษะทันที
“ไม่เป็นไร ไม่เยอะนี่  แต่ผมต้องขอยืมกระเป๋าเดินทางคุณสักใบ”
   “ซื้อมาให้แล้วล่ะครับ” รูฟัสตอบ และชี้มือไปที่กระเป๋าเดินทางแบบลากสีน้ำตาลใบเล็กตรงมุมห้อง
   “อ่ะ..ขอบคุณครับ ผมจัดกระเป๋าเลยนะ” ฟ่งพูดและกระโดดลงจากเตียง ตรงดิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าทันที
   “ทานข้าวเช้าก่อน แล้วค่อยจัดก็ได้ครับ” รูฟัสเตือนเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นดีใจของอีกฝ่าย  ฟ่งพยักหน้าและหัวเราะแหะๆ
   “อืม งั้นผมเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ”
--------------------------------------
   “ฉันคงคิดถึงเธอน่าดู” คลาวเดียกล่าว เธอขับรถมาส่งคนทั้งสามที่สนามบิน ฟ่งก้มลงจูบแก้มอำลา
   “ผมก็คงคิดถึงคุณเหมือนกันครับ” เขาตอบ ราฟาแอลส่งเสียงขึ้นมาอย่างรำคาญ
   “เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีกล่ะน่า ถ้าเจ้ารูฟัสมันจริงจังอย่างที่ปากว่าน่ะนะ”
   “ผมจริงจังนะ” รูฟัสเอ่ยสวนทันที คลาวเดียเบิ่งนัยน์ตากลมโตของหล่อนอย่างนึกเห็นด้วย
   “นั่นสินะ เดี๋ยวเสร็จงานก็ได้เจอกันอีกแหละ  แหม..ที่จริงทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่นี่ก็ได้ จะได้ไม่ต้องขนไปขนมา”
   ฟ่งหันหน้ากลับไปมองรูฟัสอย่างงงๆ “ต้องกลับมาที่นี่อีกเหรอครับ?”
   หนุ่มตาสองสียกเกาศีรษะอย่างคนนึกอะไรไม่ออก “ผมยังไม่ได้คิดเลยน่ะคลาวเดีย ว่าจะอยู่ที่ไหน”
   “ตายแล้ว!! นี่อย่าบอกนะว่าเธอกะจะไปปักหลักอยู่ที่เมืองไทยเลยน่ะ ฉันคงเหงามากๆ”
   “คุณมีผมอยู่แล้วน่า” ราฟาแอลพูดสวน คลาวเดียทำหน้าหงิก
   “คุณน่ะอยู่ซะทีไหนล่ะ วันๆ ก็ไปหาสาวคนนั้นทีคนนี้ที ระวังเหอะ จะเจอดีเข้าสักวัน”
   “จ้าๆ แม่คนดี ฉันจะพยายามระวังตัวเอาไว้แล้วกัน” ราฟาแอลว่า และเดินไปจูบคลาวเดียครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกหญิงสาวผลักออกมาอย่างหน่ายๆ หนุ่มผมสีบล็อนด์ทำหน้าละห้อย แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด
   “งั้นฉันกลับล่ะ เดินทางดีๆ นะจ้ะหนุ่มๆ ขอให้กลับมาโดยสวัสดิภาพ และเธอ ฟ่ง ถ้าจะอยู่กับรูฟัสล่ะก็มาอยู่ที่นี่เถอะ”
   ฟ่งเกาศีรษะ ยิ้มแห้งๆ “ไว้จะลองไปคิดดูนะครับ” หนุ่มสวมแว่นตอบ พาลให้รูฟัสนึกหวาดเสียวว่าฟ่งจะลังเลเรื่องที่จะมาอยู่ฮังการี หรือลังเงเรื่องจะอยู่กับเขากันแน่
-------------------------------------------
   “แล้วผู้เชี่ยวชาญด้านเจาะรหัสล่ะ?” รูฟัสเอ่ยถาม ในตอนที่ทั้งสามลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาหน้าเคาน์เตอร์เช็กอิน
   “คงรออยู่ด้านในแล้วแหละ เบื้องบนบอกมาว่าเป็นคนที่ฉันรู้จัก”
   “หวังว่าคงไม่ใช่เจ้านั่นหรอกนะ” รูฟัสพูดพลางทำหน้าเหยเกจนฟ่งมองอย่างสงสัย
   หลังเช็กอินเสร็จไปโดยไม่มีเหตุผิดแปลกอะไร ทั้งสามก็เดินเข้าไปตรงประตู เพื่อรอขึ้นเครื่อง ณ ที่นั่น มีชายคนหนึ่งนั่งรอพวกเขาอยู่
   “อะฮ้า!  ได้เจอกันอีกแล้วนะฟ่ง” รัสเลอร์เอ่ยทักอย่างดีใจเมื่อเห็นคนทั้งสาม รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า ขณะที่ราฟาแอลถอนหายใจ
   “ว่าแล้ว...”
   “อย่ามาพูดว่า”ว่าแล้วนะ” ” รัสเลอร์สวนคำขึ้นมาทันที และยืดอกพูดตามแบบของเขา
   “พวกนายอุตส่าห์ได้สุดยอดนักเทคนิคผู้เชี่ยวชาญทุกด้านมาร่วมงาน ควรจะต้องทำหน้าดีใจแล้วบอกว่าพระเจ้ามาโปรดถึงจะถูก เพื่อช่วยพวกนาย เมื่อวานฉันต้องนอนแกร่วอยู่แถวนี้ตั้งวันหนึ่งเลยนะ”
   “ถามจริงเหอะ หน่วยของนายน่ะ รำคาญนายเต็มทีแล้วใช่ไหม ถึงได้พยายามส่งนายออกมานอกหน่วยแบบนี้น่ะ” รูฟัสเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ รัสเลอร์โบกมือและจุ๊ปาก
   “พวกนายนี่นะ ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ที่นั่นต้องการตัวฉันมาก ที่เขาให้ฉันมาทำงานกับนายเนี่ย เพราะภารกิจของนายมันสำคัญมากไงล่ะ เข้าใจกันรึเปล่า?”
   “เอาล่ะๆ ” หนุ่มผมบล็อนด์โบกมือเป็นสัญญาณว่าหยุดพล่ามได้แล้ว รัสเลอร์หันกลับไปทางฟ่ง ซึ่งยังมีสีหน้าอึ้งๆ อยู่
   “ไม่เจอผมตั้งวันหนึ่ง เหงาหรือเปล่าครับ? มาให้ผมกอดแก้คิดถึงหน่อยสิ” รัสเลอร์ว่าพลางอ้าแขน และเดินพุ่งเข้ามา ฟ่งถอยกรูด ขณะที่รูฟัสเดินปราดเข้าไปแทน
   “กอดฉันก็ได้นะ ฉันก็ไม่ได้เจอกับนายมาตั้งหนึ่งวัน”
   รัสเลอร์ทำหน้าขยะแขยง และรีบหุบแขนลงทันที “ไม่เอาหรอก อย่างนายน่ะ แค่ชายตามองฉันยังไม่อยากจะมองเลย”
   พูดจบก็ขมวดคิ้วมองหน้ารูฟัสอีก หนุ่มตาสองสีเลยยักไหล่ใส่อย่างยียวน “ไหนบอกว่าไม่อยากมองหน้าฉันไง?”
   “เหอะ! ฉันกำลังดูว่า หน้าตาคนขี้งกมันเป็นยังไงต่างหาก” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มว่า พลางทำหน้าชิงชังรังเกียจสุดๆ แต่ก่อนที่รูฟัสจะได้ทันโต้ตอบอะไร ราฟาแอลก็พูดขัดจังหวะขึ้น
   “ยังมีเวลาให้พวกแกทะเลาะกันอีกนานโข เพราะฉะนั้นช่วยย้ายก้นไปขึ้นเครื่องได้แล้ว”
----------------------------------------
   ฟ่งไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีกไม่นานเขาจะได้กลับประเทศไทยแล้ว เขามองดูรูฟัสที่นั่งอยู่ข้างๆ และราฟาแอลกับรัสเลอร์ซึ่งนั่งแยกออกไปไม่ห่างนัก น่าดีใจปนตื่นเต้นที่การตรวจพาสปอร์ตขาออกไม่มีปัญหา เขากลัวจะถูกจับจริงๆ ถึงจะบินด้วยพาสปอร์ตปลอมแบบนี้มาสองสามครั้งแล้วก็เถอะ เขาไม่ใช่คนพวกนี้นี่นา ถึงจะทำตัวเฉยๆ สบายๆ ได้ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทำเรื่องผิดกฎหมายแบบนี้
    รูฟัสกำลังอ่านหนังสือ ท่าทางหนุ่มคนนี้จะนั่งเครื่องบินบ่อย เพราะดูจะเตรียมตัวได้ดีมากเหลือเกิน ฟ่งเพิ่งเห็นว่ารูฟัสพกหนังสือตลอด คราวนี้เขากำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตในโมร็อกโกอยู่ ดูเหมือนรูฟัสจะอ่านหนังสือหลายแบบ ท่าทางจะเก็บไว้เป็นข้อมูลในการทำงานล่ะมั้ง
   “นอนไม่หลับหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งจ้องมาทางเขาเขม็ง ฟ่งสั่นศีรษะ
   “ผมไม่ง่วงน่ะ”
   “เบื่อรึเปล่า? ผมนั่งคุยเป็นเพื่อนมั้ย?” อีกฝ่ายเสนอตัวทันที และปิดหนังสือลง ฟ่งยิ้มแห้งๆ “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเสียงจะรบกวนคนอื่นเปล่าๆ ”
   รูฟัสหันไปมองรอบๆ และขยับมาใกล้ “ถ้าพูดเบาๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณมีอะไรอยากคุยกับผมไหมล่ะ?”
   ฟ่งหัวเราะแหะๆ แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา รูฟัสมองดูหน้าอีกฝ่าย และพูดขึ้นต่อ
   “ผมชวนคุณคุยดีกว่า คุณเกิดวันที่เท่าไหร่หรือครับ?”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส แล้วยิ้มออกมา “ยี่สิบหกน่ะ”
   “เดือนล่ะ?”
   “ตุลาคม”
   “อ้อ งั้นคุณก็ราศีพิจิกสินะ” รูฟัสว่า และยิ้มบ้าง “ผมราศีธนู”
   “เอ๋ คุณเกิดเดือนธันวาคมเหรอ?” ฟ่งถามด้วยสีหน้าแปลกใจ รูฟัสพยักหน้ายิ้มๆ
   “น่าจะนะครับ บอกคุณตรงๆ แล้วกัน ผมก็จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะว่าเกิดวันไหนเดือนอะไร แต่เหมือนจะเกิดช่วงเดือนธันวาคมล่ะมั้ง เพราะมีหิมะ แล้วก็มีฉลองคริสต์มาส”
   หนุ่มสวมแว่นกะพริบตาปริบๆ “คุณ... จำวันเกิดตัวเองไม่ได้เหรอ?”
   “เอ้อ..” รูฟัสลากเสียง ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ “ก็ผมเห็นว่าไม่สำคัญอะไร ก็เลยไม่ได้จำน่ะ”
   พอเห็นฟ่งยังทำหน้าแปลกๆ รูฟัสเลยรีบพูดต่อ “จริงๆ นะครับ ผมไม่โกหกคุณหรอก”
   “เปล่า ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น” ฟ่งว่า และมองหน้ารูฟัส “ผมขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัวของคุณนะ”
   “?” รูฟัสมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก่อนจะได้อ้าปากพูดอะไร ฟ่งก็พูดขึ้นต่อ
   “คือ... ถ้าผมไปสะกิดใจเรื่องไม่ดีของคุณเข้า ขอโทษด้วยนะ” ร่างบางพูดเสียงอ่อน รูฟัสมองหน้าฟ่ง และยิ้มออกมา
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร เรื่องมันผ่านมาแล้วน่ะ ผมชอบนะถ้าคุณอยากรู้เรื่องผมน่ะ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส และกะพริบตาอีกครั้ง “แต่ถึงกับลืมนี่แปลว่ามันคงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจดจำใช่ไหมล่ะ ผมชวนคุณคุยเรื่องอื่นดีกว่า”
   รูฟัสไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาตั้งใจจะชวนฟ่งคุยเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกันแท้ๆ แต่พอพูดเรื่องจริงดันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหดหู่ไปซะอีก ก็เขาจำวันเกิดตัวเองไม่ได้จริงๆ นี่นา
   “จริงสิ รูฟัส คุณชอบอ่านหนังสืออะไรเป็นพิเศษรึเปล่า พวกนิยายอะไรทำนองนั้นน่ะ” ฟ่งถามขึ้นบ้าง รูฟัสนิ่งนึกไปพักหนึ่ง
   “ผมชอบนิยายตลกนะ” รูฟัสตอบ และพูดชื่อนักเขียนที่ฟ่งไม่รู้จัก พอเห็นคนฟังทำหน้างง เลยอธิบายต่อ “นักเขียนนวนิยายของฮังการีน่ะครับ ไม่ค่อยดังในระดับโลกเท่าไหร่หรอก แต่ผมว่างานเขาตลกดี”
   “อ้อ แล้ว.. คุณชอบทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
   รูฟัสยิ้ม เขารู้สึกมีความสุขที่ฟ่งดูจะให้ความสนใจและพยายามจะชวนเขาคุยแบบนี้ หนุ่มตาสองสีขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้น
   “ชอบทานอาหารที่พี่สาวคุณทำน่ะ วันหลังคุณทำให้ผมทานบ้างสิ”
   ฟ่งหัวเราะแหะๆ จากนั้นก็เบิ่งตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ “จริงสิ แม่คุณเป็นคนไทยจริงๆ หรือ?”
   “ครับ” รูฟัสพูดและพยักหน้า “อันนี้เรื่องจริงแน่นอนครับ ผมไม่โกหกนะ”
   “เพราะงี้คุณเลยพูดภาษาไทยเก่งสินะ” ฟ่งถามต่อ แต่อีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะยิ้มๆ
   “จริงๆ ก็ไม่เชิงหรอกครับ ตอนคุยกับคุณครั้งแรกผมโม้เอาน่ะ คือแม่ผมเสียไปนานแล้ว ผมจำได้ลางๆ เท่านั้นเอง ที่พูดคล่องเพราะไปเรียนมาน่ะ”
   “เรียนกี่เดือนน่ะ”
   “สามเดือน”
   “โห..” ฟ่งทำตาโต “เก่งจัง สามเดือนพูดคล่องขนาดนี้ ผมว่าคุณเก่งมากเลยนะเนี่ย”
   รูฟัสหัวเราะ ลองถ้าถูกจับไปปล่อยไว้ในย่านคนไทยโดยไม่มีล่ามสักสามเดือน เป็นใครใครก็พูดได้ทั้งนั้นแหละ
   “แต่คนที่ทำให้ผมพูดคล่องจริงๆ ท่าทางจะเป็นคุณน่ะ” หนุ่มตาสองสีพูดต่อ ฟ่งเงยหน้ามองเขา และแก้มแดงนิดๆ “คุณพูดคล่องอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรอก”
   รูฟัสหัวเราะขึ้นอีก และฉวยมือฟ่งมากุมเอาไว้ “อยากเรียนภาษารัสเซียหรือฮังการีบ้างรึเปล่าครับ ผมสอนให้”
   ฟ่งรู้สึกขัดเขินนิดหน่อยที่ถูกรูฟัสจับมือ ดีกว่ายังไม่มีใครผ่านมาเห็น เลยพยายามจะขยับหนี แต่ขยับยังไงทางนั้นก็ไม่ปล่อยสักที สุดท้ายรูฟัสเลยยกผ้าขึ้นมาคลุมไว้แทน ฟ่งกัดริมฝีปากนิดหน่อย ก่อนจะพูดตอบไป
   “ใครมาเห็นจะไม่ดีนะ”
   “ไม่เป็นไร ผมเอาผ้าห่มคลุมไว้แล้ว”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส ไม่รู้จะทำยังไงต่อเลยปล่อยไปเลยตามเลย รูฟัสจับมือเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นมาอีก
   “ฟ่งครับ เสร็จงานนี้แล้วไปเที่ยวกันนะ”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอย่างแปลกใจ “ที่ไหนหรือ?”
   “ที่ไหนก็ได้ครับ ให้มีคุณไปด้วยผมก็สุขใจแล้วล่ะ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะพูดต่อ “ผมอยากไปเที่ยวรัสเซียน่ะ”
   “?”
   “ก็ประเทศบ้านเกิดคุณไง คุณเกิดที่นั่นไม่ใช่เหรอ?”
   “อืม” รูฟัสพยักหน้า และถามซ้ำอีกรอบ “อยากไปจริงๆ เหรอครับ?”
   “จริงสิ  ผมอยากเห็นหิมะ  อืม..อยากรู้ด้วยว่าคุณล้วงกระเป๋าคนแบบไหน”
   ถึงตอนนี้รูฟัสหัวเราะเขินๆ “เรื่องแบบนั้นไม่ต้องอยากรู้ก็ได้ครับ” เขาว่า และรีบพูดต่อเมื่อเห็นสายตาฟ่งที่มองมาอย่างนึกสงสัย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“ไว้จบงานนี้แล้วผมจะพาไปนะครับ”
   “ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ผมพูดเล่น เคยไปดูค่าทัวร์มาแล้วน่ะ แค่ค่าตั๋วเครื่องบินก็แพงหูอื้อ ผมจ่ายไม่ไหวหรอก”
   รูฟัสเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ จะมีตั๋วเครื่องบินแบบไหนในโลกที่เขาไม่มีปัญญาจ่ายอีกนะ
   “มันคงไม่แพงไปกว่าบินจากนี่ไปประเทศไทยหรอกครับ” ชายหนุ่มกล่าว ฟ่งพยักหน้า แต่ก็พูดสวนกลับมา “ก็อันนี้ผมไม่ได้จ่ายเองนี่”
   “ไปรัสเซียคุณก็ไม่ต้องจ่ายเองหรอกครับ” รูฟัสว่า พลางนึกว่านี่ฟ่งยังเข้าใจว่าต้องจ่ายค่าอะไรต่อมิอะไรเองอยู่อีกรึนี่
   “ไม่ได้หรอก ผมอยากไปเอง ผมก็ต้องออกเงินเองสิ” ฟ่งแย้ง รูฟัสพูดยิ้มๆ
   “งั้นคุณออกเท่าที่จ่ายไหวแล้วกันนะครับ ผมจะจ่ายที่เหลือ ตกลงมั๊ยครับ ผมอยากให้คุณไปเที่ยว”
   “จะดีเหรอ”
   “ดีสิครับ หรือคุณอยากให้ผมลักพาตัวคุณไปรัสเซีย”
ฟ่งรีบสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตายทันที “ไม่เอาล่ะ ผมเข็ดแล้ว”
   รูฟัสหัวเราะกับท่าทางของฟ่ง จู่ๆ หนุ่มสวมแว่นก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้
   “จริงสิ ผมน่าจะมีเงินพอนะ คุณทวีศักดิ์เขาน่าจะโอนค่าเขียนแบบให้ผมแล้วล่ะ”
   รูฟัสหันมามองฟ่งด้วยสายตาแปลกๆ “นี่ยังคิดว่าเขาจะจ่ายให้คุณอีกหรือครับ”
   “อ้าว ก็ต้องจ่ายสิ ผมทำงานเสร็จแล้วนะ กลับไปคงต้องไปเช็คบัญชีหน่อย จะได้มีเงินไปเที่ยว”
   รูฟัสเลยปล่อยมือที่กุมมือฟ่งออก และยกมือลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ พลางถอนหายใจ
   “แทนที่จะไปเช็คบัญชี ผมว่าคุณกลับไปถึงแล้วเก็บตัวอยู่เงียบๆ ดีกว่า เขาคงจ่ายเงินเพื่อจ้างคนมาเก็บคุณมากกว่าจะจ่ายค่าจ้างคุณนะ ผมว่า”
   “อ่ะ!” ฟ่งนึกขึ้นมาได้ทันที จากนั้นก็ทำหน้าหงิก “แปลว่าผมต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอดรึนี่... ผมคิดถูกรึเปล่านะที่ตามคุณกลับมาเนี่ย?”
   รูฟัสยิ้มแห้งๆ ก่อนจะลูบศีรษะฟ่งซ้ำอีกรอบ “ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าผมทำงานสำเร็จ คุณก็ใช้ชีวิตตามปกติได้แล้วล่ะครับ”
   “อ้อ..อืม” ฟ่งพยักหน้า และรีบพูดต่อ “อย่างนั้นผมจะช่วยคุณอีกแรงนะ มีอะไรที่ผมพอช่วยได้อีกมั้ย?”
   “ไม่ต้องแล้วล่ะครับ ที่คุณช่วยมาก็เยอะมากแล้วล่ะ” รูฟัสว่า และลูบศีรษะนั้นอย่างเอ็นดู จู่ๆ ฟ่งก็โพล่งขึ้น “ผมคิดค่าแรงจากคุณก็ได้นี่ ค่าทำงานไง”
   รูฟัสย่นคิ้ว “อยากได้เท่าไหร่ล่ะครับ ผมจ่ายให้คุณหมดตัวเลย”
   ฟ่งหัวเราะ “ผมล้อเล่นน่ะ ผมจะคิดเงินกับคุณทำไม ผมต้องไปคิดกับคนแรกที่จ้างผมสิ เฮ้อ..”
   ถึงตรงนี้ชายหนุ่มสวมแว่นถอนหายใจยาว รูฟัสคิดว่าฟ่งอาจจะยังเสียดายเงินอยู่
   “เขาจ้างคุณเท่าไหร่หรือครับ ผมหมายถึง... คุณเรียกเงินค่าจ้างเขาไปเท่าไหร่น่ะ?”
   “สองแสน” ฟ่งตอบ รูฟัสเลิกคิ้วอย่างแปลกใจทันที “สองแสน? สองแสนเหรียญดอลล่า?”
   “เปล่า สองแสนบาท”
   หนุ่มตาสองสีเงียบไปพักหนึ่ง อาจจะกำลังคิดแปลงหน่วยเงินอยู่ สักพักจึงเงยขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจกว่าเดิม
   “คุณคิดเขาไปแค่นั้นจริงๆ เหรอ?”
   ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง นึกสงสัยว่ารูฟัสจะตกใจอะไรนักหนา “แพงไปหรือ?”
   “ถูกไป!!” รูฟัสว่าและแทบอยากร้องครางออกมา ไอ้แปลนนรกที่ทำเอาพวกเขาแทบเอาหัวโขกฝาตายนั่น ราคาแค่สองแสนบาทเองรึ!!
   “เป็นผมจะเรียกสักยี่สิบล้าน”
   “แพงไปมั้ง” ฟ่งว่า แอบคิดว่าจริงๆ รูฟัสอาจจะงกก็ได้
   “แค่แบบแปลนเองนะครับ ไม่ได้บวกค่าอำนวยการก่อสร้างเสียหน่อย”
   หนุ่มตาสองสีเกาศีรษะอย่างคนนึกอะไรไม่ออก
   “งั้นผมจ้างคุณให้อยู่เฉยๆ เดือนละล้านเลย” รูฟัสโพล่งออกมา ฟ่งขมวดคิ้วทันที
   “นี่คุณโมโหหรือดูถูกผมกันแน่เนี่ย” ฟ่งเริ่มพูดอย่างมีอารมณ์ หนุ่มตาสองสีรีบสั่นศีรษะปฏิเสธเป็นพัลวัน
   “ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เข้าใจอย่างนั้นครับ คือ เอ่อ...งั้นวันหลังจะรับงานอะไรปรึกษาผมก่อนก็ได้ งานเสี่ยงตายแบบนี้แค่สองแสนไม่คุ้มหรอกครับ”
   “ผมมีโอกาสได้คุยกับคุณซะที่ไหนกันล่ะ!” ฟ่งสวนคำทันที รูฟัสพยักหน้าอย่างอ่อนอกอ่นใจ
   “หมายถึงหลังจากนี้ไงครับ” หนุ่มตาสองสีตอบ และนึกภาวนาให้ฟ่งไม่ขุดความผิดพลาดของเขาขึ้นมาพูดอีก หนุ่มสวมแว่นแบะปากอย่างไม่พอใจ
   “ผมนอนดีกว่า” เขาว่า และดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า
 ทำไมเวลาคุยกันทีไรต้องลงเอยแบบนี้ทุกทีเลยนะ
---------------------------------------------
   แกร่ก!
   อิทธิเดชสะดุ้งกายเฮือก เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู คงไม่มีใครอื่นนอกจากวรุต แต่การที่เด็กคนนั้นเปิดประตูเข้ามาตอนที่เขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเรื่องที่ทำให้อดสะดุ้งไม่ได้จริงๆ
   วรุตเดินเข้ามาในห้อง และทิ้งตัวลงบนโซฟา สีหน้าไม่สู้จะร่าเริงนัก เขาเงยหน้าขึ้นมองอิทธิเดช และเอ่ยปากถาม
   “มีใครเจอสถาปนิกคนนั้นแล้วหรือยัง?”
   “ยัง ทุกคนกำลังตามหาอยู่” หนุ่มหน้าสวยตอบ เขารีบใส่เสื้อผ้า แต่ก็อดจะนึกแปลกใจไม่ได้ เมื่อวรุตไม่ได้มีทีท่าอยากทำอะไรเขาเหมือนที่ผ่านมา ไม่สิ  จริงๆ วรุตเริ่มมีดูแปลกไปตั้งแต่ที่ทวีศักดิ์มอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแล
เพราะทวีศักดิ์ให้สิทธิ์ในการจัดการกับบุตรโทนของตัวเองได้ตามที่เห็นสมควร อิทธิเดชจึงสามารถปฏิเสธเด็กหนุ่มคนนี้ได้มากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การที่พักนี้วรุตดูไม่ให้ความสนใจเขาในเรื่องอย่างว่า ดูจะเป็นเรื่องที่แปลกจนไม่น่าเชื่อ เพราะก่อนหน้านี้เด็กคนนี้แสดงให้เห็นราวกับว่าเขามีความต้องการที่ไม่รู้จักจบสิ้น และที่สำคัญ พักนี้วรุตเหมือนจะหลบหน้าเขาอยู่
   “ดีจัง แปลว่ายังไม่มีใครเจอเลยสินะ คิดว่าเขาจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
   “ถ้าตายแล้วก็คงดี” อิทธิเดชออกความเห็น วรุตมักจะหลบเขาออกไปข้างนอกทุกวัน มันทำให้ชายหนุ่มหน้าสวยรู้สึกหงุดหงิด ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยอยากอยู่ใกล้กับวรุต แต่หลังจากถูกมอบหมายให้ดูแลเด็กคนนี้อย่างใกล้ชิดแล้ว กลับกลายเป็นว่าวรุตหนีหน้าเขาไปเสียอย่างนั้น ตกลงเด็กนี้ตั้งใจจะแกล้งเขาให้ย่อยยับในทุกวิถีทางเลยใช่ไหม
   “คุณไปติดนิสัยใจไม้ไส้ระกำแบบนี้มาจากใครกันนะ” วรุตพึมพำ พลางมองดูเรือนร่างขาวนวลที่เคยได้สัมผัส ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความปรารถนาในเรือนร่างสวยงามนี้เหมือนเมื่อก่อน แต่มีเรื่องอื่นที่ทำให้เขาต้องทุ่มความสนใจไปให้มากกว่า
เรื่องของสถาปนิกลึกลับคนนั้น
   “คุณไปดูห้องลับที่คุณพ่อเพิ่งสร้างเสร็จหรือยัง?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม อิทธิเดชส่ายหน้า
   “ที่นั่นไม่ใช่ว่าใครจะเข้าไปก็ได้เสียหน่อย”
   “เหรอ..  แต่ผมไปดูมาแล้วนะ ยอดเยี่ยมเลยล่ะ” นัยน์ตาสีดำของวรุตเป็นประกาย เขายังจำความประทับใจนั้นได้
   ห้องที่มีทางเดินซับซ้อนราวกับเขาวงกต เดินลงบันไดจากอีกที่หนึ่ง ก็ไปโผล่อีกที่หนึ่งซึ่งอยู่กันคนละส่วน ถ้าไม่มีคนนำทางเขาคงหลงไปแล้ว นอกจากนั้นยังมีห้องกลไกที่เคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งได้ตามคำสั่ง เหมือนจานรหัสตู้เซฟ ดูลึกลับและน่าสนใจอย่างที่สุด เขาอยากเจอคนออกแบบห้องนี้ อยากรู้ว่าคนแบบไหนกันนะที่สามารถคิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้
   วรุตรู้สึกดีใจที่ยังไม่มีใครพบตัวสถาปนิกคนนั้น หรือระบุได้ว่าตายไปแล้ว เพราะท่าทางพ่อของเขาจะไม่อยากปล่อยให้คนเขียนแบบรอดไปได้ เขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้พบตัวสถาปนิกคนนั้นก่อนพ่อเขาให้ได้
   เพราะถ้าลูกน้องของพ่อเขาเจอก่อน หมายความว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้คุยหรือรู้จักกับคนคนนั้นไปตลอดชีวิต
   วรุตคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ทำไมคนมีความสามารถคนหนึ่งต้องมาถูกกำจัดหลังจากสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์แบบนี้ขึ้นมาด้วย ไม่ใช่ยุคขอมเสียหน่อย ที่พอสร้างปราสาทหินเสร็จแล้วต้องทุบมือช่าง
   “ผมว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นสักพัก” เด็กหนุ่มพูดขึ้น นั่นทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ห้องเดียวกับเขาหันกลับมามองอย่างไม่เชื่อหู
   “ผมจะย้ายไปที่อื่น แค่ชั่วคราวน่ะ คุณไม่ต้องตามไปหรอก ผมไปอยู่ที่ปลอดภัยแน่”
   “เธอแน่ใจได้ยังไงว่าจะปลอดภัย?” อิทธิเดชถามกลับ เริ่มนึกสงสัยขึ้นมาจริงๆ ว่าเกิดอะไรกับเด็กหนุ่มจอมตื้อนี่กันแน่ วรุตยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ
   “พูดจริงๆ นะ ผมไม่เห็นว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัยตรงไหน ไม่เคยมีใครขับรถตามผม เรื่องขูดรถ ข่วนกระจก หรือโทรศัพท์ขู่ฆ่ายังไม่มีเลย ใครอยากจะหมายหัวผมนัก ผมไม่ได้สำคัญอะไรมากมายขนาดนั้นสักหน่อย”
   “แต่เธอเป็นลูกชายของท่านประธานนะ” อิทธิเดชเตือนถึงฐานะของเขา เด็กหนุ่มยักไหล่
   “แล้วไง เพราะพ่อผมทำเรื่องไม่ดี แล้วกลัวว่าผมจะพลอยซวยไปด้วยงั้นเหรอ ไม่เอาน่า  ไม่มีใครบ้ากล้ามาหาเรื่องกับพ่อผมหรอก อีกอย่างทำอะไรผมไปก็ใช่ว่าเขาจะสนใจเสียหน่อย เขาสนงานมากกว่าครอบครัวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
   “คุณทวีศักดิ์ให้ฉันคุ้มครองเธอ ซึ่งก็หมายความว่าเขาเป็นห่วงเธอนั่นแหละ”
   เด็กหนุ่มโบกมืออย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “อย่าไปสนใจคำพูดคุณพ่อนักเลยน่า เขาคงแค่อยากจะหาอะไรให้คุณทำ เฮ้อ… หรือเขาอยากแกล้งผมก็ไม่รู้”
   วรุตถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาเพิ่งรู้สึกว่าอิทธิเดชยอมเขามาโดยตลอดเพราะความเกรงใจบิดของเขานี่เอง เพราะหลังจากผู้เป็นบิดามอบอำนาจให้ หนุ่มหน้าสวยคนนี้ก็แข็งขืนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญ ดูเหมือนอิทธิเดชจะแข็งแรงกว่าเขาด้วย
   “คืนนี้นอนกับผมได้หรือเปล่า?” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามหลังจากเงียบไปพักใหญ่ คนถูกถามขมวดคิ้ว
   “ฉันไม่ได้มีหน้าที่มานอนกันเธอนะ ถ้าอยากนักก็ไปหิ้วคนอื่นมาสิ”
   วรุตหัวเราะขืนๆ และช้อนตาขึ้นมองคนตอบอีกครั้ง แวบนั้นอิทธิเดชรู้สึกว่าแววตาของวรุตที่มองช่างอ้างว้างและปวดร้าว เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเด็กหนุ่มแสนร้ายกาจคนนี้จะมีแววตาแบบนี้ได้
   “เอาเถอะ ตามใจคุณแล้วกัน ยังไงผมไม่มีปัญญาจะทำอะไรคุณได้อีกแล้วนี่” วรุตพูด และล้วงเอาซองกระดาษสีน้ำตาลเล็กๆ ซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะโยนมันลงไปบนโต๊ะที่วางอยู่ใกล้กัน
   “ผมคืนให้คุณแล้วกัน แล้วก็ไม่ต้องออกตามหาผมนะ ถ้าคุณลำบากใจนัก คุณบอกกับคุณพ่อไปเลยว่าคุณทำดีที่สุดแล้ว คุณพ่อไม่โกรธคุณหรอก หรือถ้าคุณอยากจะตามผม ก็เชิญ  แต่ถ้าเกิดผมหนีคุณจนเกิดเรื่องเกิดราว เรื่องมันอาจจะออกมาไม่ค่อยดีก็ได้” เด็กหนุ่มกล่าว พลางเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาจริงจัง อิทธิเดชนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ
   “เธอต้องการอะไรกันแน่?” หนุ่มหน้าสวยเอ่ยปากถาม ตอนที่เห็นวรุตล้วงซองกระดาษนั่นออกมา เขารู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มโยนมันลงบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่แยแสสนใจอะไรอีก
   “ผมไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้นแหละ” วรุตกล่าว แล้วถอนใจเฮือกใหญ่
   “เพราะจริงๆ แล้ว ผมคงไม่มีปัญญาจะเอาของที่ต้องการมาได้หรอก” พูดจบก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้น
   “จะไปไหนน่ะ” อิทธิเดชโพล่งขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำท่าจะเดินไปที่ประตูห้อง วรุตหันกลับมาและยิ้ม
   “ไปก่อนนะ ไว้ผมจัดการเรื่องเสร็จเมื่อไหร่จะกลับมาหาคุณแล้วกันนะ คนสวย”
   “เดี๋ยวก่อนสิ!!” อิทธิเดชร้อง และวิ่งมาคว้ามือเด็กหนุ่มเอาไว้ แต่กลับถูกปิดประตูใส่เสียงดังปึง
   ชายหนุ่มหน้าสวยยืนอึ้งอยู่หน้าประตูพักใหญ่ ก่อนจะหมุนตัว เดินมายังโต๊ะ และหยิบซองกระดาษที่ถูกโยนเอาไว้ขึ้นมา และเปิดมันออกด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา
   นัยน์ตาสีดำแสนหวานหลับลงอย่างเจ็บปวด
   สิ่งที่อยู่ภายในซองกระดาษสีน้ำตาลซองนั้น คือรูปถ่ายที่วรุตใช้แบลกเมล์เขามาโดยตลอด ปกติเด็กคนนั้นไม่เคยแม้แต่จะบอกที่ซ่อน และเก็บมันไว้อย่างดี ไม่ว่าเขาจะค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่เคยพบ แต่ทำไมวันนี้ถึงได้เอามาให้เขานะ
   เธอกำลังคิดอะไรอยู่ วรุต..
-----------------------------------------
   วรุตยกมือขึ้นป้องแดดยามบ่ายของกรุงเทพฯ เขาเพิ่งก้าวลงจากรถแท็กซี่ และหยุดยืนอยู่หน้าคอนโดที่ตั้งอยู่ย่านใจกลางเมือง เด็กหนุ่มก้าวเท้าฝ่าแสงแดดร้อนจัดเข้าไปด้านใน และตรงไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า
   “ติดต่อเรื่องห้องพักครับ ผมคุณวิน ที่ติดต่อมาเรื่องขอเช่าห้อง1125น่ะครับ”
   พนักงานต้อนรับสาวที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะหยิบแฟ้มเล่มหนาออกมาเปิด
   “ที่ติดต่อไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วใช่ไหมคะ?”
   “ครับ” วรุตพยักหน้า พนักงานสาวจึงหยิบเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมาวางให้ ก่อนจะพูดต่อ
   “นี่เป็นรายละเอียดการเข้าอยู่อาศัยค่ะ ส่วนนี่เป็นเอกสารการเช่า กรอกแล้วช่วยเซ็นชื่อเอาไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ”
   วรุตหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน และชั่งใจว่าจะใช้ชื่อจริงดีหรือเปล่า เขาไม่อยากให้คนของบิดาตามเจอง่ายนัก แต่ว่าก็ไม่ชำนาญเรื่องพวกนี้เสียด้วยสิ
   “ผมต้องการความเป็นส่วนตัว ข้อมูลพวกนี้จะเป็นความลับหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามหลังจากอ่านเอกสารจบคร่าวๆ แล้ว พนักงานสาวพยักหน้า
   “เราเก็บข้อมูลของลูกค้าเป็นความลับค่ะ”
   วรุตผงกศีรษะน้อยๆ และตัดสินใจกรอกเอกสารทั้งหมดตามความจริง ก่อนจะยื่นเอกสารคืนให้พนักงานในเคาน์เตอร์ หลังจากรออยู่พักหนึ่ง พนักงานสาวก็แจ้งรายละเอียดการจ่ายค่าเช่าให้ทราบ
   “เงินค่ามัดจำกับค่าเช่าล่วงหน้าสามเดือนจำนวนหกหมื่นสองค่ะ ไม่ทราบว่าสะดวกเป็นบัตรเครดิตหรือเงินสดคะ?”
   “เงินสดครับ” วรุตว่า พลางหยิบซองใส่เงินออกมาจากอกเสื้อนอก เขานับและดึงธนบัตรใบละพันออกไปสองสามใบ พลางนึกขำอยู่ในใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดเลยว่าเงินที่เก็บสะสมเอาไว้แบบไร้จุดมุ่งหมายจะถูกเอามาใช้ มันเป็นเงินที่เหลือจากการใช้จ่าย ในสมัยเรียนอยู่ที่เยอรมัน
วรุตไม่รู้ว่าเขาจะจ่ายเงินมากมายไปกับความบันเทิงที่ไม่แน่นอนเพื่ออะไร ดังนั้นเขาจึงมีเงินสะสมในธนาคารเยอะเสียจน เขาเคยบอกับผู้เป็นบิดาว่าไม่ต้องส่งเงินมาให้เขาแล้วก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ บิดาของเขาไม่เคยสนใจเรื่องนี้หรอก ผู้ชายคนนั้นไม่เคยสนใจรายละเอียดในชีวิตของเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นอกจากเรื่องเงินอย่างเดียว ที่พยายามส่งให้เขาใช้จนเกินพอดี
วรุตเคยคิดว่าเขาจะเอาเงินนี่ไปเปิดสถานสงเคราะห์แมว ไม่ก็ทำพินัยกรรมบริจาคให้กับชมรมคนรักสัตว์ แต่ดูท่าทางคราวนี้เขาอาจจะได้ใช้เงินพวกนี้เพื่ออะไรที่ยิ่งกว่านั้น เพราะมันอาจจะช่วยชีวิตคนคนหนึ่งเอาไว้ได้
   “กุญแจห้องกับคีย์การ์ดค่ะ นี่คือคู่มือการเข้าอยู่ ถ้ามีอะไรติดต่อเคาน์เตอร์หรือตามเบอร์โทรศัพท์ที่ระบุไว้นะคะ”
   วรุตพยักหน้า รับกุญแจและคีย์การ์ด ก่อนจะเดินไปที่ลิฟท์ และสอดมันเข้าในช่อง เพื่อขึ้นไปยังห้องพัก เขาคงต้องไปซื้อเสื้อผ้าใหม่สักสองสามชุด เพราะจะใช้ชุดเก่าหรือจะกลับไปขนที่ห้องอิทธิเดชคงไม่เป็นผลดี ก็อิทธิเดชเป็นคนของพ่อเขานี่
   พอคิดถึงผู้ชายหน้าสวยคนนั้น วรุตก็อดหัวเราะให้กับตัวเองไม่ได้
   เขาทำทุกอย่าง ทุกวิถีทาง แม้แต่วิธีที่เลวร้ายที่สุด เพื่อให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างของคนที่เขาเห็นเพียงแค่แว้บแรกก็ตกหลุมรักอย่างโงหัวไม่ขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้อะไรจากผู้ชายคนนั้นเลยสักอย่าง แม้กระทั่งร่างกายที่ผู้ชายคนนั้นยอมให้เขาย่ำยี ก็เพียงเพราะเขาเป็นลูกชายของคนที่รักเท่านั้น
   วรุตขบกรามกรอด รู้สึกปวดแปลบไปทั้งอก เขาไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับความเจ็บปวดนี้อย่างไร บางทีวิธีที่ดีที่สุดคือการหลบไปให้พ้นหน้าของผู้ชายคนนั้น ใบหน้าที่เขาเห็นแม้กระทั้งในความฝัน กับสัมผัสที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้โหยหาอยู่เสมอ
   เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก
   การที่เขาทำแบบนี้ อาจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดก็ได้ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตใครคนหนึ่ง ที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
   ใครคนนั้นที่เขาคิดว่าไม่สมควรจะต้องมาตายด้วยเหตุผลไม่เข้าท่า
   วรุตไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ หรือว่าอะไรแบบนั้น เขาคิดแค่ว่านี่เป็นเรื่องไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่คนคนนั้นจะต้องมาตายเพื่อนรักษาความลับ และสาเหตุก็มาจากพ่อของเขาด้วย ดังนั้นเขาจึงควรจะทำอะไรสักอย่าง อะไรบางอย่างที่จะยุติความเลวร้ายนี้ได้
เด็กหนุ่มเข้าใจดีว่าคนรอบๆ ตัวไม่มีทางเห็นด้วยกับความคิดของเขา ทุกคนเป็นคนของพ่อ แม้แต่อิทธิเดช ที่ผ่านมาเขาก็แค่ใช้กำลัง กับความเป็นลูกของทวีศักดิ์บังคับเท่านั้น ไม่สิ  ที่ผ่านมาเป็นแบบนี้ได้เพราะทางนั้นเกรงใจพ่อของเขาต่างหาก
   ถึงตรงนี้วรุตถอนหายใจยาวอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอะไรซักอย่างที่น่าหัวเราะด้วยความสมเพช การกระทำทุกอย่างของเขาไม่ว่าจะเลวร้ายยังไงก็ไม่มีใครกล้าตำหนิหรือห้ามปราม เพียงเพราะเขาเป็นลูกชายของท่านประธานแค่นั้นเอง
แต่ว่าคราวนี้ วรุตมั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย ถึงจะทำให้เขาถูกตำหนิในสายตาของคนพวกนั้นก็ตาม
เขาที่ทำเรื่องเลวร้ายไปสักเท่าไหร่ก็ไม่มีใครกล้าห้าม แต่กลับถูกห้ามเมื่อตั้งใจจะทำเรื่องดีๆ สักเรื่องหนึ่ง นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าหัวเราะหรอกหรือ
วรุตยิ้มขืนๆ ให้กับตัวเองขณะเดินมายังห้องพัก เขาคิดว่าเห็นตัวคนที่ใช้ชีวิตจมปลักอยู่กับด้านมืดนั้นมาพอสมควร และไม่เห็นเลยว่าจะมีใครมีความสุข แม้แต่พอเขา หรือตัวเองก็ตาม
   อิทธิเดช...
   วรุตตัดสินใจว่าในเมื่ออิทธิเดชฝังใจอยู่กับพ่อของเขาแบบนั้น เขาก็คงไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้ แม้จะรู้สึกเจ็บปวด แต่เขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป เพราะยังมีคนอีกคนหนึ่งที่เขาอาจจะยังพอช่วยเหลือได้
   ในที่สุดเด็กหนุ่มก็มาหยุดยืนอยู่ตรงห้องพักที่อยู่ติดกันกับห้องที่เขาเช่าไว้
ห้อง1127
   ไม่ว่าคนที่พักอยู่ในห้องนี้จะเป็นใคร เขาจะต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้
-----------------------------------------

Crossley

  • บุคคลทั่วไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
โอ๊ะโอ  ฟ่งกลายเป็นแมวเหมียวไปแล้ว  ทั้งอ้อน  ทั้งขู่ฟ่อ หลากหลายอารมณ์จริง ๆ
ตอนนี้นั่งรอหนังสือแล้วล่ะ  อิ อิ

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
วรุตเป็นลูกไม้ที่หล่นไกลต้นจริงๆ ตอนแรกเหมือนจะเลวที่ไหนได้มีความคิดด้านดีเยอะมาก พยายามเข้าล่ะ
กลับเมืองไทยกันแล้ว ฟ่งกับรูฟัสจะเจอเรื่องอะไรบ้างนะ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
เอ อย่าบอกนะว่าจะมาหลงรักฟ่งอีกคนอะ

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
กำลังคิดว่าจะให้ฟ่งกับรูฟัสไปพักที่ห้องเดิม จะดีเหรอ ไม่แนบเนียนเลย
หรือถ้าพักที่อื่น ก็ยังไม่ควรกลับมาที่ห้องเก่าอยู่ดี

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
^
^
^
(โอ๊ย กดอ้างถึงไม่ได้ ทำไมเนี่ยย)

ขอบคุณทีทักค่ะ แต่ว่าเขียนไปแล้วน่ะ (พอดีเรื่องนี้ตอนเขียนตอนนี้มันก็หลายปีมาแล้วน่ะค่ะ หุๆ)

ขออภัยในความไม่สมเหตุสมผลด้วยนะคะ (แต่สงสัยจะแก้ไม่ทันแ้ว้ว)

**แต่จริงๆ นอกจากคนอ่านกับฟ่งและเจ๊เมี่ยงแล้ว ที่เหลือยังไม่มีใครรู้เลยล่ะว่ารูฟัสเป็นสายลับ..(จริงๆ นะคะ) เพราะงั้น กลับมาห้องเดิมก็ไม่แปลกอะไรนะ (ยังจะ...ได้อีกนะเรา เอิ๊กๆ) ส่วน ถ้าคนอื่นมาเห็นว่าฟ่งกลับมา ก็คงคิดว่ากลับมากับเพื่อนนั่นล่ะค่ะ... คงไม่คิดถึงขนาดว่ามากับสายลับหรอก

แต่ไงก็ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวจะพยายามแทรกเนื้อหาให้มันสมเหตุสมผลที่สุดก็แล้วกันค่า^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2011 10:33:35 โดย juon »

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
ยิ่งอ่านไป ปมยิ่งเย๊อะนะคะ แอบสงสัยความสัมพันธ์ของเฮีบเว่ยเจียงหวิน กับอาซาน
ออกจะแผ่รังสีม่วงนิดๆ แต่เฮียเจียงหวินแกประกาศตัวเกลียดเกย์ออกปานนั้น
แถมเรื่องเฮียเจียงหวินกับ เว่ยชิน อีกคน  :เฮ้อ: รอมาเฉลยนะคะ

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
 :กอด1:

ตามอ่านจนทันแล้วววว

เล่นเอาเหนื่อย  เยอะมากกกกกก

สนุกมากครับ

ลุ้นมากกกอ่ะ

ฟ่งหลังๆนี้น่ารักมากมายอ่ะ

รูฟัส ก็เท่ห์อ่ะ  แถมหื่นซะ

ชอบคู่รองด้วยอ่ะ

ได้ทุกอารมณ์เลยอ่ะ  หวาน เศร้า ดราม่า ลุ้นระทึก

ตอนล่าสุดนี้ชื่นชมวรุตนะ  ความคิดดีมากเลยยล่ะ

ตอนหลังวรุตจะได้คู่กับอิทธิเดชรึป่าวน๊าาา 

ลุ้นๆๆๆ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
รูฟัสพักที่เดิมคงไม่แปลก  เพราะศัตรูของรูฟัสไม่ใช่เฟิงปิงแล้ว  และไม่มีใครรู้ว่ารูฟัสเป็นใคร
แต่ฟ่งพักที่เดิมดูแปลกและไม่สมเหตุสมผลไปนิด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อธิบายได้ว่า รูฟัสคงรู้อยู่แล้วว่าการเดินทางกลับเมืองไทยคราวนี้ของฟ่ง
ก็ประหนึ่งว่ากำลังพาฟ่งเดินเข้าปากเสือดี ๆ นั่นเอง
เพราะฉะนั้นรูฟัสคงให้ฟ่งอยู่อย่างเงียบเชียบไร้ตัวตนที่สุด
และไม่ให้ฟ่งออกไปไหนจนกว่าภารกิจจับโจรจะเสร็จ
...

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
** มาล่ะค่ะ อภิมหาตอนแถ แก้ไขเรื่อง หุๆ หวังว่าเนื้อหาคงดูสมเหตุสมผลขึ้นนะคะ ถ้ายังมีจุดไหนแปลกๆ อยู่ ช่วยทักด้วยค่ะ จะไ้ด้แก้ไขทันรวมเล่มค่ะ^^ ขอบคุณมากค่ะ
---------------------------------------
บทที่44 1125 1127  1129

   ฟ่งรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ตอนที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กี่สัปดาห์แล้วนะที่เขาจากบ้านไป อย่างกับความฝัน เขาที่ถูกมาเฟียฮ่องกงลักพาตัวไปในฐานะของตัวประกันเพื่อแลกกับข้อมูลบางอย่าง เผชิญกับทั้งการข่มขู่ และเรื่องราวที่แม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าดี แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายนัก ได้พบความจริงของเพื่อนข้างห้องที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ เดินทางด้วยตัวคนเดียวในประเทศที่เขาไม่รู้จัก สุดท้ายแล้ว เขาก็กลับมาพร้อมกับคนที่ถูกเรียกกันว่าสายลับ เรื่องพวกนี้ถึงเล่าให้ใครฟังคงไม่มีใครอยากเชื่อ แม้แต่เขาเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ดูจะยืนยันแน่ชัดว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความฝัน คือพาสปอร์ตปลอมที่อยู่ในมือเขานี่แหละ ฟ่งนึกโล่งในที่มันผ่านด่านตรวจของประเทศไทยมาได้อย่างไร้ปัญหา ด้านรูฟัสนั้นยิ่งดูไม่มีปัญหาเข้าไปใหญ่ เขาพูดไทยคล่องปรื๋อกับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจ ที่ออกจะขำหน่อยคงเป็นรัสเลอร์และราฟาแอล สองคนนี่ติดหนวดปลอมมาด้วย แต่ฟ่งคิดว่าคงไม่มีใครดูออกหรอก
พอออกจากประตูมาได้ รูฟัสก็เริ่มโทรศัพท์ ไม่สิ เรียกว่าส่งเมสเสจมากกว่า ฟ่งยืนมองแล้วพูดอย่างนึกขึ้นได้
“รูฟัส ผมขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ”
แต่ดูเหมือนรูฟัสจะให้ความสนใจกับเมสเสจที่ตอบกลับมามากกว่า ไม่งั้นก็เพราะเสียงในท่าอากาศยานดังเกินไป ฟ่งจึงต้องเรียกชื่อฝ่ายนั้นให้ดังขึ้น
“รูฟัส”
“What? Um… wait a minute” รูฟัสพูด ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาพูดในภาษาที่ฟ่งฟังไม่รู้เรื่อง สักพักจึงค่อยหันกลับมาถาม “มีอะไรหรือครับ?”
“ผมยืมโทรศัพท์หน่อยสิ”
รูฟัสมองหน้าฟ่งอึ้งๆ จนทางนั้นต้องอธิบายต่อ
   “ผมอยากโทรหาพี่สาว ผมไม่ได้ติดต่อกับพี่มาตั้งหลายวันแล้ว พี่สาวผมคงเป็นห่วงแย่แล้วล่ะ” ฟ่งพูด รูฟัสนิ่งไปสักพัก ในที่สุดก็ร้องออกมาอย่างนึกขึ้นได้
   “งั้นใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรไปแล้วกันครับ”
   ฟ่งหน้างอทันที “ทำไมล่ะ ผมยืมโทรศัพท์คุณโทรไม่ได้หรือไง?”
   “เอ่อ...” รูฟัสทำหน้าคิดหนัก ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูฟ่ง “เบอร์ผมเป็นความลับน่ะ”
   ฟ่งพยักหน้า แต่รูฟัสยังรู้สึกว่าเจ้าตัวดูมีสีหน้าหน่ายๆ นิดหน่อย หนุ่มสวมแว่นพูดต่อ “งั้นเดี๋ยวผมไปโทรที่คอนโดก็ได้ แล้วค่อยซื้อโทรศัพท์ใหม่ เฮ้อ... ”
   ฟ่งถอนหายใจเฮือกพลางนึกหงุดหงิดว่าทำไมเขาถึงลืมทวงโทรศัพท์กลับมาจากเว่ยเฟิงปิงก่อนจะออกจากฮ่องกงกันนะ เบอร์โทรอะไรก็อยู่ในนั้นทั้งหมด ถ้าซื้อใหม่ก็ต้องมานั่งหาเบอร์กันใหม่อีก คิดแล้วน่าหงุดหงิดจริงๆ
   “ตะกี้ว่าอะไรหรอครับ?” รูฟัสหันกลับมาถามอีกรอบหลังจากวางหูโทรศัพท์ ฟ่งมองหน้าเขา และสั่นศีรษะอย่างหน่ายๆ พลางนึกว่าเจ้าหมอนี่คิดจะสนใจสารทุกข์สุกดิบของเขาจริงๆ หรือเปล่านี่
   รูฟัสมองหน้าฟ่งสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้น “ไปกันเถอะครับ”
   คราวนี้ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที “แล้วไม่รอ...”
   “อะไรติดตรงแก้มน่ะครับ” รูฟัสพูดขัดขึ้นมา พร้อมกันยื่นมือมาจับแก้มของฟ่งไว้ แถมนิ้วบางนิ้วดันเลยมาปิดปากเขาเอาไว้อีก ฟ่งเงยขึ้นมองผู้ชายตรงหน้าอย่างรู้สึกเคืองนิดๆ ก่อนจะเห็นว่ารูฟัสขยิบตาหน่อยๆ ฟ่งมองหน้าเขาอยู่อีกพักหนึ่ง ถึงพอจะเข้าใจความหมาย
   “ราฟี่กับรัสเลอร์จะเข้าไปดูลาดเลาที่คอนโดก่อน” รูฟัสพูดขณะควงแขนฟ่งออกมาจากสนามบิน หนุ่มตาสองสีให้เหตุผลว่า ทำแบบนี้แล้วถึงจะกระซิบกันก็ไม่มีใครผิดสังเกต แต่ฟ่งนึกแย้งในใจว่าแบบนี้แหละน่าจะยิ่งผิดสังเกต ผู้ชายสองคนที่ไหนจะมาควงแขนเดินกระซิบกัน นอกจากพวกเกย์กันเล่า
   “รูฟัส ทำแบบนี้จะไม่ยิ่งน่าสงสัยเหรอ เหมือนคุณกับผมเป็นแฟนกันเลย” ฟ่งกระซิบกลับ รูฟัสทำหน้าอึ้งๆ ก่อนจะพยักหน้า “ไม่น่าสงสัยหรอกครับ เป็นแฟนกันเลยยิ่งดี”
   หนุ่มสวมแว่นทำหน้ายู่ “แล้วทำไมต้องให้พวกคุณราฟาแอลไปก่อนล่ะ เขาไม่เคยไปที่นั่น จะไปถูกหรือ?”
   “ราฟี่เคยอยู่ห้องผมนะครับ ช่วงที่ผมไปช่วยคุณที่ฮ่องกงไง” รูฟัสพูด และอธิบายเพิ่มเติม "พอดีเขาก่อเรื่องเอาไว้ เลยต้องหนีออกมาก่อน แต่ทางคุณทวีศักดิ์ยังไม่รู้หรอกว่าพวกผมใช้ที่นั่นทำงานกัน แต่เขารู้ว่าคุณอยู่ที่นั่น”
   “แล้ว..?” ฟ่งถามอย่างไม่เข้าใจ รูฟัสรั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้อีก พลางก้มลงกระซิบ “ก็แปลว่าเขาอาจจะวางกำลังเอาไว้ดักรอคุณกลับไปอยู่ไงครับ”
   นั่นแหละ ฟ่งถึงได้เบิ่งตาอย่างคนนึกได้ “เออ จริงด้วย ผมควรทำไงดี?”
   หนุ่มสวมแว่นดูมีสีหน้าวิตกทุกข์ร้อนขึ้นมาทันที คนถูกถามพูดปลอบ “ไม่ต้องเป็นห่วงมากหรอกครับ ได้ยินว่าทางนั้นดึงคนกลับไปเยอะแล้ว เพราะต้องใช้คนรักษาความปลอดภัยห้องประชุม แต่ก็กันไว้ก่อนน่ะ อีกอย่าง ถ้าไปพร้อมกันสี่คนคงดูน่าสงสัยใช่ไหมล่ะครับ”
   “อืม” ฟ่งพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นอีก “แล้วระหว่างนี้เราไปไหนกันดี?”
   “เดินเที่ยวในสนามบินไปก่อนก็ได้ครับ รอโทรศัพท์ยืนยันแล้วค่อยออกไปก็ได้”
   หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า
-------------------------------------------------------------
   ในที่สุด ฟ่งก็ได้กลับมาที่คอนโดสมใจอยาก หลังจากที่ราฟาแอลตรวจตรารอบๆ อย่างถ้วนถี่แล้ว
   ตอนนี้เขากับรูฟัสกำลังยืนอยู่ในลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องพัก
   “ไม่อยากจะเชื่อเลย” ฟ่งพึมพำขึ้นมา รูฟัสหันมามองเขาอย่างสงสัย ชายหนุ่มสวมแว่นเลยหัวเราะแหะๆ
   “คือผมไม่เคยคิดเลยนะว่าชีวิตจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ อย่างกับฝันแน่ะ”
   รูฟัสจำต้องยิ้มเจื่อนๆ ให้กับคำพูดของฟ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าฟ่งหมายความไปในแง่ไหนกันแน่
   พอประตูลิฟต์เปิดออก หนุ่มตาสองสีเลยรีบก้าวเท้าออกไป แล้วหันมาโค้งให้กับคนที่อยู่ในลิฟต์
   “ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ” รูฟัสพูดและยิ้มกว้าง ขณะที่ฟ่งเดินออกมา หนุ่มสวมแว่นหัวเราะเขินๆ
“กลับมาแล้ว” ฟ่งพูด และรู้สึกเขินขึ้นมาจริงๆ เมื่อรูฟัสเดินเข้ามาโอบเขาเอาไว้
“ใครมาเห็นมันจะน่าเกลียดนะ” ฟ่งว่า รูฟัสแย้งหน้าซื่อ “คนต่างชาติเขาโอบกันเป็นเรื่องธรรมดานะครับ ไม่น่าเกลียดหรอก”
ฟ่งมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อถือ ก่อนจะเดินไปยังห้อง1127 ซึ่งเป็นห้องตัวเอง รูฟัสเดินมาส่งเขาถึงหน้าประตู แล้วก็ยืนรออยู่อย่างนั้น
“นี่ ไม่มีใครซ่อนอยู่ในห้องผมหรอก” ฟ่งว่า เมื่อเห็นว่ารูฟัสยังไม่ยอมกลับไปห้องตัวเอง
“ไม่เป็นไร เพื่อความแน่ใจนะครับ” รูฟัสว่า ฟ่งจึงเปิดประตูออก แล้วให้รูฟัสเดินเข้าไปสำรวจ
“ไง เจออะไรไหม?” ฟ่งถามเมื่อเห็นรูฟัสเดินออกมา เขาปิดประตูห้องแล้ว และกำลังยืนมองรูฟัสเดินเข้าห้องที่มีอยู่แค่สองห้อง ฟ่งคิดว่าถ้ามีใครเข้ามาคงจะสะดุดกองข้าวของระเกะระกะที่วางอยู่ก่อนแน่ๆ
“ไม่มีครับ งั้น ผมกลับไปห้องก่อนนะ”
“อื้อ” หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า ขณะมองดูร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้
รูฟัสเดินตรงมายังประตู ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าหนุ่มสวมแว่น จากนั้นก็โอบร่างนั้นเข้ามากอด แล้วจูบลงไปข้างแก้ม “เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วผมจะมาหานะครับ”
   ฟ่งรู้สึกหน้าร้อนจี๋ เขารีบผลักรูฟัสออก พลางนึกเคืองๆ ประโยคที่อีกฝ่ายพูด พูดอย่างกับเขาเป็นเมียน้อยนั่นแหละ ใครจะรอให้มาหากันล่ะ
   รูฟัสยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก และอาศัยทีเผลอหอมแก้มเขาอีกรอบ ก่อนจะเปิดประตูออกไป ฟ่งชักรู้สึกว่ารูฟัสคงจะมีนิสัยเหมาะกับอาชีพหัวขโมยจริงๆ
------------------------------------------------------   
   “เออ มาเสียที” นี่คือประโยคแรกที่ราฟาแอลเอ่ยทัก ทันทีที่รูฟัสโผล่หน้าเข้าไปในห้อง1129 ซึ่งเป็นห้องที่เขาเคยมาเช่าอยู่ก่อนหน้านี้
   ราฟาแอลนั่งเอกขเนกอยู่บนโซฟาเหมือนเคย แต่ยังไม่เห็นแววของรัสเลอร์ รูฟัสก้าวเท้าเข้าไป ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิด
   “ผมดีใจนะ ที่คุณไม่ขนศพมาซ่อนไว้ให้ห้องน่ะ”
   ราฟาแอลขมวดคิ้วสีบลอนด์เข้าหากันทันที “ให้มันน้อยๆ หน่อย ถึงฉันจะฆ่าคนบ่อย แต่ก็ไม่ได้บ้าขนาดลากศพมาซ่อนไว้ในห้องตัวเองหรอกนะ” หนุ่มผมสีบลอนด์เอ็ด รูฟัสยักไหล่อย่างยียวนกวนประสาท “ใครมันจะไปรู้กันล่ะ”
   ราฟาแอลร่ำๆ อยากจะยกปืนขึ้นมายิงกรอกปากเพื่อนร่วมงานเก่าแก่ของตัวเองสักแม๊กหนึ่ง รูฟัสกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร รัสเลอร์ก็โผล่พรวดออกมาจากห้องนอนของเขา
   “โอ้ รูฟัส มาได้เวลาพอดี” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูด ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดต่อ รูฟัสก็พูดสวนออกไป “นายเข้าไปทำอะไรในนั้น?”
   “สำรวจน่ะซี่ ฉันมันพวกชอบสำรวจอยู่แล้ว” รัสเลอร์ตอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ รูฟัสหันกลับไปมองราฟาแอล หนุ่มผมบลอนด์ยักไหล่อย่างไม่รับรู้ เขาเลยหันหน้ากลับไปมองรัสเลอร์ต่อ
   “หน่วยของนายไม่เคยพูดเรื่องนโยบายความเป็นส่วนตัวหรือไง?” หนุ่มตาสองสีพูดเสียงเข้ม แต่คนถูกถามยังคงมีสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “พูดสิ แต่ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันนี่” รัสเลอร์ตอบ และรีบพูดต่อ
   “นี่ รูฟัส ห้องฟ่งน่ะอยู่ติดกับห้องนายใช่ไหมล่ะ นายมีติดกล้องติดอะไรไว้ในห้องเขารึเปล่า?”
   คิ้วของรูฟัสขมวดเข้าหากันทันที “ไม่มีหรอก ฟ่งไม่ใช่เป้าหมายของงาน นายคิดอะไรของนายอยู่อีกล่ะ?”
   รัสเลอร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะตอบไม่ตรงคำถาม “งั้นฉันไปหาฟ่งดีกว่า อยากจะเห็นว่าห้องของคนน่ารักๆ แบบนั้นจะเป็นยังไง?”
   รูฟัสเขม่นมองรัสเลอร์ทันที แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เจ้าหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มก็กระโดดแผล่วไปที่ประตู ก่อนจะร้องโอ๊ยออกมา เมื่อถูกราฟาแอลดึงคอเสื้อเอาไว้
   “พวกแกเลิกทำตัวงี่เง่ากันเสียที ได้เวลาคุยเรื่องงานแล้ว”
----------------------------------------------
   ตอนแรกที่ฟ่งผลักประตูเข้ามาในห้อง เขามั่นใจว่าตัวเองคงได้เจออภิมหาฝุ่นที่จับหนาเป็นนิ้วๆ ขนาดถึงขั้นต้องรีบวิ่งฝ่าฝุ่นเข้าไปหยิบโทรศัพท์เรียกแม่บ้าน
แต่พอเอาเข้าใจริงแล้ว สภาพของห้องกลับดูดีว่าที่เขาคิด บนเคาน์เตอร์และโต๊ะกับเก้าอี้มีฝุ่นจับนิดหน่อย คงเพราะตอนออกไปงานเลี้ยงรุ่นเขาปิดประตูหน้าต่างจนหมด
ฟ่งเปิดตู้เย็นดู และโล่งใจว่าไม่มีอะไรบูดเน่า แต่ของบางอย่างที่กินค้างเอาไว้คงต้องทิ้ง
ชายหนุ่มเดินไปกดโทรศัพท์หาแม่บ้าน หลังจากแจ้งรายละเอียดแล้ว เขาก็กดเบอร์ต่อไปหาพี่สาว
   “โหลว เจ๊เหรอ นี่ฟ่งเองนะ”
   “ห๊ะ!! ฟ่งเหรอ อยู่ไหนเนี่ย กลับมาแล้วเหรอ?” เสียงผิงอุทานอย่างดีใจลอดมาทางหูโทรศัพท์ หนุ่มสวมแว่นเผลอยิ้มออกมา เขาพยักหน้าและพูดกรอกไป
   “อยู่ที่คอนโดแล้ว พอดีมือถือผมหายน่ะ”
   “โอ๊ย รู้ไหมว่าเจ๊เป็นห่วงขนาดไหน อยู่ๆ ก็ไปดูงานฮ่องกงไม่บอกกันล่วงหน้าเลย คิดว่าถูกลักพาตัวไปเสียอีก”
   ฟ่งหัวเราะแหะๆ นี่ถ้าผิงรู้ว่าเขาถูกลักพาตัวไปจริงๆ สงสัยจะกลายเป็นเรื่องวุ่นแน่ๆ
   “มันกะทันหันน่ะเจ๊ แต่ผมก็โทรบอกแล้วนะ ที่บ้านเป็นไงบ้าง”
   “ก็สบายดี ตกลงได้งานรึเปล่า ใครที่ไหนออกทุนให้ไปล่ะ”
   “อืม คนรู้จักของคนรู้จักน่ะ” ฟ่งตอบ และภาวนาให้พี่สาวไม่ถามอะไรมากมายไปกว่านี้ เพราะเขาคงจะโกหกเป็นน้ำไหลไฟดับแบบรูฟัสไม่ได้ “งานคงได้แหละ แต่เห็นว่าต้องรอพักหนึ่ง” หนุ่มสวมแว่นพูดต่อออกไป ได้ยินเสียงอีกฝั่งตอบกลับมา
   “จริงๆ ถ้าบอกก่อนก็ดีนะ มีของจะฝากซื้อเพียบเลย”
   ฟ่งหัวเราะแห้งๆ “เจ๊จะซื้ออะไรอีกล่ะ ผมว่าเต็มบ้านแล้วนะ”
   “โหย... เรื่องของผู้หญิงน่า” ผิงว่า และถามต่อ “แล้วเป็นไง สนุกมั้ย”
   “อือ สนุกอยู่” ฟ่งว่า และนึกแย้งอยู่ลึกๆ ว่าอันจริงแล้ว มันไม่เห็นจะสนุกตรงไหน แถมยังเจ็บตัวอีกด้วย
   “ได้ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์รึเปล่า?”
   “โธ่ ผมไปดูงานนะเจ๊” หนุ่มสวมแว่นคราง และพยายามเค้นสมองหาคำแก้ตัวที่ฟังดูเข้าท่าไว้เตรียมรับมือกับคำถามที่คงจะมีมาต่อเนื่อง พลางคิดว่าตัวเขาชักเริ่มโกหกเก่งขึ้นทุกที นี่เขาถูกรูฟัสแพร่เชื้อใส่รึเปล่านะ
   “แหม... ดูงานก็เหมือนเที่ยวไม่ใช่เหรอ ช่างเถอะ แล้วนี่เจ๊แวะไปหาได้มั้ย หรือว่าจะพักผ่อนก่อน?”
   “จะมาวันนี้เลยเหรอ?” ฟ่งถามด้วยความแปลกใจ เสียงปลายสายตอบกลับมา
   “เพิ่งกลับมารึเปล่าล่ะ งั้นพักผ่อนไปก่อนก็ได้ พักนี้เจ๊ว่างๆ อยู่น่ะ”
   “อ้อ อือ” ฟ่งพูดอย่างโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เพราะยังไม่แน่ใจว่าถ้าพี่สาวมาแล้วถามนั่นถามนี่ต่อ เขาจะโกหกไปได้สักกี่น้ำ
“ถ้าจะเข้ามาเจ๊โทรมาก่อนนะ เผื่อไม่อยู่” หนุ่มสวมแว่นกล่าวต่อ ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา
   “เออๆ ไงก็รีบไปซื้อมือถือใหม่ก่อนเลยไป ติดต่อไม่ได้ทุกคนเป็นห่วงนะ”
   ฟ่งหัวเราะแหะๆ ก่อนจะพูดตอบไป “ครับ งั้นผมวางหูก่อนนะ อีกสักวันสองวันอาจจะแวะไปหา”
   พูดจบก็วางโทรศัพท์ เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
แม่บ้านมาแล้วมั้ง ฟ่งคิด ขณะปาดนิ้วลงไปบนโต๊ะที่มีฝุ่นจับอยู่พอสมควร ก่อนจะเดินไปเปิดประตู แล้วก็ต้องเบิ่งตากว้างด้วยความแปลก
------------------------------------------
   วรุตอ้าปากหาวหวอด เขาเพิ่งตื่นนอน และกำลังคิดอยู่ว่าจะนั่งแกร่วสั่งอาหารเข้ามาทานในห้องดี หรือว่าออกไปข้างนอกดี เด็กหนุ่มมองนาฬิกา มันบอกเวลาบ่ายหนึ่งเศษๆ
   เขาย้ายมาอยู่ที่คอนโดนี้ได้สามวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววของอิทธิเดชหรือใครว่าจะตามมา และก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าห้อง1127ซึ่งอยู่ติดกันจะมีคนเข้าพักด้วย
เขานึกดีใจที่ห้อง1125ว่างพอดีในตอนที่เขามาติดต่อ ซึ่งทำให้เขาสามารถจับตามองการเคลื่อนไหวของห้อง1127ได้ง่ายขึ้น แต่ก็นั่นแหละ สงสัยว่าเขาจะตื่นเต้นไปหน่อย การมัวแต่ชะเง้อผ่านตาแมวเฝ้ามองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าประตู และออกไปทำทีเดินเล่น เพื่อดูแสงไฟจากห้องข้างๆ ทำให้เขาเกือบไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ในที่สุดวรุตก็คิดได้ว่าการแหกตาฝืนสังขารแบบนี้คงไม่ช่วยอะไรมาก อยู่ห้องติดกันขนาดนี้ ต่อให้ฝ่ายนั้นกลับมาตอนที่เขาหลับ เขาก็น่าจะมีโอกาสได้เจอก่อนลิ่วล้อของพ่อเขา  เพราะถ้าลิ่วล้อพ่อเจอสถาปนิกลึกลับคนนั้นก่อน ฝ่ายนั้นก็คงไม่ได้กลับมาที่ห้องหรอก ดังนั้นวรุตจึงหลับตาลงได้ และก็ตื่นสายโด่งในวันต่อมา
   เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจ ก่อนหน้านี้ราวๆ สักหนึ่งสัปดาห์ เขาใช้เวลาอยู่หลายวัน กว่าจะเลียบเคียงถามพนักงานประจำคอนโด ว่าห้องไหนบ้างที่เจ้าของห้องไม่อยู่เป็นเวลานานโดยไม่แจ้งให้ทราบ ในที่สุดเขาก็ได้รายชื่อมาสองห้อง ซึ่งอยู่ติดกันเสียด้วย แต่ห้องหนึ่งคนเช่าเป็นชาวต่างชาติ วรุตคิดว่าพ่อของเขาคงไม่จ้างชาวต่างชาติให้เขียนแบบแปลนพวกนี้ แล้วค่อยไล่ล่าตัวในตอนหลังแน่ เพราะดูจะเสี่ยงกับการเป็นปัญหาระหว่างประเทศจนเกินไป
   ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงมุ่งความสนใจมาที่ห้อง1127 ซึ่งเป็นห้องที่คนไทยเคยเช่าพักอยู่
   วรุตไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยเกี่ยวกับเจ้าของห้องนี้ รู้แต่เป็นผู้ชายตัวผอมๆ และค่อนข้างจะเก็บตัว เพิ่งย้ายเข้ามาได้ราวๆ เกือบสองเดือนก็หายตัวไปอย่างลึกลับ  นี่อาจจะเป็นคนที่เขาตามหาอยู่ก็ได้
   หลังจากบิดขี้เกียจอีกสองสามรอบ ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจว่าเขาจะลงไปหาอะไรกินด้านล่าง เพราะรู้สึกว่าตนเองนั่งจับเจ่าอยู่ในห้องนี้มาหลายวันแล้ว
 แต่ขณะกำลังจับลูกบิดเพื่อเปิดประตู เขาก็ได้ยินเสียงไขประตู วรุตรีบมองผ่านตาแมวออกไป พลางนึกในใจว่าอาจจะเป็นคนที่เช่าห้องอยู่อีกฟากหนึ่ง ซึ่งมักจะกลับมาที่ห้องพักตอนส่ายโด่งอย่างนี้ทุกวัน แต่แล้วหัวใจของเด็กหนุ่มก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เมื่อพบว่าไม่ใช่คนที่พักอยู่ห้องตรงข้าม
   วรุตแง้มประตูออกไปหน่อยหนึ่ง เพื่อสังเกตเหตุการณ์ให้ชัด แต่เพราะช่องมองที่แคบเขาจึงเห็นไม่ชัดนัก อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่าประตูของห้อง1127ถูกใครบางคนเปิดเข้าไปแล้ว
------------------------------------------
   “สวัสดีครับ”
   ฟ่งกวาดตามองเด็กหนุ่มที่มาเคาะประตูห้อง พลางนึกสงสัยว่าเดี๋ยวนี้พนักงานขายตรงแต่งตัวดีกันขนาดนี้เลย หรือว่าเด็กคนนี้แค่เคาะประตูผิด
   “คุณเป็นเจ้าของห้องนี้หรือครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามหลังจากนั้น ซึ่งยิ่งทำให้ฟ่งนึกแปลกใจหนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มสวมแว่นพยักหน้า แล้วถามกลับอย่างไม่ไว้ใจ
   “นายเป็นใคร?”
   “ผม เอ้อ..” คนถูกถามอึกอัก หลังจากนิ่งไปสองสามวินาที ถึงได้เงยหน้าขึ้นมาพูดต่อ
   “คุณเคยทำงานให้พ่อผมรึเปล่า หมายถึง.... เอ่อ.... คุณทวีศักดิ์น่ะครับ?”
   ฟ่งรู้สึกวาบขึ้นมาทันที ทวีศักดิ์  พ่อรึ? งั้นเด็กคนนี้เป็นลูกของคุณทวีศักดิ์หรือ?
   “ไม่รู้จักหรอก” หนุ่มสวมแว่นตัดสินใจตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาอย่างที่สุด และปิดประตูทันที แต่เด็กหนุ่มแปลกหน้ากลับยื่นมือมาขวางเอาไว้
   “เดี๋ยวสิ ผมมาดีนะครับ” เขารีบพูดเร็วปรื๋อ ขณะที่ฟ่งยั้งประตูเอาไว้เพราะกลัวว่าจะหนีบมือ เด็กหนุ่มพูดต่อ “ผมรู้ว่าพ่อผมตามเก็บคุณอยู่ ผมไปเห็นห้องที่คุณเขียนแบบมาแล้วนะ”
   “สร้างเสร็จแล้วเหรอ?” ฟ่งถามออกไปด้วยความแปลกใจระคนดีใจ และก็รู้สึกได้ว่าตัวเองทำพลาดไปเสียแล้ว เขาเห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเด็กหนุ่มแปลกหน้า
   “เป็นคุณจริงๆ ด้วยสินะครับ ขอผมเข้าไปคุยข้างในได้ไหม”
   “ไม่ได้” ฟ่งตอบเสียงเด็ดขาด และปิดประตูอีกครั้ง เด็กหนุ่มรีบเอามือมากั้นไว้อีก คราวนี้เลยกลายเป็นว่าฟ่งปิดประตูหนีบมือเขาเข้า
   “โอ๊ย!!” ผู้มาเยือนร้องลั่น ฟ่งง้างประตูให้เปิดออก ด้วยความตกใจ
   “เป็นอะไรมากรึเปล่า?” หนุ่มสวมแว่นถามอย่างเป็นห่วงขณะที่เด็กหนุ่มสะบัดมือ และขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด
   “คุณปิดประตูหนีบมือผม” เด็กหนุ่มร้องโอดครวญ ฟ่งมองหน้าอีกฝ่ายเลิ่กลั่ก ด้วยอาการของคนทำอะไรไม่ถูก
ท้ายที่สุดเขาก็ยอมให้เด็กแปลกหน้าเข้ามาในห้อง และรีบล็อกประตูทันที ด้วยกลัวว่าจะมีใครตามมาอีก
   “คุณเป็นสถาปนิกจริงๆ ด้วย” เด็กหนุ่มร้องอย่างดีใจ เมื่อเห็นโต๊ะไฟที่วางอยู่กลางห้อง และรีบเดินไปดูทันที
   “คุณเขียนแปลนห้องนั่นโดยใช้แค่โต๊ะตัวนี้น่ะเหรอ?”
   ฟ่งมองดูเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เขาบังเอิญเปิดประตูให้เข้ามาในห้องเพราะไม่รู้จะทำยังไง ด้วยความไม่ไว้ใจอย่างที่สุด
   “นายเป็นใคร?” หนุ่มสวมแว่นถามซ้ำอีกครั้ง เด็กหนุ่มแปลกหน้ารีบหันมาขอโทษขอโพยทันที
   “ขอโทษนะครับที่ถือวิสาสะแบบนี้ ผมชื่อวรุต วรุต วินทร์วีรยะ เรียกผมว่าวินก็ได้” เด็กหนุ่มแปลกหน้าแนะนำทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นเสร็จสรรพ ฟ่งขมวดคิ้ว นามสกุลนี่ฟังดูคุ้นหูพิกล เหมือนจะนามสกุลเดียวกับผู้ว่าจ้างเขาที่ชื่อทวีศักดิ์รึเปล่านะ แต่เอ..ตอนเซ็นสัญญาดูเขาจะให้อีกคนหนึ่งเซนนี่นา
   “มีธุระอะไรกับผม” ฟ่งถามเสียงห้วน พยายามมองหาอุปกรณ์ป้องกันตัว เผื่อว่ามีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น วรุตมองหน้าเขาแล้วยิ้มออกมา
   “ผมมาหาคุณเพราะเรื่องของคุณพ่อน่ะ”
   ฟ่งงเกือบจะบอกว่าเขาเจอมาแล้วทั้งสองคน  และก็สร้างความประทับใจกับเขาเอาไว้มากด้วย เขาพยายามขยับตัวไปใกล้เคาน์เตอร์ครัว กะว่าถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาจะหยิบหม้อไหจานชามออกมาขว้างใส่ทางนั้นก่อน จากนั้นค่อยคิดต่ออีกทีแล้วกัน
   “พ่อของนาย? เรื่องอะไรน่ะ?” ฟ่งพยายามใช้คำถามถ่วงเวลา ถึงเด็กหนุ่มคนนี้จะดูไม่มีทีท่าว่าจะมาเพื่อทำร้ายเขา แต่ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีอาจจะหลอกให้ตายใจก่อนก็ได้
   “เรื่องแปลนห้องที่พ่อผมจ้างให้คุณเขียนไงครับ” เขานิ่งไปพักหนึ่งและเลิกคิ้วเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ก่อนจะพูดต่อ
   “อ้อใช่ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ใช้ชื่อตัวเองเซนสัญญากับคุณก็ได้ เขาอาจจะใช้ชื่ออารัตน์ คุณรู้จักอารัตน์รึเปล่าล่ะ?”
   ฟ่งขยับมือไปที่ชั้นวางมีด กะว่าถ้ามีโอกาสจะรีบฉวยเอามาไว้ในมือทันที วรุตเบิ่งตามองเขา ก่อนจะหัวเราะ
   “ไม่ต้องระวังตัวกับผมขนาดนั้นหรอก ผมไม่ทำอะไรคุณแน่ รับรองได้”
   “ผมจะเชื่อได้ไง” ฟ่งว่า  และนึกด่าตัวเองในใจว่าปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาในห้องได้ยังไงนะ วรุตมองเขาอีกครั้ง
   “ผมเป็นลูกเขาก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องทำอะไรแย่ๆ เหมือนเขาหรอกนะ”
   ฟ่งมองหน้าเด็กหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาพักหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างยืนจ้องหน้ากัน สักพัก หนุ่มสวมแว่นก็พูดออกมา
   “แล้วมาหาผมทำไม? นายรู้เรื่องที่ผมทำอยู่หรือไง?”
   “ก็ไม่เชิงว่ารู้ละเอียดหรอกนะครับ” วรุตตอบ “ผมรู้แค่ว่ามีคนเขียนแปลนห้องลับให้พ่อผม แล้วก็พอจะรู้ว่าพ่อผมกำลังตามเก็บคนเขียนแปลนคนนั้นอยู่ ผมแค่ไม่อยากให้พ่อฆ่าคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่นะ”
   “นายเป็นลูกคุณทวีศักดิ์จริงๆ รึ?” ฟ่งถามอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจนัก “งั้นมาที่นี่ทำไม”
   “ผมมาช่วยคุณ” วรุตตอบออกไปและคิดว่ามันคงจะฟังดูตลกน่าดู
   “คุณอาจจะคิดว่าผมพูดเพ้อเจ้อ แต่ผมอยากช่วยคุณจริงๆ นะ ผมเห็นห้องที่คุณออกแบบแล้ว มันมหัศจรรย์มากๆ เลยล่ะ เพราะงั้นผมไม่อยากให้พ่อฆ่าคุณทิ้งแค่เพราะอยากจะปิดปาก”
   “งั้นนายควรจะไปขอร้องพ่อนายให้เลิกไล่ฆ่าผม แทนที่จะมาหาผมแบบนี้”
 ฟ่งว่า รู้สึกว่าเหตุผลที่วรุตพูดออกมานั้นฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
   คนถูกถามทำหน้าปั้นยาก “ถ้าพ่อยอมฟังผม ผมคงไม่ต้องตากหน้ามาหาคุณอย่างนี้หรอก” เด็กหนุ่มครางอย่างท้อใจ ฟ่งมองหน้าวรุตอีกครั้ง พลางคิดว่าเขาสมควรจะเชื่อเด็กคนนี้ดีหรือเปล่า
   “คุณไม่ต้องยืนเกร็งขนาดนั้นก็ได้นะ ถ้าผมอยากจะฆ่าคุณล่ะก็ ผมคงจัดการตั้งแต่ตอนคุณเปิดประตูให้ผมเข้ามาแล้วล่ะ” วรุตพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าฟ่งยังคงพยายามจะฉวยมีดที่เสียบอยู่ขึ้นมา ฟ่งชะงักกึก และหันมาเขม่นตามอง
   “ผมไม่ไว้ใจนายน่ะ” ชายหนุ่มสวมแว่นพูดออกมาตรงๆ วรุตมองหน้าเขาอึ้งๆ ก่อนจะผงกศีรษะ “งั้น คุณเอามีดมาถือไว้ก็ได้ เราจะได้คุยกันอย่างสะดวกใจหน่อย”
   คราวนี้ฟ่งชะงักตัวไปจริงๆ เขาขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจที่สุด หลังจากเงียบกันอยู่พักใหญ่ วรุตจึงเป็นฝ่ายพูดต่อ
   “คุณดูเด็กว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีกนะ ผมคิดว่าคนที่เขียนอะไรแบบนั้นออกมาคงจะอายุสักสามสิบสี่สิบ”
   “ผมเพิ่งอายุยี่สิบห้า” ฟ่งตอบ และรู้สึกขึ้นมาว่าที่เขาซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้เพราะเข้าวัยเบญจเพสรึเปล่านะ วรุตทำตาโต
   “โห... งั้นก็เพิ่งเรียนจบไม่กี่ปีน่ะสิครับ ผมอายุยี่สิบปีนี้ เป็นน้องคุณไม่กี่ปีเอง”
   ฟ่งไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือดีใจไปด้วย อย่างน้อยก็ตอนนี้ล่ะ เขาไม่หยิบมีด แต่ก็ไม่ไว้ใจคนตรงหน้าอยู่ดี
   “ผมว่าคุณกลับออกไปดีกว่า เพื่อความสบายใจของเราทั้งสองฝ่าย” หนุ่มสวมแว่นเปิดฉากเจรจาต่อ คนตรงหน้าสั่นศีรษะทันที
   “ไม่ได้หรอกครับ ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะมาอยู่กับคุณ”
   ฟ่งถลึงตามองวรุต และนึกอยากจะหยิบมีดขึ้นมาจริงๆ เจ้าเด็กบ้านี่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่เนี่ย
   “คุณนี่ท่าทางจะดุเอาเรื่องเหมือนกันแหะ งั้นที่ได้ยินว่าทะเลาะกันถึงขั้นลงไม้ลงมือกับอารัตน์ก็เรื่องจริงน่ะสิ”
   “นายอยู่ที่นั่นด้วยหรือไง?” ฟ่งถาม พลางนึกถึงตอนที่เขาอาละวาดจนถูกต่อยสลบ นายวรุตคนนี้ควรจะได้รู้ว่าทั้งพ่อและอาของเขาทำเรื่องงามหน้าเขาไว้มากขนาดไหน
   วรุตสั่นศีรษะ “เปล่า ผมได้ยินมาน่ะ ผมขอโทษแทนอารัตน์แล้วก็คุณพ่อด้วยนะ”
   ฟ่งพยักหน้าส่งๆ ก่อนจะพูดขึ้นอีก “เอาล่ะ นายออกไปได้แล้ว ก่อนที่ผมจะโทรเรียกตำรวจ”
   “โธ่... อย่าเพิ่งไล่ผมสิครับ ผมตั้งใจจะมาปกป้องคุณนะเนี่ย”
   ฟ่งขมวดคิ้วเข้าหากันอีก จ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้น “งั้นนายก็ควรจะรีบออกไป”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “ขอร้องเถอะนะครับ กว่าผมจะหาคุณเจอ ลำบากเหมือนกันนะ” วรุตพูดอย่างขอความเห็นใจ ฟ่งขมวดคิ้วอีก “นายสืบที่อยู่ผม?”
   “อือ ผมลงทุนมาเช่าห้องอยู่ข้างคุณเลยนะ ถามๆ เขาเอาน่ะ แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ลูกน้องพ่อผมยังไม่รู้แน่ว่าคุณกลับมาที่ห้องแล้ว เพราะงั้น ให้ผมอยู่ข้างๆ คุณเถอะนะ”
   ฟ่งนึกในใจว่าเขาจะซวยซ้ำซวยซากอะไรนักหนา ตอนแรกมีคนข้างห้องเป็นสายลับ จนถูกจับตัวไปฮ่องกง และต้องไปเร่ร่อนอยู่ที่ฮังการี พอกลับมาก็ดันมีคนข้างห้องเป็นเด็กที่อ้างตัวว่าเป็นลูกของคนที่ตามเก็บเขาเพิ่มขึ้นมาอีก ท่าทางคอนโดที่เขาเช่าอยู่จะมีอาถรรพ์   
   “ผมเคยมาเอาแปลนกับลูกน้องพ่อคนหนึ่งที่นี่น่ะ พอได้ยินว่าคุณหายตัวไป ก็เลยคิดว่าถ้ามาดักเจอคุณที่นี่น่าจะเจอตัว ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรไม่ดีเลยนะ” วรุตอธิบายต่อ แต่ฟ่งยังไม่เห็นว่ามันจะน่าเชื่อตรงไหน เขาถามออกไปอีก
   “แล้วนายจะช่วยอะไรผมได้”
   วรุตยืนอึ้งอยู่พักหนึ่ง แล้วหัวเราะเขินๆ “ผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันน่ะ แต่ถ้ามีใครมายิงคุณตอนนี้ ผมจะเอาตัวไปขวางไว้ก่อน”
   ฟ่งเกือบจะสำลักน้ำลาย เขาหันไปมองเด็กหนุ่มอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะพูดตอบ “นายบ้าเรอะ?”
   วรุตสั่นศีรษะ “คุณอาจจะคิดว่าผมบ้าก็ได้นะ แต่ผมจริงจังกับเรื่องนี้มาก ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรคุณเด็ดขาด โดยเฉพาะคนของพ่อผม”
   ฟ่งมองหน้าวรุต และรู้สึกอึ้งขึ้นมาบ้าง
   “ทำไมนายถึงต้องจริงจังกับเรื่องแบบนี้ ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อนนายสักหน่อย เห็นหน้าก็ยังไม่เคยเห็นกันเลย” ฟ่งตั้งคำถามต่อ ถึงจะยังไม่ค่อยเชื่อใจเด็กหนุ่มตรงหน้ามากนัก แต่แววตาจริงจังที่อีกฝ่ายมองตอบมา ก็ทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย ที่ไปหาว่าวรุตบ้า ถ้าเกิดสิ่งที่วรุตพูดออกมาเป็นความจริง การที่เขาพูดออกไปแบบนั้นก็คงจะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายมากเลยทีเดียว
   “มันเป็นความตั้งใจของผม” วรุตว่า และพูดต่อ “ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่คุณจะถูกฆ่า แค่เพื่อต้องการปิดเรื่องพวกนั้นให้เป็นความลับ แถมคนสั่งฆ่ายังเป็นพ่อผมอีก ผมน่ะห้ามพ่อไม่ได้หรอก ผมห้ามใครไม่ได้เลย แต่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ผมเลยคิดว่าถ้าเจอคุณก่อนอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง แต่จะช่วยคุณด้วยวิธีไหน ผมบอกตรงๆ ว่ายังคิดไม่ออกเลยล่ะ  ตอนนี้ก็ทำได้อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ถ้ามีใครมายิงคุณ ผมก็คงจะต้องเข้าไปขวาง”
   “โดนยิงเจ็บนะ” ฟ่งว่า ถึงไม่เคยถูกยิงจริงๆ แต่แค่ถูกต่อยถูกเตะก็เจ็บมากแล้ว
   “ผมรู้ แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ก็ผมมีแต่ตัวเปล่าๆ นี่” วรุตตอบด้วยสีหน้าจนปัญญาถึงที่สุด ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ รู้สึกแปลกๆ ที่จู่ๆ ก็มีเด็กที่ไม่รู้จักมาเสนอตัวปกป้องเขาขนาดนี้ ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   “สงสัยว่าแม่บ้านจะมาแล้วน่ะ” ฟ่งพูด พลางจับตาดูปฏิกิริยาของวรุตว่าจะตกใจหรือกลัวใครมาเห็นหรือเปล่า แต่เด็กหนุ่มกลับตอบเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
   “เดี๋ยวผมไปเปิดให้นะ เผื่อไม่ใช่แม่บ้านจริง คนถูกยิงก่อนจะได้เป็นผม”
   ฟ่งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ยังไม่ทันทีจะได้ห้ามอะไร วรุตก็เดินออกไปที่ประตูเสียก่อน เด็กหนุ่มมองลอดตาแมวออกไป แล้วหันมาพูดกับเขา   
   “ไม่ใช่แม่บ้านแหะ เพื่อนคุณรึเปล่า ฝรั่งคนผมดำๆ น่ะ”
   “อ้อ..” ฟ่งร้องออกมา และคิดว่าเดี๋ยวเขาอาจจะได้เจอกับเรื่องยุ่งยากจริงๆ ก็ได้
   “คุณออกมาก่อน เดี๋ยวผมเปิดเอง”
   “ผมว่าคุณมาดูก่อนดีกว่าว่าใช่เพื่อนคุณจริงรึเปล่า” วรุตพูดพลางทำหน้าจริงจัง ฟ่งเลยต้องเดินไปมองที่ตาแมวก่อน แล้วถึงได้พยักหน้า
   “เพื่อนผมเองแหละ คุณหลบไปก่อนนะ” หนุ่มสวมแว่นพูด และดันตัวเด็กหนุ่มให้พ้นประตู พลางคิดว่าถ้ารูฟัสพบว่าคนที่เปิดประตูเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักล่ะก็ คงกลายเป็นเรื่องอีกแน่ๆ
   หนุ่มสวมแว่นแง้มประตูออกครึ่งหนึ่ง โดยพยายามไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งมองเข้ามาในห้องได้มากนัก เพราะไม่แน่ใจว่าวรุตจะหลบออกไปได้ห่างแค่ไหน
   “ห้องเป็นไงบ้างครับ ฝุ่นเยอะไหม” รูฟัสเอ่ยทัก พลางรู้สึกแปลกใจที่ฟ่งแง้มประตูออกแค่นิดเดียว หรือว่าเกิดไม่ไว้ใจเขาอีก
   “พอสมควรน่ะ ผมตามแม่บ้านแล้ว เอ้อ..รูฟัส ผมคิดว่าผมกำลังเจอปัญหา” ฟ่งตัดสินใจว่าเขาควรจะปรึกษาเรื่องวรุตกับรูฟัส แต่ถ้าเกิดให้เข้าไปเลยบางทีรูฟัสอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ คงต้องคุยกันสักหน่อยก่อน
   รูฟัสเบิ่งนัยน์ตาสองสีของตนอย่างแปลกใจทันทีที่ได้ยิน “ทำไมหรือครับ มีคนมารื้อห้องคุณ? เจอแมลงสาบ หรือว่ามีหนูอยู่ล่ะครับ?”
   “ไม่ใช่ทั้งสามอย่างแหละครับ” ฟ่งตอบ พลางนึกละเหี่ยใจ เขาคงต้องอธิบายให้รูฟัสฟังก่อนจริงๆ นั่นแหละ
   “คือคุณจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าถ้ามีคนอื่นเห็นหน้าคุณ” ฟ่งถามต่อ ก่อนจะอธิบายอะไร เขาควรจะถามเรื่องพวกนี้ให้แน่ใจก่อน เพราะจะให้วรุตเห็นหน้ารูฟัสสุ่มสี่สุ่มห้าก็คงไม่ดี
   “ไม่เห็นเป็นไรนี่ ผมเดินไปไหนมาไหนด้วยหน้าแบบนี้อยู่แล้ว” หนุ่มตาสองสีตอบ ฟ่งพยักหน้า และพูดต่อ “เหรอ งั้นคุณช่วยเข้ามาในห้องผมหน่อยสิ ผมว่าผมกำลังเจอปัญหาล่ะ”
   รูฟัสทำหน้าสงสัย ถึงกระนั้นก็เดินเข้ามาอย่างเต็มใจจะช่วยเต็มที่ แต่พอเห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้อง ร่างสูงใหญ่ก็ชะงักตัวทันที
   “ฟ่ง! เขาเข้ามาอยู่ในนี้ได้ยังไง?!” รูฟัสหันไปถามฟ่งเสียงเข้ม หนุ่มสวมแว่นมองหน้าคนถาม แล้วตอบกลับ “อือ นี่แหละปัญหาที่ผมจะปรึกษาคุณ เขาน่ะ...”
   “เขาปีนเข้ามาในห้องคุณ?” รูฟัสตอบแทนให้เสร็จ และหันไปมองวรุตเหมือนจะฆ่าจะแกง ฟ่งเลยต้องรีบดึงเสื้อของอีกฝ่ายไว้
   “เปล่า ผมเปิดประตูให้เขาเข้ามาเองน่ะ แต่คุณไม่ต้องหึงหรอกนะ ผมไม่รู้จักเขา แล้วเขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรผมด้วย”
   รูฟัสมองหน้าฟ่ง แล้วครางออกมา “ไม่ใช่ผมหึง โธ่... คุณไม่รู้จักแล้วเปิดให้เข้ามาทำไม”
   “ก็ผมทำประตูหนีบมือเขา ทำไมคุณถึงต้องทำหน้าเหมือนผมทำอะไรผิดมากขนาดนั้นด้วย” ฟ่งว่า พลางขมวดคิ้วอย่างค่อนข้างจะหงุดหงิด ตอนอยู่บนเครื่องบินรูฟัสก็พูดว่าจะจ้างให้เขาอยู่เฉยๆ เดือนละล้าน พอตอนนี้ก็มาทำหน้าแบบนี้ใส่เขาอีก คนที่ก่อเรื่องยุ่งยากน่ะไม่ใช่เขาเสียหน่อย แต่เป็นคนตรงหน้าเขาต่างหากเล่า
รูฟัสมองหน้าฟ่งอย่างอ่อนอกอ่อนใจ และคิดว่าถ้าทำได้ เขาก็อยากจะล็อกกุญแจมือ หรือทำอะไรสักอย่างให้ฟ่งอยู่นิ่งๆ ไปเสียเลย
   “คุณไม่ได้ทำผิดอะไรหรอกครับ แต่คุณไม่ควรเปิดประตูให้คนที่ไม่รู้จักเข้ามาแบบนี้ มันอันตรายนะครับ”
   “เขายังไม่ได้ทำอะไรผมเลยนะ” ฟ่งเถียง ได้ยินเสียงรูฟัสครางฮือ “โธ่ คุณไว้ใจคนง่ายเกินไปแล้ว ไอ้เด็กนี่น่ะ....”
   ยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงวรุตถามสวนขึ้นมา “โห...เพื่อนคุณพูดภาษาไทยคล่องจัง แล้วเขารู้จักผมด้วยเหรอ?” เด็กหนุ่มพูดอย่างตื่นเต้น เขาทึ่งกับการออกเสียงภาษาไทยของรูฟัสมากกว่าจะสนใจว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกันเสียอีก
   “เธอมาที่นี่ได้ยังไง” รูฟัสหันมาเอ่ยถามด้วยสีหน้าถมึงทึง วรุตมองเขาอย่างแปลกใจทันที
“ทำไมคุณจะต้องทำหน้าน่ากลัวขนาดนั้น ผมไปทำอะไรให้คุณหรือไง ผมยังไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อนเลยนะ”
   “คุณรู้จักเขาเหรอ?” ฟ่งถามขึ้นบ้าง รูฟัสหันมาพยักหน้า
   “นี่มันลูกของคนที่สั่งเก็บคุณนะครับ” หนุ่มตาสองสีบอก แต่แทนที่เขาจะได้เห็นสีหน้าตกใจของฟ่ง เขากลับได้เห็นสีหน้าประหลาดใจระคนดีใจแทน
   “จริงเหรอ? งั้นก็แปลว่าเขาพูดเรื่องจริงนะสิ” ฟ่งร้อง และหันกลับไปมองวรุตอย่างไม่เชื่อ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้โกหกคุณหรอก ว่าแต่คุณคนต่างชาติคนนี้เป็นใครเป็นใครน่ะ ทำไมรู้จักผมด้วยล่ะ แถมรู้ด้วยว่าพ่อผมสั่งเก็บคุณ”
   คราวนี้รูฟัสเป็นฝ่ายอ้ำๆ อึ้งๆ ขึ้นเสียเอง สรุปแล้วกลายเป็นว่าเขาเปิดเผยตัวออกไปก่อนหรือนี่
   “เอาล่ะ” หนุ่มตาสองสีเริ่มพูดอีกครั้ง หลังจากล็อกประตูเรียบร้อยแล้ว เขาหันมาจ้องวรุตอย่างจริงๆ จังๆ “ฉันไม่มีหน้าที่ต้องตอบคำถามของเธอ ถ้าไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายล่ะก็ เธอต้องตอบคำถามฉัน ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
   “ผมมาหาคุณคนนี้” วรุตตอบและชี้ไปทางฟ่ง รูฟัสหันมามองคนถูกชี้ “ไหนว่าคุณไม่รู้จักเขาไงครับ”
   ฟ่งสั่นศีรษะ “ก็ไม่รู้จักน่ะสิ ชื่อผมเขายังไม่รู้จักเลย คุณได้ยินเขาเรียกชื่อผมสักคำรึยังล่ะ?”
   รูฟัสหันกลับมามองวรุตอีกครั้ง จ้องเข้าไปในดวงตาสีดำที่ดูจะยังไม่เคยผ่านอะไรมามากคู่นั้น
   “เธอมาหาคนที่ยังไม่รู้จักชื่อ?”
   “อือ” วรุตพยักหน้า “ผมไม่รู้จักเขาหรอก รู้แต่เขาเขียนแปลนให้พ่อผม ผมเลยอยากเจอเขาน่ะ”
   รูฟัสหลับตาลงอย่างอดทนอดกลั้น “เรื่องเห็นแค่แผ่นกระดาษแล้วอยากเจอคนเขียนนี่เอามาอ้างไม่ได้หรอกนะ คงไม่ตอบฉันนะว่าเธอหลงรักเขาจากเส้นยุ่งๆ พวกนั้นน่ะ” หนุ่มตาค่อนแคะ ฟ่งขมวดคิ้วยุ่ง ทำไมเจ้าหมอนี่ต้องไปคิดว่าคนอื่นมาหลงรักเขา แถมยังเป็นเด็กผู้ชายอีก ที่สำคัญยังพูดถึงแปลนเขาว่าเป็นเส้นยุ่งๆ ด้วย ที่แท้ก็แอบโมโหเขาอยู่เหมือนกันสินะ
   “โห... คุณน่ะยังไม่เคยเห็นห้องที่เขาเขียนแบบล่ะสิ ผมได้เห็นมาแล้วล่ะ ห้องพวกนั้นมหัศจรรย์มากเลยนะ ผมนิ่งดูดาย ปล่อยให้คนเก่งๆ อย่างเขาถูกพ่อผมสั่งเก็บไม่ได้หรอก”
   “อย่างนั้นเธอก็ควรจะบอกพ่อของเธอ ไม่ใช่บุกเข้ามาห้องเขาแบบนี้” รูฟัสพูดอย่างมีอารมณ์ วรุตทำหน้ายุ่ง เป็นหนที่สองของวันนี้แล้วที่มีคนพูดกับเขาแบบนี้
   “ถ้าผมห้ามพ่อผมได้ ผมคงไม่ต้องถ่อมาถึงที่นี่หรอก”
   “เหอะ!” รูฟัสแค่นเสียงและเดินเข้าไปใกล้วรุตอย่างคุกคาม “บอกมานะว่าเธอต้องการอะไรจากเขากันแน่ เห็นเขาซื่อๆ คิดจะหลอกให้ตายใจก่อนงั้นสิ ฝันไปเถอะ แค่เข้าห้องเขาได้โดยบังเอิญอย่าหวังว่าเขาจะยอมเธอง่ายๆ นะ”
   ฟ่งชักรู้สึกว่ารูฟัสพูดแปลกๆ เลยพูดแทรกขึ้นบ้าง “ผมเปิดประตูให้เขาเข้ามาเองน่ะ เพราะว่าทำประตูหนีบมือเขา เขาไม่ได้อยากทำอะไรผมหรอก”
   “คุณทำประตูหนีบมือเขา ก็แปลว่าเจ้าเด็กนี่จะงัดประตูเข้ามาในห้องคุณน่ะสิ” รูฟัสหันมาย้อนทันที ฟ่งอ้าปากทำท่าจะเถียง แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะเถียงยังไง เลยยิ่งทำให้รูฟัสไม่พอใจหนักขึ้น เขาหันไปเค้นถามจากวรุตต่อ
   “พูดมาซะดีๆ ว่าเธอบุกเข้ามาในห้องนี้ทำไม ถ้าแค่อยากเจอน่ะ เดินผ่านเอาก็ได้”
   วรุตทำหน้ายุ่ง พลางรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูจะยิ่งระแวงเขาหนักว่าฟ่งเสียอีก แถมยังมีท่าทางคุกคามอย่างเห็นได้ชัด คงไม่ใช่คนทำอาชีพสุจริตแน่ๆ
   ฟ่งจึงต้องเงียบปากไป  ยิ่งทำให้รูฟัสอารมณ์ไม่ดีหนักขึ้น
   “ผมอยากคุยด้วยนี่” เด็กหนุ่มตอบด้วยสีหน้าจริงจัง แถมเงยหน้าขึ้นสบตาอย่างไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ฟ่งภาวนาขอให้รูฟัสอย่าจินตนาการอะไรบ้าๆ บอๆ จากคำพูดของวรุต เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะซวยที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเขาอีกนั่นแหละ
   “เธอจะอยากคุยกับเขาไปทำไม” รูฟัสถามต่อ ด้วยน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด คนถูกถามขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
   “ทำไมคุณจะต้องอารมณ์เสียใส่ผมด้วย ผมอาจจะไม่น่าไว้ใจเพราะเป็นลูกชายทวีศักดิ์ แต่ผมไม่ได้ทำอะไรไม่ดีนี่ครับ ก็แค่อยากจะคุยด้วย ผมอยากรู้จักคนที่เขียนแบบแปลนมหัศจรรย์อย่างนั้นออกมาได้ ผมทำผิดตรงไหนกัน”
   รูฟัสขมวดคิ้วบ้าง เขามองหน้าวรุตอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะหันมองฟ่งที่ยืนดูอยู่ และเริ่มคิดว่าน่าจะเอาคนคนนี้ไปเก็บไว้ในตู้เซฟ นี่ขนาดไม่ได้เอาตัวไปโชว์ที่ไหนยังมีคนตามมาถึงห้อง  ขืนปล่อยให้ไปทำอะไรที่ไหนอีก มีหวังได้มีคนแห่มากันเป็นพรวนแน่
   “งั้นก็กลับไปได้แล้ว ได้คุยสมใจแล้วนี่” รูฟัสเอ่ยปากไล่ทันที เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ
   “ผมยังกลับไม่ได้หรอก ผมต้องอยู่ปกป้องเขา”
   “?” รูฟัสขมวดคิ้ว พลางมองหน้าวรุตอีกครั้ง ด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
   “ทำไมเธอจะต้องอยู่ปกป้องเขา ในเมื่อเธอไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ” วรุตคิดว่าเขาเพิ่งตอบคำถามนี้ไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
   “เพราะมันเป็นความตั้งใจของผม” เขาตอบ และเพิ่งระลึกรู้ตัวว่าการอธิบายความตั้งใจของเขาให้คนอื่นเข้าใจมันยากเย็นแค่ไหน แต่กรณีรูฟัส วรุตคงยังไม่รู้ว่าหมอนี่ได้เข้าใจไปในทิศทางอื่นเรียบร้อยแล้ว
   “ฉันไม่ชอบรังแกเด็ก ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ออกไปซะดีๆ อย่าต้องให้ใช้วิธีรุนแรง” รูฟัสกล่าว ฟ่งขมวดคิ้วมุ่นทั่งทีที่ได้ยิน ส่วนวรุตมองมาอย่างไม่เข้าใจ
   “ผมไม่ได้มาทำร้ายเขานะครับ ผมแค่อยากปกป้อง คุณไม่เห็นจะต้องไล่ผมขนาดนี้”
   “งั้นฉันคงต้องลากตัวเธอออกไป” รูฟัสว่าและทำท่าจะทำอย่างที่พูดจริงๆ ฟ่งจึงรีบเดินมาห้าม
   “เดี๋ยวสิ ผมไม่เห็นว่าจะต้องทำกันขนาดนี้เลย คุยกันให้รู้เรื่องก่อนก็ได้”
   “รู้เรื่องแล้วครับ” รูฟัสตอบด้วยสีหน้าถมึงทึง ฟ่งเริ่มคิดว่าเขาแก้ปัญหาผิดวิธี การลากรูฟัสเข้ามาช่วย เหมือนจะทำให้เรื่องยิ่งบานปลาย
   “ฉันว่าเธอควรจะกลับไปกกเด็กหน้าสวยคนนั้นดีกว่ามั้ย?” หนุ่มตาสองสีหันกลับมาย้อนเด็กหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งอยู่อีกครั้ง วรุตเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจทันที
   “รู้จักพี่เดชด้วยหรอ คุณเป็นใครเนี่ย?” วรุตถามมาอย่างสงสัย รูฟัสยักไหล่
   “ฉันรู้มากกว่าที่เธอคิดก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น อย่ามายุ่งกับผู้ชายคนนี้ดีกว่า”
   ฟ่งคิดว่ารูฟัสกำลังหึงจนพูดไม่รู้เรื่องไปแล้ว
“นี่รูฟัส เขาไมได้ทำอะไรผมนะ” หนุ่มสวมแว่นพยายามอธิบาย แต่ก็ถูกสวนกลับมาอย่างรวดเร็ว
   “บุกเข้ามาในห้องคนอื่นแบบนี้ จะให้ไว้ใจไม่ได้หรอกครับ อีกอย่าง ผมไม่อยากให้ใครมาอยู่กับคุณแค่สองต่อสองแบบนี้” รูฟัสว่า วรุตขมวดคิ้ว ก่อนจะถามออกมาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
   “เดี๋ยวก่อน นี่คุณสองคน เอ่อ... เป็นแฟนกันเหรอ?”
   รูฟัสมองหน้าวรุต และทำหน้าประหนึ่งได้ยินคำถามที่ไม่น่าถามที่สุด
“อืม” หนุ่มตาสองสีส่งเสียงในลำคอพลางพยักหน้า ฟ่งมองหน้าเขาและทำหน้าแบบคนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก วรุตมองหน้าสองคนสลับไปมา ก่อนจะหัวเราะก๊าก
“ผมเข้าใจล่ะ ถึงว่าทำไมคุณดูโมโหผมนัก แต่วางใจเถอะครับ ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ไม่ทำอะไรยุ่มย่ามกับแฟนคุณหรอก”
   “งั้นก็กลับไปได้แล้ว” รูฟัสว่า และเข้าไปลากตัววรุต ฟ่งร้องขึ้นอย่างขัดใจ
   “รูฟัส!!”
   รูฟัสหันกลับมามอง แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง หนุ่มสวมแว่นขยับตัว เขาภาวนาขอให้รอบนี้เป็นแม่บ้านจริงๆ ไม่ใช่ใครที่น่าจะก่อปัญหาอีก
   แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันเดินไปที่ประตู ทั้งสองคนที่ทำท่าจะทะเลาะกันอยู่เมื่อครู่ก็พูดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน “ผมไปเปิดเอง”
   จากนั้นทั้งรูฟัสและวรุตก็แข่งกันจ้ำอ้าวไปที่หน้าประตูห้อง ราวกับจะวิ่งแข่ง ฟ่งถอนหายใจยาว ด้วยความเหนื่อยใจ
   ตกลงเขาหาเรื่องยุ่ง หรือเรื่องยุ่งๆ วิ่งมาหาเขากันล่ะนี่
-----------------------------------
   โชคดีที่คราวนี้แม่บ้านมาถึงจริงๆ ดังนั้นสามหนุ่มจึงต้องออกมานอกห้อง เพื่อให้แม่บ้านจัดการทำความสะอาด ทำให้รูฟัสกับวรุตหยุดมีปากเสียงกันชั่วคราว
   “ไปคุยกันต่อที่ห้องผมไหม?” วรุตเอ่ยปากถามขึ้น ฟ่งหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ
   “รอแม่บ้านทำความสะอาดเสร็จก่อนก็ได้ ผมยังไม่รู้เลยว่านายพักอยู่ที่ไหน”

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “ผมอยู่ห้องข้างๆ คุณเนี่ย” วรุตตอบ พลางชื้อมือไปยังห้อง1125  ฟ่งมองตามอย่างงงๆ  ขณะที่รูฟัสขมวดคิ้วมองวรุตอย่างเอาเรื่องเอาราว
   “อืม..” ฟ่งส่งเสียงในคออย่างใช้ความคิด “เอางั้นก็ได้” ชายหนุ่มตอบตกลง วรุตยิ้มกว่า ขณะที่รูฟัสร่ำๆ เหมือนจะแยกเขี้ยวเข้าไปทุกที
   “ฟ่งครับ จะไปจริงๆ หรือ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขา
   “อือ ก็ห้องอยู่ติดกันเองนี่ จะยืนคุยตรงนี้ก็คงไม่สะดวกใช่ไหมล่ะ”
   หนุ่มตาสองสีมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด “งั้นเดี๋ยวผมไปบอกราฟี่ ไม่สิ คุณช่วยไปบอกราฟี่หน่อยแล้วกันว่าเราไปคุยกันห้องนี้ ตกลงนะครับ”
   “ทำไมต้องผมล่ะ” ฟ่งถามอย่างงงๆ รูฟัสจับไหล่เขาแล้วพูดตอบ “ไปเถอะครับ แป๊บเดียวเอง รับรองว่าผมไม่ทำอะไรเขาหรอก”
   “ก็ได้” ฟ่งตอบ แม้จะนึกสงสัยอยู่ แต่รูฟัสคงมีเหตุผลอะไรนั่นแหละ
   หลังจากหนุ่มสวมแว่นเดินออกไปแล้ว รูฟัสจึงหันกลับมาหาวรุต   
   “ไม่ไว้ใจผมหรือไง?” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถาม คนถูกถามยักไหล่ ก่อนจะเดินไปที่ห้อง1125
   “ถ้าห้องเธอจริงก็เปิดสิ ท่าทางเราจะมีเรื่องต้องคุยกันยาว”
   วรุตที่เดินตามมามองหน้าเขาอย่างแปลกใจระคนสงสัย ก่อนจะไขประตูห้องและผลักเข้าไป
   “คุณเป็นใครกันแน่” เด็กหนุ่มถามขึ้นอีก หลังจากที่เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว รูฟัสกวาดตามองรอบห้องแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาตอบ
   “จะอยากรู้ไปทำไม?”
เด็กหนุ่มมองหน้าเขา ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟา “ก็คุณดูจะรู้เรื่องอะไรมากเหลือเกิน  เป็นสายลับหรือไง?”
   หนุ่มตาสองสีแค่นหัวเราะ เขาไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับไปอีก
   “แล้วเธอล่ะ ทำไมถึงรู้ว่าฟ่งอยู่ที่นี่ สนใจอะไรเขานักหนา”
   “อ้อ... เขาชื่อฟ่งเหรอ ผมจะจำไว้” วรุตทวนคำ ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรืออะไร แต่รูฟัสดูมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก
   “ผมชื่นชมฝีมือเขาน่ะ แต่พูดกับคุณไปก็คงไม่มีประโยชน์ ก็คุณตั้งท่าจะไม่เชื่อผมตั้งแต่เริ่มอ้าปากแล้วนี่” วรุตค่อนแคะ หนุ่มตาสองสีเขม่นมองเขา
   “ถ้าฉันเชื่อเธอ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร”
   “เออ...” เด็กหนุ่มครางอย่างคนเพิ่งจะนึกได้ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
   “นั่นสินะ เชื่อผมแล้วคุณจะได้ประโยชน์อะไร เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดมาก่อนเลยล่ะ พูดจริงๆ นะ ผมไม่รู้ว่าฟ่งจะมีคนดูแลแบบคุณ ถ้ารู้ผมคงไม่ถ่อมา ผมคิดว่าเขากำลังลำบาก ผมแค่อยากช่วย”
   “ทำไมเธอถึงอยากช่วยเขานัก ในเมื่อเขาไม่ได้รู้จักอะไรกับเธอเลย” รูฟัสถามต่อ วรุตพยักหน้า
   “อือ ผมไม่ได้รู้จักจริงๆ แต่ผมเคยเห็นงานของเขา คุณไม่เสียดายเลยหรือ ถ้าจะต้องฆ่าคนมีฝีมือแบบนี้ แค่เพราะอยากจะปิดความลับเอาไว้ ผมเสียดายนะ ผมไม่อยากให้เขาตาย ที่สำคัญ คนที่จะฆ่าเขาดันเป็นพ่อผมด้วยน่ะ”
   “ถ้าพูดเรื่องจริงนะ เธอคงเป็นคนที่ดีจนน่าตกใจเลยล่ะ” รูฟัสว่า วรุตหัวเราะอีกรอบ
   “ผมไม่ได้ดีเด่อะไรหรอก ผมก็แค่เด็กเอาแต่ใจคนหนึ่งเท่านั้นแหละ ผมไม่ชอบวีธีของพ่อ แต่ผมก็ห้ามเขาไม่ได้ ผมไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายที่ผมคิดได้อย่างที่คุณเห็นนี่แหละ”
   “เธอตามเขามานานเท่าไหร่แล้ว?” รูฟัสถามต่อ ไม่รู้ว่าในใจของชายหนุ่มชาวต่างชาติคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่ วรุตไม่อยากใส่ใจ เขาตัดสินใจเล่าในสิ่งที่เขาทำ
   “ตั้งแต่รู้ว่าคุณพ่อสั่งคนให้ตามฆ่าเขาแล้วหาไม่เจอ ผมพยายามหาเขา พอดีผมเคยมาเอางานของเขาที่นี่น่ะ ก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นที่ที่เขาพักอยู่ แล้วก็เลยได้รู้ว่าเขาหายตัวไป”
วรุตหยุดครู่หนึ่ง พลางมองหน้ารูฟัสที่ทำท่าเหมือนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“ผมน่ะเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้สามวัน เพื่อมารอพบเขานั่นแหละ คิดว่าถ้ามารออยู่ที่นี่ ผมอาจจะได้เจอเขาก่อนคนของพ่อผมก็ได้ ผมเฝ้าดูอยู่ตลอดเลยนะ เผื่อว่าจะได้เห็นคนที่มาไขห้องข้างๆ ตลกไหมล่ะ ผมน่ะพยายามอดหลับอดนอน เพื่อคนที่ไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยเห็นหน้าเลย บางทีผมก็คิดนะ ว่านี่ผมบ้าไปแล้วรึเปล่า แต่ถ้าผมไม่ทำอะไรเลย ก็คงเหมือนผมดูดายปล่อยให้เขาตายไปทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้อยู่แล้วน่ะ”
รูฟัสมองหน้าวรุตอยู่พักใหญ่ หลังจากเด็กหนุ่มพูดจบแล้ว หลังจากนั้นก็พูดออกมา
   “บอกตรงๆ นะ ว่าเรื่องที่เธอเล่ามันไม่น่าเชื่อสักนิดเลยล่ะ” ชายหนุ่มตาสองสีสรุปในที่สุด เพราะไม่ว่าดูยังไง เขาก็ไว้ใจเด็กคนนี้ได้ยากอยู่ดี
ทำไมทวีศักดิ์ถึงต้องส่งลูกชายมาที่นี่นะ
สิ่งที่รูฟัสรู้มาคือ วรุตเป็นลูกโทนซึ่งทวีศักดิ์หวงมาก จู่ๆ มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ มันดูน่าสงสัยเกินไป และเรื่องที่เด็กคนนี้เล่าก็แทบจะหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือไม่ได้ ถึงจะเล่าด้วยดวงตาใสซื่อจริงใจขนาดนี้ก็เถอะ เขาผ่านอะไรมามาก กับเรื่องแบบนี้เขาไม่อยากให้ฟ่งต้องเสี่ยงอีก
   วรุตมองหน้ารูฟัส และหัวเราะขืนๆ ออกมาในที่สุด
   “ผมรู้ว่ามันเชื่อยาก แต่ผมไม่ได้อยากให้คุณหรือใครเชื่อผมหรอกนะ ผมแค่อยากจะทำสิ่งที่ผมต้องการให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง”
   “แล้วเธออยากจะทำอะไรกันแน่ล่ะ” รูฟัสย้อนถาม วรุตตอบคำถามนั้นทันที
   “ปกป้องฟ่ง ผมจะไปต่อเมื่อแน่ใจว่าเขาปลอดภัยจากเงื้อมมือของพ่อผมแล้ว”
   “งั้นเธอก็ไปได้ เพราะยังไงฟ่งก็จะปลอดภัยในสายตาฉัน” รูฟัสว่า พลางตวัดสายตามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างระอาเต็มที วรุตเลิกคิ้ว
   “ผมจะไปไว้ใจคุณได้ไง” เด็กหนุ่มพูดประโยคที่ทำให้คิ้วของรูฟัสขมวดเข้าหากันอีก หลังจากนั้นเขาก็มองผู้ชายตรงหน้าขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะพูดต่อ 
   “คุณไม่ไว้ใจผม แล้วผมจะไปไว้ใจคุณทำไมกันล่ะ นี่เป็นความตั้งใจของผมนะ ผมไม่ยอมให้คนอื่นเอาไปทำพังหรอก”
   “แล้วเธอจะเอายังไง” รูฟัสถามอย่างใช้ความอดทนที่สุด เขาภาวนาให้ไม่ตบกะโหลกเจ้าเด็กบ้านี่ มีแค่รัสเลอร์ตามมาก็น่าปวดหัวพออยู่แล้ว ยังจะมีเจ้าเด็กที่ไม่น่าไว้ใจนี่อีก รูฟัสกลัวว่าฟ่งอาจจะเผลอตัวให้เจ้าเด็กนี่ก็ได้ ก็ฟ่งไม่เคยระวังอะไรเลยนี่ แถมใจดีเสียไม่มี พอเขาไม่อยู่ด้วยก็เปิดประตูห้องให้คนแปลกหน้าเข้ามาเฉยๆ แบบนี้จะปล่อยทิ้งเอาไว้ได้ยังไงกัน
   “ผมจะทำตามวิธีของผม อย่ากังวลเลยนะ ผมจะไม่ทำอะไรแฟนคุณหรอก ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แล้วผมก็จะไม่ทำอะไรให้เขาตกอยู่ในอันตรายด้วย” วรุตว่า พยายามทำหน้าให้ดูจริงจังที่สุด เพราะท่าทางคนตรงหน้าไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดแน่นอน
   “แต่ฉันไม่อยากให้เธอ...” รูฟัสพูดค้าง เพราะเสียงเปิดประตูที่ดังแทรกขึ้น และเสียงของใครบางคนที่พูดตัดอากาศเข้ามา
   “ขอบคุณพระเจ้า!” ราฟาแอลโผล่พรวดเข้ามาในห้อง พร้อมกับอุทานด้วยความดีใจ รูฟัสขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดกับประโยคที่เพื่อนร่วมงานอุทานออกมา
   “พูดอะไรของคุณน่ะ ราฟี่ เดี๋ยวนี้หันมานับถือพระเจ้าแล้วหรือไง”
   “เปล่า” หนุ่มผมสีบล็อนด์ตอบ พลางก้าวอาดๆ เข้ามา
   “ฉันกำลังนึกดีใจ ที่แกยังไม่เตะเจ้าเด็กนี่ออกไป ฟ่งเล่าให้ฉันฟังแล้ว ตกลงเด็กนี่เป็นลูกชายของทวีศักดิ์จริงๆ ใช่ไหม?”
   รูฟัสพยักหน้า ในขณะที่วรุตคิดว่าเขากำลังได้ยินภาษาต่างประเทศที่ต่างออกไปจากภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาเยอรมันด้วย แต่ที่แน่ๆ มีท่อนหนึ่งเป็นชื่อของพ่อเขา
   “งั้นดี ฉันอยากให้แกจับตาดูเด็กคนนี้ไว้ เขาต้องเป็นประโยชน์กับงานของเราแน่ๆ ”
   รูฟัสทำหน้าเหมือนเห็นสัตว์ประหลาดเดินเข้ามาในห้อง “คุณจะเก็บเขาไว้ทำไมน่ะ อันตรายจะตายชัก”
   “อันตรายตรงไหน?” ราฟาแอลขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะพูดต่อ
   “แกเป็นอะไรว่ะรูฟัส นั่งเครื่องบินมากสมองตายหรือไง ถ้านี่เป็นลูกชายเขาจริง มันจะยิ่งอันตรายกับเขาน่ะสิ ไม่ใช่เรา นี่ถือว่าเรามีตัวประกันชั้นดีเลยนะ”
   “นี่คุณคงไม่คิดจะใช้แผนตัวประกันหรอกนะ..” รูฟัสเอ่ย พลางมองหน้าเพื่อนร่วมงานอย่างไม่ไว้ใจ ราฟาแอลหัวเราะหึๆ
   “ความจริงก็ไม่ได้คิดจะเอามาทำจริงจังหรอก แต่เก็บเอาไว้เป็นแผนสำรองก็ดีไม่ใช่เหรอ อีกอย่าง ได้ข่าวว่าเจ้าเด็กนี่ไปเห็นห้องที่ว่านั่นมาแล้ว บางทีเราอาจจะใช้เขาเป็นคู่มือผ่านประตูได้ก็ได้”
   “คุณจะไว้ใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่พาเราไปติดกับ” รูฟัสถาม ราฟาแอลยักไหล่
   “ทำไมนายทำให้เรื่องมันดูยากนะ ก็บอกแล้วว่าถ้าเขาเป็นลูกชายทวีศักดิ์จริงๆ เราก็ได้เปรียบ ถ้าเกิดถูกพาไปที่บ้าๆ ก็ใช้แผนตัวประกันได้เลย”
   หนุ่มตาสองสียกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “ผมอาจจะคิดมากไป คือผมไม่ไว้ใจเขา”
   “ใครว่าฉันไว้ใจล่ะ แต่เขาเป็นลูกชายทวีศักดิ์ นั่นแหละที่สำคัญ”
พูดจบก็หันไปทางวรุต แล้วตะโกนออกไป ”Hey! Can ya speak English?”
   วรุตขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินประโยคเอ่ยทัก เขาคิวด่าผู้ชายคนนี้ไม่มีความเกรงใจเขาเลยสักนิด ดูจากลักษณะคำพูดที่กล่าวออกมา ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็พยักหน้าตอบไป   
   “ดี ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอนิดหน่อย” ราฟาแอลพูด และเดินเข้ามายืนตรงหน้าวรุต รูฟัสทำท่าจะอ้าปากพูดอะไร แต่กลับโดนพูดแทรกขึ้นเสียก่อน
   “นี่ ถ้าแกว่างมากนะ แกควรจะไปเช็กดูว่ามีใครตามเด็กคนนี้มาบ้างรึเปล่า ฉันว่ามันคงจะมีประโยชน์มากกว่านั่งบื้อกันอยู่แบบนี้”
   หนุ่มตาสองสีย่นคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ยอมเดินออกไปด้านนอกห้องแต่โดยดี ถึงกระนั้นก็ไม่วายมองกลับมาหาเพื่อนร่วมงานด้วยสายตาตั้งคำถาม
   “ถ้าแฟนนายน่ะ ไปดูแม่บ้านทำความสะอาดอยู่” ราฟาแอลพูดอย่างรู้ทัน รูฟัสถอนหายใจอย่างโล่งอก และพูดออกมา “ผมคิดว่าคุณทิ้งเขาไว้กับรัสเลอร์เสียอีก”
   “เออ ตอนแรกฉันก็ว่าจะทำงั้นแหละ” ราฟาแอลตอบ “แต่เด็กนั่นไม่ยอมอยู่ บอกว่าอยากจะกลับไปที่ห้อง ท่าทางเจ้ารัสเลอร์จะทำเอาไว้แสบล่ะมั้ง เอาล่ะ แกลงไปดูรอบๆ อีกสักหนซิ ว่ามีใครตามเจ้าเด็กนี่มารึเปล่า ฉันมีความรู้สึกว่างานนี้เราจะโชคดีกว่าที่คิด”
------------------------------------
   เมื่อแน่ใจแล้วว่าฟ่งกำลังดูแม่บ้านทำความสะอาดห้องอยู่จริง รูฟัสจึงแวะไปสั่งความกับรัสเลอร์ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งเนื้อแต่งตัวเสียใหม่ และลงไปสำรวจรอบๆ ตึก
   ความจริงเขานึกเห็นด้วยกับความคิดของราฟาแอล การที่ได้วรุตมาอาจจะทำให้เรื่องง่ายขึ้น อย่างน้อยเก็บไว้ใช้เป็นแผนสำรองที่ได้ผลชะงัก แต่รูฟัสไม่เข้าใจว่าทวีศักดิ์ปล่อยวรุตมาได้ยังไง หรือว่าจริงๆ บุตรชายคนนี้ของเขาไม่ได้สำคัญอย่างที่คิด อย่างไรก็ดีคงต้องตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมาอีก เพราะบางทีนี่อาจจะเป็นแผนหรืออะไรสักอย่างก็ได้
-------------------------------------
    วรุตระบายลมหายใจยาว ทั้งรู้สึกดีใจ ตกใจ และตื่นเต้น ผู้ชายชาวต่างชาติที่อ้างชื่อว่าราฟาแอลเพิ่งออกไป พร้อมกับโทรศัพท์มือถือของเขา
ชายคนนั้นถามคำถามคล้ายๆ กับที่อีกคนหนึ่งถาม ดีกว่าตรงที่ไม่ได้แสดงทีท่าไม่พอใจหรือกดดัน ตรงกันข้าม ดูเหมือนจะสนับสนุนเขาด้วยซ้ำ วรุตเดาว่าชายชาวต่างชาติสองคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานกัน แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมผู้ชายสองคนนี้ถึงปรากฏตัวพร้อมกับฟ่ง หรือที่ฟ่งหายไปเพราะถูกสองคนนี่พาตัวไป  แปลว่าสองคนนี่มีจุดประสงค์เกี่ยวกับแผนการลับของพ่อเขาหรือเปล่า เด็กหนุ่มคาดเดาว่านี่อาจจะเป็นสายลับที่พ่อเขาเคยพูดถึง ดูเหมือนคนผมสีดำจะเคยเห็นเขากับอิทธิเดชด้วย ซึ่งเขาเองก็จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่
   วรุตกำลังคิดว่าตัวเขาหลุดมาในโลกที่เคยได้ยินเพียงแค่เรื่องเล่า เขารู้ว่าพ่อทำงานผิดกฎหมาย ฆ่าคน และหลายๆ อย่าง แต่เขาไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสมันจริงๆ เสียที
ทวีศักดิ์พยายามจะปิดบังเขา หรือหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ และเขาเองก็พยายามจะหลีกเลี่ยงเช่นกัน หลายครั้งที่เด็กหนุ่มพยายามพูดจาเกลี้ยกล่อมผู้เป็นพ่อให้เลิกทำงานแบบนี้ แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผล ดังนั้นเขาเลยพยายามไปพูดกับคนที่คิดว่าพอจะพูดได้ ให้เลิกทำงานสกปรกให้พ่อของเขาแทน แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์อีกเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิทธิเดช
วรุตรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมากที่ชายคนนี้ทำงานสกปรกเพื่อพ่อของเขา เขาไม่อยากให้อิทธิเดชทำเรื่องพวกนี้ คนที่หน้าตาราวกับนางฟ้าแบบนั้นน่าจะอยู่ในที่ดีๆ ทำแต่เรื่องดีๆ สิ
เขาพยายามทำทุกอย่างที่พอจะทำได้ ทั้งที่ดีและเลวร้ายถึงที่สุด เพื่อให้ชายคนนี้เลิกวิถีการดำเนินชีวิตเดิมๆ แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรอีกเช่นกัน สุดท้ายก็มีแต่เขาที่แปลกแยกอยู่คนเดียว
เมื่อได้รู้เรื่องราวของฟ่ง วรุตตัดสินใจจะใช้ความพยายามที่เขามีทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้าคนนี้ โดยไม่นึกเลยว่า ผู้ชายที่เขาอยากจะปกป้อง ยังมีเบื้องหลังที่คาดไม่ถึงอยู่
ชายหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่าเขาได้ก้าวเท้าเข้ามาสู่โลกที่ผู้เป็นพ่อกันเขาออกปิดบังมาโดยตลอดอย่างเต็มตัวเสียแล้ว
ทั้งผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อราฟาแอล กับผู้ชายผมสีดำคนนั้น คงไม่ใช่คนทำงานในวงการถูกกฎหมายแน่ๆ และอาจจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพ่อของเขา ถึงอย่างนั้น คนพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นฮีโร่ ไม่ได้ช่วยคนเพราะเห็นแก่มนุษย์ธรรมเสียหน่อย อาจจะถูกจ้างมาอีกทีก็ได้
วรุตคิดว่าเขาไว้ใจคนพวกนี้ไม่ได้ ความตั้งใจของเขา เขาจะต้องทำมันให้สำเร็จด้วยตัวเอง แต่ดูท่าทางตอนนี้เขาอาจจะกลายเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของคนพวกนี้ไปแล้วก็ได้
เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะกับตัวเอง จะเป็นอะไรไปล่ะ ถ้านั่นทำให้เขาสามารถปกป้องฟ่งได้ 
การที่ได้ยกฐานะกลายเป็นเครื่องต่อรอง ยังไงก็ดูจะให้ประโยชน์มากกว่าการเป็นแค่โล่มนุษย์ไม่ใช่หรือ?
วรุตตัดสินใจแล้วว่า เขาจะช่วยสองคนนั่นทำลายแผนของพ่อเขาในส่วนที่เขาพอใจจะช่วย เพื่อให้ฟ่งปลอดภัย
   ฟ่ง...
   วรุตนึกแปลกใจตัวเอง เมื่อนึกถึงผู้ชายสวมแว่นคนนั้น นี่เขากำลังทำทุกอย่างเหมือนคนบ้าเพื่อคนที่เขาเพิ่งรู้แค่ว่าชื่อฟ่ง ผู้ชายอายุราวๆ ยี่สิบกว่าๆ ที่ไม่ได้มีอะไรดีเด่นทางรูปลักษณ์  หนุ่มสวมแว่นหน้าตาเซอร์ๆ ตัวผอมๆ ดูอ่อนแอ คนที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะเชื่อได้ว่าไปก่อปัญหาให้กับอารัตน์ลูกน้องคนสนิทของพ่อเขา หรือสร้างสรรค์ผลงานที่น่าประทับใจอย่างห้องนิรภัยนั้นได้เลย
   จะว่าไปแล้ว เขาเองเพิ่งคุยกับคนที่เขาตามหาได้ไม่กี่คำเองนี่นา ท่าทางเขาคงต้องหาเวลาเข้าไปคุยกับคนคนนั้นเป็นการส่วนตัวอีกสักรอบ
   เด็กหนุ่มถอนหายใจ บางทีการที่เขาไล่ตามฟ่งอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ อาจจะเพราะผิดหวังจากอิทธิเดชก็เป็นได้
--------------------------------------

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
วรุตกล้าหาญดี

กล้าที่จะแตกจากครอบครัวและคนรัก มายืนฝั่งตรงข้าม

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ชอบรูฟัสหึงจริง ๆ มันน่ารักจริง ๆ

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
ที่ผมว่าไม่เนียนก็หมายถึงทั้งสองคนนั่นแหละ ที่สำคัญก็ฟ่งเพราะทวีศักดิ์ต้องจับตามองอยู่แล้ว
การที่วรุตมาเจอได้ง่ายๆ ก็เหมือนที่ราฟาแอลว่า คงต้องมีใครติดตามมาด้วยแน่ แนะนำให้มี
ฐานลับเผื่อเกิดเหตุเพ่ิมด้วย แล้ววรุตพกบัตรผ่านของห้องลับมาด้วยหรือเปล่า ถ้าใช่น่าจะเอา
ให้พวกรัสเลอร์ เผื่อจะสามารถแกะรหัสทำบัตรเพ่ิมเติม หรือเตรียมแผนวงจรทำให้ระบบประตู
รวนได้

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
 :o8:

วรุตน่ารักกอ่ะ  กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูก

แอบเชียร์วรุตนะเนี่ย   อิอิ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
โควต้าไม่ได้อีกแล้ว..... (สลบ)

มาตอบแบบมึนๆ ค่ะ แฮ่ๆ

สำหรับเรื่องการกลับมาห้องเดิมของทั้งสองกลุ่มนี้ แถได้เต็มที่แค่นี้เองค่ะ ไม่งั้นคงจะไม่สามารถมาเจอกับวรุตได้

ว่าแต่... ฉันมีเขียนไปว่าระบบผ่านประตูใช้การ์ดหรือคะ? (โอย ตาลายอ่ะค่ะ จริงๆ แล้วใช้ระบบสแกนม่านตานะคะ แต่จะอนุญาตให้ผ่านได้เป็นคนๆ แล้วก็ได้เฉพาะบางเกทค่ะ) ถ้าหลุดใช้การ์ดไปจริง รบกวนแจ้งตำแหน่งเลยค่ะ (คาดว่าจะหาเองไม่เจอแน่ๆ )

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ^^

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
ขออภัยทำเอาตกใจเลยละมั้ง หาให้แล้วครับ ผมจำผิดเอง เพราะจำได้แต่ว่าทวีศักดิ์ให้วรุตผ่านชั่วคราว
สมองเลยจำเป็นว่าบัตรผ่านชั่วคราว ถ้าสแกนรูม่านตานี่ คงไม่ต้องถึงขนาดควักลูกตาวรุตออกมากันหรอก
เนอะ ถ้าแค่นิ้วมือยังพอทำเลียนแบบง่ายหน่อย แต่วรุตที่ได้เคยเข้าไปแล้ว คงมีประโยชน์บ้างละเนอะ

ตอนกลับไปหาเรื่องระบบความปลอดภัย เลยไม่แน่ใจว่าตกลงวรุตได้เห็นแต่โซนเอหรือได้เดินไปรอบๆ ทั้ง
หมดอย่างที่ทวีศักดิ์บอกว่าวันหลังจะให้คนพานำแล้วหรือยัง

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ู^
^
^
ขอบคุณมากนะคะ :o8:

ขอลาไปนอนก่อนล่ะค่ะ (พอมีคนทักแล้วก็ทำให้นึกว่าควรจะแก้หลายๆ ที่นะเนี่ย ขอบคุณนะคะ^.^)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่45  เหตุผลของคนขี้หึง

   ฟ่งทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา พลางถอนหายใจยาว เขาเพิ่งมีเวลาอยู่กับตัวเองเป็นครั้งแรก  หลังกจากแม่บ้านออกไปแล้ว
   การปรากฏตัวของเด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าวรุตหรือวิน แทบจะทำให้ความรู้สึกดีใจที่ได้กลับบ้านของเขาอันตระทานไปหมดสิ้น ฟ่งแน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อน แม้แต่หน้าตาของคุณทวีศักดิ์ที่เขาอ้างว่าเป็นพ่อ เขาก็ยังเห็นไม่ค่อยชัด แต่รูฟัสดูเหมือนจะยืนยันได้ว่าวรุตเป็นลูกชายของทวีศักดิ์จริงๆ ถ้าอย่างนั้นเหตุผลที่วรุตอ้างจะน่าเชื่อถือขนาดไหนกันนะ
   เหตุผลของวรุตนั้นดูน่าเหลือเชื่อเกินไป ฟ่งไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงไปได้ แต่แววตาของเด็กคนนั้นเวลาพูดก็ไม่เหมือนว่ากำลังโกหกอยู่ และถ้าตั้งใจจะโกหกจริงๆ ก็น่าจะหาเรื่องอะไรที่ดูน่าเชื่อถือกว่านี้สิ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารูฟัสจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดไปในทางอื่นเรียบร้อยแล้ว ผู้ชายคนนั้นคงคิดว่าเด็กนี่คิดอะไรไม่ดีกับเขาอยู่แน่ๆ ฟ่งอยากจะแย้งออกไปจริงๆ ว่ารูฟัสนั่นแหละที่คิดมาก แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยมีบทเรียนเรื่องรัสเลอร์ เพราะอย่างนั้นถึงอยากจะพูดก็คงพูดไม่ได้เต็มปาก ขณะที่ราฟาแอลดูจะมีท่าทีตรงกันข้ามกับรูฟัสอย่างสิ้นเชิง
ฟ่งไม่รู้ว่าราฟาแอลคุยอะไรกับวรุตบ้างตอนที่ได้เจอกัน แต่ที่แน่ๆ หลังจากเขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว หนุ่มผมบล็อนด์คนนี้ก็แสดงอาการให้เห็นว่าอยากให้เด็กคนนี้อยู่ที่นี่ คงอยากจะใช้เป็นตัวประกันหรืออะไรแบบนั้นล่ะมั้ง 
   เขาควรจะบอกวรุตเรื่องนี้ดีหรือเปล่า
   แต่ถ้าวรุตไปจากที่นี่ ก็เท่ากับว่าความลับของรูฟัสและราฟาแอลจะถูกเปิดเผยออกไปด้วยน่ะสิ ฟ่งรู้สึกผิดที่ตามรูฟัสเข้ามาในห้อง แต่มาคิดตอนนี้มันจะช่วยอะไรได้ล่ะ
   เขาคงต้องรั้งตัววรุตไว้ก่อน แล้วค่อยปรึกษาสองคนนั่นอีกที
   เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ เขาเดินไปที่ประตู และพบว่าผู้ที่มาเคาะเป็นที่เขาเพิ่งนึกถึงไปเมื่อครู่ ฟ่งเปิดประตูให้วรุตเข้ามา
   “ไว้ใจผมแล้วหรือ?” เด็กหนุ่มถามขณะเดินเข้ามาในห้อง ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาแปลกใจ วรุตหัวเราะ
   “เพื่อนของคุณที่ชื่อราฟาแอลเพิ่งผมให้ดูแลคุณได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจอีกคนหนึ่งด้วยล่ะ เขาคงอยากจะให้ผมอยู่ที่นี่ล่ะมั้ง ก็ผมเป็นตัวประกันชั้นเยี่ยมนี่นา”
   “นายไม่น่าจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้” ฟ่งพูดอย่างรู้สึกผิด เขานั่งลงบนโซฟา นี่ตกลงวรุตก็เดาความคิดของราฟาแอลได้หรือนี่ ท่าทางจะมีแต่เขาคนเดียวที่รู้สึกตัวช้า
   “อย่าเครียดไปเลยครับ” วรุตกล่าวอย่างร่าเริง “มันเป็นความตั้งใจของผม แล้วผมก็ไม่คิดว่ามันจะเสียหายอะไร?”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาแปลกใจอีกครั้ง วรุตจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
   “คุณชื่อฟ่งใช่ไหม ผมได้ยินเพื่อนของคุณเรียกน่ะ”
   “อือ” ฟ่งส่งเสียงในคอ แล้วพยักหน้า วรุตมองเขาแล้วหันไปมองรอบๆ ห้องอีกครั้ง ก่อนจะหยุดตรงโต๊ะไฟที่ตอนนี้สะอาดเป็นเงาวาวดีแล้ว
   “ที่ที่คุณจบมาคงดีน่าดู แต่ผมไม่ค่อยรู้จักมหาลัยในประเทศไทยหรอก” เด็กหนุ่มกล่าว ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง
   “นายไม่ได้เรียนที่นี่เหรอ?” ฟ่งถามอย่างแปลกใจ วรุตสั่นศีรษะ
   “ผมเรียนที่เยอรมัน เพิ่งกลับมาไม่กี่เดือนนี่เอง”
   “อ้อ.... เรียนด้านอะไรล่ะ?” หนุ่มสวมแว่นถามขึ้นบ้าง เด็กหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด
   “เกี่ยวกับเคมีน่ะ อืม..พ่ออยากให้ผมเรียนเพื่อมารับช่วงต่อ แต่ผมไม่อยากจะรับช่วงบริษัทต่อจากเขาเลย”
   “ทำไมล่ะ” ฟ่งเอ่ยถามอีก พลางเดินกลับมานั่งที่โซฟา
   “ก็ผมไม่ชอบ” เด็กหนุ่มตอบ แล้วเดินมานั่งตรงโซฟาอีกตัวหนึ่ง ฟ่งมองหน้าเขาอีกครั้ง
   “แล้วแม่นายล่ะ?”
   “ตายแล้ว” วรุตว่า คราวนี้ฟ่งเลยหน้าเจื่อนลงทันที “ขอโทษนะ”
   เด็กหนุ่มมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ “จะขอโทษทำไม คุณไมได้ฆ่าแม่ผมสักหน่อย”
   “ผม.. เอ้อ...”
   วรุตมองเจ้าของห้องที่มีสีหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ แล้วถามอีก “คุณกลัวว่าผมจะสะเทือนใจเหรอ?”
   “อือ” ฟ่งพยักหน้า เด็กหนุ่มมองหน้าเขาอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมา “เรื่องมันตั้งนานมาแล้วล่ะครับ ผมไม่คิดอะไรแล้วล่ะ”
   หนุ่มสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้า พลางคิดว่าว่ารูฟัสเองก็เสียครอบครัวไปเหมือนกัน แต่พอคุยกันทีไร ทางนั้นก็บอกว่าไม่ได้คิดอะไรแล้ว สรุปว่าเขาคิดมากไปเองหรือนี่
   “ทำไมนายถึงต่อต้านพ่อล่ะ?”
   “ต่อต้านพ่อ? ผมน่ะเหรอ?” วรุตพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะออกมา
   “ผมไม่ได้ต่อต้านพ่อหรอก ตั้งแต่แม่ตาย เขาอยากให้ผมทำอะไรผมก็ทำให้ ส่งผมไปเรียนเคมีที่เยอรมันผมก็ไป ให้ผมอยู่คนเดียวผมก็ทำได้ ผมทำอย่างที่เขาหวังมาตลอดเลยนะ”
   “ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรจะรับช่วงต่อ ไม่สิ ถ้าอย่างนั้นนายก็ไม่ควรจะมาที่นี่ด้วยซ้ำ”
   “เอ่อ..” วรุตคราง นี่ฟ่งคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ผู้ชายคนนี้คิดจะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปหรือไง?
   “ผมไม่ได้ต่อต้านพ่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำไปทุกอย่างนี่ครับ ก็อย่างที่ผมเล่า ผมทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมเลยต้องมาที่นี่ แต่คุณก็ไม่เชื่อผมอยู่ดีนั่นล่ะ”
   “ผมเชื่อไม่ลงหรอก” ฟ่งว่า วรุตพูดต่อยิ้มๆ
   “ผมไม่ได้อยากให้คุณเชื่อเรื่องที่ผมพูดหรอกครับ ผมก็แค่ทำตามความตั้งใจของตัวเองเท่านั้นแหละ”
   “เอ่อ...” ฟ่งส่งเสียงในลำคออย่างไร้ความหมาย มองหน้าของเด็กหนุ่มอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็พูดต่อ “ขอบใจนะ”
   คิ้วของวรุตเลิกขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ “ขอบใจ? ขอบใจผมหรือครับ?”
   “อือ” ฟ่งพยักหน้า แล้วพูดต่อ “ก็ถ้าที่นายพูดมันเป็นความจริง อย่างน้อยผมก็ควรจะขอบใจใช่ไหมล่ะ ถ้ามีใครสักคนหนึ่งยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องผม ผมต้องสำนึกในความดีของเขาสิ”
   วรุตมองมาทางฟ่งด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ เขาอึ้งไปพักใหญ่ และหัวเราะออกมา
   “คุณตลกดี” วรุตพูด และเมื่อเห็นว่าฟ่งทำหน้าหงิกก็เลยต้องรีบพูดต่อ
   “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะเยาะคุณนะ คือ ผมไม่คิดว่าจะมีคนพูดแบบนี้กับผม ยังไงดีล่ะ.. เอาว่า ขอบคุณนะครับ”
   ฟ่งยังไม่หายหน้าหงิก แต่ก็พยักหน้ารับคำขอโทษและคำขอบคุณแต่โดยดี ขณะที่วรุตอ้าปากจะพูดต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   “ผมไปดูให้” เด็กหนุ่มอาสาและลุกพรวดพราดไปที่ประตูโดยไม่รอว่าเจ้าของห้องจะเห็นด้วยรึเปล่า เขามองลอดตาแมวอยู่พักหนึ่ง และตะโกนกลับมา
   “ฝรั่ง... เพื่อนคุณอีกคนรึ?”
   ฟ่งขมวดคิ้ว เขาเดินไปที่ประตู เบียดวรุตออกจากช่องตาแมว ก่อนจะชะโงกหน้าไปมอง
   “อ้อ..” ร่างบางกล่าว และเปิดประตูออก
   “I miss you so much!” นั่นคือประโยคแรกที่รัสเลอร์พูดออกมาเมื่อฟ่งเปิดประตูแล้ว ผู้ถูกทักขมวดคิ้ว ดูจะไม่ยินดีกับคำทักทายนั่นเท่าไหร่นัก
   “ผมเข้าไปได้ไหม คุยด้านนอกคงไม่สะดวก” รัสเลอร์พูดต่อ เมื่อเห็นว่าฟ่งยังไม่เอ่ยปากชวนเขาเข้าไปในห้อง หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้ว “คุณจะคุยกับผมเรื่องอะไรน่ะ?”
   “ขอผมเข้าไปก่อนสิครับ” รัสเลอร์ว่า พลางทำหน้าขอความเห็นใจอย่างน่าสงสาร
   หลังจากมองหน้าผู้มาเยือนอยู่อีกพักหนึ่ง ฟ่งจึงเปิดประตูให้รัสเลอร์เข้ามาในห้อง ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนทางนั้นจะมีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัดตอนที่ก้าวเข้ามา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่ามีอีกคนอยู่ในห้องอีก
   “นี่คือเด็กที่คุณเล่าให้ราฟี่ฟังเหรอ?” รัสเลอร์ถาม สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที  ฟ่งพยักหน้า ในขณะที่วรุตมองดูผู้มาใหม่อย่างงุนงง
   “แล้วรูฟัสล่ะ?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเอ่ยถามต่อ ฟ่งมองหน้าเขา ถามกลับด้วยความงุนงง “อ้าว ไม่ได้อยู่กับคุณหรอกหรือ?”
   รัสเลอร์สั่นศีรษะบ้าง “เปล่า ผมเข้าใจว่าอยู่กับคุณไม่ก็อยู่กับราฟี่เสียอีก แล้วนี่ราฟี่ไม่ได้อยู่ด้วย?”
   ฟ่งสั่นศีรษะอีกครั้ง
   “เอ๋!” รัสเลอร์ร้อง พลางทำนห้าตกใจ “ตกลงเด็กนี่อยู่กับคุณแค่สองต่อสองเหรอ?”
   ฟ่งขมวดคิ้วกับคำว่าสองต่อสอง ก่อนจะถามออกไป “มีอะไรหรือไง?”
   รัสเลอร์หัวเราะแหะๆ ดูท่าทางฟ่งจะยังไม่หายโกรธเขา แต่ที่แน่ๆ เจ้าเด็กนี่ก็ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจเหมือนกันกันแหละ
   “คุณน่าจะระวังตัวเอาไว้หน่อยนะ” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดเตือน พลางมองไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่
   “อืม” ฟ่งพยักหน้า และคิดว่ารัสเลอร์พูดเหมือนใครบางคนก่อนหน้านี้เปี๊ยบ รัสเลอร์มองฟ่งและวรุตสลับไปมา แล้วถอนหายใจ
   “เขาเข้ามาในห้องคุณทำไมน่ะ?” หนุ่มผมสีน้ำตาลถามพลางพยักเพยิดไปทางวรุต ฟ่งยืนนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วสั่นศีรษะ “ไม่รู้สิ”
   “อ้าว” รัสเลอร์ร้องขึ้นมาอีกครั้ง “นี่คุณเปิดประตูให้เขาเข้ามาโดยที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”
   ฟ่งขมวดคิ้วอีกครั้ง พลางคิดว่าเขาก็เปิดประตูให้รัสเลอร์เข้ามาโดยที่ยังไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มีเรื่องอะไรเหมือนกันนั่นแหละ
   “สรุปว่าคุณมาหาผมนี่ มีเรื่องอะไรล่ะ?” หนุ่มสวมแว่นถามกลับ รัสเลอร์มองหน้าฟ่งอึ้งๆ ก่อนจะตอบไม่ตรงคำถาม
   “คุณจะให้เด็กคนนี้อยู่ในห้องอีกนานรึเปล่า?”
   ฟ่งหันไปทางวรุต “ผมยังไม่รู้เลยว่าเขามีธุระอะไร”
   “งั้น คุณจัดการธุระกับเขาก่อนแล้วกัน ผมรอได้ ไม่เป็นไร” รัสเลอร์ว่า ฟ่งย่นคิ้วนิดๆ แต่ก็หันไปหาวรุต
   “ตกลงนายมีธุระอะไรกับผมล่ะ?”
   วรุตทำหน้างงๆ ก่อนจะสั่นศีรษะ “เปล่า ผมแค่อยากคุยกับคุณเฉยๆ ”
   ฟ่งมองหน้าเด็กหนุ่มอยู่พักหนึ่ง แล้วหันกลับมาหารัสเลอร์ต่อ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเอ่ยถามทันที “เขาว่าไงครับ”
   “เขาแค่อยากคุยกับผมเฉยๆ น่ะ” ฟ่งตอบ รัสเลอร์ทำหน้าหงิกทันที “งั้นก็บอกเขาว่าออกไปได้แล้วก็แล้วกันนะ เดี๋ยวผมจะคุยกับคุณต่อเอง”
   ฟ่งขมวดคิ้วมองรัสเลอร์ และคิดว่าเขาควรจะต้องระวังเจ้าหมอนี่มากกว่าวรุตเสียอีก
   “ผมอยากให้เขาไปเดี๋ยวผมก็เปิดประตูให้เขาออกไปเองนั่นแหละ คุณมีธุระอะไรพูดมาเลยดีกว่า”
   รัสเลอร์ยิ้มแห้งๆ พลางเหลือบมองวรุตแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ผมอยากไปเที่ยว”
   “?”
   “คือผมเพิ่งมาเมืองไทยเป็นครั้งแรกน่ะ คุณช่วยพาผมออกไปดูนั่นดูนี่หน่อยสิ” รัสเลอร์พูดอย่างร่าเริง ฟ่งยืนมองหน้ารัสเลอร์อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดขึ้นช้าๆ
   “ผมต้องออกไปซื้อโทรศัพท์มือถือ คุณจะออกไปกับผมก็ได้”
   รัสเลอร์ยิ้มกว้างด้วยท่าทางดีใจเกินเหตุ จนฟ่งคิดว่าเจ้าหมอนี่มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงรึเปล่า ได้ยินเสียงวรุตพูดขึ้นต่อหลังจากนั้น
   “คุณจะออกไปข้างนอกหรือครับ งั้นผมไปด้วยนะ ผมว่าคุณไม่ควรจะออกไปไหนมาไหนคนเดียว”
   “มีฉันไปด้วยแล้วไง” รัสเลอร์เอ่ยปากขัดขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากพูดกับเด็กหนุ่มแปลกหน้า อีกฝ่ายหันมามองทันที
   “ผมจะไปด้วย” วรุตย้ำคำเดิม และนึกหงุดหงิดเมื่อเห็นสายตาที่รัสเลอร์มองมาทางเขา ทำไมเจ้าฝรั่งพวกนี้ถึงได้มองเขาด้วยสายตาไม่ไว้ใจขนาดนี้นะ เขาไม่ได้จะมาขโมยอะไรเสียหน่อย
ฟ่งถอนหายใจ และเปิดประตูออกไปด้านนอกโดยไม่รอฟังผลสรุป และเจอกับรูฟัสที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟท์พอดี
   “อ้าว จะไปไหนน่ะครับ?” รูฟัสถามหนุ่มสวมแว่น และขมวดคิ้วเมื่อเห็นสองคนที่เดินตามออกมา
   “ไปซื้อมือถือน่ะ” ฟ่งตอบ และเห็นรูฟัสขมวดคิ้ว
   “มือถือ?” หนุ่มตาสองสีทวนคำอย่างแปลกใจ ก่อนจะมองเขาด้วยสีหน้างุนงง ฟ่งขมวดคิ้วบ้าง “โทรศัพท์มือถือผมโดนเฟิงปิงยึดไป ผมเลยต้องออกไปซื้อเครื่องใหม่ ผมบอกคุณที่สนามบินแล้วไง”
   “อ้อ..” รูฟัสร้องอย่างคนที่เพิ่งนึกขึ้นได้ “แล้วคุณจะเอาโทรศัพท์ไปทำไมน่ะครับ”
   “ก็เอาไปโทรนะสิ” ฟ่งตอบ และนึกหงุดหงิดขึ้นมา นี่รูฟัสไม่ได้สนใจใยดีชีวิตของเขาเลยใช่ไหมนี่
   “ผมจะออกไปซื้อที่ห้างฯ คุณจะไปซื้ออะไรรึเปล่าล่ะ ไปพร้อมกันเลยก็ได้ จะได้มีคนหารค่าแท็กซี่” ฟ่งยังทำใจดีชวนรูฟัส แม้จะนึกหงุดหงิดอยู่เล็กๆ รูฟัสยกมือขึ้นลูกหน้า แล้วครางออกมา “อา..”
   หนุ่มตาสองสีมองหน้าหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่ตรงข้าม พลางกะพริบตาปริบๆ เวลาแบบนี้ฟ่งยังมีกะใจมาคิดเรื่องหาคนหารค่าแท็กซี่อยู่อีกเหรอ คนคนนี้รู้ตัวรึเปล่านะว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหนกันน่ะ
   “ผมว่าคุณไม่ควรออกไปไหนเลยจะดีกว่า” รูฟัสพูดออกมาในที่สุด และกึ่งเดินกึ่งดันฟ่งกลับเข้าไปในห้อง
   “ทำไมล่ะ?” หนุ่มสวมแว่นถาม และพยายามจะเดินเบียดออกไปอย่างดื้อดึง รูฟัสหลับตา เขาคงต้องอธิบายให้ฟ่งเข้าใจถึงสถานภาพของตัวเองซ้ำอีกรอบ
   “คุณกำลังถูกตามล่าตัวอยู่นะครับ ผมไม่รู้ว่าด้านนอกนั่นมีใครกี่คนรอจัดการคุณอยู่
แล้วเจ้าสองคนที่ทำท่าจะตามคุณไปนี่ก็ไม่ได้มีศักยภาพพอที่จะคุ้มครองคุณหรอกนะ” รูฟัสพูดและหันไปทางวรุตกับรัสเลอร์ วรุตทำหน้าแปลกๆ แม้รัสเลอร์จะฟังภาษาไทยไม่ออก แต่ก็พอจะเดาใจความคร่าวๆ ได้จากสีหน้าและท่าทางของรูฟัสที่แสดงออกมา
   “แต่ผมต้องใช้โทรศัพท์นะ” ฟ่งแย้งทันที รูฟัสมองอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “คุณจะเอาไปโทรหาใครล่ะครับ”
   “พี่สาวผมสิ ผมขาดการติดต่อกับครอบครัวไปเกือบเดือนแล้วนะ ขืนกลับมายังไม่ซื้อโทรศัพท์อีก ทางบ้านผมอาจจะไปแจ้งความก็ได้” ฟ่งอธิบายความจำเป็นของเขา รูฟัสพยักหน้าอย่างเข้าใจ
   “อืม...ผมเข้าใจล่ะ แต่ว่ายังไง...ตอนนี้คุณเพิ่งอย่าให้ใครรู้ว่าคุณกลับมาแล้วเลยจะดีกว่า  ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าคุณยังอยู่ที่ต่างประเทศ”
   “แต่ผมโทรบอกพี่สาวเรียบร้อยแล้วล่ะว่ากลับมาถึงแล้ว”
   รูฟัสแทบจะเอามือกุมขมับ เขาพยายามยอมรับว่าพลาดเองที่ไม่ได้เตือนฟ่งเรื่องนี้
   “งั้น...โทรไปบอกพี่สาวคุณอีกทีนะครับว่าคุณกำลังจะไปเมืองนอกอีก” หนุ่มตาสองสีพูดต่อ แล้วมองคนตรงข้ามด้วยสายตาวิงวอน ฟ่งนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
   “ก็ได้ แต่ผมต้องซื้อโทรศัพท์ก่อนนะนะ เพราะผมบอกพี่สาวแล้วว่าจะซื้อใหม่ จะให้ใช้เบอร์คนอื่นโทรไปก็ผิดปกติใช่ไหมล่ะ”
   “บอกเธอว่าคุณยังไม่ซื้อไม่ได้เหรอครับ” รูฟัสเปิดฉากต่อรอง ฟ่งทำปากแบะ “มันไม่ดูน่าสงสัยเกินไปเหรอ ผมเพิ่งกลับมา แล้วก็จะไปอีก ทั้งๆ ที่มือถือก็ยังหายอยู่เนี่ยนะ”
   “เอ้อ...” รูฟัสครางอย่างคนที่หมดปัญหาจะเถียงต่อ “งั้น... ผมจะออกไปซื้อให้ก็แล้วกัน”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วถามต่อ “คุณรู้ที่ซื้อเหรอ?”
   “ในห้างก็มีขายใช่ไหมล่ะ ผมไปถูกน่า” รูฟัสว่า ฟ่งหัวเราะแหะๆ หนุ่มตาสองสีเลยพูดต่อ “อยากได้ยี่ห้ออะไรล่ะครับ”
   “อะไรก็ได้ ไม่ต้องแพงนักหรอก เอาแค่โทรเข้าโทรออกได้ก็พอ” ฟ่งตอบ รูฟัสพยักหน้า  แล้วหันไปมองอีกสองคนที่เหลือ
   “พวกนายสองคน กลับห้องตัวเองไปได้แล้ว”
   ทั้งวรุตและรัสเลอร์ไม่มีใครยอมขยับ ราวกับว่าไม่ได้ยินที่รูฟัสพูด หรือขาถูกตอกตะปูตรึงอยู่กับพื้นก็ไม่ปาน หนุ่มตาสองสีหลับตาลงอย่างอดทนอดกลั้น ก่อนจะคิดได้ว่าพูดกับเจ้าพวกนี้ไปคงไม่รู้เรื่อง จึงหันไปพูดกับฟ่งแทน
   “ฟ่งครับ เข้าห้องไปแล้วปิดประตูล็อกกุญแจให้ดีเลยนะครับ อย่าให้ใครเข้าไปเด็ดขาดนะ นอกจากผม”
   “ผมไม่ซี้ซั้วเปิดให้ใครเข้ามาหรอกน่า” ฟ่งว่า รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะไม่พูดอะไรแย้งฟ่งในตอนนี้
   “เป็นอันตกลงนะครับ  ห้ามให้ใครเข้านะ”
   “อืม คุณไปได้แล้วล่ะ” ฟ่งว่า ดูเหมือนเขาจะเริ่มรำคาญรูฟัสขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มตาสองสีรีบพยักหน้า แต่ยังไม่ทันได้หันหน้าเดินออกไปก็มีอันต้องพูดขึ้นมาอีกครั้ง
   “เดี๋ยว!” รูฟัสโพล่งขึ้น เมื่อเห็นว่ารัสเลอร์และวรุตเดินกลับเข้าไปในห้องของฟ่ง
   “ไอ้เจ้าสองคนนั่นน่ะ ให้ออกมาด้วยนะครับ ไม่ต้องพาเข้าไปหรอก”
   ฟ่งขมวดคิ้ว “สองคนนั่นไม่เป็นไรหรอก คุณไปเถอะ”
   “แต่ว่า..” รูฟัสพูดด้วยสายตาไม่ไว้ใจ ร่างบางถอนหายใจเฮือก
   “ผมดูแลตัวเองได้นะ คุณอย่าหึงให้มากนักเลย อยู่กันสามคน คุณรัสเลอร์คงไม่ทำอะไรผมหรอก อีกอย่าง ก็ดีกว่าผมอยู่คนเดียวใช่ไหมล่ะ... นะ..”
   ฟ่งทิ้งท้ายและทำให้รูฟัสเบิ่งตาอย่างแปลกใจ เมื่อเขาเดินเข้ามา และยื่นหน้าขึ้นไปหอมแก้มอีกฝ่ายเบาๆ
   “ก็ได้ครับ” รูฟัสตอบ และยิ้มกว้าง รู้สึกดีใจจนไม่อยากจะออกไปในตอนนี้เลย เขามองฟ่ง ดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้
   “ผมจะรีบกลับมา รักคุณนะครับ” เขาก้มลงหอมแก้มนั้นเบาๆ ก่อนจะก้าวเท้าออกไป
----------------------------------
   “ไปแล้วเหรอ?” ทั้งวรุตและรัสเลอร์พูดเกือบจะพร้อมกันแต่เป็นคนละภาษา ในตอนที่ฟ่งเปิดประตูเข้ามา จนชายหนุ่มสวมแว่นรู้สึกว่าเจ้าพวกนี้กำลังรอจังหวะอะไรอยู่หรือเปล่า เขาพยักหน้า และกวาดตามองตัวยุ่งทั้งสอง
   “ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว พวกคุณก็น่าจะกลับไปห้องเหมือนกันนะครับ”
   หนุ่มสวมแว่นตัดสินใจพูดเป็นภาษาอังกฤษ เขาขี้เกียจพูดซ้ำเรื่องเดิมสองภาษา ถึงเขาจะบอกรูฟัสว่าอยู่กันสามคนน่าจะปลอดภัยดี แต่เอาเข้าจริงฟ่งคิดว่ามีสองคนนี้อยู่ด้วยเขาคงจะปวดหัวเสียมากกว่า ที่บอกรูฟัสไปเพราะอยากให้ทางนั้นเลิกกังวลไม่เข้าเรื่องเสียที ทั้งวรุตและรัสเลอร์ขมวดคิ้วทันที
   “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก” ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน ฟ่งขมวดคิ้วบ้าง เจ้าพวกนี้คงต้องกำลังเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ
   “ผมไม่ได้กลัวเรื่องนั้น คือว่ารูฟัสเขาขี้หึงมาก ทางที่ดีพวกคุณออกไปดีกว่า” เขาพยายามรักษาน้ำใจของทั้งคู่โดยการยกรูฟัสมาอ้าง แต่ที่อ้างไปก็มีเหตุผลอยู่ล่ะ ก็รูฟัสขี้หึงจริงๆ นี่นา
   “ถ้าเจ้าเด็กนี่ออก ผมออก” รัสเลอร์พูด แต่ก็นึกแย้งอยู่ในใจว่าใครจะออกไปให้โง่กัน อุตส่าห์จะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับฟ่ง โดยที่ไม่มีเจ้ารูฟัสอยู่ขัดขวางทั้งที ยังไงเขาก็ต้องจัดการเอาเจ้าเด็กแปลกหน้านี่ออกไปก่อนให้ได้ล่ะ
   “ผมจะออกไปทำไม ผมตั้งใจจะมาปกป้องเขานะ” วรุตตอบกลับ และรู้สึกไม่ไว้ใจหนุ่มต่างชาติผมสีน้ำตาลเข้มคนนี้ขึ้นมาถนัด ท่าทางเจ้าหมอนี่มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงแน่ๆ
   ฟ่งมองทั้งคู่อีกรอบ และถอนหายใจเฮือก
   “ตามใจก็แล้วกัน ถ้าจะออกไปก็ปิดประตูให้ดีด้วย ผมจะเข้าห้องน้ำ”
   วรุตกับรัสเลอร์หันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย หลังจากที่ฟ่งปิดประตูห้องน้ำแล้ว  เด็กหนุ่มชาวไทยเป็นผู้เอ่ยปากขึ้นก่อน
   “คุณแอบชอบแฟนเพื่อนหรือไง?”
   “ใช่ แล้วไง เธอมีปัญหาเหรอ?” รัสเลอร์ตอบ และยักไหล่อย่างยียวน วรุตสั่นศีรษะ
   “ผมน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ถ้าคุณไม่พยายามจะกันให้ผมอยู่ห่างๆ จากฟ่งน่ะนะ”
   “ฉันกำลังจะถามนายเรื่องนั้นอยู่ ทำไมนายถึงต้องมาเกาะแกะฟ่งขนาดนี้” รัสเลอร์ถามอย่างเอาเรื่อง วรุตขมวดคิ้วอีก
   “ผมไม่ได้เกาะแกะ ผมมาคุ้มครองเขา” เด็กหนุ่มตอบกลับ นึกหงุดหงิดผู้ชายคนนี้ขึ้นมาทันที ที่ว่าเกาะแกะน่ะควรจะหมายถึงตัวเองต่างหากล่ะ รัสเลอร์ขมวดคิ้วอย่างไม่เชื่อถือ
   “นายจะคุ้มครองอะไรเขา ยิงปืนเป็นรึ? เคยผ่านสนามรบมาหรือไง?”
   “ไม่เคยทั้งสองอย่างนั่นแหละ คุณเคยแล้วรึไง” วรุตตอบ และนึกขำกับคำถาม ใครบ้ามันจะเคยไปสนามรบจริงๆ กัน
   “ฉันก็ไม่เคย แต่เจ้าบ้าที่เพิ่งออกไปตะกี้ผ่านมาแล้วทั้งสองอย่าง”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2011 05:29:37 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “?” เด็กหนุ่มเบิ่งตาอย่างแปลกใจ  รัสเลอร์เลยพูดซ้ำอีกรอบ
   “นายฟังไม่ผิดหรอก เจ้านั่นน่ะเคยผ่านสนามรบมาแล้ว”
   “พวกคุณเป็นทหารรับจ้างหรือไง? ” วรุตถามอย่างสนใจทันที รัสเลอร์สั่นศีรษะ
   “เปล่า ไม่ใช่ฉัน แค่เฉพาะเจ้าสองคนนั่นน่ะ แต่ฉันอยากจะบอกนายว่า ถ้าคิดจะจีบฟ่งล่ะก็ นายจะต้องผ่านมนุษย์เดนสงครามไปก่อน”
   วรุตยักไหล่ มองรัสเลอร์ด้วยแววตาแปลกใจ
   “ผมไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรเลย ก็ผมไม่ได้คิดจะจีบเขานี่ ว่าแต่คุณเถอะ ผ่านเขามาได้หรือยังล่ะ เป็นห่วงตัวเองดีกว่าล่ะมั้ง”
   รัสเลอร์ยิ้มให้วรุตอย่างอดทนอดกลั้น “ฉันพอรู้จักเจ้านั่นดี นายนั่นแหละที่ต้องระวังตัวไว้”
   “พวกคุณอย่าทะเลาะกันด้วยเรื่องงี่เง่าแบบนี้ได้ไหม!” ฟ่งตะโกนออกมาจากห้องน้ำ เขาอยากจะเอาไม้กวาดออกมาไล่เจ้าสองคนนี้ออกไปจริงๆ แต่ขืนทำลงไปคงน่าเกลียดแน่ๆ
   พอถูกเอ็ด ทั้งวรุตและรัสเลอร์เลยสงบปากสงบคำลงไปชั่วคราว
-------------------------------------
   “นี่... ” วรุตหันไปสะกิดรัสเลอร์ “เจ้าบ้าที่คุณว่าก็ไม่อยู่แล้ว เราจะทำยังไงกันต่อ”
   รัสเลอร์หันมามองวรุตอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันไปมองฟ่งที่นั่งดูทีวีอยู่ และพยักหน้า
   “โอกาสมาถึงแล้ว ถ้าเราร่วมมือกันล่ะก็...”
   วรุตพยักหน้าตอบ ก่อนที่สองคนจะค่อยๆ ย่องไปหาร่างที่นั่งอยู่บนโซฟา
   “อ้าว? เอ๋?!!!” ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองวรุตที่เดินเข้ามา ก่อนจะเบิ่งนัยน์ตาสีน้ำตาลใสนั้นด้วยความตกใจ เมื่อมีมือของใครอีกคนยื่นมาปิดปากเขาเอาไว้
“อยู่นิ่งๆ นะ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้วครับ” รัสเลอร์ก้มลงกระซิบที่ข้างหู ขณะที่วรุตเริ่มปลดกระดุ้มเสื้อของฟ่งออกทีละเม็ด ร่างบางพยายามดิ้น ขณะที่เสื้อผ้าถูกถอดออก
   “คุณนี่น่ารักจริงๆ ยิ่งดิ้นคุณยิ่งดูเซ็กซี่ ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วล่ะ” วรุตพูด ขณะมองดูเรือนร่างเปลือยเปล่าที่อยู่ตรงหน้า เขาใช้ปลายนิ้วสะกิดยอดอกสีชมพูนั้นเบาๆ ฟ่งสะดุ้งเฮือก แก้มแดงซ่านขึ้นมาทันที
   “อืม” รัสเลอร์คราง พลางขบเม้มใบหูสีแดงจัดนั่นเบาๆ “ฉันจะจัดการก่อน แล้วเธอค่อยตามก็แล้วกัน” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มว่า และก้มลงจูบริมฝีปากของร่างที่ยังคงดิ้นรนอยู่ วรุตขมวดคิ้วมองอย่างคัดค้าน
   “ไม่เอา คุณอยู่ตรงนั้น ก็น่าจะให้ผมทำก่อน” เด็กหนุ่มแย้ง และก้มลงจูบยอดอกสีชมพู พลางถอดกางเกงฟ่งออก รัสเลอร์นิ่งไปพักหนึ่ง
   “ทำพร้อมกันเลยก็ได้นี่” เขาว่า และบีบปากของฟ่งให้อ้าออก

   พลั่ก!!!
   รูฟัสเผลอยกมือทุบกระจกตู้โชว์หน้าร้านขายโทรศัพท์มือถืออย่างไม่ตั้งใจ จนพนักงานสาวอุทาน
   “คุณคะ!!” เสียงร้องของเธอ ทำให้ชายหนุ่มคืนสติขึ้นมาได้  เขากะพริบตาปริบๆ และรีบพูดขอโทษขอโพยในทันที
   “ขอโทษครับ เอ้อ งั้นเอาเครื่องที่คุณถืออยู่ก็ได้ครับ” เขาว่า และมองไปยังโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของพนักงาน
   “งั้นเดี๋ยวหยิบเครื่องใหม่ให้นะคะ” เธอพูด แล้วทำท่าจะเดินออกไปด้านหลังร้าน รูฟัสรีบพูดขึ้นต่อ “เอาเครื่องในมือคุณนั่นแหละ”
   พนักงานสาวขมวดคิ้วมองเขาอย่างงุนงง “นี่เป็นเครื่องโชว์ค่ะ ใช้งานจริงไม่ได้ เดี๋ยวจะหยิบเครื่องใหม่ให้นะคะ”
   “อ้อ ครับๆ” รูฟัสพยักหน้า และนึกกระอั่กกระอ่วนใจนิดหน่อยตอนที่ได้โทรศัพท์มือถือมาแล้ว เขาไมได้ฟังคุณสมบัติของมันตามที่พนักงานพยายามจะสาธยายนัก เพราะมัวแต่คิดเรื่องบ้าๆ อยู่ ไม่รู้ว่าฟ่งจะพอใจหรือเปล่า แต่มันก็คงใช้โทรเข้าโทรออกได้เหมือนที่สั่งนั่นแหละ 
เขายื่นบัตรเครดิตใบหนึ่งให้กับพนักงานเพื่อชำระเงิน และรีบจ้ำอ้าวกลับไปยังที่พัก
   เจ้าสองตัวนั่นไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
----------------------------------------------
   เสียงเคาะประตูดังรัวอย่างกับเกิดไฟไหม้ ทำให้ฟ่งขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย เขาไม่ชอบเสียงเคาะน่ารำคาญแบบนี้  ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟา  ควานหาแว่นตาที่วางอยูบนโต๊ะ ก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปที่ประตู
   “ฟ่ง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
   รูฟัสโพล่งออกมาทันทีที่ประตูเปิดออก และเบิ่งตาค้างเมื่อเห็นสภาพของคนในห้อง
   “ผมไม่เป็นอะไรนี่” ชายหนุ่มสวมแว่นพูดและยกมือขึ้นเกาศีรษะ รูฟัสมองดูผมกระเซอะกระเซิงและเสื้อผ้าที่ดูไม่เรียบร้อยของฟ่งแล้วพูดอย่างร้อนใจ
   “พวกนั้นทำอะไรคุณใช่ไหม?!!” เขาว่าและพรวดพราดดันตัวฟ่งเข้ามาในห้อง พลางจับเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายกระชากเสื้อออกอย่างลืมตัวจนกระดุมหลุดออกไปแถบหนึ่ง มองเห็นรอยจ้ำสีชมพูปรากฏอยู่ตรงซอกคอและเนินอก
   “คุณจะทำอะไรน่ะ!!” ฟ่งร้องอย่างตกใจ เขาให้รูฟัสไปซื้อโทรศัพท์ แล้วไหงกลับมาทำท่าจะแก้ผ้าเขาแบบนี้ล่ะ
   “พวกนั้นข่มขืนคุณใช่ไหม มันอยู่ไหน ผมจะไปฆ่ามัน!!” หนุ่มตาสองสีคำรามด้วยความแค้น แล้วทำท่าจะพรวดพราดออกไปจากห้อง ฟ่งอ้าปากค้าง ยื่นมือไปดึงตัวรูฟัสเอาไว้ทันที
   “คุณเป็นอะไร ไม่มีใครข่มขืนผมนะ!!” หนุ่มสวมแว่นพูดออกมา รูฟัสหันกลับมามองด้วยสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
   “แต่ว่ารอยพวกนี้....” เขาพูด และมองดูรอยจ้ำสีชมพูบนร่างกายของฟ่ง ชายหนุ่มสวมแว่นมองหน้าอีกฝ่ายอย่างงงๆ และก้มลงมองตัวเองบ้าง
   “อ้อ.... คุณหมายถึงรอยจ้ำพวกนี้เหรอ?”
   รูฟัสพยักหน้า “คุณเพิ่งโดนปล้ำมาใช่ไหม?!”
   หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ นึกอยากจะยกมือทุบกะโหลกผู้ชายตรงหน้าสักผัวะหนึ่ง
   “รอยนี่คุณเป็นคนทำไว้เองนะ จำไม่ได้หรือไง ก็ผมบอกแล้วว่าอย่าทำๆ คุณก็ทำซ้ำๆ จนมันไม่ยอมจางสักที”
   “หา?!” รูฟัสอุทานอย่างไม่เชื่อ และดึงเสื้อของฟ่งออกอีกครั้ง คราวนี้กระดุมเลยหลุดออกไปทั้งแถบ เผยให้เห็นรอยจ้ำสีชมพูจำนวนมากบนเรือนร่างขาวผ่องนั้น
   “นี่ผมทำทั้งหมดเลยเหรอ?” รูฟัสถาม พลางเบิ่งตาอย่างไม่เชื่อที่สุด ฟ่งนึกในใจว่าเขาควรจะตอบคำถามหรือต่อยรูฟัสสักหมัดดี ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกข้อแรก
   “ฝีมือคุณนั่นแหละ!! ใครที่ไหนเขาจะมาทำแบบนี้กับผม”
   รูฟัสมองดูรอยจ้ำพวกนั้นอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้ายอมรับ เขาเริ่มจำได้หน่อยๆ แล้วว่าเคยมองรอยพวกนี้ตอนที่มีอะไรกับฟ่งครั้งล่าสุด แต่ก็นึกแปลกใจที่มันยังไม่จางไปเท่าไหร่ สงสัยเขาจะทำแรงไป ไม่ก็ฟ่งผิวขาวเกินไป น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า...
   “แปลว่าคุณไม่ได้ถูกทำอะไรใช่ไหม.. ผมดีใจจัง” รูฟัสว่าและดึงร่างผอมบางนั้นเข้ามากอด ฟ่งขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้จินตนาการอะไรระหว่างออกไปข้างนอกเนี่ย
   “แล้วเจ้าสองคนนั่นล่ะครับ?” หนุ่มตาสองสีถามขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่เห็นวี่แววของเจ้าตัวยุ่งทั้งสองคนในห้อง
   “ผมไล่ออกไปแล้วล่ะ พวกเขาทะเลาะกันจนน่ารำคาญ”
   “อา.. ผมก็คิดว่าสองคนนั้นทำอะไรคุณเสียอีก” รูฟัสพูดและถอนหายใจอย่างโล่งอก ฟ่งขมวดคิ้วมองเขาอีก
   “ผมจะดีใจมากเลยนะ ถ้าคุณไม่คิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ ไม่มีใครอยากทำอะไรผมหรอกนะนอกจากคุณ”
   “ครับๆ ” รูฟัสพูด แต่ก็นึกแย้งอยู่ว่าอย่างน้อยก็มีเจ้ารัสเลอร์คนหนึ่งล่ะ นี่ฟ่งลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นไปแล้วหรือไง
   “ผมซื้อโทรศัพท์มาให้คุณแล้วล่ะ แต่ไม่รู้ว่าคุณจะชอบรึเปล่า พอดี เอ่อ...ผมเลือกไม่ถูกน่ะ” รูฟัสตัดสินใจเลี่ยงที่จะบอกว่าเขามัวแต่คิดมาก จนไม่ได้ฟังที่พนักงานพูด เลยซื้อโทรศัพท์อะไรกลับมาก็ไม่รู้
ฟ่งยื่นมือมารับถุงใส่โทรศัพท์ พูดขอบคุณ และเดินไปที่โซฟาเพื่อแกะออกดู
   “รูฟัส.. คุณซื้อโทรศัพท์มือหนึ่งหรือมือสองมาน่ะ?” ฟ่งถามหลังจากที่ดึงกล่องโทรศัพท์ออกมาจากถุงแล้ว
   “มือหนึ่งสิครับ” หนุ่มตาสองสีตอบ นึกในใจว่าสภาพกล่องมันดูแย่ขนาดเหมือนของมือสองขนาดนั้นเลยหรือ ก็เห็นยังห่อพลาสติกดีอยู่นี่นา ฟ่งขมวดคิ้ว
   “คุณดูราคาตอนซื้อหรือเปล่า?”
   รูฟัสสั่นศีรษะ “เปล่า ผมเห็นพนักงานเขาถืออยู่ก็เลยซื้อมา ทำไมหรือครับ”
   “คุณซื้อมาเท่าไหร่เนี่ย” ฟ่งถามอีกครั้ง รูฟัสมองกล่องโทรศัพท์มือถือในมือฟ่งอย่างรู้สึกผิด
   “ผมจำไม่ได้ เอ่อ..คงสักสี่หมื่นกว่ามั้ง” รูฟัสพูดพลางนึกถึงราคาในสลิปบัตรเครดิต ฟ่งมองกล่องมือถือนั้นอีกครั้งและขมวดคิ้ว
   “คุณเอ่อ...เอาไปคืนได้ไหม?”
   “ทำไมล่ะครับ ไม่ชอบเหรอ?”
   “มันแพงเกิน ผมจ่ายไม่ไหว” ฟ่งว่า และนึกปวดหัว สงสัยพนักงานขายจะเห็นว่ารูฟัสเป็นต่างชาติเลยหยิบเครื่องที่แพงที่สุดในร้านมาให้ แล้วหมอนี่ก็ดันซื้อโดยไม่ดูราคาเสียด้วย ก็เขาบอกแล้วว่าเอาแค่โทรเข้าโทรออกได้ก็พอ
   รูฟัสหัวเราะออกมา “คุณชอบรึเปล่าล่ะครับ เรื่องราคาไม่ต้องไปกังวลหรอก ผมซื้อให้”
   ฟ่งมีสีหน้าลังเล “ผมเกรงใจ มันแพงเกินไปนะ แพงมากด้วย วันหลังคุณน่าจะถามราคาก่อนซื้อ ที่นี่เขาชอบขายของแพงๆ ให้กับคนต่างชาติด้วยสิ”
   “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ อืม....ถ้าคุณไม่สบายใจ ถือว่านี่เป็นค่าจ้างที่คุณช่วยทำงานให้ผมแล้วกัน”
   “เอางั้นหรือ?” ฟ่งถาม รูฟัสพยักหน้า และก้มลงหอมแก้มอีกฝ่าย
   “ถ้าคุณเกรงใจผมมาก จะแถมอย่างอื่นให้ผมด้วยก็ได้นะ อย่างร่างกายคุณไง”
   “บ้า!!” ฟ่งโพล่ง และผลักรูฟัสออกไป หนุ่มตาสองสีหัวเราะคิกคัก มองดูแผงอกเนียนๆ ที่มีมีรอยจ้ำสีชมพูอยู่เป็นจุดๆ นั้น แล้วเกิดนึกอยากทำเพิ่มขึ้นอีก
   “ฟ่งครับ” หนุ่มตาสองสีกล่าว และดึงรั้งร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มยิ้มอย่างมีเลสนัยน์ ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างตื่นๆ สงสัยเจ้าหมอนี่จะต้องคิดอกุศลกับเขาอีกแล้วแน่ๆ
   “ใครมาเหรอ..?” เสียงงัวเงียของใครสักคนดังขึ้น แก้วตาสองสีหดวูบลงทันที รูฟัสชะงักมือและหันไปมอง เขาเห็นวรุตเดินออกมาจากห้องนอนของฟ่ง รูฟัสหันหน้ากลับมามองฟ่งทันที
   “ไหนว่าไล่ออกไปแล้วไงครับ” ชายหนุ่มถามเสียงเครียด ฟ่งพยายามผลักรูฟัสออกอีกครั้ง ก่อนจะพูดตอบ
   “ผมไล่รัสเลอร์ออกไป แล้วให้เขาอยู่ต่อ อืม... ก็เราต้องจับตาดูเขาไว้ไม่ใช่เหรอ เขาเป็นตัวประกันสำคัญนะ” ประโยคหลังฟ่งพูดเสียงกระซิบ แต่ดูเหมือนรูฟัสจะให้ความสนใจกับเรื่องอื่นมากกว่าเสียแล้ว
   “แล้วทำไมเขาไปอยู่ในห้องนอนของคุณล่ะ เมื่อกี้ตอนเปิดประตูผมกับเสื้อผ้าคุณยุ่งนี่  นอนกับเขามาใช่ไหม?”
   คราวนี้ฟ่งเริ่มขมวดคิ้วอย่างมีโมโหขึ้นมาบ้าง เขาขยับตัวออก และเงยขึ้นมองหน้ารูฟัส
   “คุณเลิกคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้เสียทีได้ไหม ผมไม่ได้นอนกับเขา ผมเห็นเขาง่วง ก็เลยให้เข้าไปนอนในห้อง แล้วผมก็ออกมานอนดูทีวีด้านนอก ชัดไหม?!”
   “เอ่อ... เขาพูดจริงๆ นะ” วรุตช่วยพูดเสริม เขาเพิ่งลืมตาตื่นเต็มที่และพบว่าอาจจะโผล่ออกมาผิดจังหวะ
   รูฟัสเหลือบมองทั้งสองสลับไปสลับมาอย่างไม่ไว้ใจ จนฟ่งเริ่มทนไม่ไหว
   “ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ออกไปจากห้องผม เชิญคุณไปจินตนาการของคุณตามสบายเลย”
   “เดี่ยวสิครับฟ่ง” รูฟัสร้องเสียงหลง เขารู้แล้วว่าฟ่งไม่พอใจอย่างหนัก
   “ก็ผมไม่ชอบให้ใครมาอยู่ใกล้ๆ คุณนี่ แถมนี่ยังอยู่กันสองต่อสอง ผมก็หึงเป็นนะครับ”
   “คุณหึงมากไปแล้ว ผมไม่ชอบ!!” ฟ่งพูดด้วยเสียงกระแทก รูฟัสกะพริบตาปริบๆ มองดูฟ่งที่มีสีหน้าไม่พอใจอย่างที่สุด
   “ผมหึงแค่คุณเท่านั้นนะ” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อน แต่ฟ่งยังคงมีสีหน้าบึ้งตึงอยู่เหมือนเดิม รูฟัสขยับเขาไปใกล้เขาอีกนิด แล้วฉวยมือมากุมเอาไว้
   “ผมขอโทษแล้วกัน อย่าโกรธผมเลยนะ” รูฟัสพยายามจะอ้อน คราวนี้ฟ่งกะพริบตาปริบๆ บ้าง ก่อนจะสะบัดหน้าใส่
   “คุณทำเสื้อผมขาด ซ่อมให้ด้วย”
--------------------------------
   “คุณเย็บผ้าเป็นด้วยเหรอ?” วรุตถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาเพิ่งช่วยเก็บกระดุมเสื้อที่หล่นอยู่บนพื้น ขึ้นมาใส่ถ้วยรวมกันเอาไว้ และตอนนี้กำลังนั่งมองรูฟัสเย็บกระดุมพวกนั้นติดเข้ากับเสื้อตัวเดิมอยู่
เด็กหนุ่มไม่อยากจะจินตนาการอะไรมากมายว่าทำไมกระดุมเสื้อของฟ่งถึงได้หล่นกระจายเต็มพื้นแบบนี้ บางทีสองคนนี่อาจจะมีเรื่องทะเลากันก็ได้ แต่ถึงขั้นดึงเสื้อกันจนกระดุมหลุดเป็นแถบขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่แฟนกันเขาคงเข้าใจว่าหมอนี่กำลังจะข่มขืนผู้ชายสวมแว่นคนนั้นแน่ๆ
   รูฟัสเหลือบตามองเด็กหนุ่ม และหันความสนใจมาที่กระดุมต่อ เขาอยากจะบอกขอบใจเรื่องช่วยเก็บกระดุมอยู่หรอก แต่ถ้าช่วยอยู่ห่างๆ จากฟ่งจะดีมากกว่านี้
รูฟัสพยายามบอกตัวเองให้เข้าใจว่า การละสายตาจากเจ้าเด็กนี่เป็นเรื่องอันตราย ถ้าเกิดเจ้านี่ไปแพร่งพรายข่าวเรื่องนี้ให้ใคร พวกเขาคงเดือดร้อน แต่พอคิดว่าต้องมาเกาะหนึบกับฟ่งแล้วก็อดโมโหไม่ได้
   “!!” เพราะมัวแต่คิดนั่นคิดนี่ แทนที่จะเย็บกระดุมเลยเย็บเอามือตัวเองเสียได้ รูฟัสบีบเลือดออกจากนิ้ว และหันไปมองฟ่งซึ่งกำลังแกะโทรศัพท์ออกจากกล่อง เขาอยากจะอ้อนฟ่งเรื่องถูกเข็มตำ แต่ก็กลัวว่าฟ่งอาจจะเอาเข็มแทงมือเขาซ้ำ ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าก้มตาเย็บกระดุมต่อไป
   “เวร....... ” เสียงอุทานของฟ่งดึงความสนใจของรูฟัสและวรุตจากกระดุมเสื้อ ทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน และเห็นฟ่งกำลังนั่งเกาหัวพร้อมกับโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ
   “มีอะไรหรือครับ มันพังเหรอ?” รูฟัสเอ่ยถาม ขณะที่วรุตเลิกคิ้วอย่างนึกแปลกใจ
   “รุ่นนั้นก็ไม่ใช่ระบบสัมผัสหน้าจอนะฟ่ง คุณน่าจะใช้เป็น”
   “ผมใช้เป็น!!” ฟ่งหันมาเถียง และพูดต่อ “แต่ผมลืมไปว่าผมต้องไปแจ้งความเรื่องซิมหาย จะได้เอาไปทำเรื่องขอให้เบอร์มือถือเดิม”
   “............” วรุตกับรูฟัสหันไปมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย ฟ่งพูดเสียงอ่อน
   “ผมไปแจ้งความได้ไหม คือแค่ไปทำเรื่องขอซิมใหม่”
   “ไม่ได้ครับ!!” สองหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกัน รูฟัสรีบพูดต่อ “คุณควรโทรบอกพี่สาวคุณเลยแล้วกันว่าคุณจะต้องไปกะทันหัน ทำเรื่องขอเบอร์ไม่ทันหรืออะไรก็ว่าไป จะได้หมดปัญหา”
   “ก็ได้..” ฟ่งพูดออกมาหลังจากนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วทำคอตก วรุตนึกสงสัยว่าฟ่งเสียใจที่ไม่ได้ใช้มือถือใหม่หรือเสียใจที่โดนดุกันแน่

   “ผมขอโทษนะรูฟัส” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากโทรศัพท์คุยกับพี่สาวเรียบร้อยแล้ว รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ เขากำลังจะเย็บกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จ
   “คุณเลยเสียเวลาออกไปซื้อของให้ผมฟรีๆ เลย ความจริงผมน่าจะคิดได้ก่อน”
   รูฟัสยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าคุณสั่ง อะไรผมก็ทำทั้งนั้นแหละ”
   ฟ่งมองดูเสื้อของเขาที่รูฟัสกำลังเย็บอยู่ แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ
   “ผมขอโทษ เมื่อกี้ผมอาจจะว่าคุณแรงเกินไป” ฟ่งพูดอ้อมแอ้ม รูฟัสขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
   “คุณพูดอะไรนะครับ ก้มลงมาใกล้ๆ ผมหน่อยก็ได้”
   ฟ่งขยับตัวเข้าไปใกล้ ก้มหน้าลงไปเกือบจะชนใบหูของอีกฝ่าย “ผมว่าผมขอโทษ”
   “อ่าครับ ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร”
   “ผมไม่ได้ขอโทษเรื่องโทรศัพท์”
   “รู้แล้วล่ะครับ” รูฟัสพูดและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ฟ่งขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
   “คุณได้ยิน?”
   หนุ่มตาสองสีพยักหน้า “ผมแค่อยากฟังชัดๆ ผมรักคุณนะ” จากนั้นก็ขโมยหอมแก้มอีกฟอดหนึ่ง ฟ่งหน้าแดงทันที เขารีบหันไปมองวรุตซึ่งนั่งอยู่ และเห็นเด็กหนุ่มเลยเผลอหลุดยิ้มออกไป
   “ผะ..ผมไปดูทีวีดีกว่า” ฟ่งว่า และเดินจ้ำอ้าวออกไปเปิดทีวี รูฟัสได้ยินเสียงวรุตหัวเราะ
   “ขำอะไร?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยถามทันที คนถูกถามรีบสั่นศีรษะ เขามองดูรูฟัส และนึกดีใจที่ไม่ได้หลุดพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ เขารู้แล้วว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ขี้หึงนัก
   ก็ฟ่งน่ารักนี่นา
------------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด