[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 247211 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #30 เมื่อ23-05-2011 21:42:35 »

   ดูเหมือนว่าเชลยของเขาจะเจริญอาหารขึ้นมาเป็นพิเศษ ฟ่งเริ่มตักอาหารในส่วนของจางซื่อเยี่ยนหลังจากที่จัดการของตัวเองไปหมดแล้ว
   “ให้ผมสั่งอาหารเพิ่มไหม?” ชายหนุ่มผมยาวถาม พลางมองดูช้อนของอีกฝ่ายที่ยื่นเข้ามาตักข้าวในจานของตน
   “ไม่ล่ะ ผมอยากแกล้งคุณเฉยๆ แล้วผมก็อิ่มแล้ว”
   จางชื่อเยี่ยนมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความฉงน เมื่อครู่ชายคนนี้ยังมีท่าทีเซื่องซึมตรอมใจอยู่แท้ๆ มันเกิดอะไรขึ้น? หรือคำขู่ของเขาจะทำให้หมอนี่สติแตก ฟ่งวางช้อนลงกับจาน เงยหน้าขึ้นมาจ้องตอบ
   “ผมอิ่มแล้ว ผมอยากเดินออกกำลังกาย คุณพาผมออกไปเดินเล่นหน่อยสิ”
   ผู้ถูกขอขมวดคิ้ว พลางวางช้อนลงบ้าง “เรื่องนั้นเห็นจะไม่ได้หรอก คุณจะต้องอยู่ในห้องนี้”
   ชายหนุ่มสวมแว่นแบะปาก ทำท่าทางเหมือนไม่พอใจ “พวกคุณอยากให้ผมสุขภาพดี คุณก็ควรจะระวังเรื่องสุขภาพจิตของผมด้วย คุณไม่เคยได้ยินเหรอที่ว่าจิตใจก่อให้เกิดโรค ผมอุดอู้อยู่ในห้องนี้มาตั้งหลายวันแล้ว คุณควรจะพาผมออกไปดูอะไรต่อมิอะไรบ้าง เกิดผมเครียดอาหารไม่ย่อยขึ้นมา พวกคุณนั่นแหละจะแย่”
   “ยังไงผมก็ต้องบอกคุณว่าไม่ได้” จางซื่อเยี่ยนยืนยันหนักแน่น ฟ่งทำหน้ามุ่ย
   “ผมว่าคุณลองไปถามเจ้านายของคุณดูก่อนดีกว่าว่าเขาว่ายังไง หรือที่จริงแล้วคุณมีอำนาจตัดสินใจแทนเจ้านายคุณได้ทุกเรื่อง?”
   คำพูดของฟ่งทำให้ซื่อเยี่ยนพูดต่อไม่ออก เขาเริ่มรู้สึกว่าชายคนนี้อาจจะสร้างปัญหาน่าปวดหัวได้มากกว่าที่คิด เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นหยุดความคิดของเขาไว้แค่นั้น
   ร่างสูงเพรียวล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะพูดตอบรับอย่างสุภาพ
   “ครับ อยู่ครับ......ครับ ผมจะรอคุณอยู่ที่นี่แหละครับ”
   จางซื่อเยี่ยนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันมามองฟ่งด้วยสายตาแปลกๆ
   “เจ้านายของผมกำลังจะมาที่นี่ คุณคุยกับเขาเองแล้วกัน”
-----------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าลงจากบันไดด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับพญามังกร นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องพยายามฝึกอย่างหนักหลังจากถูกรับกลับเข้ามาในตระกูลอีกหน เพื่อไม่ให้เป็นที่เปรียบเทียบกับพี่น้องอีกหลายๆ คน ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อแพรยาวสีขาวยาวปักลวดลายสีเหลืองทองอย่างจีน ไม่ว่าจะเป็นยามเดิน นั่ง หรือยามรับประทานอาหาร เฟิงปิงรักษาบุคลิกภาพอันสง่างามนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าใครที่ได้พบเห็นก็คงอดที่จะชื่นชมไม่ได้ แต่ภายใต้กิริยาอันสง่างามที่ถูกขัดเกลามาอย่างตั้งใจนั้น กลับซ่อนความรู้สึกร้อนรุ่มไว้อยู่ลึกๆ
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกตัวว่าก้าวเร็วกว่าปกติ  ข่าวสารที่ได้รับมาเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น
   ชายคนนั้นมาถึงฮ่องกงแล้ว!
   ร่างเพรียวบางโบกมือให้กับลูกน้องคนหนึ่งที่เดินสวนมา ก่อนจะก้าวตรงไปยังระเบียงทางเดินซึ่งนำไปสู่ประตูสีขาวซึ่งมีสลักล็อกจากด้านนอก
   เว่ยเฟิงปิงบอกตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกดีใจหรือเสียใจกันแน่กับข่าวที่ได้รับ
   
   ประตูสีขาวถูกผลักเปิดออก เว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าเข้ามา เขาเหลือบมองลูกน้องคนสนิทด้วยหางตาแวบหนึ่ง
   บางครั้งเขาก็คิดว่าการมีอยู่ชายคนนี้ช่างรกหูรกตาเหลือเกิน
   แม้ว่าจางซื่อเยี่ยนจะเป็นลูกน้องที่ดี แต่นั่นก็แค่ภายนอก เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าชายคนนี้ถูกบุคคลที่เขาเรียกว่าพ่อส่งมาเพื่อให้สอดส่องดูแลพฤติกรรม นั่นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
   เว่ยเฟิงปิงเดินผ่านจางซื่อเยี่ยนโดยทำราวกับว่าไม่มีเขาอยู่ที่นั่น  ผู้เป็นลูกน้องเอื้อมมือไปปิดประตูเสียงดังกริ๊ก เขาเคยชินเสียแล้วกับพฤติกรรมแบบนี้ของเจ้านาย

   แวบแรกที่เห็นเว่ยเฟิงปิงก้าวเข้ามา ฟ่งยอมรับว่าชายหนุ่มคนนี้ดูดีในชุดแบบจีนมากกว่าเสื้อสูท แต่นั่นก็แค่แวบเดียว เมื่อนัยน์ตาเรียวยาวเหมือนงูนั้นจ้องมาที่เขาอย่างไม่เป็นมิตร หนุ่มนักออกแบบถอนหายใจสั้นๆ และหันไปจ้องตอบ
   บรรยากาศตึงเครียดเริ่มส่อเค้าของมันอย่างเงียบๆ ทันที
   ในที่สุด เว่ยเฟิงปิงก็เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
   “ซื่อเยี่ยน นายช่วยออกไปก่อน ฉันมีธุระจะคุยกับคนคนนี้เป็นการส่วนตัว”
   “ไม่ได้หรอกครับ ผมปล่อยให้คุณอยู่กับเขาสองคนไม่ได้” จางซื่อเยี่ยนตอบเรียบๆ นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบมองมาอย่างรำคาญ
   “ทำไม นายกลัวว่าฉันจะถูกฆ่าหรือไง?”
   “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องระวังไว้ก่อนครับ”
   เว่ยเฟิงปิงพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก “เอาล่ะ บอกซิฉันต้องทำยังไงถึงจะคุยกับเขาสองคนได้?” นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมาอย่างท้าทาย
   “ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ แต่ถ้านายรู้สึกไม่ไว้ใจล่ะก็ จะใส่กุญแจมือหมอนั่น จับมัด หรือผูกตา ฉันก็ไม่ห้ามหรอก”
   ฟ่งสะดุ้ง รู้สึกโมโหขึ้นมาทันทีทันใด ทำไมเขาจะต้องโดนทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นด้วย ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นบ้าง
   “เอ่อ....คุณมีธุระอะไรกับผมล่ะ?
   นัยน์ตาสีฟ้าคู่เดิมเหลือบมองมาแบบเหยียดๆ จนฟ่งต้องรีบหุบปาก นั่นทำให้หนุ่มสวมแว่นรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
   “จะเอายังไง ซื่อเยี่ยน?”
   เฟิงปิงถามต่อ จางซื่อเยี่ยนไม่ตอบ เขายืนจ้องหน้ากับผู้เป็นเจ้านาย สิ่งที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินทำให้เขาไม่อยากจะปล่อยเว่ยเฟิงปิงไว้กับชายคนนี้ตามลำพัง
   ความเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้านายเป็นเพียงแค่เหตุผลข้อหนึ่ง
   จางซื่อเยี่ยนรู้ว่าเขากำลังหึง
   นั่นไม่ใช่เรื่องสมควรเลย.....
   ชายหนุ่มพยายามปัดความคิดบ้าๆ ออกไป เขาควรจะใช้เพียงแค่เหตุผลด้านหน้าที่เป็นหลัก
   ชายคนนี้เข้าข่ายที่จะทำอันตรายกับเจ้านายของเขาหรือเปล่า?
   จางซื่อเยี่ยนยอมรับว่าเขาเดาไม่ออก ผู้ชายคนนี้อาจจะดูเป็นคนปกติธรรมดา แต่ใครจะรู้ล่ะว่าพออยู่กันสองต่อสอง ผู้ชายที่โตเต็มที่คนหนึ่งอาจจะทำอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้ อีกอย่างแววตาสีน้ำตาลคู่นั้นดูเหมือนสายน้ำในแม่น้ำเหลือง ขุ่นมัวสับสนจนไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
   ยังไงเขาก็ไม่ควรที่จะปล่อยสองคนนี่ไว้ตามลำพัง

   ฟ่งมองไปยังเจ้านายกับลูกน้องที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ที่หน้าห้อง ก่อนจะส่งเสียงด้วยความเหนื่อยหน่าย “ตกลงกันเสร็จแล้วปลุกผมด้วยแล้วกัน”
ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนคลุมโปง เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่ลูกน้องคนสนิท ก่อนจะเดินปราดๆ ไปยังเตียงนอน โดยที่จางซื่อเยี่ยนยังไม่ทันจะส่งเสียงห้าม
   ผู้เป็นเจ้านายเลิกผ้าห่มออก ก่อนจะกดร่างที่นอนอยู่ให้หันหลัง
   “โอ๊ย!!” ฟ่งร้องอย่างตกใจ ขณะที่เสียงดังกริ๊กดังขึ้นด้านหลัง เว่ยเฟิงปิงเดินกลับมาที่หน้าห้อง พร้อมด้วยกุญแจสีเงินดอกเล็กๆ ในมือ
   “แบบนี้คงไม่มีปัญหาแล้วสินะ” เขาพูด ร้อมกับโยนกุญแจดอกนั้นให้จางซื่อเยี่ยน ชายหนุ่มยื่นมือออกไปรับ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นนาย เว่ยเฟิงปิงยิ้มอย่างสะใจ
   “ออกไปได้แล้ว ฉันจะคุยธุระ”
   จางซื่อเยี่ยนรู้ดีว่าเขาไม่มีเหตุผลที่จะอ้างต่อ เลยได้แต่ถอยออกไปอย่างเงียบๆ

   “โอ๊ย! ยอดเลย” ฟ่งพึมพำขณะยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก เสียงโลหะกระทบกันดังอยู่ที่ข้อมือ ตอนนี้เขาต้องนั่งเอามือไพล่หลังอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก เพราะมันถูกล่ามติดกันด้วยกุญแจมือ
   “พวกคุณทะเลาะกันแล้วมาลงที่ผม” ชายหนุ่มยังคงพูดต่อด้วยสีหน้าถมึงทึง เขารู้สึกโมโหมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
   “นายไม่มีสิทธิ์จะพูด แต่ถ้านายอยากจะโทษใครล่ะก็ นายก็ต้องโทษหมอนั่น” เว่ยเฟิงปิงกล่าวตอบ ก่อนจะเดินปราดเข้ามา
   นัยน์ตาเรียวยาวกวาดตามองเชลยผู้ที่อยู่ตรงหน้า  ร่างนั้นอยู่ในชุดนอนผ้าแพรสีน้ำตาล ความหวาดกลัวและความไม่ไว้ใจที่สะท้อนอยู่ในแววตาสีน้ำตาล เหมือนนัยน์ตาของสัตว์ป่าตัวเล็กๆ ที่ถูกจับมาขังเอาไว้
   “ได้ข่าวว่านายไม่ค่อยยอมกินอะไรมาหลายวันแล้วนี่ หรือว่าอาหารวันนี้ถูกปาก?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยต่อเมื่อเหลือบไปเห็นชามข้าวที่วางอยู่ ก่อนจะเลื่อนโต๊ะนั้นออกไป
   “คุณสนใจนักหรือไง!” คนถูกถามตอบห้วนๆ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมามองคนถามนับตั้งแต่มาถึงฮ่องกง ฟ่งยังไม่เคยมีโอกาสได้พูดกับชายคนนี้อีกเลย เขามีคำถามหลายอย่างที่อยากจะถาม
   “คุณจับผมมาทำไม?” ฟ่งเริ่มถามจากคำถามที่เขาคิดว่าเขาน่าจะอยากรู้ที่สุด นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบขึ้นมองเขาอีกครั้ง ฟ่งหลบตา เขาเกลียดการถูกมองอย่างดูถูกเช่นนี้
   “ฉันมาที่นี่เพื่อถามนาย ไม่ใช่ให้นายมาตั้งคำถามกับฉัน” เว่ยเฟิงปิงตอบ เขาพยายามจะสะกดอารมณ์เดือดพล่านที่คุกรุ่นอยู่ภายใน
   ชายผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือคนที่ทำให้รูฟัสละทิ้งภารกิจและตามมาถึงฮ่องกง
   ชายหนุ่มคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับรูฟัสกันนะ?
   ความสัมพันธ์แบบไหนที่สำคัญจนทำให้บุรุษผู้มีนัยน์ตาสองสีคนนั้นยอมทิ้งงานและตามมาถึงฮ่องกง.....
   ฟ่งรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา นี่ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเขาคงเดินออกไปโดยไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่ปัญหาคือตอนนี้เขาถูกจับ ซ้ำยังโดนใส่กุญแจมือเอาไว้อีก  ฟ่งพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ เขาไม่ควรแส่หาเรื่องใส่ตัวเพิ่ม
   “นายกับรูฟัสเป็นอะไรกัน?” ในที่สุดเว่ยเฟิงปิงก็เอ่ยประโยคคำถามออกมาหลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่ง เขากลัวคำตอบที่จะได้รับ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากที่จะยืนยันในสิ่งที่เขาสงสัย  ฟ่งหลบสายสาสีฟ้าที่จ้องมา เว่ยเฟิงปิงเคยถามคำถามแบบนี้กับเขามาแล้วตอนที่พบกันครั้งแรก ตอนนั้นเขาถามสวนกลับออกไป และคำตอบที่เขาได้รับทำให้พูดไม่ออก
   ชายคนนี้บอกว่าเป็นภรรยาของรูฟัส
   ฟ่งรู้สึกเดือดขึ้นมาทันใด เขาไม่รู้ว่าที่เว่ยเฟิงปิงพูดมานั้นจะจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ชายคนนี้รู้จักกับรูฟัส และคงมีความสัมพันธ์อะไรกันบางอย่าง แต่จะเป็นความสัมพันธ์แบบไหนนั้นฟ่งไม่อยากที่จะนึก กับชายผู้ที่ไม่ยอมที่จะบอกเขากระทั่งอาชีพที่แท้จริง คงไม่แปลกที่จะไม่บอกเขาในเรื่องอื่นด้วย
   “เป็นคนข้างห้อง!” คนถูกถามตอบเสียงห้วน เขารู้สึกโกรธคนข้างห้องของเขาเอามากๆในตอนนี้ เว่ยเฟิงปิงขยับคิ้วเรียวบางเข้ามาหากันอย่างฉงน ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะพูดซ้ำอีกรอบ “ห้องเขาอยู่ติดกันกับห้องผม ก็แค่นั้น คุณเข้าใจไหม?!”
   คิ้วเรียวบางของเว่ยเฟิงปิงขมวดเข้าหากันมุ่นกว่าเดิม ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างคุกคาม
   “อย่าคิดว่าฉันโง่นะ บอกมาตามตรง นายกับหมอนั่นเป็นอะไรกัน!? อย่าให้ฉันต้องใช้วิธีบังคับ”
   “คุณรู้จักกับเขานี่ ทำไมไม่ไปถามเองล่ะ?!”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตามองเชลยของเขา ฟ่งจ้องตอบ ด้วยอารมณ์โมโหจนเลือดขึ้นหน้า
   “อย่ามาย้อนนะ ฉันอยากรู้จากปากนายตอนนี้ อ๋อ....หรือว่านายกำลังหึง?”
   “หึงบ้าอะไรกัน!” ฟ่งตอบกลับทันที รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว  ริมฝีปากบางของเว่ยเฟิงปิงกระตุกนิดหนึ่ง ก่อนจะก้มต่ำลงมาอีก
   “นายกำลังนึกถึงคำพูดของฉันตอนนั้นอยู่สินะ  สีหน้าของนายมันฟ้อง นายกำลังโมโห โมโหอะไรกัน หืม? โมโหเรื่องที่เขาไม่ยอมบอกนายว่าไปเที่ยวมีอะไรกับใครต่อใครมาก่อนหน้านี้หรือไง?”
   ฟ่งเม้มปากแน่น รู้สึกโมโหหนักขึ้นกว่าเดิม “ในเมื่อคุณรู้จักเขามากขนาดนี้ คุณจะมาเค้นถามผมทำไมกัน”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาอีกรอบ
   “อย่ามากวนประสาทฉันนะ ตอบคำถามมา!”
   “ไม่ตอบ!”
   คำตอบนั้นทำเอาเส้นกั้นอารมณ์ของเว่ยเฟิงปิงขาดผึง
   “อยากโดนนักใช่ไหม?!”
   ฟ่งเพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ควรจะตอบออกไปแบบนั้น เว่ยเฟิงปิงผลักเขาลงบนเตียงอย่างแรง  ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อกุญแจมือกระแทกเข้ากับหลัง ก่อนจะถูกจับให้คว่ำหน้าลง  ร่างบางพยายามจะดิ้นรน แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อขาของเขาถูกอีกฝ่ายกดไว้ ฟ่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจรุนแรงของอีกฝ่ายที่อยู่ด้านหลังหู มันทำให้เขาขนลุก
   “ทำบ้าอะไรน่ะ โอ๊ย!!”
   เว่ยเฟิงปิงจิกผมของอีกฝ่ายให้หันหน้าเข้ามา ก่อนจะประกบริมฝีปากของตัวเองลงไปบนริมฝีปากนิ่มๆ ฟ่งเบิ่งตากว้าง นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้เมื่อถูกจับล็อกในสภาพแบบนั้น
   ปลายลิ้นเรียวดุนดันเข้ามาอย่างคุกคาม หนำซ้ำยังดูดดึงริมฝีปากเขาอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ
   เว่ยเฟิงปิงดูดดึงริมฝีปากนั้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนจูบออก ล้วงมือเข้าไปในกางเกงของฝ่ายที่อยู่ด้านล่างอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ฟ่งสะดุ้งเฮือก เมื่อปลายนิ้วเรียวยาวสัมผัสโดนสะโพก
   “ทำบ้าอะไรน่ะ!!!” หนุ่มสวมแว่นโวยวาย รู้สึกขยะแขยง ริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงปรากฎรอยยิ้มที่ไม่ค่อยน่ามองนัก
   “ตกใจรึ? เขาเคยทำแบบนี้กับนายหรือเปล่า? ถ้านายไม่ยอมตอบ ฉันจะทำให้นายนึกได้เอง!”
   ฟ่งรู้สึกว่าขนตรงท้ายทอยลุกชัน ขณะที่กำลังคิดหาวิธีตอบโต้ เว่ยเฟิงปิงก็ใช้อุ้งมือขยำขยี้หนั่นตะโพกของเขาอย่างก้าวร้าว ร่างที่หันหลังให้สะดุ้งอีกครั้ง ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ มือเรียวก็เลื่อนจากตะโพกเลยไปยังอวัยวะสำคัญที่ซ่อนอยู่ด้านหน้า และใช้ปลายนิ้วเขี่ยเหมือนจะหยอกเล่น ใบหูของอีกฝ่ายแดงจัดทันที
   “ตอบมา!” ร่างเพรียวบางกึ่งกระซิบกึ่งตวาด ฟ่งเม้มปาก ทั้งอายทั้งโมโหกับเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ ไม่เคยคิดเลยว่าเกิดมาชาติหนึ่งจะถูกผู้ชายสองคนล่วงเกินขนาดนี้
   เว่ยเฟิงปิงใช้นิ้วคีบส่วนนั้นเอาไว้สักพักก็ขยับออก ฟ่งรู้สึกเหมือนได้จังหวะพักหายใจ แต่ยังไม่ทันจะได้สูดอากาศเข้าไปเต็มที่ การคุกคามก็เริ่มขึ้นอีก
   สัมผัสคล้ายปลายนิ้วที่สวมถุงมือยางเบียดแทรกเข้าไปยังช่องทางเร้นลับด้านหลังอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวทำให้ร่างผอมสะดุ้งเฮือก หลุดคำพูดออกมาทันใด
   “อย่านะ ผมตอบคุณก็ได้!!” ฟ่งตะโกนสุดเสียง นิ้วมือนั้นชะงักไปนิดหนึ่ง
   “ว่ามา”
   “ก่อนอื่นคุณต้องลุกออกไปก่อน” ฟ่งเปิดฉากต่อรอง เขารู้สึกขนลุก ภาวนาให้อีกฝ่ายเอามือออกไปไวๆ แต่เว่ยเฟิงปิงยังคงนั่งนิ่ง
   “ตอบฉันมาตอนนี้!”
   “โธ่..” ฟ่งคราง  รู้สึกอยากร้องไห้   “ช่วยกรุณาเอามือออกไปก่อนเถอะ แล้วผมจะตอบคุณทุกอย่าง ขอร้องล่ะ”
   ร่างเพรียวบางหัวเราะด้วยความพอใจ ฟ่งรู้สึกเสียหน้า แต่ก็ดีใจที่อีกฝ่ายลุกออกไปเสียที เว่ยเฟิงปิงถอดถุงมือออก ลากเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ เตียงมานั่ง ขณะที่ฟ่งพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
   “เอาล่ะ ตอบคำถามฉันมาได้แล้ว”
------------------------------------------------
   “แกพูดเรื่องจริงมาดีกว่า” โจวยี่กล่าวในที่สุด ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทำงานขนาดราวๆ สี่คูณห้าเมตรสีเหลืองอ่อนอีกครั้งหนึ่ง เขามองหน้าคู่สนทนาผ่านแก้วน้ำใสแจ๋วที่ยังไม่มีร่อยการดื่ม ร่างสูงใหญ่นั้นบิดเบี้ยวไปเพราะการหักเหของแสง แต่แววตาคู่นั้นกลับไม่ได้ลดความน่ากลัวลงไปแต่อย่างใด รูฟัสยังคงนั่งนิ่ง เป็นสัญญาณว่าเขาไม่มีเรื่องที่จะพูดต่อ หนุ่มร่างสูงถอนหายใจ
   “จะให้ฉันเชื่อแกได้ยังไง ในเมื่อแกบอกแค่ว่าแกมีธุระกับคุณชายเจ็ดแล้วจะให้ฉันหาที่อยู่กับแผนผังให้แก ธุระแบบไหนว่ะ?”
   “ฉันบอกแกไม่ได้ แต่เรื่องนี้สำคัญกับฉันมาก ฉันรู้ว่าแกทำได้”
   “คราวที่แล้วแกก็พูดแบบนี้  แล้วไง เกือบบรรลัยทั้งฉันทั้งแก”
   รูฟัสนิ่วหน้า เพื่อนเก่าของเขากำลังจะลำเลิกความหลังอีกแล้ว
   “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังแกระลึกชาติ ฟังนะ ฉันต้องการแค่ที่อยู่กับแบบแปลนด้านใน แกหาได้ โอเคไหม?”
   “ไม่โอเค ได้ยินไหม!” อีกฝ่ายตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดคิด โจวยี่จ้องหน้าเพื่อนของเขา มองลึกลงไปในแววตาสองสีน่ากลัวคู่นั้นเพื่อค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง
   “แกจะไปเอาอะไร?”
   เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ ชายหนุ่มเลยพูดต่อ “ฉันรู้ว่าแกไม่ได้มีธุระกับคุณชายเจ็ด แต่แกอยากจะไปเอาอะไรบางอย่างที่นั่น ถ้าแกมีธุระกับคุณชายเจ็ดจริง แกน่าจะไปหาเขาซึ่งๆ หน้า หรือว่าแกอยากจะไปลักหลับเขา”
   “ตลก” รูฟัสตอบด้วยสีหน้าที่ขำไม่ออก โจวยี่พ่นลมหายใจยาว
   “พูดตรงๆ ว่ารอบนี้แกมาแปลกมาก ปกติแกไม่ใช่คนที่พูดอะไรไม่เคลียร์แบบนี้ ของนั่นสำคัญมากหรือไง ทำไมถึงบอกฉันไม่ได้ หรือคนที่จ้างแกมาเขาห้ามบอก”
   “อืม” รูฟัสตอนเรียบๆ โจวยี่ตบมือป๊าบ
   “แปลว่าฉันเดาถูก แกกำลังจะไปเอาของ ไม่ได้มีธุระกับคุณชายเจ็ดอย่างที่แกว่าเสียหน่อย”
   รูฟัสถอนหายใจอย่างรำคาญ “เออ แกเดาถูก แต่ของนั่นเป็นของฉันแต่แรก ฉันแค่จะไปเอาคืน”
   “เฮ้ย!! แปลว่าแกเจอกับเขาแล้วงั้นสิ แล้วเขาเอาอะไรไปจากแกว่ะ? น่าแปลกที่ไม่ยักจะเอาหัวแกไปด้วย เขาขโมยหัวใจแกไปแทนหรือไง?”
   รูฟัสจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเคือง จนโจวยี่ต้องพูดต่อ “โอเค ฉันไม่แซวแกแล้ว  แต่ฉันจะบอกอะไรนายให้ว่าถ้าแกคิดจะเข้าไปเอาอะไรที่นั่นล่ะก็ เลิกคิดดีกว่า ทางที่ดีแกควรจะหาวิธีอื่น”
   “มันแย่มากเลยหรือไง?”
   “แย่ยิ่งกว่าแย่” โจวยี่ตอบ ใบหน้าเครียดลง
   “ตั้งแต่แกก่อเรื่องเอาไว้เมื่อหกปีก่อน ตระกูลเว่ยเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยหนักเข้าไปอีก ยิ่งคุณชายเจ็ดกลับมามีอำนาจ ตึกที่เขาอยู่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนามาก จนตอนนี้ยังไม่มีใครลอบเข้าไปได้เลย”
   คนพูดเงียบไปพักหนึ่ง จ้องหน้าเพื่อนกลับอย่างจริงจัง
   “ฉันไม่ได้ล้อแกเล่นนะรูฟัส แกควรจะหาวิธีอื่น”
   “วิธีอะไรล่ะ” รูฟัสถาม โจวยี่ยิ้มอย่างมีเลสนัย
   “บอกมาก่อนสิว่าแกจะไปหาอะไร ฉันจะได้ช่วยคิด ฉันไม่ขอแบ่งค่าจ้างแกหรอก แต่ฉันแค่อยากรู้ว่าของอะไรที่ทำให้คนที่เย็นอย่างกับน้ำแข็งขั้วโลกอย่างแกเดือดได้ขนาดนี้”
   ฝ่ายถูกถามนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ทำให้คนถามยิ่งได้ใจ “ถ้าแกเงียบแบบนี้ฉันก็จะเดาต่อ อันที่จริงที่ฉันบอกว่าจะไม่ขอแบ่งค่าจ้างนี่ฉันแสดงความใจกว้างกับแกแล้วนะ ฉันรู้ว่างานนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของแก ไม่มีใครจ้างแกมาหรอก เพราะฉะนั้น แกบอกฉันมาดีกว่าว่าแกจะไปเอาอะไร”
   ในที่สุดรูฟัสก็แค่นยิ้มออกมาได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน
   “แกนี่น่าจะไปหางานเป็นพวกนักสืบหรือพวกตำรวจสอบสวนแทนมาเปิดบ่อนนะ”
   โจวยี่แค่นหัวเราะ
“ฉันว่าสักวันคนพวกนั้นคงมาคุกเข่ากราบกรานให้ฉันไปเป็นอาจารย์ แกคอยดูสิ เอาล่ะคราวนี้แกจะตอบคำถามของฉันได้หรือยัง?”
รูฟัสพยักหน้า หลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมขึ้นมา
   “ฉันมาตามหาคน”
----------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #31 เมื่อ23-05-2011 21:43:38 »

บทที่12 ใครสักคน
   จางซื่อเยี่ยนนั่งอยู่บนโซฟาสีน้ำเงินซึ่งวางอยู่หน้าห้อง นัยน์ตาสีดำราวอีกาจ้องไปยังความว่างเปล่าตรงหน้า ตอนนี้เจ้านายของเขากำลังคุยธุระอยู่กับชายอีกคนหนึ่งซึ่งถูกพาตัวมาจากประเทศไทย จางซื่อเยี่ยนไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับชายคนนี้มากนัก ดูเหมือนว่าเขาจะมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าฟ่ง และคงมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับชายที่ชื่อว่ารูฟัส เจ้านายของเขาวางแผนจะใช้คนคนนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองให้รูฟัสยอมปรากฏตัว  แม้ว่าฟ่งจะดูไม่มีพิษมีภัย แต่เขากลับรู้สึกไม่ไว้ใจที่จะทิ้งให้เจ้านายของเขาอยู่กับชายคนนี้ตามลำพัง
   ความจริงคือเขาไม่ไว้ใจเว่ยเฟิงปิง
   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินยังค้างคาอยู่ในหัวสมอง จางซื่อเยี่ยนพยายามสลัดภาพนั้นให้พ้นไปจากความคิด ตลอดเวลาเกือบหกปีที่มีโอกาสได้สัมผัสผู้ชายที่ชื่อเว่ยเฟิงปิง เขาไม่เคยเห็นผู้เป็นเจ้านายแสดงกิริยาแบบนี้กับใคร เว่ยเฟิงปิงไม่มีท่าทีว่ามีความรู้สึกเสน่หากับใครมาก่อน แต่จู่ๆ กลับจูบกับตัวประกันที่ตัวเองเพิ่งเคยเห็นหน้าบนเครื่องบิน
   จูบ…..
   พอนึกภาพที่ริมฝีปากอ่อนบางนั้นแนบสนิทเข้ากับริมฝีปากที่ไม่รู้จัก หัวใจของจางซื่อเยี่ยนกลับรู้สึกปวดแปลบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แม้จูบนั้นจะกินเวลาเพียงเสี้ยวสั้นๆ แต่คล้ายเป็นเหล็กร้อนประทับลึกลงไปในภาพความทรงจำของเขาก็ไม่ปาน
 ตอนนั้นเว่ยเฟิงปิงคิดอะไรอยู่กันแน่? ทำไมถึงได้ทำแบบนั้น?
   จางซื่อเยี่อนไม่อาจให้คำตอบกับคำถามนี้ได้ ชายหนุ่มเอนตัวไปด้านหลัง ยกมือก่ายหน้าผาก เขาควรจะหยุดคิดฟุ้งซ่านแบบนี้เสียที
   เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้น
   จางซื่อเยี่ยนรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้  เขาไม่อาจจะละสายตาไปจากเว่ยเฟิงปิงได้ สิ่งที่เขาทำได้มีแค่เพียงการเก็บงำความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ แสดงบทเป็นลูกน้องที่แสนภัคดีผู้ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยไปกว่าคำว่าเจ้านาย
   ขอเพียงแค่ได้อยู่เคียงข้างดูแลผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าจะในฐานะอะไรเขาก็พร้อมยอมรับ
----------------------------------------
   ความเงียบอันน่าอึดอัดเข้าปกคลุมห้องอีกครั้ง ฟ่งนั่งห้อยขาลงมาจากเตียง รู้สึกรำคาญกุญแจมือที่สวมอยู่ด้านหลัง แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมานึกหงุดหงิด เขามองไปยังชายหนุ่มที่นั่งเก้าอี้อยู่ตรงข้าม นัยน์ตาสีฟ้าเรียวเล็กคู่นั้นจ้องตรงมาอย่างคุกคาม จนทำให้หนุ่มสวมแว่นต้องก้มหน้าลงอีกครั้ง
   เขาจะเริ่มพูดเรื่องนี้อย่างไรดี
   ฟ่งขยับมือเพื่อที่จะยกขึ้นเกาศีรษะอย่างเคยชิน ก่อนจะพบว่ามันถูกล็อกติดกันอยู่ ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ทำจมูกย่นอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก นั่งยึกยักอยู่นานจนอีกฝ่ายเกือบจะหมดความอดทน
   “ผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มที่ตรงไหน คือ ยังไงดีล่ะ…” ฟ่งพูดอ้อมแอ้ม เขานึกไม่ออกว่าจะเล่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนข้างห้องอย่างไรให้ไม่น่าเกลียด ชายหนุ่มรู้สึกกระดาก เมื่อนึกว่าจะต้องบอกคนอื่นว่าเรื่องที่มีอะไรกับคนข้างห้องโดยที่ไม่รู้มาก่อนว่าชายคนนั้นเป็นใครกันแน่
   เว่ยเฟิงปิงนิ่งรออย่างอดทน ได้ยินฝ่ายตรงข้ามสูดหายใจอีกหลายหน กว่าจะพูดต่อออกมาได้ “คือ เขามาช่วยผมยกของตอนย้ายห้อง หลังจากนั้นเราก็เป็นเพื่อนกัน.....”
   ความเงียบดำเนินต่อจากนั้นเป็นเวลานาน จนอีกฝ่ายต้องถามขึ้น “แล้วยังไงอีก?”
   “แล้วผมก็เจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ไง!” ฟ่งตอบ รู้สึกโมโหขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงคนข้างห้อง เว่ยเฟิงปิงเขม่นสายตาจ้องคนตรงหน้าต่อ พลางเค้นเสียงถาม
   “นายรู้จักผู้ชายคนนั้นขนาดไหน? เขาบอกอะไรนายบ้าง?”
   ฟ่งทำหน้าปั้นยาก แต่ก็ตอบไปตามที่ได้ยินได้ฟังมา “เขาบอกผมว่าเข้ามาทำธุรกิจ แค่นั้นแหละ”
   “แล้วนายก็เชื่อเขาอย่างนั้นหรือ?” คนถามย้ำอีกครั้ง ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้
   “คุณคงคิดว่าผมโง่มาก” ฟ่งพูด รู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอกไม่รู้ตัว สีหน้าดูหมองลงไปถนัด
   “เปล่า” เว่ยเฟิงปิงตอบกลับเสียงเรียบ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมามองทันที เขาเห็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นเต้นระริกชั่วครู่ด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่านที่ผุดพุ่งมาจากส่วนลึกของจิตใจ ก่อนจะกลับไปนิ่งสงบเหมือนแก้วกระจก น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยคำพูดต่อ
   “แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันอยากรู้ เอาล่ะ ฉันจะถามนายตรงๆ นายมีอะไรกับคนคนนั้นแล้วใช่ไหม?”
   ฟ่งไม่คิดว่าจู่ๆ จะถูกถามคำถามแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากตอบออกไปที่สุด ชายหนุ่มอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เป็นนาน เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร สุดท้ายจึงพยักหน้าช้าๆ เหมือนนักโทษที่ถูกไล่ต้อนจนต้องยอมรับสารภาพ
“อืม”
นัยน์ตาสีฟ้าที่ทอดมองลงไปสั่นไหวอีกครั้ง เว่ยเฟิงปิงไม่ได้รู้สึกโกรธชายที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับรู้สึกสงสาร
ผู้ชายคนนี้ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายนัยน์ตาสองสีคนนั้นเลย คงได้ยินได้ฟังแต่เรื่องโกหกมาโดยตลอด กระทั่งไว้ใจยอมให้มีสัมพันธ์ด้วย ดังนั้นความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้คงไม่ต่างอะไรจากการถูกหักหลังโดยคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด
ความเจ็บปวดคงไม่ต้องอธิบาย
“ผม....ขอโทษ...” ฟ่งกล่าวเสียงพร่า รู้สึกเหมือนก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายขอโทษเรื่องอะไร แต่ขณะจะเอ่ยปากถามก็พลันนึกขึ้นได้
ฟ่งคงยังเข้าใจผิดเรื่องเขากับรูฟัสแน่ๆ
คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยตัดสินใจว่าควรจะปล่อยให้เชลยของตนคิดอย่างนั้นต่อไป ความริษยาเข้าครอบงำจิตใจของเขาอีกครั้ง
   “ขอบใจที่ให้ความร่วมมือ ฉันจะให้ซื่อเยี่ยนมาถอดกุญแจมือให้” ผู้มีใบหน้าเรียวยาวราวพญางูกล่าวและผุดลุกขึ้น คนนั่งอยู่รีบพูดต่อ
   “ดะ เดี๋ยวก่อน”
   เว่ยเฟิงปิงเหลือบนัยน์ตาสีฟ้าใสมามองอย่างไม่ค่อยให้เกียรตินัก ฟ่งมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันนิดหน่อย แต่ตัดสินใจพูดออกไป
   “คือ....คุณจะตอบคำถามผมสักข้อได้หรือเปล่า? ผมอยากรู้ว่ารูฟัสเป็นใครกันแน่”
   ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงปรากฎรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มประชดประชันอันน่ารังเกียจ
   “นายอยากรู้จริงๆ หรือ?” ร่างเพรียวกล่าว และเดินกลับเข้ามานั่งอีกครั้ง โน้นหน้าลงมองคนที่นั่งอยู่อย่างตั้งใจ ก่อนจะพูดช้าๆ
   “ผู้ชายคนนั้นเป็นสายลับ”
   คำตอบที่ได้รับทำให้ร่างบางที่นั่งอยู่ถึงกับอึ้ง ฟ่งไม่รู้ว่าควรจะถามอะไรต่อ หัวสมองมึนงงไปหมด เว่ยเฟิงปิงสำรวจปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ
   “หมอนั่นทำงานเหมือนขโมย ยังต้องให้ฉันอธิบายอะไรอีกไหม?”
   หลังจากไม่มีคำตอบใดนอกจากนัยน์ตาสีน้ำตาลที่สั่นระริก เว่ยเฟิงปิงผุดลุกขึ้น และเดินออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ
   ริมฝีปากบางกระตุกรอยยิ้มบิดเบี้ยว
--------------------------------------------
   ราฟาแอลอ่านบันทึกในสมุดบันทึกเล่มเล็กที่รูฟัสทิ้งไว้ให้ พลางเกาหัวด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เขามาถึงประเทศไทยได้สองวันแล้ว โดยที่ยังไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมเพื่อนร่วมงานถึงทิ้งหน้าที่ไปกะทันหัน เมี่ยงไม่ยอมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพียงแต่บอกว่ารูฟัสมีธุระสำคัญ  ราฟาแอลไม่อยากขู่เข็ญผู้หญิง อีกอย่างงานที่ยังค้างอยู่มีความจำเป็นเร่งด่วนกว่า  เขาเชื่อว่ารูฟัสคงจะโผล่หัวกลับมาในไม่ช้า
   ไว้ถึงตอนนั้นจะคิดบัญชีให้หนัก
   ชายหนุ่มผมบลอนด์พลิกสมุดบันทึกเล่มนั้นดูอีกครั้ง เด็กนั่นทำงานไว้ดีเช่นเคย ราฟาแอลรู้สึกดีใจที่สิ่งที่อยู่ในสมุดบันทึกเป็นลายมือของรูฟัส นี่ถ้าเป็นลายมือเขาเองมันคงถูกปาทิ้งลงถังขยะไปนานแล้ว
   ร่างสูงวางสมุดบันทึกลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปที่เตียง ตอนนี้เขาอยู่ในห้องพักซึ่งรูฟัสเคยพักอยู่ ราฟาแอลล้วงมือเข้าไปใต้ที่นอน หยิบเอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งขึ้นมา เปิดมันออก พลางคว้าแก้วกาแฟที่ดื่มค้างอยู่ขึ้นมาจิบ ระหว่างรอโหลดข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ ไฟล์ตัวอักษรและภาพถ่ายจำนวนมากปรากฏขึ้นหลังจากนั้น หนุ่มผมบล็อนด์ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
   เจ้ารูฟัสกำลังทำงานไปได้ทีแท้ๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
   ความสงสัยนี้ทำให้ราฟาแอลทำในสิ่งที่ไม่ค่อยจะทำนัก เขานึกถึงคนข้างห้องที่รูฟัสมักจะชวนออกไปทานข้าวเป็นประจำ ออกไปสอบถามดูหน่อยคงไม่เสียหาย บางทีอาจจะได้ข้อมูลดีๆ ก็ได้ เมื่อคิดดังนั้นเจ้าตัวจึงเปิดประตูห้องออกไป
   ราฟาแอลหยุดยืนที่หน้าห้อง1127 และยกมือขึ้นเคาะประตู
   “............”
   เงียบกริบราวกับไม่มีใครอยู่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเคาะซ้ำอีกครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับเหมือนเดิม
   หนีตามกันไปหรือไงว่ะ!
   หนุ่มผมบล็อนด์นึกประชด ก่อนจะเดินกลับห้องไป หยิบกาแฟที่ยังค้างอยู่ในแก้วมาดื่มรวดเดียวจนหมด พรุ่งนี้เขายังต้องเผชิญกับเรื่องวุ่นวายอีกมาก ชายหนุ่มวางแก้วกาแฟลงบนอ่างล้างจาน ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมานับธนบัตรที่แลกเอาไว้ พลางขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด หลายวันมานี่เขาต้องจ่ายค่าแท็กซี่แพงกว่าปกติเพื่อสั่งให้พาเขาไปให้ถึงที่หมายอย่างเร็วที่สุดแทนที่จะพาเวียน
   ราฟาแอลภาวนาให้รูฟัสกลับมาไวๆ ก่อนที่เขาจะเผลอยิงใครทิ้งไปเสียก่อน
-----------------------------------
   “สรุปว่า คุณชายเจ็ดลักพาตัวคนรักของแกมา?”
   โจวยี่พูดพลางจ้องหน้าเพื่อน  รูฟัสพยักหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าประหลาด
   “เอ่อ...รูฟัส ถึงฉันจะเคยโกรธแกเรื่องหยุนหมิง แต่ฉันไม่ปัญญาอ่อนขนาดจะเชื่อเรื่องงี่เง่าแบบนี้ของแกหรอกนะ ทางที่ดีแกสารภาพมาตรงๆ ดีกว่า ว่าแกวางแผนอะไรอยู่กันแน่”
   หนุ่มตาสองสีขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด อธิบายซ้ำอีกรอบ
   “แกจะเอาไงว่ะ ฉันก็พูดไปหมดแล้วแล้ว แฟนฉันโดนเฟิงปิงลักพาตัวมา”
   “หยุดๆ” โจวยี่กล่าวพลางทำหน้าเหมือนเห็นฟ้าถล่ม รูฟัสถลึงตามองเพื่อน ขณะที่อีกฝ่ายพูดด้วยสีหน้าสยดสยองถึงขีดสุด
   “แก...ผีเข้าเรอะ!! จะโกหกทั้งที เลือกเรื่องที่มันขนลุกน้อยกว่านี้ไม่ได้หรือไงว่ะ หน้าอย่างแกเนี่ยนะมีคนรักกับเขา ถามจริงเหอะรูฟัส คุณชายเจ็ดเขาเอาอะไรให้แกกินรึเปล่าว่ะ?”
   รูฟัสรู้สึกตัวเองต้องใช้ความอดทนมากกว่าปกติ ในการระงับมือไม่ให้ยื่นไปต่อยดั้งจมูกของเพื่อนเก่าจนเลือดกบปาก ชายหนุ่มเหลือบตามองคนตรงหน้าอีกครั้ง
   โจวยี่กะพริบตาปริบๆ
   “ฉันพูดเรื่องจริง” รูฟัสยืนยันเสียงเรียบ และบอกตัวเองให้อดทนต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าถอดสี
   “โลกต้องใกล้แตกแล้วแน่ๆ” โจวยี่พึมพำ พลางมองหน้าเพื่อนซ้ำอีกรอบ “โอ๊ย!! รูฟัสมีแฟน นี่ถ้าแกไม่พูดออกมาเอง จ้างสิบล้านฉันก็ไม่เชื่อเด็ดขาด คนอย่างแกมันเคยรักใครเป็นด้วยหรือไงว่ะ?”
   “เอาล่ะ ตกลงแกจะช่วยหรือไม่ช่วย” คนนั่งอยู่พูดสวน คนฟังกะพริบตาปริบๆ อีกรอบ ก่อนจะถอนหายใจ
   “เอ่อ..ฉันอยากจะบอกหรอกว่าไม่ช่วย แต่วันนี้แกมาแปลกมาก” ชายหนุ่มผู้มีผมยาวถึงเอวเว้นจังหวะเพื่อหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “ฉันจะเชื่อเรื่องที่แกพูดดูสักครั้งก็ได้”
   กล่าวจบก็เงียบไปนาน จนรูฟัสต้องถามขึ้น “เป็นอะไร?”
   “เปล๊า!” เสียงของโจวยี่ถูกดัดจนแปร่ง รูฟัสขมวดคิ้วยุ่ง คนพูดก่อนทำท่าเหมือนกับจะสำลักน้ำ พูดไปหัวเราะไป
   “คือ มันอดขำไม่ได้นะ พอคิดว่าคนแบบแกมีคนรักเป็นกับเขาด้วย ฮ่ะ ฮ่ะ”
   “ถ้ามันตลกมากก็เชิญแกหัวเราะให้ตายไปเลย” รูฟัสกัดฟันกล่าว ถลึงตามองเพื่อน โจวยี่โบกมือ ยังคงหัวเราะร่วน
   “ไม่เอาน่า ก็แกแกล้งคนอื่นไว้เยอะนี่นา พอเห็นแกมีจุดอ่อนแบบนี้แล้วมันก็อดไม่ได้”
   รูฟัสเอนหลังลงกับเก้าอี้ มองดูเพื่อนเก่าด้วยความหมั่นไส้
   “แล้วตกลงว่ายังไง”
   โจวยี่หันมามองหน้าเพื่อนด้วยใบหน้าฝืนสะกดร้อยยิ้มเอาไว้อย่างยากลำบาก
   “แหม....ไม่บอกฉันหน่อยเหรอว่าคนรักแกหน้าตาเป็นยังไง น่ารักรึเปล่า หืม? โอ๊ะ! แกอายล่ะสิ ฮ่ะฮ่ะ แหม พ่อหนุ่มคาสโนว่ามีคนรักแล้ว ราฟาแอลรู้หรือยังว่ะ?”
   “ยัง แล้วฉันก็ไม่ใช่หนุ่มคาสโนว่า นั่นมันราฟี่ต่างหาก”
   “ตอแหลหน้าด้านๆ ฉันเห็นแกฟันไม่เลือกทุกที”
   “นั่นมันงาน ไม่เกี่ยวกัน”
   “เรอะ รู้รึเปล่า หน้าแกตอนนี้ตลกชะมัดยาด”
   รูฟัสนิ่วหน้า โจวยี่หัวเราะก๊าก “หน้าแกแบบนี้ฉันไม่เคยเห็นเลยว่ะ ปกติแกดีแต่แกล้งคนอื่น แหม...สนุกดีจริงๆ ว่ะ ฉันเข้าใจความรู้สึกแกเวลาแกล้งใครแล้วล่ะ”
   นัยน์ตาสองสีหรี่ลง ก่อนจะพูดเปรยๆ “เด็กใหม่แกก็น่ารักดีนะ ฉันชักจะสนใจขึ้นมาแล้วสิ”
   โจวยี่หุบยิ้มลงทันใด “เฮ้ย ไหนว่ามีคนรักแล้วไง!”
   “ก็แกเพิ่งบอกเองว่าฉันเป็นหนุ่มคาสโนวา มีเพิ่มอีกคนสองคนจะเป็นไรไป” รูฟัสพูดพลางมองหน้าเพื่อน และยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ โจวยี่นิ่วหน้า ยกมือขึ้นลูบผมยาวๆ ของตน ก่อนจะถอนหายใจ
   “ลืมไปว่าแกคือรูฟัส”
   รูฟัสนั่งพยักหน้าเงียบๆ โจวยี่กวาดมามองเพื่อนอีกรอบ นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ นัยน์ตาเหยี่ยวหรี่ลงอย่างครุ่นคิด ท้ายที่สุดก็กล่าวขึ้น
   “ตกลง ฉันจะช่วยแก แต่มีข้อแม้นะ”
   “อะไรล่ะ?” รูฟัสเอ่ย ในตอนนี้เขาพร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อแลกกับการเอาตัวฟ่งกลับคืนมา หนุ่มผมยาวเผยอยิ้มอย่างมีเลสนัยน์ อ้าปากเอ่ยสิ่งที่ต้องการให้คนนั่งตรงข้ามให้ยินชัดๆ
นัยน์ตาสองสีที่นั่งฟังอยู่เบิกโพลง
----------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนลุกขึ้นทันทีที่ประตูสีขาวเปิดออก เจ้านายของเขาก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผยเช่นเคย
   “ฉันคุยธุระเสร็จแล้ว อย่าลืมจัดการปล่อยหมอนั่นด้วยล่ะ”
   ชายหนุ่มผู้เป็นลูกน้องพยักหน้าเงียบๆ เช่นเคย ก่อนที่เจ้านายของเขาจะเดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง จางซื่อเยี่ยนจับได้ว่าหางเสียงของเว่ยเฟิงปิงแปลกออกไปจากทุกที มันดูพร่า และร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก เขาอยากที่จะตามไปดูแลเจ้านายของเขามากกว่าจัดการเรื่องตัวประกันที่อยู่ด้านในเสียอีก แต่การขัดคำสั่งแบบนั้นไม่เป็นผลดี ร่างสูงจึงเปิดประตูสีขาวเข้าไป
   ฟ่งยังคงนั่งปุอยู่บนเตียง สีหน้าบอกบุญไม่รับเช่นเคย จางซื่อเยี่ยนเดินเข้าไปใกล้ ล้วงเอากุญแจดอกเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หนุ่มสวมแว่นขยับหันหลังและยื่นข้อมือที่ถูกพันธนาการอยู่ให้อีกฝ่าย นึกดีใจที่จะได้หลุดจากกุญแจมือบ้าๆ นี่เสียที จางซื่อเยี่ยนก้มตัวลง สอดกุญแจเข้าไปในช่อง ก่อนจะกระซิบเบาๆ
   “คุณพูดอะไรกับเจ้านายผม?”   
   ฟ่งรู้สึกขนลุกเกรียวเมื่อลมหายใจอุ่นกระทบหลับใบหู เขาเกลียดเวลาที่มีคนมากระซิบแบบนี้ที่สุด โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ชายหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัด และพบว่ากุญแจมือยังไม่ถูกปลดออก
   “ผมก็ตอบเท่าที่เขาถามนั่นแหละ” ฟ่งพูด ภาวนาให้ไม่เกิดเรื่องบ้าๆ ขึ้นอีก แค่เมื่อครู่เขาก็ขยะแขยงแทบตายแล้ว
   จางซื่อเยี่ยนอ้าปากจะถามต่อ แต่ความคิดบางอย่างทำให้ร่างสูงโปร่งตัดสินใจหุบปากในตอนสุดท้าย เสียงกริ๊กเบาๆ ดังขึ้น ทันทีที่มือทั้งสองข้างเป็นอิสระ ฟ่งถอยกรูดจนแทบจะติดผนังห้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาอย่างหวาดระแวง
   จางซื่อเยี่ยนมองดูเชลยด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์เช่นเคย ก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ
   ---------------------------------
   ฟ่งถอนหายใจทันทีที่ได้ยินเสียงล็อกประตู แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกยินดีนักที่ถูกขังต่อ แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่าภัยคุกคามแบบแปลกๆ จะไม่มาเยี่ยมอีกซักพัก
   ตอนที่จางซื่อเยี่ยนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ฟ่งหัวใจหล่นวูบ เขากลัวว่าลูกน้องจะใช้วิธีการข่มขู่แบบเดียวกันกับเจ้านาย
   พอนึกถึงสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงทำเอาไว้ ชายหนุ่มมีสีหน้าพะอืดพะอมขึ้นมาทันที ร่างผอมวิ่งพรวดพราดไปยังห้องน้ำ ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำล้างปากอย่างเอาเป็นเอาตาย
   จูบของผู้ชาย...
   แค่คิดก็อยากอาเจียน ฟ่งวิ่งไปที่ชักโครก ขย้อนน้ำลายเหนียวๆ ออกมาก้อนหนึ่ง ก่อนจะกลับไปที่อ่างล้างหน้าต่อ
   ชายหนุ่มวักน้ำขึ้นล้างปากอีกรอบ รู้สึกเหมือนล้างเท่าไร ความรู้สึกขยะแขยงนั่นก็ไม่หมดไปเสียที ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองกระจก เห็นใบหน้าซูบเซียวของตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้น
   เขาจะต้องเจอกับเรื่องบ้าๆ แบบนี้ไปอีกนานเท่าไรกัน?
   ชายหนุ่มคิดขณะมองดูเงาสะท้อนบนกระจก ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา
   รูฟัส…….

   “ผู้ชายคนนั้นเป็นสายลับ เป็นขโมย.....”
   คำพูดของเว่ยเฟิงปิงก้องขึ้นมาในหัว ฟ่งรู้สึกเหมือนโลกเหวี่ยง ต้องใช้สองมือจับอ่างน้ำเอาไว้เพื่อพยุงตัว
   สายลับ ขโมยงั้นหรือ?
   ฟ่งเคยได้ยินคำว่าสายลับมาบ้าง เขาคิดว่าคนพวกนั้นน่าจะอยู่ในองค์กรใหญ่ๆ มากกว่ามาเช่าห้องพักอยู่ใกล้ๆ เขา แต่รูฟัสไม่ได้อยู่ห้องตลอด ใช่ล่ะ บางทีผู้ชายคนนั้นก็กลับมาในรุ่งเช้า ท่าทางเหมือนไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน
   ฟ่งแค่นยิ้มให้กับตัวเอง เขารู้สึกโมโหอยู่ทุกทีเมื่อนึกถึงรูฟัส แม้จะยังไม่ปักใจเชื่อแน่ว่าสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงพูดมาจะเป็นความจริง แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าชายที่ชื่อรูฟัสนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าตัวอธิบายไว้ตอนแรก อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นแค่นักธุรกิจกินมรดกธรรมดา
   ไม่ว่ารูฟัสจะเป็นสายลับหรือขโมย ที่แน่ๆ คนคนนั้นพูดโกหก
   หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้ว จิ๊ปากอย่างหงุดหงิด
   มันน่าชกซักหมัดหนึ่ง หรือจะมากกว่านั้นดี
ฟ่งอยากจะต่อยรูฟัสให้สะใจ แล้วค่อยเค้นคอให้บอกเรื่องจริงทั้งหมด แต่จะหาผู้ชายคนนั้นเพื่อชกหน้าได้ที่ไหนกันล่ะ?!
ร่างบางกระชากประตูห้องน้ำออกมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว พลางคิดว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ พลันสายตาเหลือบไปเห็นประตูสีขาวที่ปิดล็อกเอาไว้
หนี!
ความคิดนี้กลับเข้ามาสู่หัวสมองของฟ่งอีกครั้ง
----------------------
   เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินแกรนิตดังเป็นจังหวะต่อเนื่อง ชายหนุ่มผู้มีชื่อว่าจางซื่อเยี่ยนเดินไปตามทางเดินที่ปูยาวผ่านห้องต่างๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่ออีกร่างหนึ่งเดินสวนเข้ามา
   “พี่จะไปหาคุณชายหรือครับ?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า ผู้ที่เดินสวนเข้ามาคืออาเง็ก เด็กหนุ่มนิ่งไปอึดใจหนึ่งจึงพูดต่อ
   “ถ้าเป็นเรื่องหมายกำหนดการของวันนี้ คุณชายฝากบอกผมมาว่าให้เลื่อนออกไปให้หมดครับ”
   “!” คนได้ฟังเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ พลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เพิ่งจะสิบโมงสิบห้า วันนี้เจ้านายของเขามีกำหนดการต้องไปเจรจาธุรกิจสำคัญที่คอสเวย์เบย์ และยังกำหนดการเข้าพบของหัวหน้าสาขาอื่นๆ อีก
   “คุณชายบอกหรือเปล่าว่าทำไม?”
   อาเง็กส่ายหน้า “คุณชายบอกแค่ว่าให้มาบอกพี่เยี่ยนด้วยว่าไม่ต้องไปตาม แต่ผมว่าท่าทางคุณชายดูแปลกๆ”
   “อืม ขอบใจ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว เด็กหนุ่มค้อมหลังเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านออกไป หนุ่มผมยาวมองตรงไปยังขั้นบันไดสีดำสนิท ซึ่งเป็นทางเชื่อมไปสู่ห้องทำงานเจ้านายของเขา
   เกิดอะไรขึ้นกับเว่ยเฟิงปิงกันแน่?
--------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงานสีดำที่ตั้งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานีสีแดงฉลุลายอย่างจีนที่เขาเพิ่งประมูลมาได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้  ร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ กลิ่นบุหรี่จางๆ จากที่เขี่ยบุหรี่เงินลงรักลอยมาแตะจมูก เว่ยเฟิงปิงเปิดกล่องไม้บุเงินรมดำที่ใช้ใส่บุหรี่ ก่อนจะปิดมันลง แล้วเปิดมันซ้ำอีกครั้งอย่างลังเล ชายหนุ่มรู้ตัวว่าช่วงนี้สูบจัดจนน่าตกใจ แต่เว่ยเฟิงปิงไม่มีทางออก  เรื่องของชายคนนั้นทำให้เขาแทบคลั่ง
   รูฟัส
   อยู่ๆ เขาก็รู้สึกตีบตันในลำคอ เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกไว้ เว่ยเฟิงปิงพยายามอย่างยิ่งที่จะกลืนมันลงไป ก่อนจะกะพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกว่าน้ำใสๆ เริ่มจะทะลักออกมา ร่างบางสูดหายใจลึก เขาจะปล่อยให้ความรู้สึกแบบนี้เข้ามาครอบงำไม่ได้ แต่ความรู้สึกใช่ว่าจะห้ามกันได้ง่ายๆ
   นิ้วเรียวยาวตัดสินใจหยิบบุหรี่ออกมาจากกล่อง ขณะที่กำลังจะเสียบมันเข้ากับก้นกรองที่ใช้ประจำ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   “ฉันสั่งอาเง็กไว้แล้วนี่ ว่าให้บอกนายเรื่องหมายกำหนดการ” เว่ยเฟิงปิงพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่เปิดประตูเข้ามา
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบ และปิดประตู เว่ยเฟิงปิงไม่รู้สึกแปลกใจกับการมาของลูกน้องคนนี้ เขารู้อยู่แล้วว่าจางซื่อเยี่ยนไม่ใช่คนที่จะทำทุกอย่างตามที่เขาสั่ง  แน่ล่ะหมอนี่ไม่ใช่ลูกน้องของเขาสักหน่อย แต่เป็นคนที่พ่อส่งมาคุมเชิงต่างหาก

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #32 เมื่อ23-05-2011 21:50:42 »

   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อนึกถึงผู้เป็นบิดา
   “มีปัญหาอะไร?”    ชายหนุ่มถามต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ
   “ผมจะมาถามเหตุผลเพื่อนำไปแจ้งการเลื่อนนัดครับ”
   “บอกไปว่าฉันไม่สบาย”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบรับ แต่ก็ยังไม่ขยับไปไหน นัยน์ตาเรียวยาวสีฟ้าตวัดมาอีกครั้งอย่างคุกคาม เมื่อเห็นว่าฝ่ายโน้นยังคงยืนนิ่ง
   “ถ้าหมดธุระแล้วก็ออกไป” เฟิงปิงตัดบทเป็นเชิงไล่อย่างทุกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าออกออกไปทางหน้าต่าง ซักพักจึงได้ยินจางซื่อเยี่ยนจึงพูดขึ้น
   “จะให้เลื่อนไปเป็นวันไหนครับ?” คิ้วคู่งามขมวดเข้าหากันทันที อีกฝ่ายพูดต่อ
   “หมายกำหนดการของคุณยาวไปถึงเดือนหน้า ไม่ทราบว่าจะให้เลื่อนนัดของคุณเฟย กับคุณหวังไปวันไหนครับ?”
   “..........”
   ความเงียบกินเวลาชั่วอึดใจหนึ่ง ท้ายที่สุดผู้เป็นเจ้านายจึงเอ่ยปาก “เลื่อนไปไม่มีกำหนดแล้วกัน”
   “แต่ท่านสองคนนั้นไม่ได้ว่างตลอดนะครับ ถ้าพลาดการเจรจาครั้งนี้ไป เราจะเสียรายได้ไปหลายส่วนนะครับ” จางซื่อเยี่ยนพูดเสียงเรียบ คิ้วของเว่ยเฟิงปิงขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม
   “ฉันรู้” ผู้เป็นเจ้านายตอบอย่างรำคาญใจ เขาหันกลับมา จ้องมองลูกน้องที่อยู่ตรงหน้า พลางประเมินสถานการณ์ของตนในตอนนี้อย่างช้าๆ เรื่องที่จางซื่อเยี่ยนพูดมาก็มีส่วนถูก ถ้าเขาเลื่อนนัดวันนี้ ก็เท่ากับว่าเขาต้องเสียโอกาสงามๆ ไปสอง และที่สำคัญ หากข่าวนี้ล่วงไปถึงหูผู้เป็นบิดา ฝ่ายนั้นจะต้องนึกดูถูกอยู่ในใจแน่ๆ  เว่ยเฟิงปิงคิดว่าจางซื่อเยี่ยนคงทราบเหตุผลที่เขาเลื่อนกำหนด อย่างน้อยก็คงเดาได้ว่าเกี่ยวกับชายคนนั้น
   ร่างบางแค่นยิ้ม เขาไม่ต้องการที่จะให้ชายที่เขาเรียกว่าพ่อนึกดูถูกอีก
   “ใช้กำหนดการเดิมแล้วกัน ตกลงไหม?” เว่ยเฟิงปิงพูดออกมาในที่สุด จางซื่อเยี่ยนพยักหน้ารับ   “ครับ”
   “อ้อ เดี๋ยวก่อน” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยทัก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะก้าวออกไป
   “ฉันให้” พูดพลางคว้ากล่องใส่บุหรี่สีเงินที่วางอยู่บนโต๊ะโยนใส่จางซื่อเยี่ยน ร่างสูงโปร่งรับมาอย่างงงๆ
   “ถือว่าให้เป็นที่ระลึกในโอกาสที่นายเกลี้ยกล่อมฉันได้สำเร็จแล้วกัน มิสเตอร์โรบอท”
   “แต่คุณ..” จางซื่อเยี่ยนพูดค้าง เมื่อเห็นเว่ยเฟิงปิงโบกมือไล่
   “ทำไมล่ะ ก็นายไม่อยากให้ฉันสูบอยู่แล้วนี่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เดี๋ยวฉันจะใช้อาเง็กไปซื้อให้ใหม่ นายไปได้แล้ว เดี๋ยวสักพักฉันจะตามลงไป”
   จางซื่อเยี่ยนโค้งตัวให้เจ้านายเล็กน้อย ก่อนจะก้าวถอยออกไปพร้อมกล่องบุหรี่ในมือ เว่ยเฟิงปิงเอนหลังพิงเก้าอี้ ทันทีที่ประตูปิดลง มือเรียวยาวยกขึ้นลูบใบหน้าอย่างช้าๆ พลางสูดหายใจลึก
-------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าเขาเผลอกำกล่องใส่บุหรี่ที่อยู่ในมือจนแน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ กว่าจะรู้อีกทีก็พบว่ามันชุ่มไปด้วยเหงื่อเสียแล้ว
   ชายหนุ่มล้างกล่องบุหรี่นั้นทันทีที่กลับมาถึงห้อง พลางทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ จางซื่อเยี่ยนมองดูมือของตัวเอง พลางนึกถึงสีหน้าของเจ้านายของเขาเมื่อครู่
   หากเป็นคนอื่นเข้าไป คงต้องเชื่อเหตุผลของเว่ยเฟิงปิงที่อ้างว่าป่วย ใบหน้าเรียวยาวที่เคยเต็มไปด้วยความคิดอ่านนั้นซีดเผือด แวบแรกที่เขาได้เห็นหลังจากที่เปิดประตูเข้าไป จางซื่อเยี่ยนแทบจะวิ่งเข้าไปโอบร่างบางนั้นเอาไว้ เขารู้ดีว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังพยายามฝืนใจตัวเองอย่างหนักกับเรื่องบางอย่าง แต่ด้วยฐานะและหน้าที่ ทำให้เขาทำได้เพียงแค่เอ่ยปากถามไปตามปกติ
   หลายครั้งในช่วงการสนทนา ที่จางซื่อเยี่ยนแทบจะห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาอยากที่จะให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความรู้สึก อยากจะเป็นที่พึ่ง อยากที่จะโอบร่างนั้นเอาไว้ อยากที่จะให้คนคนนั้นพักเสียบ้าง
   แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่อาจที่จะทำเช่นนั้นกับลูกชายของผู้มีพระคุณในชีวิตของเขาได้
   ดังนั้นเขาจึงได้แต่อดทน และอดทน ทนอยู่กับการที่เป็นได้แค่ผู้ดู
   จางซื่อเยี่ยนทราบว่าเหตุผลที่ทำให้เว่ยเฟิงปิงมีสภาพอย่างที่เขาเห็นต้องมาจากชายผู้ที่มีชื่อว่ารูฟัสอย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด นั่นทำให้เขาเอ่ยปากทัดทานการเปลี่ยนหมายกำหนดการของเจ้านาย
   ชายหนุ่มไม่อยากให้เจ้านายของเขาเสียงานเพราะเรื่องของชายคนนั้น  แม้ว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องฝืนเพียงไร แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะพูดออกไป
   บางทีนั่นอาจเป็นเพราะเขากำลังรู้สึกริษยาชายที่มีชื่อว่ารูฟัสอยู่
   จางซื่อเยี่ยนไม่เข้าใจว่าทำไมชายคนนั้นถึงมีอิทธิพลต่อเว่ยเฟิงปิงนัก
   ชายหนุ่มมองไปที่กล่องใส่บุหรี่
   คุณหวังอะไรจากชายคนนั้นกันแน่ คุณชาย...?
   ขอเพียงแค่เอ่ยมา หากว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทำได้ จางซื่อเยี่ยนยินดีที่จะทำ เขาไม่อยากที่จะเห็นเจ้านายอยู่ในสภาพเช่นนี้อีกแล้ว
-------------------------------
   แสงไฟสีเหลืองอ่อนที่ติดอยู่บนเพดานสว่างวาบเมื่อรูฟัสเอื้อมมือไปสัมผัสสวิตช์ ส่องให้เห็นห้องพักสีขาวสะอาดที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย เขาปฏิเสธการจัดหาที่อยู่ให้ของโจวยี่ รูฟัสคิดว่าการที่เขาหาที่ซ่อนเองน่าจะดีกว่า แม้จะเคยร่วมงานกันมาก่อน แต่ใช่ว่าจะไว้ใจได้ทุกเรื่อง
   รูฟัสตระหนักรู้ดีว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาทำเรื่องร้ายกาจไว้กับคนอื่นมากมายเหลือเกิน
   โดยเฉพาะที่ฮ่องกง หากข่าวที่เขามารั่วออกไป มีหวังก่อนจะได้ช่วยฟ่ง เขาคงต้องตะลีตะลานหนีตายออกไปก่อนแน่ๆ
รูฟัสถอนหายใจหนัก เขาจำต้องช่วยฟ่งให้ได้ก่อนที่ข่าวการมาของเขาจะรั่วออกไป ข้อเสนอที่โจวยี่เสนอมาทำเอาหนักใจอยู่ไม่น้อย ร่างสูงเดินไปที่หน้าต่าง บรรยากาศของฮ่องกงในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงไฟ มันทำให้เขานึกถึงเมื่อแปดปีก่อน นับวันตึกรามยิ่งแออัด รูฟัสมองผ่านม่านความมืดไปยังอาคารสูงที่คาดว่าจะเป็นที่ที่คนรักของเขาโดนกักตัวอยู่
   ขออย่าให้เกิดเรื่องบ้าๆ กับคนคนนั้นเลย
   ชายหนุ่มภาวนาในใจ เขานึกถึงใบหน้ารั้นๆ ใต้แว่นนั้นอีกครั้ง ฟ่งไม่ใช่คนในแวดวงอาชญากร อย่างน้อยชายคนนั้นก็ไม่มีความรู้เรื่องการป้องกันตัวเอง แต่ตอนนี้กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของมาเฟียระดับเจ้าพ่อ
   ที่สำคัญคือ เขาไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงคิดอะไรอยู่กันแน่
   เสียงที่ได้ยินในรถตอนที่ฟ่งโดนจับตัว ทำให้รูฟัสแทบคลั่งทุกครั้งที่นึกถึง เด็กผู้ชายเมื่อหกปีก่อนที่เขาทิ้งเอาไว้ในห้อง กำลังกลับมาแก้แค้นเขา ชายหนุ่มยอมรับว่ารู้สึกตกใจเมื่อทราบว่าเว่ยเฟิงปิงรับผิดเองทั้งหมด  เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าตัวถึงทำแบบนั้น และตอนนี้กลับหันมาแก้แค้นเขาด้วยวิธีการแบบนี้อีก
   ก่อนหน้านี้เขาเคยนึกเอ็นดูเว่ยเฟิงปิง แม้จะไม่ถึงขั้นมีใจให้ แต่เขาก็ไม่อยากจะทำร้าย  แต่ว่าถึงตอนนี้...
   หากว่าเกิดอะไรเลวร้ายขึ้นกับฟ่งแล้วล่ะก็..
   รูฟัสบีบมือ ขบกรามแน่น
   ขออย่าให้เกิดเรื่องบ้าๆ แบบนั้นเลย
------------------------------------
   ฟ่งมองผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่ถูกติดไว้ในห้องเพื่อให้เห็นวิวภายนอก ฮ่องกงยามราตรีดูคล้ายกรุงเทพฯ ชายหนุ่มแตะมือกับกระจกเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงมองเบื้องล่างเบือนหน้าในทันที  ฟ่งรู้สึกวิงเวียนในหัวเล็กน้อย เมื่อเห็นรถยนต์เป็นจุดไฟเล็กๆ อยู่เบื้องล่าง เขาเป็นโรคแพ้ที่สูง โดยเฉพาะที่สูงขนาดนี้  ชายหนุ่มเดาว่าเขาคงอยู่ประมาณชั้นที่ยี่สิบ
   ฟ่งตัดสินใจไม่มองลงไปอีก เขาเดินกลับมานั่งบนเตียงเช่นเดิม ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ มันบอกเวลาสามทุ่มเศษๆ  แน่นอนว่าฟ่งไม่ได้ปรับนาฬิกาก่อนจะมาฮ่องกง แต่เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเวลาในประเทศไทยกับฮ่องกงต่างกันไม่กี่ชั่วโมง
ร่างบางถอนหายใจ เขาพยายามหาวิธีที่จะออกไปจากที่นี่มาตั้งแต่ตอนเช้า สำรวจห้องทั้งห้อง ซึ่งก็ทำมาหลายวันแล้ว และก็พบว่าทางออกเดียวคือประตูบานสีขาวที่ถูกปิดล็อกอย่างแน่นหนาจากภายนอก ไอ้การจะทุบกระจกและปีนลงไปจากชั้นยี่สิบนั้นตัดทิ้งไปได้เลย ที่สำคัญเขายังพบว่าในห้องมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดอีกด้วย นั่นทำให้ฟ่งรู้สึกหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก มันทำให้รู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
   ชายหนุ่มเดินไปปิดไฟ แสงสลัวคงจะทำให้กล้องจับภาพอะไรได้ไม่ค่อยชัด  ร่างบางทรุดตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง
   เขาจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ยังไงถ้าไม่มีใครมาเปิดประตูให้..
   แล้วถ้าประตูเปิดแล้ว เขาจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร..
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้งให้อ้างว้างอยู่ในโลกที่ไม่รู้จัก ความรู้สึกโดดเดี่ยวประดังเข้ามา สุดท้ายแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย
   ร่างบางซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม เหมือนหนอนแมลงเล็กๆ ที่ถูกใส่ไว้ในกล่องกระดาษ
------------------------------
   เสียงประตูปิดดังกริ๊ก เว่ยเฟิงปิงละมือจากลูกบิดประตูก้าวเท้าเข้ามาสู่ห้องนอนของตน การเจรจาวันนี้เป็นไปได้ด้วยดี อย่างน้อยมันก็ราบรื่นกว่าที่เขาคาดไว้ งานนี้คงต้องขอบคุณจางซื่อเยี่ยน การได้อยู่ท่ามกลางหมู่คนทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อตอนกลางวัน
   แต่ในตอนนี้...
   เว่ยเฟิงปิงเดินไปที่หน้าต่างซึ่งทำด้วยกระจกใสบานใหญ่    ตอนนี้มันสะท้อนให้เห็นตัวเขาในชุดนอนแพรสีขาวครีม ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปิดสวิตช์ไฟ ทันใดนั้นภาพทิวทัศน์ของเกาะฮ่องกงในยามค่ำคืนก็ปรากฏแก่สายตา
   เขาจะอยู่ที่ไหนกันนะ?
   ร่างบางคิดขณะที่เหม่อมองออกไปภายนอก การที่จะควานหาตัวรูฟัสนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเป็นภายในเกาะนี้แล้วล่ะก็ เว่ยเฟิงปิงมั่นใจว่าเขาทำได้ ตอนนี้ชายคนนั้นเข้ามาอยู่ที่นี่ อยู่ในถิ่นของเขา อยู่ใกล้ๆ นี่เอง
   บางทีอาจจะพักอยู่บนตึกใดตึกหนึ่ง หรือเดินอยู่มุมใดมุมหนึ่งของถนน
   มือเรียวยาวสั่นระริก ทันทีที่ได้รู้ข่าวว่ารูฟัสมาถึงฮ่องกง ในหัวสมองของเขาก็แทบที่จะคิดแต่เรื่องของชายคนนั้น
   อยากจะพบเหลือเกิน.....
   แต่ความรู้สึกนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้ เฟิงปิงรู้ตัวดีว่า การพบกับรูฟัสในตอนนี้ต้องไม่ออกมาในรูปแบบของการทักทายอย่างมิตรสหาย หรือการเจรจาทางธุรกิจที่สุภาพอ่อนน้อมแน่ๆ
   เพราะเขาเป็นผู้ที่ลักพาตัวคนคนสำคัญของผู้ชายคนนั้นมา
   หน้าอกซ้ายปวดแปลบ รูฟัสยอมละทิ้งงานมาที่นี่เพื่อผู้ชายที่ชื่อฟ่ง ซ้ำยังมีความสัมพันธ์ทางกายกันลึกซึ้ง  ถึงตอนนี้เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะคิดต่อไปอีก เพราะมันทำให้เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวด
   แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคิดถึงรูฟัส
   ความรู้สึกโหยหาที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยว เขาอยากจะมีใครซักคนที่จะมารับฟัง ใครซักคนที่จะคอยปลอบโยนเขา ใครซักคนที่จะอยู่เป็นเพื่อน
   แต่ว่า..ใครกันล่ะ?
   ร่างบางยกมือขึ้นลูบหน้า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ไร้สายภายในขึ้นมากด เว่ยเฟิงปิงคิดว่าตัวเองอาจจะบ้า แต่ตอนนี้เขาไม่อาจจะทนกับสภาพความกดดันนี้ต่อไปได้แล้วจริงๆ
   ไม่อาจจะผ่านค่ำคืนนี้ไปได้ด้วยตัวคนเดียว....
---------------------------
   “เฮ้!”
   ฟ่งลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียก เขายังไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้ลืมตาตื่น ชายหนุ่มกำลังหลับตาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ตอนนี้เขามองเห็นผู้ที่มาเรียกในเงามืดลางๆ
   “คุณชายให้มาตามคุณไปที่ห้อง” เสียงนั้นดูเหมือนจะเป็นเด็กที่เฝ้าหน้าประตูห้อง ฟ่งเอื้อมมือไปหยิบแว่น ก่อนจะถูกลากตัวให้ลุกขึ้นและผลักให้เดินนำหน้าออกไป
   ชายหนุ่มรู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับเหตุผลที่ถูกปลุก ห้องนอนของเว่ยเฟิงปิงอยู่ถัดไปจากชั้นที่เขาอยู่ประมาณสี่ชั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ฟ่งมีโอกาสได้ออกมาเดินภายนอกห้องขัง แต่ระยะทางนั้นสั้นเกินกว่าที่เขาจะคิดวิธีหนี เพียงอึดใจเขาก็เดินมาหยุดหน้าประตูไม้สีน้ำตาลแดงบานใหญ่
   เด็กหนุ่มที่มากับเขายกมือขึ้นเคาะประตูนั้นเบาๆ ไม่นานนักมันก็เปิดออก
   “เข้ามาสิ” เจ้าของห้องผู้มีนัยน์ตาเรียวยาวสีฟ้าเอ่ยคำเชิญ ฟ่งหันไปมองเด็กหนุ่มที่มาด้วยอย่างงงๆ ก่อนจะโดนผลักให้เข้าไป
   “ขอบใจมากนะอาเง็ก ไปได้แล้วล่ะ แล้วไม่ต้องไปบอกเรื่องนี้กับซื่อเยี่ยนนะ พรุ่งนี้ฉันจะบอกเขาเอง”
   ฟ่งได้ยินเสียงรับคำดังแว่วมาจากภายนอก จากนั้นประตูก็ปิดลง หนุ่มสวมแว่นหันหน้ากลับมาเผชิญกับเจ้าของห้อง
   เว่ยเฟิงปิงยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ไม่รู้ว่าคิดไปเอง หรือเพราะแสงไฟสีเหลืองสลัวจากโป๊ะไฟที่เปิดอยู่ ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะมีสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้าๆ ริมฝีปากบางเม้มแน่น ก่อนที่ฟ่งจะได้คิดหรือพูดอะไร ร่างนั้นก็โผเข้ามากอดเขาเหมือนเด็กที่วิ่งเข้ากอดแม่ ฟ่งพยายามขยับตัวหนี แต่วงแขนนั้นกลับรัดแน่นขึ้น
   “ขออยู่แบบนี้ซักพักหนึ่งนะ” เว่ยเฟิงปิงพูดเสียงพร่า ซุกหน้าเข้ากับหัวไหล่ของเขา ฟ่งรู้สึกว่าลำตัวของอีกฝ่ายสั่นเทา
   คนคนนี้กำลังร้องไห้
   ฟ่งยกมือขึ้นลูบหลังของเว่ยเฟิงปิงอย่างลืมตัว เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้ชายที่ดูเข้มแข็งในตอนกลางวันกลายมาเป็นแบบนี้  เว่ยเฟิงปิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่หลัง ก่อนจะกอดแน่นกว่าเดิม ฟ่งรู้สึกหัวไหล่เริ่มเปียก ความจริงแล้วเว่ยเฟิงปิงไม่ได้ตัวใหญ่ไปกว่าเขาเลย ดูเหมือนจะตัวพอๆ กันไม่ก็เล็กกว่าด้วยซ้ำ
   ในที่สุดร่างบางก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมด้วยคราบน้ำตาเปียกชุ่ม ฟ่งเผลอยกมือขึ้นเช็ดคราบเปื้อนทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือนั้นสัมผัสใบหน้า
   “ขะ ขอบใจ” เว่ยเฟิงปิงพูดตะกุกตะกัก ฟ่งมองดูบุคคลที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสาร ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่คนที่เคยดูเข้มแข็งตอนนี้ดูคล้ายเด็กที่เพิ่งถูกทิ้ง เขารอจนอีกฝ่ายหายสะอื้นจึงเอ่ยปากถามออกไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ฝ่ายถูกถามชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัว ทำเอาคนถามเลิกคิ้วอย่างงุนงง
   “คืนนี้อยู่เป็นเพื่อนฉันนะ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ก่อนจะดันฟ่งให้ถอยหลังไป ในที่สุดทั้งคู่ก็หงายหลังล้มลงบนเตียง หนุ่มสวมแว่นร้องเหวอ เมื่อใบหน้าเรียวซุกไซ้ไปตามซอกคอ
   “ทำกับฉันเหมือนที่เขาทำกับนายสิ” เว่ยเฟิงปิงกระซิบ ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาแดงระเรื่อ ลมหายใจเริ่มกระชั้นจังหวะขึ้น เขาโน้มหน้าลง บดริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของร่างที่นอนแผ่อยู่เบื้องล่าง
   ฟ่งเบิ่งนัยน์ตาค้าง นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ คนที่เปิดประตูให้เขาเข้ามา แล้วร้องไห้ ไปๆ มาๆ ก็เปลี่ยนมาทำแบบนี้กับเขาต่อ ร่างบางดิ้นรนหนีการจู่โจมนั้น
   “บอกสิว่าเขาทำอะไรนายบ้าง?” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ขณะดึงแขนทั้งสองข้างของฟ่งขึ้นไปกดไว้เหนือศีรษะ แม้ขนาดร่างกายจะต่างกันไม่มาก แต่เรื่องพละกำลังเว่ยเฟิงปิงดูจะเหนือกว่าหลายเท่า ซ้ำยังมีทักษะในการต่อสู้อยู่เป็นทุนเดิมอีก
   ฟ่งสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่รู้ว่าเขาที่เว่ยเฟิงปิงว่าหมายถึงใครกันแน่ รู้แต่เขาไม่พิศวาสสภาพที่เป็นอยู่เลยสักนิด แต่คล้ายคนที่อยู่ด้านบนไม่นำพา เว่ยเฟิงปิงลงมือปลดกระดุมเสื้อของร่างที่นอนหงายอยู่ออก ไล้นิ้วมือไปตามแผงอกเรียบ ใช้นิ้วมือสะกิดยอดอกสีชมพูเบาๆ
   “เขาเคยแตะตรงนี้ของนายรึเปล่า?”
   ฟ่งสั่นศีรษะ พอจะเดาออกแล้วว่าเขาหมายถึงใคร คิ้วได้รูปของเว่ยเฟิงปิงมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ริมฝีปากบางโน้มแนบลงไปบนยอดอกนั้น
   ฟ่งสะดุ้งเฮือก รู้สึกถึงแรงดูดและเรียวลิ้นที่กวาดไปรอบปลายยอดไวสัมผัส ร่างผอมหลุดเสียงร้องออกมา
   “อ๊ะ!”
   ช่างน่าโมโห สัมผัสนี้ของเว่ยเฟิงปิงทำให้เขาหวนนึกถึงริมฝีปากของชายคนนั้น แม้จะไม่ให้ความรู้สึกเหมือนกันเสียทีเดียว แต่คนแรกที่ทำเรื่องแบบนี้กับเขาก็คือผู้ชายที่ชื่อรูฟัสคนนั้นแหละ
   “ดีรึเปล่า? เขาทำกับนายตรงนี้แล้วนายรู้สึกดีไหม?” เว่ยเฟิงปิงกระซิบอีกรอบ ฟ่งสั่นศีรษะ แค่นคำพูดออกไป
   “อย่า...อย่าทำแบบนี้”
   ร่างที่อยู่เหนือกว่าโน้มใบหน้าลงมาอีกรอบ หรี่นัยน์ตาสีฟ้าลง “ทำไมล่ะ ฉันทำได้ดีไม่เท่าหรือ? เขาเก่งมากเลยสินะ”
   ฟ่งยังไม่ทันได้พูดอะไร ร่างกายก็ถูกอีกฝ่ายจับยกขึ้น
   “งั้นทำให้ฉันสิ ทำให้ฉันเหมือนที่เขาทำกับนาย” เว่ยเฟิงปิงกล่าว และจับมือของอีกฝ่ายลูบลงบนเป้ากางเกงตัวเอง ฟ่งสะดุ้ง เกิดมาเขาเพิ่งเคยได้จับส่วนนั้นของคนอื่นเป็นครั้งแรกก็ตอนนี้นี่แหละ ถึงรูฟัสจะมีอะไรกับเขาแล้วสองครั้ง แต่เขาไม่เคยถูกบังคับให้จับอะไรแบบนี้มาก่อน
   ความแข็งขึงที่สัมผัสปลายนิ้ว ทำให้ร่างผอมร้อนวาบขึ้นมาทันที
   “ทำให้ฉันสิ” เว่ยเฟิงปิงพูดต่อ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นฉ่ำเยิ้ม หรี่ลงอย่างวิงวอน ฟ่งรู้สึกกระอักกระอ่วน เมื่อถูกทางนั้นดึงมือล้วงผ่านกางเกงนอนเข้าไปสัมผัสส่วนนั้นให้ชัดเจนขึ้น ความร้อนของมันทำให้ฟ่งทำอะไรไม่ถูก ได้ยินเสียงกระซิบแหบพร่า
   “ได้โปรด ให้ฉันได้รับรู้ถึงตัวเขา ทำอย่างที่เขาเคยทำกับนาย ทำให้ฉัน”
   เสียงหอบหายใจกระเส่า ทั้งใบหน้าแดงก่ำ รวมถึงร่างที่เบียดแนบเข้ามา ทำให้ฟ่งพูดไม่ออก เขาทำแบบที่รูฟัสทำไม่ได้ เขาไม่ได้มีอารมณ์กับผู้ชาย แต่กระนั้นก็อดรู้สึกสงสารเว่ยเฟิงปิงขึ้นมาไม่ได้
   เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอ เมื่ออุ้งมืออุ่นเริ่มดึงรูดส่วนนั้นของเขา ร่างบางพริ้มนัยน์ตาลง นึกถึงดวงตาสองสีที่เฝ้าคะนึงหา
   “ผมทำไม่ได้!” ฟ่งโพล่ง และดึงมือออก เว่ยเฟิงปิงลืมตาโพลง คว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธ
   “ทำไม?!” นัยน์ตาสีฟ้าถลึงมองอย่างเอาเรื่อง ฟ่งรีบพูดต่อ “ก็ผมไม่ใช่รูฟัส”
   ความเกรี้ยวโกรธคล้ายถูกปัดทิ้งออกไปจากสีหน้าเมื่อได้ยินชื่อนั้น ดวงตาของเว่ยเฟิงปิงอ่อนลง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมาทันที เหมือนกำลังจะร้องไห้
   “คุณเว่ย!” ฟ่งพูดอย่างตกใจ ประคองร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด เว่ยเฟิงปิงจิกเล็บลงไปบนหัวไหล่ของเขา
   “ทำไมนายไม่ใช่รูฟัส ทำไมรูฟัสถึงเลือกนาย ทำไม....”
   ฟ่งรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวไหล่ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า จึงปล่อยให้อีกฝ่ายสะอื้นไปเรื่อยๆ
   “คุณ...กับรูฟัส....เอ่อ...ก่อนหน้านี้...?” ฟ่งพยายามถามเลียบเคียงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยุดสะอื้นไปได้พักใหญ่ เว่ยเฟิงปิงยังคงซุกหน้าอยู่กับหัวไหล่ของเขา แต่ก็ยอมตอบคำถาม
   “ฉันอิจฉานาย” ใบหน้าเรียวผละออกมาและช้อนนัยน์ตาชื้นน้ำขึ้นมอง
   “ฉันรักผู้ชายคนนั้น ฉันรักรูฟัส แต่เขาไม่เคยรักฉันเลย ไม่เคยเลย”
   ขอบนัยน์ตาแดงเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิด เขาก้มหน้าลง พูดเสียงค่อย “ผมขอโทษ”
   “มันไม่ใช่ความผิดนายหรอก” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย และหัวเราะขมขื่น
   “ฉันกับเขายังไม่มีอะไรกัน เขาไม่เคยแตะต้องฉันด้วยซ้ำ”
   ฟ่งทำหน้าแปลกใจกับคำพูดนั้น นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ
“ก่อนหน้านี้ฉันโกหกนาย ความจริงแล้วชายคนนั้นเป็นศัตรูของฉัน”
   “ศัตรู?” ฟ่งทวนคำ ยิ่งรู้สึกงุงงงหนักเข้าไปอีก เว่ยเฟิงปิงสูดหายใจลึก
   “รูฟัสเคยหักหลังฉัน  แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ฉันก็ยังรักเขา เพราะอะไร แล้วทำไมนายต้องโผล่เข้ามาด้วย”
   “ผม?”
   “ฉันเชื่อมาตลอด ว่ารูฟัสจะไม่รักใคร เพราะเขาไม่เคยรักใคร แต่เขากลับรักนาย”
   ฟ่งได้แต่นิ่งอึ้ง นึกถึงคำรักที่รูฟัสเคยเอ่ย หัวใจพาลรู้สึกปวดแปลบ เว่ยเฟิงปิงนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง จ้องมองคนตรงหน้า ท้ายที่สุดจึงเอ่ยขึ้นต่อ
   “หมอนั่นยอมทิ้งงานสำคัญที่กำลังทำอยู่เพื่อนาย เขาตามมาถึงฮ่องกงแล้ว นายดีใจไหมล่ะ?”
   ประโยคนั้นทำให้หัวใจของฟ่งหวั่นไหว รูฟัสมาฮ่องกงแล้วล่ะหรือ? มาเพื่อช่วยเขาจริงๆล่ะหรือ? ฟ่งบอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกดีใจหรือเปล่า
   “ทำไม ทำไมต้องเป็นนาย เพราะอะไร....” เว่ยเฟิงปิงจับแขนเสื้อของฟ่งแน่น ก่อนจะก้มหน้าลง ฟ่งได้แต่ก้มมอง รู้สึกอยากร้องไห้ไปด้วย
   “ผมขอโทษ” ฟ่งพูด เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอ เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสีฟ้านั้นเอ่อไปด้วยน้ำตา เขาเห็นใบหน้าของหนุ่มสวมแว่นบิดเบี้ยวไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่
   “ผม..ผมไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง” ฟ่งโพล่งออกมา เว่ยเฟิงปิงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสารและเจ็บปวด วงแขนเพรียวดึงร่างนั้นเข้ามากอด ฟ่งชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ท้ายที่สุดมือขึ้นกอดตอบอีกฝ่าย
   ทั้งคู่ปล่อยให้น้ำตาไหลรินไหลอาบแก้มอย่างช้าๆ
---------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #33 เมื่อ23-05-2011 21:51:30 »

บทที่13 อดีตของรูฟัส (1)
   เสียงเคาะประตูปลุกให้คนในห้องตื่น เว่ยเฟิงปิงผุดลุกขึ้น รู้สึกปวดบริเวณเปลือกตา เมื่อคืนเขาคงร้องไห้จนเผลอหลับไป ชายหนุ่มก้มลงมองร่างอีกร่างซึ่งยังคงนอนหลับอยู่ข้างๆ พลันอมยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนว่าเขาทั้งคู่จะเผลอหลับกันไปจริงๆ
   เว่ยเฟิงปิงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวฟ่ง และผุดลุกขึ้น เดินเข้าห้องน้ำ เขาหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาเช็ดน้ำบนหน้า ขณะที่เสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่เป็นระยะๆ ชายหนุ่มเงยมองนาฬิกาแขวนผนัง มันบอกเวลาเก้าโมงเศษๆ นี่เป็นเวลาที่เขาควรจะตื่นนอนแล้ว ร่างบางเดินไปเปิดประตู แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าผู้ที่มาเคาะเป็นใคร
   “อรุณสวัสดิ์” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยทักลูกน้องอย่างอารมณ์ดี ทำเอาจางซื่อเยี่ยนงุนงงไปชั่วครู่ ปกติผู้เป็นเจ้านายไม่เคยเอ่ยทักเขาแบบนี้มาก่อน ร่างบางยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจ ของผู้เป็นลูกน้อง
   “ผมเห็นคุณยังไม่ลงไป ก็เลย..”
   เว่ยเฟิงปิงยกมือขึ้นตัดบท เขาเบื่อบทสนทนาเหมือนตั้งโปรแกรมของชายคนนี้
   “เดี๋ยวฉันจะลงไป บอกให้อาจูเตรียมอาหารเผื่ออีกที่หนึ่งด้วย ฉันจะทานข้าวกับแขก”
   แม้จะมีสีหน้าแปลกใจเพิ่มขึ้น แต่จางซื่อเยี่ยนก็ไม่ได้เอ่ยปากถามต่อ เขารับคำสั่งแล้วจากไปอย่างเงียบๆ เช่นเคย เว่ยเฟิงปิงปิดประตู ก่อนจะหันมาและพบว่าคนร่วมห้องตื่นนอนแล้ว
   “เอ้อ...อรุณสวัสดิ์” ฟ่งพูดตะกุกตะกัก ประเมินสถานการณ์ตรงหน้าแบบงงๆ เมื่อคืนเขาถูกพาตัวมา แล้วดูเหมือนว่าจะร้องไห้จนเผลอหลับไป ฟ่งยังไม่ค่อยเข้าใจว่าตอนนี้เขาอยู่ในสถานะแบบไหนกันแน่
   เว่ยเฟิงปิงยิ้มให้ฟ่ง รอยยิ้มนั้นดูเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนกับที่ผ่านๆ มา นั่นทำให้ฟ่งยิ้มตอบไปโดยอัตโนมัติ
   “ฉันอยากให้นายไปทานข้าวกับฉันเช้านี้”
   “อือ” ฟ่งพยักหน้า ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจว่าจะมีอะไรเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้เขายังระบุสถานะตัวเองไม่ได้อยู่ดี แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะอารมณ์ดีมาก
   “แล้วก็อีกอย่าง” เว่ยเฟิงปิงกล่าวและเดินเข้ามาใกล้ “ฉันจะยอมให้นายเดินเล่นในตึกนี้ได้อย่างอิสระ แต่สัญญากับฉันได้หรือเปล่าว่านายจะไม่หนี เย็นนี้ฉันอยากเจอนายอีก ฉันยังมีอีกหลายๆเรื่องอยากจะเล่า สัญญากับฉันได้ไหม?”
   นัยน์ตาสีฟ้าที่มองมาอย่างคาดคั้นนั้นทำให้ฟ่งต้องพยักหน้า เว่ยเฟิงปิงยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้า
   “เดี๋ยวก่อน คุณจะไปทั้งวันเลยหรือ?” ฟ่งเอ่ยถาม ขณะที่อีกฝ่ายหยิบสูทออกมาจากตู้
   “ก็ราวๆ นั้น ความจริงฉันก็อยู่ในตึกนี้แหละ แต่จะพานายไปด้วยมันก็คงไม่เป็นผลดีกับนายสักเท่าไร หรือนายอยากได้อะไรเพิ่ม?”
   “เปล่า ผมแค่อยากได้เพื่อนคุย”
   “อ้อ ถ้าแบบนั้นล่ะก็ ฉันจะหาคนมาให้ นายอยากคุยกับใครล่ะ?”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่างมันเถอะ” ฟ่งพูดและยิ้มแห้งๆ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะคุยกับใคร แล้วจะคุยเรื่องอะไร เว่ยเฟิงปิงแขวนสูทไว้บทราวแขวนเสื้อข้างเตียง ก่อนจะหันมาพูดต่อ
   “นายจะอาบน้ำที่ห้องนี้ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะให้คนเตรียมชุดไว้ให้”
   “อ่ะ ขอบคุณ” คนนั่งอยู่บนเตียงตอบรับ ขณะที่เว่ยเฟิงปิงโยนผ้าเช็ดตัวสีขาวมาให้ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาอาจจะทำอะไรๆ ได้มากขึ้นมาหน่อยแล้ว
-------------------------------
   “ฉันอยากให้แกไปพบหยุนหมิง”
   คำพูดของโจวยี่เมื่อวานนี้เล่นเอาจิตใจของรูฟัสหนักอึ้งขึ้นมาทันที หยุนหมิง เด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบแปดสิบเก้าเมื่อหกปีก่อน ตอนนี้คงอายุได้ซักยี่สิบสี่ยี่สิบห้าแล้ว
   รูฟัสกำลังเดินอยู่ในย่านการค้าย่านหนึ่งในเกาะฮ่องกง เขาตัดสินใจเดินเลี้ยวเข้าร้านขายเสื้อสำหรับบุรุษร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นแบรนด์ดังจากยุโรป
   หยุนหมิงเคยเป็นเด็กแจกไพ่ในบ่อนของโจวยี่ ในสายตาของรูฟัสแล้ว ฝีมือแจกไพ่ของหยุนหมิงไม่ได้ดีเลิศอะไร ตอนนั้นเขายังนึกสงสัยว่าโจวยี่รับเด็กแบบนี้เข้ามาทำงานได้อย่างไร
   รูฟัสตัดสินใจหยิบสูทสียีนส์กับเสื้อยืดสีขาว และกางเกงยีนส์สีดำ ออกมาจากราวแขวน เขากับหยุนหมิงไม่ได้พบกันมาหกปีแล้ว รูฟัสอยากให้การพบกันครั้งนี้ดูไม่อึดอัดเกินไปนัก
   ชายหนุ่มเลือกบัตรเครดิตจากกระเป๋าสตางค์ออกมาใบหนึ่ง ก่อนจะส่งให้กับพนักงานเพื่อชำระค่าเสื้อผ้า
   โจวยี่เล่าว่าตอนนี้เด็กคนนั้นทำงานเป็นพนักงานอยู่ในบริษัทส่งออกบริษัทหนึ่ง รูฟัสนึกดีใจอยู่บ้างที่อย่างน้อยหยุนหมิงก็ไม่ได้เข้ามาคลุกคลีในเส้นทางสายมืดอย่างเต็มตัว
   ชายหนุ่มก้าวเท้าออกมาจากร้าน พลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด รูฟัสตัดสินใจเดินในย่านนั้นต่อเพื่อซื้อของฝากบางอย่าง
   เขากับหยุนหมิงเจอกันครั้งแรกในตอนไปหาโจวยี่ที่บ่อน วันนั้นหยุนหมิงเป็นคนแจกไพ่พอดี แน่นอนว่าบ่อนของโจวยี่ต้องจ่ายให้รูฟัสหลายแสน หลังจากผ่านไปห้าเกม
   ตอนนั้นรูฟัสนึกขบขันโจวยี่อยู่ไม่น้อยที่จู่ๆ ก็จ้างเด็กไม่รู้ประสีประสาแบบนี้มาเป็นคนแจกไพ่ เขาเลยอาสาที่จะสอนเรื่องไพ่ให้หยุนหมิง โดยที่ไม่ได้คิดไว้ก่อนเช่นกันว่าความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่จะเลยเถิด และก็ไม่รู้มาก่อนเช่นกันว่าความสัมพันธ์ของหยุนหมิงและโจวยี่เป็นอย่างไร
   ในที่สุดรูฟัสก็ซื้อเข็มกลัดเน็คไทที่ทำด้วยเงินจากร้านขายสูทร้านหนึ่ง ก่อนจะโบกรถให้พากลับไปส่งยังที่พัก
   เรื่องมันเกิดขึ้นในคืนวันหนึ่ง ในขณะที่รูฟัสกำลังหนีการตามล่าของคนจากเวอร์สัน เนื่องจากความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในการลงกลอนปิดเซฟเก็บเอกสารลับทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น
   เขาวิ่งโร่จากชั้นยี่สิบสามลงมาถึงชั้นสิบเอ็ด รูฟัสรู้ว่าส่วนล่างของตึกนี้เป็นโรงแรม และเขารู้สึกดีใจเมื่อเห็นว่าประตูห้องห้องหนึ่งเปิดแง้มอยู่ จึงพุ่งเข้าไปโดยไม่ลังเล ก่อนที่จะรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าคนที่อยู่ภายในคือหยุนหมิง และดูเหมือนอีกฝ่ายก็จะตกใจไม่แพ้กัน ขณะที่กำลังงุนงงกันอยู่นั้นเอง เสียงไล่เคาะประตูก็ดังขึ้น
   รูฟัสในตอนนั้นทั้งหอบและเหงื่อแตก ขืนถูกพบในสภาพนี้ มีหวังพวกนั้นรู้แน่ว่าเขาคือคนที่แอบย่องขึ้นไปขโมยเอกสาร รูฟัสหันไปมองหยุนหมิงซึ่งอยู่ในชุดกางเกงขาสั้น แล้วความคิดแวบหนึ่งก็แล่นเข้ามาสู่สมอง
   แม้ตอนหลังเขาจะกลับมาคิดว่านั่นเป็นแผนการที่บ้ามาก แต่ตอนนั้นมันก็เป็นเพียงทางเลือกเดียวที่เขานึกออก
   รูฟัสขอร้องให้หยุนหมิงถอดกางเกงชั้นนอกออกแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง โดยเอาผ้าห่มคลุมด้านบนไว้ เพราะเรียวขาของหยุนหมิงเรียวได้รูปคล้ายขาของผู้หญิง รูฟัสหวังว่ามันจะตบตาพวกที่กำลังไล่เคาะประตูอยู่ได้บ้าง ส่วนตัวเขาเองก็ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดโยนไปแอบไว้หลังโซฟา ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่มานุ่งปิดด้านล่างอย่างลวกๆ หลังจากที่กะองศาการมองจากประตูห้องกับขาของหยุนหมิง และปล่อยให้เสียงเคาะประตูดังอยู่พักหนึ่งแล้ว รูฟัสก็กระชากประตูให้เปิดออกเหมือนว่ากำลังอารมณ์เสีย และตะคอกภาษารัสเซียใส่หน้าของผู้ที่มาเคาะประตู ในสภาพแบบนั้นไม่มีใครกล้าคิดแน่ว่าเขาคือคนคนเดียวกับที่เพิ่งวิ่งลงมาจากชั้นยี่สิบสาม ในที่สุด แผนการบ้าๆ ของเขาก็หลอกคนพวกนั้นได้สำเร็จ
   รูฟัสปิดประตูใส่กลอนทันที ก่อนจะหันกลับมา เขาคิดว่าเขาควรจะขอโทษหยุนหมิงที่ให้ทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ แต่สิ่งที่เขาพบคือเรือนร่างขาวสะอาดที่เดินเข้ามาโดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวปิดท่อนล่าง  รูฟัสจำไม่ได้ว่าเขาสั่งให้หยุนหมิงถอดท่อนบนด้วยหรือเปล่า ในตอนนั้นเขารู้เพียงว่าเรือนร่างขาวเนียนไร้ตำหนินั้นทำเอาเขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
   หยุนหมิงเดินเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ
   “คุณทำให้ผมมีอารมณ์ รู้หรือเปล่า”
   เสียงนั้นกระซิบเบาๆ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ที่ได้ยินสนองตอบ

   รูฟัสกลับมาถึงห้องพัก เขาหยิบเสื้อผ้าออกมาจากถุง หยิบมีดพกขนาดเล็กออกมาจากลิ้นชักและใช้มันตัดป้ายราคาออกอย่างใจเย็น
   เขากำลังนึกย้อนกลับไปในอดีต รูฟัสเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าหากย้อนเวลากลับไป เขาจะยังทำแบบนั้นอยู่หรือเปล่า คำตอบคืออาจจะ
   นั่นเพราะหยุนหมิงยั่วยวนเกินไป และที่สำคัญ เขาไม่รู้มาก่อนว่าหยุนหมิงมีความสัมพันธ์อะไรกับเพื่อนของเขาจนกระทั่งเช้าวันต่อมา
   เสียงเคาะประตูปลุกเขาให้ตื่นขึ้นในตอนเช้า รูฟัสยันตัวลุกขึ้น ก้มลงมองร่างบางที่ยังคงหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดด้วยความเอ็นดู ก่อนจะค่อยๆ ช้อนร่างนั้นวางบนเตียง แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว
   เสียงเคาะประตูยังคงดังต่อเนื่อง ในตอนนั้นสีหน้าของหยุนหมิงดูตื่นตกใจจนผิดสังเกต เขาขอร้องให้รูฟัสไปหาที่ซ่อน ในตอนนั้นรูฟัสยังคงเข้าใจว่าหยุนหมิงเป็นห่วงเรื่องของเขาเมื่อวาน  เขาจึงปลอบอีกฝ่ายว่าไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูโดยไม่ได้ฟังเสียงขอร้อง และพบว่าผู้ที่มาเคาะคือโจวยี่
   รูฟัสยิ้มอย่างโล่งใจเมื่อเห็นหน้าเพื่อน แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าราวกับถูกผีหลอก
   ร่างสูงผลักประตูเข้ามาก่อนจะคว้าคอเสื้อเขาและผลักจนเซไปชนผนังห้อง การกระทำนั้นผิดคาดจนรูฟัสไม่ทันตั้งตัว
   “แกทำอะไรหยุนหมิง!?” โจวยี่กระชากเสียงถามอย่างโกรธเกรี้ยว รูฟัสพยายามจะตอบ แต่ท่อนแขนที่ดันเข้ามาจนทับหลอดลมทำให้เขาพูดไม่ออก
   “อย่านะครับคุณโจว!” เสียงของหยุนหมิงดังขึ้น ก่อนที่ร่างนั้นจะวิ่งเข้ามาพยายามจะผลักโจวยี่ออก ในตอนนั้นรูฟัสเริ่มหูอื้อ เขาไม่ได้ยินว่าสองคนนั้นเถียงอะไรกันบ้าง าทำได้เพียงออกแรงงัดท่อนแขนที่ดันเข้ามานั้นออก ในที่สุดเขาก็ผลักมันให้พ้นจากคอหอยไปได้ก่อนจะขาดอากาศตาย
   “เป็นบ้าอะไรของแกว่ะ!” เขาตะโกนใส่เพื่อนด้วยความโมโห หลังจากไอและหอบอยู่พักหนึ่ง โจวยี่เองก็มองมาทางเขาด้วยความโกรธไม่แพ้กัน ทั้งคู่ยืนจ้องกันโดยมีหยุนหมิงขวางกลาง
   หยุนหมิงเกลี้ยกล่อมอยู่พักใหญ่ ในที่สุดโจวยี่ก็ยอมกลับออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
   รูฟัสพยายามจะถามเหตุผลกับหยุนหมิง แต่สิ่งที่เขาได้รับตอนนั้นคือคำขอโทษ
   อีกสามวันต่อมา โจวยี่มาหาเข้าที่ห้องพัก ในตอนนั้นเองที่รูฟัสได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
   โจวยี่และหยุนหมิงกำลังคบกันอยู่
   นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหยุนหมิงถึงได้มาทำงานที่บ่อน
   หลังจากนั้นมาเขาก็ไม่ได้พบกับหยุนหมิงอีกเลย

   รูฟัสโยนป้ายราคาที่ตัดเสร็จลงถังขยะ ก่อนจะจัดเสื้อใส่ไม้แขวน เขายังไม่อยากที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนนี้ ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมง
   เขาควรจะไปพบหยุนหมิงด้วยความรู้สึกแบบไหนกันนะ
----------------------------------
   ฟ่งไม่รู้ว่าสมควรจะโมโหเว่ยเฟิงปิงดีหรือเปล่า ตอนนี้เขาอยู่ในชุดแพรยาวแบบจีนสีแดงเถือกปักลายรูปดอกไม้สีทองที่แสนจะเด่นสะดุดตา ฟ่งกล้าพนันว่าต่อให้เขายืนอยู่ท่ามกลางคนนับร้อย ทุกคนก็ยังมองเห็นเขาได้คนแรกอยู่ดี นี่เป็นเสื้อผ้าที่เว่ยเฟิงปิงสั่งคนให้เอามาให้เปลี่ยน
   “ดูเข้ากับนายอย่างที่ฉันคิดไว้เลยทีเดียว”   นั่นเป็นคำแรกที่เว่ยเฟิงปิงเอ่ยทักเมื่อเขาถูกพามาจนถึงห้องรับประทานอาหาร ซึ่งอยู่ถัดลงไปอีกสองชั้น
   เว่ยเฟิงปิงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารทรงกลมฉลุลวดลายแบบจีน โต๊ะนั้นกว้างพอที่จะให้คนมานั่งทานอาหารร่วมกันได้ถึงแปดคน แต่กลับมีเก้าอี้อยู่เพียงสองตัว
   “นั่งสิ” ฝ่ายเจ้าภาพออกปากเชิญ ฟ่งเดินเข้าไปอย่างเก้ๆ กังๆ เด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาส่งเขาค้อมตัวก่อนจะถอยออกไป
   “อ้าว แล้วพวกนั้นไม่มากินด้วยกันเหรอ”   ฟ่งพูดอย่างแปลกใจ เว่ยเฟิงปิงส่ายหน้า
   “ไม่หรอก พวกเขามีโต๊ะอาหารแยกออกไปต่างหาก โต๊ะนี้มีแค่นายกับฉัน”
   “แล้วคนนั้นล่ะ?”หนุ่มสวมแว่นหันหน้าไปทางจางซื่อเยี่ยน ซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง เว่ยเฟิงปิงยิ้มเล็กน้อย
   “หมอนี่ไม่ทานกับฉันหรอก”
   “ทำไมล่ะ?” ฟ่งยังคงสงสัย เว่ยเฟิงปิงไม่ทันอ้าปาก อีกเสียงก็ช่วยตอบขึ้นแทน
   “นี่เป็นโต๊ะอาหารของคุณชายและแขก พวกผมไม่มีสิทธิ์ไปนั่งหรอกครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าวเรียบๆ คนได้ฟังเลิกคิ้วด้วยความพิศวง
   “งั้นปกติคุณทานข้าวคนเดียวอย่างนั้นสิ?”
   “อือ” เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า ด้วยสีหน้าชินชาอย่างที่สุด ฟ่งมองดูบรรดากับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วนึกอยากจะเรียกคนแถวๆ นี้เข้ามาช่วยกินให้หมด
   “เอ่อ...ให้คนอื่นมานั่งทานด้วยไม่ได้หรือครับ” ฟ่งลองถามอีกครั้ง คราวนี้เว่ยเฟิงปิงหรี่ตาเล็กน้อย “นายก็ลองถามดูสิ ว่ามีใครอยากจะมาทานหรือเปล่า”
   ฟ่งหันไปทางจางซื่อเยี่ยน
   “คุณ..จะไม่มาทานด้วยกันหรือครับ?” เขาพยายามเอ่ยปากชวน อย่างน้อยชายคนก็เคยนั่งทานข้าวเป็นเพื่อนเขามาแล้วในตอนที่เขาถูกขังอยู่ในห้อง
   “ไม่ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบสั้นๆ
   ฟ่งทำหน้าน่าสงสาร นัยน์ตาสีฟ้านั้นเหลือบมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากสั่งลูกน้อง
   “ซื่อเยี่ยน วันนี้ฉันอนุญาตให้นายไปทานข้าวก่อน”
   “แต่ว่า..”
   “ถ้านายไม่ต้องการจะทานข้าวร่วมกันฉัน นายก็ควรจะออกไปเสีย”
   เว่ยเฟิงปิงพูดตัดบทอย่างเย็นชาเช่นเคย จางซื่อเยี่ยนจึงจำต้องถอยออกไป ในที่สุดทั้งห้องก็เหลือแค่เว่ยเฟิงปิงและฟ่งเพียงแค่สองคน
   “ใจร้ายจัง” ฟ่งพูดขึ้นมาลอยๆ แล้วก็ต้องรีบขอโทษขอโพยเมื่อเห็นว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังมองมาอยู่
   “ผมไม่ได้หมายถึงคุณนะครับ ผมหมายถึงคนนั้น คุณซื่อเยี่ยน ทำไมเขาถึงไม่ยอมมาทานข้าวกับคุณล่ะ ทั้งๆ ที่เขาเป็นลูกน้องของคุณแท้ๆ”
   เว่ยเฟิงปิงเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากกลืนอาหารในปากหมดแล้ว เขาจึงเริ่มพูด
   “ก็เพราะว่าฉันเป็นเจ้านายน่ะสิ”
   “เอ้อ..แต่ก่อนหน้านี้เขายังเคยไปทานข้าวเป็นเพื่อนผมเลยนะ”
   เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ฟ่งเลยรีบพูดต่อ “ก็แค่ทานเป็นเพื่อนในห้องน่ะครับ”
   “งั้นหรือ หมอนั่นก็ทำอะไรแปลกๆ แบบนั้นเป็นด้วยหรือ”
   ริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงปรากฏรอยยิ้มแค่นขืน เป็นรอยยิ้มที่ฟ่งไม่ชอบเอาเสียเลย เขาจึงตัดสินใจที่จะทานอาหารต่อ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก
---------------------------------
   “นี่.. ซื่อเยี่ยน”
จู่ๆ เว่ยเฟิงปิงก็เรียกชื่อลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่กำลังหยิบแฟ้มรายงานขึ้นมาวางชะงักไปนิดหนึ่ง
   “ได้ข่าวว่านายไปทานข้าวเป็นเพื่อนกับแขกของฉันหรือ?”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนรับคำ ก่อนจะวางแฟ้มเอกสารไว้บนโต๊ะทำงาน เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าวสืบต่อ
   “วันนี้นายไม่ต้องมาเฝ้าฉันทั้งวันก็ได้นะ เพราะฉันไม่ได้ออกไปไหน นายไปอยู่เป็นเพื่อนคุยกับฟ่ง ฉันอนุญาตให้เขาเดินเล่นในตึกได้ นายคงรู้นะว่าเดินได้ส่วนไหนบ้าง”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนผงกศีรษะ แม้จะรู้สึกแปลกใจกับคำสั่งอยู่บ้าง แต่วันนี้เจ้านายของเขาดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าปกติจนแทบจะเป็นคนละคน เขาไม่อยากจะขัดใจเว่ยเฟิงปิงตอนนี้  ร่างสูงจัดแฟ้มเสร็จแล้วจึงออกไปตามคำสั่ง
   เว่ยเฟิงปิงหยิบแฟ้มงานที่วางอยู่ขึ้นมาดู ก่อนจะหมุนเก้าอี้ หันไปยังส่วนของตู้โชว์ที่ถูกตกแต่งตรงกลางเป็นกรอบขนาดใหญ่คล้ายกรอบรูป ซึ่งสามารถมองทะลุออกไปด้านนอกได้
   ทำไมจึงมีแต่เขาที่ถูกทิ้งให้อยู่เพียงคนเดียว
-----------------------
   โจวยี่ขับรถมารับตรงตามเวลานัด รูฟัสกระโดดขึ้นรถสปอร์ทคาดิแลคสีแดงคันใหญ่ที่แล่นเข้ามาในลานจอดรถ
   “จะพยายามหล่อไปไหนครับท่าน” โจวยี่เอ่ยทักทันทีที่รูฟัสรัดเข็มขัดนิภัยเสร็จ
   “ผมพกเสื้อผ้ามาชุดเดียวครับท่าน เลยต้องซื้อใหม่ นายคงไม่อยากให้ฉันใส่เสื้อผ้าข้ามวันข้ามคืนไปพบหยุนหมิงหรอก จริงไหม?”
   “เหอะ! รีบจนไม่มีเวลาจัดกระเป๋าเลยเรอะ โถ...พ่อหนุ่มคาสโนวา”   โจวยี่ลากเสียงอย่างยียวน ก่อนจะหักพวงมาลัยนำรถสปอร์ตสีแดงแล่นออกจากลานจอด รูฟัสเหลือบมองโจวยี่มัดผมด้านหลังมาอย่างเรียบร้อยอย่างที่ไม่ค่อยทำนัก ชุดเชิ้ตสีน้ำเงินปักลายเล็กรูปนกตัวเล็กๆ ที่สวมอยู่ก็ดูรับกับสูทลำลองสีดำตัวนั้นดี โดยปกติโจวยี่ไม่นิยมจะใส่เสื้อผ้าสไตล์ยุโรปพวกนี้เท่าไร
   นายนั่นแหละที่พยายามจะหล่อ
   รูฟัสนึกในใจ พลางเอ่ยปากถามต่อ “ทำไมพารถสปอร์ทมาล่ะ?”
   “ฉันอยากเห็นแกไปนั่งตัวลีบด้านหลัง ตอนที่ฉันรับหยุนหมิงขึ้นรถแล้วว่ะ”
   “ความคิดโคตรเจริญเลย เอาเถอะ ถ้าฉันได้นั่งเบียดในรถโคตรแพงแบบนี้ก็ถือว่าคุ้มล่ะ”
   โจวยี่แค่นหัวเราะ “แกอย่ามาประชดฉันน่า ฉันรู้ว่าแพงกว่านี้แกก็ซื้อได้”
   “เออ แต่ไม่มีเวลาจะใช้ไง”
   “นั่นแหละ ประเด็น!” หนุ่มวัยสามสิบยกมือขึ้นตบฉาด นี่ถ้าเป็นคนอื่นคงรู้สึกเสียววาบไปแล้ว แต่รูฟัสรู้ดีว่าเขาสมควรกระโดดลงจากรถเวลาไหน
   “ฉันถึงได้รู้สึกภูมิใจนักว่าใช้ชีวิตแบบฉัน มันดีกว่าใช้ชีวิตแบบแก”   โจวยี่พูดต่อ รูฟัสนึกดีใจที่เพื่อนไม่ยกมือขึ้นจากพวงมาลัยอีก ไม่อย่างนั้นเขาคงได้กระโดดลงจากรถแน่ๆ
   “จ้า พ่อคนเก่ง หวังว่าแกคงใช้เงินได้หมดก่อนที่ฉันจะแวะมาผลาญบ่อนแกนะ”
   “แกนี่มันตัวเสื่อมชัดๆ เลย” โจวยี่สบถ ก่อนจะหักเลี้ยวและเบรกอย่างแรง รูฟัสนึกขอบคุณพระเจ้าที่เขารอดปลอดภัยในการนั่งรถครั้งนี้
   “ที่นี่ล่ะ”   ร่างสูงกล่าวขณะเปิดประตูรถออก รูฟัสขมวดคิ้วอย่างงุนงง
   “นี่มันสวนสาธารณะนี่”
   “เออ นั่นแหละ ลงมาได้แล้ว” คนถูกถามพูดอย่างรำคาญ รูฟัสลงจากรถ ก่อนจะมองไปรอบๆ อีกครั้ง
“ฉันคิดว่านายจะไปรับหยุนหมิงที่ที่ทำงานเสียอีก”
   “หยุนหมิงไม่อยากให้ฉันไปที่นั่น เห็นว่ากลัวจะสะดุดตา”
   รูฟัสเหลือบไปมองรถคาดิแลคของเพื่อนและนึกเห็นด้วยทันที โจวยี่ก้าวพรวดๆ เข้าไปอย่างรวดเร็วตามแบบของเขา รูฟัสตัดสินใจที่จะเว้นระยะห่างเอาไว้สักช่วงใหญ่ๆ เขาไม่อยากที่จะเข้าไปพบหยุนหมิงพร้อมกับโจวยี่
   “อ๊ะ คุณโจว สวัสดีครับ” ผู้ที่ยืนคอยอยู่ตรงจุดนัดพบเอ่ยทักอย่างสุภาพ เมื่อเห็นชายหนุ่มผมยาวเดินมาใกล้
   “สวัสดี ดีใจจริงๆ ที่เธอยอมมา” โจวยี่เอ่ยและยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกดีใจเปี่ยมล้น ร่างผอมบางกว่ายิ้มเจื่อนๆ
   “อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ”
   โจวยี่ยกมือขึ้น ทำท่าเหมือนจะสัมผัสใบหน้าขาวเรียวนั้น แต่แล้วก็เปลี่ยนใจชักมือกลับ
   “ดูซิว่าฉันพาใครมาด้วย”   ร่างสูงกล่าว จับจ้องใบหน้าน้อยๆ ตรงหน้าด้วยคาดหวังสีหน้าตื่นเต้นดีใจ แต่กลับได้สีหน้างุนงงเป็นการตอบแทน โจวยี่จึงเหลียวกลับไปมองด้านหลังของตน และพบกับความว่างเปล่า
   “หายไปไหนว่ะ”   บุรุษวัยสามสิบพึมพำอย่างโมโห เขาแน่ใจว่ารูฟัสเดินตามมาแน่นอน แต่เจ้าบ้านั่นดันหายไปในจังหวะสำคัญเสียได้ ขณะที่กำลังนึกแช่งชักหักกระดูกเพื่อนเก่า เสียงทุ้มๆ ก็ดังขึ้นข้างหู
   “อยู่นี่” รูฟัสพูดพลางยกแขนค้ำไหล่ของโจวยี่เอาไว้ คนถูกค้ำถลึงตาใส่และยันตัวออกด้วยความรังเกียจ
   “ยี๋~ ใครใช้ให้แกเอามือโสโครกมาค้ำฉันว่ะ! แล้วนี่หายหัวไปไหนมา?” หนุ่มผมยาวเปิดฉากต่อว่าต่อขานเพื่อนเก่าทันทีที่ตั้งตัวได้ รูฟัสย่นจมูก
   “ก็ใครใช้ให้แกเดินจ้ำเอาๆ กันล่ะ”
   โจวยี่ถลึงตามองรูฟัสอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ขณะที่อีกฝ่ายก็ทำท่าทางยียวนกวนประสาทพอกัน ระหว่างที่สองหนุ่มกำลังทำท่าจะกัดกันกลางสวนสาธารณะ เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้น
   “คะ..คุณรูฟัส?”
เสียงนั้นพูดตะกุกตะกัก รูฟัสรูสึกใจหายวาบ เสียงที่เขาไม่ได้ยินมานานถึงหกปี ร่างสูงเบือนหน้าไปมองช้าๆ
ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตผูกเน็คไทน์เรียบร้อยคนหนึ่งยืนจ้องเขาอยู่
   ผู้ชายคนนี้แทบจะแตกต่างจากเด็กหนุ่มที่เขารู้จักเมื่อหกปีก่อนอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เขาเห็นคือชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ยี่สิบห้า ที่สูงราวๆ ร้อยเจ็ดสิบกว่า ร่ายกายที่เคยอ้อนแอ้นผอมบาง มีมัดกล้ามเนื้ออยู่ในสัดส่วนสมกับวัย ผิวที่เคยละเอียดขาวนั้นเกรียมแดดเล็กน้อย ผมที่เคยยาวสลวยประบ่าตอนนี้ตัดสั้นเป็นระเบียบ ไม่เหลือเค้าเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักอย่างเมื่อหกปีก่อนเลย แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปคือดวงตาคู่นั้น สายตาของหยุนหมิงที่มองมายังเขายังคงเป็นแบบเดิมไม่มีผิด
   “เป็นคุณจริงๆ ?” ชายหนุ่มถามย้ำอย่างไม่แน่ใจ แต่ยังคงเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ รูฟัสคลี่ยิ้มบางๆ
   “สวัสดีหยุนหมิง”
   หยุนหมิงคลี่ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นก็ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อหกปีก่อนเช่นกัน
   “ผมคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอคุณแล้วเสียอีก” พูดจบก็ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ชิดใกล้ ใบหน้าที่เป็นเหมือนความฝัน รูฟัสรู้สึกถึงความกระด้างของมือที่มาสัมผัสหน้า
   เวลาหกปีเปลี่ยนเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปมากมายขนาดนี้?
   ไม่กี่ครั้งในชีวิตที่รูฟัสจะมีโอกาสได้กลับมาเจอคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ด้วยอาชีพที่เขาทำอยู่ รูฟัสไม่เคยสนใจอดีต ไม่เคยสนใจว่าคนที่เขาเคยพบเคยมีสัมพันธ์ด้วย หรือเคยก่อความเดือดร้อนจะมีชีวิตต่อไปในรูปแบบใด การได้พบกับหยุนหมิงในครั้งนี้จึงสร้างความสะเทือนใจให้เขาพอสมควร
   ร่างสูงยกมือขึ้นกุมมือน้อยนั้น ถึงตอนนี้โจวยี่ได้แต่เบือนหน้าหนี เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะทนยืนอยู่ตรงนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน เพราะฉะนั้น ก่อนที่เขาจะทนไม่ได้ สู้ชิงตัดบทไปเลยดีกว่า
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2011 21:53:30 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #34 เมื่อ23-05-2011 21:52:25 »

“อ่ะแฮ่ม” เสียงกระแอมทำเอาทั้งหยุนหมิงและรูฟัสสะดุ้ง หยุนหมิงรีบดึงมือออก และกล่าวขอโทษในทันที  โจวยี่ขมวดคิ้วแล้วส่งเสียงห้ามไว้
   “คือ ไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะหรอกนะ แต่พอดีฉันมีธุระด่วนต้องรีบไปทำแล้ว”
   “เอ๋?” คนได้ฟังสองคนอุทานพร้อมกัน
   “ไหนว่าจะไปทานข้าวด้วยกันไงครับคุณโจว” หยุนหมิงท้วง โจวยี่คลี่ยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับรูฟัสที่เดินปราดๆ เข้ามา
   “หมายความว่ายังไงว่ะ?” หนุ่มตาสองสีส่งเสียงลอดไรฟัน  โจวยี่หันมายิ้มให้หยุนหมิงอีกครั้ง ก่อนจะลากตัวรูฟัสออกไป
   “หมายความอย่างที่ว่า ฉันจะไปทำธุระ ส่วนแก! พาหยุนหมิงไปเที่ยว เข้าใจไหม?”
   “เดี๋ยวสิ นี่มันผิดกับที่ตกลงไว้ตอนแรกนี่ ไหนแกว่าจะไปด้วยกัน” รูฟัสค้านทันที โจวยี่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบกุญแจรถออกมา
   “ก็พอดีฉันเกิดติดธุระด่วนพันล้าน นี่แกไม่เข้าใจหรือไง เกิดบ่อนฉันเจ๊งขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ” หนุ่มวัยสามสิบพูดเร็วปรื๋อ พลางยัดกุญแจรถใส่มือของอีกฝ่าย
   “แกพาหยุนหมิงไปเที่ยว หยุนหมิงไม่เชื่อว่าฉันกับแกคืนดีกันแล้ว เพราะฉะนั้น แกก็รีบไปทำให้เชื่อเสีย”
   “ทำไมแกไม่ไปด้วยกัน?” รูฟัสยังคงยืนกรานคำถามเดิม ขณะพยายามจะยัดกุญแจรถคืนให้เพื่อนเก่า
   “ก็บอกว่าฉันติดธุระไง!” เสียงของโจวยี่เริ่มฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด มือใหญ่ยัดเยียดกุญแจรถลงมาจนได้ รูฟัสส่งเสียงงืมงำในลำคอ เขาพอที่จะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายแล้ว
   “แล้วแกจะกลับยังไง?” คนถือกุญแจถามซ้ำอีก โจวยี่ยักไหล่
   “เดี๋ยวฉันโทรให้คนมารับ แกไม่ต้องกังวลอะไรมาก ถือเสียว่ามาเป็นลูกน้องฉันสักวันแล้วกัน ทำตามที่ฉันสั่งหน่อย”
   “ไอ้บ้า ใครว่าฉันเป็นลูกน้องแกว่ะ!” รูฟัสโวยวาย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก ยกมือจับไหล่เพื่อนเอาไว้ “ขอโทษนะ”
   โจวยี่ขมวดคิ้วทันที “นี่แกอย่าสะเหร่อขอโทษก่อนที่จะทำได้ไหมว่ะ แบบนี้ก็เท่ากับเจ๊งตั้งแต่ในมุ้งแล้วสิ ไปจัดการให้หยุนหมิงเชื่อก่อน ถ้าไม่ได้แล้วค่อยมาขอโทษฉัน”
   รูฟัสยิ้มแห้งๆ แล้วก็ต้องผงะ เมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้
   “ตะกี้ฉันพูดเล่น ถ้าทำไม่ได้ แกตาย!”
   พูดจบก็ก้าวฉับๆ ออกไปเหมือนตอนมา รูฟัสได้แต่แค่นหัวเราะกับตัวเอง
----------------------------------------------------------------
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ ผมทำให้คุณยุ่งยากอีกแล้ว” หยุนหมิงพูด ขณะที่คนทั้งคู่เดินมาถึงรถ รูฟัสยิ้มบางๆ และสั่นศีรษะ
   “อย่าพูดแบบนั้นเลย ขึ้นรถสิ” เขาพูด พร้อมกับเดินไปเปิดประตูรถให้ แต่อีกฝ่ายกลับถอยห่างออกไป
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับเองได้”
   รูฟัสขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ
“ฉันทำให้เธอลำบากใจหรือเปล่า หยุนหมิง ฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า”
   อีกฝ่ายรีบส่ายหน้า
   “ถ้าไม่มี ทำไมเธอไม่ไปกับฉัน”
   “ผม..”
   “พี่ยี่ทิ้งรถไว้กับฉัน อยากให้พาเธอไปเที่ยว ถ้าเธอเกรงใจเขาล่ะก็ควรจะไปกับฉัน”
   “ขอโทษครับ” หยุนหมิงพูดเบาๆ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย รูฟัสปิดประตู ก่อนจะเดินมาขึ้นด้านคนขับ
   “แล้วเธอก็ไม่จำเป็นต้องพูดขอโทษบ่อยขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดขอโทษ”
   “ครับ” หยุนหมิงรับคำเรียบๆ ก่อนที่รถจะออกตัวไป
บรรยากาศในรถเงียบสนิท จนรูฟัสรู้สึกว่าคำพูดของเขาอาจจะดูมึนตึงเกินไปหรือเปล่า เขาเหลือบตาไปมองคนนั่งข้างซึ่งยังคงก้มหน้านิ่ง
   “เมื่อกี้ฉันอาจจะพูดไม่ค่อยดีไปหน่อย ขอโทษด้วยนะ”
   หยุนหมิงสะดุ้ง เบือนหน้าหันมามองเขาและรีบพูดตอบทันที “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ คุณไม่จำเป็นต้องพูดขอโทษผมหรอก”
   รูฟัสพยักหน้า เบี่ยงพวงมาลัยหลบรถที่แล่นสวนเลนเข้ามา “อืม..เธออยากไปที่ไหนล่ะ?”
   หยุนหมิงนั่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง ความจริงแล้วตอนนี้เขาไปที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีชายคนนี้อยู่ข้างๆ เขาก็มีความสุขแล้ว
   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบ รูฟัสเลยลองเปลี่ยนเรื่องพูด
   “ได้ข่าวว่าตอนนี้เธอทำงานเป็นพนักงานบริษัท การงานไปได้สวยหรือเปล่า?”
   “ครับ คิดว่าเดือนหน้าอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดครับ”
   “ดีจัง เธออยากพาฉันไปดูที่ทำงานเธอหรือเปล่า?”
   “ถ้าคุณอยากเห็น ผมจะบอกทางให้แล้วกันครับ”
   แล้วรูฟัสก็พบว่าความทรงจำของเขาแย่ลง ไม่ก็ถนนในเกาะฮ่องกงเพิ่มมากขึ้น กว่าจะมาถึงตึกที่ทำงานก็เล่นเอาคนบอกทางเหนื่อย
   “เปลี่ยนเป็นให้ผมขับแทนไหมครับ?” อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอ รูฟัสส่ายหน้าทันที
   “ไม่ล่ะ ฉันอยากฟังเธอพูด”
   หยุนหมิงหัวเราะเบาๆ “ไปทีท่าเรือกันไหมครับ แถวนั้นพอมีร้านอาหารอร่อยๆ ราคาไม่แพงอยู่”
   “เอาสิ แต่บอกทางด้วยแล้วกัน” รูฟัสกล่าว พลางออกรถ ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงท่าเรือในตอนเกือบพลบค่ำพอดี หยุนหมิงพารูฟัสเดินลัดเลาะไปตามทางเดิน แล้วขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหารขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก
   หยุนหมิงเลือกที่นั่งที่อยู่ติดหน้าต่าง ซึ่งสามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์ของท่าเรือได้ ก่อนจะเรียกบริกรมาสั่งอาหาร
   “คุณดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ” ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าเริ่มพูด ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นยังคงมองมาเหมือนเมื่อหกปีก่อน สายตาที่ทำให้รูฟัสเคลิบเคลิ้ม
   “แต่ผมคงเปลี่ยนไปมาก ถ้าคุณไม่มากับคุณโจว ก็คงจำผมไม่ได้สินะครับ”
   รูฟัสรีบสั่นศีรษะทันที “ไม่หรอก มีหลายอย่างในตัวเธอที่ไม่เปลี่ยน ฉันยังจำได้”
   หยุนหมิงหัวเราะ หนุ่มตาสองสีจึงยิ้มตอบ “ความจริงแล้วเธอยังเป็นหยุนหมิงคนเดิมเหมือนเมื่อหกปีก่อนที่ฉันรู้จัก ทั้งรอยยิ้ม เสียวหัวเราะ การพูดจา สายตาของเธอ ฉันไม่ลืมหรอก”
   “คุณกำลังพูดให้ผมเคลิ้มนะครับ” หยุนหมิงว่า รูฟัสจ้องหน้าเขาและระบายยิ้มอีกครา
   “เธอเป็นคนมีเสน่ห์นะ”
   อีกฝ่ายหัวเราะแหะๆ พร้อมกับโบกมือ “ทานข้าวเถอะครับ จะไปกันใหญ่แล้ว”
---------------------------------------------------   
   หลังจากทานข้าวเสร็จ หยุนหมิงเสนอให้ออกไปเดินย่อยอาหารกันด้านนอก ลมทะเลพัดพาเอาไอน้ำเค็มเข้ามาจนรูฟัสรู้สึกเหนียวตัว หยุนหมิงเดินอยู่ข้างๆ เขา ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อย
   “ผมไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้มาเดินเล่นแบบนี้กับคุณอีก”
   “ทำไมล่ะ?” รูฟัสถามอย่างสงสัย หยุนหมิงยิ้มเศร้าๆ
   “เธอคิดว่าฉันจะไม่มาฮ่องกงอีกหรือไง?”
   “เปล่าหรอกครับ ผมกลัวว่าคุณจะเกลียดผมแล้ว”
   “แล้วตอนนี้ล่ะ เธอยังคิดแบบนั้นอยู่อีกหรือเปล่า?”
   “นั่นน่ะสิครับ คุณเกลียดผมหรือเปล่าน๊า”
   ร่างที่เดินอยู่ข้างๆ พูดเหมือนล้อเล่น แต่รูฟัสรู้ว่าหยุนหมิงรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ เขาดึงร่างนั้นเข้ามาลูบหัวเบาๆ
   “ถ้าฉันเกลียดเธอ ฉันคงไม่พาเธอมาเดินเล่นแบบนี้หรอก”
   “ขอบคุณครับ แต่คุณกำลังทำผมเคลิ้มอีกแล้ว”
   รูฟัสยิ้มอย่างใจดี
   “ถ้าเธอไม่กลัวสายตาคนอื่น เธออยากจะพิงฉันไปแบบนี้ไปเรื่อยๆ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”
   “ใจดีจังนะครับ คุณก็เป็นเสียแบบนี้ ผมว่าต้องมีคนเคลิ้มกับคุณมาแล้วหลายคนแน่ๆ”
   รูฟัสหัวเราะด้วยความกระดาก ตัวเขาเองก็เริ่มเคลิ้มไปกับหยุนหมิงเหมือนกัน ชายหนุ่มคิดว่าเขาควรหาเรื่องพูดใหม่
   “พี่ยี่บอกว่า เธอไม่เชื่อว่าฉันกับเขาคืนดีกันแล้ว จริงหรือ?”
   “คุณโจวพูดแบบนั้นหรือครับ?” น้ำเสียงของหยุนหมิงดูแปลกใจเล็กน้อย เขายังคงพิงศีรษะกับไหล่ของรูฟัส และรูฟัสก็พอใจที่เห็นอีกฝ่ายทำแบบนั้น
   “อาจจะเป็นเพราะเรื่องที่ผมหลบหน้าเขามาหกปีแล้วมั้งครับ”
   “เอ๋?” รูฟัสอุทานอย่างแปลกใจ หยุนหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ พูดขึ้น
   “หลังจากเรื่องวันนั้น ผมกลับไปหาคุณโจวเพื่ออธิบายเรื่องคุณ”
   “อ้อ”
   “แล้วผมก็ไม่กล้าไปพบหน้าเขาอีก คุณคงรู้แล้วนะครับว่าตอนนั้นผมกับเขากำลังคบกันอยู่”
   “อืม.. จะว่าไปแล้ว ความจริงเรื่องวันนั้นฉันก็มีส่วนผิดอยู่เยอะเหมือนกัน”
   “ไม่เกี่ยวกับคุณหรอกครับ” หยุนหมิงรีบพูด “ความจริงแล้วคุณโจวพยายามบอกผมหลายหนแล้วว่าเขาไม่ได้โกรธหรือเกลียดคุณ”
   “แล้วเธอไม่เชื่อเขาหรือ?”
   “เปล่าครับ ผมเชื่อเขา แต่ผมไม่กล้าไปพบหน้าเขาหรอกครับ”
   “เพราะอะไรล่ะ? เธอคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันกับพี่ยี่ทะเลาะกันหรือไง”
   “เรื่องนั้นก็มีส่วนครับ”
   ทั้งคู่เดินมาจนถึงปลายสุดของทางเดิน รูฟัสตัดสินใจชักชวนให้หยุนหมิงนั่งลงบนม้านั่งยาวบริเวณนั้น
   “เธอจะพิงฉันต่อก็ได้นะ”
   “เชิญชวนจังเลยนะครับ ไม่กลัวผมเมื่อยคอหรือ” หยุนหมิงพูดเย้าและหัวเราะเบาๆ “ผมล้อเล่นนะครับ ผมรอให้คุณอนุญาตอยู่”
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบศีรษะที่พิงมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
   “ความจริงแล้วเธอไม่ต้องรู้สึกผิดเรื่องนั้นก็ได้ ฉันกับพี่ยี่ทะเลาะกันเพราะความเข้าใจผิด แล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ”
   “ไม่ใช่หรอกครับ” หยุนหมิงพูดค้านขึ้นอีกครั้ง รูฟัสนิ่วหน้า
   “ทำไมเธอถึงยืนยันแบบนั้น เธอพยายามปกป้องฉันเกินไปหรือเปล่า”
   “เปล่าหรอกครับ ที่ผมไม่กล้าสู้หน้าคุณโจว เพราะผมทรยศต่อความรักที่เขามีให้ผมต่างหากล่ะครับ”
   รูฟัสรวบร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้เข้ามาแนบชิดกันมากขึ้น
   “ฉันบอกเธอแล้วว่าเรื่องนั้นฉันมีส่วนผิดด้วย ฉันเป็นคนกระตุ้นเธอ และฉันก็อดใจกับเธอไม่ไหว”
   “นั่นเพราะคุณไม่รู้เรื่องของผมกับคุณโจวนี่ครับ ถ้าคุณรู้คุณคง....”
   “ถึงฉันจะไม่รู้ แต่วันนั้นมันเหตุบังเอิญที่เธอไปอยู่ที่นั่น ถ้าให้ฉันย้อนเวลากลับไปที่เดิม ฉันก็พูดได้ว่าฉันคงทำแบบเดิมอีก ตอนนั้นฉันยั้งใจไม่ได้หรอก”
   “คุณทำให้ผมเคลิ้มอีกแล้ว แต่ว่า เรื่องนี้เท่านั้นที่ผมจะต้องบอกคุณด้วยตัวเอง”
   “หยุนหมิง..”
   ร่างที่ครั้งหนึ่งเคยอ้อนแอ้นผอมบางสั่นสะท้านเล็กน้อย
   “ผมขออะไรอย่างหนึ่งก่อนพูดได้ไหมครับ”
   “ว่ามาสิ”
   นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นพริ้มลงครู่หนึ่ง
   “ขอให้ผมได้อยู่ใกล้ๆ คุณแบบนี้ไปจนผมพูดจบ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกโกรธหรือเกลียดผมระหว่างนี้ ขอให้ผมได้อยู่ข้างๆ คุณไปแบบนี้ได้ไหมครับ?”
   “ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันจะเกลียดเธอล่ะ?” รูฟัสถาม แต่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบ
   “ผมขอแค่นี้ ได้ไหมครับ”
   “อืม” รูฟัสรับคำ ก่อนนั่งนิ่ง ตั้งใจฟังเรื่องราวที่อีกฝ่ายเล่า
   “วันนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ผมไปอยู่ในห้องนั้นหรอกครับ”
   “?”
   “คุณคงรู้สึกแปลกใจสินะครับ ที่จู่ๆ ก็มีประตูบานหนึ่งเปิดแง้มอยู่  วันนั้นผมรู้ว่าคุณจะไปที่นั่น ผมขอให้คุณโจวพาไปเองแหละครับ ผมอยาก..”
   คำพูดของหยุนหมิงขาดตอนไปพักใหญ่ ดูเหมือนลังเลว่าสมควรจะพูดต่อไปอีกรึเปล่า
   “ผมอยากไปช่วยคุณ  แต่จริงๆ แล้วในส่วนลึกๆ ผมอยากที่จะใกล้ชิดคุณให้มากขึ้น ผมปรารถนาที่จะเป็นของคุณ”
   รูฟัสได้แต่กลืนน้ำลาย ลมทะเลพัดมาพร้อมกับกลิ่นคาวอ่อนๆ เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจร่างที่พิงอยู่ แต่กลับรู้สึกปวดหัวใจเล็กๆ
   “แล้วคุณก็เข้ามา” หยุนหมิงเล่าต่อ “ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก รู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้ช่วยคุณ ผม ผมไม่เคยเห็นคุณในสภาพแบบนั้นมาก่อน มันดูแปลกมากๆ”
   รูฟัสหัวเราะเล็กๆ “บางทีฉันก็วิ่งเป็นหมาถูกไล่แบบนั้นนั่นแหละ มันไม่ใช่ของน่ามองเท่าไรหรอก”
   หยุนหมิงคลี่ยิ้มบางๆ
   “แล้วคุณก็สั่งให้ผมทำในสิ่งที่ผมยังตกใจ ตอนที่ผมเห็นคุณเปลือย คุณรู้หรือเปล่า หัวใจผมเต้นแรงแค่ไหน”
   “แล้วเธอรู้หรือเปล่า ตอนที่เธอเดินเข้ามาตอนนั้น หัวใจฉันเต้นแรงขนาดไหน”
   “พูดย้อนให้ผมเคลิ้มอีกหรือไงครับ” หยุนหมิงหัวเราะ รูฟัสยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นลูบศีรษะนั้นเบาๆ
   “คืนนั้นผมไม่ได้หวังให้มันเลยเถิดไปขนาดนั้นหรอกนะครับ แต่คุณทำให้ผมมีความสุขมาก แม้จะแค่คืนเดียว”
   “หลังจากวันนั้นเธอไปสารภาพความจริงเรื่องนี้กับพี่ยี่หรือ?”
   “ครับ”
   “เธอรู้หรือเปล่าว่าพี่ยี่รักเธอขนาดไหน?”
   “ครับ ผมรู้ เพราะแบบนี้ผมเลยไม่กล้ามีหน้าไปพบเขาอีก และหลังจากนี้ ผมก็คงไม่มีหน้ามาพบคุณอีก”
   “ทำไม? เธอคิดว่าฉันกับพี่ยี่จะเกลียดเธอหรือ”
   “ผมละอายใจตัวเองน่ะครับ”
   รูฟัสถอนหายใจยาว จนอีกฝ่ายรู้สึกแปลกใจ
   “อย่างนั้นฉันควรจะละอายด้วย  เพราะฉันเองก็ปรารถนาในตัวเธอ ถึงตอนนี้ฉันยังย้อนคิด ถ้าตอนนั้นฉันรู้ว่าเธอเป็นของพี่ยี่ ฉันยังจะห้ามใจตัวเองได้หรือเปล่า”
   “อย่าพูดอะไรให้ผมรู้สึกเคลิ้มไปมากกว่านี้เลยครับ”
   “เธอเป็นคนมีเสน่ห์ หยุนหมิง...”
   นัยน์ตาสองสีเหม่อมองออกไปในทะเลว้างสุดลูกหูลูกตา “ฉันทำร้ายเธอใช่ไหม เมื่อไหร่กันที่เธอเริ่มคิดแบบนั้นกับฉัน เมื่อไหร่ที่เธอเกิดความคิดที่อยากจะเป็นของฉัน”
   “คงตั้งแต่ตอนที่ได้พบกับคุณครั้งแรกนั่นแหละครับ” หยุนหมิงกล่าว พลางหลับตา ภาพในอดีตค่อยๆ ย้อนคืนมา
   “คุณทำให้ผมรู้อะไรหลายๆ อย่าง ผมไม่รู้มาก่อนว่าผมจะแจกไพ่แย่ขนาดนั้น ความจริงคือผมแทบจะไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ แล้วคุณก็สอนผม ทำให้ผมรู้จักอะไรเพิ่มมากขึ้น รู้ไหมครับ ทุกครั้งที่คุณยิ้ม คุณหัวเราะ คุณพูดกับผม หัวใจของผมกลายเป็นของคุณไปทีละน้อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็ปรารถนาที่จะเป็นของคุณไปแล้ว”
   หยุนหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง “คุณเป็นคนใจดีนะครับรูฟัส และก็เป็นคนที่มีเสน่ห์มากๆ ผมดีใจที่คุณเคยหันมาสนใจผม แม้เพียงแค่ช่วงสั้นๆ แค่นั้นก็พอแล้ว”
   “ขอโทษนะ” รูฟัสกล่าวสั้นๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปมากกว่านี้อีก เหมือนความไม่ตั้งใจของเขาได้ทำลายทำร้ายชีวิตของเด็กคนหนึ่งให้เป็นรอยด่างอย่างไม่ตั้งใจ ไม่สิ คงไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่จะทำยังไงได้ล่ะ เขาไม่เคยต้องการทำว่ารัก ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยอยากได้ ทุกคนวิ่งเข้ามาหาเขาเอง
   หนุ่มตาสองสีแอบถอนหายใจเบาๆ เบือนหน้ากลับมามองคู่สนทนาอีกครั้ง หยุนหมิงคลี่ยิ้มละไม
   “ไม่ต้องหรอกครับ ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก มันเป็นนิสัยของคุณ เป็นตัวของคุณ ถ้าจะโทษล่ะก็ โทษที่ตัวผมไม่มีเสน่ห์พอที่จะหยุดคุณเอาไว้ดีกว่า”
   “พูดแบบนี้เหมือนหาว่าฉันเป็นคนเจ้าชู้เลย”
   หยุนหมิงหัวเราะ “ถึงคุณจะคิดว่าตัวเองไม่ใช่ แต่คนอื่นคงคิดว่าใช่แหละครับ เพราะคุณชอบหว่านเสน่ห์แบบไม่รู้ตัวนี่ครับ”
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า เขาไม่รู้ว่าควรจะยอมรับในข้อนี้ดีหรือเปล่า
   “แล้วตอนนี้เธอ ไม่คิดที่จะกลับไปหาพี่ยี่หรือ?”
   “ไม่หรอกครับ เรื่องผมกับเขามันจบกันไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
   “แต่ว่าพี่ยี่ยังรักเธออยู่นะ”
   หยุนหมิงยกศีรษะขึ้นจากไหล่ของรูฟัส หันหน้ามามองใบหน้าเรียวยาวได้รูปนั้น “ข้อนี้ผมรู้ดีครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณโจวว่าเป็นอย่างไร เพราะผมเองก็ยังรักคุณอยู่ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เคยรักผมเลย”
   “ฉัน...” รูฟัสพูดได้แค่นั้น นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เขาได้ยินคำสารภาพรัก แต่ว่าคนที่เขาอยากให้พูดกลับไม่เคยพูดคำคำนี้ออกมาเลย
   “แต่คุณโจวเขามีคนใหม่ไปแล้ว และผมก็กำลังจะแต่งงานเดือนหน้า”
   “เธอจะแต่งงานหรือ?” น้ำเสียงของรูฟัสแสดงความแปลกใจขึ้นมาทันที หยุนหมิงขมวดคิ้ว
   “คุณไม่รู้หรอกหรือครับ คุณโจวไม่ได้บอก โอ้ ตายล่ะ คุณโจวหลอกคุณมาหรือนี่”
   ชายหนุ่มทำหน้าตกใจ รูฟัสนิ่งไปอีกพักหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา “ช่างมันเถอะ ฉันพอใจให้โดนหลอกแบบนี้ ถ้าพี่ยี่บอกฉันฉันคงไม่ได้มานั่งคุยแบบนี้กับเธอ”
   “ขอบคุณนะครับ” หยุนหมิงพูดพลางก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ “ผมว่าเรากลับกันได้แล้วล่ะครับ มันเริ่มดึกแล้ว”
   “ให้ฉันขับรถไปส่งเธอที่บ้านแล้วกัน”
   “ก็ได้ครับ”
   
   รถสปอร์ทคาดิแลคสีแดง แล่นมาจอดตรงอาคารจอดรถใต้คอนโดแห่งหนึ่ง หยุนหมิงก้าวเท้าลงจากรถ
   “ฉันอยากเห็นหน้าแฟนเธอจัง ผู้หญิงคนนั้นสวยหรือเปล่า”
   หยุนหมิงอมยิ้ม “เธออาจจะไม่สวยมาก แต่เป็นผู้หญิงที่ดีมากๆ ครับ”
   “งั้นก็แปลว่าเธอเจอคนที่มีเสน่ห์พอที่จะหยุดเธอเอาไว้ได้แล้วสินะ”
   คนถูกถามหัวเราะ “คิดว่าเป็นแบบนั้นครับ แล้วคุณล่ะครับ เจอแล้วหรือยัง?”
   รูฟัสยิ้มค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ หยุนหมิงจึงพูดต่อ
   “ผมอยากให้คุณมางานแต่งผมเดือนหน้าจัง”
   “ฉันอาจจะไม่ว่างมา” รูฟัสพูดค้าง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปหยิบกล่องสีดำเล็กๆ ที่บรรจุที่นหนีบเน็คไทน์เงินออกมาจากอกเสื้อ หยุนหมิงรับของนั้นมาแล้วยิ้มอีกครั้ง
   “ฉันขอถือโอกาสให้เป็นของขวัญล่วงหน้าวันแต่งงานของเธอเลยแล้วกันนะ” หนุ่มตาสองสีกล่าว อีกฝ่ายพยักหน้า
   “ขอบคุณนะครับ ผมรู้ว่าคุณยุ่งมาก  ผมคิดถึงคุณอยู่ตลอดนะครับ ว่างๆ ก็แวะมาเยี่ยมผมบ้าง และถ้าคุณเจอคนที่หยุดคุณได้แล้ว อย่าลืมพามาหาผมบ้างนะ”
   หยุนหมิงกล่าวคำอำลา โบกมือหยอยๆ แล้วเดินขึ้นตึกไป รูฟัสถอนหายใจยาว การพบกับหยุนหมิงในครั้งนี้เหมือนการได้เห็นร่องรอยความบิดเบี้ยวอันเป็นผลมาจากการกระทำที่ไม่ตั้งใจของเขา ชายหนุ่มเหยียบคันเร่ง รถสีแดงคันนั้นพุ่งออกจากลานจอดอย่างรวดเร็ว
---------------------------
   “สรุปว่าแกหลอกฉันอีกแล้ว”
   รูฟัสพูดพลางโยนกุญแจรถคืนให้โจวยี่ ซึ่งนอนเอกขเนกอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ภายในบ่อนของตัวเอง
   “ถ้าไม่หลอกแก แกจะยอมทำแบบนี้หรือ?” ร่างที่นอนอยู่หลิ่วตาตอบอย่างยียวน
   “สงสัยแกกับราฟี่จะจบจากโรงเรียนเดียวกันแน่ๆ” รูฟัสพึมพำ เมื่อนึกว่าราฟาแอลเองก็พยายามจะหลอกล่อเขาให้ทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน
   “เค้าเรียกว่า จบคอร์สเรียนรู้สันดานคุณรูฟัสต่างหาก” คนนอนอยู่พูด รูฟัสถอนหายใจยาว รู้ว่าป่วยการที่จะเถียง ดูเหมือนว่าเพื่อนของเขาจะรู้นิสัยเขาทะลุปรุโปร่งจริงๆ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมาได้
   “แกรู้เมื่อไหร่ว่าหยุนหมิงชอบฉัน”
   โจวยี่เด้งตัวพรวดขึ้นจากโซฟาทันที ก่อนจะเดินจ้ำๆ เข้ามาหาอย่างคุกคาม
   “อย่าบอกนะว่าแกลืม!”
   “เฮ้ย อย่ามาบ้าตอนนี้นะเว่ย” รูฟัสถลึงตาใส่ เตรียมพร้อมเต็มที่ เขาไม่ยอมโดนบีบหลอดลมอีกเป็นรอบที่สอง
   “นี่แกลืมวันนั้นไปได้ยังไง แกยังมีจิตใจเป็นคนอีกหรือเปล่า?!” โจวยี่ตะเบ็งเสียง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธขึง หนุ่มตาสองสีนิ่วหน้าด้วยความรู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ
   “ไอ้บ้า แกพูดเหมือนตอนนั้นฉันอยู่ด้วยงั้นแหละ!!”
   “เออ ก็ตอนนั้นแกอยู่ด้วย”
   “ตอนไหนว่ะ”
   “ก็ตอนที่ฉันไปเจอแกอยู่ในห้องกับหยุนหมิงไง  ตอนที่หยุนหมิงเข้ามาห้ามฉัน ตอนนี้เขาตะโกนขึ้นมาว่าเขารักแก แกไม่ได้ยินหรือไง หา?!!”
   รูฟัสนึกอยากต่อยใส่โจวยี่สักหมัดขึ้นมาทันที “ก็ฉันไม่ได้ยินนะสิ ไอ้ควายบ้าตัวไหนกันล่ะที่มันเอาแขนดันหลอดลมฉันจนหูอื้อตาลาย คิดว่าเกือบจะตายไปแล้ว”
   โจวยี่ที่กำลังตั้งท่าจะกระทำการอะไรซักอย่าง มีสีหน้าเลิกลั่กขึ้นมาทันที “เฮ้ย นั่นแกพูดจริงๆ หรือ ฉันหลงโกรธแกเพราะเรื่องนี้มาหกปีเชียวนะ ฉันคิดว่าแกรู้ความรู้สึกหยุนหมิงแล้วไม่ยอมตอบกลับ”
   รูฟัสครางเสียงยาว “โธ่..... ไหนแกบอกหยุนหมิงว่าไม่ได้โกรธฉันไง ไอ้ตอแหล เอากุญแจบ้านแกมาเลย เด็กแกกี่คนฉันจะฟัดให้เรียบ”
   “มันไม่ใช่ความผิดของฉันนะโว้ย! รูฟัส” โจวยี่พูด พลางวิ่งหนีรูฟัสไปรอบๆ ห้อง
-----------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #35 เมื่อ23-05-2011 21:54:26 »

บทที่14 เรื่องราวของเว่ยเฟิงปิง
   ชายหนุ่มในชุดยาวสีแดงเดินมาหยุดอยู่ตรงบริเวณโถงสุดท้ายของชั้นที่ยี่สิบห้า โดยมีจางซื่อเยี่ยนในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเดินตามหลังมาห่างๆ
   ฟ่งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับการเดินเล่นครั้งแรกของเขาในฮ่องกง มันเป็นการเดินเล่นในตึกสี่เหลี่ยมไปตามทางซึ่งปูด้วยหินแกรนิตสีดำขัดมัน เขารู้สึกเหมือนกำลังเดินออกกำลังกาย บริเวณที่จางซื่อเยี่ยนพาไปดูแทบจะไม่มีอะไรน่าสนใจ
   หนุ่มสวมแว่นทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้สีดำที่วางอยู่บริเวณระเบียงด้วยความเมื่อยล้า รู้ซึ้งถึงเหตุผลที่ว่าทำไมตึกนี้ถึงได้มีเก้าอี้วางตามระเบียงอยู่เป็นระยะๆ มันถูกสร้างมาเพื่อรองรับเหตุการณ์แบบนี้นี่เอง
   “คุณซื่อเยี่ยน มานั่งสิ” ฟ่งเอ่ยปากชวน เมื่อเห็นคนที่มาด้วยยังคงยืนนิ่ง
   “ไม่เป็นไร คุณนั่งไปเถอะ” ร่างสูงโปร่งตอบเสียงเรียบๆ ฟ่งชักจะสงสัยว่าหมอนี่เต็มใจจะมาเดินเล่นเป็นเพื่อนเขาหรือเปล่า
   แต่คนคนนี้เคยอุตส่าห์มานั่งกินข้าวด้วย ฟ่งเชื่อว่าจางซื่อเยี่ยนคงมีความใจดีเหลืออยู่ในตัวบ้าง
   “ผมสงสัยว่าทำไมพวกคุณปล่อยให้คุณเว่ยทานข้าวอยู่คนเดียวแบบนั้น หรือว่าที่นี่มีกฎว่าห้ามเจ้านายทานข้าวกับลูกน้อง” ฟ่งวกกลับมาพูดเรื่องที่เขารู้สึกคาค้างใจเมื่อช่วงเช้า
   “ตามมารยาทแล้วควรจะเป็นแบบนั้น” จางซื่อเยี่ยนตอบ
   “ถ้าไม่ตามมารยาทล่ะ? งั้นก็แปลว่าพวกคุณไปทานข้าวกับเขาได้งั้นสิ”
   “ไม่หรอก คุณชายไม่เคยชวนใครขึ้นไปทานข้าวด้วย เพิ่งมีคุณเป็นคนแรกนี่แหละ”
   “เอ๋? ทำไมล่ะ?”
   “คุณลองไปถามเขาด้วยตัวเองสิ”
   ร่างบางขมวดคิ้ว สุดท้ายก็โยนกลองกลับมาที่เขาอีกจนได้
   “แล้ว คุณทำงานที่นี่มานานหรือยัง?” ฟ่งทดลองเปลี่ยนคำถาม เผื่อเขาจะได้รู้อะไรน่าสนใจเพิ่มขึ้นบ้าง
   “ประมาณสิบห้าปี”
   คำตอบที่ได้รับทำให้หนุ่มสวมแว่นเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสนใจ “งั้นก็แปลว่าคุณรู้จักกับคุณเฟิงปิงมาสิบห้าปีแล้วน่ะสิ”
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกตัวว่าเขาอาจจะเข้าใจประเด็นคำถามผิดไป “เปล่า ผมเพิ่งมาทำงานกับคุณชายได้สี่ปี”
   “อ้าว แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ?”
   “ผมเคยทำงานให้กับคุณพ่อของเขา”
   ฟ่งขยับตัวด้วยความสนใจ “คุณพ่อ? ถ้าอย่างนั้นเขามีพี่น้องอีกรึเปล่า? หรือว่าเขาเป็นลูกคนเดียว?”
   จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า “คุณชายมีพี่น้องเก้าคน แต่เสียไปแล้วสอง”
   “อุบัติเหตุหรือ?”
   “ถูกฆ่าน่ะ”
   ฟ่งรู้สึกสยองขึ้นมาทันที   “งั้นก็เหลือเจ็ดคนน่ะสิ คุณชายของคุณเป็นคนที่เท่าไหร่”
   “คนที่เจ็ด”
“แย่จัง” ฟ่งอุทานด้วยความตกใจ “แปลว่าสองคนที่ถูกฆ่าไป เป็นน้องของคุณเว่ยอีกทีสินะ น่าสงสาร”
   เขานึกถึงน้องชายตัวเองที่อายุห่างกันสี่ปี ถ้าเล้งเกิดเป็นอะไรไป เขาต้องเสียใจมากๆแน่ๆ
   “แล้วพวกพี่ๆ เขาล่ะ อยู่ที่นี่หรือเปล่า?”
   “เปล่า”
   “อ่อ แยกกันทำงานเหรอ?” ฟ่งเริ่มเดา จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าแทนคำตอบ
   “แล้วคุณล่ะ มีพี่น้องไหม?”
   “ผมเป็นกำพร้า”
   “อ้อ..ครับ” ฟ่งหน้าเจื่อนลงทันที รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถามเรื่องที่ไม่ควรถามอยู่ ชายหนุ่มนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง พยายามนึกหาเรื่องคุยที่มันจรรโลงใจกว่านี้ แต่จางซื่อเยี่ยนกลับพูดต่อ
   “คุณเว่ยชิง คุณพ่อของคุณชาย เป็นคนเก็บผมมา”
   พอเห็นว่าทางนั้นไม่ได้กระทบกระเทือนใจอะไรมาก ฟ่งจึงหันมาสนใจเรื่องเดิม“อย่างนั้นคุณก็โตมากับคุณเฟิงปิงสินะ”
   “เปล่า ผมไม่ได้โชคดีขนาดนั้นหรอก” จางซื่อเยี่ยนตอบ คนได้ฟังมองหน้าเขาอย่างงงๆ
   “แล้วอย่างนั้น คุณ..”
   “คุณฟ่ง คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?” จู่ๆ หนุ่มผมยาวก็เปลี่ยนเรื่อง พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ ฟ่งยิ้มแหะๆ
   “ไม่รู้สิ ส่วนหนึ่งของฮ่องกงมั้ง?”
   “แล้วคุณรู้หรือเปล่า ว่าคุณเว่ยเฟิงปิงเป็นใคร?” ฟ่งส่ายหน้า จางซื่อเยี่ยนเดินผ่านเขาไปยังหน้าต่าง อาคารหลังนี้บริเวณผนังระเบียงส่วนนอกจะปิดด้วยกระจกตัดแสงตลอดแนว ทำให้สามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ ชายหนุ่มในเชิ้ตสีขาวมองออกไปนอกหน้าต่าง
   “ที่ฮ่องกงมีกลุ่มธุรกิจเยอะนะ คุณฟ่ง คุณเว่ยชิงพ่อของคุณเฟิงปิงเป็นเจ้าของกลุ่มธุรกิจของตระกูลเว่ย”
   “เป็นธุรกิจเกี่ยวกับอะไรหรือครับ?” ฟ่งถามแทรก พยายามคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบอย่างที่เขาคิดไว้ จางซื่อเยี่ยนมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม เอ่ยตอบสั้นๆ
   “หลายอย่าง”
   คำตอบทำเอาคนฟังนิ่วหน้า ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ฟ่งคงด่าจางซื่อเยี่ยนว่ากวนประสาทไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ หนุ่มสวมแว่นจึงสงบปากสงบคำนั่งฟังต่อ
   “ธุรกิจเป็นเรื่องที่ต้องทำทั้งบนดินและใต้ดิน คุณเข้าใจใช่ไหม? ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลที่ทำทั้งสองอย่าง และให้การคุ้มครองคนที่ทำธุรกิจร่วมด้วย
   “มาเฟียสินะ” ฟ่งโพล่งออกมา พลันรู้สึกว่าตัวเองปากไวไปหน่อย บางที่ฝ่ายนั้นอาจจะไม่พอใจคำเรียกแบบนี้ก็ได้
   “เรียกแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอก” จางซื่อเยี่ยนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย ฟ่งระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะพูดต่อ
   “ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องมาเฟียที่ฮ่องกงเหมือนกัน แต่ไม่เคยคิดหรอกนะว่าจะมาเจอกับตัวเอง”
   “แล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”
   “ก็กลัวสิ” ฟ่งพูดตอบแทบจะในทันที “พวกคุณลักพาตัวผมมา”
   ความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขาอีกครั้ง ความจริงก็น่าจะเดาได้อยู่ว่าคนพวกนี้ต้องไม่ใช่คนทำงานปกติแน่ๆ แต่เพราะฟ่งไม่เคยมีเรื่องบาดหมางข้ามชาติมาก่อน จู่ๆ จะให้คิดว่าตัวเองกำลังโดนมาเฟียฮ่องกงจับตัวมาก็กระไรอยู่
   “จะว่าไป ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณพาตัวผมมาทำไม”
   “คุณไม่รู้จริงๆหรือ?” จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้วเรียวยาวด้วยความฉงน ฟ่งพยักหน้า เขาพอเดาได้ว่าอาจจะเพราะเขาเกี่ยวข้องกับรูฟัส แต่ก็ยังไม่เข้าใจสาเหตุแน่ชัดว่าทำไมถึงต้องเป็นเขาด้วย จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปพักใหญ่
   “ผมเข้าใจว่าคุณชายบอกคุณแล้วเสียอีก เอาเถอะ..” หนุ่มผมยาวเว้นระยะพูดไปพักหนึ่ง “คุณรู้เกี่ยวกับพวกสายลับหรือเปล่า?”
   ฟ่งพยักหน้า “ถ้าพูดถึงหนังล่ะก็ ผมเคยดู”
   ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนไร้อารมณ์เช่นเดิม
   “ผมกำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ  สายลับไม่ได้มีเฉพาะคนของหน่วยงานรัฐหรอกนะ พวกที่รับจ้างก็มี คนพวกนี้ทำงานเกี่ยวกับการจารกรรมข้อมูลลับ ลอบสังหาร”
   “อืม” ฟ่งผงกศีรษะ นึกถึงรูฟัส คนคนนั้นทำงานแบบนี้ล่ะหรือ? ขโมย... ลอบฆ่า....
    “พวกเขาถนัดในการปลอมแปลงและแอบแฝงเข้ามาในรูปแบบต่างๆ นั่นแหละที่เป็นปัญหา คุณจะไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่เป็นสายลับ จนกว่าพวกเขาจะพลาด หรือแสดงตัวออกมาเอง”
   จางซื่อเยี่ยนเว้นระยะไปอีกครู่หนึ่ง เขาหันมามองคนฟัง
   “ผู้ชายที่ชื่อรูฟัส เป็นคนแบบนั้นแหละ”
   ฟ่งรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว พยายามฝืนยิ้ม “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ?”
   “คุณฟ่ง” จางซื่อเยี่ยนพูด พลางเดินเข้ามาใกล้
   “ชื่อจริงของคุณคืออภิวัฒน์สินะ ผมพบกับผู้ชายที่ชื่อรูฟัสมาแล้ว เขามีปฏิกิริยาตอบสนองตอนที่ผมเอ่ยชื่อของคุณ ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงคุณมาก นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกสายลับควรจะเป็นเลย”
   “ผมไม่เข้าใจ” ฟ่งตอบ พยายามหลบสายตาของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังจ้องมองลงมา มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
   “หมายความว่า คุณคือคนที่ทำให้เขาแสดงตัวตนออกมา คุณคือจุดอ่อนของเขา ซึ่งความจริงแล้วเขาไม่ควรจะมี”
   ฟ่งรู้สึกแย่ขึ้นมาทันทีกับประโยคหลัง เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรกันแน่ แต่ดูเหมือนว่า ผู้ชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนกำลังพยายามจะหาเรื่อง
   “คุณพูดเหมือนผมผิด ผมไม่ได้อยากจะไปยุ่งกับเขาสักหน่อย ถ้าผมรู้ว่าเขาเป็นใครล่ะก็...”
   “คุณจะไม่ไปยุ่งกับเขางั้นสิ  แต่คุณไม่รู้ และคุณก็ให้เขาเข้ามาในชีวิตคุณ”
   นัยน์ตาสีดำราวอีกาที่ปกติมักไม่ค่อยแสดงอารมณ์คู่นั้นมองลงมาอย่างสมเพช ก่อนจะพูดต่อช้าๆ “ไม่ใช่คุณหรอกที่ปล่อยให้เขาเข้ามาในชีวิต เขาปล่อยให้คุณเข้าไปในชีวิตต่างหาก”
   ฟ่งมุ่นคิ้วด้วยความหงุดหงิด ยิ่งฟังไปนานเท่าไหร่ ยิ่งเหมือนเขาเป็นฝ่ายผิดเข้าไปทุกที
   “คุณมีความลับหรือข้อมูลอะไรหรือเปล่า? คุณฟ่ง เขาไม่น่าจะเข้าหาคุณโดยไม่มีเหตุผล”
   “ผมจะไปรู้ได้ไง!” ฟ่งพูดอย่างหมดความอดทน ตวัดสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย ด้วยความสงสัยว่าจะเอาอย่างไรกับเขากันแน่ จางซื่อเยี่ยนหรี่นัยน์ตาสีอีกาลง
   “เขาไม่เคยถามอะไรแปลกๆ กับคุณเลยหรือ?”
   ร่างบางสั่นศีรษะ รูฟัสไม่เคยถามอะไรที่เขารู้สึกผิดปกติ ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานของเขาเป็นอย่างไร
   “คุณเป็นคนรักของเขาจริงๆ ?”
   “ผมไม่รู้!”
   “เขาเคยบอกรักคุณหรือเปล่า?”
   “อือ” ฟ่งรู้สึกโมโห เหมือนกำลังถูกต้อนให้พูดเรื่องน่าสแลงใจ เขาอยากจะต่อยชายที่อยู่ตรงหน้าสักหมัด แต่ทำลงไปคงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา เผลอๆ จะได้ซวยยิ่งกว่าเดิม
มุมปากของจางซื่อเยี่ยนปรากฏรอยยิ้มแค่นขืน เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับท่าทีที่ฟ่งแสดงออก แต่กลับรู้สึกขบขันต่อการกระทำของชายผู้ซึ่งทำให้เจ้านายของเขาเจ็บปวดมาตลอด
มันช่างเป็นเรื่องตลกที่น่าสมเพช รูฟัสสามารถจะรัก แต่ไม่สามารถเปิดเผยฐานะต่อคนรักได้ ส่วนเขาแม้จะมีสถานะเปิดเผย แต่กลับไม่สามารถที่จะรักได้
   แล้วเว่ยเฟิงปิงล่ะ อยู่ในสถานะแบบไหนกันแน่..
   ปรากฏแววแห่งความปวดร้าวแวบหนึ่งในดวงตาสีอีกาคู่นั้น ก่อนที่เจ้าของจะเอ่ยปากเรียบๆ
   “คุณฟ่ง ผมขอร้องคุณอย่างหนึ่งได้ไหม?”
   ฟ่งเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
-------------------------------
   “ขอบใจนะ”
   ร่างเพรียวในชุดสูทกล่าว พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกล่องใส่บุหรี่กล่องใหม่ที่ทำจากสแตนเลส
   อาเง็กยิ้มให้เจ้านายของเขา ดูเหมือนว่าวันนี้เว่ยเฟิงปิงจะอารมณ์ดีกว่าปกติ เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามต่อ   “ไม่ทราบว่า คุณชายจะรับบุหรี่เป็นตัวไหนดีครับ”
   ฝ่ายถูกถามโบกมือปฏิเสธ “ไม่ล่ะ ฉันยังไม่อยากสูบตอนนี้ เธอไปเถอะ”
   เด็กหนุ่มผู้มีปานสีเขียวบนลำคอถอยออกไปจากห้อง พร้อมกับเสียงปิดประตู
   เว่ยเฟิงปิงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้หนังสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งเขาใช้นั่งทำงาน พลางพลิกกล่องใส่บุหรี่ที่เพิ่งรับมาในมือเล่น
ยังคงเหลืองานเอกสารเกี่ยวกับสัญญาเช่าและสัญญาคุ้มครองอีกหลายแผ่นที่เขายังไม่ได้ตรวจ ชายหนุ่มวางกล่องบุหรี่ในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษเหล่านั้นขึ้นมาอ่าน  ดวงตายาวเรียวราวกับพญางูนั้นกวาดตาขึ้นลงอย่างช้าๆ ก่อนจะหยิบกระดาษอีกแผ่นขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างลงไป และใช้คลิปหนีบมันเข้ากับกระดาษแผ่นเดิม
โดยปกติแล้ว เอกสารต่างๆ เหล่านี้ เว่ยเฟิงปิงจะตรวจดูด้วยตัวเองทุกวัน แต่หลายวันที่ผ่านมา เขาทำได้แค่เพียงวางมันทิ้งเอาไว้ ชายหนุ่มยอมรับว่าเขาไม่มีสมาธิจะอ่านและตัดสินใจเนื้อหาเกี่ยวกับเอกสารนี้ได้ ในเมื่อมีเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นวิ่งวนอยู่ในหัวสมอง
รูฟัส
เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ ยอมรับกับตัวเองว่าเขาเคยรู้สึกริษยาเมื่อทราบว่า บุคคลที่เขานำตัวมาจากประเทศไทยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งและยังมีความสำคัญถึงขนาดทำให้ชายเจ้าปัญหาคนนั้นละทิ้งงานมาได้  จนกระทั่งเมื่อคืนนี้
ร่างบางกวาดตามองเอกสารอีกแผ่นที่หยิบขึ้นมาอย่างใจเย็น เขารู้เรื่องราวของบุคคลที่เขาลักพาตัวมาจากประเทศไทยไม่กี่อย่าง ชายคนนั้นมีชื่อว่าอภิวัฒน์ หรืออีกชื่อหนึ่งว่าฟ่ง และมีอาชีพเป็นนักออกแบบภายใน มีพี่น้องสามคน เป็นคนกลาง  ในตอนแรกเว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะเชื่อนักว่า ชายหนุ่มคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับรูฟัส เนื่องจากหน้าที่การงานที่เขาทำอยู่ไม่มีส่วนที่เกี่ยวโยงกับเรื่องราวที่สายลับคนนั้นกำลังติดตามอยู่แม้แต่น้อย
เว่ยเฟิงปิงตกลงใจไปประเทศไทยตามคำสั่งของผู้เป็นบิดาเพราะเรื่องที่ฟาบิโอเล่า ตอนแรกก็เข้าใจว่าจิ้งจอกเฒ่าจะเตรียมการล่วงหน้ากับเพื่อนเก่าชาวอิตาลีเพื่อหลอกทดสอบความตั้งใจของตนเองที่จะตามหาสายลับคนนั้น แต่พอลองสืบเข้าจริงๆ จึงพบว่าเรื่องนี้มีเค้าอยู่มากพอสมควร
จากที่สนทนากับฟาบิโอ ดอนแห่งอิตาลี คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเดาได้ทันทีว่า ภารกิจที่รูฟัสกำลังปฏิบัติการณ์อยู่ตอนนี้ต้องเกี่ยวข้องกับ โปรเจคลับที่มีชื่อเรียกกันในหมู่ผู้ทรงอิทธิพลว่า เทซกาลิโพกา ซึ่งพ่อของเขาส่งเขามาเป็นตัวแทนในการปฏิเสธ เว่ยเฟิงปิงจึงเริ่มสืบจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับโปรเจคนี้เป็นจุดแรก  มันเป็นการสืบที่ดูเหมือนการเหวี่ยงแหลงไปในลำธารลึก ที่ไม่รู้ว่าจะมีปลาอาศัยอยู่หรือเปล่า แต่ผลลัพธ์ที่ได้ กลับเหนือกว่าที่เขาคาดไว้
   การที่จะทำให้สายลับยอมเปิดเผยตัวตนออกมานั้นเป็นเรื่องยากลำบาก เว่ยเฟิงปิงรู้ดีว่าต่อให้เขาพบตัวรูฟัส ก็ยากที่จะต้อนหรือจับตัวมาได้ง่ายๆ แล้วเขาก็บังเอิญไปเจอเส้นความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะปกตินักของรูฟัสกับคนข้างห้อง จึงตัดสินใจที่จะลองใช้ความสัมพันธ์บีบให้รูฟัสยอมเปิดเผยตัว และมันก็ได้ผล  
   รูฟัสถึงขั้นทิ้งงานที่ทำอยู่และตามมาถึงฮ่องกง
แต่นั่นกลับทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด
   เว่ยเฟิงปิงเชื่อมาตลอด ว่าคนอย่างรูฟัสจะไม่มีวันรักใคร ชายคนนั้นจะไม่มีวันไปรักใคร
   เพราะคนอย่างชายคนนั้นไม่สามารถที่รักใครได้
   เมื่อทราบว่ารูฟัสยอมทิ้งภารกิจเพื่อมาตามหาฟ่งถึงฮ่องกง จิตใจของเขาแทบจะลุกเป็นไฟ ความริษยาทวีขึ้นจนทำให้ไม่มีแก่ใจที่จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีก จนกระทั่งเมื่อคืน
   คำพูดของฟ่งที่ว่าเขาไม่รู้อะไรเลยทำให้เว่ยเฟิงปิงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า บางทีชายคนนี้อาจจะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เกี่ยวกับชายที่ชื่อรูฟัส
   หากเป็นเช่นนั้น ฟ่งก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ถูกหลอก
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกสงสารเชลยของเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ในตอนแรกเขาเพียงแค่อยากระบายอารมณ์กับใครสักคน แต่ปฏิกิริยาของฟ่งที่มีต่อเขานั้นอ่อนโยนจนทำให้รู้สึกหวั่นไหว
   ฟ่งดีเกินไปสำหรับรูฟัส
   เว่ยเฟิงปิงคิดว่ารูฟัสไม่มีคุณสมบัติพอที่รักผู้ชายคนนี้
   นิ้วเรียวยาววางกระดาษที่ผ่านการอ่านอย่างถี่ถ้วนแล้วลงบนโต๊ะ เว่ยเฟิงปิงยังไม่แน่ใจว่าควรจะอนุมัติตามคำขอในกระดาษแผ่นนั้นดีหรือไม่ เขาจึงเสียบมันเข้าไปในแฟ้มสีดำที่วางอยู่ใกล้ๆ  เอนตัวลงกับเก้าอี้ มองออกไปนอกหน้าต่าง ระบายลมหายใจยาว
   ในเมื่อตอนนี้ฟ่งอยู่ในการดูแลของเขา ก็คงเป็นโอกาสดีที่จะจัดการกับเส้นความสัมพันธ์ที่น่าหงุดหงิดรำคาญใจ
------------------------------
   “เอ่อ.. ขอโทษนะครับ”
   เสียงที่ดังขึ้นทำให้รูฟัสและโจวยี่ชะงัก ทั้งคู่กำลังพยายามจะผลักอีกฝ่ายเข้าหาผนัง ทันทีที่เห็นหน้าเจ้าของเสียง โจวยี่ร้องขึ้นทันที
   “แดเนียล ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่!?”
   “คือ ผมได้ยินเสียงดังเอะอะมาก เลยลงมาดูน่ะครับ” เด็กหนุ่มผมสีบล็อนด์กล่าว พลางกะพริบนัยน์ตาสีเขียวปริบๆ โจวยี่ผลักรูฟัสออกปราดเข้าไปหาคนพูดทันที
   “โธ่เอ๋ย....เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องลงมาเลย” หนุ่มผมยาวทอดเสียงกล่าว รูฟัสที่ถูกผลักเซไปชนกับฝาผนังทำหน้าเหยเกทันทีที่ได้ยิน เขาจำได้ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กคนเดียวกับที่เขาเห็นแวบๆ ในตอนที่เขาแวะมาหาโจวยี่วันแรก
   “ถ้าผมมาขัดจังหวะ ก็ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณจะ...” แดเนียลพูดหลังจากเหลือบมองคนด้านหลัง  โจวยี่ตาเหลือก หันกลับมามองรูฟัส แล้วหันกลับไปมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะร้องครางออกมา
   “มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ แดเนียล ฉันกับหมอนี่ไม่ได้..........”
   “แต่ผมเห็นพวกคุณกำลังกดกันอยู่”
   “คือมันมีเหตุนิดหน่อย..” โจวยี่เอ่ย ไม่รู้จะอธิบายต่อไปยังไง จะให้บอกว่าที่ทำแบบนั้นเพราะรูฟัสจะเข้ามาแย่งกุญแจห้องเพื่อไปปล้ำเด็กในสังกัดของเขาอย่างนั้นหรือ เรื่องแบบนั้นใครบ้ามันจะไปเชื่อ
แดเนียลฝืนยิ้ม “คือ ผมไม่ได้รังเกียจถ้าคุณโจวจะมีรสนิยมแบบนี้หรอกนะครับ  แต่มันอาจจะเอะอะเกินไป”
   “โธ่ แดเนียล มันไม่ใช่แบบนั้น... เฮ้ย รูฟัส มาช่วยกันพูดหน่อย” โจวยี่แทบอยากจะเอาหัวโขกผนัง เขาหันไปกระชากเสียงใส่เพื่อน รูฟัสยักไหล่ เดินทอดน่องเข้ามาใกล้อย่างไม่รู้ทุกข์รู้ร้อน
   “พ่อหนูอย่ากลัวว่าฉันจะปล้ำเจ้าควายบ้านี่เลย ต่อให้ฉันอดอยากขนาดไหนฉันก็ไม่หน้ามืดขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าน่ารักๆ อย่างเธอล่ะก็ไม่แน่”
   ไม่พูดเปล่ายังทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย จนแดเนียลต้องรีบหลบสายตา พวงแก้มปลั่งแดงระเรื่อ
   “ช่วยได้มากเลยนะแก” โจวยี่คำราม และหันไปถีบใส่รูฟัสเต็มรัก ทำเอาทางนั้นหงายหลังล้มโครมลงไปบนโซฟา แดเนียลหลับตาปี๋ด้วยความตกใจ
   “เธอขึ้นไปนอนก่อนนะ เดี๋ยวฉันคุยธุระเสร็จแล้วจะตามขึ้นไป”
   โจวยี่พูดพลางยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่มอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ทำไมเด็กในสังกัดของเขาถึงต้องมาเจอภาพบ้าๆ อย่างนี้ด้วย แดเนียลลืมตาขึ้น มองข้ามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปอย่างหวาดๆ
   

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #36 เมื่อ23-05-2011 21:54:58 »

“พวกคุณคงไม่ฆ่ากันหรอกนะครับ”
   “ไม่หรอก พวกเราสนิทกันจะตาย จริงไหม” โจวยี่พูดพลางยิ้มอย่างที่คิดว่าเป็นพวกรักสันติวิธีที่สุด ก่อนจะหันไปทางรูฟัส ซึ่งกำลังตะเกียกตะกายลุกออกมาจากโซฟา
   “เออ จริง เชื่อเขาเถอะพ่อหนู” รูฟัสพูด ด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่สุด แดเนียลยิ้มแห้งๆ ทำหน้าเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
   “งั้น ผมไปนอนก่อนนะครับ ขอโทษด้วยนะครับที่รบกวน”   เด็กหนุ่มกล่าวคำอำลา ก่อนจะเดินปรือออกไป
   “เชื่อเลย คราวนี้ก็เข้าใจผิดกันไปถึงไหนต่อไหน” โจวยี่คราง รูฟัสเดินเข้ามายักไหล่อย่างไม่เดือดร้อน
   “ช่วยไม่ได้ ก็ดันปัญญาอ่อนกันเองนี่”
   “ต้นเหตุก็เพราะแกนั่นแหละ แล้วหยุดโปรยเสน่ห์ใส่เด็กๆ ฉันเสียที!”
   “แหม...ฉันก็แค่มองเฉยๆ” รูฟัสพูดหลิ่วตาใส่เพื่อน ฝ่ายนั้นยกมือขึ้นบังทันที
   “พอ ไม่ต้องเอาตาพิการของแกมาทำแบบนั้นใส่ฉัน ขนลุกตายห่ะ!”
   “แกเองก็พูดเกินไป ถ้าน่ากลัวจริงทำไมเด็กแกหน้าแดงล่ะ? แล้วอีกอย่าง สายตาฉันปกติ แค่สีไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง”
   โจวยี่ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ  บางทีเขาก็รู้สึกอยากที่จะให้ตัวเองหูหนวก ไม่ก็ให้รูฟัสเป็นใบ้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ข้อหลังดูเหมือนจะฟังดูดีกว่า
   “เอาล่ะ ฉันจะยกเรื่องที่แกหลอกฉันไปทิ้งทะเลก่อน คราวนี้มาว่าเรื่องแผนของแกกัน” รูฟัสพูด นั่งปุลงบนโซฟา ตวัดสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายเป็นเชิงบังคับ โจวยี่ถอนหายใจยาว ก่อนจะนั่งตาม
   “นี่แกจะใจร้อนไปไหน ไปหลับไปนอนกันก่อนค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้ไม่ดีกว่าหรือไง?”
   นัยน์ตาสองสีถลึงมองแทนคำตอบ จนอีกฝ่ายต้องรีบพูดต่อ “โอเค โอเค ฉันจะอธิบายให้แกฟัง”
   โจวยี่เดินออกไปล็อคประตูห้อง และรูดม่านปรับแสงลง ก่อนจะกลับมานั่งพร้อมไวท์บอร์ด และปากกา
   “บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่มีแบบแปลนอาคารของสำนักงานคุณชายเจ็ดให้แกหรอกนะ” หนุ่มผมยาวเกริ่น แววตาของรูฟัสเปลี่ยนไปเล็กน้อย
   “แต่แกอย่าเพิ่งโมโหฉันไป ฉันมีแผนดีๆ กว่านั้น”
   ร่างสูงโปร่งวางกระดานลงบนโต๊ะ แล้วเริ่มอธิบาย “ฉันจะลองประเมินสถานการณ์ปัจจุบันที่เรามีตอนนี้ก่อน เริ่มจากทางฝั่งคุณชายเจ็ด”
   โจวยี่ใช้ปากกาเขียนชื่อเว่ยเฟิงปิงตัวใหญ่ๆ ลงบนกระดาน เหมือนจงใจให้รูฟัสเห็นชัดๆ อีกฝ่ายนั่งฟังอย่างอดทน
   “เขามีแฟนแกเป็นตัวประกัน แถมยังเป็นเจ้าถิ่น  มิหนำซ้ำอาคารนั่นยังมีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา กล้องวงจรปิดก็เพียบ”
   เขาวาดรูปตึกสี่เหลี่ยมๆ ครอบชื่อเฟิงปิงเอาไว้
   “คราวนี้ มาดูแกบ้าง”
   ชื่อของรูฟัสถูกเขียนลงบนกระดาน รูฟัสทำหน้าแปลกๆ เมื่อเห็นชื่อตัวเองถูกเขียนว่าปีเตอร์ โจวยี่หัวเราะ “เอาน่า เรามาดูกันดีกว่าว่าคุณรูฟัสมีอะไรบ้าง มาก็มาตัวเปล่า มีเสื้อผ้าใส่ติดมาชุดเดียว เพื่อนฝูงก็เลิกคบไปหมดแล้ว อาศัยในห้องเช่า ที่ไม่รู้ว่าจะปลอดจากสายตาคนของตระกูลเว่ยหรือเปล่า มิหนำซ้ำยังไม่มีแบบแปลนตัวตึกที่จะเข้าไปอีก สรุปคือแกไม่มีอะไรเลย”
   พูดจบก็เขียนวงกลมครอบชื่อรูฟัสไว้ อีกฝ่ายเอามือกอดอก “เอาล่ะ แกต้องการจะบอกอะไรฉัน  บอกให้ฉันเลิก?”
   โจวยี่รีบโบกมือ “ใจเย็นๆ พ่อหนุ่มคาสโนวา ฉันกำลังจะบอกว่า โชคดีที่แกมีเพื่อนอย่างฉันอยู่ ดังนั้นแกจึงมีอะไรที่จะไปต่อรองกับคุณชายเจ็ด”
   “แกมีของที่เขาต้องการหรือไง?” รูฟัสถามขึ้นอย่างแปลกใจ โจวยี่ยิ้มกว้าง และชี้มือกลับมา “ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นแก”
   รูฟัสขมวดคิ้วทันที อีกฝ่ายพูดต่อ “ลองนึกถึงจุดประสงค์ที่คุณชายเว่ยเขาจับตัวแฟนแกมาสิ นั่นเพราะเขาอยากได้ตัวแกไม่ใช่หรือ?”
   ถึงประโยคนี้คนฟังทำหน้าเบี้ยว โจวยี่เลยรีบพูดต่อ “ฉันไม่ได้พูดให้แกเอาตัวเข้าไปถวายเขา แต่กำลังจะพูดว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของคุณชายเจ็ดคือแก ไม่ใช่แฟนแก เพราะฉะนั้นการเอาแกเป็นตัวล่อให้เขาออกมาจึงดูเข้าท่าที่สุด”
   “เอ้อ” รูฟัสทำเสียงในลำคอเหมือนจะนึกได้ โจวยี่ตบมือป้าบ “ใช่ไหมล่ะ!”
   “แต่เด็กคนนั้นจะยอมออกมาหรือ?” หนุ่มตาสองสีพูดอย่างไม่แน่ใจนัก เขารู้ว่าเฟิงปิงเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเองแจ
   “นั่นล่ะประเด็น แกคิดว่าคุณชายเว่ยอยากได้อะไรจากแกกันล่ะ?”
   รูฟัสนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะยกมือเกาหัวแกรก “ไม่รู้ เด็กนั่นอาจจะอยากแก้แค้น”
   ร่างสูงที่นั่งฟังอยู่โบกมือปราม “เฮ้ย อย่าคิดอะไรทำร้ายตัวเองแบบนั้นสิ แกควรจะคิดอะไรที่มันเป็นประโยชน์กับตัวเอง แล้วตัวแกก็มีมันอยู่ อย่างเช่นพวกข้อมูลลับ”
   “อ๋อ” รูฟัสคราง “ฉันเริ่มเข้าใจแผนแกล่ะ แกจะให้ฉันใช้ข้อมูลที่มีแลกเปลี่ยนกับเฟิงปิง โดยการนัดเขาออกมาสินะ”
   “ใช่เลย!” โจวยี่ตบมืออีกครั้ง
   “แต่ว่า จะใช้สถานที่แบบไหนล่ะ?” อีกฝ่ายตั้งคำถามต่อ  โจวยี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เรื่องนั้นฉันคิดไว้แล้ว เดี๋ยวฉันจะเอาแผนที่ให้นาย พรุ่งนี้เราจะไปดูกัน”
--------------------------------------------
   ฟ่งถูกพาตัวลงมายังชั้นล่างผ่านทางลิฟต์ที่ต้องใส่บัตรและรหัส ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เขาพบว่าเว่ยเฟิงปิงยืนรออยู่ในชุดสูทลำลองสีน้ำตาลอ่อน ท่ามกลางบรรดาลูกน้องที่ล้อมรอบ
   “เป็นไง เดินเล่นสนุกไหม?” ผู้เจ้านายในที่แห่งนี้เอ่ยทัก ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ ความจริงคือเขาขอกลับมาอยู่ในห้องของตัวเองตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ และตอนนี้ก็ยังรู้สึกปวดขาอยู่
   “ฉันจะออกไปทานข้าวข้างนอก นายก็ไปด้วยกันสิ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากชวน ฟ่งยิ้มแห้งๆ เขารู้ดีว่ามันเป็นแค่คำชวนตามมารยาท ฝ่ายนั้นคงต้องการให้เขาไปด้วยอยู่แล้วแต่แรก ไม่อย่างนั้นจะให้พาตัวเขาลงมาทำไม ความจริงฟ่งรู้สึกดีใจที่จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาด้านนอก แต่ก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนเรื่องชุดไม่ได้เพราะชุดที่เขาสวมยังคงเป็นชุดแดงยาวเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ดูเหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงจะสังเกตความกังวลของเขาออก
   “นายไม่ต้องกังวลเรื่องชุดหรอกนะ ฉันอยากเห็นนายได้จากที่ไกลๆ เพราะฉะนั้นไปทั้งอย่างนี้แหละ”
   ฟ่งยิ้มอย่างคนหมดหนทาง เขาเดินตามเว่ยเฟิงปิงไปยังรถซีดานสีดำที่จอดรออยู่ด้านนอก
   “นายเข้าไปก่อน” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ขณะที่ลูกน้องคนหนึ่งเปิดประตูรถให้ ฟ่งหันมามองรอบๆ อย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก ก่อนจะมุดเข้าไปในรถ
   “ซื่อเยี่ยน นายมากับฉัน” ผู้เป็นเจ้านายเรียกลูกน้องขณะที่กำลังก้าวเข้าไปในตัวรถ ฟ่งมองดูจางซื่อเยี่ยนเปิดประตูข้างคนขับเข้ามานั่งด้วยสายตาแปลกๆ แล้วรถซีดานคันนั้นก็เคลื่อนตัวออกช้าๆ
   “แล้วพวกที่เหลือล่ะ?” เขาหันไปถามเว่ยเฟิงปิง เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ในรถเพียงแค่สี่คน
   “เดี๋ยวก็ตามมาน่ะ” อีกฝ่ายตอบเรียบๆ  ในไม่ช้าฟ่งก็พบว่า รถที่ตามมานั้นพอจะนับเป็นขบวนแรลลี่เล็กๆ ได้ขบวนหนึ่ง
----------------------------------------------
   ในที่สุดรถก็แล่นมาจอดในที่จอดรถภายในอาคารของโรงแรมหรูใจกลางย่านธุรกิจ  ฟ่งเดินตามเว่ยเฟิงปิงเข้าไปในโรงแรมโดยมีจางซื่อเยี่ยนเดินตามหลัง
   ผู้จัดการโรงแรมออกมาให้การต้อนรับด้วยตัวเอง หลังจากที่ทักทายและคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่พักหนึ่ง เขาก็ได้นำทุกคนขึ้นไปยังชั้นบน
   ฟ่งพบตัวเองอยู่ในห้องอาหารขนาดใหญ่ที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษ ตกแต่งอย่างหรูหราตามแบบสมัยใหม่ ผนังโดยรอบบุด้วยกระจกตัดแสงทำให้เห็นทัศนียภาพภายนอกได้อย่างชัดเจน แม้ภายในจะเปิดไฟสว่าง
   ชายหนุ่มกวาดตามองรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมานอกตึก และได้เห็นห้องอาหารหรูหราแบบนี้ ฟ่งกวาดตามองจนทั่ว และขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่ามีโต๊ะอาหารอยู่เพียงตัวเดียว ผู้จัดการโรงแรมเชื้อเชิญทั้งคู่เข้าไปด้านใน หนุ่มสวมแว่นนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังที่บริกรเลื่อนออกมาให้ด้วยความประหม่าอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเกร็งเมื่อพบว่ามีแค่เขาและเว่ยเฟิงเท่านั้นที่นั่งร่วมโต๊ะกัน
   “นายไม่ต้องแปลกใจไปหรอก โต๊ะนี้มีแค่ฉันกับนายเท่านั้นแหละ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากขึ้น เมื่อเห็นฟ่งทำหน้าเลิกลักมองซ้ายทีมองขวาที คนถูกทักหัวเราะแหะๆ ก่อนจะถูกถามต่อ
   “นายอยากทานเครื่องดื่มอะไรล่ะ?”
   ฟ่งมองหน้าบริกรที่ยืนรออยู่ หันกลับมามองเมนู ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจสั่งน้ำเปล่า เว่ยเฟิงปิงหรี่ตามองครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปสั่งอะไรบางอย่างที่ฟ่งฟังไม่เข้าใจ บริกรหนุ่มค้อมตัวให้อย่างสุภาพ และเดินออกไป
   ไม่มีบทสนทนาใดอีกหลังจากนั้น ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้ได้ยินเสียงเพลงคลาสสิคที่ถูกเปิดไว้เบาๆ ฟ่งพยายามจะนึกหาหัวข้อสนทนา แต่นึกเท่าไรก็ดูจะหาเรื่องที่ฟังดูเข้าท่าไม่ได้สักที
   “คุณ.. เอ้อ.. เป็นเจ้าของโรงแรมหรือครับ” ฟ่งตัดสินใจเริ่มต้นการสนทนาด้วยประโยคคำถาม ชายหนุ่มเผลอกลั้นใจระหว่างที่รอคำตอบ ด้วยกลัวว่าจะถามอะไรผิดหูจนกลายเป็นเรื่องใหญ่
   “อื้อ ใช่  ขอโทษทีที่ไม่ได้บอกนายก่อน” เว่ยเฟิงปิงตอบ พลางหยิบผ้าเช็ดปากปูลงบนตัก ฟ่งทำตามบ้าง รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก นอกจากเขาและเวยเฟิงปิงแล้ว ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้อีกเลยจริงๆ
   “แล้ว พวกที่ตามมาล่ะครับ” หนุ่มสวมแว่นกลั้นใจถามต่อ มันเป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วน ที่ต้องมานั่งทานอาหารในที่หรูหรากับคนไม่รู้จักเพียงแค่สองคน คนถูกถามตอบเสียงเรียบ
   “อยู่ด้านนอก”
   ฟ่งรู้สึกเหมือนเขาถามเรื่องที่ไม่ควรจะถามเข้าอีกแล้ว คนพวกนั้นคงมาคอยคุ้มกันเฉยๆ ร่างบางขยับแว่น หันความสนใจมายังคนตรงหน้าแทน แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายมองมาเช่นกัน แน่นอนว่าฟ่งเป็นฝ่ายที่หลบตาก่อน เว่ยเฟิงปิงหัวเราะเบาๆ
   “โทษทีนะ จริงๆ ฉันอยากจะออกมานั่งรถเล่นเฉยๆ” เว่ยเฟิงปิงหยุดไปครู่หนึ่ง “ฉันอยากจะขับรถเอง  แต่นายก็รู้ใช่ไหมว่ามันเป็นไปได้ยาก”
   ฟ่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหมือนว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไป
   “ฉันรู้ว่านายอึดอัด ความจริงฉันก็อยากจะทำให้มันเป็นเหมือนๆ กับเรื่องปกติ ออกมาขับรถเล่น ทานข้าว ฟังเพลง แต่ว่านะ....”
   เฟิงปิงกางนิ้วชี้กับนิ้วโป้งออก เล็งมาทางฟ่ง ก่อนทำเสียงปัง
   “ถ้าทำแบบนั้น บางทีนายอาจจะตาย หรือฉันอาจจะตาย นายอาจจะคิดว่าฉันพูดเล่น หรือคิดอะไรเกินจริง”
   “ไม่หรอก”
   ฟ่งพูด ตอนนี้เขารู้สึกสงสารชายที่นั่งอยู่เบื้องหน้าขึ้นมา บางทีคนคนนี้อาจจะถูกจำกัดอิสระมากกว่าเขาอีกก็เป็นได้
   เว่ยเฟิงปิงคลี่ยิ้มและพูดต่อ “ดีใจที่นายพูดแบบนั้น เอาเถอะ ถ้านายได้เห็นขบวนคุ้มกันพี่ชายฉัน แล้วนายจะรู้สึกเลยว่าฉันน่ะดูสบายๆ ที่สุดแล้ว”
ฟ่งเงยหน้าขึ้นทันที เขานึกถึงเรื่องที่จางซื่อเยี่ยนเล่าเมื่อตอนกลางวัน
   “ได้ยินว่าคุณมีพี่น้อง?”
   “อื้อ ซื่อเยี่ยนเล่าให้นายฟังหรือ?” ฟ่งพยักหน้า ริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงปรากฏรอยยิ้มหน่อยหนึ่ง เป็นรอยยิ้มแบบที่ฟ่งไม่ชอบเอาเสียเลย
   “ไม่ยักรู้ว่าหมอนั่นชอบเล่าเรื่องของฉันให้คนอื่นฟังด้วย”
   “ผมเป็นคนถามเองล่ะ” ฟ่งสวนทันที เว่ยเฟิงปิงรีบโบกมือห้าม “ไม่ๆ อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้โกรธหรอก แค่รู้สึกแปลกใจเฉยๆ นายคงรู้แล้วสินะว่าน้องฉันตายไปสองคน”
   “เสียใจด้วย”
   ร่างที่นั่งอยู่ตรงข้ามโบกมืออีกครั้ง “นายไม่ต้องรู้สึกร่วมขนาดนั้นหรอก ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าสองคนนั่นด้วยซ้ำ”
   ฟ่งรู้สึกงุนงงกับคำตอบที่ได้รับ ขณะกำลังจะอ้าถาม เว่ยเฟิงปิงก็ชิงพูดขึ้นก่อน
   “ฉันเกิดที่ฝรั่งเศส แม่ฉันเป็นคนฝรั่งเศส”
   ฟ่งครางในลำคอ นั่นอาจจะเป็นคำตอบว่าทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้มีดวงตาสีฟ้าใสแบบนั้น
   “ในบรรดาพี่น้องของฉันน่ะ นอกจากพี่ชายกับพี่สาวสองคนแรกแล้ว ที่เหลือไม่มีใครมีแม่เดียวกันหรอก เพราะฉะนั้นถ้ามีใครตายไป ฉันก็ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเท่าไร”
   ฟ่งรู้สึกขนลุก บางทีชายที่อยู่ตรงหน้าอาจจะอำมหิตมากกว่าที่เขาคิด
   “ตกใจหรือ?” เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วถาม ฟ่งยิ้มแห้งๆ คิดว่าควรจะเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น
   “เอ้อ แล้วคุณโตที่ฝรั่งเศสเลยหรือครับ?”
   “เปล่า” เว่ยเฟิงปิงตอบปฏิเสธ ก่อนบริกรที่เดินเข้ามาจะยกน้ำวางลงบนโต๊ะ ฟ่งเพิ่งเห็นเครื่องดื่มที่เว่ยเฟิงปิงสั่งไป ดูเหมือนจะเป็นไวน์ขาวชนิดหนึ่ง เขานั่งมองบริกรรินไวน์ลงไปในแก้วไวน์คริสตัลใสแจ๋ว ค่อยประคองแก้ววางลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา แล้วเดินออกไป
   เว่ยเฟิงปิงยกแก้วขึ้นมาเขย่าเบาๆ กลิ่นหอมละมุนของเครื่องดื่มที่ผ่านการบ่มมาเป็นเวลานานชอนไชเข้าสู่จมูก นัยน์ตาสีฟ้าพริ้มลงอย่างพอใจ ในขณะที่กำลังจะยกขึ้นจิบ ก็เหลือบเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่
   “จะลองรึเปล่า?”
   ฟ่งรีบส่ายหน้า เรียวยาวคู่นั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะจิบไวน์เข้าไปจิบหนึ่ง
   “เมื่อครู่ถึงไหนล่ะ  อ้อ.. นายถามว่าฉันโตที่ฝรั่งเศสหรือเปล่าใช่ไหม?”
   “อื้อ”
   “ฉันอยู่ฝรั่งเศสสักหกปีเห็นจะได้ หลังจากแม่ตายฉันก็ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำที่อังกฤษ จะบอกว่าฉันโตที่อังกฤษก็ได้นะ” เว่ยเฟิงปิงพูด และยิ้มที่มุมปาก ซึ่งไม่ได้ช่วยให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นสักนิด เขาเริ่มรู้สึกว่าอดีตที่เลวร้ายอาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงกลายเป็นคนแบบนี้
   “ฉันเพิ่งกลับมาฮ่องกงประมาณหกปีเห็นจะได้ แล้วฉันก็ได้พบกับรูฟัส”
   ฟ่งขยับตัวเล็กน้อย เว่ยเฟิงปิงหรี่ตาเมื่อเห็นว่าคู่สนทนามีทีท่ากระตือรือร้นเมื่อได้ยินชื่อของชายคนนั้น เขาถามออกไป
   “นายชอบหมอนั่นมากเลยหรือ”
   ฟ่งเบิ่งตากว้างเมื่อได้ยินคำถาม และรีบสั่นศีรษะ
“นายไม่ต้องรีบปฏิเสธขนาดนั้นก็ได้ ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน อีกอย่างถ้านายจะชอบเขามากมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก ฉันยังชอบเลย”
   “เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” ฟ่งรู้สึกร้อนๆ หู เหมือนจะได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะ
   “ถ้าไม่ได้ชอบ ทำไมนายถึงได้หน้าแดงขนาดนี้”
   “ผมเปล่า” ฟ่งพยายามแก้ตัว รู้สึกร้อนหูหนักเข้าไปอีก เหมือนว่าหน้าจะร้อนด้วย
   “ผม ผมโมโหเขา” สวมแว่นโพล่งออกมา   เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วขึ้น นั่งนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา
   “รู้ล่ะ รู้ล่ะ นายนี่ตลกดีนะ”
   คราวนี้ฟ่งคิดว่าเขาควรจะเริ่มโกรธคนตรงหน้าได้แล้ว
   “ฉันรู้แล้วว่าทำไมรูฟัสถึงชอบนาย”
   “ทำไม?”
   “เพราะนายเป็นคนน่ารักไง  ตอนนายอายนี่น่ารักน่าดู”
   “!!” ฟ่งถลึงตาใส่เว่ยเฟิงปิง รู้สึกเหมือนตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบ เว่ยเฟิงปิงจ้องหน้าอีกฝ่ายก่อนพูดยิ้มๆ “รู้ไหมว่านายทำให้ฉันเริ่มมีอารมณ์นิดๆ แล้ว ถ้าที่นี่เป็นห้องฉันล่ะก็..”
   ฟ่งรู้สึกอยากเดินออกไปให้รู้แล้วรู้เรื่อง เว่ยเฟิงปิงหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของฝ่ายตรงข้าม
   “ฉันล้อเล่น  เอาล่ะ มาว่ากันต่อ นายยังอยากฟังอยู่หรือเปล่า?”
   “อืม” ฟ่งตอบห้วนๆ นึงด่าตัวเองอยู่ในใจที่เผลอไปเห็นใจคนแบบนี้เข้า
   “ตอนที่ฉันเจอกับรูฟัส เขาใช้ชื่อว่าปีเตอร์ ตอนนั้นเขาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเล็กๆ เกี่ยวกับเงินค่าคุ้มครองในเขตปกครองหนึ่งของพ่อฉัน” เว่ยเฟิงปิงรู้สึกกระดากปากเมื่อเอ่ยถึงพ่อ ก่อนจะเหลือบไปเห็นสีหน้างงๆ ของคนฟัง จึงอธิบายต่อ “พูดให้ง่ายคือ เขาเป็นเหมือนมดงานตัวหนึ่ง ในรังมดของพ่อฉันนั่นแหละ”
   ฟ่งนึกภาพไม่ค่อยออกเกี่ยวกับวิธีการทำงานของมาเฟีย แต่จะให้อธิบายต่อคงยืดยาว เลยพยักหน้ารับไป
   “ฉันเจอเขาในตอนเช้า หลังจากที่มาจากอังกฤษได้วันหนึ่งพอดี ตอนนั้นฉันเพิ่งอายุสิบแปด” เว่ยเฟิงปิงเริ่มเล่า นัยน์ตาสีฟ้าใสเหม่อมองออกไปภายนอกกระจก
   “ฉันเพิ่งทะเลาะกับพ่อ พอเปิดประตูออกมาก็เห็นหมอนั่นยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ ฉันเลยวิ่งชนหมอนั่นจนเกือบล้ม ฉันรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก พูดไปนายอาจจะไม่เชื่อ ฉันเกลียดพวกยุโรปมาก”
   “ทำไมล่ะ?” ฟ่งถามด้วยความแปลกใจ เว่ยเฟิงปิงยักไหล่
   “ฉันเจอเรื่องไม่ค่อยดีตอนอยู่อังกฤษน่ะ เอาเถอะ หลังจากนั้นฉันก็จ้องจองล้างจองผลาญหมอนั่น แต่ว่าหมอนั่นก็พยายามทำดีกับฉันมาโดยตลอด”
   เว่ยเฟิงปิงยกไวน์ขึ้นมาจิบอีกรอบ ก่อนจะเล่าต่อ “รู้ตัวอีกที ฉันก็เทให้เขาไปหมดใจแล้วล่ะ  ตอนนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร เหมือนกับนายนั่นแหละ”
   ฟ่งรู้สึกแผ่นหลังสะท้านน้อยๆ ขณะดวงตาสีฟ้าใสที่จ้องมา
   “เขาหลอกให้ฉันไปเอาเอกสารที่ต้องการมาให้ ฉันก็ทำตาม จะหาว่าฉันโง่ก็ได้ ฉันหลงเขาจนโงหัวไม่ขึ้น ฉันอยากอยู่กับเขา แต่สิ่งที่เขาทำกับฉันคือ จากไปพร้อมกับของโดยทิ้งฉันเอาไว้”
   ฟ่งกลืนน้ำลาย เขาไม่อยากจะเชื่อว่ารูฟัสจะทำเรื่องร้ายกาจแบบนั้น เหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงจะอ่านใจเขาออก เลยพูดต่อ “นายคงไม่เชื่อสินะ  งั้นฉันจะให้นายดูอะไรบางอย่าง”
   พูดจบก็เริ่มต้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออก ฟ่งรีบห้าม แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมหยุด ในที่สุดเสื้อเชิ้ตตัวนั้นก็ถูกถอดออก เว่ยเฟิงปิงขยับตัวหันหลังกลับมา ฟ่งเกือบจะหลับตาด้วยความตกใจ ภาพแผ่นหลังนั้นชวนให้ขนลุก
   รอยพาดราวกับปลิงสีแดงยาวจำนวนมากปรากฏอยู่เต็มแผ่นหลังขาวผ่องนั้น  หนุ่มสวมแว่นนั่งตัวแข็งทื่อราวถูกสะกด  เขาแทบไม่เชื่อสายตาว่านี่คือแผ่นหลังของชายหนุ่มท่าทางสำอางและถูกเรียกว่าคุณชาย ท่าทางรอยแผลแต่ละรอยคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ออก
   เว่ยเฟิงปิงหันหน้ากลับมา ใส่เสื้อผ้าและอธิบายเพิ่ม “รอยแผลพวกนี้พ่อฉันเป็นคนทำ ฐานที่ขโมยเอกสารลับไปให้กับคนอื่น  นายคงนึงว่าพ่อฉันทารุณโหดร้าย นั่นก็อาจจะจริง แต่นี่เป็นวิธีการเดียวที่จะไม่ให้คนอื่นเอาอย่าง  ถ้าไม่ยอมลงโทษลูกที่ทำผิด คนอื่นๆ ก็จะหมดความศรัทธาในตัวพ่อไปด้วย”
   “รูฟัสรู้หรือเปล่าว่าคุณจะโดนแบบนี้” ฟ่งถาม รู้สึกสยดสยองกับรอยแผลและสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงได้รับ
   “ไม่รู้สิ นายคิดว่าถ้าเขารู้ เขาจะพาฉันไปด้วยงั้นหรือ?”
   ฟ่งส่ายหน้า “ผมไม่รู้”
   อีกฝ่ายถอนหายใจ “เรื่องราวของเขากับฉันก็จบลงแค่นี้แหละ ถ้านายสงสัย นายลองไปคุยกับซื่อเยี่ยนดูก็ได้ ฉันคิดว่าเขาน่าจะเคยเห็นตอนที่ฉันโดนลงโทษ”
   “อืม” ฟ่งรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง ข้อมูลที่ได้รับมาใหม่ทำให้เขารู้สึกแย่มากขึ้น
   รูฟัสเป็นคนแบบไหนกันแน่
   ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงปรากฎรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับพญางู ขณะมองใบหน้าคู่สนทนาที่หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
--------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #37 เมื่อ23-05-2011 21:56:38 »

บทที่15 จุดตัดของความฝันกับความจริง
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันอยู่ ในตอนที่ลงมาจากรถ ทางเดินภายในตึกที่ปูด้วยหินแกรนิตสีดำดูยาวไม่มีที่สิ้นสุด รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงของเว่ยเฟิงปิงดังขึ้น
   “คิดเรื่องหมอนั่นอยู่หรือ?”
   ฟ่งสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบปฏิเสธเสียงค่อย “เปล่า”   
   ร่างบางขยับตัวอย่างอึดอัด เขาอยากกลับบ้าน อยากจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมด แต่ที่สำคัญคือ เขาอยากรู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่
   คงต้องถามรูฟัส…..
   แต่ว่า.. เมื่อไรกันล่ะ  เมื่อไรที่จะได้เจอ เมื่อไร..
   ฟ่งรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ในที่มืดๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เวลาที่ผ่านไปทุกวินาทีช่างเชื่องช้า และทรมาน
   “สีหน้านายดูไม่ค่อยดีเลย ดื่มอะไรหน่อยไหม?” เสียงของเว่ยเฟิงปิงดังขึ้นอีกครั้ง  ฟ่งเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อแล้ว ตอนนี้คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยอยู่ในชุดเสื้อแพรยาวแบบจีนสีเทาอ่อน กระดุมบริเวณคอถูกปลดออกจนถึงหน้าอก กำลังรินเครื่องดื่มอย่างจากขวดกลมสีดำสนิทลงในแก้วก้านสูงที่วางอยู่บนโต๊ะ
   “นั่นอะไรน่ะ?” ผู้ที่นั่งอยู่ถามด้วยความสงสัย
   “Pouilly-Fuissé” เว่ยเฟิงปิงเขย่าของเหลวสีใสในแก้วเบาๆ ก่อนจะตอบคำถาม ชื่อของมันทำให้คนฟังขมวดคิ้ว
   “ไวน์ที่ฉันสั่งไปตอนทานอาหาร นายอยากลองรึเปล่า?”
   ฟ่งส่ายหน้าทันที เว่ยเฟิงปิงยิ้มน้อยๆ “นายกลัวว่าฉันจะใส่ยาลงไปหรือไง?”
   “เปล่า” ฟ่งตอบปฏิเสธ แต่ภายในใจแอบคิดว่าฝ่ายนั้นคงแอบใส่อะไรลงไปด้วยแน่ๆ เขารู้สึกไม่ไว้ใจชายคนนี้เลย
   เว่ยเฟิงปิงกวาดสายตามองแขกของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และก้าวเข้ามาช้าๆ  ใบหน้าเรียวยาวราวกับงูปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก
   “ฉันอยากให้นายลอง” กล่าวพลางยกแก้วก้านยาวขึ้นแตะริมฝีปาก ฟ่งสะดุ้งเฮือก เมื่อริมฝีปากของอีกฝ่ายื่นประกบเข้ามา ความรู้สึกหอมหวานในรสชาติของเหลวผสมแอลกอฮอลอันเลื่องชื่อแผ่กระจายไปทั่วทั้งโพรงปาก ขณะปลายลิ้นเรียวล้วงลึกเข้ามาและดึงปลายลิ้นของเขาเข้าไปขบกัดเบาๆ ก่อนจะปล่อยออก
   เว่ยเฟิงปิงเลียริมฝีปาก ขณะที่อีกฝ่ายยังคงอยู่ในอาการตกตะลึง ฟ่งรู้สึกร้อนๆ บริเวณหูและใบหน้า ในปากยังคงหลงเหลือรสชาติหอมหวาน
   “รู้สึกอยากดื่มขึ้นมาบ้างหรือยัง?” ร่างที่มีใบหน้าเรียวยาวถามขึ้นอีกครั้ง  ฟ่งกะพริบตามองคนตรงหน้า เพิ่งระลึกได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของเว่ยเฟิงปิง และกำลังนั่งอยู่บนเตียง
   “ผมไปก่อนดีกว่า” หนุ่มสวมแว่นรีบพูด ก่อนจะลุกพรวดขึ้น ในสถานการณ์แบบนี้เขาควรจะออกไปให้เร็วที่สุด  แต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นออกจะช้าไปเสียหน่อย
   เรี่ยวแรงมหาศาลกดลงตรงไหล่ ผลักเขาจนเสียหลักล้มลงไปบนเตียง ฟ่งรู้สึกตระหนก คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีเรี่ยวแรงมากมายเช่นนี้
   “ฉันไม่ได้คิดจะทำให้นายตกใจหรอกนะ ถ้าเพียงแต่นายจะให้ความร่วมมือสักหน่อย”
   เว่ยเฟิงปิงตวัดขาคร่อมตัวลงมา พร้อมกับขวดไวน์ในมือ ใบหน้าเรียวปรากฏรอยยิ้มน่ารังเกียจ ก่อนจะเทของเหลวสีใสในขวดใส่ร่างที่อยู่เบื้องล่าง  ฟ่งพยายามเบือนหน้าหนี สัมผัสเย็นเยียบของของเหลวที่ตกกระทบใบหน้าไหลผ่านลงไปตามซอกคอทำให้เขาสะดุ้งวาบ ร่างบางพยายามบัดป้อง แต่มือทั้งสองข้างกลับถูกกดไว้เหนือศีรษะ เว่ยเฟิงปิงประกบริมฝีปากของตนเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่ายที่เปรอะไปด้วยไวน์ ก่อนจะบุกรุกเข้าไปอย่างก้าวร้าว
   รสชาติอันนุ่มละมุนและปลายลิ้นที่บุกรุกเข้ามาทำให้ฟ่งรู้สึกสับสน เขาพยายามจะดิ้นหนี ขณะกลิ่นหอมหวานชอนไชเข้าไปในจมูก ไม่นานฟ่งก็รู้ว่าการขัดขืนคงไม่เป็นผล เมื่อเรี่ยวแรงค่อยๆ หายไปทีละน้อย ในหัวรู้สึกเบลอมากขึ้น
   เว่ยเฟิงปิงถอนริมฝีปากออก นัยน์ตาสีฟ้าใสมองดูร่างบางในชุดสีแดงที่กำลังหอบหายใจอย่างอ่อนระทวยอยู่เบื้องล่าง  ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด
   ในตอนแรก เว่ยเฟิงปิงคิดจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเฉยๆ แต่อาการตอบสนองของอีกฝ่ายทำให้เขาเกิดอารมณ์ขึ้นมา ร่างบางก้มหน้าลง สัมผัสปลายลิ้นผิวอ่อนบาง ลิ้มรสไวน์ขาวบนใบหน้าลากโลมลงจนเลยถึงซอกคอ เสียงครางเบาๆ ในลำคอที่ถูกเล็มเลียยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของเขาให้โหมกระพือมากขึ้น
   ฟ่งสะดุ้งวาบ เมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายเลื่อนเข้ามาภายใต้เสื้อ สะกิดปลายยอดสีชมพูอย่างหยอกเย้า
   “อย่า!” ร่างบางส่งเสียงห้าม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมหยุดการกระทำ
   “มีอารมณ์นี่” เว่ยเฟิงปิงกระซิบข้างหู ขณะใช้ปลายนิ้วคลึงเคล้นยอดอกสีอ่อนที่เริ่มแข็งขืนอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่มืออีกข้างจะเลื่อนต่ำลงไปเบื้องล่าง คราวนี้ฟ่งสะดุ้งสุดตัว พยายามจะดิ้นหนีอีกครั้ง แต่แล้วกลับต้องจิกเล็บลงไปบนหัวไหล่ของอีกฝ่าย เมื่อส่วนอ่อนไหวตรงหว่างขาถูกอุ้งมืออุ่นตะปบลูบและรูดขึ้นลง
   เสียงครางต่ำๆ พร้อมกับกลิ่นไวน์ที่คละคลุ้ง ยิ่งทำให้ผู้กระทำรู้สึกวาบหวามมากขึ้น เว่ยเฟิงปิงขยับริมฝีปากขึ้นบังคับจูบร่างอ่อนระทวยนั้นอีกครั้ง ปลดเปลื้องชุดแพรสีแดงออก โน้มใบหน้าลงสัมผัสยอดอกสีอ่อน ขยี้ปลายลิ้นพลางดูดดึงราวกับต้องการทดสอบรสชาติ ฟ่งยกมือขึ้นปิดปาก ตัวสั่นเทิ้ม พิษแอลกอฮอลทำให้สติพร่ามึนจนแยกอะไรไม่ค่อยออก จนเมื่อเรียวขาถูกแยกออกกว้าง จึงหลุดชื่อชื่อหนึ่งออกมา
   “ซื่อเยี่ยน”
   เว่ยเฟิงปิงชะงักตัวทันที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันมุ่น ความวูบวาบในตัวพลันสลายหายไปจนหมด ขณะที่ความหงุดหงิดแล่นเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว เขาขยับตัวลุกขึ้น เขม่นมองใบหน้าของร่างที่นอนราบอยู่ ขยับปากเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ผละออกไปอย่างเงียบๆ
   เว่ยเฟิงปิงหยิบโทรศัพท์สายในขึ้นมากดด้วยนิ้วมือสั่นเทา
----------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนพาตัวแขกของเจ้านายกลับมาที่ห้องกักตัว รู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
   เขาเพิ่งได้รับโทรศัพท์สายในจากเว่ยเฟงปิง ซึ่งโทรมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอยู่มาก ทั้งๆ ที่ตลอดวันดูจะอารมณ์ดีแล้วแท้ๆ ครั้นพอมาถึงห้องนอนส่วนตัวของผู้เป็นนาย เขาก็พบแขกซึ่งขึ้นมาด้วยกันนั่งอยู่บนเตียงนอน ในสภาพเสื้อผ้ายุ่งเหยิง แถมยังมีกลิ่นไวน์ฟุ้งไปหมด จางซื่อเยี่ยนไม่ใช่คนปัญญาอ่อน เขาพอเดาได้ว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังจะทำอะไร แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมเจ้านายของเขาถึงได้ดูหงุดหงิดนัก ร่างบางตวัดสายตาจ้องเขาเขม็ง ราวกับว่าเขาเป็นคนทำเรื่องทั้งหมด
   “ขอบใจนะ” ฟ่งพูดเสียงแห้ง พยายามพยุงตัวลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซไปเข้าห้องน้ำ จางซื่อเยี่ยนทำท่าจะอ้าปากถามอะไรบางอย่าง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าสิ่งแรกที่เขาควรจะทำคือหาเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายผลัดเปลี่ยนก่อน

   สายน้ำเย็นเฉียบตกกระทบศีรษะ ช่วยไล่พิษแอลกอฮอลและเรียกสติกลับคืนมาได้บ้าง ฟ่งก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำ และพบว่ามีเสื้อผ้าวางอยู่บนเตียง จางซื่อเยี่ยนคงกลับไปแล้ว
   หนุ่มสวมแว่นหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ และล้มตัวลงนอน เขากลับมาอยู่ในห้องซึ่งเคยเป็นที่กักขังในตอนแรก ซึ่งในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่ามากเลยทีเดียว  ฟ่งรู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนอนของเว่ยเฟิงปิงเมื่อครู่  และไม่รู้ว่าทำไมต้องเอ่ยชื่อของจางซื่อเยี่ยนออกไปแบบนั้น บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดของจางซื่อเยี่ยนที่พูดกับเขาเมื่อเช้า
   “กรุณาอย่าบอกคุณเฟิงปิงว่าคุณชอบรูฟัส”
   คำพูดนี้เล่นเอาฟ่งทำหน้าไม่ถูกทันทีที่ได้ยิน เขาไม่รู้ว่าทำไมลูกน้องคนสนิทของเว่ยเฟิงปิงถึงต้องมาขอร้องเขาแบบนี้  ฟ่งแอบคิดในใจว่า ถึงจางซื่อเยี่ยนจะไม่ขอร้อง เขาก็ไม่คิดจะบอกอยู่แล้ว แต่พอมานึกดูอีกที คำขอร้องนั้นอาจจะมีอะไรมากกว่าที่คิด
 น้ำเสียงและสายตาของจางซื่อเยี่ยนเวลาพูดถึงเว่ยเฟิงปิงนั้นดูผิดแปลกออกไป มันแฝงไว้ด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ก่อนหน้านี้ฟ่งเคยคิดว่าจางซื่อเยี่ยนนั้นเป็นพวกไม่มีความรู้สึก จนเมื่อได้ยินประโยคที่ชายคนนั้นขอร้องออกมา
บางทีจางซื่อเยี่ยนอาจจะแอบชอบเว่ยเฟิงปิงอยู่
ฟ่งคิด แล้วก็อยากจะเอามือตบหัวตัวเองซักป้าบ  นี่เขากำลังคิดให้คนอื่นเป็นเหมือนตัวเองรึเปล่านะ  เขาพยายามสลัดความคิดนั้นทิ้ง แต่มันก็ยังค้างคาอยู่ลึกๆ
นี่กระมัง คือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงเอ่ยชื่อจางซื่อเยี่ยนขึ้นมาในตอนนั้น
ฟ่งอยากจะคุยกับผู้ชายผมยาวคนนั้นซักหน่อย แต่....
ความง่วงค่อยๆ แผ่เข้ามาอย่างช้าๆ ในที่สุดร่างบางก็ผล็อยหลับไป
----------------------------------------
   เช้านี้จางซื่อเยี่ยนไม่ได้ขึ้นไปที่ที่ทำงานของเจ้านายเขาอย่างเช่นทุกวัน ร่างสูงตรงไปยังห้องที่มีประตูสีขาว ซึ่งใช้เป็นที่พักสำหรับแขก หรือถ้าจะเรียกให้ถูกต้องคือตัวประกัน  ความจริงชายหนุ่มต้องการที่จะขึ้นไปดูอาการของเจ้านายมากกว่า แต่ติดตรงน้ำเสียงของเว่ยเฟิงปิงที่โทรลงมาก่อนหน้านี้นั้นดูขุ่นข้นและจริงจังจนเขาต้องเลือกทำตามคำสั่งโดยไม่ถามอะไรต่อ
   นิ้วเรียวยาวค่อยหยิบกุญแจไขประตูสีขาวนั้นเขาไป  ดูเหมือนคนที่อยู่ในห้องจะยังหลับอยู่  จางซื่อเยี่ยนก้าวเท้าอย่างเงียบกริบราวกับแมวเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะชายตามองร่างบางที่หลับสนิทอยู่ใต้ผ้าห่ม
   เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

   นัยน์ตาสีน้ำตาลปรือขึ้นช้าๆ พร้อมกับบิดตัวอย่างเกียจคร้าน แล้วก็ต้องกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะรีบผุดลุก เมื่อพบว่ามีอีกคนหนึ่งอยู่ในห้อง
   ร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างหันหน้ามาเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว กล่าวคำทักทายชืดๆ เช่นเคย
   “อรุณสวัสดิ์”
   “อรุณสวัสดิ์” ฟ่งกล่าวตอบ และยิ้มแห้งๆ เขารู้สึกตกใจนิดหน่อยที่พบว่าผู้ที่เข้ามาคือจางชื่อเยี่ยน แต่ก็ดีกว่าเป็นคนอื่น ชายหนุ่มยังรู้สึกสยดสยองกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
   ถ้าเว่ยเฟิงปิงไม่ยอมหยุด ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง
   หนุ่มสวมแว่นรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของตัวเองเมื่อคืน
   “คุณชายสั่งให้ผมมาดูแลคุณ” อีกฝ่ายพูดเรียบๆ แต่ทำเอาฟ่งสะอึกไปหน่อยหนึ่ง  ร่างบางเกาหัวแกรกๆ บางทีเว่ยเฟิงปิงอาจจะเข้าใจอะไรผิด
   ฟ่งยันตัวขึ้นจากเตียง ลุกไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนบ่า และพบว่าจางซื่อเยี่ยนนั่งรออยู่บนเก้าอี้แล้ว  ร่างบางนั่งปุลงบนเตียง รู้สึกเหมือนกำลังจะโดนสอบสวน
   ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องอยู่พักใหญ่ ฟ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายกะพริบตาอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็เป็นฝ่ายพูด
   “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”
   “เอ้อ..ผมจะเล่ายังไงดีล่ะ” คนถูกถามตอบอย่างลังเล เขารู้สึกดีใจที่จางซื่อเยี่ยนเป็นฝ่ายเริ่มถามขึ้นก่อน แต่ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามนั้นอย่างไร
   “คือ มันพูดลำบากนะ” ฟ่งเริ่มพูดต่อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมาอยู่
   “ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามันพูดลำบาก ไม่ต้องเล่าก็ได้“ จางซื่อเยี่ยนตัดบท  ฟ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรับไม่ได้หรือว่าเกรงใจเขากันแน่ หนุ่มสวมแว่นใช้เวลาคิดเรียบเรียงคำพูดอยู่พักใหญ่ๆ
   “ผมรู้สึกว่าเมื่อคืนเหมือนคุณจะโดนคุณเฟิงปิงเอ็ด?”
   ร่างสูงเลิกคิ้วหน่อยหนึ่งด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้า
   “เรื่องนั้นคุณไม่ต้องเป็นกังวลหรอก คุณชายเป็นคนอารมณ์ไม่ค่อยแน่นอนอยู่แล้ว”
   “คือว่าเรื่องนั้นผมอาจจะมีส่วน”
   นัยน์ตาสีอีกาคู่นั้นไหววูบ ฟ่งกลืนน้ำลาย   “เอ้อ..คือว่า..เอ้อ เมื่อคืนคุณเฟิงปิงเล่าให้ผมฟังถึงเรื่องแผลที่หลังน่ะ”
   สีหน้าของจางซื่อเยี่ยนบ่งบอกถึงความแปลกใจทันทีที่ได้ยิน และกลับเป็นปกติภายในเวลาอันสั้น ฟ่งคิดว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะพูดเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกกับผู้ชายคนนี้
   “เห็นว่านั่นเป็นแผลที่ได้จากคุณพ่อหรือ?”
   “ใช่”
   “เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณเฟิงปิงกับรูฟัสกันแน่” ฟ่งเอ่ยขอ ใจหนึ่งกลัวว่าจะโดนอีกฝ่ายชิงตัดบทไปเสียก่อน นัยน์ตาสีดำหรี่ลงเล็กน้อย เหมือนกำลังชั่งใจว่าควรจะเล่าดีหรือเปล่า “คุณชายให้คุณมาถามผมสินะ”
   ร่างบางพยักหน้าตอบรับ จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจเฮือก
   “มันเป็นเรื่องเมื่อหกปีก่อน ตอนนั้นคุณชายเพิ่งอายุได้สิบแปด คุณคงรู้แล้วว่าคุณชายไม่ได้อยู่ฮ่องกงมาตั้งแต่เด็ก”
   ฟ่งพยักหน้ารับ
   “ผมไม่รู้หรอกนะว่าทำไมคุณชายถึงเจอกับผู้ชายคนนั้นได้ ผมมารู้อีกทีตอนที่คุณเว่ยชิงเรียกพวกเรามารวมกันเพื่อเป็นพยานหลังจากที่จับตัวคนที่ร้ายที่ขโมยข้อมูลลับไปได้แล้ว”
   “พวกเราเองก็รู้สึกงงกับเรื่องที่เกิด คุณเว่ยชิงลงโทษคุณชายต่อหน้าคนที่เข้ามาประชุมในวันนั้น อย่างที่คุณเห็น การลงโทษนั่นสยดสยองเกินกว่าที่จะเป็นการลงโทษในฐานะพ่อลูก  แต่มันก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ถ้าคุณต้องการให้คนอื่นยังคงเคารพคุณต่อ”
   ฟ่งรู้สึกคัดค้านอยู่ในใจกับคำพูดของจางซื่อเยี่ยน เขาคิดว่าการใช้ความรุนแรงขนาดนั้นไม่น่าจะเป็นการกระทำของพ่อด้วยซ้ำ ชายคนนี้ไม่คิดสงสารเจ้านายของตัวเองเลยหรืออย่างไร
   “แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ?” ฟ่งถามต่อ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน แต่จางซื่อเยี่ยนยังคงเงียบอยู่ เหมือนกับลืมไปแล้วว่ามีคนรอฟัง
   “คุณซื่อเยี่ยน” ร่างบางถามพร้อมกับโบกมือผ่านหน้าผู้ที่นั่งเหม่ออยู่ นัยน์ตาสีอีกาไหววูบ ฟ่งคิดว่าจางซื่อเยี่ยนสะดุ้ง
   “โทษที”   ร่างสูงพูด ฟ่งมองหน้าเขาอย่างงงๆ ชายที่เหมือนหุ่นยนต์คนนี้กำลังนึกเหม่อไปถึงเรื่องอะไรนะ
   “หลังจากนั้น คุณชายก็ถูกไล่ออกจากแก๊ง ไปเป็นเด็กข้างถนนธรรมดาคนหนึ่ง” จางซื่อเยี่ยนเล่าต่อ ด้วยน้ำเสียงที่แปร่งไป เหมือนว่ากำลังตื่นเต้นหรือเสียใจอะไรซักอย่าง
   “แต่ตอนนี้ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วนี่” ฟ่งพูด บางทีเขาอาจจะไปก่อกวนให้อะไรบางอย่างที่ทับถมอยู่ในใจของชายคนนี้ผุดขึ้นมา นัยน์ตาสีอีกานั้นสั่นระริกขึ้นมาเล็กน้อย น้ำเสียงที่พูดก็เริ่มเหมือนมีอารมณ์มากขึ้น
   “มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก กว่าที่คุณชายจะมาถึงตอนนี้ได้ ผมน่ะ..”
   จู่ๆ ก็หยุดพูดไปเฉยๆ ทำเอาอีกฝ่ายทนไม่ได้ต้องถามต่อ “แล้วไงต่อ?”
   จางซื่อเยี่ยนยกมือขึ้นห้าม “ช่างมันเถอะ ผมคงต้องไปแล้วล่ะ”
   พูดพลางลุกขึ้น ยิ่งทำให้ฟ่งงงหนักเข้าไปอีก ยังไม่ทันที่จะอ้าปากรั้ง อีกฝ่ายก็ออกประตูไปแล้ว ไม่มีเสียงลั่นกุญแจตามมาเหมือนที่เคย
--------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนเดินมาถึงห้องของตัวเองโดยไม่ตั้งใจ รู้ตัวอีกทีเขาก็นั่งปุอยู่บนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว หัวใจของชายหนุ่มต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อครู่ถึงได้เกิดความรู้สึกสะเทือนใจขนาดนั้น หรือเป็นเพราะเรื่องเมื่อหกปีก่อนที่ผุดขึ้นมาอย่างแจ่มชัดในหัวสมอง
   ร่างสูงพิงตัวกับพนักเก้าอี้
   ภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่กำลังดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของสมาชิกแก๊งคู่อริ ที่พยายามจะเขาลากเข้าไปในตรอกมืดๆ เพื่อข่มขืนและถ่ายวิดิโอ เว่ยเฟิงปิงในตอนนั้นหากมองไกลๆ ดูคล้ายเด็กผู้หญิงไม่มีผิด ผมตรงสลวยสีดำที่ปล่อยยาวมาถึงกลางหลัง  ร่างที่บอบบาง กับท่าทางดูอ้อนแอ้น จางซื่อเยี่ยนนึกไม่ถึงเลยว่า เด็กผู้ชายที่งดงามคนนี้จะโดนลงโทษอย่างรุนแรงและถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตเพียงลำพังในโลกที่ไม่รู้จัก เขารู้สึกตกใจระคนแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่จู่ๆ ก็ถูกเจ้านายใหญ่เรียกให้เข้าพบ เพื่อมอบหมายให้ไปดูแลความปลอดภัยของลูกชายคนที่เจ็ดอย่างลับๆ
   เว่ยชิงนั้นเป็นคนเด็ดขาด จางซื่อเยี่ยนดูออกว่าเจ้านายใหญ่ของเขาไม่ค่อยที่จะนิยมชมชอบลูกชายคนนี้เท่าไรนัก นอกจากเรื่องที่แอบเอาความลับของแก๊งไปให้สายลับแล้ว ยังมีเรื่องทิ่มแทงใจของคนเป็นพ่อ นั่นคือการที่เว่ยเฟิงปิงไม่ใช่ชายแท้
   แน่นอนว่าในสังคมคนจีนนั้นการมีลูกชายถือเป็นเรื่องดี และมีเกียรติ ไม่ว่าใครก็ต้องการจะมีลูกชายกันทั้งนั้น แต่การที่ลูกชายดันเกิดไม่เป็นชายขึ้นมานั้น เป็นเรื่องที่น่าอับอายและเสียหน้าอยู่มาก  ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยหากเขาจะขับเว่ยเฟิงปิงออกจากตระกูล
   แต่เว่ยชิงกลับไม่ทำเช่นนั้น แม้ว่าจะน่าอับอาย แต่เว่ยเฟิงปิงนั้นกลับมีอย่างอื่นมาทดแทนส่วนที่น่ารังเกียจนั้น 
   ความฉลาดปราดเปรื่อง
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเว่ยชิงต้องการจะทดสอบลูกชายของเขา ว่ามีค่าคู่ควรพอที่จะกลับมาร่วมแก๊งอีกหรือไม่ ด้วยการลงโทษดังกล่าว เว่ยเฟิงปิงจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาได้ทำลายข้อบกพร่องประการใหญ่ที่สุด และเป็นข้อผิดพลาดยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นก็คือ การมีใจให้กับชายที่ชื่อรูฟัส
   ตอนนั้นซื่อเยี่ยนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับรูฟัสมากนัก รู้เพียงแต่ชายคนนั้นแฝงตัวเข้ามาเป็นคนประสานงานติดต่อในสาขาเล็กๆ ทางตะวันตก และในระหว่างการหลบหนีได้จัดการกับสมาชิกหน่วยดำระดับสองไปสี่คน
   ผู้ชายที่น่ารังเกียจ
-----------------------------------------
   ฉึก!
   ปลายโลหะแหลมเรียวราวกับหัวฉมวกปักลงกลางหลังชายคนหนึ่งที่กำลังฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างเพรียวบางอยู่  กลุ่มคนที่เหลือต่างหันมาด้วยความตระหนก  ก่อนที่จะชักปืนออกมา
   นัยน์ตาสีอีกาไม่แม้แต่จะกะพริบตา
   เสียงลวดเส้นเล็กแหวกอากาศหวิว เร็วกว่าปลายนิ้วที่กำลังเหนี่ยวไกปืน เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากบริเวณที่เคยมีมือยื่นออกมา ชายคนที่โดนตัดมือร้องเสียงลั่น ทำเอาพวกที่เหลือตื่นตกใจมากขึ้นกว่าเดิม เด็กหนุ่มได้ยินเสียงขึ้นไกดังกริ๊กๆ นัยน์ตาสีอีกาหรี่ลงอีกครั้ง
   รองเท้าหนังสีดำสนิทย่ำผ่านแอ่งน้ำครำซึ่งตอนนี้ผสมปนเปไปด้วยเลือดที่ไหลนองออกมาจากกองร่าง ซึ่งเมื่อครู่คือกลุ่มคนที่พยายามจะชักปืนออกมายิงต่อสู้
   เด็กหนุ่มวัยสิบแปดสิบเก้าใช้ผ้าสีน้ำตาลผืนเล็กๆ รูดบนเส้นลวดสีเงินยวงเพื่อเช็ดคราบโลหิตออก ก่อนจะจะม้วนมันใส่กระเป๋ากางเกงอย่างใจเย็น ร่างสูงโปร่งสืบเท้าไปยังร่างที่นอนอยู่ภายในตรอก
   จางซื่อเยี่ยนพลิกร่างที่อยู่ในชุดสีขาวนั้นขึ้นมาด้วยความทะนุถนอม ร่างของลูกชายของเจ้านายผู้ซึ่งเขาเทิดทูลเฉกเช่นจ้าวชีวิต
   ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาที่มุมปากเมื่อเห็นว่าร่างนั้นยังหายใจแผ่วๆ เว่ยเฟิงปิงนั้นถูกต่อยท้องจนสลบไปตั้งแต่ตอนแรก  จางซื่อเยี่ยนพบว่าหลังของเด็กหนุ่มยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา คงเป็นเพราะบาดแผลจากการถูกโบยยังไม่หายสนิท  เขาตัดสินใจอุ้มร่างของลูกชายหัวหน้าใหญ่ขึ้นบ่าเพื่อพาไปรักษา
   แน่นอนว่าปฏิบัติการทั้งหมดของเขานั้นจะต้องเป็นความลับที่สุด ดังนั้นตลอดช่วงเวลาสองปี จางซื่อเยี่ยนต้องระมัดระวังตัวอย่างมากเพื่อที่จะไม่ให้เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าเขาเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือ  แต่จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่า การผ่านความเป็นความตายและการอยู่เคียงข้างอย่างเงียบๆ นี้ เปลี่ยนความคิดของเขาที่มีต่อเว่ยเฟิงปิง จากความเคารพในฐานะลูกชายจ้าวชีวิต ไปเป็นความหลงใหลใฝ่ฝัน และปรารถนาในเรือนร่างอันบอบบางนั้น  จนกระทั่งวันที่เว่ยเฟิงปิงกลับเข้ามาในแก๊ง  วันที่จางซื่อเยี่ยนถูกปลดปล่อยจากภาระหน้าที่อันแสนหนังอึ้ง  เขารู้สึกเหมือนว่าวที่ถูกตัดสาย เคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นไม่กี่วัน เขาก็ได้รับคำสั่งจากเว่ยชิงให้มาเป็นบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวของเว่ยเฟิงปิง จางซื่อเยี่ยนรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ในตอนนั้นเองที่เขาได้สำเหนียกตัวเองว่า เขาได้ถลำลึกเข้าไปสู่แดนต้องห้าม ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง จินตนาการที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
   ถึงจะอย่างนั้นนั้น เขาก็ไม่อาจหักห้ามหัวใจเอาไว้ได้อีกแล้ว
--------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #38 เมื่อ23-05-2011 21:57:15 »

   รูฟัสเงยหน้ามองตึกสูงสิบสี่ชั้น สภาพเก่าคร่ำคร่า พลางขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ โจวยี่เดินออกมาจากลานจอดรถด้วยใบหน้ายิ้มกว้าง ทำเอาอีกฝ่ายหรี่ตาด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
   “แกเล่นตลกกับฉันหรือไง?” หนุ่มชาวรัสเซียถามเสียงเครียด เมื่อเพื่อนเก่าเดินเข้ามาใกล้พอ หนุ่มผมยาวยักไหล่ ทำหน้าชวนทะเลาะ
   “นี่มันตึกของตระกูลเว่ย  แกคิดอะไรของแก!” รูฟัสเดินเข้ามาใกล้อย่างคุกคาม โจวยี่รีบยกมือขึ้นกั้น
   “เฮ้ย ใจเย็นๆ ฟังฉันก่อน” ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง และเริ่มพูดอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นนัยน์ตาสองสีที่ถลึงมา
   “ฉันรู้ว่านี่คือตึกของตระกูลเว่ย  แล้วแกคิดว่าคุณชายเว่ยเขาจะยอมนัดเจอแกที่ไหนก็ได้หรือไง?” รูฟัสหยุดก้าวเท้า มองผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเหมือนกำลังพิจารณาคำพูด
   “จะรู้ได้ยังไงว่าแกไม่หลอกฉัน?”
   “แกไม่มีทางเลือก” อีกฝ่ายตอบ โดยไม่สนใจว่าผู้ฟังจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
   “ตอนนี้แกยืนอยู่ในฮ่องกง ไม่ใช่ที่ฮังการีหรือรัสเซีย แค่ข้อมูลน่ะมันไม่พอที่เขาจะเสี่ยงออกมาหาแกหรอก สำหรับคุณชายเว่ย ฉันว่าเขาจัดการกับแกได้ไม่ยาก เพียงแต่อาจจะกำลังรอเวลาอยู่ ถ้าแกอยากให้เขาเสี่ยง แกเองก็ต้องเสี่ยงด้วย”
   รูฟัสได้แต่นิ่งอึ้ง  คิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอย่างช้าๆ
------------------------------------
   ร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูขาวพาดเส้นแดงเล็กๆ เป็นแนวยาวลงมา นั่งอยู่บนเก้าหนังในห้องทำงาน ด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะโสภานัก  เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องหงุดหงิดนัก กับชื่อคนเพียงคนเดียว
   จางซื่อเยี่ยน
   ทำไมฟ่งต้องเอ่ยชื่อนั้นออกมาตอนนั้นด้วย?
   ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง
   บางทีสองคนนั่นอาจจะมีอะไรกัน
   แต่แล้วหัวสมองก็ต้องรีบปฏิเสธความคิดตัวเอง  คนอย่างจางซื่อเยี่ยนคงไม่มีปัญญาไปทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ
   แล้วฟ่งเอ่ยชื่อจางซื่อเยี่ยนในตอนนั้นเพราะอะไร?
   เว่ยเฟิงปิงอยากจะเรียกตัวทั้งคู่มาถามให้รู้แล้วรู้เรื่อง แต่ทำไมเขาจะต้องให้ความสนใจกับเรื่องนี้นัก
   ผู้มีฐานะเป็นเจ้านายในตึกนี้หยิบเอกสารที่วางอยู่มาอ่านแก้หงุดหงิด แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อสังเกตเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลขนาดเอสี่ปิดผนึกเรียบร้อยซองหนึ่งวางซ้อนอยู่ใต้กองเอกสาร นิ้วเรียวหยิบซองนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง มีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะอยู่ด้านหน้า
   เป็นลายมือที่เขาเขียนลงบนกระดาษที่แนบไปกับเอกสารแผ่นหนึ่งเมื่อวาน
   รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเรียวดั่งพญางูนั้น เว่ยเฟิงปิงหยิบแฟ้มเอกสารสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิด ก่อนจะดึงเอกสารที่เขาอ่านค้างอยู่เมื่อวานขึ้นมา  แล้วจึงหยิบโทรศัพท์สายในขึ้นมา
-------------------------------------
   ประตูสีขาวบานใหญ่ถูกแง้มเปิดออกมาเล็กน้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองออกมาอย่างหวาดๆ และพบว่าไม่มีใครอยู่หน้าประตูห้อง ฟ่งค่อยๆ เปิดประตูออกมา มองซ้ายมองขวา แล้วรีบวิ่งไปยังทางเดินในส่วนที่มีลิฟต์ ร่างบางกดลิฟต์ด้วยความตื่นเต้น เขาไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน จะออกจากที่นี่ได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ เขาต้องออกไปให้ได้
   เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินแกรนิตดังขึ้นทางด้านหลัง  ฟ่งกำมือด้วยความตื่นเต้น  เขาควรจะวิ่งไปหลบที่อื่น หรือรอให้ลิฟต์เปิดดี? หนุ่มสวมแว่นหันมองไปอีกฟากหนึ่ง และพบว่ามันเป็นทางเดินยาวที่ไม่มีแม้แต่กระถางต้นไม้ให้หลบ
   ในขณะที่เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้จนแทบจะถึงตัว ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ฟ่งรีบพุ่งเข้าไปด้านใน และรีบกดปุ่มปิดประตูอย่างเร่งร้อน หัวใจเขาเต้นแทบกระดอนหลุดออกจากอก เมื่อเห็นผู้ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเดินผ่านหน้าลิฟต์ไป
   ฟ่งมองปุ่มกดในลิฟต์ และพยายามกดไปที่ชั้นG กดอยู่ได้สักพักลิฟต์ก็ยังไม่เคลื่อนไปไหน เมื่อสำรวจแผงควบคุมดูอีกทีถึงได้รู้ว่าต้องใช้การ์ดเสียบลิฟต์จึงจะทำงาน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้า ฟ่งเงยมองด้านบนลิฟต์ พบว่ามีกล้องวงจรปิดติดอยู่ ร่างบางยกมือขึ้นลูบหน้า  แบบนี้คงหนีไม่พ้นแน่ๆ แต่จะทำยังไงต่อไปดี
   กลับไปอยู่ที่เดิม หรือไปต่อ?
   ยังไม่ทันที่จะตัดสินใจ กล่องเหล็กสี่เหลี่ยมก็เริ่มขยับ
------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งเฮือก ตอนที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ร่างสูงรีบกุลีกุจอไปรับโทรศัพท์  เสียงปลายสายเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
   “ขึ้นมาเจอฉันหน่อย”
   “ครับ” ชายหนุ่มรับคำ น้ำเสียงของเจ้านายนั้นดูราวกับว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น  ร่างสูงวางโทรศัพท์ ก่อนจะเดินออกจากห้องพักไปทันที
-------------------------------------------
   “แกคิดว่าไง?” โจวยี่พูด ขณะที่คนทั้งคู่เดินลงมาจากตัวตึก  ผู้ถูกถามหันมามอด้วยสีหน้าแสดงความสงสัย
   “ถามถึงอะไร แผนของแกงั้นรึ?”
   “อืม”
   “แล้วฉันมีทางเลือกหรือไง?” รูฟัสพูดพลางทำหน้าเฉยชาเหมือนคนปลงตก  โจวยี่หัวเราะชอบใจในท่าทางของเพื่อน
   “แล้วตกลงแกจะนัดกับคุณชายเว่ยวันไหน ฉันจะได้จัดการให้”
   นัยน์ตาสองสีคู่นั้นหรี่ลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่น่าตกใจ “วันนี้เลย”
   “ว่าไงนะ?!”
   “แกขับรถพาฉันไปที่ตึกของเด็กนั่นหน่อยสิ”
   ฝ่ายถูกขอทำตาเหลือก “เฮ้ย! แกจะบ้าหรือเปล่า ไม่ต้องไปถึงที่นั่นก็ได้ แค่โทรศัพท์ไปก็พอ”
   รูฟัสเดินมาหยุดที่รถ “อย่างนั้นแกช่วยโทรหาเด็กนั่นตอนที่ฉันไปที่ตึกนั่นด้วย”
   โจวยี่ร้องด้วยความตกใจ “แกบ้าไปแล้วหรือไง จู่ๆ ก็จะถ่อไปที่นั่น เกิดถูกล้อมจับ เดี๋ยวก็จบเห่กันพอดี”
   ริมฝีปากได้รูปปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แบบนั้นแหละดี ฉันอยากแสดงให้เด็กนั่นเห็นว่า ฉันยอมเสี่ยงขนาดไหน”
   โจวยี่ได้แต่มองหน้าเพื่อนแล้วกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเปิดประตูรถออก รูฟัสก้าวเข้ามาในรถ แล้วรถเก๋งฮอนด้าสีแดงเพลิงก็แล่นออกไป
----------------------------------
   เด็กหนุ่มผู้มีปานสีเขียวขนาดใหญ่ที่คอ หรือที่ถูกเรียกว่าอาเง็ก ถอดหูฟังออกอย่างลืมตัว ประโยคที่ได้ยินจากเครื่องดักฟังเมื่อครู่ทำเอางงไปพักใหญ่
   ผู้ชายที่ชื่อว่ารูฟัสกำลังจะมาที่นี่
   ชายที่เจ้านายของเขาต้องการตัวมากที่สุด และทุ่มเทเวลาในการเสาะหาตัวชายคนนี้นานที่สุด
   อาเง็กไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับชายคนนี้มากนัก เพราะเขาเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่หลังจากที่เรื่องผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ที่แน่ๆ เมื่อไรที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชายคนนี้ เจ้านายที่เขาเคารพรักมักมีอาการแปลกๆ อยู่เสมอ  เด็กหนุ่มเข้าใจว่านั่นคงเป็นเพราะความแค้นที่สั่งสมมาจากอดีต  อย่างไรก็ดี เรื่องที่ชายคนนั้นจะมาที่นี่เขาควรที่จะรายงานให้เจ้านายทราบทันทีหรือเปล่า?  อาเง็กทราบดีว่าไม่ช้าไม่เร็ว เว่ยเฟิงปิงก็ต้องรู้อยู่ดี  เขาควรจะบอกเสียแต่ตอนนี้ หรือจะรอไปอีกสักพักก่อน
   ยังไม่ทันที่จะตัดสินใจ เสียงโทรศัพท์ไร้สายภายในก็ดังขึ้น
-------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนเดินฉับๆ มายังประตูบานสีขาว ร่างสูงเพิ่งระลึกได้ว่า เขาทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวง นั่นคือลืมล็อกประตูห้องขัง  ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไป และพบว่าภายในห้องว่างเปล่า  จางซื่อเยี่ยนหยิบโทรศัพท์ไร้สายที่เสียบอยู่ในห้องมากดเบอร์ภายใน ก่อนจะเดิน ฉับๆ ไปที่หน้าลิฟต์
   เขาควรจะรายงานเจ้านายว่าอย่างไรดี
------------------------------------
   อาเง็กยืนอยู่หน้าลิฟต์ โทรศัพท์ที่เข้ามาเมื่อครู่ทำให้เขาต้องผละจากห้องในทันที ดูเหมือนเจ้านายของเขาต้องการจะเรียกประชุมด่วน  เด็กหนุ่มตัดสินใจว่าควรจะบอกเรื่องราวที่ได้ยินให้เจ้านายได้รับทราบ ก่อนที่จะเอาเทปมาให้  เขาเชื่ออย่างมั่นใจว่าในที่สุดเจ้านายจะต้องได้ตัวชายคนนั้น  เพราะเว่ยเฟิงปิงเป็นคนที่ทำงานไม่เคยพลาด  ถึงอย่างนั้นอาเง็กก็ยังรู้สึกเป็นห่วง เพราะไม่ว่าเมื่อไรที่เป็นเรื่องของชายคนนั้น เว่ยเฟิงปิงจะมีอาการแปลกๆ ทุกที
--------------------------------------------
   ประตูลิฟต์เปิดออก ฟ่งรู้สึกเหมือนอาบน้ำมากกว่าเหงื่อออก  ร่างบางแทบจะหยุดหายใจ เมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า
   อาเง็กรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เมื่อพบว่าคนที่อยู่ในลิฟต์เป็นคนที่เรียกกันว่า “แขก”
----------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงวางโทรศัพท์ ก่อนจะหยิบเอกสารในซองสีน้ำตาลขึ้นมาดูอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะพลิกดูจนหมด เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น
เว่ยเฟิงปิงมองชื่อที่แสดงบนมือถือแล้วปล่อยให้มันดังอยู่พักใหญ่  ก่อนจะตัดสินใจกดรับ
   “ЗДравствуйте”
เว่ยเฟิงปิงรู้สึกชาไปทั่วทั้งร่าง
-------------------------------------
   ความคิดแวบแรกในหัวฟ่งคือ ปิดลิฟต์  ชายหนุ่มรีบเอามือกดปุ่มปิดประตูลิฟต์ทันที อาเง็กเบิ่งตาด้วยความตกใจ รีบเอามือขวางประตูลิฟต์และแทรกตัวเข้าไป  ฟ่งพยายามจะผลักเด็กหนุ่มออก ขณะเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งกดปุ่มปิดประตูลิฟต์ไปเรื่อยๆ  อาเง็กรู้สึกเหมือนโดนคีมหนีบเมื่อประตูลิฟต์ปิดงับเข้าที่กลางตัวพอดี เขาพยายามใช้มือข้างที่ยื่นเข้าไปในลิฟต์กระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายและดึงเอาไว้ ทำให้ฟ่งต้องพยายามดึงตัวเองกลับเข้าไปในลิฟต์ ทั้งคู่ยื้อยุดกันอยู่พักใหญ่ อาเง็กกัดฟันกรอด รู้สึกโมโหกับเรื่องที่ไม่เข้าใจตรงหน้ามากขึ้นทุกที เด็กหนุ่มแข็งใจออกแรงกระชากด้วยอารมณ์โทสะ ฟ่งเซถลามาด้านหน้า จังหวะนี้เองที่ทำให้ประตูลิฟต์เปิดออก หนุ่มสวมแว่นกระชากตัวกลับด้วยสัญาชาตญาณ อาเง็กที่เพิ่งหลุดออกจากง่ามประตูลิฟต์ยังไม่ทันได้ตั้งตัว จึงถูกดึงให้หลุดเข้าไปด้วย ร่างของทั้งงคู่กระแทกเข้ากับผนังลิฟต์ แล้วประตูเหล็กก็ปิดลง
ฟ่งพยายามจะเอื้อมไปกดปุ่มเปิดประตู สถานการณ์ของเขากำลังย่ำแย่ ตอนนี้เขาดึงเอาฝ่ายศัตรูเข้ามาในลิฟต์  อาเง็กคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้เพื่อไม่ให้ไปถึงปุ่มกด ฟ่งเซถอยหลังกลับมา ชายหนุ่มสวมแว่นเงื้อหมัดขึ้น แล้วทั่งคู่เริ่มแลกหมัดกันอุตลุด ขณะที่ตัวลิฟต์เคลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ

   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกตัวเองกดลิฟต์เหมือนคนบ้า มือขวาข้างที่ถือโทรศัพท์สั่นจนแทบจะทำมันหลุดมือ เขานึกอยากจะวิ่งลงบันไดหนีไฟแทนขึ้นลิฟต์ไปให้รู้แล้วรู้รอด ไม่รู้ว่าใครจะใช้ลิฟต์อะไรตอนนี้กันนักหนา

   จางซื่อเยี่ยนเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเว่ยเฟิงปิงเท่าไรนัก เขาเริ่มรู้สึกว่าการวิ่งลงบันไดน่าจะเร็วกว่าใช้ลิฟต์เป็นไหนๆ เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาบนใบหน้าที่ดูไร้ความรู้สึก ขณะที่กล่องเหล็กเคลื่อนที่ตามระบบของมัน ช่างดูขัดกันเสียนี่กระไร จางซื่อเยี่ยนไม่ได้แจ้งให้ทางหน่วยความปลอดภัยแจ้งสัญญาณเตือนภัย เขาไม่ต้องการให้มันวุ่นวาย ยังไงเสียนักโทษก็หนีไม่รอด แต่เขาจำเป็นต้องแจ้งการมาที่ล่าช้าให้เจ้านายทราบเสียก่อน  ในชีวิตจางซื่อเยี่ยนไม่เคยประสบเหตุลำบากใจขนาดนี้เลย  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำพลาด หนำซ้ำยังพลาดเรื่องที่ไม่ควรจะพลาดอีกด้วย

   ฟ่งรู้สึกว่าตัวเองจะต้องตายคากำปั้นแน่ๆ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่มีทางหนี ร่างบางเริ่มใช้เท้าในการป้องกันตัว แต่แล้วจู่ๆ กล่องเหล็กนั้นก็หยุดกึก พร้อมกับประตูที่เปิดออก

   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกว่าประตูช่างเปิดช้า เขาแทบจะยื่นมือไปแหวกมันออกไป ก่อนที่มันจะเปิดจนสุดเสียอีก

   “คุณชาย!”
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอุทานของคนสองคนพร้อมกัน แต่ใจจังหวะนั้น เขากำลังอึ้งกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ามากกว่า
   ลูกน้องของเขากำลังต่อยกับเชลยที่สมควรจะอยู่ในห้องขังมากกว่าในลิฟต์  นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!
   “ซื่อเยี่ยน!!!” เว่ยเฟิงปิงกรีดเสียงออกไปอย่างเกรี้ยวกราดในทันที และพบว่าลูกน้องเจ้าปัญหาเพิ่งก้าวออกมาจากลิฟต์ตัวข้างๆ  นัยน์ตาสีฟ้ายาวเรียวถลึงตาใส่ผู้ที่ถูกเรียกด้วยความเกรี้ยวโกรธ ก่อนจะก้าวเท้าฉับๆ เข้าไปในลิฟต์ แล้วประตูลิฟต์ก็ปิดลงอีกครั้ง
   จางซื่อเยี่ยนยืนมองด้วยสายตาบอกไม่ถูก

   อาเง็กไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไร หรือสมควรจะทำหน้าอย่างไรกันแน่กับสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เจ้านายของเขายืนหันหลังท่าทางเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์ แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา ที่สำคัญเว่ยเฟิงปิงทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในลิฟต์
   ฟ่งเองก็รู้สึกงุงงง และอึดอัดไม่แพ้กัน จะรู้สึกโชคดีอยู่หน่อยตรงที่อย่างน้อยก็ไม่โดนต่อยอีก ชายหนุ่มยกแขนเสื้อเช็ดเลือดที่ไหลซึมตรงมุมปาก ก่อนจะคิดปลงตกกับตัวเองว่าคงไม่รอดแล้วแน่ๆ

   เว่ยเฟิงปิงรู้ตัวว่ามีเม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาจากแผ่นหลังจนเปียก นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน! ทำไมคนที่น่าจะอยู่ในห้องขังถึงได้มาชกต่อยอยู่ในลิฟต์กับลูกน้องเขาแบบนี้ ชายหนุ่มอยากจะสะสางปัญหาที่อยู่ตรงหน้าให้รู้เรื่องก่อน แต่เสียงที่ปลายสายนั้นมีแรงกระตุ้นมากกว่า

   ประตูลิฟต์เปิดออก อาเง็กรู้สึกตกใจกับการกระทำของเจ้านาย เมื่อเว่ยเฟิงปิงกระชากฟ่งออกจากลิฟต์ ก่อนจะลากคอออกไปตรงระเบียงที่บุด้วยกระจกใส

   “เฟิงปิง ฉันมาแสดงความจริงใจต่อหน้าเธอ ว่าฉันต้องการจะแลกเปลี่ยนกับเธอจริงๆ”
   เสียงปลายสายนั้นเป็นเสียงที่เว่ยเฟิงปิงไม่เคยลืม เสียงที่เขาถวิลหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเพราะรักหรือเกลียด เสียงนั้นก็กระตุ้นให้เขามาจนถึงระเบียงที่สามารถจะมองลงไปเห็นด้านล่างของตึกได้อย่างชัดเจน
   รถเก๋งสีแดง
   นัยน์ตาสีฟ้าจ้องเหมือนคนบ้า กวาดสายตาเพื่อหาสิ่งที่เขาต้องการ และในที่สุด รถเก๋งสีแดงคันนั้น.....
   “ฉันรู้ว่าเธอมองเห็นฉัน เฟิงปิง”
   ใช่แล้ว บุคคลที่ไม่ได้พบเจอมากว่าหกปี คนที่มองเห็นอยู่ลิบๆ อยู่เบื้องล่าง ถึงอย่างนั้น เว่ยเฟิงปิงก็แน่ใจว่าใช่ผู้ชายคนนั้นแน่ๆ
   “รูฟัส” ร่างบางเอ่ยชื่อนั้นออกไปอย่างยากลำบาก  และชื่อนั้นเองทำให้ฟ่งซึ่งถูกดึงคอเสื้ออยู่หันมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
   “ว่าไงล่ะ เธอตกลงจะรับคำเชื้อเชิญของฉันหรือเปล่า?”
   เว่ยเฟิงปิงเม้มปากแน่น เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าและแผ่นหลัง อารมณ์อันพลุ่งพล่านทำให้เขาต้องเสียเวลาเค้นคำพูดอยู่นาน
   “คุณมีอะไรมาเสนอให้ผม?”
   “ข้อมูลของริเวิล”
   รูฟัสรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะมาจากปลายสาย  เล่นเอาใจหายวูบ หรือเขาคิดเรื่องที่มาต่อรองผิด
   “ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณมีข้อมูลนั้นจริงๆ แน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่หลอกผม?”
   “นั่นต้องถามตัวเธอเอง ที่เธอตามหาฉันไม่ใช่เพราะข้อมูลของรีเวิลหรอกหรือ?”
   เว่ยเฟิงปิงหัวเราะอีกครั้ง  เสียงหัวเราะนั้นบางเวลาดูเหมือนเสียงร้องไห้
   “ตกลง อีกสองวันผมจะไปเจอคุณตามเวลานัด”
   “เดี๋ยวก่อน” รูฟัสพูดรั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะตัดสาย “ฉันขอพูดกับตัวประกันหน่อยได้ไหม ฉันอยากแน่ใจว่าคนของฉันปกติดี”
   เว่ยเฟิงปิงแค่นยิ้มอย่างน่าเกลียด ฟ่งมองใบหน้านั้นแล้วไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกขยะแขยงหรือสงสารดี เว่ยเฟิงปิงกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์
   “คุณขอมากเกินไปแล้ว  ผมจะบอกอะไรดีๆ ให้ ตอนนี้คนของคุณอยู่ข้างๆ ผม คุณคงอยากให้เขามองลงไปเห็นคุณ  ว่าไงล่ะฟ่ง นายลองมองลงไปสิ ที่รถสีแดงน่ะ”
   รูฟัสใจเต้น ฟ่งกำลังมองลงมาล่ะหรือ ร่างสูงเงยขึ้นไป ด้วยความหวังว่าจะมองเห็นบ้าง ทั้งๆ ที่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะกระจกทั่วทั้งตึกสะท้อนแสงจากภายนอก
   ฟ่งมองตามลงไปตามคำบอก และประสบกับสายตาที่มองขึ้นมาอย่างบังเอิญ รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบ  เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจ เสียใจ หรือว่าหวาดกลัวดี  ร่างบางถอยหลังก้าวหนึ่ง และไม่กล้ามองลงไปอีก
   เว่ยเฟิงปิงระเบิดหัวเราะเสียงลั่น
   “ประทับใจมาก รูฟัส ผมอยากให้คุณเห็นท่าทีของแฟนคุณตอนนี้จริงๆ ท่าทีหลังจากที่เขารู้แล้วว่าคุณเป็นใคร  อย่าคิดเล่นตุกติกกับผมเป็นอันขาด อีกสองวันผมจะไปเจอหน้าคุณ”
   “ฟ่ง!!” รูฟัสตะโกนกรอกโทรศัพท์ แต่เสียงที่ได้รับกลับมาคือสัญญาณการตัดสาย
   “เฮ้ย แกจะทำอะไรว่ะ!?” โจวยี่พูด พลางฉุดมือเพื่อนที่ทำท่าจะเดินจ้ำอ้าวเข้าไปที่ตัวอาคาร
   “ฉันจะไปหาฟ่ง” รูฟัสพูดใส่หน้าเพื่อนอย่างระงับอารมณ์ไม่ได้ และพยายามที่จะเดินหน้าต่อโดยไม่สนใจการทัดทาน  โจวยี่ขบกรามกรอด ก่อนจะต่อยใส่เพื่อนหมัดหนึ่ง ทำเอาร่างสูงใหญ่เซถลา
   “แกใจเย็นๆ แล้วตั้งสติก่อนได้ไหม!”
   นัยน์ตาสองสีเหลือกขึ้นมามองเพื่อนแวบหนึ่ง ก่อนจะถ่มเลือดลงบนพื้น
   “โทษที”   
--------------------------------------------------
   “คุณชายครับ?” อาเง็กเอ่ยถามขึ้นอย่างกลัวๆ กล้าๆ หลังจากที่เว่ยเฟิงปิงวางโทรศัพท์ไปแล้ว  ผู้ถูกถามโบกมือ ขณะมองรถคันสีแดงถอยออกไป
   “อาเง็ก เธอเอาหมอนี่กลับไปที่ห้อง ส่วนนายไปกับฉัน”
   เว่ยเฟิงปิงหันมาทางจางซื่อเยี่ยน ซึ่งมายืนรอรับคำสั่งอยู่แล้ว ทั้งคู่พยักหน้ารับคำสั่งเจ้านาย ก่อนที่ฟ่งจะถูกหิ้วปีกออกไป
-----------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #39 เมื่อ23-05-2011 21:58:04 »

บทที่16 อ่อนแอ
   “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!” เว่ยเฟิงปิงถามเสียงเครียด  จางซื่อเยี่ยนยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของผู้เป็นนาย พยายามจะเค้นสมองเพื่อหาคำตอบที่ดูเหมาะสม
   “ทำไมนายถึงปล่อยให้ตัวประกันหนีออกมาได้?”
   “ผมลืมล็อกประตู”
   นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งกว้างด้วยความแปลกใจ เขาคิดว่าตัวเองหูฝาด เว่ยเฟิงปิงกวาดตามองลูกน้องก่อนจะถามอีกรอบ “นายพูดว่าลืมล็อกประตู?”
   “ครับ”
   เว่ยเฟิงปิงเอามือลูบหน้า สงสัยวันนี้ลูกน้องของเขาคงเครื่องรวน ปกติจางซื่อเยี่ยนไม่ใช่คนที่ประมาทเลินเล่อแบบนี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ผู้เป็นหัวหน้าต้องเปลี่ยนเรื่องสนทนา
   “เข้ามา”
อาเง็กเปิดประตูเข้ามาหลังจากเสียงอนุญาต เด็กหนุ่มค้อมตัวให้เจ้านาย ก่อนจะหยุดยืนอยู่หลังผู้มีอาวุโสกว่า  เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ
   “เอาเถอะ พักไอ้เรื่องบ้าๆ นี่ไว้ก่อน พวกนายจำเรื่องยิงกันที่ผับสกาล่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ไหม”
   “ครับ”
   “คุณเจียงที่เป็นเจ้าของผับทำจดหมายมาถึงฉัน ขอความช่วยเหลือเรื่องเงินทุน”
   “แต่ผับนั่นอยู่ใต้การคุ้มครองของริเวิลนี่ครับ” อาเง็กแย้ง
   “ก็ใช่ ในจดหมายคุณเจียงแจ้งว่าเขาต้องการจะออกจากการคุ้มครองของริเวิล เพราะเหตุยิงกันนั้นทำให้ธุรกิจของเขาเสียหาย”
   “หมายความว่าคุณเจียงต้องการให้เราเข้าไปคุ้มครองเขาแทน แบบนั้นก็ดีสิครับ”
   “ตอนแรกฉันก็คิดว่าอย่างนั้น แต่พอมาคิดดูอีกที ริเวิลไม่น่าประมาทขนาดปล่อยให้มีเหตุการณ์ยิงกันในผับ  ฉันเลยแอบส่งคนไปสอดแนมที่นั่น แล้วนี่คือสิ่งที่ได้มา”
   เว่ยเฟิงปิงโยนซองกระดาษสีน้ำตาลให้อาเง็ก เด็กหนุ่มรับไปเปิดดู ภายในนั้นมีภาพถ่ายและเอกสารจำนวนหนึ่ง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเจ้านาย
   “นั่นเป็นภาพที่คนของเราถ่ายได้ และคำพูดที่ได้จากเครื่องดักฟังในห้องทำงานของคุณเจียง”
   ผู้เป็นเจ้านายเว้นระยะคำพูด จางซื่อเยี่ยนหรี่ตาลง เขารู้ว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังจะบอกเรื่องสำคัญ
   “เจียงหลุนกำลังสมคบคิดกับริเวิล คิดจะหลอกลวงฉัน”
--------------------------------
   ฟ่งนอนซมอยู่บนเตียง ปวดไปทั้งตัว โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ร่างบางขยับผ้าเย็นที่แม่บ้านเอามาให้ประคบรอยช้ำ  ความเจ็บปวดบนร่างกายยังไม่เท่าสิ่งที่จิตใจเขากำลังเผชิญ
   ชั่ววินาทีที่เขาสบตากับรูฟัส  ฟ่งรู้ตัวว่าเขากลัวชายคนนั้น
   เป็นความกลัวที่วิ่งเข้ามาจับหัวใจให้ดำดิ่งลงไปในความมืด ด้วยความจริงที่ถูกเปิดเผยออกมา รูฟัสคนนี้ไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยรู้จัก ไม่สิ เขาไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้จริงๆ เลยต่างหาก ฟ่งชักไม่แน่ใจแล้วว่า เขาอยากจะให้รูฟัสมาช่วยหรือเปล่า อยากจะกลับไปกับรูฟัสไหม?
   ความคิดนั้นทำให้ฟ่งรู้สึกกลัวตัวเอง หดหู่และหมดหวัง
   เขาไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว
--------------------------------
   เสียงปืนดังก้องอยู่ในอากาศ กลิ่นเขม่าปืนลอยฟุ้ง ปลอกกระสุนปลอกแล้วปลอกเล่า ร่วงหล่นลงสู่เคาท์เตอร์ซีเมนต์ซึ่งใช้กั้นระหว่างผู้ยิงกับเป้าซ้อม
   โจวยี่นั่งเอามือเท้าคาง มองเพื่อนผ่านกระจกกันเสียงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
   “ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ”
   โจวยี่สะดุ้ง ก่อนจะเดินไปเปิดประตู
   “เธอลงมาที่นี่ทำไม?” ชายหนุ่มถาม ขณะที่เด็กหนุ่มร่างบางเดินผ่านประตูเข้ามา
   “ผมไม่เห็นคุณขึ้นไปข้างบน อาปิงบอกว่าคุณอยู่ที่นี่ ผมเลยลงมาดู”
   โจวยี่ถอนหายใจ ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู
   “ที่นี่ไม่เหมาะกับเธอหรอกนะ กลับขึ้นไปเถอะ”
   “แต่ว่าอีกสองชั่วโมงบ่อนจะเปิดแล้วนะครับ” แดเนียลกล่าว พลางเบียดตัวเข้ามาใกล้  โจวยี่หันไปมองเพื่อนที่ยังคงอยู่ในห้องซ้อมยิงปืน แล้วหันมาพูดกับเด็กหนุ่ม
   “งั้นเธอขึ้นไปก่อน อีกสักพักฉันจะตามไป”
   แดเนียลเงยหน้าขึ้นมองโจวยี่ด้วยสายตาออดอ้อน ก่อนจะถอยออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก  โจวยี่ได้แต่ฝืนยิ้มแห้งๆ
   “น่ารักดีนะ”
   ร่างสูงรีบหันไปมองตามเสียงพูด รูฟัสเดินออกมาจากห้องซ้อมยิง กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดมือที่เปื้อนเขม่าปืนอยู่
   “หายหงุดหงิดแล้วหรือไง พ่อรูปหล่อ”
   “อืม” รูฟัสรับคำ โดยไม่มองหน้าเพื่อน
   “เพิ่งรู้ว่าแกกับราฟาแอลมีงานอดิเรกเหมือนกันนะนี่”
   นัยน์ตาสองสีเหลือบมองมาอย่างประสงค์ร้าย  โจวยี่รีบเปลี่ยนท่าที
   “เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปดูบ่อนหน่อย  แกอยู่นี่ไปก่อนแล้วกัน  แล้วอย่าทำอะไรบ้าๆ ล่ะ” ร่างสูงพูด พร้อมกับรีบจ้ำออกไปโดยทันที รูฟัสถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
   ทำอะไรบ้าๆ งั้นหรือ
   ชายหนุ่มเดินไปที่อ่างล้างมือ เปิดน้ำออกมาล้างหน้า คำพูดของเว่ยเฟิงปิงเหมือนทั่งเหล็กขนาดใหญ่ที่ถูกโยนใส่หัวของเขา
   รูฟัสรู้ว่าไม่นานฟ่งจะต้องรู้ความจริง เขาพยายามจะไม่คิดถึงข้อนั้น ปฏิกิริยาของฟ่งเมื่อได้รู้ตัวจริงของเขาแล้วจะเป็นอย่างไร รูฟัสไม่อยากรับรู้เลยจริงๆ ตอนนี้เขาต้องการเพียงแค่ช่วยฟ่งออกมาให้ได้ก่อน แต่ถ้าฟ่งไม่ยอมมากับเขาล่ะ ถ้าฟ่งเกิดกลัวเขาขึ้นมา
   รูฟัสพยายามสลัดความหวั่นไหวบ้าๆ นั่นทิ้ง นัยน์ตาสองสีจ้องมองหน้าตัวเองในกระจก
   เขาจะต้องเอาตัวฟ่งกลับมาให้ได้
--------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนทำหน้าไม่ถูก เมื่อถูกเฟิงปิงค่อนแคะเรื่องประตูหลังจากที่อาเง็กออกไปแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้านายจะหาเรื่องไม่ไว้วางใจเขา
   “ถ้านายเป็นแบบนี้อีก ฉันจะบอกคุณพ่อให้ย้ายนายกลับไปหน่วยดำ”
   “ครับ” ชายหนุ่มรับคำเสียงเรียบๆ นึกทุเรศตัวเองที่สะเพร่ากับเรื่องง่ายๆ แบบนี้ เว่ยเฟิงปิงกวาดตามองลูกน้องของเขาอีกครั้ง ก่อนจะส่งเสียง
   “นายไปจัดการเรื่องที่ฉันสั่งให้เรียบร้อย  อย่าลืมตามอาคุนกับอาหมิงมาด้วยล่ะ”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า แล้วเดินออกไป เว่ยเฟิงปิงหยิบบุหรี่จากกล่องขึ้นมาจุด ควันสีขาวลอยฟุ้งไปทั่วห้อง
   ผู้ชายคนนั้นมาแล้ว
   ร่างบางใช้เวลากับบุหรี่จนหมดมวน ก่อนจะออกจากห้องไป
   เว่ยเฟิงปิงเดินมาหยุดหน้าประตูสีขาว ก่อนจะไขกุญแจเข้าไปอย่างแผ่วเบา เดินช้าๆ ไปยังเตียงนอน ดูเหมือนเชลยของเขากำลังหลับอยู่ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเตียง จ้องมองใบหน้าของผู้ที่นอนอยู่พักใหญ่

   ฟ่งสะดุ้งตื่น เมื่อรู้สึกเหมือนมีมือมาแตะบริเวณใบหน้า แล้วก็พบว่าเว่ยเฟิงปิงนั่งอยู่ข้างๆ
   “โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายตื่น” ผู้ที่นั่งอยู่กล่าว ก่อนจะเอ่ยสืบต่อ “เวลานอนนายไม่ต้องทำคิ้วย่นก็ได้”
   ฟ่งมองหน้าเว่ยเฟิงปิงครู่หนึ่ง
   “ผมควรจะทำยังไงดี?” ร่างบางเอ่ยเสียงแห้ง ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้า “ผมเหนื่อย ผมอยากกลับบ้าน ผมไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับพวกคุณอีกแล้ว”
   “นายร้องไห้หรือ?” เว่ยเฟิงปิงถามด้วยเสียงเหมือนรู้อยู่แล้ว ฟ่งไม่ตอบคำถาม แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
   “นายกำลังกลัว หรือว่านายกำลังเสียใจกันล่ะ?"
   “ผมอยากกลับบ้าน” ฟ่งตอบไม่ตรงคำถาม เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ
   “ผมต้องทำยังไงถึงจะได้กลับบ้าน
   เว่ยเฟิงปิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง “นายไม่รอรูฟัสแล้วหรือ?”
   คำถามนั้นทำเอาใบหน้าที่เดิมดูสลดอยู่แล้ว ยิ่งสลดหนักเข้าไปอีก
   “ผม..” ฟ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า พยายามใช้มือเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา แต่มันยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ จนเปียกไปทั้งใบหน้า เว่ยเฟิงปิงมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความสะท้อนใจ
   “นายกลัวเขาใช่ไหม?” คราวนี้ฟ่งพยักหน้า มือยังคงพยายามจะเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด เว่ยเฟิงปิงยื่นมือจับใบหน้านั้นให้หันกลับมา
   “สัญญากับฉันสิ” ร่างบางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “สัญญาว่านายจะไม่ไปกับหมอนั่น แล้วฉันจะส่งนายกลับบ้าน”
   “จะปล่อยผมกลับไปจริงๆ หรือ?” ฟ่งทวนคำ พยายามมองฝ่าม่านน้ำตา
   “จริงสิ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว พลางโน้มตัวเหนือร่างที่นอนอยู่ ดึงมือของอีกฝ่ายขึ้นไปกดไว้เหนือศีรษะ
   “ขอเพียงแต่นายไม่ไปกับผู้ชายคนนั้น อีกไม่นานฉันจะส่งนายกลับบ้าน สัญญาสิ”
   “อือ” ฟ่งรับคำด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา เว่ยเฟิงปิงยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ ก่อนจะประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่าย ธารน้ำตาสายเล็กๆ ไหลอาบผ่านร่องหางตา ฟ่งหลับตาลง ยินยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสร่างกายของตนได้ตามใจชอบ
-----------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วมองไปตรงทางเดินเป็นรอบที่สี่  เขาเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว แต่เจ้านายยังไม่ยอมลงมาเสียที ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะขึ้นไปตาม เมื่อดูนาฬิกาเป็นรอบที่ห้า
   ร่างสูงโปร่งเดินออกจากลิฟต์ไปยังห้องทำงานของเจ้านาย ก่อนจะพบว่ามันล็อก เว่ยเฟิงปิงไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงาน ถ้าอย่างนั้น.......
จางซื่อเยี่ยนคิดว่าบางทีเขาอาจจะสวนทางกับเจ้านาย ชายหนุ่มเดินไปที่ลิฟต์ เพื่อกลับไปประจำ ณ ตำแหน่งเดิม  แต่แล้วก็เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย
   บางทีเจ้านายของเขาอาจจะอยู่กับแขกก็ได้
   จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าอะไรดลใจ แต่ทันทีที่คิดได้ เขาก็ตัดสินใจเดินไปยังห้องนั้นทันที
   ประตูห้องเปิดแง้มอยู่ จางซื่อเยี่ยนจึงผลักเข้าไป และก็ต้องชะงักกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า
   เว่ยเฟิงปิงกำลังทำในสิ่งที่เขากังวลที่สุด
   ร่างผอมบางหน้าแดงจัดไปจนถึงใบหู กำลังแนบตัวลงจูบประโลมใบหน้าและซอกคอของร่างที่นอนอยู่ จางซื่อเยี่ยนยืนตัวแข็งทื่อ มองดูเจ้านายอันเป็นที่รักกำลังรุกไล่เชลยผู้ซึ่งสูญเสียตัวตนอยู่บนเตียงนอนอันแสนอ่อนนุ่ม เขาไม่เคยเห็นเจ้านายในสภาพแบบนี้มาก่อน สภาพที่เต็มไปด้วยความปรารถนา
   วินาทีนั้น จางซื่อเยี่ยนคิดจะเดินเข้าไปจับเว่ยเฟิงปิงมากดเสียเอง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำนัก  เขาจำเป็นจะต้องหยุดเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นไม่ให้มันเลยเถิดไปมากกว่านี้  จางซื่อเยี่ยนเดินกลับไปหลังประตูอย่างเงียบๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะ
   เสียงเคาะประตูดังพอที่จะทำให้เว่ยเฟิงปิงชะงัก คิ้วเรียวขมวดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของร่างที่นอนอยู่เบื้องล่างเบาๆ
   “ฉันต้องไปแล้ว อย่าลืมที่สัญญากันไว้ล่ะ”
   เว่ยเฟิงปิงกระซิบก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วเดินออกไป ฟ่งนอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียง หัวสมองหมุนคว้าง
   หยาดน้ำตายังคงไหลซึมออกมา
------------------------------------------------
   เสียงพูดคุยกับเสียงลูกเหล็กกลิ้งบนวงล้อ ดังสลับกันภายในห้องโถงขนาดใหญ่ที่ถูกดัดแปลงเป็นบ่อนการพนัน แน่นอนว่าบ่อนแห่งนี้ไม่ใช่บ่อนระดับห้าดาว มันเป็นบ่อนที่ตั้งขึ้นเพื่อคนระดับกลางๆ และพวกพ่อค้าจากต่างเมืองที่ต้องการมาหาความสำราญแบบราคาถูก
   รูฟัสนั่งมองกลุ่มคนที่เข้ามาเพื่อหาความสำราญจากการพนัน ก่อนจะยกแก้วน้ำซึ่งเพื่อนเก่าเพิ่งหยิบมาวางให้ขึ้นมาจิบ ก่อนจะทำหน้าแปลกๆ
   “นี่มันน้ำชานี่!” รูฟัสหันไปมองเพื่อนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ โจวยี่ยักไหล่ “แล้วใครบอกแกว่ามันไม่ใช่ล่ะ”
   รูฟัสขมวดคิ้ว แล้ววางแก้วกลับไปบนโต๊ะ
   “ฉันไม่อยากให้แกมาเมา” โจวยี่กล่าวต่อ “ถ้าแกรู้สึกเก็บกดนัก ทำไมแกไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์กับฉัน เช่นไปเป็นเจ้ามือโป๊กเกอร์ หรือไปช่วยหมุนรูเล็ดอะไรแบบนั้นล่ะ”
   ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีทำหน้ายุ่ง
“ฉันไม่มีอารมณ์จะไปทำอะไรแบบนั้นหรอก” รูฟัสปฏิเสธ พลางมองสำรวจไปรอบๆ อีกครั้ง และพบว่ามีผู้หญิงจำนวนหนึ่งเดินปะปนอยู่กับผู้ที่เข้ามาในบ่อน
   “นี่แกเปิดซ่องด้วยเรอะ?” รูฟัสสะกิดถามเพื่อน โจวยี่ยกแก้วเหล้ายินที่วางอยู่ขึ้นมาจิบ ก่อนจะพูด “ก็มีบ้าง แล้วแต่ลูกค้าจะชอบน่ะนะ ฉันแค่มีห้อง ส่วนสาวพวกนั้นจะจัดคิวกันเข้ามาเอง เด็กหนุ่มๆ ก็มีนะ แกสนหรือเปล่า?”
   รูฟัสทำหน้าบอกบุญไม่รับแทนคำตอบ
   “แล้วตกลงแกจะทำอะไร  เมา?”
   หนุ่มตาสองสีนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “แกดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
   โจวยี่ถลึงตามองรูฟัสเหมือนรังเกียจ “อยากเมาก็ไปเมาเองคนเดียวสิ  ดื่มกับแก ฉันไปดื่มกับแดเนียลดีกว่า”
   รูฟัสนิ่วหน้า ก่อนจะลุกขึ้น โจวยี่ถามด้วยความแปลกใจ “นั่นแกจะไปไหน?”
   “เล่นไพ่!”
   ว่าแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะโต๊ะหนึ่ง  ความจริงรูฟัสไม่มีอารมณ์จะเล่นไพ่ในตอนนี้  แต่การจะดื่มเหล้าจนเมาก็ใช่ว่าจะมีสาระ อีกสองวันจะถึงกำหนดนัด ยังมีเรื่องวุ่นวายอีกหลายอย่างที่จะต้องจัดการ  โดยเฉพาะข้อมูลของริเวิล
   ริเวิลเป็นกลุ่มทุนต่างชาติที่เริ่มเข้ามาครอบครองพื้นที่ให้เกาะฮ่องกงตั้งแต่เมื่อราวๆ สามสิบสี่สิบปีที่แล้ว  หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ กลุ่มมาเฟียจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ร่วมมือกับชาวยุโรปเข้ามาแบ่งสัมปทานค่าคุ้มครองจากเจ้าถิ่นเดิม  โดยวิธีการเข้ามาของริเวิลนั้นจะไม่ใช้การเผชิญหน้ากับเจ้าถิ่น แต่จะให้กลวิธีในการค่อยๆ เข้าไปแทรกซึมในส่วนธุรกิจต่างๆ ใช้วิธีการแบล็คเมล์ และออกทุนในการทำให้กลุ่มธุรกิจเหล่านั้นหันมาเข้ากับกลุ่มอย่างเงียบๆ กว่าที่เจ้าถิ่นเดิมจะรู้ นักธุรกิจภายในปกครองก็แทบจะตีตัวออกห่างหมดแล้ว เมื่อขาดแหล่งรายได้ กลุ่มเหล่านั้นก็จะอ่อนแอลง และถูกรวมเข้ากับริเวิลในที่สุด
   รูฟัสเคยถูกจ้างวานให้เข้าไปแทรกซึมในกลุ่มริเวิลสองครั้ง ทำให้เขาทราบข้อมูลลับหลายๆ อย่าง รวมถึงเรื่องที่นอกเหนือจากความต้องการของผู้จ้างวานด้วย หลังจากก่อเหตุสังหารผู้บริหารระดับสูงที่เรียกว่าไฮท์ไปคนหนึ่ง เขาก็โดนริเวิลหมายหัว
   ภายในกลุ่มริเวิลแบ่งชนชั้นออกเป็นสามระดับ คือระดับ ผู้บริหาร ที่เรียกกันว่า ลีด ระดับหัวหน้า ซึ่งกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ มีหน้าที่ดำเนินการตามแผนงานของลีด เรียกกันว่า ไฮท์ และระดับปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในกลุ่ม เรียกว่า เรฟ
   หนึ่งในลีดของริเวิลคือน้องชายต่างมารดาของเว่ยชิง ที่มีชื่อว่าลี่เหลียนซึ่งถูกเว่ยชิงขับออกจากตระกูลเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากเว่ยชิง ผู้ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจของตระกูลเว่ยจะจับตากลุ่มริเวิลเป็นพิเศษ และไม่แปลกเลยหากกลุ่มริเวิลจ้องที่จะตะครุบกลุ่มธุรกิจตระกูลเว่ย
   เว่ยเฟิงปิงไม่ใช่คนที่ต้องการข้อมูลของริเวิล  คนที่ต้องการข้อมูลของริเวิลจริงๆ คือเว่ยชิงผู้เป็นบิดาต่างหาก รูฟัสรู้ว่าหากเว่ยเฟิงปิงจับเขาได้เว่ยชิงจะต้องเคลื่อนไหว และริเวิลเองก็จะเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน นั่นหมายถึงเขาจะต้องรับศึกสองด้าน พร้อมกันกับที่จะต้องพาฟ่งออกมาให้ได้  ดังนั้นการเจรจาที่จะเกิดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า จึงเป็นเดิมพันหน้าตักแรกที่หากเสียก็แทบจะล้มละลายตายกันเลยทีเดียว
   รูฟัสรับไพ่ออกมาคลี่ดูในมือช้าๆ
   งานนี้เขาจะพลาดไม่ได้
-------------------------------------
   เกาะฮ่องกงยามราตรีเมื่อมองจากเรือสำราญที่ลอยลำอยู่กลางอ่าว ดูราวกับจอมปลวกขนาดยักษ์ที่เปล่งแสงระยิบระยับ  บนดาดฟ้าเรือที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราให้เป็นห้องอาหารกลางแจ้งภายใต้บรรยากาศแห่งสายน้ำและแสงจันทร์  ชายวัยกลางคนอายุราวห้าสิบกว่า ผมสั้นสีดำสนิท ในชุดเสื้อเชิ้ตสบายๆ สีแดงเลือดนก ฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างของผู้มาใหม่
   “เป็นเกียรติจริงๆ ที่คุณชายลงทุนมาด้วยตัวเองแบบนี้”
   เว่ยเฟิงปิงอยู่ในชุดโค้ทยาวสีครีมอ่อน คลี่ยิ้มในแบบฉบับของเขา ขยับมือสัมผัสมือกับผู้ที่ลงมาต้อนรับเป็นการทักทาย
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ยินดีที่ได้พบคุณ คุณเจียงหลุน”
   เจียงหลุนเขย่ามือกับเว่ยเฟิงปิง และเชื้อเชิญให้ไปนั่งที่โต๊ะซึ่งถูกจัดไว้
   “เอ้อ คุณคนนั้น…..” เจียงหลุนทำท่าจะอ้าปากถาม เมื่อเห็นจางซื่อเยี่ยนซึ่งอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทเดินตามหลังเว่ยเฟิงปิงมาติดๆ คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ จึงเอ่ยปากบอก “เขาเป็นบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวของผม คุณไม่ต้องกังวลใจไปหรอก การมาของผมครั้งนี้เป็นความลับ”
   เจียงหลุนยิ้มกว้างอีกครั้ง  จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเกลียดร้อยยิ้มประจบสอพลอแบบนั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมายิ้มต่อหน้าเจ้านายของเขา แต่เว่ยเฟิงปิงยังคงรักษาท่าทีเป็นปกติ
   

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My neighbor is a spy
« ตอบ #39 เมื่อ: 23-05-2011 21:58:04 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #40 เมื่อ23-05-2011 21:58:57 »

“ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณชายยังไงดี  ผมไม่อยากให้ทางริเวิลทราบ คุณคงรู้ว่าแถวนี้มีไฮท์คุมอยู่ถึงสองคน”
   “ครับ ผมทราบ” เว่ยเฟิงปิงตอบ ก่อนหันไปทางจางซื่อเยี่ยน ผู้เป็นลูกน้องส่งเอกสารใบเขื่องที่หิ้วอยู่ให้เจ้านาย เว่ยเฟิงปิงวางมันลงบนโต๊ะ และกดปุ่มเปิดกระเป๋า  ธนบัตรใบละหนึ่งพันเหรียญฮ่องกงจำนวนหลายปึกวางเรียงอัดอยู่ภายใน แววตาของเจียงหลุนเป็นประกายอย่างงำไว้ไม่อยู่ เว่ยเฟิงปิงขยับมือปิดกระเป๋าใบนั้นลง
   “ทั้งหมดสองล้าน นี่เป็นก้อนแรกนะครับ” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยพูด รู้สึกสมเพชสีหน้ากระหายเงินที่แสดงออกมาอยู่ในใจ
   “ผมไม่ทราบว่าจะตอบแทนบุญคุณนี้ของคุณชายอย่างไรดี” เจียงหลุนกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เว่ยเฟิงปิงยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครมองก็รู้สึกไม่สบายใจ
   “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกครับ แค่คุณตกลงจะภักดีกับผมก็พอแล้ว”
   “ครับ ผมสัญญาว่าจะภักดีกับคุณตลอดไป”
   นัยน์ตาสีฟ้านั้นหรี่ลงเล็กน้อย “ผมไม่ต้องการคำสัญญาลมๆ แล้งๆ แบบนั้นหรอกนะครับคุณเจียง คุณต้องแสดงความภักดีกับผมในแบบรูปธรรมที่ผมสามารถเชื่อถือได้”
   เจียงหลุนมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการให้ผมทำอย่างไรหรือครับ?”
   “คุณแค่เซ็นต์โอนธุรกิจของคุณทุกอย่างมาให้เป็นของผม ก็เพียงพอแล้วครับ” เว่ยเฟิงปิงกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะหยิบเอกสารปึกหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าเจียงหลุน ในกองนั้นคือใบหนังสือสัญญาการโอนโฉนดที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
   “คุณชายล้อเล่นแรงจังนะครับ” เจียงหลุนกล่าว พลางหัวเราะแห้งๆ เว่ยเฟิงปิงหยิบปากกาขึ้นมาวางบนเอกสารกองนั้น ก่อนจะกล่าวตอบ
   “คุณคิดว่าผมล้อเล่นหรือครับ?”
   ผู้ถูกถามหุบยิ้มในทันที
   “คุณชายครับ คุณคิดจะซื้อกิจการของผมด้วยเงินแค่สองล้านหรือครับ”
   “ผมไม่อยากให้คุณคิดแบบนั้นนะครับ คุณเจียง ผมแค่อยากให้คุณแสดงความภักดีต่อผม ผมอยากแน่ใจว่าคุณไม่ได้ร่วมมือกับริเวิลมาหลอกผม”
   “คุณไม่คิดว่ามันมากไปหน่อยหรือครับ” อีกฝ่ายย้อน เว่ยเฟิงปิงตอบอย่างใจเย็น
   “ไม่มากไปหรอกครับ คิดดูดีๆ นะครับ แค่คุณเซ็นต์เอกสารให้ผม ผมรับรองว่าคุณจะรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของกิจการทุกอย่างเหมือนเดิม ภาระขาดทุนของคุณผมจะจัดการให้ และจะคุ้มครองคุณจากกลุ่มริเวิลด้วย ผมว่าแค่นี้ก็เกินคุ้มแล้วนะครับ”
   “คุณชายเว่ย ผมขอแนะนำให้คุณคิดใหม่ ตอนนี้คุณอยู่บนเรือสำราญของผม กับลูกน้องแค่สองคน คุณไม่กลัวว่าผมจะทนไม่ไหวแล้วจัดการอะไรซักอย่างกับคุณหรือครับ”
   เว่ยเฟิงปิงยิ้มกว้างหลังจากฟังคำขู่จบ “กล้าขู่ผมหรือครับ เอาสิถ้าคุณอยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลเว่ย”
   “แหม คุณชายครับ คุณก็รู้ว่าผมไม่กล้า กรุณาเถอะนะครับ ข้อเสนอนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ” เจียงหลุนพยายามปรับเปลี่ยนท่าที เขารู้สึกว่ามีเหงื่อออกบนใบหน้ามากเป็นพิเศษ  แม้จะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยมามาก แต่ยังไม่เท่ากับการต้องมาเผชิญหน้าด้วยตัวเอง ใบหน้าเรียวยาวได้รูป ริมฝีปากบางเรียบ นัยน์ตาเรียวเล็กที่จ้องมาเหมือนพญางู รอยยิ้มและคำพูดกดดันนั้น ไม่ได้สร้างความสบายใจให้กับผู้พบเห็นเลย ชายผู้มีประสบการณ์ผ่านโลกมากว่าห้าสิบปี ยอมรับกับตัวเองว่า เขาเดาไม่ออกว่าเด็กหนุ่มคนนี้คิดอะไร ที่แน่ๆ มันต้องไม่มีผลดีกับเขา
   ตระกูลเว่ยนั้นเป็นตระกูลใหญ่ หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันชื่อเว่ยชิง มีอาณาเขตธุรกิจในบริเวณส่วนเหนือของเกาะฮ่องกง และเลยขึ้นไปถึงเกาลูนบางส่วน มีมูลค่าธุรกิจถึงหนึ่งในสี่ของธุรกิจในฮ่องกงทั้งหมด
   เว่ยชิงมีทายาททั้งหมดเก้าคน สองคนสุดท้ายเสียชีวิตไปตั้งแต่เจ็ดปีก่อน ดังนั้นตอนนี้จึงเหลืออยู่เพียงเจ็ดคน ประกอบด้วยบุตรสาวคนโต ซึ่งตอนนี้เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลหลี่ ชื่อว่าเจียหลินอายุราวๆ สี่สิบห้า บุตรชายคนโตเว่ยฟู่ฉิน เจ้าของธุรกิจส่งออกรายใหญ่วัยสี่สิบสองปี บุตรชายคนรองเว่ยจินหยิน มือขวาของเว่ยชิงในส่วนธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และท่าเรือ วัยสามสิบหกปี  บุตรสาวคนที่สี่เว่ยจินจิน เป็นอัยการของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง วัยสามสิบสองปี  บุตรชายคนที่ห้า เว่ยปิงเซียง  ซึ่งยังคงนอนเป็นเจ้าชายนิทราจากอุบัติเหตุรถยนต์ตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว  บุตรชายคนที่หกเว่ยซื่อหลิว ซึ่งกำลังเรียนต่อปริญญาโทอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และคนสุดท้อง เว่ยเฟิงปิง วัยยี่สิบสามปี ซึ่งกำลังนั่งเผชิญหน้ากับเขาอยู่ในตอนนี้
   เว่ยเฟิงปิงนั้นเคยถูกขับออกจากตระกูลเมื่อหกปีก่อน แต่ภายหลังจากนั้น ก็ถีบตัวเองขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับและกลับเข้ามาร่วมกลุ่มอีกครั้ง ความทะเยอทะยาน และความต้องการสร้างผลงานของเว่ยเฟิงปิงนั้นนอกไม่มีจุดประสงค์อื่น นอกจากโค่นคู่แข่งในตระกูลของเขา ซึ่งก็คือเว่ยจินหยิน การเรื่องการจัดสายลับนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง เจียงหลุนทราบดีว่าการแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตายของพี่น้องร่วมสายเลือดในตระกูลใหญ่นั้นเป็นเรื่องปกติ  ริเวิลต้องการจะฉวยโอกาสจากความทะเยอทะยานนี้ในการเข้าแทรกแซงตระกูลเว่ย ซึ่งการแทรกแซงผ่านทางเว่ยเฟิงปิงนั้นดูเหมือนจะง่ายดายกว่า เพราะยังเด็กและขาดประสบการณ์ แต่ตอนนี้เจียงหลุนกำลังคิดอยากให้ทางริเวิลมองเด็กหนุ่มคนนี้เสียใหม่
   เว่ยเฟิงปิงนั่งมองหน้าของคู่สนทนาอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เขาทราบดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ บนเรือสำราญนี้ มีแต่คนของเจียงหลุน และแน่นอนว่าต้องมีคนของริเวิลด้วย ถึงกระนั้นคุณชายเจ็ดก็ยังมั่นใจว่า ในการตกลงคราวนี้ทางฝ่ายเขาจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
   เจียงหลุนนั้นเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจกลางคืนมานาน บางทีอาจจะนานกว่าช่วงอายุของเขาด้วยซ้ำ มูลค่าธุรกิจของชายคนนี้นั้น รวมแล้วคงไม่ต่ำกว่าสิบล้านเหรียญฮ่องกง แต่เว่ยเฟิงปิงรู้มาว่าระยะหลังๆ นี้ ธุรกิจของเขาเกิดภาวะขาดทุนสะสม เนื่องจากมีผับและบาร์เปิดใหม่เยอะขึ้น ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่แย่ลง ถึงแม้ไม่มีเรื่องยิงกัน เจียงหลุนก็ประสบภาวะขาดทุนอยู่ดี ดังนั่น เว่ยเฟิงปิงจึงมองว่าเหตุยิงกันเป็นการจัดฉาก เพื่อล่อให้เขาเข้ามากินเหยื่อง่ายขึ้น
   เว่ยเฟิงปิงเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ มันบอกเวลาทุ่มสี่สิบ  เขาตัดสินใจจะทำให้การเจรจานี้สั้นลง
   “คุณเจียงครับ ผมพูดอย่างไม่ปิดบังเลยนะครับ ระยะหลังนี้ผมทราบมาว่าธุรกิจของคุณประสบกับภาวะขาดทุน ต่อให้ไม่มีเรื่องยิงกันที่สกาล่า คุณเองก็ยังขาดทุนอยู่ดี”
   “ครับ” เจียงหลุนพยักหน้ายอมรับในความจริงข้อนั้น ก่อนจะยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ
“ตัวผมเองก็กำลังมองหาเส้นทางธุรกิจใหม่ๆ อยู่เหมือนกัน ซึ่งข้อนี้คิดว่าทางริเวิลเองก็คงทราบ ดังนั้นแทนที่เขาจะให้ทุนกับคุณ เขาจึงเปลี่ยนให้คุณหันมาขอทุนกับผม โดยใช้ข้ออ้างเรื่องยิงกันมาเป็นเหตุ ทำให้ผมไม่สงสัยสินะครับ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย เจียงหลุนชะงักมือที่กำลังซับเหงื่อทันที ก่อนจะพยายามฝืนยิ้ม
   “คุณชายช่างจินตนาการจริงๆ นะครับ ผมยอมรับเรื่องที่ผมขาดทุนในช่วงก่อนหน้านี้ เรื่องยิงกันที่ผับนั้นทำให้ผมหมดความอดทน ผมจึงคิดที่จะหันมาพึ่งคุณ แต่คุณกลับหาข้ออ้างมาสงสัยผม คุณชอบซ้ำเติมคนอื่นขนาดนี้เลยหรือครับ” เจียงหลุนจบประโยคด้วยสายตาวิงวอน เว่ยเฟิงปิงหลับตาครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาสีฟ้าใสนั้น
   “คุณเจียงครับ ผมเชื่อว่าทางริเวิลคงไม่โง่ขนาดปล่อยให้มีคนมายิงกันในผับของคุณ ทั้งๆ ที่คุณเองก็ประสบภาวะขาดทุนอยู่แล้ว และคนในผับก็ไม่มากเท่าเก่า ผมจึงสงสัยว่าทำไมริเวิลถึงปล่อยให้มีเหตุยิงกัน และคำตอบก็อยู่ในนี้แล้ว”
   จางซื่อเยี่ยนหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าเอกสารที่เขาถืออยู่ ส่งให้กับเจ้านาย เว่ยเฟิงปิงหยิบรูปถ่ายออกมาสองรูป ชูให้เจียงหลุนดู
   “คนสองคนนี้ติดต่อกับคนในระดับเรฟของริเวิล หลังจากเกิดเหตุยิงกันที่ผับของคุณ  บอกผมสิครับว่าสองคนนี้ใช่คนที่ยิงกันรึเปล่า”
   เจียงหลุนกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ และพยายามฝืนยิ้มอีกครั้ง “คุณชายครับ ใครๆ ก็ติดต่อกับเรฟได้ ต่อให้เป็นคนของคุณก็เถอะ”
   “ครับ แต่ไม่ใช่คนที่มายิงกันในผับของคุณ” เว่ยเฟิงปิงชิงพูดตัดหน้า ก่อนจะแสยะยิ้ม “ถ้าคุณยังไม่ยอมรับ ผมยังมีเอกสารที่ถอดสำเนาออกมาจากเครื่องดักฟังที่ผมให้คนของผม แอบนำเข้าไปติดในห้องทำงานของคุณ คุณอยากจะอ่านมันหรือเปล่าครับ หรืออยากให้ผมเปิดมันให้ฟัง”
   เจียงหลุนหน้าซีดเผือด  ก่อนจะกวักมือเรียกลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้ามากระซิบสั่งความ จางซื่อเยี่ยนค่อยๆ สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แต่ถูกผู้เป็นเจ้านายสะกิดไว้
   “คุณชายเว่ยครับ เกรงว่าผมอาจจะต้องเชิญคุณกลับเสียแล้วล่ะครับ ผมไม่อาจรับข้อเสนอของคุณได้” เจียงหลุนกล่าว  เว่ยเฟิงปิงเหลือบตาขึ้นมอง ขณะที่จางซื่อเยี่ยนก้มลงเก็บกระเป๋าเอกสาร
   “คุณคงเข้าใจอะไรผิดนะครับ ผมไม่ได้มายื่นข้อเสนอให้คุณ แต่ผมมารับข้อเสนอของคุณ ข้อเสนอที่คุณจะเข้าร่วมกับผม”
   “คุณชายเว่ย ผมเองไม่อยากเป็นศัตรูกับตระกูลของคุณ และคุณเองก็คงไม่อยากจะมาเจ็บตัวที่นี่ กรุณากลับไปเสียเถอะครับ อย่าให้ผมต้องออกแรง” อีกฝ่ายเริ่มมีท่าทีแข็งกร้าว แต่เว่ยเฟิงปิงกลับหัวเราะชอบใจ
   “ถ้าคุณไม่อยากเป็นศัตรูกับผม ก็กรุณาเซ็นต์เอกสารเถอะครับ ผมเองก็ไม่อยากจะใช้ความรุนแรง”
   “คุณชายเว่ย คุณพูดไม่รู้เรื่องเองนะ” เจียงหลุนลุกพร่วดขึ้น ชักปืนออกมาจากเอว พร้อมกันกับลูกน้องซึ่งอยู่ด้านหลัง
   “โอ๊ย!!” เสียงร้องดังขึ้น แววตาสีฟ้าไม่มีแม้แต่จะกระพริบ เมื่อเส้นลวดบางเล็กพันเข้ากับนิ้วมือที่กุมไกปืนอยู่  ขณะเดียวกับที่ชายสองคนซึ่งถือปืนเล็งเข้ามาล้มลงกับพื้น
“อย่าคิดจะเรียกใครช่วยดีกว่าครับ” เว่ยเฟิงปิงพูดดักคอ เจียงหลุนหน้าซีด เลือดไหลซึมออกมาตามเส้นลวด  ชายฉกรรจ์ในชุดประดาน้ำสีดำห้าคน เดินเข้ามาสมทบจากทางด้านหลัง หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มที่เอาเอกสารตอบกลับมาให้เขาในตอนบ่าย
“ตกใจหรือครับ คิดจริงๆ หรือครับว่าผมจะมาหาคุณโดยไม่เตรียมการอะไรเลย” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยตอบเหมือนรู้ใจ
   “คุณทำอะไรกับคนของผม?” เจียงหลุนเอ่ยถามด้วยความตระหนก ลูกน้องเขาประจำการอยู่เต็มลำเรือ แม้จะกระจัดกระจาย แต่ไม่น่าจะปล่อยให้คนพวกนี้ขึ้นมาบนเรือง่ายๆ
   ริมฝีปากบางปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ “คุณเจียงครับ ถึงผมไม่ได้คุมหน่วยดำอย่างพี่ชายของผม แต่คนของผมก็ไม่ได้ฝีมือห่วยอย่างที่พวกคุณประเมินหรอกนะครับ อย่าห่วงไปเลย ผมยังไม่ฆ่าคุณและคนที่เหลือตอนนี้หรอกครับ แต่อาจจะเปลี่ยนใจขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ อยู่กับคุณนะครับ จะเซ็นต์เอกสารให้ผม หรือว่าจะลงไปนอนเล่นในอ่าวฮ่องกงดี?”
   อาเง็กยื่นมือเข้าไปรับปืน ก่อนที่จางซื่อเยี่ยนจะคลายเส้นลวดออก  เจียงหลุนจับปากกาด้วยมือที่สั่นเทา
   “ดีครับ  ขอบคุณมากครับคุณเจียง  ผมจะปล่อยให้คุณกับลูกน้องดำเนินการในธุรกิจต่อไปได้เหมือนเดิม ตราบใดที่คุณยังแสดงทีท่าว่ายังภักดีต่อผม แต่ก่อนหน้านั้นผมต้องยืมมือคุณต่ออีกหน่อย  ผมทราบว่ามีคนของริเวิลมากับคุณด้วย  อยากให้คุณบอกผมว่าเป็นใครบ้าง?”
   นัยน์ตาสีฟ้าจ้องเข้าไปในดวงตาที่หวาดกลัวของอีกฝ่าย
   “บอกผมตามความจริงนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะฆ่าให้หมดทุกคน
   นัยน์ตาของเจียงหลุนสั่นระริก
--------------------------------------------
   ยิ่งดึกบ่อนยิ่งคึกคัก ทั้งนักพนันและนักเที่ยวต่างยืนเกาะกลุ่มกันตามโต๊ะต่างๆ แต่มีอยู่โต๊ะหนึ่งเท่านั้นที่ดูจะเงียบผิดปกติ
   “คุณโจวครับ เพื่อนคุณเล่นไพ่เก่งจัง” แดเนียลเดินเข้ามากระซิบกับโจวยี่ซึ่งกำลังนั่งดื่มกับแขกคนหนึ่งอยู่ที่บาร์
   “ไปดูมาล่ะหรือ?” ผู้ถูกกระซิบกล่าวถาม เด็กหนุ่มพยักหน้า พลางหยิบขวดเครื่องดื่มที่วางอยู่มารินเติมให้
   “อย่าเผลอไปหลงเสน่ห์มันเข้าล่ะ ฉันเห็นใครยุ่งกับหมอนั่นมีอันต้องน้ำตาตกในทุกราย”
   “แหม พูดเหมือนเคยโดนเองเลยนะครับ”
   โจวยี่ทำหน้าเหย  แดเนียลรีบหัวเราะ “ล้อเล่นหรอกครับ คุณอย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ มันดูไม่เหมือนคุณเลย”
   ผู้ถูกทักจึงหันไปยกแก้วมาดื่มอีกรอบ ก่อนจะมองไปยังเพื่อนเจ้าปัญหา
   “ฉันบอกให้หมอนั่นไปช่วยเป็นเจ้ามือ ไม่ใช่ให้ไปเล่นเองแบบนั้น”
   “แต่เขาก็คืนเงินให้นี่ครับ”
   “คืนให้ตรงไหนล่ะ?” โจวยี่ทำหน้ายู่ยี่ แดเนียลนึกขำในใจ
   “งั้นผมไปบอกให้นะ”
   โจวยี่ทำท่าจะห้าม แต่เสียงเรียกจากลูกค้าเก่าแก่ที่เป็นเพื่อนดื่มซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ดึงความสนใจเขาไว้เสียก่อน

   รูฟัสวางไพ่ในมือแล้วหาววอด ความจริงการเล่นไพ่ในบ่อนนั้นท้าทายกว่าการเล่นกันเองกับราฟาแอลที่บ้าน แต่เมื่อไม่มีคนให้แกล้งมันก็ไม่สนุก และเขาเองก็ไม่ได้มีอารมณ์อยากเล่นนัก  หนุ่มตาสองสีใช้มือเขี่ยชิพที่เพิ่งได้เข้ามาในกองอย่างหน่ายๆ เขากำลังคิดว่ารอบหน้าจะลองเล่นให้เสียดูสักรอบ แต่แล้วเสียงเสียงหนึ่งก็หยุดเขาไว้
“คุณโจวอยากให้คุณเป็นเจ้ามือนะครับ ไม่ใช่ให้มาเล่นเอง”
รูฟัสหันไปมองเจ้าของเสียง พบว่าเป็นเด็กของโจวยี่ที่เขาพบเมื่อวันก่อน
“เขาบอกเธอมาแบบนั้นหรือ  ช่างมันเถอะ ฉันกำลังจะเลิกอยู่พอดี” พูดจบก็ลุกพรวดขึ้น ก่อนจะยกชิพของตัวให้กับคนที่อยู่ในวงคนละเท่าๆ กัน  แดเนียลมองการกระทำของรูฟัสแล้วนึกเห็นด้วยกับคำพูดของโจวยี่
คนคนนี้ได้แล้วไม่คืนจริงๆ
--------------------------------------------------
อากาศภายนอกอาคารนั้นร้อนกว่าในห้องโถงซึ่งติดเครื่องปรับอากาศมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็นับว่าร้อนน้อยกว่ากรุงเทพฯ นัยน์ตาสองสีเหม่อมองไปยังอ่าวฮ่องกงซึ่งอยู่ไกลออกไปพอสมควร พลางนึกว่าคงเป็นเพราะทะเลแน่ๆ ที่ทำให้ที่นี่อากาศเย็นกว่า สำหรับคนที่เกิดและโตในเมืองหนาวแบบเขา ความอบอุ่นนั้นถือเป็นสิ่งหายาก สมัยเด็กๆ รูฟัสเคยนั่งจ้องมองหิมะที่ตกลงมาจนหลับ ตื่นมาก็พบว่าตัวเองถูกอุ้มไปนอนบนเตียงและมีผ้าห่มให้เรียบร้อย ขณะที่น้องสาวกำลังเล่นจิ้มจมูกเขาอยู่ ในตอนนั้นต่อให้หิมะตกทั้งปี เขาก็ยังรู้สึกว่ามันอบอุ่น  แต่ตอนนี้
เขายืนอยู่อย่างเดียวดายในประเทศที่อากาศร้อนอบอ้าว ถึงอย่างนั้นมันกลับหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
ร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ” ผู้ที่เปิดประตูออกมาจากห้องโถงคือแดเนียล รูฟัสมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“เปล่า ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก ฉันไม่ได้อยากเล่นเท่าไร”
นี่ขนาดไม่ได้อยากเล่นนะ แดเนียลนึกประชดในใจ ก่อนจะเดินมายืนข้างๆ
“ชอบฮ่องกงหรือเปล่าครับ?”
รูฟัสขมวดคิ้ว “เธอน่าจะกลับเข้าไปในบ่อนนะ ที่นี่ร้อนและอีกอย่างพี่ยี่คงรอเธออยู่”
“พูดจาเย็นชาจังเลยนะครับ” แดเนียลกล่าว พลางยิ้มให้คู่สนทนา
“คุณโจวติดแขกอยู่นะครับ และอีกอย่างผมอยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว”
“ฉันว่าเธออย่าคุยกับฉันเลยจะดีกว่า” รูฟัสพูดจาตัดบท เขาไม่อยากพบความยุ่งยากอีกเป็นรอบที่สอง
“ผมไม่ได้จะมาจีบคุณหรอก” แดเนียลพูดเหมือนรู้ว่าคู่สนทนาคิดอะไร รูฟัสหันมามองหน้าเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“ผมอยากคุยกับคุณเรื่องคุณโจว คุณเป็นเพื่อนเก่าเขาสินะครับ” แดเนียลถามต่อ รูฟัสพยักหน้า เด็กคนนี้พูดจาตรงไปตรงมามากกว่าที่เขาคิด
“ผมเพิ่งคบกับคุณโจวได้ประมาณสามเดือน เขาเป็นคนดีครับ”
“เธอชอบเขาหรือเปล่า?” รูฟัสถาม  แดเนียลพยักหน้า “ครับ ผมชอบเขามาก”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็อย่ามายุ่งกับฉันเลยดีกว่า”
“ทำไมล่ะครับ?” เด็กหนุ่มถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ นัยน์ตาสองสีคู่นั้นหันมามองก่อนจะตอบช้าๆ “เพราะฉันเป็นผู้ชายที่แย่งคนรักไปจากเขาเมื่อหกปีก่อนน่ะสิ”
แววตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดก็ถอนหายใจ
“เป็นคุณจริงๆ ด้วยสินะครับ อย่างนั้นผมยิ่งต้องคุย”
ผู้ฟังขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ  แดเนียลพูดต่อ “ผมรู้มาว่าคุณโจวเคยมีคนรัก และเลิกกันไปแล้ว ตอนนี้ผมเป็นคนใหม่ แต่ผมรู้สึกนะครับว่าเขายังคงคิดถึงคนคนนั้นอยู่”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแสดงความเจ็บปวดเล็กๆ “เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
----------------------------------
   แม้จะดึกมากแล้ว แต่ฟ่งยังคงนอนไม่หลับ ร่างบางนอนลืมตาอย่างเหม่อลอย ความคิดฟุ้งซ่านกระจายอยู่ในหัว มากจนไม่อยากจะหยิบเอามาเป็นประเด็นสาระ เขารู้สึกหมดที่พึ่ง ฟ่งอยากจะหลับตาแล้วตื่นมาพบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝัน แต่เมื่อตื่นแล้ว เขายังอยากให้รูฟัสเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาหรือเปล่า?
   ฟ่งตอบตัวเองไม่ได้
   เรื่องที่รูฟัสทำกับเขา จะว่าไปก็ไม่ได้เรื่องเลวร้าย ผู้ชายคนนั้นอยู่เป็นเพื่อนเขา ในช่วงเวลาอ่อนไหวที่สุด มันคงจะดีกว่าถ้ารูฟัสเป็นอย่างที่พูดกับเขาเอาไว้ตอนแรก เป็นแค่คนต่างชาติที่เข้ามาหากินในเมืองไทยแบบธรรมดาๆ คนหนึ่ง
   แต่รูฟัสไม่ได้พูดความจริงกับเขา
   กับคนที่ทำอาชีพไม่สุจริตแบบนี้ คงไม่แปลกถ้าจะโกหก แต่ทำไมถึงต้องมาหลอกเขาด้วย
   ฟ่งคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ เขามีความลับหรือความสำคัญอะไรให้รูฟัสอยากเข้าใกล้ แต่ที่สำคัญ เขารู้ตัวว่าคงไม่อาจกลับไปเชื่อใจผู้ชายคนนั้นได้เหมือนเก่าอีกแล้ว
   ในระหว่างที่ตกอยู่ในห้วงความคิด ประตูห้องก็ถูกเปิดแง้มออก ฟ่งไม่อยากจะสนใจผู้ที่เข้ามามากนัก บางทีเว่ยเฟิงปิงอาจจะแวะเข้ามาดูความเรียบร้อย ชายหนุ่มขยับตัวซุกหน้ากับหมอนด้วยความรำคาญ สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงทำกับเขาในตอนเย็นนั้นไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก แต่ในตอนนั้นเขารู้สึกหมดสิ้นทุกอย่างจนปล่อยตัวเองไปตามความต้องการของอีกฝ่าย  ฟ่งรู้ว่านั่นเป็นเรื่องอันตราย แต่เขารู้ตัวว่าความอดทนและกำลังใจของเขากำลังจะหมดลง
   ฟ่งได้กลิ่นคล้ายๆ น้ำมันขณะที่มือข้างหนึ่งเลิกผ้าห่มออก ร่างบางหันหน้ามามองผู้ที่เข้ามาด้วยความเบื่อหน่าย แต่แล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลก็พลันเบิ่งกว้าง  เมื่อริมฝีปากผู้ที่มาเยือนนั้นกดลงมาบนริมฝีปากของเขา พร้อมกับน้ำหนักร่างที่โถมลงมา
   ฟ่งพยายามขัดขืน เขารู้สึกตกใจเมื่อพบว่าผู้ที่กำลังกระทำการอยู่นี้ไม่ใช่เว่ยเฟิงปิง  แต่เป็นใครอีกคนที่ตัวใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า  ปอยผมที่ร่วงลงมาปรกหน้าทำให้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้
   จางซื่อเยี่ยน!!!
------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #41 เมื่อ23-05-2011 21:59:44 »

บทที่17 แผนการ
   รถซีดานสีดำสนิท แล่นผ่านผิวซีเมนต์ขัดหยาบเข้ามาในลานจอดรถของอาคาร Le mirior ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสำนักงานและเป็นที่พำนับของคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ย ผู้มีนามว่าเว่ยเฟิงปิง
   แม้จะเป็นเวลากว่าเที่ยงคืนไปแล้ว แต่พนักงานของตึก Le mirior ยังคงยืนรอการกลับมาของเจ้านายอย่างแข็งขัน เว่ยเฟิงปิงก้าวลงมาจากรถโดยยังคงท่าทีอันสง่างามเช่นเคย โดยมีจางซื่อเยี่ยน ก้าวตามออกมาติดๆ  ร่างเพรียวเดินผ่านหน้าชายฉกรรจ์ซึ่งลงมาให้การอารักขาบริเวณทางเข้าตึก ก่อนจะหันกลับมามองดูผู้ติดตามซึ่งทยอยลงจากรถมาทีละคน
   “ฉันต้องขอขอบใจพวกเธอทุกคนมาก งานวันนี้สำเร็จไปได้ด้วยดีเพราะพวกเธอทั้งหมด ฉันอนุญาตให้พวกเธอไปพักผ่อนสองวัน”
   “ขอบคุณครับ” ทั้งหมดรับคำพร้อมกัน เว่ยเฟิงปิงมองดูลูกน้องของตนอีกครั้งหนึ่งด้วยความพอใจ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในตัวอาคาร
   จางซื่อเยี่ยนเดินตามเจ้านายของเขาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องทำงานส่วนตัว เว่ยเฟิงปิงไขกุญแจเข้าไปในห้อง ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดสวิตโคมไฟตั้งโต๊ะ แสงสีแดงของหลอดทังสเตนส่องย้อมห้องจนกลายเป็นสีส้มแก่ 
   “นายไปพักผ่อนได้ แล้วช่วยแจ้งสมาชิกคนอื่นๆ ด้วยว่า พรุ่งนี้ฉันจะเรียกประชุมเรื่องการขยายเขตธุรกิจ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว หลังจากที่รับกระเป๋าใส่เอกสารซึ่งทำด้วยหนังขัดจนมันปลาบ แต่ลูกน้องของเขายังคงยืนนิ่ง  ผู้เป็นเจ้านายถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
   “ฉันจะไม่บอกคุณพ่อเรื่องความผิดพลาดของนายในวันนี้”
   ดูเหมือนนัยน์ตาสีอีกาของจางซื่อเยี่ยนสั่นไหวเล็กน้อย เว่ยเฟิงปิงตวัดสายตาขึ้นมองลูกน้องของเขาอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวต่อ “อย่าเข้าใจผิดล่ะ ฉันแค่ไม่อยากให้คุณพ่อรู้ว่าเด็กที่เก็บมาเลี้ยงจะงี่เง่าถึงขนาดลืมล็อกประตูห้องขัง”
   จางซื่อเยี่ยนหลุบนัยน์ตาลงต่ำ เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องน่าทุเรศ และเว่ยชิงเองก็คงไม่รู้สึกยินดีแน่ๆ หากรู้เรื่องนี้เข้า เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจอีกครั้งเมื่อผู้เป็นลูกน้องยังคงยืนเงียบ ร่างบางเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะ ใส่กระเป๋าเอกสารลงไป ก่อนจะล็อกกุญแจเสียงดังแกร่ก
   “ฉันจะไปที่ห้อง” เว่ยเฟิงปิงกล่าวเมื่อเห็นว่าลูกน้องยังคงยืนนิ่ง ขณะก้าวผ่านหน้าจางซื่อเยี่ยนไปยังประตู แต่แล้วมือข้างหนึ่งกลับถูกฉุดเอาไว้ นัยน์ตาสีฟ้าใสหันไปมองลูกน้องด้วยความแปลกใจ
   “มีอะไร?” ร่างบางถาม ดูเหมือนว่าจางซื่อเยี่ยนเองจะมีสีหน้าแปลกไป
   “คือ ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้คุณชายต้องการจะใช้ห้องประชุมที่ปีกซ้าย หรือจะประชุมที่ห้องประชุมใหญ่ครับ”
   คำถามนั้นทำให้เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจมากเข้าไปอีก   “ก็ใช้ห้องประชุมใหญ่สิ ห้องประชุมที่ปีกซ้ายจะไปใช้ทำไม”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนรับคำ แต่ยังคงไม่ปล่อยมือที่จับเอาไว้ เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่าวันนี้ลูกน้องของเขาดูไม่ปกติเอาเสียเลย
   “ซื่อเยี่ยน นายเป็นอะไร?”
ร่างสูงโปร่งได้แต่ยืนนิ่ง นัยน์ตาสีอีกาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใสคู่นั้นราวกับจะงมหาอะไรซักอย่าง ชั่วขณะหนึ่งเว่ยเฟิงปิงรู้สึกว่าจางซื่อเยี่ยนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนเกือบจะเรียกว่าคุกคาม ร่างบางเผลอผงะก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
   “คุณชาย....” จางซื่อเยี่ยนพูดออกมาเหมือนละเมอ นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววแห่งความไม่พอใจเล็กน้อย
“ถอยออกไป ซื่อเยี่ยน แล้วก็ปล่อยมือด้วย ฉันไม่ชอบให้ใครมาถูกตัว”
ผู้เป็นนายกล่าวเสียงเครียด ทำเอาลูกน้องได้สติ นัยน์ตาสีอีกาไหววูบ รีบชักมือกลับไปอย่างรวดเร็ว  เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วก่อนจะก้าวออกไปจากห้อง โดยไม่กล่าวอะไรอีก
   ท่าทางวันนี้เครื่องยนต์ของจางซื่อเยี่ยนจะขัดข้องจริงๆ
-------------------
   หัวใจของจางซื่อเยี่ยนเต้นระส่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าเว่ยเฟิงปิงจะออกไปจากห้องนานแล้ว แต่สัมผัสของมือเรียวยาวข้างนั้นยังคงตกค้างอยู่ในจิตสำนึก
   จางซื่อเยี่ยนไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เขาจะกล้าทำแบบนั้น
   ร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากห้องของผู้เป็นนายโดยไม่ลืมที่จะล็อกประตูห้อง ชายหนุ่มเดินกลับมาตามทางเดินพร้อมกับความคิดที่ว่าบางทีตัวเองอาจจะผิดปกติ
   ในสถานการณ์ที่ทุกคนอยู่ในภาวะตรึงเครียดระหว่างการเจรจานั้น ความสนใจของเขากลับพุ่งไปยังผู้เป็นเจ้านายซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้า ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องขังเชลยทำให้จางซื่อเยี่ยนไม่อาจจะมีสมาธิกับการเจรจาได้ เมื่อเว่ยเฟิงปิงยังคงอยู่ในระยะมองเห็น
   เพลิงปรารถนาก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ แต่รุนแรงภายในจิตใจ จางซื่อเยี่ยนไม่อาจจะหยุดความคิดแสนน่ารังเกียจที่ทวีขึ้นมาได้  เขาอยากที่จะกอดเว่ยเฟิงปิง อยากจะกดร่างบอบบางนั้นลงไปบนเตียง ปรนเปรอความรักและประทับความเป็นเจ้าของลงบนร่างนั้น
   แต่นั่นเป็นบุตรชายของผู้มีพระคุณ และเป็นเจ้านายของเขา
   ด้วยฐานะที่ไม่อาจเอื้อมถึง ยิ่งทำให้จางซื่อเยี่ยนรู้สึกอึดอัดและสับสน เมื่อครู่เขาคิดที่จะคุกคามผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า อยากที่จะลิ้มรสริมฝีปากบางที่เฝ้าฝันหามานานหลายปี  ทั้งๆ ที่พยายามอดทนกับความรู้สึกนั้นอย่างเต็มที่ แต่แล้วสุดท้ายเขาก็เผลอแสดงมันออกไปจนได้
   ความเงียบสงัดภายในตัวตึก ไม่ได้ช่วยทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นสงบลงไปด้วยเลย ตรงกันข้าม ดูเหมือนจะทำให้ความคิดยิ่งฟุ้งซ่านขึ้นเรื่อยๆ จางซื่อเยี่ยนพยายามมีสมาธิอยู่กับการเดินตรวจรอบตึกเป็นหนสุดท้าย แต่แล้วความอดทนนั้นก็หมดลง เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านบานประตูสีขาว
   ภาพเหตุการณ์ในช่วงหัวค่ำปรากฏเข้ามาในหัวอย่างแจ่มชัด ภาพที่ทำให้จางซื่อเยี่ยนแทบคุ้มคลั่ง
   สีหน้าและร่างกายของเว่ยเฟิงปิงที่เต็มไปด้วยเพลิงปรารถนา อดีตหน่วยดำกลืนน้ำลาย  เขาไม่รู้ว่าทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้มีอาการแบบนั้น  แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ความความอึดอัดที่มีอยู่ภายในร่างกายอัดแน่นจนแทบจะทะลักออกมา
   บานประตูสีขาวถูกเปิดออก
   ความรู้สึกอึดอัดนี้จำเป็นต้องระบายออก
-----------------------------------
   สายลมอ่อนๆ ยามดึก พัดมากระทบใบหน้า รูฟัสหันไปพิจารณาเด็กหนุ่มที่กำลังมองมาทางเขาด้วยความสนใจ ปอยผมสีทองถูกลมพัดไล้ไปตามใบหน้ารูปไข่ที่ดูน่ารัก เด็กคนนี้คงเป็นลูกครึ่งอังกฤษ  ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเกาะฮ่องกงเคยอยู่ในอาณัติของประเทศอังกฤษมาก่อน
   แดเนียลคลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เมื่อรูฟัสเล่าเรื่องราวจบ
   “เพราะงี้นี่เอง คุณถึงเย็นชากับผม”
   รูฟัสเลิกคิ้ว “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
   “คุณกลัวว่าผมจะมายุ่งกับคุณ แล้วทำให้คุณกับคุณโจวผิดใจกันอีก?”
   รูฟัสไม่ตอบคำถามเด็กหนุ่ม นัยน์ตาสองสีหลุบต่ำลง แดเนียลถอนหายใจอีกครั้ง
   “คุณวางใจเถอะครับ ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก ผมชอบคุณโจว และไม่คิดจะไปชอบคนอื่นด้วย”
   คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาที่อยู่ตรงหน้า  จริงอยู่ที่แดเนียลมีหลายอย่างที่คล้ายหยุนหมิง แต่ในด้านคำพูดนั้น รูฟัสยอมรับว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนตรงไปตรงมาและกล้าพูดอะไรมากกว่าที่เขาคิด
   “ฉันดีใจที่เธอคิดแบบนั้น แล้วพี่ยี่บอกรักเธอหรือเปล่า?”
   แดเนียลส่ายศีรษะ สร้างความแปลกใจให้กับผู้ถามอยู่ไม่น้อย
   “ไม่หรอกครับ ผมเองก็ยังไม่เคยบอกคุณโจวเลยสักครั้ง”
   “ทำไมล่ะ?” ชายหนุ่มชาวต่างชาติถามด้วยความสงสัย
   “ผมไม่มีโอกาสได้พูดหรอกครับ  ผมเจอคุณโจวครั้งแรกที่ผับในเกาลูน เหมือนเขาจะสนใจผม หลังจากนั้นเราก็ติดต่อกันมาเรื่อยๆ แต่ผมรู้สึกเหมือนคุณโจวไม่ได้สนใจผม เหมือนเขาจะสนใจที่ผมเหมือนใครบางคนมากกว่า ทั้งๆ ที่ผมชอบเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแท้ๆ”
   เสียงท้ายประโยคเหมือนจะตัดพ้ออยู่เล็กๆ  รูฟัสยิ้มแห้งๆ ชายหนุ่มตัดสินใจว่าาไม่ควรจะพูดเรื่องที่ว่าแดเนียลมีส่วนคล้ายกับหยุนหมิง
   “ถ้าเธอชอบพี่ยี่ เธอก็ควรจะบอกเขาไปเลย การที่พี่ยี่มองเธอแบบนั้น ทำให้เธออยากรู้อดีตของเขา แต่ฉันคิดว่าอดีตนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอเป็นคนปัจจุบัน ทำไมเธอไม่แสดงให้เขาเห็นล่ะ ว่าเธอเห็นความสำคัญของเขาแค่ไหน”
   “อา..” นัยน์ตาสีเขียวเบิ่งกว้าง ก่อนจะยิ้มอย่างดีใจ
   “นั่นสินะครับ ผมน่าจะบอกเขาเสียแต่แรก ไม่น่าเสียเวลามาคิดเล็กคิดน้อยอยู่เลย ขอบคุณมากนะครับ คุณรูฟัส” ร่างบางกล่าว ก่อนจะผลุนผลันกลับเข้าไปในโถง  ชายหนุ่มมองตามพลางถอนหายใจ
   ถ้าฟ่งบอกรักเขาบ้างก็คงดี
   รสจูบที่หอมหวานในครั้งที่ฟ่งทำท่าทางเหมือนจะบอกรักเขาในครั้งอดีตผุดขึ้นมาอย่างแจ่มชัดในความทรงจำ  รูฟัสเผลอเอามือแตะริมฝีปากอย่างลืมตัว ก่อนจะกำแน่น คำพูดที่ได้ยินทางโทรศัพท์จากเว่ยเฟิงปิงเมื่อกลางวันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
   ฟ่งจะหวาดกลัวเขาหรือเปล่า....
   จะยังมองเขาเหมือนเดิมอีกไหม....
   แม้ว่าจะทำใจไว้แล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ รูฟัสเองก็อดหวั่นไหวไม่ได้อยู่ดี
---------------------------
   ภายในห้องขนากกลางที่ถูกจัดให้เป็นห้องนอนส่วนตัว แสงไฟสลัวจากโคมไฟบริเวณบริเวณโต๊ะข้างเตียงนอนไม้มะค่าฉลุลายจิตรกรรมจีนอย่างสวยงาม ย้อมสีของผนังบุวอลเปเปอร์จนกลายเป็นสีเหลืองอ่อนๆ บุรุษหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำ โดยมีเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวคลุมไว้หลวมๆ
   แม้ว่าการตกลงเรื่องธุรกิจวันนี้จะสำเร็จลงด้วยดี ถึงอย่างนั้นคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ย กลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ร่างบางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมจนแห้ง ก่อนจะแขวนมันไว้ตรงราวไม้ที่วางอยู่มุมห้อง การที่ริเวิลเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนั้นทำให้เขารู้สึกวิตก เนื่องจากตอนนี้ผู้ชายที่ฝ่ายนั้นต้องการตัวมากกำลังถูกเขาบีบให้ปรากฏตัว  นิ้วเรียวยาวเอื้อไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนแพรสีม่วงอ่อนมาสวมใส่
   เว่ยเฟิงปิงทราบว่ารูฟัสเคยเข้าไปแฝงตัวเข้าอยู่ในริเวิลสองครั้ง ซึ่งครั้งที่สองนี้เอง ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีได้สร้างรอยแค้นฝังลึกด้วยการฆ่าปิดปากไฮท์คนสำคัญคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าเฮโรอีนข้ามชาติ และขโมยข้อมูลลับเกี่ยวกับเส้นทางการลำเลียงยาบางส่วนไป  ซึ่งสุดท้ายข้อมูลนั้นไปโผล่อยู่ในสกอตแลนยาร์ตของประเทศอังกฤษ ส่งผลให้ริเวิลถูกกวาดล้างและถูกจับตามองอย่างหนัก จนต้องล้มเลิกธุรกิจในส่วนนี้ไปช่วงหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง การเคลื่อนไหวของริเวิลโดยมีเจียงหลุนเป็นตัวล่อจึงไม่อาจจะมองข้ามไปได้
   ชายหนุ่มผู้มีผมสีดำสนิทติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้าย ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำไปแขวนไว้บนราวไม้ข้างผ้าขนหนู  เว่ยเฟิงปิงเชื่อว่ารูฟัสไม่ได้ขายข้อมูลลับที่เขาขโมยมาได้ให้กับรัฐบาลอังกฤษทั้งหมด พวกสายลับมักจะโจรกรรมข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่มากได้ ตราบที่โอกาสอำนวย โดยสรุปคือเขาเชื่อว่ารูฟัสรู้มากกว่าที่ควรจะรู้ เนื่องจากข้อมูลลับเหล่านี้สามารถสร้างรายได้อย่างงามให้กับพวกสายลับ ไม่ว่าจะนำไปขายต่อ หรือใช้เป็นข้อต่อรอง จึงไม่น่าแปลกที่พวกสายลับมักจะไม่มีค่าหัว เพราะผู้ที่โดนโจรกรรมข้อมูลไม่ต้องการให้สายลับเหล่านั้นถูกจับได้ เพราะข้อมูลลับของตนอาจจะรั่วไหล  จึงทำให้การตามล่าพวกสายลับเป็นเรื่องยุ่งยากเสมอมา ไม่ใช่แต่ตระกูลเว่ยของเขาเท่านั้น พวกริเวิลเองก็คงรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่รูฟัสขโมยออกไปจากตระกูลของเขาเมื่อหกปีก่อน ยังคงถูกเผยแพร่ออกไปไม่หมด
   งานนี้จึงเดิมพันที่ว่าใครจะเป็นฝ่ายได้ตัวผู้ชายคนนั้นก่อน
   เป็นเวลากว่าอาทิตย์แล้วที่เขาพยายามจะบีบคั้นให้รูฟัสปรากฏตัวออกมา ด้วยการจับตัวประกัน และมันก็ได้ผล การมีเรื่องริเวิลเข้ามาแทรกในตอนนี้จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจ เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าริเวิลจะต้องเคลื่อนไหวแน่หากรูฟัสปรากฏตัว แต่เขามั่นใจว่ารูฟัสคงไม่ติดต่อกับริเวิล เพราะเสี่ยงต่อการรับศึกสองด้าน  ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรจะวางใจมากนัก บางทีชายคนนั้นอาจจะวางแผนตลบหลังเขาอยู่ก็ได้  ดังนั้นเขาจะต้องวางแผนจัดการเรื่องนี้อย่างรัดกุม ในการพบกันอีกสองวันข้างหน้า
   ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่วางอยู่ข้างเตียง มันบอกเวลาห้าทุ่มเศษ  ร่างบางเดินตรงไปยังเตียงนอน หย่อนกายลงไปช้าๆ  สภาพเตียงนอนที่ว่างเปล่าทำให้เขานึกถึงเรื่องเมื่อตอนหัวค่ำ
   ทำไมเขาถึงให้ฟ่งสัญญาแบบนั้น
   ในตอนแรกเว่ยเฟิงปิงยอมรับว่าเขารู้สึกไม่พอใจชายหนุ่มที่ชื่อฟ่งอยู่มาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเพราะชายคนนี้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบุคคลที่เขาปรารถนาและใฝ่ฝันจะแนบชิดมาโดยตลอด ที่จูบบนเครื่องบินเพียงเพราะต้องการให้ชายคนนี้เป็นตัวแทนไม่ใช่หรอกหรือ  แต่เมื่อยิ่งได้รู้จัก ยิ่งได้สัมผัสชายที่ชื่อฟ่งมากขึ้นเพียงไร กลับทำให้รู้สึกว่าชายคนนี้น่าสงสาร  และมีหลายส่วนน่าประทับใจ
   ความอ่อนโยนที่ฟ่งแสดงออกกับเขาในวันที่ถูกพาตัวมาอยู่เป็นเพื่อนนั้น เรียบง่ายและใสซื่อเสียจนทำให้หวั่นไหว เพราะเว่ยเฟิงปิงไม่ค่อยได้พบเห็นการกระทำที่จริงใจแบบนี้เท่าไรนัก ความริษยาที่มีอยู่เดิมจึงแปรเปลี่ยนเป็นการแย่งชิง ฟ่งนั้นดีเกินไปสำหรับรูฟัส และในเมื่อรูฟัสเคยทอดทิ้งเขา เขาจะทำให้รูฟัสเข้าใจถึงความรู้สึกนั้นบ้าง
   เขาจะทำให้ฟ่งลืมผู้ชายตาสองสีคนนั้นให้ได้
   ร่างบางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง สัมผัสเมื่อตอนหัวค่ำหวนกลับมาวนเวียนอยู่ในสมอง ร่างกายที่อ่อนระทวยด้วยความสิ้นหวัง และทีท่าที่โอนอ่อนนั้นกระตุ้นความรู้สึกให้อยากคุกคาม
   เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง เปิดประตูออกไปจากห้อง
-----------------------------------
   นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งกว้างด้วยความตระหนก ขณะที่ภายในช่องปากถูกรุกรานอย่างก้าวร้าวและรุนแรง ร่างบางพยายามจะดิ้นรน แต่แขนทั้งสองข้างกลับถูกรวบกดไว้เหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียว  ฟ่งคิดว่าตัวเองกำลังจะโดนข่มขืน เมื่อกางเกงที่สวมอยู่ถูกดึงลงต่ำจนเผยให้เห็นส่วนสงวนที่อยู่ตรงหว่างขา  ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีการริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง ร่างกายทุกส่วนแทบจะถูกตรึงแน่นลงกับเตียง
   “!” จางซื่อเยี่ยนผงะใบหน้าขึ้น บริเวณมุมปากปรากฏรอยเลือดสีแดงไหลซึมออกมา  การคร่ากุมหยุดชะงักไปพักหนึ่ง ฟ่งหอบหายใจ มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความหวาดหวั่น นัยน์ตาสีอีกาที่ถูกปอยผมบางส่วนร่วงลงมาปิดจ้องกลับมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะขย้ำมือข้างหนึ่งลงบนลำคอของเขา เหมือนตั้งใจจะบีบให้หายใจไม่ออก ฟ่งดิ้นหนี รู้สึกนัยน์ตาพร่า จางซื่อเยี่ยนกระชากเสื้อผ้าของร่างที่อยู่ใต้การคร่ากุมออก ฟ่งคิดว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจตายเสียแล้วตอนที่จางซื่อเยี่ยนคลายมือที่ขย้ำคอเขาออก ร่างผอมบางไออย่างหนัก หอบหายใจจนตัวโยน ระหว่างนั้นเองที่ขาทั้งสองข้างถูกยกขึ้นและจับแยกออก
   ฟ่งพยายามยกขาถีบร่างสูงที่กำลังขึ้นคร่อมออก อีกฝ่ายจึงกระชากขาเขาขึ้นสูง ยันมันลงไปจนเกือบจะถูกใบหู ฟ่งร้องเสียงลั่น รู้สึกเหมือนไม่หลังหรือคอจะหัก ฟ่งมองเห็นนัยน์ตาสีอีกาลุกวาวอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกำลังคั่งแค้นเขาอยู่ ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายรูดซิปกางเกงออก นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งค้าง ตะโกนสุดเสียง
   “อย่านะ!! คุณชอบเฟิงปิงไม่ใช่หรือไง?!!”
   คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายหยุดชะงักไปทันที  หนุ่มร่างสูงจ้องหน้าผู้อยู่เบื้องล่างด้วยแววตาตื่นตระหนก “เมื่อกี้ว่าไงนะ?”
   ผลจากการตะโกนทั้งที่ยังไออยู่ทำให้ฟ่งไอติดกันอีกหลายรอบ แถมท่าที่เป็นอยู่ยังทำให้เขาหายใจลำบาก “ปล่อย ปล่อยผมก่อน”
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมลดราวาศอกง่ายๆ  จางซื่อเยี่ยนยังคงตรึงร่างเขาไว้ในท่าทารุณนั้นเหมือนเดิม
   “ฉันถามว่าเมื่อกี้พูดอะไร?” ร่างสูงเค้นเสียงถาม แม้จะอยู่ในท่าที่ชวนให้ทรมานและไม่มีอารมณ์จะตอบคำถามนัก แต่ฟ่งยังพอจะคิดได้ว่าขืนไม่พยายามตะเกียกตะกายตอบไป ทางนั้นอาจจะทำยิ่งกว่านี้ก็ได้
   “ผมพูดว่า คุณไม่ได้ชอบคุณเฟิงปิงหรือไง?” ผู้ถูกคุกคามตอบ แทบจะกลั้นหายใจเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่าย แววตาวาวโรจน์ที่ตื่นตระหนกราวกับสัตว์ร้ายที่หลงมาติดกับดัก
   “นายไปรู้มาจากไหน?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยถาม น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความแตกตื่นอย่างรู้สึกได้ ฟ่งเองก็ตกใจไม่แพ้กัน นี่หมายความว่าเรื่องที่เขาคิดไว้เป็นจริงอย่างนั้นล่ะหรือ
   ร่างบางพยายามมองลึกลงไปในแววตาสีอีกาที่กำลังตื่นตระหนกคู่นั้น  ความเงียบที่น่าอึดอัดเกิดขึ้นในห้องอีกครั้ง แต่แล้วเสียงที่คาดไม่ถึงก็ทำลายความเงียบนั้นไปจนหมดสิ้น
   ผลัวะ!
   จางซื่อเยี่ยนเซถลาออกไปสองก้าว ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมามองที่มาของกำปั้นปริศนา แล้วยิ่งต้องเบิ่งตากว้างด้วยความตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม
   เว่ยเฟิงปิงยืนอยู่ที่นั่น ตัวสั่นเทาด้วยความโมโหถึงขีดสุด
   “คุณชาย..” จางซื่อเยี่ยนอุทานออกมาได้คำหนึ่ง ก่อนเสียงฉาดจะดังขึ้น ใบหน้าถูกตบจนหันไปอีกทางหนึ่ง
   “คุณชาย ผม..”
   เว่ยเฟิงปิงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดเพิ่ม ร่างบางฟาดมือเรียวยาวลงบนใบหน้าของลูกน้องอีกครั้ง เสียงฉาดดังสะท้อนในห้อง จนฟ่งเองยังรู้สึกเจ็บไปด้วย
   “หุบปาก!” ผู้เป็นเจ้านายตวาด จางซื่อเยี่ยนพยายามพยุงร่างให้ยืนตรงขึ้น บริเวณมุมปากมีเลือดไหลซึมออกมามากกว่าเดิม ร่างสูงหันกลับมามองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะเบือนหน้าหนีด้วยความเจ็บปวด เมื่อว่าพบนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นจ้องใส่อย่างโกรธเกลียด
   “ไสหัวออกไปให้พ้นหน้าฉันเดียวนี้!!” เว่ยเฟิงปิงตวาดเสียงกร้าว คำพูดนั้นเสมือนแส้ที่โบยลงไปบนหัวใจของจางซื่อเยี่ยน ร่างสูงเดินคอตกโซซัดโซเซออกไปจากห้องโดยไม่เอ่ยอะไรเพิ่มอีก  เว่ยเฟิงปิงมองไล่หลังลูกน้องจนประตูห้องปิดลง ก่อนจะหันกลับมาหาผู้ที่อยู่บนเตียง
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองสะดุ้ง เขารีบดึงกางเกงให้กลับเข้าที่ แต่กลับโดนมือหยุดไว้
   “นาย ไม่ได้โดนทำอะไรมากใช่ไหม”
   “อื้อ” ฟ่งตอบสั้นๆ และพยายามถอยหลังหนีอีกฝ่ายที่โน้มตัวเข้ามาใกล้  เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกลับไปยืนตรงจุดเดิม
   “ใส่เสื้อผ้าให้เสร็จ แล้วไปกับฉัน” ร่างบางออกคำสั่ง  ฟ่งเงยหน้ามอง ก่อนจะใส่กางเกงกลับเข้าไป

   หนุ่มสวมแว่นก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำ ในชุดเสื้อนอนตัวใหม่ที่เว่ยเฟิงปิงหยิบออกมาจากตู้ แสงไฟสลัวสีแดงจากโคมไฟหัวเตียงส่องให้เห็นผู้เป็นเจ้าของห้องที่กำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู เว่ยเฟิงปิงหันหน้ากลับมาทันที
   “ทำไมนายไม่เช็ดผมให้แห้ง?” นั่นคือประโยคแรกที่ชายหนุ่มเอ่ยทัก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปล่อยให้ศีรษะมีน้ำหยดออกมาเป็นทาง ฟ่งทำหน้าเหลอหลา ก่อนที่เว่ยเฟิงปิงจะเดินเข้ามา หยิบผ้าขนหนูอีกผืนขยี้ลงไปบนศีรษะที่เปียกชุ่ม
   

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #42 เมื่อ23-05-2011 22:00:18 »

“ขะ..ขอบใจ” ฟ่งเอ่ย เว่ยเฟิงปิงพาดผ้าขนหนูกลับไปที่เดิม แล้วเดินไปหยิบหวีที่หน้ากระจกมาหวีผมให้
   “ค่อยยังชั่ว ความจริงนายเองก็ดูดีอยู่หรอก” เว่ยเฟิงปิงกล่าว เมื่อมองสำรวจสภาพอีกฝ่ายอีกครั้ง ฟ่งเดาไม่ออกว่าในตอนนี้คุณชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่  เว่ยเฟิงปิงพาเขามาที่ห้อง แล้วทำกับเขาเหมือนกับเป็นเด็ก ฟ่งไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ แต่รู้สึกแปลกใจมากกว่า
   “คืนนี้นายนอนที่นี่แหละ” ผู้เป็นเจ้าของห้องกล่าวต่อ ฟ่งมองไปรอบๆ ห้อง และไม่พบที่ที่เขาเห็นว่าจะนอนได้ นอกจากพื้นที่ปูพรมไว้อย่างเรียบร้อย ร่างบางหันไปมองหน้าผู้ออกคำสั่งเป็นเชิงถาม
   “นายนอนบนเตียงนี้แหละ ฉันเอาหมอนมาเพิ่มแล้ว” เว่ยเฟิงปิงกล่าวตอบ ฟ่งเบิ่งตากว้าง ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อีกฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อน “ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก”
   เว่ยเฟิงปิงตอบเหมือนรู้ทัน ฟ่งยิ้มออกมาได้หน่อยหนึ่ง แล้วจึงเดินไปที่เตียง ล้มตัวลงนอน โดยไม่ลืมที่จะเบียดตัวเองไปจนแทบจะติดผนัง ผู้เป็นเจ้าของห้องถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง
   แสงไฟถูกดับลง ภายในห้องมืดสนิท มีเพียงเสียงทำงานเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศ  ฟ่งรู้สึกว่าเว่ยเฟิงปิงขยับตัวไปมาอยู่หลายครั้ง แต่เขาไม่กล้าหันกลับไปมอง
   “นี่” เว่ยเฟิงปิงขึ้นในความมืด ฟ่งรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อย
   “ขอกอดหน่อยได้ไหม แค่กอดเฉยๆ น่ะ”
   คำขอร้องนั้นทำเอาฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วส่งเสียงอืมในลำคอ เว่ยเฟิงปิงขยับตัวอีกครั้ง ก่อนจะยกแขนขึ้นมาวางไว้บนตัวของอีกฝ่าย ฟ่งรู้สึกว่าใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงอยู่ชิดกับไหล่ของเขาจากสัมผัสของลมหายใจอุ่นๆ
   “ขอบใจนะ” เสียงของเว่ยเฟิงปิงนั้นดูเงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยวจนฟ่งเผลอยกมือขึ้นกุมมือที่วางอยู่บนหน้าอกของตน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่ของเขา ในที่สุดก็ผล็อยหลับไป
-----------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนประคองตัวเองกลับมาจนถึงห้องอย่างยากลำบาก เขาไม่ได้รู้สึกปวดบริเวณใบหน้าที่โดนตบเมื่อครู่ สิ่งทำให้อดีตหน่วยดำผู้ผ่านอันตรายมาอย่างโชกโชนมีสภาพคล้ายกับคนใกล้ตาย คือสีหน้าและคำพูดของเจ้านายและการกระทำที่เขาได้ทำไปเมื่อครู่
   ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ภายในห้องอย่างหมดอาลัยตายอยาก คำพูดไล่ส่งจากเว่ยเฟิงปิงนั้นเขาเคยได้รับฟังมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นั้นแตกต่างออกไป  นัยน์ตาสีฟ้าที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด ราวกับว่าเขาได้ทำความผิดอันใหญ่หลวงที่ไม่อาจจะให้อภัยได้  หัวใจของจางซื่อเยี่ยนปวดแปลบ ชายหนุ่มไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป แต่เสียใจกับสิ่งที่ได้รับ
   เว่ยเฟิงปิงเห็นเชลยที่เพิ่งได้ตัวมาสำคัญเสียยิ่งกว่าเขาที่ทำงานมานานอย่างจงรักภักดี
   อดีตหน่วยดำซบหน้าลงกับฝ่ามือ รู้สึกถึงเม็ดเหงื่อเหนอะชื้นที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า มันเย็นจนสะท้านไปถึงสันหลัง ความเจ็บปวดนั้นเกิดกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้   
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของตนเอง
-----------------------------
   หญิงสาวในชุดเสื้อแขนกุดสีแดงเลือดหมูสวมทับด้วยสูทสำหรับผู้หญิงสีน้ำตาลไหม้ มองดูชายชาวยุโรปผมสีบลอนด์ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
   ราฟาแอลนั้นให้ความรู้สึกแตกต่างกันแทบจะสิ้นเชิงกับชายที่ชื่อรูฟัส แม้ว่าภายนอกจะดูสนุกสนานและขี้เล่น แต่ลึกๆ แล้ว เมี่ยงรู้สึกว่าชายคนนี้เลือดเย็นและน่ากลัวกว่าที่คิดเอาไว้มาก ตอนนี้ชายที่ชื่อว่าราฟาแอล คาดาร์ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องทำงานส่วนตัวของหล่อน ใบหน้าได้รูปนั้นดูสบายๆ แต่นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นกลับฉายแววคุกคามอย่างเห็นได้ชัด
   “คุณเมี่ยง คุณคงทราบเหตุผลที่ผมมาหาคุณในวันนี้” ราฟาแอลเปิดฉากการสนทนาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดุดัน หญิงสาวพยายามยิ้มตอบ
   “ค่ะ”
   เมี่ยงพูดสั้นๆ เธอรู้จักกับชายที่ชื่อราฟาแอลคนนี้มาราวๆ สี่ปี โดยผ่านทางเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งทำธุรกิจอยู่ในฮังการี แน่นอนว่าเธอเองก็เคยเจรจาซื้อขายความลับจากคนคนนี้ และรู้สึกถูกคอกันอยู่ไม่น้อย จึงได้ติดต่อกันเรื่อยมา อย่างไรก็ดีการมาของราฟาแอลในวันนี้ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก เหตุเพราะคู่หูของเขาหายตัวไปกว่าสองสัปดาห์แล้ว และดูเหมือนเขาจะคิดว่า หล่อนกำลังสมคบคิดกับรูฟัสเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง จึงไม่น่าแปลกที่ชายคนนี้จะรู้สึกไม่ไว้ใจ
   หลังจากเงียบไปอีกพักหนึ่ง ราฟาแอลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะผ่อนเสียงลง
   “คุณเมี่ยงครับ ผมเป็นคนชอบผู้หญิง ยิ่งผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณ ผมยิ่งนิยม  ผมไม่อยากจะข่มขู่หรือทำร้ายจิตใจคุณ ที่สำคัญ คุณเองก็ดีกับผมมาก แต่..” ชายหนุ่มหยุดประโยคคำพูดไปช่วงหนึ่ง หญิงสาวจ้องหน้าเขา ไม่ใช่เพื่อการท้าทาย แต่เพื่อการต่อรองทางจิตใจ ในที่สุดชายหนุ่มก็พูดต่อ
“เจ้ารูฟัสหายตัวไปเกือบจะสองอาทิตย์แล้ว ซึ่งมันเกินกว่าที่ผมจะทำใจรับได้ ได้โปรดเถอะครับคุณเมี่ยง  กรุณาบอกผมว่าหมอนั่นมันหายหัวไปไหนกันแน่”
   หญิงสาวถอนหายใจ “คุณราฟาแอล  ความจริงดิฉันเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรคุณหรอกนะคะ แต่คุณรูฟัสฝากเอาไว้ว่าห้ามไม่ให้บอกคุณ เพราะเขาจะเป็นฝ่ายบอกกับคุณเอง ดิฉันก็เลย...”
   ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ระบายลมหายใจยาว ขยับตัวและจ้องมาอย่างจริงจัง ก่อนจะกล่าวสืบต่อ “ครับ เหตุผลนั้นผมรับทราบแล้ว ถ้าแค่วันสองวัน ผมเองก็คงไม่มีปัญหา แต่นี่มันนานเกินไปแล้ว กรุณาเถอะครับ เรื่องนี้สำคัญมากเกี่ยวกับงานที่พวกผมทำอยู่ การที่เจ้าหมอนั่นหายไปนานแบบนี้ทำให้ผมทำงานต่อไปไม่ได้ ถ้าคุณบอกผม ผมจะได้ตัดสินใจถูกว่าควรจะทำอะไรต่อ ควรจะรอหมอนั่นกลับมาไหม จะทำต่อเอง หรือวางแผนกันใหม่  ได้โปรดบอกผมเถอะครับ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก คุณคงทราบว่าผมเองไม่ได้เป็นคนไร้เหตุผล”
   “ค่ะ ดิฉันทราบ”   เมี่ยงตอบ พยายามชั่งใจว่าสมควรจะบอกเหตุผลที่รูฟัสหายตัวไปดีหรือไม่ การหายไปกว่าสองสัปดาห์ของรูฟัสนั้น เกิดความคาดหมายของเธอเช่นกัน แน่นอนว่ามันย่อมต้องส่งผลกระทบเกี่ยวกับงานอย่างที่ราฟาแอลว่า ที่สำคัญเธอเองก็เริ่มเป็นห่วงสวัสดิภาพของทั้งสองคน การที่จะให้ราฟาแอลรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ดูจะมีประโยชน์มากกว่าที่จะปิดเอาไว้ต่อไป
   “คุณรูฟัสไม่ได้ติดต่อกลับมาหาคุณเลยใช่ไหมคะ?”
   ราฟาแอลสั่นศีรษะ ก่อนจะมองหน้าหญิงสาว เมี่ยงสูดหายใจลึก ก่อนจะกล่าวช้าๆ
   “ดิฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟังค่ะ”
------------------------------
   เวลาบ่าย ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ชั้นสิบหกของอาคาร Le mirior ซึ่งถูกเรียกว่าห้องประชุมใหญ่ เต็มไปด้วยคณะผู้บริหารจากหลากหลายเขตในฮ่องกงที่ถูกเรียกมาเพื่อประชุมเกี่ยวกับการขยายเขตธุรกิจด้านสถานเริงรมณ์ของตระกูลเว่ย ซึ่งประธานในที่ประชุมคือเว่ยเฟิงปิง
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยกล่าวเกี่ยวกับการทำธุรกิจในผับสกาล่า และการได้เครือข่ายธุรกิจของเจียงหลุนเข้ามารวมกลุ่ม และทิ้งท้ายด้วยการเตือนเกี่ยวกับการรุกคืบของกลุ่มริเวิล ซึ่งก่อให้เกิดความแตกตื่นในที่ประชุม อย่างไรก็ดีเว่ยเฟิงปิงได้ยืนยันการที่จะสกัดการรุกคืบในส่วนนี้ และยืนยันเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำธุรกิจ และการจ่ายค่าคุ้มครองที่ยังคงใช้อัตตราเดิม ทำให้การประชุมสำเร็จไปอย่างราบรื่น
   อาเง็กที่วิ่งวุ่นติดต่อเป็นธุระเรื่องการจัดประชุมแต่เช้ามืด นั่งปุลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเดินด้วยความเหน็ดเหนื่อย หลังจากที่ผู้เข้าร่วมประชุมกลับไปหมดแล้ว
   “เหนื่อยล่ะหรือ?”
   เสียงทักทำให้เด็กหนุ่มวัยสิบแปดต้องรีบผุดลุกขึ้นอีกครั้ง ร่างเพรียวบางในชุดสูทสีน้ำตาลเข้มสวมทับเสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อนเดินมายืนอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้านายของเขาเอง
   “เปล่าครับ” อาเง็กรีบกล่าวปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ความจริงรู้สึกอยากกลับไปพักผ่อนอยู่ไม่น้อย เว่ยเฟิงปิงคลี่ยิ้มบางๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าจริงจัง
   “อย่างนั้นช่วยตามลีลี่กับอาเฟยให้หน่อย ตามพวกที่ทำงานอยู่แถวๆ ตึกอี้เทียนด้วย บอกให้ไปพบฉันที่ห้อง ฉันจะประชุมเรื่องการนัดพบพรุ่งนี้”
   “ครับ” อาเง็กรับคำ นึกนับถือเจ้านายที่ยังมีแรงประชุมต่อ ทั้งๆ ที่ตลอดบ่ายมานี้เผชิญกับการตั้งคำถามและปัญหาสารพัดรูปแบบ การวางแผนและจัดการอย่างมีความรัดกุมและเด็ดขาดของเว่ยเฟิงปิงนั้น ทำให้เครือข่ายธุรกิจตระกูลเว่ยในส่วนที่เขาควบคุมอยู่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนหลายคนคาดไม่ถึง อาเง็กได้เข้ามาร่วมกับเฟิงปิงเมื่อสองปีก่อน เขารู้สึกประทับใจในความสามารถด้านการวางแผนและแก้ปัญหาของเจ้านายคนนี้เป็นอย่างมาก ถึงกับสาบานกับตัวเองว่า เขาจะขอรับใช้คนคนนี้ไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ดีบางครั้งเว่ยเฟิงปิงดูเหมือนมีเรื่องบางอย่างที่ไม่อาจจะตัดสินใจได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหวั่นไหวแต่อย่างใด เขาเชื่อว่าเจ้านายผู้เก่งกาจของเขาจะต้องผ่านพ้นอุปสรรค์ทุกอย่างและก้าวต่อไปอย่างมั่นคง
   เว่ยเฟิงปิงมองดูลูกน้องเดินหายลับไปตรงมุมทางเดิน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบ้าง การที่เขาตัดสินใจประกาศเรื่องการรุกคืบของริเวิลนั้น เพื่อป้องปรามเหล่าผู้ร่วมเครือข่ายที่อาจจะมีแนวโน้มตีตัวออกห่างไป แต่ในทางตรงข้าม ข่าวนี้กลับสร้างความหวั่นไหวให้กับคนเหล่านั้นไม่น้อย  จึงจำเป็นจะต้องทำให้เห็นว่าเขามีหนทางที่แน่ชัดในการจัดการปัญหานี้ อย่างไรก็ดีเว่ยเฟิงปิงไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่เขาจะเจรจาซื้อขายข้อมูลลับในวันพรุ่งนี้ เขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถเจรจาซื้อขายข้อมูลจากรูฟัสได้มากเพียงใด ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มยังคงมั่นใจว่าเขามีโอกาสที่จะได้ข้อมูลสำคัญที่สุดมาไว้ในมือ  ซึ่งข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้แผนจัดการกับริเวิลสำเร็จง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มความไว้วางใจของผู้ที่เขาเรียกว่าพ่อได้อีกด้วย
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่คิดถึงผู้เป็นพ่อ บุรุษวัยหกสิบกว่าที่มีใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และมีบุคลิกอันน่าเกรงขาม ผู้ดำรงอำนาจและครองตำแหน่งสูงสุดแห่งกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่
แม้จะดูยิ่งใหญ่และทรงอำนาจในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเว่ยเฟิงปิงแล้ว พ่อเปรีบบเสมือนเงาทมิฬที่ตามหลอกตามหลอนชีวิตของเขา ตั้งแต่จำความได้ ชายหนุ่มไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นหน้าหรือแม้แต่ได้ยินเสียงของผู้เป็นบิดา รู้เพียงแต่ว่าชายคนนี้เป็นผู้ให้เงินสนับสนุนและกำหนดสถานที่เรียนและที่อยู่ให้หลังจากที่ผู้เป็นมารดาเสียชีวิตไปแล้ว ตอนอายุสิบแปดเขาได้เห็นหน้าพ่อบังเกิดเกล้าเป็นครั้งแรก เว่ยเฟิงปิงตระหนักกับตัวเองว่าเกลียดชายคนนี้ขนาดไหน  เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจที่ขโมยข้อมูลลับของกลุ่มไปให้กับรูฟัส การได้รู้ว่าธุรกิจของผู้เป็นบิดาพังพินาศและประสบความเสียหายจากเหตุการณ์นั้นขนาดไหน กลับทำให้เขารู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ  สิ่งที่เขาเสียใจมีเพียงอย่างเดียวคือการที่รูฟัสไม่ยอมพาเขาไปด้วย
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาว ดึงตัวเองกลับสู่โลกปัจจุบันอีกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยป่าคอนกรีตขนาดใหญ่
   วันพรุ่งนี้ จะเป็นวันที่เขาหันหน้าเผชิญอดีตอันแสนขมขื่นที่ยากจะลืม เพื่อก้าวข้ามและหันกลับมาบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างของผู้เป็นบิดาที่เขาเกลียดชัง
--------------------------------------
   อาเง็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากลิฟต์ หลังจากที่จัดการธุระที่เจ้านายสั่งการไว้เสร็จสิ้น เด็กหนุ่มคิดว่าเขาควรจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องซักพัก แต่แล้วก็พลันชะงักฝีเท้าเมื่อผ่านห้องพักห้องหนึ่ง
   เด็กหนุ่มจำได้ว่าตลอดวันมานี้เขายังไม่เห็นแม้แต่เงาของชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนเลย
   เป็นเรื่องน่าแปลก  เพราะในวันที่มีการประชุมและเตรียมการวางแผนการใหญ่แบบนี้ จางซื่อเยี่ยนมักจะต้องปรากฏตัวเพื่อเป็นธุระเสมอมา  หรือจะพูดให้ถูกคือ จางซื่อเยี่ยนมักจะเป็นคนดำเนินการในแทบจะทุกเรื่อง ความจริงอาเง็กเองก็นึกสงสัยอยู่แล้วตั้งแต่เว่ยเฟิงปิงโทรศัพท์เข้ามาในตอนเช้าตรู่ให้เขาจัดการเตรียมการเรื่องการประชุม แต่การที่ต้องวิ่งวุ่นทั้งวันทำให้เขาลืมที่จะถามหาบุคคลที่ตามตำแหน่งแล้วถือเป็นหัวหน้าของเขาอีกทีหนึ่ง
   อาเง็กหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของจางซื่อเยี่ยน นึกชั่งใจว่าเขาควรที่จะเคาะประตูหรือไม่  ชายหนุ่มทราบว่าเรื่องที่จะเจรจาในพรุ่งนี้นั้นเป็นเรื่องสำคัญและมีความเสี่ยงมาก ซึ่งโดยปกติจางซื่อเยี่ยนจะต้องรับหน้าที่ติดตามเจ้านายของเขาเสมอ บางทีชายคนนั้นอาจจะไปรออยู่ที่ประชุมแล้วเช่นทุกครั้ง แต่บางอย่างทำให้เขาเอื้อมมือออกไปเคาะประตู
   “.......”
   ไม่มีเสียงตอบ  อาเง็กเริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะรู้สึกวิตกกังวลไปเอง จางซื่อเยี่ยนอาจจะป่วยจนไม่สามารถทำงานได้  แต่ทำไมเจ้านายถึงไม่บอกเขาเลยล่ะ  เด็กหนุ่มตัดสินใจเคาะประตูอีกครั้ง  คราวนี้มีเสียงกุกกักดังขึ้น แล้วประตูก็เปิดแง้มออก
   เด็กหนุ่มตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อเห็นสภาพของบุคคลที่อยู่ภายในห้อง จางซื่อเยี่ยนมีสภาพคล้ายคนอดนอนมาหลายอาทิตย์ สีหน้าดูแย่จนเขาคิดว่าเคาะประตูผิด
   “มีอะไร?” ร่างสูงถามเสียงพร่า อาเง็กสะดุ้งนิดหน่อย รีบพูดออกไปโดยไม่ทันคิด
   “คุณชายให้มาตามพี่ไปประชุมเรื่องการเจรจาพรุ่งนี้”
   นัยน์ตาสีอีกาที่ดูไร้ชีวิตนั้นไหววูบ แวบหนึ่งอาเง็กคิดว่าจางซื่อเยี่ยนเหมือนคนที่กำลังฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
   “ขอบใจ เดี๋ยวฉันจะตามไป” ชายหนุ่มกล่าวตอบสั้นๆ ก่อนจะปิดประตู  อาเง็กยืนนิ่งอยู่พักใหญ่
   เกิดอะไรขึ้นกับชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนกันแน่?!
------------------------------------------
“เมื่อคืนแกคุยอะไรกับแดเนียล”
   นั่นคือประโยคแรกที่โจวยี่เอ่ย เมื่อเห็นเพื่อนเก่าโผล่หน้าเข้ามาทางประตู  ชายผู้มีนัยน์ตาสองสียักไหล่ นั่งปุลงบนโซฟาหนังสีขาวที่เริ่มกลายเป็นสีครีมเพราะอายุการใช้งาน
   “แล้วไม่ดีหรือไง เมื่อคืนก็สนุกไม่ใช่หรือ”   รูฟัสตอบกลับด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาท  บุรุษผู้มีผมยาวสยายส่งเสียงเฮอะในลำคอ รูฟัสเลิกคิ้วและพูดต่อทันที “อย่ามาส่งเสียงเหมือนไม่พอใจไปหน่อยเลยน่า ความจริงแกน่าจะพูดว่า ขอบคุณคุณรูฟัสที่ทำอะไรดีๆ เพื่อผม”
   โจวยี่ทำจมูกย่น  ก่อนจะนั่งปุลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม
   “เกิดอะไรขึ้นหรือ?” รูฟัสเริ่มเปลี่ยนท่าที เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะไม่เล่นด้วย
   “เปล๊า” อีกฝ่ายทำเสียงสูง ในที่สุดก็ระเบิดหัวเราะออกมา
   “ท่าทางแกจะดูเป็นห่วงฉันนะนี่ ฮ่า ฮ่า  เมื่อคืนเรียบร้อยดี  แกเล่าเรื่องหยุนหมิงให้แดเนียลฟังหรือ?”
   “อืม” รูฟัสรับคำในลำคอ รู้สึกเหมือนโดนหลอกให้พูด คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“นี่แกคงไม่ได้เรียกฉันมานั่งคุยถึงในห้องส่วนตัวของแก เพราะแค่อยากจะแกล้งฉันหรอกนะ” หนุ่มตาสองสีพูดต่อ น้ำเสียงดูไม่ค่อยพอใจนัก โจวยี่โบกมือ ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกาน้ำชาที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ด้านหลัง รินส่งให้
   “ฉันเรียกแกมาคุยเรื่องแผนพรุ่งนี้”
   รูฟัสเลิกคิ้ว “แผนอะไร?”
   คราวนี้อีกฝ่ายขมวดคิ้วขึ้นมาบ้าง “ก็พรุ่งนี้ที่แกจะไปพบคุณชายเว่ยไง นี่อย่าบอกนะว่าแกลืม”
   “มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ?” รูฟัสพูด ทำหน้าไม่รู้เรื่อง  โจวยี่ทำตาเขียว
“ตลกมากไปล่ะ งั้นเชิญแกออกไปจากห้องฉันได้เลย”
   “โอ๋ๆ ล้อเล่นน่า พี่ยี่ก็ แหม ทำเป็นงอนไปได้” รูฟัสทำเสียงอ้อน ทำเอาอีกฝ่ายตาเหลือก
   “อย่ามาทำเสียงทุเรศแบบนั้นใส่ฉันนะโว้ย”
   “เออๆ แล้วตกลง แกมีแผนอะไรเพิ่มเติมหรือไง วันก่อนก็คุยกันไปหมดแล้วนี่”
   โจวยี่ยกน้ำชาขึ้นมาจิบ นัยน์ตาเรียวยาวราวพญาเหยี่ยวจ้องมาเหมือนจะบอกความนัยน์อะไรบางอย่าง
   “แกคิดจะทำยังไงกับคุณชายเว่ย?”
   ผู้ถูกถามยักไหล่ “ทำไงงั้นหรือ ก็แลกข้อมูล เอาตัวฟ่งกลับ จบ”
   โจวยี่ใช้สายตาคมกริบจ้องคุ่สนทนาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “พูดมาตรงๆ ดีกว่า สายตาแกมันฟ้องว่าไม่ได้คิดอยู่แค่นั้น”
   รูฟัสเลิกคิ้วสูง มองหน้าคู่สนทนา “แกจะอยากรู้ไปทำไม?”
   “ฟังนะ” อีกฝ่ายกล่าวเสียงเครียด “เรื่องคราวนี้ฉันมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ และทางคุณชายเว่ยเองก็คงสืบรู้จนได้ว่าฉันร่วมมือกับแก ถ้าแกเกิดทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมา ความซวยมันจะตกอยู่ที่ฉัน เพราะฉะนั้น...”
   โจวยี่ล้วงของบางอย่างออกมาจากลิ้นชักเคาน์เตอร์  ของนั้นทำเอาอีกฝ่ายตาเหลือก
   “แกต้องใส่นี่ไปด้วย”
   หนุ่มชาวฮ่องกงโบกวัตถุสีเงินที่อยู่ในมือไปมา รูฟัสทำหน้าเหมือนกำลังดูหนังสยองขวัญ “จะบ้าเรอะ นี่จะให้ฉันใส่กุญแจมือไปหาเฟิงปิง? ถ้าทำแบบนี้ฉันไปหาเขาเองก็ได้ ไม่ต้องมาขอพึ่งแกหรอก”
   “ใจเย็นก่อนน่า” อีกฝ่ายกล่าว เมื่อเห็นท่าทีไม่พอใจของคู่สนทนา
   “นี่เป็นกุญแจมือที่ไม่ใช่กุญแจมือธรรมดา” พูดพลางโบกกุญแจมือไปมา นั่นดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจมากขึ้น “ไม่ธรรมดาตรงไหนว่ะ ใช้โซ่เหล็กฝังเพชรหรือไง”
   โจวยี่ส่ายหน้า
   “ยื่นมือออกมาสิ” รูฟัสทำหน้าไม่เชื่อ อีกฝ่ายจึงพูดต่อ “เถอะน่า ข้างเดียวก็ได้ เดี๋ยวฉันจะทำอะไรให้ดู”
   “อย่าเล่นบ้าๆ ล่ะ” รูฟัสพูด ขณะยื่นมือข้างหนึ่งออกไป โจวยี่คล้องกุญแจมือลงไปดังกริ๊ก
   “โอเค แล้วไงต่อ” ผู้ถูกล่ามมือไปแล้วหนึ่งข้างถามอย่างใคร่รู้
   “แกเห็นปุ่มสีเงินเล็กๆ ใกล้ๆ รูกุญแจหรือเปล่า ลองกดดูสิ”
   ผู้มีนัยน์ตาสองสีก้มลองมองบนกุญแจมือ และพบว่ามีปุ่มดังกล่าวอยู่จริง ชายหนุ่มทดลองใช้นิ้วที่พอจะขยับถึงกดลงไป ท่าทางดูลำบากอยู่ไม่น้อย แล้วในที่สุด กุญแจมือก็หลุดออก
   “ไง แบบนี้สบายใจขึ้นบ้างรึเปล่า?”
   “สบายใจบ้าอะไรล่ะ” อีกฝ่ายตอบ รีบเขี่ยกุญแจมือคืน “นี่แกไม่คิดถึงสวัสดิภาพของฉันบ้างหรือไงว่ะ? เกิดถอดไม่ทันขึ้นมา ฉันมิแย่หรือไง?”
   “อันนั้นมันเป็นเรื่องของแก” โจวยี่ตอบอย่างปัดความรับผิดชอบ ทำเอารูฟัสตาเขียว
   “นี่ ฉันจะบอกอะไรดีๆ ให้นะ ยิ่งแกทำตัวเองให้ดูหมดเขี้ยวเล็บมากเท่าไหร่ ฝ่ายโน้นยิ่งระมัดระวังตัวน้อยลงไปด้วย แกเข้าใจที่ฉันบอกหรือเปล่า”
   หนุ่มชาวรัสเซียนิ่งอึ้งไปพักใหญ่   “แล้วถ้าเกิดมีปัญหาล่ะ?”
   “ฉันจะทำบุญเผากระดาษกงเต๊กไปให้แกเยอะๆ แล้วกัน”
   รูฟัสส่งเสียงเฮอะในลำคอ ก่อนเอนหลังลงบนโซฟา หยิบกุญแจมือมาควงเล่น
   “ทำขนาดนี้ ฉันเดินแก้ผ้าเข้าไปเลยดีกว่า”   ชายหนุ่มกล่าวประชด แต่อีกฝ่ายกลับอมยิ้ม
   “ถ้าทำจริงน่าจะดีนะ คุณชายเจ็ดน่าจะชอบอยู่”
   รูฟัสถลึงตาใส่โจวยี่ หนุ่มวัยสามสิบหัวเราะร่วน “ฮ่า ฮ่า แกจะเอากุญแจมือไปลองถอดเล่นดูก่อนซักคืนก็ได้นะ แล้วนี่มีแผนจะไปไหนรึเปล่า?”
   อีกฝ่ายส่ายหน้า ลุกขึ้นยืน “ไม่ล่ะ ฉันจะกลับไปเตรียมตัว”
   “เขียนพินัยกรรมหรือ?”
   ผู้มีนัยน์ตาสองสีหันกลับมาถลึงตามองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง “เขียนพินัยกรรมยกลูกปืนให้แกไง”
   โจวยี่หัวเราะพร้อมกับหยิบกุญแจมือยัดใส่มืออีกฝ่าย รูฟัสทำหน้ายุ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมถือเอาไว้
   “ไปเถอะๆ ถ้าแกแกะกุญแจมือไม่ออกก็โทรบอกฉันแล้วกัน”
   รูฟัสปิดประตูใส่เสียงดังปึง
------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #43 เมื่อ23-05-2011 22:01:11 »

บทที่18 “ฉันกับหมอนั่นไม่ได้มีอะไรกันเสียหน่อย!!”
   จางซื่อเยี่ยนก้าวออกมาจากห้องน้ำโยนผ้าเช็ดตัวลงบนราวพาดผ้าสแตนเลสที่วางอยู่หน้าห้องน้ำ เดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีเทาที่แขวนอยู่หน้าตู้ขึ้นมาสวมใส่ หนุ่มผมยาวพยายามบอกตัวเองให้สงบจิตสงบใจเอาไว้ แต่ลึกๆ หัวใจของเขากำลังสั่นด้วยความตื่นเต้น
   เว่ยเฟิงปิงเรียกเขาเข้าประชุม
   จางซื่อเยี่ยนทราบดีว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันที่เจ้านายของเขาจะต้องไปพบกับบุคคลที่กำลังเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งในฮ่องกง ซึ่งแน่นอนว่าการพบกันในครั้งนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง แม้จะมีการวางแผนการป้องกันไว้แล้วก็ตาม เดิมทีเขาเองเป็นผู้ที่ต้องดำเนินการประสานงานในเรื่องนี้ และมีหน้าที่ที่ต้องตามไปคุ้มครองเว่ยเฟิงปิง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เขาไม่มีหน้าจะไปพบเจ้านาย 
ผู้มีนัยน์ตาสีดำราวอีกาหยิบยางขึ้นมารัดผม เขาไม่กล้าเดาว่าตอนนี้เว่ยเฟิงปิงคิดอย่างไรกับเขากันแน่ การที่ถูกตามให้เข้าประชุม ทำให้ชายหนุ่มนึกใจชื้นว่าอย่างน้อยผู้เป็นเจ้านายก็ยังคิดถึงเขาอยู่ แต่อีกใจหนึ่งเขากลับรู้สึกละอายที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญนี้ไปเพียงเพราะเรื่องที่เขาเป็นฝ่ายทำผิดไปเอง
จางซื่อเยี่ยนยอมรับว่าเขาทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไปจริงๆ
---------------------------------------------------
ควันสีขาวลอยฟุ้งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีเว่ยเฟิงปิงก็พบว่าตัวเองสูบบุหรี่เป็นมวนที่สามแล้ว ชายผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าเคาะขี้เถ้าบุหรี่ลงบนที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางถอนหายใจยาว เทปเสียงและเครื่องเล่นพร้อมหูฟังวางกองพะเนินอยู่บนโต๊ะ และยังมีกระดาษที่เป็นเอกสารถอดเทปอีกปึกหนึ่ง  เว่ยเฟิงปิงมั่นใจว่าตอนนี้เขาทราบการเคลื่อนไหวขอรูฟัสแทบจะทุกอย่าง จากเครื่องดักฟังที่ถูกติดตั้งเอาไว้ภายในห้องทำงานของโจวยี่ และภายในรถ  ที่สำคัญที่สุดคือชายที่ชื่อโจวยี่อาสาที่จะทำงานนี้ให้เขาเอง
คุณชายเจ็ดระบายลมหายใจพร้อมด้วยควันสีขาวออกมาอีกครั้ง  ประวัติของชายที่ชื่อโจวยี่นั้นดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจนัก แน่นอนว่าชายคนนี้เป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดในครั้งที่รูฟัสลอบเข้ามาในแก๊งของเขาเมื่อหกปีก่อน  หลังจากการหนีไปพร้อมด้วยเอกสาร เว่ยเฟิงปิงมาทราบภายหลังว่าโจวยี่เองก็โดนตามล่าอย่างหนักจนต้องหนีไปกบดานอยู่ในประเทศจีนอยู่พักใหญ่  อย่างไรก็ดี เมื่อเขากลับเข้ามามีบทบาทภายในแก๊ง เว่ยเฟิงปิงได้ติดต่อกับชายคนนี้และเสนอความคุ้มครองให้ เพื่อแลกกับการทำงานภายใต้อาณัติ นอกจากนี้ชายหนุ่มยังสืบทราบมาอีกว่าโจวยี่เคยมีปัญหาระหองระแหงถึงขั้นแทบจะแตกหักกับรูฟัสในเรื่องผู้ชาย ดูเหมือนว่ารูฟัสจะไปล่วงเกินคนรักของอีกฝ่ายเข้า ในตอนที่ทราบเรื่องนี้เขาเองก็รู้สึกไม่พอใจอยู่มาก ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะเมินเขาอย่างไร เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหึงหวงทุกทีที่ได้รู้ว่ารูฟัสไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่น  แต่เว่ยเฟิงปิงจำเป็นต้องเก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นไว้ เพื่อดำเนินแผนการของเขาต่อ
จากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ แน่นอนว่าโจวยี่เองก็มีความขุ่นเคืองรูฟัสอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เว่ยเฟิงปิงเชื่อเสมอมาว่าเขาไม่มีทางจะจัดการกับชายที่ชื่อรูฟัสได้แม้จะพบตัว เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อหกปีก่อน แม้ว่าบิดาของเขาจะระดมขุมกำลังระดับชั้นแนวหน้าออกตามล่า แต่ก็ไร้ผล  นั่นเพราะเครือข่ายของพวกสายลับนั้นแฝงตัวไปทั่ว มีการวางแผนการหนีกันล่วงหน้ากันหลายขั้นตอน ดังนั้นการได้ตัวโจวยี่ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการนั้นเข้ามาร่วมในกลุ่ม จึงเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้เขามีโอกาสที่จะได้ตัวรูฟัสได้ง่ายขึ้น แต่ปัญหาคือทำอย่างไรให้ชายคนนั้นมาที่ฮ่องกงและติดต่อกับโจวยี่
และในที่สุด แผนการต่างๆ ก็ดำเนินมาเข้าล็อก พรุ่งนี้ก็จะถึงวันที่เขารอคอยมาเป็นเวลากว่าหกปี หกปีที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์หลายอย่าง วันพรุ่งนี้มีความหมายมากกว่าแค่การเจรจาตกลงซื้อขายข้อมูลลับ หากแต่เป็นวันที่เขาจะได้พบกับผู้ที่ลักพาหัวใจของเขาไป วันเวลาแห่งการแก้แค้นกำลังจะเปิดฉาก
เว่ยเฟิงปิงขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ย ขณะที่กำลังจะหยิบบุหรี่จากกล่องใส่บุหรี่อันใหม่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“สายันต์สวัสดิ์ค่ะ คุณชายเจ็ด”
เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วเรียวยาวขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะยิ้ม “สายันต์สวัสดิ์ลีลี่ ไม่นึกเลยว่าเธอจะมาถึงคนแรก”
หญิงสาวผู้เข้ามาอยู่ในชุดกี้เพ้าแขนกุดกระโปรงสั้นสีแดง ปักลวดลายดอกไม้สีขาว หัวเราะคิกคัก “แหม ก็คุณชายเล่นให้อาเง็กไปตามด้วยตัวเองแบบนั้น ดิฉันก็ต้องรีบมาสิคะ พอดีว่าดิฉันกำลังจะออกไปข้างนอกอยู่พอดีเลยค่ะ”
เว่ยเฟิงปิงหัวเราะในลำคอ ขณะมองดูหญิงสาววัยใกล้ๆ จะสามสิบที่แต่งหน้าแต่งตัวให้ดูเด็กกว่าอายุอยู่มาก
“แล้วนี่อาซื่อไปไหนคะเนี่ย” หญิงสาวถามต่อ เมื่อเห็นว่ามีเพียงเว่ยเฟิงปิงอยู่ในห้องเพียงลำพัง
“ไม่รู้เหมือนกัน” ชายหนุ่มตอบผ่านๆ หญิงสาวขมวดคิ้วที่กันจนได้รูปด้วยความแปลกใจ ”ปกติเห็นอยู่ด้วยกันตลอดนี่ ตัวติดกันอย่างกับตังเม ทะเลาะกันหรือไงคะ?”
เว่ยเฟิงปิงหันมามองด้วยสายตาไม่พอใจ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าหล่อนหยุดพูดแต่อย่างใด
“แสดงว่าทะเลาะกันจริงๆ สินะ  อาซื่อเองก็ออกจะทำงานถวายหัวขนาดนั้น ทำไมไม่ใจดีกับเขาหน่อยล่ะ”
“หมอนั่นทำงานให้พ่อฉันต่างหาก” เว่ยเฟิงปิงตอบ หญิงสาวโบกนิ้วไปมาเป็นเชิงปราม
“ไม่เอาน่า คุณชาย ดูไม่ออกหรอกหรอคะ เวลาที่อาซื่อมองคุณน่ะ สายตามันฟ้องนะว่าไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่ง”
“ลีลี่!” เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงปราม หญิงสาวหัวเราะอีกครั้ง
“อาซื่อไม่ใช่สเป๊กของคุณชายเหรอคะ โถ ดิฉันว่าน่ารักดีออก ผู้ชายที่ทุ่มเทขนาดนี้ หายากนะคะ”
“ถ้าเธอชอบหมอนั่นล่ะก็ ฉันยกให้” เว่ยเฟิงปิงตอบ รู้สึกปวดประสาทที่จะต้องมาต่อปากต่อคำกับผู้หญิงแบบนี้
“ถ้าอาซื่อยอมก็ดีอยู่หรอกค่ะ แต่ดูท่าทางเขาจะมองแต่คุณชายคนเดียว” หญิงสาวตอบ พลางสัพยอกฝ่ายตรงข้าม  เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ ปกติจางซื่อเยี่ยนจะคอยเป็นคนห้ามปรามคำพูดแบบนี้ของลีลี่ แต่วันนี้หมอนั่นกลับไม่ยอมโผล่หัวมา
ชายหนุ่มเผลอยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างคนคิดอะไรไม่ออก ทำให้อีกฝ่ายยิ่งส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานมากขึ้น ดีที่เสียงเคาะประตูมาหยุดสถานการณ์ไว้ได้ทัน
“สวัสดีครับ คุณชาย” ผู้ที่เข้ามาใหม่เป็นชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบห้าสามสิบหก ผมสีดำแซมขาวเล็กน้อย ในชุดเสื้อเชิ้ตยับๆ สีน้ำตาลแก่ ที่เดินตามหลังมาชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหกอีกจำนวนสองคน ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคอจีนแขนยาวสีขาวมีแถบสีทองบริเวณแขนด้วยกันทั้งคู่ ท่าทางเหมือนพนักงานโรงแรม
“สวัสดี อาเฟย สองคนนั่น เทียนเหมินกับจอห์นสินะ”
ชายสองคนที่อยู่ในชุดสีขาวพยักหน้า พร้อมกับเอ่ยคำทักทาย ก่อนจะชะงักสายตาไปยังผู้ที่ตามเข้ามาอีกคนหนึ่ง 
จางชื่อเยี่ยนเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวคำทักทายเบาๆ สั้นๆ  ซึ่งเว่ยเฟิงปิงได้ถลึงตาใส่เป็นการตอบกลับ ก่อนจะพูดขึ้น
“เอาล่ะ ฉันอยากทราบความพร้อมของทุกคนในวันพรุ่งนี้”
ชายหนุ่มหยุดกวาดตามองลูกน้อง และกล่าวต่อ “ลีลี่  ทางบ่อนของโจวยี่มีความเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติบ้างรึเปล่า?”
หญิงสาวในชุดกี่เพ้าแดงอมยิ้มเล็กน้อย เธอเป็นหนึ่งในหัวหน้าโสเภณีที่หากินอยู่ในแถบนี้ และมีเครือข่ายค่อนข้างกว้างขวาง และรู้จักกับเว่ยเฟิงปิงมานานพอสมควร หญิงสาวจีบปากจีบคำเอ่ย “เท่าที่ดูก็ไม่มีอะไรผิดปกติหรอกนะคะ คุณโจววันๆ ก็หมกอยู่ในบ่อนกับเด็ก ส่วนผู้ชายที่ชื่อรูฟัสก็เข้าๆ ออกๆ บ่อนทุกวัน”
   “แล้วรู้ที่อยู่ที่แน่นอนของหมอนั่นหรือยัง?” คุณชายเจ็ดถามต่อ หญิงสาวนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
   “จะบอกว่ารู้ก็ไม่เชิงหรอกนะ เด็กๆ ของฉันไม่กล้าตามเขาไป ท่าทางตานั่นไม่ได้สนใจจะหาผู้หญิงเลยด้วยซ้ำ เราเลยได้แต่สอบถามคนแถวนั้นดู คิดว่าพักอยู่ไม่ไกลจากที่นั่นเท่าไหร่”
   เว่ยเฟิงปิงโบกมือวูบ “ช่างมันเถอะ แล้วอาเฟย คุณเตรียมการเรื่องสถานที่กับคนไปถึงไหนแล้ว”
   ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวไม่ค่อยจะเรียบร้อยนักเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกขัดกับบุคลิกภายนอก
   “เราได้ซุ่มวางกำลังคนไว้ในจุดต่างๆ ของตึกที่คาดว่าจะเป็นทางหนีไว้หมดแล้วครับ และจากกล้องวงจรปิด เรายังไม่พบอะไรผิดปกติครับ ส่วนกำลังสนับสนุน เราได้เตรียมไว้เต็มกำลังโดยแฝงตัวอยู่ในรูปแบบพนักงานโรงแรมข้างเคียง และเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดของเทศบาล ทุกอย่างเตรียมการสมบูรณ์ครับ”
   ชายผู้ถูกเรียกว่าอาเฟยรายงานยาวเหยียด  เว่ยเฟิงปิงพยักหน้าด้วยความพอใจ
   “ฉันกับตัวประกันจะอยู่แยกกัน เพราะฉะนั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ให้พวกเธอพาตัวประกันออกไปทันที  อย่าลืมว่าเราต้องเด็ดขาดกับชายคนนั้น ไม่ต้องลังเลหากทางนั้นขู่ว่าจะทำอะไรฉัน หากว่ามันยังไม่ได้ตัวประกันไป มันต้องไม่กล้าลงมืออย่างเด็ดขาด และถ้าการเจรจาสำเร็จ ให้พวกที่อยู่ด้านล่างขึ้นมาได้ทันที เราต้องจัดการปิดปากให้เรียบร้อย”
   เว่ยเฟิงปิงเว้นระยะคำพูด กวาดตามองบรรดาลูกน้องอีกครั้ง
   “จำไว้ว่าพรุ่งนี้เราจะไม่มีการส่งตัวประกันเป็นอันขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ขอให้ทุกคนเข้าใจตามนี้”
   ทั้งหมดรับคำ ก่อนจะทยอยเดินออกไป
   “ซื่อเยี่ยน นายอยู่ก่อน ส่วนเธอ อาเง็ก ไปรอข้างนอก เดี๋ยวฉันจะเรียกคุย”   เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงเรียกในนาทีสุดท้าย อดีตหน่วยดำสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยืนนิ่ง อาเง็กซึ่งกำลังเดินผ่านไป หันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะรับคำสั่งเจ้านาย เดินออกประตูไป
   เสียงปิดประตูดังกริ๊ก จางซื่อเยี่ยนไม่กล้าหันกลับไปมองผู้เป็นนาย ได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง เขารู้สึกว่าเว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าเข้ามาใกล้
   ความเงียบที่น่าอึดอัดเกิดขึ้น  ชายหนุ่มได้กลิ่นบุหรี่จางๆ เจ้านายของเขาคงสูบบุหรี่อีกแล้ว
   “บอกฉันหน่อยสิ ซื่อเยี่ยน เมื่อวานนี้มันอะไรกันแน่” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ คำถามนั้นเสมือนทั่งเหล็กที่ถูกทิ้งลงไปบนจิตใจของจางซื่อเยี่ยน  ชายหนุ่มได้แต่นิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง
   ในที่สุดผู้เป็นเจ้านายก็ถอนหายใจยาว
   “ฉันควรจะทำอย่างไรกับลูกน้องที่พยายามจะเข้าไปข่มขืนตัวประกันล่ะ ตอบฉันสิ”
   จางซื่อเยี่ยนยังคงนิ่งเงียบ เขามองเห็นเท้าของเว่ยเฟิงปิงมาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้า  น้ำเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
   “เงยหน้าขึ้น ซื่อเยี่ยน” ผู้เป็นนายออกคำสั่ง จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมด เงยขึ้นมองผู้เป็นเจ้านาย เว่ยเฟิงปิงยืนอยู่ตรงหน้า ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อนที่รีดอย่างเรียบร้อย เจ้านายของเขายังคงสง่างามเช่นเคย
   “ตอบคำถามของฉันมา ฉันอยากรู้ ไม่ว่าเหตุผลนั่นจะเป็นอะไรก็ช่าง ฉันทนทำงานอยู่กับนายไม่ได้ถ้านายไม่ยอมตอบ”
   จางซื่อเยี่ยนเม้มปาก จะให้เขาตอบว่าอย่างไรกัน ในเมื่อเรื่องทั้งหมดล้วนมีสาเหตุมาจากชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาทั้งสิ้น  เว่ยเฟิงปิงสืบเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้น “บอกฉัน ฉันจำเป็นจะต้องมีนายไปด้วยในวันพรุ่งนี้ แต่ฉันคงทนไม่ได้ถ้าไม่รู้ว่าทำไมนายถึงทำแบบนั้น ได้ยินไหม ซื่อเยี่ยน”
   นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นสั่นระริก เป็นถ้อยคำขอร้องของเว่ยเฟิงปิงที่จางซื่อเยี่ยนไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่ว่ากับใครก็ตาม แต่ผู้เป็นเจ้านายกับเอ่ยถ้อยคำนี้กับเขา อดีตหน่วยดำรู้สึกหูอื้อ มองดูเจ้านายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเจ็บปวด  เขาทราบว่าพรุ่งนี้เว่ยเฟิงปิงจำเป็นจะต้องมีการดูแลรักษาความปลอดภัยที่ดี ดังนั้นเจ้านายผู้แสนเย็นชาคนนี้ถึงกับออกปากขอร้องออกมา และนี่เป็นหน้าที่ของเขาแท้ๆ แต่จะตอบคำถามฟที่เว่ยเฟิงปิงถามมาอย่างไรกันเล่า
   “คุณชาย..” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรก นัยน์ตาสีอีกามองไปยังผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งห่างออกไปแค่มือเอื้อม ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปใกล้ ใกล้จนใบหน้าของทั้งคู่แทบจะสัมผัสกัน เว่ยเฟิงปิงเบิ่งตากว้างด้วยความตระหนกเล็กน้อยรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ เขามองเห็นริ้วรอยแห่งความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของอีกฝ่าย
   “ผมน่ะ..” อดีตหน่วยดำพูดเบาเหมือนกระซิบ นัยน์ตาสีอีกาจ้องมองเข้าไปภายในดวงตาสีฟ้าใสของผู้เป็นเจ้านาย ริมฝีปากบางของอีกฝ่ายเผยอขึ้นด้วยความงุนงงสงสัย จางซื่อเยี่ยนมองริมฝีปากนั้นก่อนจะกลืนน้ำลาย ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงไปช้าๆ
   “ผมคงเหนื่อยเกินไป” ผู้เป็นลูกน้องกล่าว ก่อนจะเบือนหน้าหลบออกไปในวินาทีสุดท้าย  เว่ยเฟิงปิงยืนนิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา
   “เหรอ” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยกล่าวอย่างโล่งอก พลางเดินหลบออกไปอีกทางหนึ่ง
   “งั้น หลังจากวันพรุ่งนี้ ฉันจะให้นายไปพักร้อนซักอาทิตย์แล้วกัน”
   “ครับ” ผู้เป็นลูกน้องรับคำ
   “เอาล่ะ ไปพักผ่อนเถอะ แล้วตามอาเง็กเข้ามาให้ฉันด้วย” เว่ยเฟิงปิงสั่ง จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า ก่อนจะก้าวออกจากประตูห้องไป
----------------------------------
   แสงสีแดงของหลอดไฟจากโคมไฟภายในห้องนอนใหญ่ ส่องลอดผ่านเลนส์เว้าที่ถูกถืออยู่ในมือของชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาล ฟ่งเบิ่งตามองแว่นก่อนจะใส่มันเข้าไป และถอดออกมาเช็ดใหม่อีกรอบ ชายหนุ่มยกมือขึ้นปัดชายเสื้อ หลังจากที่สวมแว่นตากลับไปเรียบร้อยแล้ว  ภายในห้องนอนของเว่ยเฟิงปิงเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่โทรทัศน์หรือเครื่องเสียงสักเครื่อง ฟ่งสงสัยว่าเฟิงปิงใช้ชีวิตเงียบๆ แบบนี้ได้อย่างไร
   ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย และเงยหน้าขึ้นมองดูนาฬิกา มันบอกเวลาห้าโมงเย็น กระเพาะของเขาเริ่มจะมีปากเสียง ฟ่งตื่นขึ้นมาตอนบ่ายสองโมง และพบว่าผู้เป็นเจ้าของห้องมิได้อยู่ในที่นี้เสียแล้ว ที่ร้ายกว่านั้นคือห้องถูกล็อกจากภายนอก  ทำให้เขาต้องนั่งจับเจ่าโดยไม่มีอะไรจะทำมากว่าสามชั่วโมงแล้ว อย่างไรก็ดีเขาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดกับการถูกกักขังเหมือนวันแรกๆ จะเรียกว่าชินแล้วก็ได้  และที่สำคัญกว่านั้นเขามีเรื่องบางอย่างให้ต้องขบคิด
   สิ่งที่จางซื่อเยี่ยนเอ่ยขึ้นมาเมื่อวานหมายความว่าอะไร?
   ฟ่งคิดว่าตัวเองเผลอหลุดปากพูดในเรื่องที่เขาแอบสงสัย และคำตอบที่ได้ในช่วงเวลาที่แสนจะกระอักกระอ่วนนั้นยิ่งทำให้เขาพูดไม่ออก
   หมายความว่าจางซื่อเยี่ยนชอบเว่ยเฟิงปิงจริงๆ หรือ?
   แม้จะรู้สึกอับอายและตกใจกับการกระทำของชายหนุ่มผมยาวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน  แต่เมื่อนึกไปถึงนัยน์ตาสีอีกาคู่นั้นที่จ้องมองมาราวกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบทำผิด ฟ่งก็อดรู้สึกสงสารชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนที่ถูกลงโทษไม่ได้ หากจางซื่อเยี่ยนแอบชอบเว่ยเฟิงปิงจริง การลงโทษนั้นก็คงเป็นเรื่องที่น่าปวดใจอยู่ไม่น้อย
   แต่ฟ่งไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดชายคนนั้นถึงพยายามจะข่มขืนเขา
   ร่างบางขนลุกด้วยความขยะแขยงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เพิ่งผ่านไป ชายหนุ่มรู้สึกหัวเสีย ทำไมทั้งเว่ยเฟิงปิงทั้งจางซื่อเยี่ยนจะต้องพยายามจะปลุกปล้ำเขาด้วย ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย หรือว่าคนพวกนี้วิปริตกันหมด
   ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจนัก เห็นทีจะต้องบอกกับคนพวกนั้นให้รู้เรื่องว่าเขาไม่ได้เป็นพวกนิยมพวกเดียวกัน  แต่แล้วความคิดนั้นก็ต้องหยุดกึก
   ไม่ใช่เพราะชายคนนั้นหรอกหรือที่ทำให้เขาต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้
   หนุ่มสวมแว่นรู้สึกว่าเขาคัดค้านเรื่องที่ไม่ได้นิยมพวกเดียวกันได้ไม่เต็มปาก  บ้าชัดๆ ทั้งๆ ที่ปกติเขาไมได้รู้สึกอะไรกับผู้ชายด้วยกันแท้ๆ มีแต่ผู้ชายคนนั้นเท่านั้น
   “ไอ้บ้ารูฟัส!” ฟ่งลืมตัวตะโกนออกมาด้วยความโมโห ก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อพบว่าเว่ยเฟิงปิงเปิดประตูเข้ามาพอดี
   “คิดถึงหมอนั่นขนาดนี้เลยหรือนี่?” ผู้เป็นเจ้าของห้องเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ หลังจากที่ดูเหมือนจะยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง ฟ่งรู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัวด้วยความอายปนโมโห ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงสั่น “ไม่ใช่สักหน่อย!”
   “แต่เมื่อกี้เห็นนายตะโกนเรียกชื่อหมอนั่นเสียดังเลยนี่”
   ฟ่งหันควับมามองเจ้าของห้องทันที เว่ยเฟิงปิงหัวเราะคิกคัก  ทำให้อีกฝ่ายไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่นึกสาปแช่งผู้ชายที่ชื่อรูฟัสอยู่ในใจ
   “นายอยากเจอหมอนั่นรึเปล่า? เว่ยเฟิงปิงถามต่อ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาอย่างสงสัย  ชายผู้เป็นหนึ่งในทายาทของตระกูลเว่ยสืบเท้าเข้ามาใกล้ ฟ่งรู้สึกว่าสีหน้าของฝ่ายนั้นดูเหนื่อยแปลกๆ
   “พรุ่งนี้ฉันจะพานายไปเจอเขา”
   ฟ่งเบิ่งตากว้าง เหมือนจะถามย้อนในคำพูดของอีกฝ่าย นัยน์ตาเรียวยาวราวกับพญางูนั้นจ้องมองเข้ามา ก่อนจะเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “พรุ่งนี้ฉันจะพานายไปเจอรูฟัส”
   ร่างบางกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกตีบตันจนพูดไม่ออก  รูฟัส พรุ่งนี้น่ะหรือ พรุ่งนี้น่ะหรือที่จะได้เจอ
   “จริงๆ หรือ?” ฟ่งพูดเสียงแผ่วเหมือนไม่อยากเชื่อ เว่ยเฟิงปิงมองดูด้วยความรู้สึกบางอย่าง เขาดูออกว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ารู้สึกอย่างไร ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปใกล้อีก ฟ่งสะดุ้ง เมื่อมือของอีกฝ่ายสัมผัสใบหน้า
“นาย อยากจะกลับไปกับหมอนั่นหรือเปล่า?”
   ฟ่งนิ่งอึ้ง จ้องกลับไปยังนัยน์ตาเรียวยาวคู่นั้น เว่ยเฟิงปิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก “จะทิ้งฉันไปอีกหรือ?”
   นัยน์ตาพญางูที่เคยดูเจ้าเล่ห์และเต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจคู่นั้น กลับกลายเป็นนัยน์ตาอ้อนวอนที่แสนจะอ่อนหวานและเจ็บปวด  ฟ่งกลืนน้ำลายอีกครั้ง เขาไม่รู้จะตอบกลับสายตาแบบนี้ไปอย่างไร
   “เฟิงปิง” ชายหนุ่มพูดเสียงค่อย ใบหน้าของทั้งคู่ค่อยๆ โน้มเข้าหากันอย่างช้าๆ แต่แล้วจู่ๆ ฟ่งก็โพล่งขึ้น “จริงสิ!”
เว่ยเฟิงปิงเบิ่งนัยน์ตากว้างกับท่าทีของอีกฝ่าย ฟ่งรีบพูดต่อเร็วปรื๋อ “ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณหน่อย”
   อีกฝ่ายขมวดคิ้วเรียวยาวเป็นเชิงสงสัย  ร่างบางถอยฉากออกมาหน่อยหนึ่ง
   “คุณคิดยังไงกับคุณจางซื่อเยี่ยน?”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #44 เมื่อ23-05-2011 22:01:53 »

   คิ้วเรียวยาวของเฟิงปิงยิ่งขมวดเข้าไปอีก   “หมายความว่างไง?”
   ฟ่งกลืนน้ำลาย พยายามคิดจะหาคำพูดเพื่อจะอธิบาย “คือ  ความสัมพันธ์ของคุณกับคุณจาง เป็นแบบไหนเหรอ?”
หลังพูดจบ ฟ่งรู้สึกเหมือนเขาจะเริ่มทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจ
   “นายจะรู้ไปเพื่ออะไร?” เฟิงปิงถามย้อน
   “ผมอยากรู้ว่าเขาเป็นลูกน้องคุณ หรือเป็นผู้ติดตาม หรือเป็นผู้คุม อะไรทำนองนี้น่ะ” ฟ่งพยายามพูดหาเหตุผลข้างคูๆ และรู้สึกว่ามันฟังดูไม่เข้าท่าเลย
   “หมอนั่นเป็นลูกน้องพ่อฉัน” เว่ยเฟิงปิงตอบเรียบๆ
   “อ้อ” ฟ่งได้แต่สงเสียงคราง นึกไม่ออกว่าจะใช้คำพูดแบบไหนพูดต่อ
   “แล้ว เอ้อ คุณ เป็นเกย์มานานแล้วหรือ?” ร่างบางกลั้นหายใจเมื่อถามเสร็จ  เขาไม่รู้ว่าคำถามบ้าๆ แบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหัวเสียเข้าไปอีกรึเปล่า
   “คงเป็นมาแต่เกิด” เว่ยเฟิงปิงตอบ ฟ่งรู้สึกโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ได้หันมาต่อว่าเขา ชายหนุ่มพยายามจะถามต่อ “แล้วคุณ เอ้อ คิดยังไงกับคุณจางล่ะ คือผมหมายความว่าคุณเคยคิดกับเขามากกว่าการเป็นลูกน้องรึเปล่า?”
   นัยน์ตาเรียวยาวสีฟ้าคู่นั้นตวัดมาทันที ก่อนจะจ้องมาราวกับเห็นสัตว์ประหลาด
   “ฉันเกลียดหมอนั่น ฉันไม่ได้อยากให้มาเป็นลูกน้องของฉันด้วยซ้ำ มันก็แค่คนที่พ่อฉันส่งมาให้คอยตรวดดูฉันแค่นั้นเอง” เว่ยเฟิงปิงโพล่งออกมาด้วยความโมโห จนฟ่งต้องถอยหลังออกไปอีกหลายก้าวด้วยความตกใจ
   “ทำไมถึงถามแบบนี้?” ผู้เป็นทายาทของตระกูลเว่ยหันมาถามกลับ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ฟ่งรู้สึกเหมือนเขาลืมหายใจไปพักหนึ่ง รู้สึกสงสารจางซื่อเยี่ยนขึ้นมาทันที
   “ทำไมคุณถึงเกลียดคุณจางล่ะ  เพราะเขาเป็นลูกน้องของพ่อคุณ?”
   “ใช่” เว่ยเฟิงปิงตอบสวน ก่อนจะพูดต่อด้วยความโกรธ “ฉันรู้สึกขยะแขยงทุกครั้งที่คิดว่าฉันเป็นลูกของคนแบบนั้น  ฉันเกลียดผู้ชายคนนั้น เกลียดคนที่ฉันต้องเรียกว่าพ่อ”
   ฟ่งรู้สึกสะท้าน ความโกรธเกรี้ยวของเว่ยเฟิงปิงที่ระเบิดออกมานั้น เหมือนจะมีสาเหตุมาจากคนที่เขาเรียกว่าพ่อ แต่อย่างไรก็ดี ฟ่งแค่อยากรู้ว่าความจริงแล้วเว่ยเฟิงปิงคิดอะไรกับลูกน้องที่เขาพูดว่ารู้สึกเกลียดนักเกลียดหนาคนนี้กันแน่
   “ถ้าคุณจางไม่ใช่ลูกน้องที่พ่อคุณส่งมา คุณจะชอบเขาหรือเปล่า?” ร่างบางถามต่อ โดยไม่ได้ดูเลยว่าผู้ถูกถามอยู่ในอารมณ์ที่จะตอบได้หรือไม่ เว่ยเฟิงปิงชะงักไปกับคำถามนี้ นัยน์ตาเรียวยาวที่สั่นระริกด้วยความโกรธเบิ่งกว้าง
   “ชอบ?! ฉันน่ะรึ? ทำไมฉันจะต้องชอบหมอนั่น ต่อให้ไม่ใช่ลูกน้องของพ่อฉันฉันก็ไม่..”
   คุณชายเจ็ดค้างประโยคเอาไว้แค่นั้น แล้วพลันเปลี่ยนกลับมาถามผู้อยู่ตรงหน้า “ทำไมนายถึงถามฉันแบบนี้ นายไปรู้อะไรมาหรือไง?”
   ฟ่งกลืนน้ำลายอีกครั้ง พยายามจะฝืนยิ้ม และตัดสินใจพูดออกไป “ผมคิดว่าคุณจางเขาชอบคุณ”
   นัยน์ตาสีฟ้านั้นเบิ่งกว้างด้วยความแปลกใจทันทีได้ยินคำตอบ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฟ่งรู้สึกเหมือนเว่ยเฟิงปิงมีสีหน้าซีดลง และพึมพำอะไรบางอย่าง
   “พูดบ้าๆ”
   “ผมไม่ได้พูดบ้าๆนะ” ฟ่งแย้ง “เขาเป็นห่วงคุณมากกว่าที่ลูกน้องควรจะเป็น ถ้าเขามาดูแลคุณตามคำสั่งพ่อคุณโดยไม่คิดอะไรล่ะก็ ทำไมเขาจะต้องบอกให้ผมไม่บอกคุณเกี่ยวกับเรื่องของรูฟัสด้วยล่ะ?”
   ทันทีที่ได้ยินชื่อของรูฟัส เว่ยเฟิงปิงตวัดสายตามองมาทันที “หมอนั่นห้ามไม่ให้นายบอกอะไรฉัน?”
   ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง บางทีเขาอาจจะพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดออกไปแล้วก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าจะรู้สึกตัวช้าไปหน่อย
   “ซื่อเยี่ยนพูดอะไรกับนาย?”
   ฟ่งตัดสินใจตอบออกไปตามตรง มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะปกปิดไปก็พาลจะซวยเอาเปล่าๆ
“เขาไม่อยากให้ผมบอกคุณว่าผมชอบรูฟัส”
   เว่ยเฟิงปิงนิ่งไปพักใหญ่ นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริก ฟ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรกันแน่
   “ออกไปก่อน” ในที่สุดผู้เป็นเจ้าของห้องก็เอ่ยออกมาอย่างลำบากยากเย็น  ฟ่งมองใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงที่เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดออกมา ขณะที่เครื่องปรับอากาศในห้องยังคงทำงานเป็นปกติ
   “ฉันบอกให้ออกไป” ร่างบางเร่งเสียงขึ้นมาหน่อยหนึ่ง  ฟ่งอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกอีกฝ่ายตะคอกด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม   “ออกไป!”
   เมื่อเป็นแบบนี้ชายหนุ่มจึงหันหลังเดินออกจากห้องไปช้าๆ โดยทิ้งเจ้าของห้องไว้เบื้องหลัง
-----------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง เขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าฟ่งต้องชอบรูฟัส จากท่าทีแสดงออกหลายๆ อย่าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากได้ยินคำพูดคำจากปากเจ้าตัวโดยตรง  ชายหนุ่มยอมรับว่าเขาทำใจไม่ได้ ที่จะต้องถูกผู้ชายที่ชื่อรูฟัสแย่งของสำคัญไปอีกครั้ง  ไม่สิ มันคือการตอกย้ำว่าเขาไม่อาจจะกระชากของสำคัญของหมอนั่นมาไว้ในกำมือได้ต่างหาก
   เขาไม่เคยแย่งชิงสิ่งที่สูญเสียไปจากรูฟัสได้เลย
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเอนศีรษะพิงกับพนักพิงเก้าอี้ คำพูดของฟ่งดังย้อนเข้ามาในหัว ทำไมจางซื่อเยี่ยนถึงได้ห้ามไว้แบบนั้น เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะคิดต่อ  ฟ่งไม่มีเหตุผลที่จะโกหก ถ้าอย่างนั้นจางซื่อเยี่ยนทำลงไปเพื่ออะไร?
   หมอนั่นรู้ล่ะหรือว่าเขาจะต้องเสียใจหากฟ่งเอ่ยประโยคนั้น
   จางซื่อเยี่ยนสังเกตเขาออกขนาดนี้เลยหรือ?
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิด เขาคิดว่าจางซื่อเยี่ยนยุ่งย่ามกับเรื่องส่วนตัวของเขามากไปแล้ว  ทำไมหมอนี่ถึงได้ยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขานัก  และแล้วประโยคที่น่าอึดอัดก็ย้อนกลับเข้ามาในหัว
   ทำไมฟ่งถึงคิดว่าจางซื่อเยี่ยนชอบเขา?
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกขนลุก เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน แม้จะถูกลีลี่แซวเล่น เขาก็เห็นเป็นเรื่องที่น่ารำคาญเต็มที แต่เมื่อย้อนกลับมาคิดดูแล้ว การกระทำต่างๆ ของจางซื่อเยี่ยนนั้น ก็ดูมีพิรุตอยู่ไม่น้อย หากว่าไม่นับว่าหมอนั่นเป็นคนของพ่อเขาล่ะก็
   ถึงตรงนี้เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะให้สมองของตัวเองทำงานอีกต่อไป ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ชายหนุ่มเคยชินกับการถูกเกลียดและแย่งชิงมาตลอด การที่จะสนใจว่าใครจะชอบหรือไม่นั้นเรียกว่าไม่มีอยู่ในสาระบบเลยด้วยซ้ำ
   ร่างบางยกมือขึ้นลูบหน้า ความจริงเขาไม่ควรจะมาคิดมากกับเรื่องแบบนี้  แต่ถ้าหากว่าจางซื่อเยี่ยนชอบเขาจริงๆ.....
   หัวใจของเว่ยเฟิงปิงเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เขาสะบัดศีรษะอย่างแรงทันที เรื่องบ้าๆ แบบนั้นไม่มีวันเกิดขึ้นเด็ดขาด เพราะจางซื่อเยี่ยนเป็นคนที่พ่อส่งมา เว่ยเฟิงปิงรู้ดีว่าคนของเว่ยชิงนั้นจงรักภัคดีต่อเจ้านายของตัวเองและหน้าที่ขนาดไหน
   ร่างบางหยิบกล่องใส่บุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา ก่อนจะนึกได้ว่าเขาลืมเรื่องสำคัญบางอย่าง
   เขาเพิ่งไล่เชลยคนสำคัญออกจากห้องไปด้วยตัวเอง
-------------------------
   เสียงโทรศัพท์สายในที่ดังขึ้นทำให้จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งตื่น ชายหนุ่มเพิ่งหลับตาลงนอนได้ไม่นาน หลังจากที่นอนไม่หลับมาทั้งคืน อดีตหน่วยดำผุดลุกไปรับโทรศัพท์ เสียงปลายสายเป็นเสียงของเด็กหนุ่มที่เขารู้จักดี
   “พี่จาง คุณชายฝากบอกให้พี่ออกไปช่วยตามหาแขกให้หน่อย”
   “หา?” จางซื่อเยี่ยนส่งเสียงอย่างไม่เชื่อหู  อาเง็กซึ่งอยู่ปลายสายจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
   “คุณชายฝากมาบอกให้พี่ช่วยออกไปตามหาเชลยที่หายออกไปด้วย คงอยู่แถวๆ ชั้นแปดมั้งพี่ ตอนนี้คุณชายกำลังตามหาอยู่”
   “อืม” ชายหนุ่มรับคำเรียบๆ และวางสายด้วยความงุนงง  ความจริงเชลยคนนั้นน่าจะอยู่กับเจ้านายเขานี่ ทำไมจู่ๆ ถึงหายไปได้  จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเป็นห่วงเจ้านายของตนเอง เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ชายหนุ่มจึงหยิบเสื้อตัวนอกที่พาดอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมาใส่ แล้วผละออกจากห้องไป

   ร่างสูงโปร่งพยักหน้าทักทายผู้มีอาวุโสน้อยกว่าที่เดินสวนทางมา ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังบันไดหินแกรนิตเพื่อขึ้นไปชั้นบน เขานึกสงสัยว่าทำไมเจ้านายของเขาจึงไม่ไปดูที่กล้องวงจรปิด แต่เมื่อคิดอีกที เว่ยเฟิงปิงคงไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่เชลยคนนั้นจะหลบหนี  จางซื่อเยี่ยนค่อนข้างจะแน่ใจว่าฟ่งคงไม่ทำอะไรเว่ยเฟิงปิงแน่ ผู้ชายคนนั้นเป็นแค่คนธรรมดาๆ บอบบาง และอ่อนแอ  จู่ๆ จางซื่อเยี่ยนก็นึกถึงคำถามที่น่าตกใจที่ฟ่งถามออกมาในช่วงเวลาที่เขาไม่อยากนึกถึง  ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดไปอย่างไม่รู้ตัว
   สิ่งที่พูดตอบออกไปนั้น จะทำให้อีกฝ่ายล่วงรู้ถึงสิ่งที่เขาคิดรึเปล่า อดีตหน่วยดำยอมรับว่าในวินาทีนั้นเขารู้สึกตื่นตระหนกมากที่สุดในชีวิต ไม่รู้ว่าฟ่งไปได้ความคิดแบบนั้นมาจากไหน อย่างไรก็ดีจางซื่อเยี่ยนได้แต่ภาวนาว่าเจ้าตัวคงไม่เล่าหรือพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เว่ยเฟิงปิงฟัง
   ในที่สุดชายหนุ่มก็เดินขึ้นมาถึงบริเวณชั้นที่แปด นัยน์ตาสีอีกามองหาไปตามที่ต่างๆ เขาอยากที่จะเจอตัวผู้ชายคนนั้นก่อนเจ้านาย  เพื่อให้แน่ใจว่าฟ่งจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องราวที่น่ากังวลนั้น ไม่ว่าฟ่งจะหนีออกมาได้เพราะเหตุอะไรก็ตาม เขามั่นใจว่าชายคนนั้นคงจะไม่หนีหายไปไหนได้ง่ายๆ ร่างสูงโปร่งก้าวเท้าอย่างช้าๆ ใช้ทั้งสายตาและการได้ยินที่แหลมคมเพื่อตรวจจับเสียงผิดปกติที่เกิดขึ้น
   เสียงฝีเท้าแผ่วเบาลอยเข้ามากระทบโสตประสาท แม้จะเรียกไม่ได้เต็มปากว่าย่อง แต่เสียงฝีเท้านั้นไม่ใช่การเดินแบบปกติ  ผู้ที่เดินแบบนี้จะต้องรีบร้อนและไม่อยากเปิดเผยตัวเป็นแน่ จางซื่อเยี่ยนเงี่ยหูฟังเสียงเพื่อจับตำแหน่งอีกครั้ง พบว่าเสียงนั้นมาจากเบื้องหน้าเขาและกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ  ชายหนุ่มมองหามุมบอดทางสายตาเพื่อซ่อนตัว  เขาไม่อยากให้เชลยตื่นกลัว เดี๋ยวจะวิ่งหนีอีก ซึ่งมันอาจจะกลายเป็นเรื่องยุ่งเหมือนกับคราวที่แล้วก็ได้
   บริเวณหัวเลี้ยวถือเป็นจุดที่ดีที่สุด ภายในสถานที่ที่แทบจะไม่มีมุมอับแบบนี้  ชายหนุ่มยืนแนบตัวกับฝาผนัง  ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเดินเลี้ยวเข้ามา หรือเดินตรงออกไป จากมุมนี้สามารถที่จะจับกุมตัวได้ไม่ยาก จางซื่อเยี่ยนยืนรออย่างอดทน หายใจอย่างแผ่วเบาที่สุด แล้วเป้าหมายเดินผ่านเข้ามา
   ลำแขนแข็งแกร่งที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีพุ่งออกไปเหมือนงูฉก กระชากแขนของอีกฝ่ายเข้ามาหาตัว พร้อมกับกดลงไปบนพื้น เสียงร้องโอ๊ยดังลั่น จางซื่อเยี่ยนก้มลงมองเชลยของเขาเพื่อที่จะเริ่มบทสนทนา แต่แล้วในวินาทีนั้นเอง เขาแทบจะไม่เชื่อสายตา
   คนที่ถูกกดอยู่บนพื้นไม่ใช่คนที่เขากำลังตามหา แต่กลับเป็นผู้ที่เขากังวลใจที่สุด
   เว่ยเฟิงปิง
   “ปล่อยฉันนะ เจ็บ!”
   ผู้เป็นเจ้านายร้องเหมือนสั่ง  จางซื่อเยี่ยนรีบดีดตัวเองออกมาราวกับโดนไฟดูด  ร่างที่ถูกกดล้มลงยันตัวลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก
   “นายเองรึ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจะแปลกใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาและพบว่าผู้ที่ทำร้ายเขากลับเป็นลูกน้องคนสนิทที่เพิ่งจะถูกตามมาช่วยงาน จางซื่อเยี่ยนมองดูเจ้านายของเขาด้วยทีท่าตระหนก ก่อนจะยื่นมือเข้ามาเพื่อช่วยพยุง
   “ไม่ต้อง!” ผู้เป็นเจ้านายปฏิเสธ ก่อนจะใช้แขนดันตัวขึ้น  แต่แล้วก็ต้องร้องเสียงหลง  ผู้เป็นลูกน้องรีบถลันเข้าไปประคองเจ้านายไว้
   “นายทำแขนฉันเจ็บ นี่กะจะหักกันเลยหรือไง!!”
   “ขออภัยครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว รู้สึกสำนึกผิดและละอายเป็นที่สุด เว่ยเฟิงปิงมองดูลูกน้องของตนในเชิงตำหนิอีกครั้ง และพูดต่อ “พยุงฉันขึ้นไปหน่อย”
   ร่างบางโอบแขนข้างที่ไม่เจ็บขึ้นบนคอของอีกฝ่าย และออกคำสั่งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผู้เป็นลูกน้องยังคงนั่งนิ่ง จางซื่อเยี่ยนรู้สึกกระอักกระอวนเล็กน้อย แต่เขาไม่อยากจะขัดคำสั่งเจ้านายในตอนนี้
   อดีตหน่วยดำพยุงตัวลุกขึ้น ใช้แขนข้างหนึ่งโอบรอบเอวเพื่อช้อนตัวของผู้เป็นเจ้านายขึ้นมาไม่ให้กระทบกระเทือนในส่วนที่เจ็บ  เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเหมือนตัวเองลอยได้  วินาทีนั้นเขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งเกินกว่าที่คาดเอาไว้
   “ขะ ขอบใจ” ผู้เป็นเจ้านายกล่าว รู้สึกร้อนไปทั่วใบหน้า  เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ไหล่ของจางซื่อเยี่ยนนั้นกว้างและดูมั่นคงแข็งแรง จนทำให้เขาเผลอเกาะเอาไว้แน่น จนลืมไปว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ปล่อยมือออกจากเอวของตนเช่นกัน
   “อ้าว!” เสียงอุทานดังขึ้น ทำเอาทั้งคู่สะดุ้ง และผละออกจากกันทันทีเหมือนขั้วแม่เหล็ก เว่ยเฟิงปิงหันขวับไปยังที่มาของเสียงทัก
   คนที่พวกเขากำลังตามหายืนอยู่ห่างออกไปราวๆ ห้าเมตร  ชายหนุ่มสวมแว่นผมกระเซิงยืนกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะ ไม่ต้องเดาเลยว่าฟ่งหัวเราะเรื่องอะไร คงไม่พ้นภาพที่เพิ่งปรากฏเมื่อครู่แน่ๆ
   “นายหายไปไหนมา?!” เว่ยเฟิงปิงพูดเสียงดังเหมือนตะโกน ตอนนี้เขารู้สึกขายหน้ามากกว่าที่จะโกรธ การขึ้นเสียงนั้นเหมือนที่เด็กๆ ชอบทำเวลาทำผิดแล้วพยายามกลบเกลื่อนด้วยการขึ้นเสียงกับเพื่อน แต่ผู้ถูกถามยังคงยิ้มไม่หุบ
   “ผมไปหาข้าวทาน” ฟ่งตอบคำถามนั้นด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้ผู้เป็นเจ้านายของตึกนี้ตาแทบเหลือก
   “ทานข้าว?” เว่ยเฟิงปิงทวนคำอย่างไม่เชื่อหู ฟ่งเดินเข้ามาใกล้ทั้งคู่พลางพูดต่อ “ก็คุณเล่นขังผมไว้ในห้องทั้งวัน ข้าวก็ไม่มีให้ผมกิน ผมก็หิวเป็นนะ ดีที่เมื่อกี้เจอคุณป้ากำลังยกถาดอาหารไปเก็บ ผมเลยตามแกไปด้วย ไม่งั้นอดตายไปแล้ว”
   หนุ่มสวมแว่นเจ้าปัญหาสาธยายเหตุผลยืดยาว  ผู้เป็นคุณชายมองด้วยความหงุดหงิดก่อนจะกระชากเสียงถามต่อ “แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน!”
   ฟ่งเลิกคิ้ว มองเว่ยเฟิงปิงอีกครั้งอย่างแปลกใจ ก่อนจะพูดตอบ “ก็คุณไล่ผมออกมานี่”
   เว่ยเฟิงปิงนิ่งอึ้ง เขาไม่รู้ว่าควรจะโมโหฝ่ายตรงข้าม หรือจะโทษตัวเองดี  ร่างบางขมวดคิ้วยุ่ง  แต่แล้วเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังลอดออกมาจากปากของอีกฝ่าย
   “แหม  อย่าโมโหไปเลย  ความจริงคุณซื่อเยี่ยนก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีไม่ใช่หรือ” ฟ่งพูดเชิงแหย่ เว่ยเฟิงปิงรีบกล่าวสวนทันที “อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันกับหมอนี่ไม่ได้มีอะไรกันเสียหน่อย”
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งวาบ ประโยคสนทนาของคนทั้งคู่ชักจะดูไม่ชอบมาพากล นี่ฟ่งบอกอะไรกับเจ้านายเขารึเปล่า  ร่างสูงรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้า
   “คร๊าบ ผมไม่แกล้งคุณล่ะ” ฟ่งพูดตัดบท เมื่อเห็นผู้ที่อยู่ถัดจากเว่ยเฟิงปิงออกไปมีสีหน้าไม่สู้จะดีนัก แต่เขาก็อดอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าที่เคยดูเจ้าเล่ห์เหมือนพญางูร้ายนั้นตื่นตกใจ และออกแนวจะเขินอายไปด้วยซ้ำ  ฟ่งคิดว่าถ้าเว่ยเฟิงปิงหน้าแดงอาจจะดูสนุกอยู่ไม่น้อย
   “คุณเฟิงปิง คุณหน้าแดงอยู่นะ รู้ตัวรึเปล่า?”
   เร็วพอๆ กับความคิด ฟ่งพูดออกไปทันที  เว่ยเฟิงปิงถลึงตามองเขาอย่างประสงค์ร้าย แต่ใบหน้าเรียวๆ นั้น ก็เริ่มมีสีเลือดฝาดซ่านขึ้นมาตามพวงแก้ม น่าเสียดายที่ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังคงไม่ได้เห็นภาพนี้  เหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงจะรู้ตัวว่ากำลังมีสีหน้าอย่างไรอยู่ ร่างบางขยับตัว หมายจะเดินเข้ามาเค้นคอผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้าม แต่ต้องชะงักเมื่อความเจ็บบริเวณแขนแล่นแปลบเข้ามา
   “หุบปากนะ! นายกำลังเข้าใจผิด หมอนี่ทำฉันเจ็บแขน เลยต้องช่วยพยุงฉันขึ้นมา เข้าใจไหม?” เว่ยเฟิงปิงพยายามจะอธิบายเหตุผล ตอนนี้เขาทั้งอายทั้งโกรธ  ฟ่งเห็นจางซื่อเยี่ยนทำท่าจะอ้าปากพูด แต่แล้วก็หุบปากไป ทั้งๆ ที่เว่ยเฟิงปิงสั่งเขา ไม่ได้สั่งจางซื่อเยี่ยนสักหน่อย
   “ครับๆ” ฟ่งพูด พลางดันแว่นให้เข้าที่ เขาเริ่มรู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มโกรธจริงๆ แล้ว การจะเย้าแหย่ต่ออาจจะไม่เป็นผลดีกับตัวเองเท่าไรนัก และเว่ยเฟิงปิงก็ดูเหมือนว่าจะเจ็บแขนอยู่
   “คุณจะไปหาหมอรึเปล่า?” ฟ่งถามต่อ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ
   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันให้อาซิงดูให้ คงแค่เคล็ด”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ เว่ยเฟิงปิงเดินเอามือกุมไหล่ข้างซ้ายมาหาเข้าด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่สังขารจะอำนวย และออกคำสั่งอีกครั้ง “นายก็ไปกับฉันด้วย”
   ฟ่งเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ มองเลยไปยังจางซื่อเยี่ยนที่ยังยืนนิ่งอึ้งอยู่ “แล้วคุณซื่อเยี่ยนล่ะ?”
   เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงในลำคอด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะเล่นไม่เลิก
“ก็กลับไปทำงานของตัวเองสิ  หมอนี่ไม่ได้ว่างทั้งวันเสียหน่อย” ผู้เป็นเจ้านายสั่งพร้อมตอบแทนลูกน้องเสร็จสรรพ ฟ่งย่นคิ้ว เขานึกอยากให้จางซื่อเยี่ยนไปด้วย
   “แต่เขาเป็นคนทำคุณเจ็บนี่ ให้เขาไปด้วยเถอะ ผมสัญญาว่าจะไม่แกล้งอีก”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะแค่นเสียงแกนๆ “อยากตามก็ตามมาแล้วกัน”
   ว่าแล้วก็เอาตัวดันอีกฝ่ายให้เดินไปข้างหน้า โดยมีจางซื่อเยี่ยนเดินตามมาห่างๆ
-------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #45 เมื่อ23-05-2011 22:02:50 »

บทที่19 กับดัก
   เว่ยเฟิงปิงพาคนทั้งหมดเดินย้อนกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเอง ก่อนจะเรียกฟ่งให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก แต่ชายหนุ่มปฏิเสธ และยื่นให้จางซื่อเยี่ยนแทน เพราะเขาไม่รู้จักคนที่ชื่อว่าอาซิง นั่นทำให้เว่ยเฟิงปิงดูจะไม่พอใจเข้าไปอีก  อย่างไรก็ตามไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น  ผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นเด็กหนุ่มผมสีดำซอยยาวประบ่า พร้อมด้วยกระเป๋าสีดำหรือจะพูดให้ชัดมันคือกล่องสี่เหลี่ยมสีดำหุ้มหนังที่มีสายสะพายนั้นเอง ฟ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนที่เว่ยเฟิงปิงเรียกว่าอาซิง  เขาในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน สวมทับด้วยสูทแบบลำลองสีขาว กลอกตาสีน้ำตาลกลมโตที่ดูน่ารักนั้นมองไปทางเว่ยเฟิงปิง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ฟ่งต้องรีบเปลี่ยนความคิด
   “เป็นอะไรอีกล่ะ?” เสียงที่พูดออกมานั้นกลายเป็นเสียงผู้หญิง ฟ่งเผลอยกมือเกาหัวตัวเอง ขณะที่ผู้ถูกทักเอ่ยตอบ
   “เจ็บแขน” เว่ยเฟิงปิงพูดสั้นๆ หญิงสาวขมวดคิ้วที่ออกจะหนาไปสักหน่อย ก่อนจะก้าวพร่วดๆ ไปหาผู้ป่วย และไม่ลืมที่จะยกมือทักทายบอดี้การ์ดหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง
   “ทำไมไม่ไปโรงพยาบาล?” หล่อนถามต่อ ขณะที่เว่ยเฟิงปิงชี้บริเวณที่เจ็บให้ดู ผู้ถูกถามขมวดคิ้วบ้าง “ถ้าไปจะตามเธอมาทำไม”
   หญิงสาวไม่สนใจคำตอบแบบย้อนๆ ที่อีกฝ่ายกล่าว หล่อนบอกให้เว่ยเฟิงปิงยกแขน ชายหนุ่มพยายามฝืนความเจ็บปวดยกให้หล่อนดู อาซิงเอียงคอมองนิดหนึ่ง ทดลองจับแขนของเว่ยเฟิงปิงขยับไปขยับมา และได้รับคำตอบเป็นเสียงโวยวาย
   “เจ็บ!”
   “ทนหน่อยสิ โวยวายเป็นเรือแตกไปได้” หญิงสาวเอ็ด เว่ยเฟิงปิงหันมาค้อนขวับ ก่อนจะหันหน้าไปมองทางอื่นและกัดฟันกรอด เมื่ออีกฝ่ายจับแขนขยับอีกครั้ง
   “คงไหล่ช้ำ ไม่ถึงกับหลุดหรอก ยังขยับได้ไม่ปวดถึงตายใช่ไหมล่ะ?” อาซิงสรุป และไม่วายแขวะคนเจ็บแถมซ้ำ จางซื่อเยี่ยนมองดูเจ้านายของเขาด้วยความเป็นห่วง
   “แล้วไปทำอะไรอีท่าไหนมาถึงเจ็บแบบนี้” เธอถาม ขณะหยิบตลับยาออกมาจากกระเป๋า  เว่ยเฟิงปิงชายหางตามองไปทางลูกน้อง  ฟ่งคิดว่าเขาเห็นจางซื่อเยี่ยนหน้าถอดสี
   “มีลูกน้องโง่ ก็ซวยงี้แหละ ดันไปเข้าใจผิดว่าฉันเป็นคนนอกเสียได้”
   “เอ้า!” หญิงสาวร้องด้วยความแปลกใจ และหันหน้าไปมองผู้ถูกพาดพิงซึ่งยืนทื่ออยู่ “สรุปนี่ผลงานอาซื่อหรอกหรือ?”
   ฟ่งไม่รู้ว่าอาซิงตั้งใจจะถามเว่ยเฟิงปิงหรือจางซื่อเยี่ยนกันแน่ แต่ผู้เป็นลูกน้องพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะก้มหน้านิ่งอีกครั้ง  อาซิงเลิกคิ้วด้วยความงุนงง “แปลกจริง จู่ๆ ไปกระโดดงับเจ้านายได้ไงเนี่ยอาซื่อ”
   “ช่างมันเถอะ” เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจพูดตัดบท หญิงสาวมองดูจางซื่อเยี่ยนอีกครั้ง แล้วหันกลับไปเปิดแขนเสื้อของเว่ยเฟิงปิงขึ้นเพื่อทายา
   “พรุ่งนี้จะหายรึเปล่า?” คนเจ็บถามหลังจากที่หมอทายาเสร็จแล้ว  อาซิงถลึงตามองเว่ยเฟิงปิงก่อนจะตอบ “หาย ถ้านายไม่ซ่าขยับแขนให้มากนัก ฉันจะให้ยาเอาไว้แล้วกัน”
   พูดพลางควักยาขวดหนึ่งออกมาจากกล่องยา แล้วเทแบ่งใส่ซองยื่นให้เว่ยเฟิงปิง
ชายหนุ่มทำหน้าบู้บี้
   “ไม่เอาค่าปิดปากรึ?” เว่ยเฟิงปิงถาม เมื่อเห็นทีท่าว่าหญิงสาวกำลังจะจากไป ผู้ถูกถามเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มยิงฟัน
   “ไม่คิดแล้วกัน อุบัติเหตุบ้าๆ บอๆ แบบนี้ นานๆ จะเกิดทีนี่  แล้วถ้านายเกิดเบื่อพ่อบอดี้การ์ดคนนี้ ยกให้ฉันสักวันสองวันก็ได้นะ”
   “ไปขอกับพ่อฉันเองสิ” เว่ยเฟิงปิงสวนกลับ อาซิงแลบลิ้นใส่ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป  ฟ่งเกาหัวแกรกๆ อีกครั้ง
   “หมอหรือครับ?” ชายหนุ่มสวมแว่นเอ่ยถามจางซื่อเยี่ยนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มพยักหน้าในขณะเดียวกับที่เสียงของเจ้านายดังสวนขึ้น “หมอเถื่อน!”
   ฟ่งหันกลับมามองหน้าเว่ยเฟิงปิง ซึ่งหันตัวมาพร้อมกับเก้าอี้
   “ไม่แปลกใจหรือไงที่ยัยนั่นไม่ถามถึงนาย?” เขาถาม ชายหนุ่มขมวดคิ้ว  เว่ยเฟิงปิงกล่าวต่อ “ยัยนั่นเป็นเพื่อนฉัน แล้วก็เป็นหมอ หมอถูกกฎหมายนี่แหละ แต่บางทีก็รับรักษาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และยัยนั่นก็ไว้ใจได้ ไม่ถามอะไรที่ไม่ควรจะถามออกมา”
   ฟ่งไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงต้องการจะบอกอะไรเขากันแน่ ชายหนุ่มจึงได้แต่มองผู้พูดอย่างงงๆ ดูเหมือนคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยจะดูสับสนผิดไปจากปกติ ฟ่งไม่รู้ว่าเพราะเรื่องที่เขาพูดแซวเมื่อครู่ หรือเพราะอาการโมโหจากอุบัติเหตุที่ไม่น่าเกิดจากลูกน้องคนสนิทกันแน่  แต่อย่างน้อยหญิงสาวคนเมื่อครู่ก็ทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่มีตัวตนจริงๆ
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองดูแขนของตัวเองซึ่งเคยใช้การได้ดีเมื่อครู่ ที่ถูกพันผ้าคล้องติดกับคอไว้เรียบร้อย  ตอนนี้เขารู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างที่สุด หลังจากการถูกถามด้วยคำถามแย่ๆ แล้วยังเรื่องเดือดร้อนจากความเลินเล่อของลูกน้อง มีเรื่องที่ถูกพบในสภาพที่ไม่น่าอภิรมย์นั้นอีก อารมณ์ของเว่ยเฟิงปิงนั้นนับว่าล่อแหลมแก่การจุดระเบิดเป็นอย่างยิ่ง  อย่างไรก็ดีเขาได้พยายามใช้ความอดทนและขีดความสามารถทางสมองอย่างถึงที่สุดในการสะกดกลั้นและพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ชั่วคราวก่อน
   ชายหนุ่มจำเป็นต้องคิดถึงแผนการในวันพรุ่งนี้ ยังมีอยู่เรื่องเดียวที่เขายังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย คือเรื่องเชลยที่ยืนอย่างไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนอยู่ตรงหน้า  เว่ยเฟิงปิงเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ เขาควรจะบอกกล่าวเรื่องราวกับบุคคลคนนี้ในรูปแบบใดกัน  ชายหนุ่มย้อนนึกไปถึงบทสนทนาของเขากับฟ่งตอนที่อยู่ในห้อง ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจว่าเขาจะไม่บอกอะไรกับเชลยผู้นี้อีก
   “ฉันจะไปทานข้าว”
   จู่ๆ เว่ยเฟิงปิงก็เอ่ยปากขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วผุดลุกออกจากห้องไป  จางซื่อเยี่ยนกับฟ่งมองหน้ากัน ก่อนจะตามออกไปติดๆ
--------------------------------------
   รูฟัสเอนหลังลงพิงกับหมอนที่วางอยู่ตรงบริเวณหัวเตียง ชายหนุ่มอยู่ในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน โดยมีกุญแจมือสีเงินวาววางอยู่ข้างๆ เขาไม่มีอารมณ์จะเล่นของเล่นที่เพื่อนจัดไว้ให้  รูฟัสคิดว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่า การที่เขาใส่กุญแจมือเข้าไปนั้น เว่ยเฟิงปิงย่อมต้องดูออกอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้ใส่กุญแจมือจริงๆ
   ชายหนุ่มกระพริบตา คำพูดและการกระทำของโจวยี่หลายอย่างทำให้เขารู้สึกไม่ไว้ใจ ความจริงแล้วพวกเขาไม่เคยไว้ใจกันเลยตั้งแต่แรก หากไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ของการทำงานร่วมกัน แล้วเรื่องผิดใจในอดีตที่เกิดขึ้นอีก จึงไม่น่าแปลกใจหากโจวยี่คิดจะหักหลังเขา
   แต่ถึงอย่างนั้น  รูฟัสก็ยังจำเป็นจะต้องพึ่งพาชายคนนี้ต่อ การจะได้พบกับฟ่ง มีแต่ต้องเอาตัวเข้าไปหาเว่ยเฟิงปิงเท่านั้น ซึ่งหากโจวยี่คิดจะหักหลังเขาจริงหมอนั่นต้องร่วมมือกับเว่ยเฟิงปิงแน่ ดังนั้นโอกาสที่เว่ยเฟิงปิงจะระแวงสงสัยเขานั้นจะน้อยลงไปอีก  ด้วยเหตุนี้รูฟัสจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใส่ใจกับของเล่นที่วางอยู่ข้างๆ
   ความน่ากังวลใจของพรุ่งนี้กลับอยู่ที่เว่ยเฟิงปิงมากกว่า รูฟัสไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะมาไม้ไหน หากพรุ่งนี้เว่ยเฟิงปิงไม่ได้เอาตัวฟ่งมาด้วย เขาอาจจะต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ดีไม่ดีทางนั้นอาจจะวางแผนไว้ซับซ้อนมากกว่าที่คิดก็ได้  แต่รูฟัสยังเชื่อว่าเว่ยเฟิงปิงจะต้องพาฟ่งมา เพราะการไม่เอาตัวประกันมาจะเป็นผลเสียมากกว่าผลได้ในการเจรจาแบบนี้  อีกทั้งเว่ยเฟิงปิงยังไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บตัวประกันไว้ ดังนั้นความน่ากลัวคือแผนการที่เว่ยเฟิงปิงเตรียมไว้ต้อนรับเขา แทบจะมั่นใจได้เลยว่าคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยคนนี้ต้องไม่ขอซื้อความลับจากเขาแบบตรงไปตรงมาแน่นอน  โดยปกติรูฟัสไม่เคยที่จะมีปัญหาในเรื่องการซื้อขายข้อมูล แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เขาถูกบีบให้เสนอตัวออกไปในถิ่นของศัตรู ซึ่งเต็มไปด้วยวงล้อม นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในอาชีพสายลับ การถูกบีบแบบนี้ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบเต็มประตู  มิหนำซ้ำเขายังต้องพาตัวประกันออกมาอีก
   รูฟัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงคิดว่าเขาให้ความสำคัญกับฟ่งขนาดไหน  แต่ที่แน่ๆ คือตัวเขาเองคงทนไม่ได้หากต้องเห็นสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้น ชายหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาคงไม่สามารถจะทิ้งฟ่งไปได้ และถ้าโจวยี่หักหลังเขาทุกอย่างก็คงจบ
   ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีกลืนน้ำลาย เขาไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากเดินตามเกมที่ถูกวางไว้  รูฟัสเลือกที่จะเสี่ยง ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปตลอดกาล อย่างไรก็ตามงานนี้เขาจะไม่ยอมจ่ายหมดหน้าตักอย่างเด็ดขาด
-----------------------------------
   เสียงคอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศดังแข่งกับเสียงการจารจรยามค่ำคืนภายในมหานครฮ่องกง ชายหนุ่มผู้มีผมยาวถึงกลางหลังขยับแก้ววิสกี้ในมือเบาๆ เสียงน้ำแข็งกระทบขอบแก้วดังกรุ๋งกริ๋ง  โดยปกติเวลานี้เขาจะต้องอยู่ในห้องโถงเพื่อดูแลบ่อน แต่วันนี้โจวยี่ตัดสินใจหยุดกิจการของตนไว้หนึ่งวัน เนื่องจากเขามีเรื่องหลายอย่างที่จะต้องคิดและตัดสินใจ
   ชายหนุ่มยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก ปล่อยให้ของเหลวสีทองภายในแก้วไหลลงสู่ลำคอไปอึกหนึ่ง  ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
   ในความเป็นจริงแล้วเขากับรูฟัสไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเป็นพิเศษ  การร่วมงานกันเมื่อหกปีที่แล้วนั้นเกิดจากการประสานงานของชายที่ใช้ชื่อว่าราฟาแอล ซึ่งเป็นบุคคลอันเป็นที่รู้จักกันดีในวงการว่าเป็นผู้ติดต่อประสานงานและรับทำในเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีใครเขาทำกันนัก เหตุที่ทำให้โจวยี่กระโดดเข้าร่วมงานนี้คือเงินจำนวนมหาศาลที่ราฟาแอลจ่ายให้เขา
   ชายหนุ่มยอมรับว่าในช่วงนั้นกิจการของเขาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ดังนั้นเงินก้อนใหญ่ที่เสนอให้เขาแลกกับการช่วยเหลือการโจรกรรมข้อมูลของตระกูลเว่ยนั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและสมควรจะหยิบฉวยเอาไว้  โจวยี่ไม่ใช่มือใหม่ในวงการ เขาเคยทำงานในระบบการวางแผนผังของทางฮ่องกงและชำนาญเรื่องโครงสร้างและแบบแปลนของตึกต่างๆ  การจะหาเส้นทางลัด หรือช่องโหว่ทางการจารจร หรือเส้นทางโจรกรรมในตึกรูปแบบต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่เขาสามารถจัดการได้ไม่ยาก แม้ตระกูลเว่ยจะมีอิทธิพลสูง แต่โจวยี่มั่นใจว่าหากเรื่องแดงเขายังคงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในฮ่องกงได้  การขายความลับของเพื่อนร่วมงานเพื่อความอยู่รอดนั้นเป็นเรื่องปกติวิสัยหากจะดำรงชีพอยู่ในสังคมเช่นนี้ อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำแบบพร่ำเพรื่อ มันเป็นอย่างสุดท้ายที่เขาจะเลือกเพื่อแลกกับชีวิตของเขา
   การหนีไปของรูฟัสในคราวที่แล้วส่งผลกระทบกระเทือนน้อยกว่าที่คาด โจวยี่บินไปกบดานอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่ทันทีหลังจบงาน แต่ตระกูลเว่ยกลับไม่ออกล่าตัวเขาอย่างดุเดือดเท่าที่ประเมินเอาไว้ในตอนแรก ดูเหมือนผู้เป็นเสาหลักใหญ่ของตระกูลเว่ยจะมีปัญหาที่น่าหนักใจยิ่งกว่า คือศึกชิงอำนาจในตระกูล และการจัดการกับบุตรชายคนเล็กที่มีชื่อว่าเว่ยเฟิงปิง
   โจวยี่ในตอนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องราวของเว่ยเฟิงปิงมากนัก  เขาเดาว่าคุณชายคนนี้คงโดนรูฟัสหลอก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเว่ยเฟิงปิงเข้ามาพบเขาหลังจากกลับเข้าสู่ตระกูลแล้ว และพูดกับเขาในเรื่องที่ทำให้โจวยี่ต้องกัดฟันกรอด
   เด็กคนนั้นพูดถึงเรื่องของหยุนหมิง
   เขาไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงล่วงรู้เรื่องดังกล่าวได้อย่างไร นั่นเป็นเรื่องเดียวที่เขาไม่อาจจะให้อภัยกับรูฟัสได้ และเป็นเหตุผลที่เขายอมขายรูฟัสให้กับเว่ยเฟิงปิง
   ในตอนที่เขาได้พบว่ารูฟัสกับหยุนหมิงมีอะไรกันแล้วนั้น โจวยี่แทบเป็นบ้า แม้จะเคยชินกับการโดนหลอกลวงและหักหลัง แต่เรื่องในวันนั้นเป็นอะไรที่เขาไม่อาจจะทนรับได้  สำหรับเขานั้นหยุนหมิงเหมือนเทวดาตัวน้อยๆ ที่เฝ้าทะนุถนอมเอาไว้เป็นอย่างดี รอเพียงคำรักที่จะออกจากปากของเด็กคนนั้นในสักวันหนึ่ง  แต่แล้วมันก็ถูกเพื่อนร่วมงานของเขาทำลายลง
   สิ่งที่ทำให้โจวยี่รู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดไม่ใช่การที่รูฟัสไปมีอะไรกับหยุนหมิง  แต่คือการที่เขาได้รู้ว่าหยุนหมิงมีใจให้กับชายที่ไม่มีวันจะรับความรู้สึกอันสูงค่านั้นได้  สำหรับรูฟัสแล้วหยุนหมิงคงเป็นแค่คนคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านเข้ามาให้ความสนุกเพียงชั่วข้ามคืน ไม่มีค่าสิ่งใดควรแก่การจดจำมากไปกว่านี้  นั่นทำให้เขารู้สึกคับแค้นเป็นอย่างมาก  แต่ด้วยคำรบเร้าและการขอร้องจากหยุนหมิง ในที่สุดเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะแก้แค้นไป  อย่างไรก็ดีคำพูดของเว่ยเฟิงปิงทำให้ความคิดดังกล่าวหวนกลับมาอีกครั้ง
   เว่ยเฟิงปิงพูดถึงอนาคตเกี่ยวกับการกลับมาของรูฟัส  ซึ่งในตอนนั้นโจวยี่เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เพราะหากรูฟัสจะกลับมาเหยียบฮ่องกงแล้วล่ะก็ คุณชายเจ็ดคนนี้ไม่มีทางจะรู้ได้อย่างเด็ดขาด และที่สำคัญรูฟัสเองคงจะไม่เสี่ยงที่จะกลับมา เพราะตัวเองก็ตกเป็นที่จับตามองของหลายฝ่าย หลังจากฟังคำพูดของเขาจบ คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยได้แต่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าสบายใจเอาเสียเลย เว่ยเฟิงปิงทิ้งคำพูดไว้ให้เขาก่อนกลับไปว่า หากวันหนึ่งเมื่อรูฟัสกลับมา และเขาเปลี่ยนใจ ให้ติดต่อไปได้ทุกเมื่อ
   จากวันนั้นเว่ยเฟิงปิงอำนวยความสะดวกให้กับกิจการของเขาแบบลับๆ ซึ่งโจวยี่เองไม่ถือเป็นบุญคุณแต่อย่างใด เขาเคยพูดเรื่องนี้กับเด็กคนนั้นไปหนหนึ่ง แต่คำตอบที่ได้คือ ไม่เป็นไร จนกระทั่งวันที่รูฟัสมาพบเขาอย่างไม่คาดฝัน โจวยี่จึงหวนคิดไปถึงเรื่องที่เว่ยเฟิงปิงเคยพูดไว้และข้อเสนอนั้นอีกครั้ง
   ชายหนุ่มยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว สิ่งที่เขาจะทำในวันพรุ่งนี้อาจจะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปจากเดิม หรือบางทีชีวิตของเขาอาจจะเป็นเหมือนเดิมและเรื่องบางอย่างอาจถูกสะสางให้ดีขึ้น หรือชีวิตของเขาอาจจะย่ำแย่ลงกว่าที่เป็นอยู่
   โจวยี่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ามันจะจบลงแบบไหน ชายหนุ่มคิดถึงปอยผมสีทองนุ่มๆ และใบหน้าน่ารักของแดเนียลในคืนก่อน  อยากที่จะกอดเด็กคนนั้นไว้แนบอกในคืนนี้  แต่ด้วยความบีบคั้นด้านจิตใจและภารกิจที่ต้องกระทำในวันรุ่งขึ้น ทำให้เขาตัดสินใจบอกยกเลิกไปในนาทีสุดท้าย
   นัยน์ตาคมกริบราวพญาเหยี่ยวสั่นระริก
   บางทีเขาอาจจะยึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมากเกินไป
----------------------------------
   ฟ่งถูกปลุกให้ตื่นด้วยการสะกิดที่ค่อนข้างจะรุนแรง หลังจากคว้าแว่นตามาสวมด้วยความตกใจ จึงพบว่าผู้ที่มาปลุกคืออาเง็ก เด็กหนุ่มออกคำสั่งให้เขาไปอาบน้ำ และโยนเสื้อชุดหนึ่งมาให้  ฟ่งรับเสื้อแล้วเดินเงอะๆ งะๆ ไปเข้าห้องน้ำ ด้วยความคิดว่าเขาอาจจะกำลังฝึกซ้อมการเข้าเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำชาย  อย่างไรก็ตามชายหนุ่มรู้สึกโล่งอกที่ไม่เกิดการคุกคามอันน่าสยดสยองที่เขาได้รับมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่
   ฟ่งเปิดฝักบัวจนสุด ปล่อยให้สายน้ำกระแทกใบหน้าไล่ความง่วง  เขาคิดว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนดึก และไม่มีอาการนอนไม่หลับ  ดังนั้นหมายความว่าตอนนี้คงเป็นเวลาเช้ามาก  ฟ่งนึกสงสัยว่าเขาจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์อะไรต่อไปอีก  ชายหนุ่มหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่ริมอ่างน้ำขึ้นมาเช็ดตัว หยิบเสื้อที่พาดไว้มาสะบัด และพบว่ามันเป็นชุดของเขาเองซึ่งใส่มาในวันแรกที่ถูกพาตัวมาจากประเทศไทย นั่นยิ่งทำให้รู้สึกแปลกใจเข้าไปอีก หรือวันนี้เว่ยเฟิงปิงจะพาเขากลับบ้าน?
   ฟ่งสวมเสื้อพลางนึกถึงคำพูดของเว่ยเฟิงปิง เมื่อวานชายคนนั้นพูดว่าจะพาเขาไปหารูฟัส บางทีสองคนนั้นอาจจะตกลงกันได้แล้ว ฟ่งรู้สึกดีใจเมื่อคิดว่าจะได้กลับบ้าน ชายหนุ่มก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยความยินดีและพบว่ามีโต๊ะอาหารถูกจัดไว้ในห้อง พร้อมด้วยบุคคลที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดี เว่ยเฟิงปิง
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยยิ้มให้เขา ก่อนจะเรียกให้เข้าไปนั่ง  ฟ่งรู้สึกว่ารอยยิ้มของเว่ยเฟิงปิงนั้นดูเศร้าๆ แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก ชายหนุ่มนั่งปุลงบนเก้าอี้ซึ่งวางอยู่ฝั่งตรงข้ามขวางไว้ด้วยโต๊ะไม้กลมสีดำขนาดกลางสลักลายแบบจีนที่มีถ้วยโจ๊กสองถ้วยวางอยู่ตรงข้ามกัน  ฟ่งนึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นจางซื่อเยี่ยน แต่การที่มีอาเง็กยืนอยู่ทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่า
   เว่ยเฟิงปิงลงมือตักโจ๊กขึ้นมาทานโดยไม่กล่าวอะไรอีก  ฟ่งจึงต้องตักขึ้นมาบ้าง  หลังจากกินไปได้สองสามคำ ความสงสัยที่ถูกเก็บเอาไว้ก็ถูกกล่าวออกมาเป็นคำพูด
   “วันนี้คุณจะพาผมไปไหนหรือ?”
   เว่ยเฟิงปิงยังคงทานโจ๊กในถ้วยต่อไปเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูด ฟ่งกลืนน้ำลายก่อนจะตักโจ๊กขึ้นมากินต่อ  สักครู่อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากขึ้นบ้าง “นายคิดว่าฉันจะพานายไปไหนกันล่ะ?”
   ถึงคราวฟ่งเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง ชายหนุ่มยกช้อนค้างเหมือนกำลังคิดหาคำตอบ “กลับบ้านมั้ง”
   เว่ยเฟิงปิงยิ้มให้กับคำตอบนั้น แม้รอยยิ้มนั้นจะไม่ได้ดูชั่วร้ายเหมือนที่ผ่านๆ มา แต่ฟ่งกลับรู้สึกว่ามันดูเศร้าๆ มากกว่าจะเป็นการยิ้มด้วยความดีใจ
   “เมื่อวานฉันคุยกับนายเรื่องที่จะพาไปหารูฟัส จำได้รึเปล่า?”
   ฟ่งพยักหน้า เว่ยเฟิงปิงตักโจ๊กเข้าปาก ก่อนจะหันไปสั่งอาเง็กให้หยิบน้ำที่วางอยู่มาให้  อาเง็กหยิบแก้วน้ำสองแก้วมาวางไว้ตรงหน้าเว่ยเฟิงปิงและฟ่ง เว่ยเฟิงปิงวางช้อนลงในถ้วย ดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “ฉันจะออกไปจัดการสถานที่ นายทานให้อิ่ม แล้วรอฉันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันจะมารับนาย”
   “แปลว่าคุณจะปล่อยผมไปแล้ว?”
   “อือ” เว่ยเฟิงปิงรับคำในลำคอเบาๆ ฟ่งยิ้มกว้าง
   “ขอบคุณนะ” หนุ่มสวมแว่นกล่าว ขณะที่เว่ยเฟิงปิงกำลังจะหันหลังก้าวออกไป คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยชะงักนิดหน่อย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้อง
   ฟ่งลงมือทานโจ๊กจนหมดด้วยความดีใจ และดื่มน้ำรวดเดียวหมดแก้ว เขาหันไปมองอาเง็กที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางนึกเสียใจที่ไม่ได้ชวนอีกฝ่ายให้ทานด้วย
   “ทานข้าวหรือยัง?” ฟ่งถามแก้เก้อ  เด็กหนุ่มพยักหน้า  ฟ่งเลยผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้  เขารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย บางทีอาจจะเพราะเพิ่งตื่นนอน  หนุ่มสวมแว่นทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง คราวนี้เขารู้สึกง่วง  ฟ่งคิดว่าการนอนทันทีหลังจากทานอาหารเป็นเรื่องไม่ดี แต่ความง่วงที่จู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้เขาต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะ และหมดสติไป
------------------------
   “ไว้ใส่ตอนถึงก็ได้น่า” รูฟัสพูดด้วยความรำคาญ หลังจากโดนโจวยี่คะยั้นคะยอให้สวมกุญแจมือตั้งแต่ตอนก่อนจะขึ้นรถ หนุ่มชาวจีนเลิกคิ้วสูง ก่อนจะเหยียบคั่นเร่งพารถเก๋งยี่ห้อฮอนด้าสีแดงพุ่งฉิวฝ่าการจารจรที่คับคั่งไปยังตึกที่เป็นจุดนัดหมายได้รวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ใจ
   “อยากให้ฉันใส่ให้หรือจะใส่เอง” โจวยี่ถามอีกครั้งหลังจากที่สองคนลงจากรถแล้ว รูฟัสแค่นเสียงในลำคอด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะยื่นสองมือให้เป็นคำตอบ เสียงกริ๊กดังขึ้นเมื่อมือทั้งสองข้างของเขาถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยกันด้วยกุญแจมือสีเงินวาว
   “เหมือนพานักโทษไปมอบตัวไงงั้น” โจวยี่กล่าวขณะเดินคู่กับรูฟัสขึ้นไปบนตึก
   “สนุกมากไหม?” รูฟัสพูดประชด  โจวยี่หัวเราะหึๆ ในลำคอ ขณะก้าวเข้าไปในตัวตึกเก่าคร่ำคร่า ที่ดูเหมือนว่ากำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงใหม่ ทั้งคู่ก้าวขึ้นไปบนบันไดสีขาวที่สีเริ่มกะเทาะออกมาจนเห็นเนื้อซีเมนต์สีเทาด้านใน ผ่านแอ่งน้ำขังบริเวณพื้นซึ่งมีน้ำย้อยออกมาจากท่อดับเพลิงซึ่งติดตั้งอยู่ด้านบนเพดาน ขึ้นไปยังชั้นห้าซึ่งมีการตกแต่งไปบางส่วนแล้ว
   หนุ่มชาวรัสเซียสูดหายใจลึก  เขาสังเกตว่าด้านล่างมีคนหลายคนกำลังเฝ้าจับตาดูอยู่แปลว่าคนที่จะพบเขามารออยู่แล้ว  โจวยี่ตบบ่าเพื่อนเป็นเชิงปลอบใจ ก่อนจะผลักอีกฝ่ายให้ขึ้นบันไดต่อ
   ชายหนุ่มก้าวขึ้นบันไดผ่านฝาผนังที่เพิ่งทาสีใหม่เข้าไปยังส่วนที่กำลังจะถูกตบแต่งเป็นห้อง  ณ ที่นั่น ร่างบางที่ดูคุ้นตาเมื่อหกปีก่อนนั่งวางท่าราวกับพญามังกรอยู่บนโซฟาหนังสีดำที่เพิ่งถูกนำมาจัดวางได้ไม่นานนัก
   เว่ยเฟิงปิง
   ฉับพลัน รูฟัสรู้สึกเหมือนถูกเตะตรงข้อพับขา ร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้น ก่อนที่จะทันได้คิดอะไร ใบหน้าก็ถูกจับกระแทกลงกับคอนกรีตเบื้องล่าง
   “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” น้ำเสียงที่ห่างหายไปนานถึงหกปีเอ่ยขึ้น เด็กหนุ่มผู้ครั้งหนึ่งเคยไว้ผมยาวสลวย ลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้าๆ จนรองเท้าหนังสีดำมันปลาบคู่นั้นแทบจะมาหยุดชิดตรงใบหน้าของผู้ซึ่งถูกตรึงไว้กับพื้น
   “ขอแนะนำให้รู้จักสมาชิกใหม่ของฉัน โจวยี่”
   “เฮอะ!” รูฟัสแค่นเสียง รู้สึกเจ็บบริเวณใบหน้าและแผ่นหลังซึ่งอีกฝ่ายใช้เข่ายันเอาไว้  เขาพยายามจะปลดกุญแจมือ  แต่...
   “บ้าชิบ” ชายหนุ่มสบถ เมื่อรู้ว่ากุญแจมือที่เพื่อนสวมให้นั้นไม่ใช่อันที่เคยสาธิตให้ดู  เว่ยเฟิงปิงย่อตัวลง จิกผมของชายผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทอดทิ้งเขาขึ้นมา
   “จำผมได้หรือเปล่า?” ร่างบางเอ่ยถาม รูฟัสเหลือกตาสองสีขึ้นมอง ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน  ใบหน้าที่ดูชั่วร้ายเหมือนงู และดวงตาสีฟ้าคู่นั้น เป็นสิ่งที่ถ้าได้พบแล้วต้องไม่มีวันลืมเลือนไปได้ง่ายๆ
   “น่าตกใจมากที่คุณยอมตกหลุมพรางง่ายๆ แบบนี้ บอกผมหน่อยได้ไหมว่าผู้ชายคนนั้นมีความสำคัญอะไรกับคุณ?”
   “ฉันน่าจะถามไอ้คนที่เอาเข่าดันหลังฉันไว้มากกว่า ไอ้เด็กบ้านี่มันสำคัญอะไรกับนายกัน อายี่”
   นัยน์ตาเรียวยาวราวเหยี่ยวของโจวยี่มองอดีตเพื่อนร่วมงานที่ถูกเขาสยบลงแทบเท้าของเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเย็นชา
   “ผมไม่ได้สำคัญกับเขาหรอก  แต่เด็กที่คุณมีอะไรด้วยเมื่อหกปีก่อนต่างหากล่ะ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากตอบคำถามแทน

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #46 เมื่อ23-05-2011 22:03:23 »

   “คุณชายเจ็ด” โจวยี่เอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรก น้ำเสียงนั้นเหมือนปรามอยู่ในตัว ริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงปรากฎรอยยิ้มเล็กๆ
   “ครับ ผมรู้ว่าคุณไม่อยากให้พูด แต่สำหรับชายคนนี้ ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้ไว้บ้าง ว่าทำอะไรกับคนอื่นเขาไว้ขนาดไหน”
   รูฟัสหัวเราะหลังจากที่เว่ยเฟิงปิงพูดจบ เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว จ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย
   “คุณหัวเราะอะไร?”
   “หลายเรื่อง” รูฟัสกล่าว และไม่เปิดจังหวะให้อีกฝ่ายพูดสวน “สุดท้ายแกก็หลอกลวงหยุนหมิง”
   “นั่นมันแก รูฟัส” โจวยี่เอ่ยปากตอบโต้อดีตเพื่อนร่วมงาน รูฟัสหัวเราะอีก “ฉันบอกแกหลายครั้งแล้วว่าหยุนหมิงมาหาฉันเอง ถ้าฉันรู้ว่าเขากับแกเป็นอะไรกันฉันคงไม่ยุ่ง  แกต่างหากที่หลอกลวง  แกหลอกลวงเขาว่าให้อภัยฉันแล้ว  แกคิดว่าแกทำไปเพื่ออะไร เพื่อหยุนหมิงหรือเพื่อตัวแกเองล่ะ”
   “หุบปาก!” โจวยี่ตะคอก ก่อนจะจับศีรษะของรูฟัสกระแทกลงกับพื้นคอนกรีตอีก เว่ยเฟิงปิงจุ๊ปาก
   “อย่าเล่นแรงสิ เดี๋ยวหมอนี่ก็พูดไม่ได้พอดี” เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงปราม โจวยี่ดึงศีรษะรูฟัสขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มกระพริบตาถี่ๆ เลือดสีแดงไหลซึมออกมาจากศีรษะบริเวณที่โดนกระแทก
   “ดูไม่ได้เลยนะ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ยกมือขึ้นบัดเศษฝุ่นบนใบหน้าของอีกฝ่ายออก รูฟัสรู้สึกมึนศีรษะอยู่พอสมควร เขาหวังว่าบางทีเว่ยเฟิงปิงอาจจะช่วยห้ามเลือดบนหัวของเขา แต่มันดูจะเป็นแค่เรื่องลมๆ แล้งๆ
   “จะเอายังไงกับฉัน?” รูฟัสกล่าวหลังจากที่เริ่มหายมึนไปบ้าง เว่ยเฟิงปิงชะงักมือ แล้วยิ้มขึ้นอีก
   “เอาของมาให้ผมรึเปล่า?” ร่างบางกล่าวสั้นๆ  รูฟัสหรี่ตาลง รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณศีรษะ
   “คนของฉันล่ะ?”   เขาถามกลับ เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้ว
   “คิดว่าผมจะพามาด้วยหรือไง”
   “ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะให้เธอ” รูฟัสตอบ  เว่ยเฟิงปิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างประสงค์ร้าย
“รู้รึเปล่าว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหนกัน คุณคิดว่าจะต่อรองกับผมได้งั้นหรือ?”
   “แปลว่าเธอไม่อยากได้ข้อมูลแล้วงั้นสิ” ชายหนุ่มย้อนถาม  ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
   “ผมมีหลายวิธีการที่จะทำให้คุณพูดนะ รูฟัส”
   “งั้นหรือ ฉันอยากจะรู้ตอนนี้เลยว่าเธอมีวิธีอะไรทำให้ฉันพูดได้บ้าง”
   “ไม่อยากกลับไปลองที่สำนักงานของผมหรือไง?” ร่างบางถาม พร้อมรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจอย่างที่สุด รูฟัสฝืนยิ้ม “ไม่ล่ะ พูดตรงๆ ว่าฉันออกจะหวาดกลัววิธีการทำให้พูดของเธออยู่ซักหน่อย เพราะฉะนั้น ให้ฉันพบตัวประกันหน่อย แล้วฉันจะให้ข้อมูลที่เธอต้องการ”
   “คิดว่าผมจะพาเขามาจริงๆ ?”
   เฟิงปิงย้อน รูฟัสถอนหายใจ “เธอคิดว่าริเวิลจะไม่รู้เรื่องที่ฉันมาพบเธองั้นรึ?”
   ร่างบางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจทันที
   “คิดว่าฉันได้ข้อมูลอะไรในแก๊งเธอไปบ้างล่ะ?”
   “หมายความว่าไง?!” เว่ยเฟิงปิงกระชากเสียงถาม รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของรูฟัส
   “ฉันไม่โง่เหมือนที่เธอคิดนั่นแหละ ถ้าฉันเกิดหายไปวันสองวันนี้ ข้อมูลบางอย่างของแก๊งเธอจะถูกส่งไปให้กับริเวิล ฉันคิดว่าพวกนั้นคงจะดีใจอยู่ถ้าฉันหายไปจริงๆ”
   “อย่ามาขู่ผม!” ร่างบางตวาด รูฟัสหลับตาแล้วถอนหายใจอีกครั้ง “เธอมั่นใจในคนของเธอที่จับตาฉันอยู่มากหรือไง คิดว่าฉันติดต่อกับเจ้านี่คนเดียวงั้นรึ? คิดว่าฉันไม่รู้งั้นหรือว่าคนที่เข้าออกบ่อนหมอนี่มีใครเป็นคนของเธอบ้าง”
   “คุณหักหลังผมรึ?” เว่ยเฟิงปิงพุ่งคำถามไปยังชายหนุ่มผมยาว โจวยี่รีบตอบปฏิเสธ ดูเหมือนเขาเองก็มีสีหน้าแปลกใจอยู่เช่นกัน
   “ไม่เกี่ยวกับหมอนี่หรอก เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้เพิ่งมาฮ่องกงเป็นครั้งแรก ว่าไงล่ะ อยากจะลองเสี่ยงดูหรือเปล่า?”
   ผู้ถูกถามเม้มริมฝีปากแน่น ในที่สุดก็ส่งเสียงเรียก   “อาเฟย”
   ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดซาฟารีสีกรมท่าแขนสั้น เดินออมาพร้อมกับชายหนุ่มอีกสองคน  รูฟัสเบิ่งตากว้าง หนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขารู้จักดี และเป็นคนที่ทำให้เขาต้องดั้นด้นมาถึงที่นี่
   “ฟ่ง!” ชายหนุ่มอุทานเบาๆ  ร่างที่คุ้นตาถูกดันออกมาพร้อมกับผ้าปิดตาสีขาว และที่อุดหู ดูเหมือนว่าฟ่งจะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน  ชายหนุ่มมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร รูฟัสหัวใจเต้นแรง แม้สภาพของฟ่งจะไม่ค่อยน่าดูนัก แต่เขารู้สึกดีใจที่ยังปลอดภัยอยู่
   “เอาล่ะ คุณมีอะไรมาแลกกับผม?”
   “ในกระเป๋ากางเกงฉันมีแฮนดีไดรฟ์อยู่ตัวหนึ่ง” รูฟัสตอบสั้นๆ โจวยี่ล้วงเอาแฮนดีไดรฟ์ที่ว่านั้นส่งให้เว่ยเฟิงปิง ชายหนุ่มรับไปและผุดลุกขึ้น
   “หวังว่าเธอคงจะเอาคอมพิวเตอร์มา” รูฟัสเอ่ยต่อ เว่ยเฟิงปิงไม่สนใจกับคำพูดนั้น เขาเดินไปที่โซฟา รับกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจากลูกน้อง แล้วเปิดมันขึ้น ระหว่างนี้รูฟัสฉวยโอกาสมองสำรวจรอบๆ บริเวณเท่าที่ตัวเองสามารถจะมองได้ เพื่อประเมินสถานการณ์ตรงหน้า 
นอกจากชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่พาฟ่งเข้ามาแล้ว บุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างกายของเว่ยเฟิงปิงนั้นสะดุดตาเขามาก ชายคนนั้นเป็นคนเดียวกันกับคนที่ประมือกับเขาในลานจอดรถ ก่อนที่ฟ่งจะถูกลักพาตัวมาที่ฮ่องกง
   รูฟัสประเมินค่าอดีตหน่วยดำผู้นี้ว่าอันตรายที่สุด รองลงมาจากชายที่ตอนนี้ตรึงเขาเอาไว้กับพื้น  แต่ว่าในสภาพการณ์แบบนี้นอกจากอยู่เฉยๆ รอเวลาแล้ว รูฟัสไม่มีทางเลือกอื่นอีก การทำบางอย่างถือเป็นความเสี่ยง
   เว่ยเฟิงปิงเสียบแฮนดีไดรฟ์เข้ากับคอมพิวเตอร์ และโหลดข้อมูลเข้าสู่ตัวเครื่อง  นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งกว้าง ภาพเหล่านี้คงถ่ายสำเนามาจากไมโครฟิล์มอีกทีหนึ่ง การที่รูฟัสได้ข้อมูลมาในเวลาอันสั้นแสดงว่าข้อมูลพวกนี้คงต้องถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูลออนไลน์ที่ไหนซักแห่ง เพราะเจ้าตัวคงไม่เตรียมการมาล่วงหน้าแน่ๆ เว่ยเฟิงปิงเกิดนึกอยากได้ฐานข้อมูลเหล่านี้ขึ้นมาทันใด หากเขาสามารถเข้าถึงได้แล้วล่ะก็ การหวังที่จะเป็นใหญ่เหนือริเวิลและเว่ยชิงคงไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป  แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะอ่านความคิดเขาออก
   “อย่าพยายามคิดจะหาต้นตอของมันให้ยากเลย  เธอน่าจะรู้ไว้หน่อยว่าฉันไม่ได้เก็บของพวกนี้ไว้รวมกันในที่ที่เดียวและด้วยตัวคนเดียวหรอกนะ”
   เว่ยเฟิงปิงฝืนยิ้ม  รูฟัสไม่ได้พูดผิดไปจากความเป็นจริง การเก็บรักษาข้อมูลที่เป็นความลับแบบนี้ ต้องมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากแน่ๆ และการที่เขาจะโลภมากเจาะเข้าไปนั้น ความเสี่ยงที่ข้อมูลของเขาเองจะรั่วไหลออกไปก็มีสูงเช่นกัน
   “จะคืนคนของฉันมาได้หรือยัง?”
   รูฟัสเอ่ยปากทวง เมื่อเห็นว่าเว่ยเฟิงปิงดูข้อมูลไปได้ระยะหนึ่งแล้ว  ผู้ถูกถามชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก “ผมจะให้คนพาคุณไปส่งที่สนามบิน  ผมจะต้องแน่ใจว่าคุณไม่อยู่ในฮ่องกงแล้ว ผมถึงจะส่งคนของคุณตามไป”
   “งั้นรึ กลัวฉันจะขายข้อมูลของเธอต่อหรือ? แปลว่าเธอจะไม่คืนตัวประกันให้ฉันตอนนี้สินะ”
   “คุณอันตรายเกินกว่าที่ผมจะทำแบบนั้น คุณจำเป็นจะต้องไปให้พ้นจากเมืองนี้ก่อน และจนกว่าผมจะแน่ใจว่าคุณจะไม่ขายข้อมูลที่ว่านั่นให้กับริเวิล ผมถึงจะยอมปล่อยคนของคุณ”
   รูฟัสถอนหายใจยาว ทันใดนั้นเอง ท่อดับเพลิงอัตโนมัติที่ติดตั้งอยู่บนเพดานก็เกิดทำงานขึ้น  สายน้ำสีขาวซ่านกระเซ็นไปทั่วทั้งห้อง เว่ยเฟิงปิงผุดลุกขึ้นจากโซฟาอย่างตกใจ ในขณะที่คนอื่นๆ ต้องหลับตาลงเพราะสายน้ำที่สาดมากระแทกใบหน้า
   “เป็นอันว่าการเจรจาล้มเหลว” รูฟัสเอ่ยก่อนจะยันตัวลุกขึ้น ยื่นมือไปให้โจวยี่ไขกุญแจมือออก
   “ลาก่อน”
   พูดจบทั้งคู่ก็หันหลังกระโจนกลับลงไปทางบันไดที่ขึ้นมา เว่ยเฟิงปิงเบิ่งตากว้าง  หน้าจอคอมพิวเตอร์เริ่มนับถอยหลังการทำลายตัวเองของข้อมูล  เด็กหนุ่มมองฝ่าสายน้ำ ก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
   “ตามมันไป จับมันให้ได้!”
   จางซื่อเยี่ยนที่มีท่าทีลังเลอยู่ในตอนแรกจึงทะยานออกจากที่ตั้ง  ไล่ตามผู้ที่หลบหนีไปตามคำสั่งของเจ้านาย  เว่ยเฟิงปิงปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนโยนมันลงกระเป๋า แล้วสั่งให้อาเง็กซึ่งวิ่งตามเข้ามาหยิบไป ส่วนตัวเองก็หันไปออกคำสั่งกับลูกน้องคนอื่น ท่ามกลางสายน้ำที่ยังคงกระหน่ำลงมา
   “ทำตามแผนที่วางไว้ ส่วนพวกที่เหลือ ระดมขึ้นมาจับหมอนั่นให้ได้” ร่างบางกล่าว แล้ววิ่งตามจางซื่อเยี่ยนลงไป และพบว่าไม่เพียงท่อดับเพลิงของชั้นห้าเท่านั้นที่ทำงาน แต่ดูเหมือนท่อดับเพลิงทุกชั้นจะทำงานหมด เว่ยเฟิงปิงหรี่ตามองฝ่าสายน้ำ เขาไม่เห็นเงาของใครทั้งสิ้น
   “โจวยี่!!” ชายหนุ่มคำรามในลำคอ  นอกจากโจวยี่แล้วคงไม่มีใครที่จะทำเรื่องแบบนี้อีก  ท่ามกลางสภาวะเช่นนั้น มันสมองของเว่ยเฟิงปิงทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างหนัก เขาตัดสินใจวิ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง

   น้ำที่ถูกฉีดออกมาจากฝักบัวดับเพลิงบนเพดานทำให้การมองเห็นของจางซื่อเยี่ยนไม่ค่อยดีนัก  ชายหนุ่มพยายามวิ่งตามผู้ที่เจ้านายของเขาต้องการตัวอย่างยากลำบาก
ขณะเดียวกันนั้นเอง รูฟัสก็รู้สึกว่าแว่นตากันน้ำที่โจวยี่พกมานั้นช่วยเรื่องการมองเห็นได้ไม่มากนัก
   สองหนุ่มวิ่งผ่านแอ่งน้ำขังที่เกิดจากหัวฉีดดับเพลิง และพบว่าน้ำเริ่มจะไหลเบาลง ทั้งคู่หันมามองหน้ากันผ่านแว่นกันน้ำ แล้ววิ่งแยกออกจากกัน จางซื่อเยี่ยนที่วิ่งตามมาต้องหยุดชะงัก เมื่อพบว่าหนึ่งในสองหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา อดีตหน่วยกระพริบตาเพื่อทำให้การมองเห็นดีขึ้น และพบว่ามีโลหะสีเงินวาวกำลังพุ่งเข้าใส่
   ร่างสูงเบี่ยงตัวหลบไปอย่างฉิวเฉียด พร้อมกับดึงลวดโลหะเส้นเล็กๆ ออกมากจากแหวนที่สวมอยู่ และพบว่าผู้ที่ลงมือเมื่อครู่คือชายที่มีชื่อว่าโจวยี่ จางซื่อเยี่ยนหรี่ตาลง ก่อนจะวิ่งพุ่งผ่านผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าไปโดยไม่ให้ความสนใจอีก
   “ใจร้อนจังแฮะ” โจวยี่เอ่ย พร้อมกับสะบัดอาวุธในมือ  อดีตหน่วยดำขมวดคิ้วอีกครั้ง เมื่อเห็นปลายโลหะแบนสีเงินพุ่งเข้ามาหาในมุมที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ชายหนุ่มกระโดดหลบ และต้องดึงสายลวดออกมาอีกครั้ง เพื่อสกัดสิ่งที่พุ่งเข้ามา
   “ถอยไปคุณโจว” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยปาก ตอนนี้น้ำที่ไหลลงมาจากเพดานเบาลงมากแล้ว ทำให้การมองเห็นของจางซื่อเยี่ยนดีขึ้นเป็นลำดับ โจวยี่ถอดแว่นกันน้ำออก
   “คงต้องให้เธอเสียเวลาอยู่ที่นี่สักพักล่ะนะ” ชายวัยสามสิบเศษกล่าว พลางขยับอาวุธที่ดูคล้ายกระบี่จีนแต่มีความยาวและยืดหยุ่นเหมือนแส้
   “กระบี่อ่อนรึ?” ซื่อเยี่ยนกล่าวเบาๆ  โจวยี่ยิ้มแต้ “อ่า ใช่ๆ ไม่ได้ใช้มานานแล้วล่ะ!”
   ยังไม่ทันจะกล่าวจบ จางซื่อเยี่ยนก็เปิดฉากโจมตีทันที โจวยี่สะบัดกระบี่ขึ้นปัดลูกตุ้มทรงกรวยแหลมที่ถูกเหวี่ยงนำร่องเข้ามา เสียงดังติงเมื่อลูกเหล็กและกระบี่ถูกดีดออกจากกัน  โจวยี่รู้สึกชาที่มือเล็กน้อย  น้ำหนักของลูกตุ้มนั่นไม่ธรรมดาจริงๆ
   จางซื่อเยี่ยนสะบัดลวดในมือออกเป็นวงกว้างเพื่อสกัดวิถีของปลายกระบี่ที่ยาวราวๆ สองเมตรนั้นไว้ เสียงลวดกระทบกับกระบี่ดังปะปนกับเสียงน้ำที่กระเซ็นขึ้นจากพื้น เมื่อทั้งสองก้าวเท้าเพื่อการรุกและรับ
   ในตอนแรกโจวยี่มีความมั่นใจอยู่เล็กน้อยว่าอาวุธของเขาได้เปรียบอาวุธของอีกฝ่าย แต่ถึงตอนนี้บางทีเขาอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
   ชายผู้ใช้กระบี่อ่อนเป็นอาวุธยกด้ามกระบี่ขึ้นกันลูกตุ้มเหล็กที่ถูกเหวี่ยงออกมาท่ามกลางตาข่ายลวดที่ดูเหมือนว่าทำลายเท่าไรก็ไม่หมด การเล็งเป้าของจางซื่อเยี่ยนนั้นแม่นยำขึ้นทุกที โจวยี่ยอมรับว่าความเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงในการปะทะครั้งนี้คือการที่อีกฝ่ายมุ่งมั่นจะเอาชีวิต ในขณะที่เขาโจมตีเพียงเพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น  ยังไม่นับการรามือจากการต่อสู้ที่ผ่านมานานแล้วของเขาอีก
   “นี่ พ่อหนุ่ม” โจวยี่เอ่ยขึ้นขณะสะบัดปลายกระบี่ออกไปทำลายวงลวดที่เริ่มจะล้อมเข้ามาอีกครั้ง  แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ค่อยอยากปล่อยให้เขามีเวลาพูดมากนัก จางซื่อเยี่ยนยังคงโจมตีเข้ามาต่อด้วยความเร็วและความแม่นยำที่มากขึ้นเรื่อยๆ
   “เธอไม่อยากรู้หรอว่านายรูฟัสวิ่งไปหาใคร” ผู้ถูกรุกจนต้องถอยกรูดพูดขึ้นอีก แต่อีกฝ่ายยังคงไม่ชะงักมือเช่นเคย น้ำจากหัวดับเพลิงหยุดไหลไปได้สักครู่แล้ว โจวยี่เห็นว่าเขาคงต้องเลิกการถ่วงเวลาที่เสี่ยงอันตรายนี้เสียที
   “ฉันจะบอกอะไรให้เป็นค่าตอบแทนที่เธอเสียเวลาอยู่ที่นี่นะ” พูดพลางเบี่ยงตัวหลบลูกตุ้มที่ถูกเหวี่ยงเข้ามาอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดกระบี่ออกเป็นจังหวะถี่ยิบ เสียงดังติงๆ ขณะที่แหลวดถูกปัดจนกระจาย
   “เจ้านายของเธอไปที่สวิทปิดน้ำ ขอให้โชคดี” โจวยี่กล่าว และถอยเบี่ยงหลบเข้าไปด้านหลังผนังตึกซึ่งอยู่ข้างๆ โดยไม่รอดูปฏิกริยาตอบโต้ นัยน์ตาสีอีกาของจางซื่อเยี่ยนเบิ่งด้วยความตระหนก  ไม่ใช่เพราะท่าที่อีกฝ่ายใช้เมื่อครู่ แต่คำพูดนั่นต่างหาก
   แปลว่ารูฟัสกำลังไปหาเจ้านายของเขา?
   อดีตหน่วยดำปล่อยให้ลวดเงินถูกดึงเข้าไปในแหวนโดยอัตโนมัติ ก่อนจะวิ่งไปยังทิศทางที่คาดว่าเจ้านายจะอยู่

   เว่ยเฟิงปิงผละมือออกจากวาวล์น้ำขนาดใหญ่ ซึ่งติดตั้งอยู่บนชั้นเจ็ดของตึก  ชายหนุ่มสะดุ้งวาบ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้
   ตอนนี้เองเขาเพิ่งตระหนักว่าตัวเองโดนล่อมาติดกับ
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยตัดสินใจหันไปเผชิญหน้ากับผู้ที่เดินเข้ามา นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งกว้าง  เมื่อเห็นว่าผู้ที่กำลังก้าวเท้ามานั้นคือคนที่เขาต้องการตัวเป็นที่สุด
   รูฟัสถอดแว่นกันน้ำออก ใบหน้าคมสันนั้นเย็นชาราวกับรูปปั้น เดินตรงเข้ามายังจุดที่เว่ยเฟิงปิงยืนอยู่
   “วางแผนกันไว้แต่แรกสินะ” ร่างบางกล่าวเสียงแปร่ง รูฟัสส่ายหน้า “ก็ไม่เชิงหรอก”
   “อ้อ” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว  นัยน์ตาสีฟ้าจ้องใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่าง
   “ฉันรู้ว่าเธอดักฟังฉัน เอาล่ะ มาพูดเรื่องของเราดีกว่า”
   เว่ยเฟิงปิงยักไหล่ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ “พูดอะไรล่ะ คิดจะใช้ตัวผมแลกกับฟ่งงั้นรึ?”
   “ใช่”
   “งั้นก็เชิญ” คำตอบของเว่ยเฟิงปิงทำให้รูฟัสหยุดชะงักไปจังหวะหนึ่ง  คราวนี้ร่างบางเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้ จนใบหน้าแทบจะชิดกับรูฟัส “เอาสิ จะจับตัวผมก็เอาเลย”
   รูฟัสจ้องเข้าไปในดวงตาของเว่ยเฟิงปิง  เขาเริ่มประเมินเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าไม่ถูก  เด็กคนนี้กำลังวางแผนจะทำอะไรอีกนะ
   “ว่าไงล่ะ หรือจะทำกับผมเหมือนหกปีก่อนอีก” เว่ยเฟิงปิงยังกล่าวสืบต่อ รูฟัสขมวดคิ้ว
   “หกปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกับเธอ” ชายหนุ่มถาม  ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าหัวเราะร่วน
   “เพิ่งจะมาอยากรู้เหรอ?”   เด็กหนุ่มถามกลับ ก่อนจะเบียดตัวเข้ามาใกล้อีก
   “กอดผมสิ แล้วผมจะบอกคุณ”
   นัยน์ตาสองสีเบิ่งกว้าง  ความรู้สึกแบบนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ความรู้สึกเหมือนตอนคืนนั้น คืนที่เขาได้พบกับเว่ยเฟิงปิงเป็นครั้งสุดท้าย
   “หลังของผม รูฟัส ผมอยากให้คุณรู้ว่ามันเกิดอะไรกับผม” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ขณะโอบมือรอบคอของรูฟัส ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย ค่อยๆ ยกมือสัมผัสแผ่นหลังของอีกฝ่าย และพบว่ามันไม่ได้เรียบอย่างที่คิดไว้
   “เธอ….”
   “พ่อผมฝากเอาไว้ ค่าที่ผมช่วยคุณไง”
รูฟัสลูบฝ่ามือไปบนหลังของอีกฝ่าย ก้อนเนื้อแข็งๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแนวยาวเป็นแถวๆ นั้น ไม่ได้เปิดดูก็พอจะเดาได้ว่าเป็นแผลเป็นที่เกิดจากการถูกเฆี่ยนด้วยอะไรบางอย่างจนเนื้อแตก ชายหนุ่มรู้สึกใจหาย
   “ทำไมเธอถึง...” ยังไม่ทันจะถามต่อ ริมฝีปากบางของเว่ยเฟิงปิงก็ถูกประกบเข้ามา ราวกับค่ำคืนวันนั้นได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง
   “เพราะผมรักคุณไงล่ะ” ร่างบางกล่าว หลังจากถอนริมฝีปากออกไปแล้ว รูฟัสนิ่งอึ้ง แต่แล้วเสียงหนึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนโลกถล่ม
   “รูฟัส!”
   ไม่รู้ว่าฟ่งมายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งค้างกับภาพที่เห็น แม้จะไม่มีแว่น แต่ฟ่งน่าจะเห็นว่าเขากำลังทำอะไร
   ขณะที่กำลังอยู่ในช่วงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้น เสียงของฟ่งก็ดังขึ้นอีก
   “หนีเร็ว!”
   ตอนนี้รูฟัสเพิ่งเข้าใจเหตุผลที่ฟ่งเบิ่งตาค้าง กำปั้นของใครคนหนึ่งประเคนเข้าใส่ใบหน้าของเขาเต็มรัก ช่วยแยกเขาออกจากเว่ยเฟิงปิงได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาพูดให้มากมาย รูฟัสเซถลาไปสองก้าว และพบว่าการโจมตีที่ตามมานั้นเลวร้ายกว่าหมัดเมื่อครู่มาก สิ่งที่เขาทำคือกลิ้งตัวลงกับพื้นเพื่อหลบบ่วงลวดที่คล้องลงมาอย่างหมายชีวิต พร้อมกับดึงมีดสงครามความยาวเกือบฟุตออกมาจากซองใส่ที่ซ่อนเอาไว้ใต้ขากางเกง ปัดฉมวกที่พุ่งเข้ามา แล้วใช้ไหล่กระแทกเข้าที่หน้าอกของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง
   จางซื่อเยี่ยนถอยกรูดออกไปทันที ด้วยแรงกระแทกนี้เองทำให้สติของชายหนุ่มกลับคืนมาอีกครั้ง  เมื่อครู่เขาจู่โจมไปด้วยความโมโหสุดขีด จนเปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายโจมตีเข้ามาได้ ดีที่รูฟัสไม่ได้แนบมีดในมือเล่มนั้นตามมาด้วย ไม่อย่างนั้นฝ่ายที่จะเพลี่ยงพล้ำอาจจะเป็นตัวเขาเอง
   อดีตหน่วยดำสะบัดลวดในมือ เมื่อไม่มีเสียงห้ามปรามจากเจ้านาย  ชายหนุ่มตัดสินใจว่าเขาจะต้องสังหารชายคนนี้ให้ได้
   รูฟัสกระชับมีดในมือ นี่คืออาวุธที่เขาถนัดที่สุด ชายหนุ่มเพ่งมองไปยังคู่ต่อสู้ และรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายมีจุดมุ่งหมายจะเอาชีวิตเขาจริงๆ ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะออมมืออีกต่อไป
   ไม่ต้องมีสัญญาณ ต่างฝ่ายต่างทะยานเข้าห้ำหั่นกันอย่างหมายชีวิต อาวุธลวดนั้นดูจะได้เปรียบอาวุธระยะใกล้แบบมีดอยู่มาก แต่ทักษะการใช้มีดของรูฟัสนั้นดูเหมือนจะข้ามขีดจำกัดของความเร็วและระยะไปแล้ว เขาใช้มันได้คล่องแคล่วราวกับเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกายก็ไม่ปาน ชายหนุ่มสะบัดมีดปัดเส้นลวดที่ถูกเหวี่ยงเข้ามา และก้มตัวลงโจมตีในแนวราบ คมมีดที่แหวกพื้นพุ่งเข้าใส่หน้าขาทำให้อีกฝ่ายต้องกระโดดถอยออกไป อย่างไรก็ตามดูเหมือนจางซื่อเยี่ยนจะรู้อยู่แก่ใจว่าการโจมตีด้วยลวดนั้นมีจุดด้อยในมุมต่ำ ดังนั้นลูกตุ้มจึงถูกเพิ่มเข้ามาในการโจมตี แล้วคราวนี้รูฟัสจึงต้องเป็นฝ่ายที่ถอยบ้าง
   เว่ยเฟิงปิงยืนตะลึงมองภาพที่อยู่เบื้องหน้าโดยพูดอะไรไม่ออก ไม่ต้องพูดถึงคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา  ฟ่งได้แต่ยืนมองตาค้างโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกันแน่  เว่ยเฟิงปิงรู้สึกใจหายทุกครั้งที่รูฟัสถูกบ่วงลวดล้อม เขาไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมถึงต้องห่วงผู้ชายคนนั้น แต่ทุกเส้นลวดของจางซื่อเยี่ยนที่กวาดเข้าไปยิ่งทำให้หัวใจของเว่ยเฟิงปิงแทบหยุดเต้น
   “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ซื่อเยี่ยน!” เว่ยเฟิงปิงออกคำสั่งเสียงพร่า แต่ดูเหมือนว่าผู้เป็นลูกน้องจะไม่ได้ยิน จางซื่อเยี่ยนยังคงโจมตีใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่หยุดยั้ง ความได้เปรียบของอาวุธเริ่มมีผล เมื่อปลายลวดถากผ่านข้อมือของรูฟัสไปจนเลือดไหลซึม ในขณะที่การโจมตีของรูฟัสเริ่มช้าลง
   ผู้มีนัยน์ตาสองสีเริ่มเข้าใจสภาพของตัวเองขึ้นมาบ้างเมื่อบาดเจ็บ บาดแผลบนศีรษะเขายังมีเลือดไหลซึมอยู่ แม้คราบเลือดจะถูกน้ำชะล้างออกไปเยอะแล้ว แต่ปากแผลยังไม่ปิด และอาการปวดศีรษะนั้นก็ส่งผลกระทบกับการเคลื่อนไหวของเขา ความบกพร่องทางร่างกายเล็กๆ น้อยๆ ในสภาวะเป็นตายเช่นนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่หลวง
   เว่ยเฟิงปิงคิดได้ในสิ่งเดียวกับที่รูฟัสคิด เขารู้ว่ารูฟัสได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อน และความได้เปรียบของอาวุธนั้นต่างกันเกินไป  ยิ่งเห็นว่ารูฟัสเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแล้ว ยิ่งแทบจะทนดูต่อไปไม่ได้
   และแล้ว เว่ยเฟิงปิงก็ทำในสิ่งที่ตนเองก็ยังคาดไม่ถึง
   “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงทรงอำนาจที่คุ้นหูดังขึ้น จางซื่อเยี่ยนชะงัก และยิ่งต้องชะงักหนัก เมื่อพบว่าผู้ที่วิ่งเข้ามาขวางการโจมตีของตนเอาไว้คือเจ้านายผู้ซึ่งเป็นคนที่เขาพยายามจะปกป้อง นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมายังเขาด้วยอาการวิงวอนขอร้องอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อดีตหน่วยดำหยุดมือไว้ในจังหวะสุดท้าย ทั้งตกใจและไม่เข้าใจ
เจ้านายเขาเข้ามาทำไม
เพื่อปกป้องหมอนั่นหรือ?
นัยน์ตาสีอีกาเบิ่งกว้างมองผ่านด้านหลังของเว่ยเฟิงปิงไป  ปลายมีดขนาดยาวเกือบฟุตกำลังพุ่งตรงเข้ามา
การโจมตีของรูฟัสนั้นเป็นไปโดยระบบตอบโต้อัตโนมัติของร่างกายมากกว่าจะใช้ความคิดในการควบคุม  เพราะการเข้าถึงความเร็วที่ข้ามขั้นไปของอาวุธที่มีระยะจำกัดขนาดนี้ จำเป็นจะต้องให้ร่างกายเรียนรู้จังหวะการโจมตีจนจดจำได้โดยไม่ต้องสั่งการ  ดังนั้นการหยุดมือในจังหวะสุดท้ายของรูฟัสในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แม้จะรู้ว่ามีคนเข้ามาขวางไว้ก็ตาม
!!!
เว่ยเฟิงปิงเบิ่งตากว้าง  เบื้องหน้าของเขาไม่มีอะไรนอกจากตัวตึกที่ว่างเปล่า วงแขนแกร่งคู่หนึ่งโอบกอดเขาเอาไว้จากเบื้องหลัง พร้อมกับเสียงกระซิบที่คุ้นหู
“ไม่เป็นอะไรนะครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าวอย่างโล่งอกที่ปกป้องเจ้านายของตัวเองไว้ได้ นั่นเพราะสิ่งที่ปักอยู่บนหลังของเขามิได้ไปปักอยู่บนหลังของเจ้านายนั่นเอง
ร่างสูงค่อยๆ ทรุดฮวบลง เว่ยเฟิงปิงหันมาประคองร่างของผู้เป็นลูกน้อง และพูดอะไรต่อไม่ออก เมื่อเห็นมีดสงครามเล่มใหญ่ที่ปักอยู่บนสะบักหลัง เลือดสีแดงไหลซึมแผ่ออกบนเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินครามจนเป็นสีดำ และขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว  รูฟัสยืนอยู่ถัดออกไป ด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนใส่หน้ากาก  และก่อนที่ใครจะทันพูดอะไร เสียงคนอีกคนที่ล้มโครมลงไปก็ดังขึ้น
-----------------------------------



ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #47 เมื่อ23-05-2011 22:04:06 »

หนุ่มนักดีไซน์ กับนายสายลับ
บทที่20 After and Later
   ฟ่งไม่รู้ว่าหลับไปนานขนาดไหน  และยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เพื่อที่จะรู้สึกว่าตื่นแล้ว ชายหนุ่มพบตัวเองอยู่ในโลกแห่งความเงียบและมืดสนิท ดวงตาของเขามีอะไรบางอย่างปิดอยู่ ฟ่งคิดว่าน่าจะเป็นผ้าปิดตา และหูก็โดนอุดเอาไว้ อย่างเดียวที่ทำให้เขารู้ว่าไม่ได้หลับอยู่ คือมือของใครคนหนึ่งที่สะกิดให้เขาก้าวลงจากรถ
   ฟ่งรู้สึกถึงเบาะนุ่มๆ และกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศ  สมองของชายหนุ่มเริ่มทำงานดีขึ้น เขาคิดว่าตัวเองอาจจะถูกวางยานอนหลับ ร่างบางขยับตัวอย่างงกๆ เงิ่นๆ ก้าวเท้าลงจากรถไปได้อย่างทุลักทุเล จนทำให้อดนึกไม่ได้ว่าคนที่ทำแบบนี้น่าจะแบกเขาขึ้นหลังมากกว่าจะปล่อยให้เดินเอง อย่างไรก็ดีนี่คงเป็นแผนการหนึ่งของเว่ยเฟิงปิงเป็นแน่
   ชายหนุ่มเดินออกไปในสภาพแบบนั้นด้วยความรู้สึกใจเสีย เว่ยเฟิงปิงวางแผนอะไรกันแน่ ถึงเวลานี้ฟ่งค่อนข้างจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความตั้งใจจะส่งตัวเขากลับ  การถูกปิดหูปิดตาและถูกพาไปที่ที่ไหนก็ไม่รู้โดยคนที่ไม่รู้จัก  เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ต่อมความหวาดกลัวทำงานได้ดีจริงๆ
   หลังจากที่ทั้งถูกผลักให้เดิน ฉุดให้หยุด แล้วยังต้องขึ้นบันไดอีกหลายชั้น  ในที่สุดร่างบางก็ถูกจับให้ยืนนิ่งๆ  ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่จู่ๆ น้ำเย็นเฉียบก็ราดลงมาบนตัวของเขา  ไม่ใช่น้ำที่ถูกสาดเข้ามา มันเหมือนน้ำจากฝักบัวเสียมากกว่า  ฟ่งรู้สึกตระหนกยิ่งกว่าเดิม นี่เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ และกำลังจะถูกพาไปทำอะไร  ชายหนุ่มอยากที่จะตะโกนถาม แต่แล้วก็ถูกลากให้ออกวิ่งอีกครั้ง  ดูเหมือนว่าคนที่ลากเขาจะพาไปหลบน้ำที่ไหนซักแห่ง สักพักจึงพาออกเดินผ่านสายน้ำที่ไหลลงมากระทบตัวเบาๆ ขึ้นบันได และเดินไปเรื่อยๆ  และในที่สุด นัยน์ตาของเขาก็พบกับแสงสว่าง ฟ่งกะพริบตาถี่ๆ เขายืนอยู่บนขั้นบันไดของตึกไหนซักตึกหนึ่ง แม้จะไม่ได้สวมแว่น แต่ก็พอจะแยกออกว่าตึกนี้กำลังอยู่ระหว่างรื้อและตกแต่งใหม่  ร่างบางหันกลับไปมองเบื้องหลัง ไม่เห็นเงาใครอีก คนที่นำเขาขึ้นมาแล้วแกะผ้าให้คงหลบไปแล้ว  ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดหน้า ทั้งตัวเปียกปอนไปหมด ฟ่งเงยหน้ามองไปที่เพดาน และพบว่ามีน้ำหยดลงมาจากท่อดับเพลิงอัตโนมัติ นี่เองที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในห้องอาบน้ำ
   ฟ่งตัดสินใจที่จะเดินขึ้นไปต่อ เขาเกิดความรู้สึกว่าคนที่พาาขึ้นมาปล่อยคงอย่างให้เขาขึ้นไปพบกับอะไรบางอย่างบนนั้น  ระหว่างนั้นเองเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้น  เป็นเสียงของเว่ยเฟิงปิงไม่ผิดแน่  ฟ่งชะงักฝีเท้า  แต่แล้วอีกเสียงที่แทรกเข้ามาก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรง
   เสียงของรูฟัส!!
   ฟ่งรีบก้าวเท้าขึ้นบันไดเพื่อไปให้ถึงแหล่งที่มาของเสียงนั้น ดูเหมือนทั้งสองคนจะพูดคุยอะไรกันอยู่ แต่บทสนทนานั้นเหมือนจะเบาลงไปดื้อๆ  ฟ่งก้าวเท้าข้ามบันไดขั้นสุดท้ายด้วยความตื่นเต้น แต่สิ่งที่เขาพบคือคนที่มีลักษณะคล้ายกับรูฟัสกำลังจูบอยู่กับเว่ยเฟิงปิง
   ฟ่งอุทานชื่อของรูฟัสออกไปอย่างลืมตัว และนั่นทำให้เขาแน่ใจว่าชายคนนั้นเป็นรูฟัสแน่นอน  แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกใจยิ่งกว่าคือเงาร่างของคนอีกคนหนึ่งซึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วในทิศตรงข้ามกับที่เขายืนอยู่ ฟ่งมั่นใจว่าผู้ที่พุ่งเข้ามานั้นไม่ได้มีจุดประสงค์ดีแน่นอน  เขาตะโกนบอกให้รูฟัสหนี  แต่แล้วเหตุการณ์ที่น่าตระหนกตกใจยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดเอาไว้ก็อุบัติขึ้น เมื่อคนที่เขาบอกให้หนีถูกชกล้มลง  หลังจากนั้นฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในภาพยนตร์แอ๊คชั่นอะไรซักเรื่อง ผิดเสียแต่ว่านี่ไม่ใช่การแสดง มันคือของจริง
   ฟ่งเห็นรูฟัสดึงวัตถุสีเงินออกมาจากใต้ขากางเกง เขาเดาว่ามันอาจจะเป็นมีดหรืออะไรซักอย่างที่คล้ายๆ กัน และอีกฝ่ายคงเป็นจางซื่อเยี่ยนไม่ผิดแน่ แต่สิ่งที่จางซื่อเยี่ยนใช้สู้กับรูฟัสนั้น ฟ่งมองไม่เห็น เขาเห็นวัตถุคล้ายฉมวกและลูกตุ้มถูกเหวี่ยงออกมาเป็นระยะ บางทีฝ่ายนั้นอาจจะใช้เชือก การต่อสู้นั้นตื่นตาเกินกว่าที่จะคิดว่าเป็นการสู้กันของคนธรรมดาสองคน ถ้ามันคือภาพยนตร์ คงต้องบอกว่าเล่นได้ดีมาก แต่สิ่งที่เขาเห็นคือ คนสองคนกำลังจะเอาชีวิตกัน
   ถึงจุดนี้ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก  เขาได้แต่เบิ่งตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า โดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป  ความตระหนกและความหวาดกลัวเข้ามาเกาะกุมความคิด  นี่เขากำลังดูอะไรอยู่กันแน่ ร่างกายของฟ่งเกร็งเครียด นัยน์ตาค้าง เขาได้ยินเสียงเว่ยเฟิงปิงตะโกน รู้สึกจะเหมือนหนึ่งหรือสองครั้ง และโดยไม่คาดคิด เว่ยเฟิงปิงก็ถลาเข้าไปในวงต่อสู้นั้น
   ฟ่งมองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เขาพบเห็นต่อจากนั้นคือมีดที่เสียบลงไปบนหลังของจางซื่อเยี่ยน โดยน้ำมือของคนที่เขาคิดว่ารู้จักดี
   รูฟัส!
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองโดนถอดปลั๊ก
--------------------------------------------
   นัยน์ตาสีน้ำตาลลืมขึ้นอย่างช้าๆ เขามองเห็นหลอดไฟนีออนกรอบสี่เหลี่ยมอยู่ห่างออกไปเบื้องหน้า ฟ่งหลับตาลงอีกครั้งเพื่อให้ชินกับแสง หลังจากลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นใบหน้าที่ค่อนข้างจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี
   “ไม่เป็นไรแล้วนะครับ” น้ำเสียงนั้นพูดกับเขาเป็นภาษาไทย นัยน์ตาสองสีนั้นยากจะลืมเลือนนัก ฟ่งยันตัวลุกขึ้นทันที โดยมีอีกฝ่ายช่วยประคอง
   “ซื่อเยี่ยนล่ะ?” ฟ่งเอ่ยถามหลังจากที่นั่งได้แล้ว ดูเหมือนรูฟัสจะชะงักไปเล็กน้อย
   “อยู่ห้องผ่าตัด” อีกฝ่ายตอบ ฟ่งหันไปมองดูรอบๆ ถ้าอย่างนั้นที่นี่น่าจะเป็นโรงพยาบาล
   “แว่นคุณ” รูฟัสกล่าวพร้อมกับยื่นแว่นที่ว่ามาให้  ฟ่งมองมือข้างนั้นอย่างงงๆ แล้วรับแว่นไปสวม ก่อนจะก้มหน้านิ่ง เขาไม่กล้าที่จะหันไปมองอีกฝ่าย ฟ่งยอมรับว่าเขารู้สึกกลัวรูฟัส กลัวผู้ชายที่สามารถเงื้อมีดแทงใส่คนอื่นได้อย่างไม่ลังเล
   ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้อง รูฟัสเองดูเหมือนจะพูดอะไรไม่ออก ฟ่งได้แต่นั่งเงียบ เขารู้สึกอึดอัด
   “คุณเฟิงปิงอยู่ไหน?” ในที่สุดร่างบางก็เอ่ยถามคำถามออกไปโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาเช่นเคย บรรยากาศยิ่งทวีความอึดอัดมากเข้าไปอีก
   “อยู่ด้านนอก ถ้าคุณอยากพบผมจะไปตามให้”
   “อือ” ฟ่งตอบรับแทบจะในทันที เหมือนว่ารูฟัสจะลังเลอยู่พักหนึ่งหลังจากได้ยินคำตอบ แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไร
   ประตูถูกเปิดอีกครั้ง ฟ่งเงยหน้าขึ้น และพบว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังเดินเข้ามา สีหน้าของชายหนุ่มไม่สู้จะดีนัก นัยน์ตาสีฟ้าใสมองมาพร้อมกับฝืนยิ้มเล็กน้อย
   “ได้ข่าวว่านายอยากเจอฉัน มีอะไรหรือ?”
   “คุณซื่อเยี่ยนเป็นไงบ้าง” ฟ่งเอ่ยถาม เขารู้สึกเป็นห่วงชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยน เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาว “ไม่เป็นอะไรมากหรอก แผลไม่ได้ลึก คิดว่าหมอนั่นคงยั้งมือเอาไว้”
   ฟ่งอ้าปาก ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ เว่ยเฟิงปิงหันมามองหน้าคู่สนทนา “นายเป็นห่วงซื่อเยี่ยน?”
   ผู้ถูกถามพยักหน้า  เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจอีกครั้ง “ทำไมนายจะต้องเดือดร้อน หมอนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับนายเสียหน่อย”
   “ผมไม่อยากเห็นใครตาย” ฟ่งตอบ เงยขึ้นมองหน้าคู่สนทนา
   “นายนี่นะ..” เว่ยเฟิงปิงคราง แล้วพูดต่อ “นายใจดีกับคนอื่น แล้วคนที่นายเพิ่งไล่ออกไปตะกี้ล่ะ?”
   ฟ่งรู้สึกประหลาดใจกับคำถามของอีกฝ่าย
   “หมายถึงรูฟัส?” ชายหนุ่มย้อนถาม  เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า “หมอนั่นทำหน้าบอกบุญไม่รับออกไปเรียกฉัน ก็น่าอยู่อุตส่าห์มาช่วยนายแต่พอตื่นมาดันเรียกหาคนอื่นเสียนี่”
   ฟ่งขมวดคิ้ว นี่เว่ยเฟิงปิงต้องการอะไรจากเขากันแน่
   “ก็เขาจูบกับคุณแล้วนี่” ชายหนุ่มเผลอหลุดปากเรื่องที่ค้างคาใจอยู่ออกมา เว่ยเฟิงปิงร้องเสียงยาวราวได้รับชัยชนะ “นายหึง?”
   “เปล่า” ฟ่งรีบตอบปฏิเสธ เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีที่ฝ่ายนั้นแสดงออกมา
   “ฉันตั้งใจจะให้นายเห็นเองแหละ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ฟ่งหันมาทันที
   “หกปีที่ผ่านมาฉันไม่เคยลืมหมอนั่นเลย ฉันเฝ้าบอกตัวเองว่าชายคนนั้นเป็นคนทำลายชีวิตของฉัน ฉันจะต้องลากตัวหมอนั่นมาแก้แค้นให้ได้ แต่มันก็แค่การหลอกตัวเอง ความจริงคือฉันตัดใจจากเขาไม่ได้  สิ่งที่ฉันทำมาทั้งหมดนี่ก็แค่ให้ได้เจอกับเขาเท่านั้นเอง” เว่ยเฟิงปิงพูดพลางหันมามองคู่สนทนา นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววเศร้าสร้อย
   “ฉันคิดว่าการยึดนายเอาไว้จะทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่ก็ไม่ ตอนที่ฉันได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ฉัน..” เขาหยุดพูดไปอีกพักหนี่ง เหมือนพยายามลำดับความรู้สึกที่กำลังสับสน
   “ฉันรู้สึกดีใจ อยากจะวิ่งเข้าไปกอดเขาด้วยซ้ำ ตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่า หกปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ฉันเกลียดเขาเลยสักนิด แต่มันทำให้ฉันยิ่งโหยหามากเข้าไปอีก  แต่ว่า...ในอีกส่วนหนึ่งใจฉันไม่ยอมรับ  ฉันอยากเห็นหมอนั่นเจ็บปวด  ฉันจึงวางแผน วางแผนให้นายไปยืนอยู่ตรงนั้น  อยากรู้หรือเปล่าว่าฉันจูบหมอนั่นยังไง”
   “เอ๋?” ฟ่งส่งเสียงด้วยความแปลกใจในคำถามประโยคท้ายของเว่ยเฟิงปิง
   “นายจำแผลที่หลังฉันได้หรือเปล่า?” เว่ยเฟิงปิงไม่สนใจปฏิกิริยาของคู่สนทนา เขายังคงดำเนินเรื่องต่อ ฟ่งพยักหน้าอย่างงงๆ
   “เอื้อมมือไปจับดูสิ”
   ฟ่งมองหน้าเว่ยเฟิงปิง แต่ก็เอื้อมมือไปจับตามคำบอก เว่ยเฟิงปิงยิ้มเล็กๆ ก่อนจะแนบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากที่กำลังอยู่ในจังหวะเผลอของอีกฝ่าย ฟ่งตกยกมือขึ้นผลักทันที  เว่ยเฟิงปิงหัวเราะชอบใจ “ฉันทำแบบนี้แหละ”
   ฟ่งยกมือขึ้นเช็ดปาก ไม่รู้จะขำหรือโมโหกับการกระทำของอีกฝ่ายดี
   “ตอนแรกฉันคิดอยากให้รูฟัสกับนายผิดใจกันเฉยๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมาลงเอยแบบนี้” น้ำเสียงของเว่ยเฟิงปิงแผ่วลง
   “ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก” ฟ่งเอ่ย เอามือจับไหล่ของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว เว่ยเฟิงปิงสะดุ้ง หันมายิ้มแห้งๆ
   “นายไม่รู้อะไร….” เขาพูดค้างเอาไว้ จนทำให้คนฟังต้องขมวดคิ้ว เว่ยเฟิงปิงโบกมือ “ช่างเถอะ  ว่าแต่นายคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
   “ผม?” ฟ่งทวนคำอย่างงุนงง เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า  ผู้ถูกถามนิ่งไปพักหนึ่ง “ผมจะกลับบ้าน”
   “อย่างนั้นนายคงต้องคุยกับรูฟัส”
   ฟ่งมองหน้าเว่ยเฟิงปิงด้วยความแปลกใจ ทำท่าจะอ้าปากพูดบางอย่าง แต่อีกฝ่ายชิงพูดต่อ "ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้นายรู้สึกยังไงกับเขา บางทีนายอาจจะกลัว แต่ฉันคงไม่มีสิทธิ์จะไปยุ่งอะไรกับนายอีก หมอนั่นจริงจังกับนายมาก”
   ฟ่งเม้มปาก สีหน้าปั้นยาก
   “โดยส่วนตัว” เว่ยเฟิงปิงกล่าวต่อ “ฉันอยากให้นายเลิกยุ่งกับเขา เพื่อควาปลอดภัยของตัวนายเอง แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นเรื่องที่นายจะต้องตัดสินใจเองนี่”
   กล่าวจบก็ผุดลุกขึ้น ฟ่งส่งเสียงเรียกเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน!”
   ร่างบางหันกลับมามองอย่างสงสัย ฟ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้น “คุณยังรักรูฟัสอยู่อีกหรือเปล่า?”
   รอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยเฟิงปิง
   “ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ” เขาหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม แล้วเดินออกไปในทันที
---------------------------------
   “โดนไล่ออกมารึไง?” โจวยี่เอ่ยทักเมื่อเห็นเพื่อนเดินหน้าบูดออกมาจากห้องพักแพทย์ซึ่งถูกใช้เป็นห้องรับรองพิเศษ ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนทางธุรกิจของตระกูลเว่ย และมีความใกล้ชิดกับเว่ยเฟิงปิงเป็นพิเศษ
   รูฟัสไม่ตอบคำถาม เขานั่งปุลงบนเก้าอี้ยาวสำหรับญาติผู้ป่วยที่ถูกตั้งไว้ริมทางเดิน แต่ดูเหมือนเพื่อนของเขาจะไม่ละความพยายาม
   “เด็กนั่นตื่นมาแล้วเกิดคิดถึงคุณชายมากกว่าแกงั้นสิ?”
   “หุบปากเหอะ” รูฟัสกล่าว สีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ฟ่งไม่หันมามองหน้าเขา ไม่ยิ้ม และไม่แม้แต่จะไต่ถามเกี่ยวกับตัวเขาแม้แต่น้อย แต่กลับถามถึงคนที่จับตัวเองมา  รูฟัสรู้สึกน้อยใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมฟ่งถึงมีท่าทีแบบนั้น
   “เขากลัวแกล่ะสิ ก็น่าอยู่ เล่นแทงคนต่อหน้าเขาแบบนั้นใครจะรับได้ว่ะ คนใจไม้ใส้ระกำอย่างแก โดนเขาไม่เห็นหัวเสียบ้างก็ดีอยู่หรอก”
   “นี่ตกลงแกหายโกรธฉันจริงๆ หรือเปล่านี่?” รูฟัสย้อนถาม  โจวยี่ยักไหล่
   “เปล่า ฉันยังโกรธแกอยู่ พูดกันตรงๆ ว่าฉันโกรธแกมาตลอดตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนนั่นแหละ”
   “อ้อ.. งั้นที่เฟิงปิงพูดก็จริงสนิทงั้นสิ”
   “แกน่าจะรู้แต่แรกแล้วนี่”
   “เฮอะ!” รูฟัสแค่นเสียง เขายอมรับว่าเขาไม่ไว้ใจโจวยี่อยู่แต่แรก แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องเสี่ยง แล้วดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็เสี่ยงกับเขาด้วยเช่นกัน
   “อะไรทำให้แกเปลี่ยนใจ?” หนุ่มชาวรัสเซียเอ่ยถามเพื่อนด้วยความสงสัย
   “ความน่ารักของแฟนแกมั้ง” ผู้ถูกถามตอบกวนๆ ก่อนจะรีบพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก “จะว่าไปมันก็น่าจะตั้งแต่ที่แกโผล่หัวมาหาฉันด้วยเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ล่ะมั้ง  พูดตามตรงนะ ตอนแรกที่รู้ว่าแกมาฉันล่ะโคตรจะดีใจเลย  ไม่คิดว่าแกจะย้อนกลับมาที่นี่อีก  แล้วฉันก็รู้สึกขนลุกพอนึกถึงคำพูดของคุณชายเจ็ดว่าแกจะต้องกลับมา พอแกพูดเรื่องเหตุผลของแก ฉันน่ะแทบจะไม่เชื่อหู  ฉันไม่เคยคิดว่าแกจะมีความรักอะไรกับเขาเป็นหรอก”
   “อ้อ.........”
   โจวยี่กล่าวต่อโดยไม่สนใจกับน้ำเสียงประชดประชันของอีกฝ่าย “เพราะฉะนั้นฉันเลยยิ่งตกใจกับการวางแผนล่วงหน้าของคุณชายเจ็ด เด็กนั่นคิดไว้แล้วว่าแกคงไม่มาที่นี่ด้วยตัวเองแน่ๆ เลยทำเรื่องล่อแกออกมา แต่ฉันยังรู้สึกไม่ค่อยเชื่อว่าแกจะพลาดไปมีห่วงอะไรไว้ที่ไหน แล้วให้เขาจับได้แบบนี้”
   “ดังนั้นฉันจึงติดต่อกับคุณชายเว่ย แต่ท่าทางของแกมันเหมือนไม่โกหก  คือคนกะล่อนอย่างแกมันไม่น่าจะมาเอออวยยอมๆ อะไรง่ายๆ แล้วยังทีท่าเหมือนว่าแกจะห่วงแฟนมาก ฉันเลยเริ่มเชื่อหน่อยๆ ว่ามันจะจริง”
   “ฉันจะไปโกหกแกทำเบื้อกอะไร”   รูฟัสแย้ง หนุ่มวัยสามสิบเศษยักไหล่ “จะไปรู้ได้ไง น้ำหน้าอย่างแกมันเชื่อได้ที่ไหน เห็นฟันเขาเล่นไปทั่ว อยู่ๆ มาบอกแฟนถูกลักพาตัวมา ใครเขาจะไปเชื่อว่ะ”
   รูฟัสทำหน้าเบ้ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ จะไปโต้แย้ง โจวยี่กล่าวต่อ “ก็เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยเปลี่ยนใจไปช่วยแก..”
   “เฮ้ย” รูฟัสร้องอย่างไม่เชื่อหู เพราะคำตอบของโจวยี่มันช่างรวบรัดและตัดตอนจนแทบจะไม่รู้เรื่องกันเลยทีเดียว  หนุ่มวัยสามสิบเศษหลิ่วตามองถามเสียงกวนๆ
   “ทำไม  ไม่พอใจหรือไง หรือแกอยากให้ฉันไปช่วยคุณชายเจ็ด?”
   “เปล่า ช่างมันเถอะ” ชายหนุ่มตอบเซ็งๆ พลางนึกว่าเขาไม่น่าถามเลย โจวยี่นั่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็ชวนคุยอีก
   “เด็กนายนี่ผิดกับที่ฉันคิดไว้เลย”
   “ยังไง?” อีกฝ่ายถาม โจวยี่เม้มปากเหมือนกำลังนึกตรึกตรองอะไรบางอย่าง
   “ครั้งแรกฉันคิดว่าเป็นสาวน้อยน่ารักบอบบาง พอนายบอกว่าเป็นผู้ชาย ฉันก็คิดว่าจะตัวเล็กๆ น่ารักๆ ดูนุ่มนิ่ม แต่ที่ไหนได้ ดันกลายเป็นผู้ชายยี่สิบกว่าที่ผอมแล้วยังดูธรรมด๊า ธรรมดาอีก ฉันล่ะแปลกใจจริงๆ”
   “นั่นแกตีความตามรสนิยมของแกต่างหาก” รูฟัสกล่าว พลางนึกขนลุกเมื่อคิดว่าเด็กที่โจวยี่คบแต่ละคนอายุเท่าไรบ้าง หนุ่มผมยาวเบ้ปาก
   “ฉันก็หลงคิดว่าแกกับฉันมันสเป๊กเดียวกันอยู่ตั้งนาน แล้วนี่สรุปแกไปฟันหยุนหมิงทำไมว่ะถ้าแกไม่ชอบ?”
   ผู้ถูกถามขมวดคิ้ว พลางคิดว่านี่เขากำลังถูกหาเรื่องอีกหรือเปล่า
   “แบบหยุนหมิงไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบ แต่ว่า..ฟ่งก็น่ารักนะ”
   โจวยี่ตบมือป๊าบ ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นจนอีกฝ่ายต้องใช้ศอกถองเพราะอยู่ในเขตโรงพยาบาล  ชายหนุ่มเอามือกุมท้อง เหมือนจะพยายามกลั้นหัวเราะมากกว่าที่จะเจ็บ
   “โอ๊ย ขำๆ ไม่คิดว่าแกจะพูดอะไรแบบตะกี้ออกมาได้นะเนี่ย ราฟาแอลรู้คงบ้าตาย แล้วนี่แกกะจะทำไงต่อ”
   รูฟัสมองหน้าเพื่อนพลางทำหน้าปั้นยาก “คงพาฟ่งกลับไทยล่ะมั้ง ฉันต้องถามราฟี่ก่อน”
   “ติดต่อกับหมอนั่นแล้วหรือไง?” อีกฝ่ายย้อนถาม
   “ยัง ก็ว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ”
   “เรอะ หวังว่าราฟาแอลคงไม่ยิงแกทิ้งทางโทรศัพท์หรอกนะ”
   รูฟัสนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นบ้าง “ว่าแต่แกเหอะ จะทำยังไงต่อ เล่นเฟิงปิงไปขนาดนี้ฉันว่าแกคงอยู่ยาก”
   โจวยี่หันมายิ้มกับรูฟัสอย่างมีเลสนัยน์ “นั่นมันต้องถามแก ฉันรู้ว่าคุณชายเว่ยเขายังมีเยื่อใยกับแกอยู่ แกก็ใช้ความหล่อของแกให้เป็นประโยชน์สิ”
   รูฟัสหน้าเบี้ยว ทำท่าจะอ้าปากเถียง แต่อีกฝ่ายรีบพูดต่อ “อย่าคิดไปไกล ฉันหมายถึง แกน่าจะช่วยพูดให้ฉันได้ เพราะตัวต้นเหตุมันแก ไม่ใช่ฉัน ฉันเอาตัวรอดได้ แต่มันจะดีกับฉันถ้าแกจะช่วยพูดด้วย”
   “เออ จะลองดูแล้วกัน” รูฟัสกล่าวผ่านๆ หลังจากเงียบไปอีกพักใหญ่
   “เฮ้ย คุณชายมาแล้ว”
   ชายหนุ่มหันหลังกลับไปพบว่าเว่ยเฟิงปิงเดินออกมาจากห้อง ร่างบางสาวเท้าเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าค่อนข้างจะเรียบเฉย ก่อนจะบอกให้เขากลับไปข้างใน
----------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #48 เมื่อ23-05-2011 22:04:35 »

   รูฟัสเปิดประตูกลับเข้าไปด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง  ความจริงแล้วปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องคิดก่อนการจะติดต่อกับราฟาแอล คือการทำให้ฟ่งเปิดใจให้เขา รูฟัสพอจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมฟ่งถึงไม่ยอมพูดหรือถามอะไรกับเขา นั่นเป็นเพราะฟ่งรู้แล้วว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่พูดเอาไว้ตอนแรก รูฟัสรู้สึกเห็นใจฟ่ง เขาควรจะเล่าทุกอย่างให้เด็กคนนั้นฟัง แต่จะเริ่มอย่างไร
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองผู้ก้าวเข้ามาใหม่แวบหนึ่ง ก่อนจะหลบสายตาลง รูฟัสกลืนน้ำลาย ฝืนยิ้ม แล้วเดินไปข้างๆ
   “นั่งด้วยนะครับ”
   “อืม” ฟ่งพยักหน้าแล้วส่งเสียงตอบเบาๆ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ความเงียบเข้าครอบงำคนทั้งคู่อีกครั้ง
“คุณคุยกับเฟิงปิงรู้เรื่องหรือ?”
“ผมพูดภาษาจีนได้” ฟ่งตอบคำถามโดยหลีกเลี่ยงที่จะหันมามองคู่สนทนา รูฟัสได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้ในใจ ตลอดเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเฝ้าคิดถึงแต่คนคนนี้มาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าฟ่งนั้นช่างอยู่ห่างไกลทั้งๆ ที่แค่เอื้อมมือก็ดึงเข้ามากอดได้แล้วแท้ๆ  ชายหนุ่มยิ้มเศร้าๆ
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากแบบนี้” รูฟัสเริ่มเปิดประเด็น ฟ่งพยักหน้า
“ผมรู้” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้รูฟัสต้องหยุดคิดไปพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพูดอีกครั้ง “คุณ ไม่คิดจะหันมามองผมหน่อยหรือ?”
ฟ่งนิ่งเงียบไปบ้าง รู้สึกลังเลที่จะหันหน้าไปมองอีกฝ่าย ฟ่งกลัวว่าเขาจะมองรูฟัสไม่เหมือนเดิม เพราะชายที่พูดคุยอยู่กับเขานี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยรู้จัก  ริมฝีปากที่มักบูดบึ้งนั้นเม้มแน่น เขาอยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ฝัน  ถ้าหันกลับไปแล้วพบว่าแท้จริงแล้วตัวเองเพียงแต่ฝันร้าย มันคงจะเป็นเรื่องที่ดี  แต่ฟ่งรู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ  รูฟัสนั่งอยู่ข้างๆ เขา พยายามจะพูดกับเขา แล้วแบบนี้เขาจะไม่แม้แต่จะหันมองเชียวหรือ
ร่างบางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ หัวใจของเขาเต้นแรง  ฟ่งอยากจะหลับตาลงเสีย แต่ว่าความอยากรู้ก็กระตุ้นให้เขาหันไปมองหน้าของอีกฝ่าย
รูฟัสนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏรอยยิ้มละไม
“ผมมารับคุณแล้วนะครับ” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีกล่าว ฟ่งรู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว เหมือนความดีใจจะเอ่อล้นออกมาเพียงแค่ได้ยินคำพูดนั้น น้ำตาไหลทะลักออกมาจากดวงตาร่วงผล็อยลงบนฝ่ามือและเปื้อนใบหน้า รูฟัสขยับตัวเข้ามาใกล้ด้วยความตื่นตระหนก แล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลอยู่  ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ขยับเข้ามาด้วยนัยน์ตาพร่ามัว ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบแห้ง “รูฟัส”
ผู้ถูกเอ่ยชื่อดึงร่างบางเข้ามากอดด้วยความลืมตัว ราวกับกลัวว่าถ้าให้อีกฝ่ายพูดต่อทั้งอย่างนั้น ร่างกายที่บอบบางอาจจะสลายหายไปต่อหน้าเขา
“ผมกลัว” ผู้ถูกโอบกอดสะอื้น หลังจากร่ำไห้อยู่ครู่หนึ่ง รูฟัสลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นด้วยความเจ็บปวด  คนคนนี้ต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายเพราะเขาเป็นต้นเหตุ  หนุ่มตาสองสีอับจนคำพูดที่จะปลอบประโลมใจของอีกฝ่าย สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงปล่อยให้ฟ่งร้องไห้ไปเรื่อยๆ ในอ้อมกอดของเขา
รูฟัสจุมพิตหน้าผากร่างบางเบาๆ อยากจะพูดขอโทษสักร้อยล้านครั้ง แต่นั่นจะได้ประโยชน์อะไร ฟ่งขยี้ใบหน้าเข้ากับแขนเสื้อของรูฟัสจนเปียกชุ่ม
“ไปกับผมนะครับ ฟ่ง” รูฟัสกล่าวหลังจากอีกฝ่ายหายสะอื้นแล้ว  ฟ่งเงยหน้าที่ยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมอง รูฟัสยื่นมือเช็ดใบหน้านั้นเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ได้โปรดเชื่อใจผม ผมไม่เคยคิดร้ายอะไรกับคุณเลย แม้ว่าผมจะเคยโกหก แต่ที่ผมรักคุณเป็นเรื่องจริงนะครับ”
“คุณพาผมกลับเมืองไทยได้ไหม?” ฟ่งเอ่ยถามหลังจากที่นิ่งไปพักใหญ่ รูฟัสลูบศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆ และยิ้มอย่างใจดี “ได้สิครับ แต่อาจจะต้องรอวันสองวัน ผมต้องจัดการเรื่องที่นี่ก่อน”
“เรื่องของเฟิงปิงหรือ?” ฟ่งเอ่ยถาม รูฟัสทำหน้าปั้นยาก เขาไม่รู้ว่าฟ่งเห็นตอนที่เว่ยเฟิงปิงจูบเขาหรือเปล่า  บางทีฟ่งอาจจะเข้าใจผิด
“ก็ไม่เชิงหรอก ผมต้อง..”
การเปิดประตูเข้ามาของบุคคลที่สามทำให้บทสนทนาของทั้งคู่หยุดชะงัก โจวยี่กลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพูดอ้อมแอ้ม
“คือ ฉันไม่ได้คิดจะขัดจังหวะพวกนายหรอกนะ แต่คิดว่าบางคนคงอยากรู้ เจ้าเด็กที่ใช้ลวดออกจากห้องผ่าตัดแล้ว”
---------------------------------
   กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในโรงพยาบาลนั้นแทบจะเป็นกลิ่นเฉพาะ ถึงแม้จะมีการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ผสมน้ำหอม แต่กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้ก็ยังคงลอยปะปนอยู่ในบรรยากาศ 
สำหรับเว่ยเฟิงปิงแล้ว โรงพยาบาลเป็นเหมือนตู้แห่งความหลังที่ทำให้เขานึกถึงผู้เป็นมารดา ในตอนที่เขาอายุได้เก้าขวบ เด็กหนุ่มได้รู้จักกับคำว่ามะเร็งเป็นครั้งแรกในชีวิต หลังจากที่มารดาเขาตกจากเก้าอี้ที่ใช้ปีนเพื่อตกแต่งต้นคริสมาสและขาหัก แพทย์ที่รักษามารดาของเขาแจ้งว่ามารดาของเขาเป็นมะเร็งในระยะสุดท้าย และต้องตัดขาออกเพื่อป้องกันมะเร็งลุกลาม เว่ยเฟิงปิงมองขาของมารดาที่เหลืออยู่ข้างเดียวทุกวัน ด้วยความหวังว่าวันหนึ่งมารดาของเขาจะลุกขึ้นมา แล้วใช้ขาเทียมที่สั่งทำรอไว้ได้ เด็กหนุ่มเฝ้ารอวันแล้ววันเล่าที่โรงพยาบาล มันเปรียบเสมือนบ้าน เว่ยเฟิงปิงกลับจากโรงเรียนและไปเฝ้ามารดาของเขา จนเวลาผ่านไปกว่าสองปี มารดาของเขาก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งซึ่งลามเข้าไปถึงปอด โดยไม่มีโอกาสจะลุกขึ้นเดินอีกเลย
ร่างผอมบางในชุดสูทที่ลูกน้องนำมาเปลี่ยนให้แทนตัวเก่าที่เปียกน้ำ ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัดอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง เขาเพิ่งเดินออกมาจากห้องรับรองซึ่งถูกจัดไว้ให้เป็นพิเศษ เว่ยเฟิงปิงปฏิเสธที่จะอยู่ในห้องนั้น เขายกห้องให้กับชายผู้ซึ่งทำให้ลูกน้องของเขาบาดเจ็บ และอดีตตัวประกันซึ่งเพิ่งฟื้นสติขึ้นมาได้ไม่นาน
คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับชายผู้มีดวงตาสองสีในตอนที่ชายคนนั้นออกมาบอกเขาว่าฟ่งอยากพบ  แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่เว่ยเฟิงปิงก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ไม่ใช่เพราะเขานึกโกรธหรือเกลียดชายที่ชื่อว่ารูฟัส แต่เขารู้สึกละอาย ละอายแก่ใจที่นอกจากเขาจะไม่ได้รู้สึกเกลียดชายคนนี้อย่างที่ตัวเองอยากให้เป็นแล้ว เขายังแทบจะยกชีวิตให้ไปอีกด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอีกคนหนึ่งต้องรับบาดเจ็บแทน
เว่ยเฟิงปิงกุมแขนข้างที่ยังรู้สึกปวดซึ่งเกิดจากความไม่ตั้งใจของจางชื่อเยี่ยนเมื่อวันก่อน  สำหรับเขาแล้ว บอร์ดี้การ์ดคนนี้มีความหมายอะไรกันแน่
ผู้เป็นบุตรชายคนที่เจ็ดของเว่ยชิง ผู้ปกครองเขตธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกงขยับตัวอย่างอึดอัด  เขาไม่เคยคิดแม้แต่จะให้คุณค่ากับชายที่ถูกส่งมาจากหน่วยดำเพื่อดูแลเขา นั่นเพราะจางซื่อเยี่ยนมาด้วยคำสั่งของเว่ยชิงผู้เป็นบิดาซึ่งเขาเกลียดชังมากที่สุด จนกระทั่งคำพูดประโยคนั้นของฟ่ง
   “ผมคิดว่าคุณจางเขาชอบคุณ”
ชายหนุ่มรู้สึกชาไปทั่วร่างทันที ในวินาทีนั้นทำให้เขาได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่เคยฉุกคิดมาก่อนเลยในชีวิต
การถูกรักโดยใครสักคน
เว่ยเฟิงปิงไม่เคยคิดถึงเรื่องราวแบบนี้มาก่อน เขาเชื่อมาตลอดว่าความรักคือการไขว่คว้าและตามหา แม้ว่าผลแห่งความเชื่อนั้นจะไม่เคยเป็นไปดั่งที่หวัง  แต่เขาก็ยังเชื่อว่าสักวันจะได้มาซึ่งความรัก
ชายหนุ่มหลอกตัวเองมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไร  ก็ไม่มีใครสักคนที่จะหันมามอง  คนที่เขาอยากที่จะได้ความรักต่างพากันหนีหาย ไม่ว่าจะทุ่มเทอย่างไร สิ่งสุดท้ายที่ได้กลับมาคือความเสียใจ  ไม่ว่าจะเอื้อมมือคว้าสักกี่ครั้ง ก็ไม่เคยจะถึงความรักที่ว่านั้น
ร่างบางสั่นเทาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังพยายามที่จะไขว่คว้า ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นอยากจะทานทน  ความทรมานจากการโหยหาคร่ำครวญ แม้ว่าจะพยายามเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้กลายเป็นความเกลียดชังสักเท่าไร แต่สุดท้ายแล้ว คำว่ารักก็คือคำว่ารัก
แค่เพียงเสียงก้าวเท้าของผู้ชายคนนั้น หัวใจของเขาก็แทบจะลงไปกองแทบพื้น ใบหน้าคมสันได้รูป เรือนผมสีดำสนิท และนัยน์ตาสองสีคู่งามที่ตราตรึงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำกว่าหกปีนั้น ยามเมื่อปรากฏขึ้นต่อหน้า ความเกลียดชังทุกอย่างที่พยายามสร้างขึ้นเพื่อลดความทรมานจากการโหยหาก็ล้วนอันตระทานหายไปหมดสิ้น  คงเหลือไว้เพียงแต่ความปรารถนาจากหัวใจส่วนลึกที่เขาพยายามจะปิดกั้นมันเอาไว้
รูฟัส
เว่ยเฟิงปิงพยายามอย่างยากเย็นที่จะไม่เอ่ยชื่อนั้นออกไปด้วยน้ำเสียงห่วงหาอาทร แม้ว่าหัวใจของเขาจะหล่นวูบเมื่อเห็นชายหนุ่มถูกกดใบหน้าลงไปแนบพื้น ยิ่งพยายามจะทำให้ตัวเองรู้สึกเกลียดชังต่อชายคนนั้นมากเท่าไร ส่วนลึกในหัวใจยิ่งตะโกนก้องออกมาถึงคำว่ารักดังขึ้นเท่านั้น  และในที่สุดก็ไม่อาจจะสะกดกลั้นเอาไว้ได้อีกเมื่อเห็นผู้ชายที่เขาเฝ้าเพียรหามาตลอดหกปีตกอยู่ในช่วงภาวะคับขัน
เสียงเปิดประตูและเสียงล้อของเตียงเข็นปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมองเตียงที่ถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด ก่อนที่เขาจะทันได้ลุกขึ้นหรือพูดอะไร บุคคลผู้อยู่ในชุดผ่าตัดก็เดินปรี่เข้ามาแล้วถอดผ้าปิดจมูกออก
“อาซื่อปลอดภัยล่ะ” อาซิงกล่าว ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงเธอคนนี้เพิ่งอุทานใส่สายโทรศัพท์ของเว่ยเฟิงปิง  เมื่อทราบข่าวว่าจางซื่อเยี่ยนบาดเจ็บ
เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า บอกไม่ได้ว่ารู้สึกดีใจหรือเปล่า แต่อย่างน้อยคำพูดของอาซิงทำให้เขารู้สึกโล่งใจ ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปยังเตียงซึ่งกำลังถูกเข็นไปยังห้องพิเศษโดยไม่ปริปากพูดอะไร หญิงสาวผู้ผ่านการลงมือผ่าตัดมาหมาดๆ มองดูชายหนุ่มเดินตามเตียงเข็นออกไป ด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ โดยไม่กล่าวอะไรต่อเช่นกัน
เถียนซิง หรืออาซิงที่เฟิงปิงเรียก มีศักดิ์เป็นญาติห่างๆ ฝ่ายมารดาของเว่ยชิง  หล่อนพบกับเว่ยเฟิงปิงครั้งแรกเมื่อหกปีก่อน ตอนนั้นหล่อนกำลังอยู่ในช่วงฝึกงานปีสุดท้ายของคณะแพทย์ ค่ำคืนอันวุ่นวายภายในห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในฮ่องกง เด็กหนุ่มผิวขาวผมยาวอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปด ถูกเข็นเข้ามาในสภาพบอบช้ำและหมดสติ  สิ่งที่ทำให้เถียนซิงต้องหันไปสนใจมิใช่คนเจ็บแต่กลับเป็นใบหน้าอันคุ้นเคยของเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนหนึ่ง ซึ่งพาคนเจ็บเข้ามา เด็กคนนั้นคือจางซื่อเยี่ยน
จางซื่อเยี่ยนในวัยสิบเก้าปี แทบจะพูดได้ว่าโตเต็มที่ ร่างกายแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ และความสามารถอันโดดเด่นในการใช้อาวุธ ทำให้ได้เข้าสังกัดเป็นหนึ่งในหน่วยดำระดับต้นๆ เถียนซิงคุ้นเคยกับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างดี เนื่องจากพี่ชายของเธอเป็นหัวหน้าสังกัดที่จางซื่อเยี่ยนประจำอยู่  การเลี้ยงสังสรรค์ประจำสัปดาห์ของกลุ่มมักจะจัดขึ้นในที่พักของหัวหน้าหน่วย จึงทำให้เถียนซิงได้พบปะกับจางซื่อเยี่ยนบ่อยครั้ง
เด็กหนุ่มผมยาวผู้มีนัยน์ตาเย็นชาสีอีกามักไม่ค่อยจะมีบทบาทนักในวงสังสรรค์ เขามักจะนั่งฟังอย่างเงียบๆ และน้อยครั้งที่จะเอ่ยปากออกมา อย่างไรก็ตามจางซื่อเยี่ยนกลับเป็นบุคคนแรกๆ ที่จะอาสาหรือเดินออกไปเพื่อจัดเตรียมของหรือล้างชาม  อยครั้งที่เขาเดินเข้ามาช่วยงานในบ้านโดยไม่ต้องบอกกล่าวและใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
   ลักษณะการกระทำดังกล่าว กับภาพพจน์ที่เย็นชานี้เองที่ทำให้เถียนซิงรู้สึกประทับใจ ดังนั้นเธอจึงช่วยเหลือเขาอย่างเต็มใจเสมอในเรื่องต่างๆ แม้ว่าภายหลังจางซื่อเยี่ยนจะย้ายไปเป็นบอร์ดี้การ์ดให้กับเว่ยเฟิงปิงแล้ว แต่หล่อนก็ยังมีโอกาสได้พบปะเขาอยู่บ่อยๆ เนื่องจากเว่ยเฟิงปิงเห็นว่าการเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลนั้นเป็นเรื่องวุ่นวาย เมื่อเกิดเหตุเล็กๆ น้อยๆ เขาจึงอาศัยบริการจากหล่อน ซึ่งเถียนซิงก็ไม่ได้รังเกียจ เพราะโดยปกติเธอก็รับงานแบบนี้จากหน่วยดำอยู่แล้ว
   แพทย์สาววัยใกล้สามสิบถอนหายใจยาว ก่อนจะเอื้อมมือหยิบแก้วกาแฟที่เจ้าหน้าที่ยกมาให้ขึ้นดื่ม หล่อนรู้ว่าจางซื่อเยี่ยนคิดอะไรกับเว่ยเฟิงปิง อย่างน้อยเถียนซิงก็คิดว่าหล่อนรู้ จะใช้คำอธิบายว่าเซนส์ของผู้หญิง หรือการอนุมานตามหลักเหตุผลหรืออะไรก็ตามแต่ หญิงสาวผู้มีใบหน้าคล้ายเด็กหนุ่มเชื่อว่าอดีตลูกน้องของพี่ชายชอบเจ้านายคนใหม่ของเขา แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องชอบพอธรรมดา เถียนซิงเห็นว่าจางซื่อเยี่ยนอาจจะถึงขั้นลุ่มหลง แต่เด็กนั่นไม่ชอบการแสดงออกตรงๆ
หญิงสาวยกมือขึ้นเสยผม หากใครคิดว่าคาดเดาความคิดของจางซื่อเยี่ยนลำบากแล้ว การคาดเดาความคิดของเว่ยเฟิงปิงนั้นลำบากยิ่งกว่า  เถียนซิงมองไม่ออกว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นญาติห่างๆ ของหล่อนมีความคิดแบบไหนกับบอร์ดี้การ์ดคนนี้ เว่ยเฟิงปิงเป็นคนอารมณ์แปรปรวน คาดเดายาก และเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจหลายๆ อย่าง บางครั้งเถียนซิงก็รู้สึกไม่สบายใจนักกับแววตาของเด็กคนนั้น  อย่างไรก็ดีสีหน้าและท่าทางของเว่ยเฟิงปิงในวันนี้กลับชวนให้ฉุกคิดว่าบางทีเขาอาจจะมีเยื่อใยให้กับบอร์ดี้การ์ดหนุ่มคนนั้นก็ได้
เถียนซิงยกกาแฟขึ้นดื่มอีก หล่อนไม่ได้รู้สึกรังเกียจคนที่ปกพร่องทางเพศหรือนิยมเพศเดียวกันแต่อย่างใด เพราะตัวเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนแบบนั้น หญิงสาวถอนหายใจยาว เธออยากจะช่วยเหลือจางซื่อเยี่ยนให้มากกว่านี้  ร่างผอมผุดลุกขึ้น ก่อนจะก้าวออกไปในทิศเดียวกับที่เว่ยเฟิงปิงเพิ่งออกไป
--------------------
เสียงประตูที่ถูกดึงโดยระบบปิดอัตโนมัติปิดลงอย่างเงียบๆ ภายในห้องพิเศษขนาดกลางบุด้วยวอลเปเปอร์สีออกฟ้าขาว เสียงทำงานของคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศถูกแทรกด้วยเสียงหายใจผ่านเครื่องช่วยหายใจของชายหนุ่มที่นอนพักพื้นอยู่บนเตียง
ร่างผอมบางของผู้มีใบหน้าเรียวยาวพร้อมด้วยนัยน์ตาสีน้ำเงินใส ลากเก้าอี้พนักสีขาวบุหนังเข้ามาใกล้ ก่อนจะนั่งลงข้างเตียง มองดูใบหน้าอันคุ้นเคยซึ่งยามปกติมักจะปั้นหน้าตายคอยสั่งโน่นสั่งนี่และจับตามองเขาตลอดเวลา แต่ตอนนี้ร่างแข็งแรงที่เคยเดินเหินอย่างคล่องแคล่วนั้น กลับนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย โดยมีเพียงเสียงหายใจแผ่วๆ เท่านั้นที่เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่
เว่ยเฟิงปิงกะพริบตา ตลอดสี่ปีที่จางซื่อเยี่ยนมารับหน้าที่เป็นบอร์ดี้การ์ดของเขา นี่เป็นครั้กแรกที่เขามีโอกาสได้เห็นจางซื่อเยี่ยนในสภาพเช่นนี้   เขาคิดมาตลอดว่าชายคนนี้เป็นเครื่องจักร ไม่มีวันพังไม่มีวันเสื่อม ทำงานตามบัญชาได้ตลอดเวลา แต่ถึงตอนนี้เว่ยเฟิงปิงตระหนักชัดแล้วว่าจางซื่อเยี่ยนไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด ชายคนนี้มีชีวิต มีความคิด และชายคนนี้แหละที่เอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อปกป้องเขา ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหาอันตรายแท้ๆ
นิ้วเรียวยาวไล้เส้นผมสีดำสนิทที่ยุ่งสยายอยู่บนหมอนหนุนให้เข้าที่ เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาสัมผัสร่างกายของผู้เป็นบอร์ดี้การ์ดคนนี้ด้วยความตั้งใจ นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ลงพร้อมด้วยริมฝีปากบางที่เม้มเข้าหากัน มือน้อยสั่นระริกเมื่อสัมผัสโดนใบหน้าคมสัน ซึ่งบัดนี้แทบจะกลายเป็นสีขาวซีด นัยน์ตาสีอีกาซึ่งเคยจับจ้องเขาบัดนี้ปิดสนิท ร่างบางสั่นสะท้าน  ความรู้สึกผิด ความรู้สึกโมโห ความรู้สึกโกรธแค้นประดังเข้ามา เขาไม่ได้โกรธจางซื่อเยี่ยน แต่กลับรู้สึกโกรธและโมโหตัวเอง ที่จนบัดนี้แล้วเขายังไม่มีแม้แต่ความโกรธเคืองมอบให้แก่ชายผู้ซึ่งทำลายชีวิตของเขา และทำให้ลูกน้องของเขาต้องนอนแน่นิ่งเช่นนี้
เว่ยเฟิงปิงทราบอยู่ลึกๆ ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของรูฟัส  ชายคนนั้นไม่เคยผิดอะไรมาแต่แรก ฝ่ายที่ผิดคือตัวเขา ความดื้อรั้นและเอาแต่ใจของเขาเป็นสาเหตุทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด ร่างบางเม้มปากแน่น กล้ำกลืนความรู้สึกที่กำลังเอ่อทะลัก กลั้นน้ำตาที่เริ่มเอ่อท้นออกมา  นี่เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เขาอยากที่จะพูดว่าขอโทษ
มันเป็นเพียงเสียงที่ดังก้องอยู่ในจิตใจ ต่อให้เขาตะโกนคำนี้ออกมาดังแค่ไหน จางซื่อเยี่ยนในตอนนี้ก็ไม่มีทางจะได้ยินเด็ดขาด ร่างบางไล่นิ้วเรียวยาวไปตามเรือนผมสีดำนั้นด้วยความรู้สึกสงสาร  ผ่านใบหน้า ลงไปจนถึงไหล่ที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ บาดแผลที่ชายหนุ่มได้รับนั้นอยู่บริเวณสะบักไหล่ด้านซ้าย เว่ยเฟิงปิงยังไม่มีโอกาสได้เห็นว่าบาดแผลนั้นร้ายแรงเพียงใด เขาทราบแต่ว่ามันไม่ได้ลึกมากนัก นั่นทำให้รู้สึกวางใจอยู่ได้ส่วนหนึ่ง
เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาว นัยน์ตาสีฟ้ามองไล่ใบหน้าของร่างที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาเคยอยากจะลบชายคนนี้ทิ้งไปจากโลก แต่ตอนนี้เขาอยากที่จะให้ชายคนนี้ลืมตาตื่นขึ้นมามากที่สุด ลืมตาขึ้นมาฟังสิ่งที่เขาอยากพูด เว่ยเฟิงปิงก้มหน้าลงใกล้ๆ หูของจางซื่อเยี่ยน เผยอริมฝีปากเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะหยุดไว้แล้วยืดตัวขึ้น จังหวะนั้นเองที่เขาเงยหน้าไปเห็นบุคคลอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู
เถียนซิงยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมด้วยนัยน์ตากลมโตที่เบิ่งกว้าง และริมฝีปากที่ค่อยๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่ผู้มาใหม่ทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น เขาเริ่มเอะใจแล้วว่าอีกฝ่ายคิดอะไร
ร่างบางลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะก้าวพรวดๆ สวนทางออกไปที่ประตู แต่โดนหญิงสาวใช้มือกั้นเอาไว้
“ฉันจะกลับ!” ชายหนุ่มกล่าวเสียงกระด้าง พลางปัดมือที่กั้นอยู่ออก เถียนซิงห่อปาก
“ไม่เอาน่า จะกลับอะไรป่านนี้”
“ฉันมีงานต้องทำ” เว่ยเฟิงปิงตอบ พลางพยายามเลี่ยงออกไปด้านข้าง แต่เถียนซิงก็จงใจเดินเข้ามาขวางไว้อีก
“งานน่ะ ไว้ก่อนก็ได้ ฉันอยากให้นายอยู่เฝ้าหมอนี่” หญิงสาวกล่าว
“ทำไมฉันจะต้องอยู่เฝ้าด้วย!” เว่ยเฟิงปิงเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เพราะนั่นเป็นสิ่งที่นายอยากจะทำ และหมอนั่นก็คงอยากให้ทำเหมือนกัน” หล่อนพูดพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น เว่ยเฟิงปิงเม้มริมฝีปาก พยายามจะคิดหาคำพูดไปต่อกรกับอีกฝ่าย แต่เถียนซิงไม่ยอมเปิดโอกาสให้ หล่อนเปิดฉากพูดต่อ
“หมอนั่นเฝ้านายมาตั้งหลายปี เสี่ยงชีวิตมาให้นายมาก็เยอะ  นายจะอยู่เฝ้าซักไม่กี่ชั่วโมงไม่ได้หรือไง”
ร่างบางก้มหน้า จนปัญหาจะหาถ้อยคำใดมากล่าวอีก เถียนซิงถอนหายใจ ยกมือขึ้นแตะไหล่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเบาๆ
“อย่าถือทิฐิให้มากนักเลย หมอนั่นชอบนาย เรื่องนี้นายเองก็คงรู้สึก”
   เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายทันที นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นเหมือนจะเอ่ยคำว่าเป็นไปไม่ได้ออกมา เถียนซิงถอนหายใจพร้อมยิ้ม
   “ถ้านายไม่เชื่อ ฉันจะเล่าให้ฟัง”
---------------------------------


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #49 เมื่อ23-05-2011 22:11:44 »

ขออนุญาตปาดนะคะ
แนะนำนิดนึง ค่อยๆลงดีกว่ามังคะ เด็กๆเวลาเห็นยาวๆเค้าจะขี้เกียจอ่าน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My neighbor is a spy
« ตอบ #49 เมื่อ: 23-05-2011 22:11:44 »





ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #50 เมื่อ24-05-2011 10:00:43 »

ขออนุญาตปาดนะคะ
แนะนำนิดนึง ค่อยๆลงดีกว่ามังคะ เด็กๆเวลาเห็นยาวๆเค้าจะขี้เกียจอ่าน

ไม่ค่อยมีเวลามาลงอ่ะค่ะ พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย เลยได้หยุดงานอ่ะค่ะ^^"

ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #51 เมื่อ24-05-2011 11:09:26 »

ลงโลดค่ะ อ่านตามแล้วลุ้นมาก รออ่าน ^^

+1 ให้ด้วย

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #52 เมื่อ24-05-2011 16:40:31 »

แปะไว้ก่อน
เดี๋ยวว่างๆจะมาอ่าน ยาวเกิ๊น

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #53 เมื่อ24-05-2011 18:36:24 »

บทที่21  ภายในห้อง
   ฟ่งลุกพรวดขึ้นทันทีที่โจวยี่เอ่ยจบประโยค ใบหน้าเซียวปรากฏแววแห่งความยินดีอย่างเห็นได้ชัด ร่างบางเดินปราดออกไปจากห้องพักโดยลืมผู้ที่นั่งอยู่ด้วยกันไปเสียสนิท รูฟัสลุกขึ้นและเดินตามออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่โจวยี่เดินโฉบเข้ามา
   “ท่าทางจะแย่นะ” ชายผู้มีผมยาวถึงกลางหลังกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันนิดๆ นัยน์ตาสองสีถลึงมองผู้พูดแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่กล่าวตอบโต้ โจวยี่ยักไหล่ หมุดตัวกลับเดินตามออกไปเช่นกัน
   เสียงล้อเตียงเข็นดังแทรกเสียงเครื่องปรับอากาศ บุรุษพยาบาลในชุดสีขาวเข็นเตียงผู้ป่วยที่มีทั้งสายน้ำเกลือและเครื่องช่วยหายใจออกมาจากห้องผ่าตัด ฟ่งอยากที่จะเดินเข้าไปดู แต่ก็ต้องชะงักเท้า เมื่อพบว่าผู้ที่เดินตามเตียงเข็นมาติดๆ คือเว่ยเฟิงปิง
   ใบหน้าเรียวราวราวพญางูนั้นดูไม่สู้จะดีนัก ฟ่งคิดว่าเว่ยเฟิงปิงอาจจะเป็นห่วงจางซื่อเยี่ยน  ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริง จางซื่อเยี่ยนคงรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย ฟ่งยืนมองเว่ยเฟิงปิงเดินตามเตียงเข็นเข้าไปในห้องพิเศษแล้วตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปขัดจังหวะของคนทั้งคู่ ในขณะที่กำลังหันหลังกลับ เขาก็เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มในชุดผ่าตัดกำลังเดินเข้ามา
   “คุณซิง” ฟ่งเอ่ยเรียกอย่างไม่ค่อยเต็มปากนัก เขาเพิ่งระลึกได้ว่าคนคนนี้เป็นผู้หญิง และที่สำคัญเขาไม่รู้ชื่อเต็มๆ ของหล่อน เถียนซิงเหลือบตาขึ้นมอง ฟ่งกลั้นหายใจ บางทีเขาอาจจะทักคนผิด
   “นาย.. คนที่อยู่กับเฟิงปิงวันนั้น..” ดูเหมือนว่าหล่อนจะจำเขาได้ ฟ่งยิ้มแหย่ๆ เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้
   “มีธุระอะไร?” หล่อนถามเสียงห้วน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไรต่อ ฟ่งยกมือขึ้นเกาหัว ด้วยนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรกับผู้หญิงคนนี้กันแน่
   “คือ.. คุณผ่าตัดคุณจางใช่ไหมครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม หญิงสาวพยักหน้า
   “หมอนั่นปลอดภัยล่ะ ดวงแข็ง อึดอย่างกับแมลงสาบแบบนั้นไม่ตายง่ายๆ หรอก” หล่อนตอบยืดยาว ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ แล้วถามต่อ
   “แล้ว..คืนนี้....คุณเฟิงปิงจะอยู่เฝ้าไหม”
   เถียนซิงขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำถาม “ไม่รู้ ทำไม นายอยากให้เขากลับไปกับนายรึ?”
   ฟ่งส่ายหน้าทันที “ผมแค่คิดว่าคุณเฟิงปิงน่าจะอยู่เฝ้าคุณจาง”
   “ทำไมล่ะ?” หล่อนถามสวน  ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างไม่แน่ใจ
   “ไม่รู้สิครับ ผมคิดว่าคุณจางน่าจะดีใจ ถ้าคุณเฟิงปิงอยู่เฝ้า”
   เถียนซิงทำหน้าอึ้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “นายนี่ตลกดีนะ อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น?”
   “ความรู้สึกมั้งครับ” ฟ่งตอบ เขารู้สึกว่าเวลาเถียนซิงยิ้มแล้วดูน่ารักขึ้นมากว่าเดิมอีกจมหู หญิงสาวหัวเราะอีกครั้งเผยให้เห็นฟันเขี้ยวและลักยิ้ม
   “ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายรู้อะไร หรือนายเป็นใคร แต่ฉันก็อยากให้เฟิงปิงอยู่เฝ้าอาซื่อเหมือนกัน
   ฟ่งอ้าปาก มองหน้าหญิงสาวด้วยความแปลกใจ เถียนซิงมองข้ามไหล่เขาไป แล้วเอ่ยคำขอตัว
   “ฉันไปก่อนล่ะ” หล่อนกล่าว ก่อนจะเดินจากไปทั้งอย่างนั้น ฟ่งยืนมองหญิงสาวอย่างงงๆ สงสัยว่าเธอมองเห็นอะไรด้านหลังเขากันแน่ ชายหนุ่มค่อยๆ เบือนหน้ากลับไปมอง และพบว่านัยน์ตาสองสีคู่หนึ่งกำลังจ้องเขาอยู่
   “กลับกันเถอะครับ” รูฟัสพูด ไม่รู้ว่าชายคนนี้มายืนอยู่ด้านหลังเขานานแค่ไหน ฟ่งยอมรับว่าเขาลืมรูฟัสไปเสียสนิท ร่างบางเกาหัวแกรกด้วยความรู้สึกผิดเล็กๆ
   “ไม่คิดจะเข้าไปคุยกับคุณชายเจ็ดเสียหน่อยหรือ?” เสียงหนึ่งเอยทักขึ้น ฟ่งเงยหน้าขึ้นมอง เห็นผู้ชายซึ่งเข้าไปแจ้งข่าวเรื่องจางซื่อเยี่ยนเดินเข้ามา
   “ไม่ต้อง” รูฟัสเอ่ยเสียงเรียบๆ โดยไม่หันไปมองคู่สนทนา โจวยี่ยักไหล่
   “ถ้าแกคิดจะกลับ แต่ไม่ยอมไปคุยกับคุณชายเจ็ด แกก็ต้องคุยกับพวกที่รอต้อนรับอยู่ด้านล่าง ท่าทางพวกนั้นคงพอใจอยู่ที่แกแทงลูกพี่ของเขาเกือบตายน่ะ” ชายหนุ่มพูดกระแทก รูฟัสหันหน้ากลับไปทันที
   “ถ้าพวกมันอยากจะถูกแทงบ้าง ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
   “เหรอ..แต่ฉันว่าเด็กของแกอาจจะมีปัญหา” โจวยี่กล่าว พลางพยักพะเยิดไปทางฟ่ง ซึ่งยืนฟังการสนทนาอยู่ รูฟัสขมวดคิ้วเข้าหากัน เงียบไปพักใหญ่
   “ฉันไม่นอนค้างที่โรงพยาบาล” เขากล่าว ก่อนจะคว้ามือหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่ข้างๆ
   “เดี๋ยว รูฟัส” ฟ่งพูดด้วยความงุนงง ขณะถูกอีกฝ่ายกึ่งดึงกึ่งจูงไปตามทางเดิน ผู้ถูกเรียกหันกลับมา
   “เราไปกันแบบนี้ได้เหรอ?” ร่างบางเอ่ยถาม ดูไม่ค่อยจะไว้วางใจสถานการณ์มากนัก ผู้ถูกถามชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินต่อ
   “วางใจเถอะ ผมไม่แทงใครเล่นหรอก”
-----------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาแขวนที่ผนัง มันบอกเวลาห้าทุ่มเศษ เถียนซิงเดินออกไปนานแล้ว แต่เขากลับรู้สึกว่าโลกทั้งโลกหนักอึ้ง ชายหนุ่มละสายตาจากนาฬิกาติดผนัง กลับมามองร่างที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ตาของจางซื่อเยี่ยนยังคงปิดสนิท เสียงเครื่องช่วยหายใจดังเป็นจังหวะ นัยน์สีฟ้าใสกะพริบถี่ๆ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่ลูกพี่ลูกน้องตัวเองเล่า
   ชายที่นอนหลับอยู่นี้เคยช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้งในช่วงที่เขาถูกขับออกจากแก๊ง
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยผุดลุกขึ้น เดินไปยังหน้าต่าง มองดูเงาสะท้อนของตัวเองผ่านกระจก หากเป็นตอนก่อนหน้านี้ เขาคงรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ และอาจจะรู้สึกเหม็นขี้หน้ามากกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าจางซื่อเยี่ยนได้รับคำสั่งของบิดาให้ติดตามเขามานาน
แม้จะเล่าเรื่องอย่างไร เขาก็คงจะปักใจเชื่อว่าสิ่งที่ชายคนนี้ทำทั้งหมดเป็นเพราะคำสั่งของผู้เป็นพ่อ  แต่ว่าตอนนี้ ชายหนุ่มกลับเกิดความหวังเล็กๆ ว่าสิ่งที่จางซื่อเยี่ยนทำทั้งหมดนั้นอาจจะไม่ใช่เพียงเพราะคำสั่ง
   หากว่าจางซื่อเยี่ยนทำดีกับเขาเพราะเหตุผลอื่น...
   หากเป็นเพราะว่าเขาคือคนพิเศษ
   เว่ยเฟิงปิงสั่นศีรษะอย่างแรง เหมือนคนพยายามจะตื่นจากภวังค์ รู้สึกอับอายตัวเองที่มัวแต่คิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ คำพูดของฟ่งและเถียนซิงทำให้เขาสับสน ไม่รู้ว่าสองคนนั่นเกิดกินอะไรผิดสำแดงเข้าไปกันแน่ ถึงได้มาพูดเรื่องเดียวกันแบบนี้
   ร่างบางหมุนตัวกลับ เดินผ่านเตียงนอนของจางซื่อเยี่ยน เหลือบดูร่างที่หลับอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากประตูไป
   ก็แค่คนที่ทำตามคำสั่งของเว่ยชิง จะต้องเป็นห่วงอะไรนักหนา
------------------------------------------
   เสียงปิดประตูของรถซีดานสีดำ ตัดเสียงวุ่นวายภายนอกออกไปแทบจะหมด คงเหลือแต่เสียงเครื่องทำความเย็นภายในรถยนต์ และเสียงเครื่องยนต์ครางหึ่งๆ เบาๆ เท่านั้น
   ฟ่งรู้สึกดีใจที่ไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น  ชายหนุ่มขยับตัวเข้าชิดประตูด้านขวา ตอนนี้เขาและรูฟัสอยู่ในรถคันหนึ่งในขบวนผู้ติดตามของเว่ยเฟิงปิง  ดูเหมือนเฟิงปิงจะคาดเอาไว้แล้วว่าขอตัวกลับ ดังนั้นจึงสั่งความลูกน้องว่าให้ตามไปส่งถึงที่ นั่นหมายความว่ารูฟัสจะต้องอยู่ในสายตาเครือข่ายของเว่ยเฟิงปิงตลอดเวลา
   รถซีดานเริ่มเคลื่อนตัวออกจากที่จอดรถของโรงพยาบาล ฟ่งหันหน้าไปมองรูฟัสที่นั่งอยู่ที่เบาะอีกฝั่ง หนุ่มร่างใหญ่หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง โดยไม่เหลือบมองกลับมาแม้แต่น้อย  ความจริงฟ่งเริ่มรู้สึกตั้งแต่ตอนก่อนหน้านี้แล้วว่าท่าทีของรูฟัสดูแปลกๆ ไป บางทีเขาอาจจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับการต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของเว่ยเฟิงปิง
   ร่างบางขยับตัว ทำท่าจะอ้าปากพูด แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ แม้ว่าเขาจะอยากรู้เรื่องราวหลายๆ อย่างจากปากของรูฟัส แต่สถานที่ที่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วยแบบนี้คงไม่เหมาะ นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อมองดูใบหน้าได้รูปของอีกฝ่ายพักหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างบ้าง

   “ฟ่งครับ ถึงแล้ว”
   ผู้ถูกเรียกสะดุ้ง เขามัวแต่คิดนั่นคิดนี่เพลินจนไม่รู้สึกเลยว่ารถหยุดสนิทแล้ว ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีมองหน้าเขาด้วยสายตาแปลกๆ ฟ่งยกมือขึ้นดันแว่น ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเปิดประตูรถฝั่งตัวเองออก และพบว่าตอนนี้เขายืนอยู่ด้านหน้าโรงแรมขนาดใหญ่  ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองตึกสิบเจ็ดชั้นที่ถูกไฟสปอทไลท์ส่องจนเดาสีที่แท้จริงของตัวอาคารไม่ออก
   รูฟัสไม่อยากให้คนของตระกูลเว่ยรู้จักแหล่งกบดานของเขา ดังนั้นจึงให้มาส่งที่โรงแรมแทน ชายหนุ่มเงยมองร่างผอมบางที่กำลังให้ความสนใจกับตัวอาคารด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง
   เสียงปิดประตูรถดึงความสนใจของฟ่งหันกลับมาอีกครั้ง รูฟัสเดินเข้ามาใกล้ด้วยทีท่าเหมือนคนหงุดหงิด ก่อนจะฉวยมือของอีกฝ่ายเอาไว้ราวกับว่าเพิ่งเจอเด็กที่พลัดหลง ฟ่งรู้สึกไม่ค่อยเข้าท่านัก เมื่อถูกจูงมือผ่านประตูโรงแรม  เขาพยายามจะสลัดมือออก แต่รูฟัสเหมือนจะยิ่งจับแน่นขึ้น ชายหนุ่มแวะเช็กอินที่เคาน์เตอร์ ทั้งๆ ที่ยังจับมือกันอยู่อย่างนั้น
ในที่สุดรูฟัสก็พาฟ่งมาถึงห้องพัก ซึ่งอยู่ประมาณชั้นสิบสี่  ร่างสูงล้วงกุญแจขึ้นมาไขประตู และเปิดให้อีกฝ่ายเข้าไป  ฟ่งก้าวเข้าไปในห้องพัก ซึ่งถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ในขณะที่กำลังคิดถึงราคาค่าเช่าห้อง  ชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้ง เมื่อถูกรวบจากด้านหลัง
   “ระ..รูฟัส!” ฟ่งร้องอย่างตกใจ วงแขนแกร่งรัดตัวเขาไว้แน่น พร้อมกับปลายจมูกและริมฝีปากร้อนผ่าวที่ขยับซุกไปตามซอกคอ ร่างผอมบางดิ้นด้วยความตื่นตระหนก
   “อย่า!!” ฟ่งพยายามส่งเสียงห้าม ขณะที่อีกฝ่ายยังคงซุกหน้าลงบนซอกคอของเขา ก่อนจะขยับมาขบกัดติ่งหูเบาๆ ฝ่ามือหนานักที่โอบรัดอยู่เริ่มขยับไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
   “ปล่อยผม!” ฟ่งร้องจนแทบจะเป็นเสียงตะโกน พยายามแกะมือที่โอบรัดอยู่ออก ได้ยินเสียงด้านหลังเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก
   “Why?”
   ฟ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อพบว่าอีกฝ่ายถอนริมฝีปากที่ขบกัดใบหูของเขาอยู่ออกไปเสียที ขนของเขายังคงลุกเกรียวไปทั้งตัวด้วยความตกใจไม่หาย
   “มันสกปรก ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ”
   ผู้ที่อยู่ด้านหลังเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ “Umm, I see”
   ฟ่งรีบพยักหน้า ภาวนาให้รูฟัสปล่อยเขาออกไวๆ แต่แล้วคำพูดที่ตามมาทำให้ร่างผอมบางสะดุ้งโหยง
   “Well, if you must. Just go to take a bath.”
   “อะ...เอ้อ...” ฟ่งพูดตะกุกตะกัก เขาไม่ได้อยากอาบน้ำตอนนี้ ก็แค่อยากจะได้เวลาตั้งตัวสักหน่อย แต่มือที่โอบเขาอยู่กลับลากตัวเขาไปยังห้องน้ำทันที โดยไม่เอ่ยถามความสมัครใจต่อเลยสักนิด ร่างผอมบางรู้สึกโมโหขึ้นมา เขาผลักร่างสูงใหญ่ออก และผลักประตูห้องน้ำเข้าไป
   “ผมอาบเองได้!” ฟ่งกล่าวเสียงห้วน พลางดันประตูห้องน้ำให้ปิดลง แต่มือแข็งแรงก็ยื่นเข้ามาขวางเอาไว้ หนุ่มสวมแว่นอ้าปากค้าง เมื่ออีกฝ่ายผลักประตูออกและเดินตามเข้ามาด้วย
   “Hey, you mind that I’m here?”
   ฟ่งอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะตอบคำถามนั้นว่าอย่างไรดี ชายหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก สีหน้าของรูฟัสดูมึนตึง แถมตั้งแต่เข้ามาก็ไม่พูดภาษาไทยกับเขาเลยสักคำ ยืนจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ฟ่งก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายถอย เขาพยายามจะเบียดตัวกลับออกไปทางเดิม แต่อีกฝ่ายกลับใช้แขนดักเอาไว้ ดูท่าจะไม่ยอมให้เขาออกจากห้องน้ำไปได้ง่ายๆ
   “Seems like you do. But you know what? Actually I really don’t care.”
น้ำเสียงของรูฟัสเย็นชาจนฟ่งต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็แทบจะทำหน้าไม่ถูก เมื่อได้ยินประโยคต่อมา
   “I want to watch you bath.”
   “ไม่ต้อง!!” ร่างผอมบางกล่าวปฏิเสธทันที และขยับตัวห่างออกจากร่างสูงใหญ่ ฟ่งไม่รู้ว่ารูฟัสหมายถึงมอง(Watch)หรืออาบ(Wash)กันแน่ แต่ยังไงทั้งสองอย่างก็ไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการอยู่ดี ในเมื่อออกไปไม่ได้ เขาคงต้องมองหาวิธีหลบเลี่ยงอื่น
   ขณะที่กำลังยืนคิดอยู่ วงแขนแกร่งก็วกเข้ามารวบตัวเขาไว้อีกครั้ง พร้อมด้วยถ้อยคำที่ทำให้ขนลุก
   “I said I want to watch you.”
   แทบจะพร้อมกัน กระดุมของเขาก็ถูกปลดออก ฟ่งดินขลุกขลัก รู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ กับการกระทำแบบนี้ของรูฟัส เขาทั้งศอกทั้งถองอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ แต่ก็ดูจะไม่ได้ผลอะไร กระดุมเสื้อถูกปลดออกเรื่อยๆ จนเผยให้เห็นผิวกายที่ซ่อนอยู่ภายใน
   ฝ่ามือแข็งแกร่งโอบเอวของเขาไว้แน่น ฟ่งสะดุ้ง เมื่อมืออีกข้างล้วงเข้าไปในอกเสื้อของเขา ความร้อนผ่าวของมันประกอบกับลมหายใจรุนแรงของร่างที่อยู่ด้านหลังทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งอย่างห้ามไม่อยู่ และก็ต้องตกใจกว่านั้นเมื่อรู้สึกว่าตรงสะโพกกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเบียดเสียดอยู่
   ความแข็งขึงนั้น ต่อให้อยู่ใต้กางเกง ฟ่งก็ยังรู้อยู่ดีว่ามันคืออะไร
   ร่างบางร้อนวาบไปทั้งตัว พยายามจะดิ้นให้พ้นจากการเกาะกุมอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อริมฝีปากอุ่นจัดแนบลงบนหลังคอของเขา ก่อนที่ปลายลิ้นร้อนผ่าวจะลากผ่านส่วนนั้นขึ้นมายังใบหูอย่างหยาบโลน มือใหญ่ตะปบลูบแผ่นอกจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
   ฟ่งคว้าจับมือที่โอบเอวเขาอยู่อย่างลืมตัว ขณะที่อีกมือพยายามจะหยุดการเคลื่อนไหวที่กำลังคุกคามผิวกายของเขาอยู่ แต่ผลักไสได้ไม่เท่าไร ร่างผอมบางก็มีอันต้องสะดุ้งอีกรอบ เมื่อถูกขบซอกคอเบาๆ ปลายนิ้วอุ่นร้อนตวัดรอบยอดอกของเขา ขยี้มันจนรู้สึกเจ็บ
   “อื้อ!” ฟ่งครางอยู่ในลำคอ ขณะที่กัดริมฝีปากไว้แน่น ลมหายใจร้อนผ่าวด้านหลังทำเอาสันหลังร้อนวูบวาบไปหมด แต่เขาไม่ได้เต็มใจที่จะถูกกระทำเช่นนี้เลย ร่างผอมบางดิ้นอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่ฝ่ามือเลื่อนขึ้นมาจากแผ่นอก จับเข้าที่ใบหน้าของเขา และบังคับบดเบียดริมฝีปากกับร่างที่อยู่ด้านหลัง
   ฟ่งเบิ่งนัยน์ตาค้าง รู้สึกเหมือนคอจะหัก ปลายลิ้นที่ล้วงเข้ามาอย่างดุดันเกือบทำให้เขาหายใจไม่ออก รูฟัสทรมานเขาอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง จึงยอมถอนริมฝีปากออก ฟ่งหอบหายใจ ทั้งหูอื้อ ทั้งตาพร่า แต่ยังไม่ทันได้ตั้งสติดี เสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยก็ถูกอีกฝ่ายดึงลงไปกองตรงข้อศอก
   “Look!” รูฟัสกระซิบเสียงหนัก ขณะเบียดตัวของเขาให้หันไปยังกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่บนอ่างล้างหน้า ฟ่งเห็นร่างท่อนบนเปลือยเปล่าของตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้น และร่างสูงใหญ่อีกร่างที่แนบอยู่ด้านหลัง เขามองไม่เห็นดวงตาสีแปลกนั้น เพราะรูฟัสหลุบนัยน์ตาลงต่ำ จนขนตาเป็นแผงสวยบดบังแววตาเอาไว้ ริมฝีปากร้อนผ่าวฝังจูบลงบนซอกคอของเขาอีกครั้ง
   ร่างผอมบางสะดุ้งเฮือก เมื่อปลายนิ้วร้อนจัดวนเวียนอยู่บนยอดอกอุ่น ดึงและบีบมันซ้ำหลายหน จนปลายยอดอุ่นอ่อนเริ่มตั้งชันขึ้นมา ฟ่งขบริมฝีปาก ใบหน้ากลายเป็นสีแดงจัด ภาพสะท้อนในกระจกยิ่งทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาอยากจะเบือนหน้าไปให้พ้นๆ เสีย แต่ริมฝีปากและปลายจมูกที่ซุกไซ้ไล่ไปตามผิวเนื้ออ่อนไหวตรงหลังหูและเนินไหล่ ทำให้เขาได้แต่เพียงสยิวกายด้วยความซ่านเสียว
   ลมหายใจอุ่นร้อนปั่นป่วนยังคงดังให้ได้ยินชัดจากด้านหลัง ซิปกางเกงถูกรูดลง แล้วอุ้งมือร้อนผ่าวก็ขยับเข้าลูบส่วนนูนที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงชั้นใน
   น่าอายจนไม่อยากอยู่ต่อ แค่ถูกลูบไปหนสองหน อวัยวะตรงนั้นก็แข็งตัวขึ้นจนปลายยอดโผล่พ้นขอบกางเกงชั้นใน ใบหน้าของฟ่งยิ่งกลายเป็นสีแดงจัด ขณะที่ปลายยอดสีเข้มถูกนิ้วมือเรียวถูเบาๆ
   “อือ....” เสียงครางในลำคอดังให้ได้ยินอีกหน ร่างผอมบางบิดกายอย่างไม่อาจอดรน มือน้อยกำอยู่บนท่อนแขนแกร่งแน่น ขณะที่ปลายยอดสีเข้มถูกลูบจนเมือกเหลวสีใสเปรอะไปหมด
   “How are you feeling?” ประโยคคำถามนั้นทำให้สติของฟ่งกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มรู้สึกตัวทันทีว่าสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ไม่ใช่อะไรที่เขาเต็มใจเลยสักนิด กระนั้นก็ดูจะเปล่งเสียงเพื่อตอบคำถามนั้นลำบากเหลือเกิน
   “ไม่ดี..สักนิด....พอได้แล้ว...อื้อ!!” ริมฝีปากหนาขย้ำลงบนซอกคอเขาอีกหน ก่อนจะกระซิบเสียงหนักอีกครั้ง
   “Enough? But I think your body doesn’t say so.”
   มือที่ลูบปลายยอดสีเข้มอยู่เลื่อนลงไปยังขอบกางเกงชั้นใน และดึงมันลงไปจนเผยให้เห็นอวัยวะสำคัญที่ผงาดชูชันอย่างเต็มที่ ฟ่งหน้าแดงจัดด้วยความอับอายเมื่อภาพนั้นสะท้อนให้เขาเห็นในกระจก
   “Feel good, right?” เสียงเดิมกล่าวขณะที่อุ้งมือร้อนผ่าวรูดส่วนนั้นขึ้นลง ฟ่งขบริมฝีปากจนชา พยายามสูดลมหายใจเพื่อพูดตอบ
   “ไม่..อื๊อ...อ๊า!!” ฟ่งอยากจะร้องไห้ออกมา คำพูดที่เขาพยายามจะเค้นแทบตาย ถูกแทนที่ด้วยเสียงร้องน่าเกลียด ร่างผอมบางตัวสั่นด้วยความโมโห แต่ก็ไม่อาจทานต่อความรู้สึกซ่านกระสันที่อีกฝ่ายบำเรอให้ อุ้งมือที่ขยับอย่างช่ำชองทำเอาท้องน้อยกระตุกเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่
   “Really?” เสียงเดิมถามอีกครั้ง ราวกับประชด ฟ่งขบริมฝีปาก รู้สึกโมโหผู้ชายคนนี้มากจริงๆ เขาพยายามแค่นเสียงอีกรอบ
   “ใครมันจะ..ดี....” เสียงพูดถูกกลบด้วยเสียงร้องครางอีกรอบ เมื่ออีกฝ่ายถูมือไปบนยอดปลายสีเข้มที่ฉ่ำแฉะ ร่างผอมบางกระตุกด้วยความเสียวกระสัน ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูพร้อมด้วยสมหายใจอุ่นร้อนที่เป่าเข้ามา
   “So you enjoyed while someone apart from me touched you?”
   ฟ่งอยากจะเอาหัวโขกรูฟัส เขาพยายามพูดอีกครั้ง “จะบ้าเรอะ....มีแต่คุณ..เท่านั้นแหละ”
   “Me?” เสียงเดิมเอ่ยขึ้น แต่ดูจะแปลกใจมากจริงๆ กระทั่งมือที่ขยับอย่างคุกคามอยู่ก่อนหน้านี้ก็พลอยหยุด ร่างผอมบางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งในอก ก่อนจะรีบพูดต่อ
   “มีแต่คนอย่างคุณเท่านั้นแหละที่ทำอะไรบ้าๆ แบบนี้กับผม!” ฟ่งใส่เต็มที่ แม้เหมือนจะถูกทำให้ค้างกลางคัน แต่อารมณ์โมโหมีมากกว่า แต่เสียงของรูฟัสกลับดูแปลกใจมากกว่าเมื่อครู่นี้อีก
   “Just me?”
   “เออ!” ฟ่งกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด และพูดต่อ “ใครบ้ามันจะทำแบบนี้กับผมอีกนอกจากคุณ!!”
   ไม่พูดเปล่า คราวนี้เขาดิ้นอีกหน และหลุดออกจากวงแขนนั้นได้ในที่สุด ฟ่งหมายมั่นปั้นมือว่าเขาจะต้องหันมาเตะหรือต่อยรูฟัสสักหมัด เพื่อให้รู้ว่าเขาไม่ได้พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เลยสักนิด แต่ยังไม่ทันได้หันหน้า วงแขนแกร่งก็ขยับมารวบตัวเขาไว้อีกรอบ ฟ่งดิ้นขลุกขลักอย่างไม่สบอารมณ์ทันที
   “My apology, but I thought they had sex with you.”
   คนได้ยินตาเหลือก อ้าปากค้าง ก่อนจะโพล่งออกมา “นี่คุณคิดว่าผมไปมีอะไรกับคนอื่นหรือไง!?”
   “ก็คุณทำให้ผมคิดนี่ครับ คุณดูเป็นห่วงสองคนนั่นจนผมสงสัย” รูฟัสพูดภาษาไทยออกมาเป็นครั้งแรก แต่ประโยคที่พูดยิ่งทำให้ฟ่งร้องเสียงสูง
   “จะบ้าเรอะ! คุณใช้สมองส่วนไหนคิดเนี่ย!!”
   “ขอโทษครับ” รูฟัสพูด ฟ่งเห็นนัยน์ตาสองสีสะท้อนอยู่ในกระจก และเหมือนจะเห็นรอยยิ้มโล่งใจที่มุมปากได้รูปนั้น
   “ผมรู้แล้วล่ะครับว่าเข้าใจผิด” รูฟัสกระซิบอีกครั้งและก้มลงหอมแก้มคนที่อยู่ด้านหน้า ฟ่งขยับหน้าหนี ก็ก็ไม่วายถูกหอมแก้มเสียงดังฟอด จนอดจะรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาไม่ได้
   “ปล่อยผมได้แล้ว” ร่างบางเปิดฉากต่อรอง เขารู้สึกอับอายจริงๆ ที่ต้องมาเปลือยแบบนี้หน้ากระจก แถมถูกผู้ชายคนนี้ทำอะไรต่อมิอะไรโดยที่ขัดขืนแทบจะไม่ได้เลย
   “ไม่ปล่อยครับ” รูฟัสตอบแทบจะในทันทีและกอดแน่นขึ้น ฟ่งพยายามดิ้นอย่างขัดใจที่สุด
   “ปล่อยผมนะ”
   “ไม่ครับ”
   “ทำไม?”
   รูฟัสไม่ตอบ เพียงแต่แลบลิ้นเลียใบหูของเขาอีกหน ฟ่งสะดุ้ง หน้าแดงวาบขึ้นมาทันที
   “ไม่เอาแล้ว ปล่อยนะ” ร่างผอมบางยังคงโวยวายต่อ อีกฝ่ายตอบกลับด้วยการลูบมือไปตามร่างกายที่เปลือยเปล่า ไออุ่นที่ซ่านมาตามผิวหนังทำให้ฟ่งสะดุ้งอีกครั้ง
   “มีแต่ผมใช่ไหมครับที่ทำอะไรแบบนี้กับคุณ” เสียงเดิมกระซิบ ลมหายใจอุ่นด้านหลังทำเอาลมหายใจของอีกฝ่ายพลอยปั่นป่วนไปด้วย ฟ่งโมโหตัวเองจริงๆ แค่ถูกลูบตามตัวสองสามหน ไอ้ส่วนที่หดไปแล้วเมื่อครู่ ก็ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนเห็นรูฟัสยิ้มน้อยๆ ในกระจก
   “มีแต่ผมใช่ไหมที่ทำให้คุณรู้สึกดี”
   ฟ่งพูดตอบอะไรไม่ออกอีก เพราะรูฟัสดันใบหน้าของเขาเข้ามาประกบจูบอีกรอบ ปลายลิ้นที่ขยับเข้ามาอ่อนโยนเสียจนเขาขัดขืนไม่ออก จูบกันได้สักพักรูฟัสก็จับเขาหันหน้าเข้าหากระจกอีกรอบ ฟ่งเห็นตัวเองหน้าแดงจัด ไม่รู้ทำไมท้องน้อยถึงได้ร้อนวูบวาบขึ้นมาอีก ตรงนั้นก็ดูจะตื่นเต้นเต็มที่ รูฟัสโน้มใบหน้าลงหอมแก้มเขาอีกครั้ง
   “น่ารักจัง”
   ฟ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องใจเต้นกับประโยคพล่อยๆ แบบนี้ของรูฟัสด้วย แต่ยังไม่ทันได้ชักสีหน้า อุ้งมือร้อนผ่าวก็ตะปบลูบลงไปบนส่วนที่กำลังผงาดชูชันนั้นอีกหน ร่างบางสะท้านกายเฮือก ก่อนจะจิกเล็บลงไปบนท่อนแขนแกร่งอีกครั้ง
   ฝ่ามือร้อนผ่าวที่ประโลมลูบไปตามลำตัว หยุดเย้าส่วนไวสัมผัสที่ชูชันสองข้างบนแผงอกเป็นระยะ ยิ่งสร้างความกระสันซ่านให้กับร่างผอมบางที่ยืนอยู่ อุ้งมือที่ขยับขึ้นลงอย่างเชี่ยวเชิงดึงรั้งสติสัมปชัญญะออกไปจนแทบสิ้น ฟ่งไม่รู้อีกแล้วว่าทำไมเขาถึงต้องมายืนหน้ากระจกในสภาพแบบนี้ ราวกับภาพที่สะท้อนอยู่ยิ่งกระตุ้นอารมณ์วาบหวามให้เพิ่มสูง
   รูฟัสมองดูร่างผอมบางในกระจก พวงแก้มแดงซ่านและนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ปรืออย่างเคลิบเคลิ้มทำให้เขาอดไม่ได้ต้องก้มลงจูบพวงแก้มนั้นอีกหน ระบายลมหายใจปั่นป่วนของตนให้คนตรงหน้าได้รับรู้ ฟ่งบิดร่างอย่างเสียวซ่าน ดวงตาสองสีที่สะท้อนประกายอยู่ในกระจกทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างหาเหตุผลไม่ได้

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #54 เมื่อ24-05-2011 18:37:12 »

   ร่างผอมบางเริ่มขยับสะโพกตอบรับอุ้งมือที่ขยับขึ้นลงอย่างลืมตัว ริมฝีปากที่เคยถูกขบอยู่ก่อนหน้านี้ เปล่งเสียงครางที่ฟังดูลามกอย่างที่สุด รูฟัสก้มลงฝังจูบลงบนต้นคอขาวนั้นอีกครั้ง ตะปบลูบไปตามร่างกายที่บิดส่ายอยู่อย่างหื่นกระหาย อุ้งมือขยับถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกได้ถึงท่อนเอวบอบบางที่เขม็งเกร็ง เสียงครางในลำคอดูเร้าอารมณ์มากขึ้นไปอีก ร่างผอมบางกระตุกอยู่สองสามครั้ง ขณะของเหลวขุ่นข้นไหลทะลักออกมา
   รูฟัสมองดูของเหลวสีขาวขุ่นในมือพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูจากความข้นของมัน ฟ่งคงไม่ได้ถูกกระตุ้นแบบนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว ชายหนุ่มอดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา และพอเห็นภาพสะท้อนของคนตรงหน้าในกระจก อารมณ์หึงหวงก็เข้าเกาะกุมจิตใจของเขาอีกครั้ง
   ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ปรืออย่างไร้สติหลังถึงจุดดูยั่วยวนจนยากจะห้ามใจอยู่ เรื่อนร่างที่ระทวยอยู่ในอ้อมกอด ส่วนนั้นที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย กับเมือกลื่นที่ขาวขุ่นที่เปรอะเลอะลงไปจนถึงซอกขาด้านใน รูฟัสไม่รู้ว่าเขาทนมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร และไม่คิดว่าจะมีใครที่ไหนทนได้หากตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เขารั้งร่างผอมบางเข้ามาแนบตัว ประโลมจูบหอมหวานลงไปอีกครั้ง เรียวลิ้นที่ตอบกลับมาอย่างไร้สติทำให้รูฟัสแทบคลั่งใจตาย เขากระซิบข้างหูเบาๆ
   “อย่าให้ใครเห็นคุณในสภาพนี้เด็ดขาดเลยนะ”
   ฟ่งส่งเสียงอืมในลำคออย่างไม่รู้สตินัก และเผยออ้าริมฝีปากอีกรอบ หนุ่มตาสองสีกลืนน้ำลายเฮือก แนบจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นทันที กอดก่ายกันอยู่อย่างนั้นสักพัก รูฟัสจึงอุ้มฟ่งไปที่อ่าง
   ร่างผอมบางดูจะรู้สติขึ้นมาทันทีเมื่อสายน้ำอุ่นๆ ไหลกระทบร่าง ฟ่งร้องเอะอะออกมา
   “อ๊ะ!!”
   รูฟัสก้มลงจูบเนินไหล่ที่เปียกน้ำจนชุ่ม และกระซิบอีกหน “อาบน้ำนะครับ”
   ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ริมฝีปากได้รูปเคลื่อนเข้าประกบริมฝีปากอ่อนอีกครั้ง ดึงเกี่ยวเรียวลิ้นของทางนั้นเข้ามาขบกัดเบาๆ ท้องน้อยของฟ่งเกร็งขึงขึ้นมาทันที
   สบู่เหลวลื่นๆ ถูกลูบไล้ลงบนร่างกายหลังจากอีกฝ่ายถอนจูบออก ฟ่งสะดุ้งน้อยๆ จิกมือลงบนหัวไหล่กว้าง ปล่อยให้อีกฝ่ายลูบไล้เรือนร่างของตนด้วยน้ำสบู่
   รูฟัสแนบจูบลงบนริมฝีปากนั้นอีกครั้ง ขณะคลึงนิ้วไปรอบๆ ยอดอกที่ยังคงชูชันอยู่ เสียงครางในลำคอดังให้ได้ยิน ขณะที่ร่างผอมบางสะท้านเฮือกไปตามความเสียวกระสันที่ได้รับ
   เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบดวงตาสีน้ำตาลฉ่ำเยิ้มอยู่หลังแว่นที่เปรอะไปด้วยละอองน้ำ รูฟัสกัดขาแว่นเบาๆ และดึงมันออก เสียงแว่นตาหล่นกระทบพื้นทำเอาฟ่งใจหายวาบ เขายกมือขึ้นผลักอีกฝ่ายออกทันที แต่ปลายนิ้วที่ขยับเข้าไปในช่องทางซ้อนเร้นด้านหลังทำให้มือที่พยายามจะยันร่างสูงใหญ่ออก เคลื่อนเข้าโอบรัดเอาไว้อย่างลืมตัว
   ปลายนิ้วอุ่นร้อนผลุบเข้าไปในช่องทางนั้นพร้อมด้วยน้ำสบู่ลื่นๆ ฟ่งหน้าแดงจัด จิกเล็บลงไปบนแผ่นหลังกว้าง การเคลื่อนไหวด้านหลังชัดเจนในความรู้สึก เขาได้ยินเสียงหายใจหนักของอีกฝ่าย พอเงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากได้รูปก็เคลื่อนเข้าประกบริมฝีปากเขาไว้ทันที
   จูบของรูฟัสรุนแรงขึ้น พร้อมกับนิ้วมือที่ขยับเข้าออกเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับช่องทางด้านหลัง ฟ่งสะดุ้งเฮือก เมื่อฝ่ามืออีกข้างเลื่อนลงจากบั้นเอว ขย้ำขยี้หนั่นสะโพกของเขาควบคู่กันไป ร่างผอมบางเบียดกายเข้ากับอีกฝ่ายด้วยความเสียวกระสัน และต้องรู้สึกร้อนวาบมากขึ้นเมื่อสัมผัสเข้ากับส่วนร้อนจัดที่ผงาดอยู่
   อวัยวะสำคัญทั้งสองเสียดสีกันเบาๆ ความร้อนวาบพุ่งจากท้องน้อยไปจนถึงใบหน้า ฟ่งเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและเห็นดวงตาสองสีฉ่ำวาวในความพร่าเลือนของสายน้ำอุ่น ริมฝีปากได้รูปเคลื่อนเข้าประกบอีก นิ้วมือถูกถอนออก ก่อนที่ร่างจะถูกยกสูงขึ้น
   ฟ่งร้องออกมาด้วยความตกใจ ตะกายมือยันผนังเอาไว้ทันทีที่ขาลอยพ้นจากพื้นอ่าง ยังไม่ทันได้ตั้งสติดี ความร้อนระอุก็จ่อเข้าที่ช่องทางด้านหลัง ก่อนจะถูกดุนดันเข้ามาอย่างไม่รีรอ
   ร่างผอมบางร้องเสียงลั่น การสอดใส่ที่เป็นไปอย่างค่อนข้างกะทันหันสร้างความตื่นตระหนกและเจ็บปวดไม่น้อย สองมือพยายามจะตะกายไปบนผนังกระเบื้องเพื่อรั้งตัวเองเอาไว้ แต่ฝ่ามือร้อนจัดก็ยังประคองท่อนเอวของเขา กดลงจนหนั่นสะโพกแตะเข้ากับท้องน้อยที่อุ่นจัด
   เสียงร้องครางดังไม่หยุดระหว่างนั้น ส่วนด้านหลังถูกความโอฬารเบียดจนคับแน่นไปหมด ความเจ็บปวดทำให้ร่างผอมบางสั่นกึกๆ มือทั้งสองข้างที่ยันผนังอยู่เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ท้ายที่สุด แผ่นหลังของเขาก็สัมผัสเข้ากับผนังกระเบื้องเย็นเยือก ขณะที่สองมือเปลี่ยนมาตะกายกอดไหล่กว้างเอาไว้แทน ฝ่ามืออุ่นจัดยังคงจับบั้นเอวของเขาแน่น จับกระแทกซ้ำๆ
   ฟ่งรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย สองขากระหวัดรอบท่อนเอวแกร่งเอาไว้ ความเจ็บปวดด้านหลังทำเอาน้ำตาไหลพราก
   “เจ็บ!” ร่างผอมบางร้องครางเสียงสั่น น้ำตาไหลอาบแก้ม กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ผ่อนคลายท่าทีลงสักนิดเลย รูฟัสยังคงจับร่างของเขากระแทกอย่างแรงจนตัวสั่น เสียงหอบหายใจถี่หนักและจูบที่ฝังลงมาบนร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ร่างของฟ่งสั่นมากยิ่งขึ้น เสียงครางด้วยความเจ็บปวดยังคงดังออกมาจากริมฝีปากคู่นั้น
   รูฟัสกัดต้นคอของฟ่งเบาๆ ความวาบหวามที่ได้รับแทบทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ แม้จะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่มีความสุขในการร่วมรักครั้งนี้มากเท่าไหร่ จากเสียงร้องครางที่ฟังดูเจ็บปวดนั้น แต่รูฟัสหยุดตัวเองไม่ได้อีก
   เขาจับเอวบางแน่นขึ้นจนเล็บจิกเข้าไปในผิวเนื้อ กระแทกขึ้นลงซ้ำๆ ท่ามกลางเสียงครางราวกับจะขาดใจ คิ้วของฟ่งขมวดมุ่น ใบหน้าบิดเกร็งและแดงจัด รูฟัสขบริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะเม้มจูบลงบนร่างในอ้อมกอดอีกครั้ง ทิ้งรอยจ้ำสีแดงจัดเอาไว้
   หากต้องมอบคนคนนี้ไปให้ใครแล้วล่ะก็ สู้ทำให้แหลกสลายอยู่ในอ้อมกอดของเขาไม่ดีกว่าหรือ.....
----------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนลืมตาขึ้นมาช้าๆ สิ่งแรกที่เขารับรู้คือ เครื่องช่วยหายใจที่ครอบปากและจมูก ร่างสูงใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเพื่อลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำความเข้าใจว่าตัวเองกำลังอยู่ในสภาพไหน

   เว่ยเฟิงปิงที่จู่ๆ ก็โผล่พร่วดเข้ามาในวงต่อสู้ ทำให้หัวใจของจางซื่อเยี่ยนแทบหยุดเต้น  เว่ยเฟิงปิงวิ่งเข้ามาเพื่อปกป้องศัตรูที่ทำลายชีวิตทั้งชีวิตของตน วินาทีนั้นเองจางซื่อเยี่ยนแทบร้องไห้  เขาพยายามมาโดยตลอดที่จะช่วยเว่ยเฟิงปิงทำลายคนคนนี้ ช่วยให้เว่ยเฟิงปิงลืมผู้ชายคนนี้ แต่เมื่อถึงสภาวะคับขัน สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงนึกถึงเป็นอย่างแรกกลับเป็นความปลอดภัยของรูฟัสมากกว่าความปลอดภัยของตัวเอง จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเสียใจ เขาไม่ได้เสียใจที่เว่ยเฟิงปิงไม่เห็นความสำคัญของเขา สิ่งที่ทำให้จางซื่อเยี่ยนเสียใจคือการที่เขาได้รู้ว่าสิ่งที่เขาพยายามมาทั้งหมดไม่อาจจะเยียวยาหัวใจที่ยังคงปักใจมั่นของเว่ยเฟิงปิงที่มีให้กับรูฟัสได้ 
เจ้านายของเขาจะต้องทรมานไปอีกนานเท่าไรกัน….
   อดีตหน่วยดำขยับตัวเพื่อสำรวจสภาพของตนเอง เขาคงอยู่ที่โรงพยาบาล ความรู้สึกของใบมีดที่แทงผ่านกล้ามเนื้อ มิได้ติดตรึงอยู่ในความทรงจำเท่ากับความรู้สึกในตอนที่ได้ปกป้องเจ้านายไว้ จางซื่อเยี่ยนแน่ใจอยู่อย่างหนึ่งว่า เว่ยเฟิงปิงปลอดภัย
   การขยับตัวทำให้บาดแผลที่ด้านหลังเริ่มปวดขึ้นมา ชายหนุ่มกลอกตามองไปรอบๆ ห้อง โดยอาศัยแสงสลัวๆ จากไฟห้องน้ำที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ไม่มีใครอยู่ในห้อง ร่างสูงพยายามขยับตัวอีกครั้ง เขาอยากจะติดต่อกับใครสักคน เพื่อถามข่าวคราวของเจ้านายว่าเป็นอย่างไรบ้าง  แต่เสียงทักที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องชะงัก
   “ฟื้นแล้วรึ?”
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองหูฝาด เขาพยายามจะยันตัวลุกขึ้นเพื่อมองหาแหล่งที่มาของเสียง แต่กลับถูกเสียงคุ้นหูนั้นดุ
   “จะลุกไปไหน?”
   เงาตะคุ่มเดินปรี่เข้ามา แล้วยื่นมือออกมากดตัวเขาให้นอนลง จางซื่อเยี่ยนกะพริบตาถี่ๆ หากแสงสลัวไม่ได้ทำให้สายตาของเขาแย่ลงจนเข้าใจผิด ผู้ที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้คือคนที่เขากำลังเป็นห่วงมากที่สุด
   เว่ยเฟิงปิงชายตามองร่างสูงที่เพิ่งถูกกดให้ลงไปนอนอีกครั้ง เขาเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ และพบว่าคนที่น่าจะนอนอยู่นิ่งๆ กำลังพยายามจะลุก
   “แผลนายฉีกรึเปล่า?” ร่างบางเอ่ยถาม  แต่จางซื่อเยี่ยนไม่รู้จะตอบคำถามของเจ้านายเขาว่าอย่างไร เพราะตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอีก มีแต่ความงุนงง และดีใจเกิดขึ้นแทน  เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินไปที่มุมของเตียง ทำท่าจะกดปุ่มเรียกพยาบาล “ฉันว่าตามอาซิงมาดูแผลนายหน่อยดีกว่า”
   แต่แล้วร่างบางก็ต้องชะงักมือ เมื่อผู้ที่นอนอยู่บนเตียงเอื้อมมือมารั้งไว้
   “ไม่ต้องหรอกครับ” จางซื่อเยี่ยนพูดจาอู้อี้ผ่านท่อช่วยหายใจ  ผู้เป็นเจ้านายนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะละมือออกจากปุ่มกด
   “ตามใจนายแล้วกัน” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ก่อนจะนั่งปุลงข้างเตียง มือของจางซื่อเยี่ยนยังคงจับแน่น ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเจ้านายของเขาจริงๆ เว่ยเฟิงปิงอยู่เฝ้าเขาอย่างนั้นหรือ?  จางซื่อเยี่ยนอยากจะขยับตัวไปใกล้ๆ มองใบหน้าเรียวยาวนั้นให้ชัดๆ เพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้ฝันหรือเห็นภาพหลอนไปเอง

   ความจริงเว่ยเฟิงปิงไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่เฝ้าลูกน้อง อย่างน้อยเจ้าตัวคิดเช่นนั้น  เขาเดินทางกลับไปที่สำนักงานหลังจากพบกับเถียนซิง แต่ความรู้สึกค้างคาใจบางอย่างทำให้ชายหนุ่มจำต้องกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง โดยหลีกเลียงการเผชิญหน้ากับสาวผมสั้นนัยน์ตากลมโตคนดังกล่าว
   เว่ยเฟิงปิงไม่อาจจะสงบจิตสงบใจได้เมื่ออยู่ที่สำนักงาน คำถามหลายอย่างเกิดขึ้นในหัวของเขา และสิ่งที่เขาไม่อยากจะยอมรับที่สุดคือ ลึกๆ แล้วเขาอาจจะรู้สึกเป็นห่วงลูกน้องที่ถูกพ่อส่งมา  ในที่สุด หลังจากที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงราวๆ หนึ่งชั่วโมง  ผู้เป็นเจ้านายแห่งตึก Le mirior จึงโทรไปหาลูกน้องผู้มีปานสีเขียวที่ลำคอ ให้ไปส่งเขาที่โรงพยาบาล
   ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองไปยังลูกน้องที่นอนอยู่ตรงหน้า  เขาปล่อยให้อีกฝ่ายกุมมือไว้อย่างนั้นราวกับเป็นเรื่องปกติ  เว่ยเฟิงปิงรู้สึกยินดีที่จางซื่อเยี่ยนฟื้น ข้อแก้ตัวของเขากับความรู้สึกนั้นคือ เขาจะได้รู้สักทีว่า เรื่องที่เถียนซิงเล่านั้นเป็นจริงขนาดไหน เว่ยเฟิงปิงขยับตัวเข้าไปใกล้ลูกน้อง และเอ่ยปากถามคำถาม
   “ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนาย พูดได้รึเปล่า?”
   ผู้ถูกถามพยักหน้า จ้องมองมายังเจ้านายอย่างสงสัยใคร่รู้  เว่ยเฟิงปิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยประโยคต่อมา
   “นาย ตามฉันมานานแล้วรึ หมายถึงนายตามฉันมาก่อนที่ฉันจะกลับเข้าแก๊งใช่ไหม?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า เขานึกแปลกใจที่จู่ๆ เว่ยเฟิงปิงถามเรื่องนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยพูดเรื่องที่เขาได้รับคำสั่งจากเว่ยชิงให้ตามดูแลเว่ยเฟิงปิงอย่างลับๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจำเป็นจะต้องปิดบังเรื่องนี้ไปตลอด คงมีใครบางคนเล่าเรื่องนี้ให้เจ้านายเขาฟัง แต่ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงต้องเก็บมาเป็นคำถามด้วย
   “คุณพ่อใช้นายมาสินะ”
   “ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยปากรับ  เขารู้สึกว่าน้ำเสียงของผู้ถามดูแปร่งๆ ผิดไปกว่าปกติ  อาจเพราะเป็นการเอ่ยถึงผู้เป็นบิดาก็เป็นได้
   “ทำไมหรือครับ?” คราวนี้จางซื่อเยี่ยนเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าเว่ยเฟิงปิงเงียบไปนาน ร่างบางถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดต่อ
   “ถ้าไม่ใช่คำสั่ง นายยังจะตามฉันอีกรึเปล่า?”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบแบบไม่ลังเล บางทีเขาคงยังไม่รู้ถึงความนัยน์ที่เว่ยเฟิงปิงกำลังจะสื่อ ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าการตามดูแลเว่ยเฟิงปิงเป็นคำสั่ง แต่การต้องทำหน้าที่เป็นเพียงแค่บอร์ดี้การ์ดเท่านั้นที่เป็นคำสั่ง จู่ๆ ผู้ตั้งคำถามก็หัวเราะออกมา
   “ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยนะ”
   จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าเจ้านายจงใจจะเหน็บเขาหรือว่าคิดแบบนั้นจริงๆ กันแน่ จึงได้แต่นิ่งเงียบ
   “ถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่ได้ใช่แซ่เว่ย ฉันไม่ได้อยู่ในตระกูลเว่ย นายยังจะติดตามฉันต่อไปรึเปล่า?”
   “ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ?” ชายหนุ่มถาม รู้สึกรำคาญเครื่องช่วยหายใจขึ้นมาตะหงิดๆ
   “ฉันอยากรู้”
   คำอธิบายไม่ได้ช่วยให้ความสงสัยกระจ่างขึ้น แต่จางซื่อเยี่ยนไม่ได้ถือสา เพราะนี้เป็นลักษณะปกติของเจ้านายของเขาอยู่แล้ว
   “ผมจะติดตามคุณไปตลอด ตราบเท่าที่คุณไม่เอ่ยปากไล่ผม”
   “ฉันเคยไล่แล้วแต่นายไม่ไป เพราะอะไร ซื่อเยี่ยน คำสั่งคุณพ่อหรือ?”
   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพิ่งฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบ  หรือเพราะร่างกายเสียเลือดมากกันแน่  มันสมองที่เคยคัดกรองคำพูดของมนุษย์หุ่นยนต์รายนี้เลยเกิดขัดข้องบางอย่าง
   “ไม่ใช่ครับ  เพราะคุณเป็นคนสำคัญของผม”
   “ฉันเป็นคนสำคัญ?” เว่ยเฟิงปิงทวนคำ นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งกว้าง แต่สำหรับจางซื่อเยี่ยนแล้ว เขารู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่มากกว่า คำพูดเพ้อเจ้อในหัวที่เคยจินตนาการเอาไว้เริ่มทยอยออกมา มันจะเป็นเรื่องจริงไปได้อย่างไรกัน คนอย่างเว่ยเฟิงปิง บุคคลที่อยู่สูงคนนั้น จะมานั่งเฝ้าไข้เขา และถามคำถามแบบนี้หรือ ในที่สุดจางซื่อเยี่ยนก็ตัดสินใจว่า ตัวเองกำลังฝันอยู่แน่ๆ
   ชายหนุ่มดึงมือที่กุมอยู่มาวางไว้ตรงหน้าอก เมื่อเป็นความฝัน การจะแสดงความใกล้ชิดกับเจ้านายก็คงไม่ใช่เรื่องต้องห้าม เว่ยเฟิงปิงรู้สึกตกใจเล็กน้อยกับทีท่าของอีกฝ่าย แวบแรกเขาคิดจะดึงมือกลับ แต่แล้วก็คิดได้ว่าน่าจะปล่อยไป เขาอยากรู้ว่าจริงๆ แล้ว ชายที่เป็นเหมือนหุ่นยนต์นี้มีความรู้สึกอย่างไรกันแน่
   “ที่ว่าเป็นคนสำคัญ สำคัญแบบไหนรึ?” ร่างบางฉวยโอกาสถามต่อ ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกสนุก จางซื่อเยี่ยนที่นอนอยู่เบื้องหน้าเขา ดูไม่เหมือนยามปกติ จะเพราะฤทธิ์ยา หรืออะไรก็ช่าง  การหลอกถามในสิ่งที่ปกติเจ้าตัวย่อมไม่พูดออกมาแน่ๆ นั้น กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของมาเฟียหนุ่มได้ดีทีเดียว
   “สำคัญที่สุดครับ”
   “กว่าคุณพ่อรึเปล่า?”
   คราวนี้จางซื่อเยี่ยนเงียบไปพักใหญ่ ทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ร่างบางขยับตัว ทำท่าจะดึงมือออก แต่อีกฝ่ายรีบดึงไว้แน่น
   “คุณท่านเป็นผู้มีพระคุณกับชีวิตผม แต่คุณเป็นคนสำคัญ”
   คำตอบของจางซื่อเยี่ยนไม่ได้ทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกพอใจนัก มันเป็นการตอบวนเข้าที่เก่า  ชายหนุ่มคิดว่าการสร้างบทสนทนาอ้อมค้อมคงไม่ทำให้เขาได้คำตอบอะไรชัดเจนนัก ดูเหมือนสมองของจางซื่อเยี่ยนแม้ในยามไม่ปกติ ก็ยังคงทำราวกับเครื่องจักร เว่ยเฟิงปิงคิดว่าเขาต้องถามตรงๆ
   “นายชอบฉันรึเปล่า?” ทันทีที่ถามออกไป เว่ยเฟิงปิงแทบจะกลั้นหายใจเพื่อรอคำตอบ  แต่การตอบของจางซื่อเยี่ยนนั้นเร็วจนผู้ถามแทบจะฟังไม่ทัน
   “ครับ”
   เว่ยเฟิงปิงอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เขาคิดว่าจางซื่อเยี่ยนจะใช้เวลาคิดคำตอบสักหน่อย แต่อีกฝ่ายสวนกลับคำถามมาราวกับว่ามันเป็นคำถามปกติๆ
   “ที่ว่าชอบน่ะ แบบไหน?” ชายหนุ่มแข็งใจถามต่อ เขานึกไม่ออกว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้กับพฤติกรรมของตัวเองดี ตกลงว่าเขากำลังแกล้งจางซื่อเยี่ยนหรือจางซื่อเยี่ยนกำลังแกล้งเขากันแน่
   ผู้ถูกถามเงียบไปอีก  ความจริงแล้วจางซื่อเยี่ยนกำลังรู้สึกรำคาญเครื่องช่วยหายใจขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ  ทำไมเขาต้องฝันสมจริงขนาดนี้ด้วย  ชายหนุ่มอยากจะถอดเครื่องช่วยหายใจออก แต่ก็กลัวว่ามือที่คว้าเอาไว้จะถูกดึงกลับไป
   “................”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้ว เขาฟังไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร  ร่างบางตัดสินใจก้มหน้าลงไปใกล้กับใบหน้าของผู้ที่นอนอยู่เพื่อฟังให้ชัดขึ้น  จางซื่อเยี่ยนมองดูใบหน้าเรียวยาวที่กำลังก้มต่ำลงมาด้วยความรู้สึกดีใจเล็กๆ ที่หลอกล่อเจ้านายของเขาได้  ไหนๆ เขาก็ฝันมาขนาดนี้แล้ว หากจะขอหอมแก้มเจ้านายในฝัน เครื่องช่วยหายใจก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร

   “โอ้!” เสียงอุทานที่ดังขึ้นทำให้เว่ยเฟิงปิงดีดตัวขึ้นทันที นัยน์ตาสีฟ้าประสานเข้ากับนัยน์ตาสีดำกลมโตของผู้มาเยือน ร่างบางลืมหายใจไปชั่วขณะ บุคคลที่สามที่เปิดประตูเข้ามาคือคนที่เขาหลีกเลี่ยงจะพบมากที่สุดในตอนนี้
   เถียนซิง
   เว่ยเฟิงปิงชักมือกลับ แม้รู้อยู่แก่ใจว่าสายไปแล้วแน่ๆ  ภาพที่เถียนซิงเห็นเป็นแบบไหน ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะขบคิดนัก  สมองของชายหนุ่มตอนนี้คิดว่าเขาควรจะหลบออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด แต่ก่อนที่จะได้เดินหรือขยับตัวอะไรไปมากกว่านั้น หญิงสาวก็ปราดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
   “ไม่ต้องๆ โอ๊ยๆๆ  ไม่ต้องเขินขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนพวกนาย จะทำอะไรก็ทำเถอะ”
   ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าถลึงตามองอีกฝ่าย แต่เถียนซิงยิ้มกว้างให้แทนคำตอบ  จางซื่อเยี่ยนมองดูผู้ที่เพิ่มเข้ามาอย่างงุนงง  เถียนซิงหมุนตัวกลับมามองคนไข้ที่นอนเปิดตาอยู่บนเตียง แล้วเอ่ยทัก   “ฟื้นเร็วดีนะ พ่อคนแข็งแรง เจ็บแผลรึเปล่า?”
   เป็นครั้งแรกที่จางซื่อเยี่ยนรู้สึกโมโหผู้หญิงคนนี้ ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองกำลังถูกขัดจังหวะในความฝัน ร่างสูงขยับตัวเพื่อที่จะลุกขึ้น แต่แล้วความเจ็บปวดก็แล่นแปลบขึ้นมาจากสะบักหลัง
   “อุก!” ร่างสูงครางเสียงหนัก ก่อนจะทรุดตัวลงนอนอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่รู้สึกเมื่อครู่ทำให้สมองของเขากลับมาตื่นตัวเต็มที่อีกครั้ง คราวนี้จางซื่อเยี่ยนรับรู้อย่างเต็มที่แล้วว่า เขาไม่ได้กำลังฝัน ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง  ความคิดที่ตามมาติดคือ.....
   “ชิบ..........” คำสบถสั้นๆ ที่หลุดออกมาจากแถวคำสบถยืดยาวในหัวสมองที่กำนัลให้กับความไร้สติของตัวเอง ทำให้ผู้ที่มองอยู่ขมวดคิ้ว
   “ถ้าซ่าอยากลองลุกหลังผ่าตัดมันก็เจ็บทั้งนั้นแหละ จะบ่นทำไม”
   จางซื่อเยี่ยนโบกมือถี่ๆ แทนคำปฏิเสธ เขาหันไปมองเจ้านายซึ่งตอนนี้มีใบหน้าถมึงทึงและมองออกไปอีกทางหนึ่ง ด้วยแววตาร้อนรน
   “ฉันกลับล่ะ” เว่ยเฟิงปิงกล่าวสั้นๆ และไม่รอให้ใครพูดต่อ  ร่างบางก้าวฉับๆ ออกไป แทบจะวิ่ง  เถียนซิงในคราวแรกทำท่าจะรั้งเอาไว้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจสุดขีดของญาติผู้น้องก็ต้องเปลี่ยนในถอยออกไป  ในที่สุดก็เหลือเพียงเธอและคนไข้ที่ยังคงทำหน้าเลิกลั่ก
   “ขอโทษทีนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาขัดจังหวะ  ฉันเข้ามาดูอาการเธอตามเวรเท่านั้น”
   “ไม่หรอกเจ๊ซิง”   จางซื่อเยี่ยนกล่าวพร้อมกับโบกมือ  เขารู้สึกอยากจะร้องไห้กับการกระทำของตัวเอง  เถียนซิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าไม่ชวนมองของอีกฝ่าย
   “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” หญิงสาวถาม จางซื่อเยี่ยนครางเสียงยาวด้วยความท้อแท้ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องความเข้าใจผิดของตน
-------------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #55 เมื่อ24-05-2011 18:37:58 »

บทที่22 สิ่งที่พูดออกไปไม่ได้
   “เจ็บ…” เสียงร้องประท้วงของชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลดังขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไร รูฟัสไม่มีแก่ใจที่จะนับ  ตอนนี้เขากำลังพยายามจะปลอบใจร่างผอมบางที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ในชุดเสื้อคลุมหลังอาบน้ำของโรงแรม
   ฟ่งทำหน้าบูดหลังจากที่พูดจบ หรือถ้าจะพูดให้ชัดขึ้นคือเขาหน้าบูดมาโดยตลอดหลังจากที่ถูกอุ้มออกมาจากห้องน้ำ  รูฟัสฝืนยิ้ม เมื่ออีกฝ่ายถลึงตาใส่ พร้อมกับแบะปาก
   “ขอโทษครับ” เขาเอ่ยคำพูดนี้ออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่ทราบ  ชายหนุ่มหวังว่าอย่างน้อยมันคงช่วยลดความไม่พอใจของฟ่งได้  ลึกๆ แล้วเขาคิดว่ามันเป็นความเชื่อที่งมงาย แต่ก็นั่นแหละ รูฟัสนึกคำพูดอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออก
   ฟ่งพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง สะโพกยังคงปวดจี๊ดๆ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาต้องนอนคว่ำหน้า ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่สุด เขาถลึงตามองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ อีก
   “คุณไม่ยอมฟังผมเลย ผมบอกว่าเจ็บๆๆๆๆ”
   รูฟัสทำหน้าแห้ง เขาคิดว่าตอนนั้นเขาได้ยินฟ่งพูดคำว่าเจ็บแค่ครั้งเดียว แถมยังเบาและไม่เห็นว่าจะไม่พอใจอะไร  หัวสมองของรูฟัสกำลังคิดเข้าข้างตัวเอง ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าฟ่งต้องไม่พอใจแน่ๆ  ชายหนุ่มกำลังสับสนกับการจัดการปัญหาตรงหน้า เขาควรจะต้องทำอะไร  ทำใหม่ให้ฟ่งพอใจดีไหม?  แต่นั่นคงไม่ใช่วิธีที่อีกฝ่ายต้องการเป็นแน่
   ดังนั้นรูฟัสจึงเอ่ยคำขอโทษอออกมาอีกครั้ง
   ร่างบางแบะปากกับคำขอโทษ และดูเหมือนว่าจะเบื่อการจ้องหน้าแล้ว  ร่างผอมบางหันหน้าลงไปซุกกับหมอนแทน  ความเจ็บปวดที่สะโพกซึ่งยังไม่บรรเทา ทำให้เขาไม่ยอมอ่อนข้อให้กับคำขอโทษของอีกฝ่าย ฟ่งโมโห โมโหที่รูฟัสไม่ยอมหยุด โมโหที่ทำรุนแรง และโมโหอย่างที่สุดเรื่องที่ตัวเองดันถึงจุดทั้งๆ ที่ถูกทำรุนแรงขนาดนั้น
   “เจ็บ.......” ฟ่งพูดอู้อี้ใส่หมอน รูฟัสถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ เขารู้สึกเหมือนกำลังพูดคุยอยู่กับตัวนิ่มที่กำลังม้วนตัวเป็นวง คำขอโทษดูจะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น บางทีเขาอาจจะต้องทำอะไรที่ดูแสดงความจริงใจที่มากกว่านี้
   ฟ่งสะดุ้ง เมื่อเตียงนอนยุบยวบ รูฟัสกระโดดเข้ามานอนข้างๆ พร้อมกับยื่นมือรวบตัวเขาเอาไว้ นั่นทำให้ฟ่งต้องเงยหน้าขึ้นมองทันที และเผชิญหน้ากับนัยน์ตาสองสีคู่นั้น
   “ผมขอโทษจริงๆ นะครับ” รูฟัสพูดอย่างที่เขาคิดว่าจริงใจที่สุด ความจริงคือเขาอยากที่จะให้ฟ่งหายโกรธไวๆ  ร่างบางถลึงตาใส่ และปัดแขนของอีกฝ่ายให้พ้นจากตัว
   “อย่าเข้ามาใกล้ผมนะ!” ผู้ถูกคุกคามตวาด ซึ่งมันดูเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังส่งเสียงขู่นักล่าตัวใหญ่อยู่มากกว่า รูฟัสกะพริบตาปริบๆ พุ่งเข้าตะครุบตัวของฟ่งเอาไว้ แล้วเริ่มไซ้ไปตามซอกคออุ่น
   “จะทำอะไรน่ะ!!” ฟ่งร้องด้วยความตกใจกว่าเดิม พยายามจะผลักร่างนั้นออก รูฟัสเงยหน้าขึ้นมามองฟ่งที่กำลังโวยวายแล้วพูดในสิ่งที่เขาคิดจะทำ
   “ก็ทำใหม่ไงครับ  คราวนี้ผมจะทำให้คุณรู้สึกดีเอง”
   ฟ่งเบิ่งตากว้าง ร้องเสียงแหลม “จะบ้าเรอะ! ทำอีกรอบผมตายพอดี”
   “แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ?” รูฟัสถามกลับ ขณะพยายามจะทำให้ร่างที่กำลังผลักไสเขาออก หยุดการเตะเปะปะนั้นลงบ้าง
   “คุณก็แค่อยู่เฉยๆ ฟังผมบ่นไป เดี๋ยวผมก็หายเองแหละ” ฟ่งพูดห้วนๆ ขณะพยายามใช้มือกันใบหน้าของรูฟัสที่ยื่นเข้ามาอย่างไม่ค่อยจะหวังดีกับริมฝีปากของเขาเท่าไรนักออก
   “แล้วคุณจะหายโกรธผมจริงๆ นะ” อีกฝ่ายถามย้ำเหมือนไม่แน่ใจ แต่ฟ่งคิดว่าจริงๆ แล้วรูฟัสอาจจะหวังจะทำต่ออย่างที่ว่าก็ได้ ร่างบางรีบพยักหน้าหงึกๆ ในที่สุดผู้ที่ดูเหมือนจะเริ่มคุกคามเขาอีกครั้งก็ยอมถอยออกไปแต่โดยดี
   ร่างบางซุกหน้าลงกับหมอนอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ลืมจะสอดตัวเองเข้าไปในผ้าห่มเพื่อปกป้องสวัสดิภาพประตูหลังของตัวเอง แม้จะยังโมโหอยู่ แต่ฟ่งไม่กล้าโวยวายต่อ เขากลัวว่ารูฟัสจะเปลี่ยนใจ พยายามจะแก้ตัวโดยการทำใหม่อย่างที่ว่าอีกครั้ง นั่นอาจจะทำให้นั่งไม่ได้เป็นวันๆ
   รูฟัสนั่งรอให้ฟ่งเงยหน้าขึ้นจากหมอนอย่างใจจดใจจ่อ ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าถ้าอีกฝ่ายเผลอหลับไปแล้วเขาจะทำยังไงดี นั่งรอต่อไป หรือว่าปลุกขึ้นมาถาม หรือว่าหันไปทำอย่างอื่น 
ขณะที่รูฟัสกำลังคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นาๆ  ฟ่งก็เงยหน้าขึ้นมาและถามคำถามที่ทำให้ผู้ถูกถามถึงกับนิ่งอึ้ง
“คุณเป็นใครกันแน่?”
-------------------------------------
“บ้า” นี่คือทำพูดแรกของเถียนซิงหลังจากฟังเรื่องราวที่จางซื่อเยี่ยนเล่าจบ และเธอก็พูดมันซ้ำอีกเป็นรอบที่สอง
“เธอนี่มันบ้าจริงๆ เลย”
“อืม” จางซื่อเยี่ยนส่งเสียงยอมรับอย่างไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ  แต่เถียนซิงกลับพูดต่อขึ้นอีก
“ฉันไม่ได้บอกว่าเธอบ้าที่ทำแบบนั้น แต่ฉันกำลังจะบอกว่า เธอน่ะบ้าที่ไม่ยอมพูดออกไปตรงๆ ต่างหากล่ะ”
“ยังไง?”
“ก็ถ้าเธอชอบเฟิงปิง ทำไมไม่พูดออกไปเลย มาทำอ้ำๆ อึ้งๆ รอบอกเขาในฝันหรือไง  แล้วพอไม่ฝัน จะทำไงต่อ  ไปแก้ตัวว่าผมฝันไปรึ?”
“ก็คงอย่างนั้น”
คำตอบของจางซื่อเยี่ยนทำให้เถียนซิงร้องโอ๊ยอย่างขัดใจ
“ฉันขอเปลี่ยนคำพูดที่ว่าเธอบ้า จริงๆ เธอน่ะทั้งบ้าทั้งโง่  ถามจริงเหอะ  ชอบเฟิงปิงจริงๆ ใช่ไหม”
“อืม” เขาตอบรับอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก เถียนซิงขยำมือเข้าหากัน และถามต่อ “แล้วทำไมไม่บอกไปตรงๆ ล่ะ?”
“เขาเป็นเจ้านายผมนะ” จางซื่อเยี่ยนตอบ หญิงสาวทำคิ้วย่น “เจ้านายแล้วไง  ชอบไม่ได้หรือไง”
“อืม” คำตอบของชายหนุ่มทำให้เธอเกาหัวแกรกๆ
“ถ้างั้นก็ตัดใจเสียสิ  ให้คุณลุงย้ายเธอกลับหน่วยดำ จะได้ไม่ต้องดูอะไรตำตาตำใจ”
“ไม่ได้หรอกเจ๊”
“ทำไมอีกล่ะ?”
จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปครู่หนึ่ง “ผมต้องดูแลคุณชาย”
“โอ๊ย เด็กนั่นดูแลตัวเองได้น่า ถึงไม่มีเธอ เดี๋ยวคุณลุงก็หาบอร์ดี้การ์ดคนใหม่มาแทนให้เองแหละ อย่าไปสำคัญตัวเองนักเลย”
จางซื่อเยี่ยนนิ่งเงียบไปอีก  เถียนซิงเลยได้ทีเสริมต่อ “ใจจริงๆ ไม่อยากไปจากเฟิงปิงก็บอกมาเหอะ รักเขาจนโงหัวไม่ขึ้น จะไปก็ไม่กล้า จะให้สารภาพก็ไม่เอา ตกลงจะอยู่ยังไง?”
จางซื่อเยี่ยนยังคงเงียบต่อไป ในที่สุดเถียนซิงก็พูดอย่างทนไม่ไหว
“อยากจะเงียบจะใบ้ก็ตามใจเถอะ ฉันจะจัดการให้นายหายไวๆ  อยากรู้จริงๆว่า พอนายกลับไปเจอหน้ากับเฟิงปิงแล้ว จะทำตัวยังไงต่อไป” เธอพูด แล้วก็เดินออกไปทั้งอย่างนั้น  จริงๆ แล้วจางซื่อเยี่ยนไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่ตอบคำถามของเถียนซิง แต่เขาจนปัญญาที่จะหาคำอะไรมาตอบคำถามนั้นต่างหาก
ชายหนุ่มถอนหายใจ  ยอมรับว่าตัวเองอาจจะทั้งโง่และบ้า แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อสถานะของเขาไม่อำนวยให้ทำอะไรเลยซักอย่าง  จางซื่อเยี่ยนภาวนาให้เขาคิดข้อแก้ตัวดีๆ ได้ ก่อนจะออกจากโรงพยาบาล
--------------------------------------
อาเง็กรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ในตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากเจ้านายให้ไปรับกลับในตอนใกล้รุ่งสาง แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของเว่ยเฟิงปิง เขาก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามถึงเหตุผล
บางทีเจ้านายอาจจะทะเลาะกับลูกพี่ของเขาอีก แต่ว่าจางซื่อเยี่ยนจะฟื้นแล้วล่ะหรือ? แล้วสองคนนั่นจะทะเลาะกันทำไม  หรือว่าพี่จางต่อว่าเจ้านายของเขา
อาเง็กสะบัดหัว ข้อสุดท้ายไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ เขาจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ หลังจากที่เดินไปส่งเจ้านายที่หน้าประตูห้องแล้ว
เว่ยเฟิงปิงดันประตูให้ปิดลง กระแทกตัวนั่งลงบนเตียง รู้สึกหงุดหงิดและอับอายอย่างที่สุด เรื่องทั้งหมดต้องโทษจางซื่อเยี่ยน
เพราะหมอนั่นนั่นแหละ
เว่ยเฟิงปิงไม่พยายามจะถามหาเหตุผลว่าทำไมเขาจะต้องโทษจางซื่อเยี่ยน นั่นเพราะถ้าจางซื่อเยี่ยนตอบคำถามเขาแต่แรก เรื่องคงไม่เกิดขึ้น  ไม่ว่ายังไง เว่ยเฟิงปิงก็ยังลงความเห็นว่าเขาต้องโทษใครสักคน และคนคนนั้นก็คงหนีไม่พ้นจางซื่อเยี่ยน
ร่างบางล้มตัวลงนอนบนเตียง โดยไม่คิดที่จะอาบน้ำ  ในความรู้สึกหงุดหงิด ก็ยังมีความรู้สึกแปลกๆ ปะปนอยู่ ความรู้สึกที่เหมือนกับเด็กๆ ที่รู้ว่าใครสักคนแอบให้ของขวัญ  คำว่าคนสำคัญที่จางซื่อเยี่ยนพูดดังลอยๆ อยู่ในหัวสมองที่กำลังคุกรุ่นนั้น  เว่ยเฟิงปิงพลิกตัวอย่างกระสับกระส่าย
ที่ว่าสำคัญน่ะ สำคัญแบบไหนกันแน่?
เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้ยินคำตอบแบบไหน  จริงๆ แล้วเขาไม่กล้าที่จะยอมหรับหรือแม้แต่จะลองคิดว่าเขาอยากได้รับคำตอบแบบไหน  เพราะเขาไม่รู้ว่า ถ้าคำตอบของจางซื่อเยี่ยนเป็นแบบที่เขาอยากให้เป็นแล้ว เขาจะทำอย่างไรต่อไป
ชายหนุ่มพลิกตัวอีกครั้ง เขาอยากกอดใครสักคน ตอนนี้เฟิงปิงคิดถึงฟ่ง  แต่ว่าฟ่งก็ไม่อยู่แล้ว พอคิดว่าฟ่งไปกับรูฟัส  หัวใจของเขาก็ปวดแปลบ
รูฟัส
เว่ยเฟิงปิงซุกหน้าลงกับหมอน อยากจะคร่ำครวญถึงชื่อนั้นสักล้านครั้ง  เขายิ่งไม่อยากจะคิดหรือจินตนาการว่าตอนนี้ชายคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่
ทำไมตอนที่รู้สึกแย่ เวลาช่างเดินอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน
---------------------------------
รูฟัสกะพริบตาครั้งหรือสองครั้ง หลังจากที่ได้ยินคำถามของฟ่ง เขาจ้องมองใบหน้าที่จมหมอนไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งกำลังจับจ้องเขาอยู่ด้วยดวงตาสีน้ำตาลอย่างตั้งใจ  ก่อนจะถอนหายใจและยิ้มออกมา
“เฟิงปิงเล่าเรื่องผมให้คุณฟังว่าอะไรบ้าง?”
เขาไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับ ฟ่งขยับใบหน้า เพื่อให้สามารถพูดได้ง่ายขึ้น
“เขาบอกผมว่าคุณเป็นสายลับ”
“ครับ”
“ครับนี่หมายถึงว่าคุณเป็นจริงๆ หรือ?” ฟ่งถามซ้ำ อยากจะกลั้นหายใจแล้วหลบสายตาสองสีคู่นั้น เขากลัว กลัวที่จะได้ยินคำตอบ รูฟัสพยักหน้า
“ผมเป็นสายลับ เฟิงปิงเล่าให้คุณฟังหรือเปล่าเรื่องเขากับผม”
“อืม”
“ว่า...?”
ฟ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เพื่อชั่งใจว่าควรจะเล่าเรื่องออกไปอย่างไร
“เขาบอกว่าคุณทิ้งเขาไป”
“อ้อ” รูฟัสครางเสียงยาว ฟ่งถามต่อ “คุณหลอกเขาให้ไปขโมยเอกสาร จริงหรือเปล่า?”
คราวนี้รูฟัสเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดก็ระบายลมหายใจยาว
“ผมอยากจะพูดว่าผมไม่ได้หลอก แต่ว่า...” รูฟัสเงียบไปอีก ฟ่งขยับตัวอย่างสนใจ ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจยาว แล้วพูดต่อ
“เฟิงปิงเอาเอกสารนั่นมาให้ผมเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม  และตอนนั้นจุดประสงค์ของผมก็คือเอกสารนั่น ดังนั้นการได้มันมาไม่ว่าวิธีไหนก็ดีกับผมทั้งนั้น”
“เพราะงั้นคุณก็เลยเอาเอกสารไปแล้วทิ้งเขาไว้แบบนั้น?”
รูฟัสมองหน้าฟ่ง ยิ้มเศร้าๆ “ผมคิดว่าเฟิงปิงจะหาข้อแก้ตัวได้  เขาฉลาด และเจ้าเล่ห์มาก”
“แต่เขาโดนลงโทษนะ” ฟ่งแย้ง รูฟัสย่นคิ้วอย่างอ่อนใจ
“นั่นแหละที่ผมคาดไม่ถึง  ถ้าคุณรู้จักเฟิงปิงแบบที่ผมรู้จัก คุณต้องไม่คิดว่าเขาจะยอมโดนลงโทษแน่ๆ”
ฟ่งขมวดคิ้ว ขยับตัวเข้ามาใกล้รูฟัส และถามด้วยความอยากรู้ “คุณรู้จักเขาแบบไหนกัน?”
“เฟิงปิงเกลียดผม” รูฟัสเริ่มเล่า
“เขาพยายามแกล้งผม ตอนแรกผมไม่ได้ใส่ใจ เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเอาแต่ใจของเด็กๆ  แต่การแกล้งของเขามันหนักข้อเข้าเรื่อยๆ จนผมเกือบจะถูกยิงทิ้งเพราะหัวหน้าคิดว่าผมเป็นสายลับ”
“ก็คุณเป็นจริงๆ นี่” ฟ่งว่า รูฟัสยิ้มกับคำพูดนั้น
“สายลับก็สายลับสิครับ เป็นสายลับไม่ใช่ว่าจะต้องประกาศให้ใครเขารู้ไปหมดนี่”
“อ่อ..  แต่คุณก็ไม่เห็นโดนยิง”
คราวนี้รูฟัสคิดว่าฟ่งกำลังหาเรื่องเขาอยู่หรือเปล่า ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย และเล่าต่อ
“ผมพยายามทำดีกับเขามาโดยตลอด เพราะเขาเป็นลูกชายของเว่ยชิง เอ่อ หัวหน้าของผมในตอนนั้นน่ะ  หลังๆ เขาก็เริ่มหันมาทำดีกับผม แต่ว่าจะให้ผมเชื่อใจเขาเลยก็ยากนะ  เฟิงปิงเจ้าเล่ห์มาก บางทีเขาทำดีกับคุณ แต่ว่าอีกวันเขาก็ทำร้ายคุณ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ”
ตรงจุดนี้ฟ่งเริ่มพยักหน้าอย่างเห็นด้วย รูฟัสยิ้มอย่างดีใจ แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อได้ยินประโยคต่อไปของฟ่ง
“แต่ว่าเฟิงปิงเขาก็ชอบคุณนะ”
ฟ่งเว้นจังหวะ ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้รูฟัสแทบจะลุกขึ้นยืน
“นี่รูฟัส คุณจะหลอกผมเหมือนที่หลอกเขารึเปล่า?”
“ผมจะหลอกคุณทำไมล่ะครับ” รูฟัสตอบ และรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา ฟ่งเริ่มมีความคิดอย่างที่เขากลัวขึ้นมาแล้ว
“ก็......คุณเป็นสายลับ  แล้วคุณมายุ่งกับผมเพราะอะไรกัน  ผมมีประโยชน์อะไรกับงานของคุณหรือ?”
“อา..” รูฟัสครางเสียงยาว เขากลัวว่าฟ่งจะคิดแบบนี้เป็นที่สุด ชายหนุ่มฉวยมือของอีกฝ่ายมากุมไว้ และจูบเบาๆ
“I love you so much, that why I come for you.”
ฟ่งเม้มปาก รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เขาไม่คิดว่ารูฟัสจะมาไม้นี้
“พูดจริงๆ หรือ?”
“ครับ” รูฟัสกล่าว พยายามมองเข้าไปในดวงตาเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ฟ่งหลบตา แล้วพูดต่อ
“อย่างนั้นมันไม่ลำบากเหรอครับ ทำไมต้องเป็นผม  จริงๆ แล้วคุณไม่น่าจะมาชอบผม”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็ผมทำให้ชีวิตคุณวุ่นวาย นี่ผมทำให้คุณต้องทิ้งงานมาด้วยใช่ไหม?”
ผู้ถูกถามถอนหายใจยาว กุมมือข้างนั้นไว้แน่น ราวกับกลัวว่าฝ่ายที่ถามจะวิ่งหายไประหว่างที่เขาพูด
“คุณเป็นคนสำคัญที่สุดของผม งานน่ะไม่จำเป็นหรอกครับ ตอนนี้สำหรับผม คุณสำคัญที่สุด”
ฟ่งหน้าแดง  เขากำลังคิดว่าคำพูดของคนที่อยู่ตรงหน้านี้จะเชื่อถือได้ขนาดไหนกัน
“ผม...ควรจะเชื่อคุณรึเปล่า รูฟัส” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย
“ก่อนหน้านี้คุณก็หลอกผม ตลอดเวลา คุณหลอกผมมาตลอด  ถ้าผมไม่ถูกจับมาที่นี่  คุณจะบอกความจริงผมรึเปล่า?”
รูฟัสทำหน้าปั้นยาก  เขาไม่อยากให้มีบทสนทนาแบบนี้เกิดขึ้นระหว่างเขากับฟ่งเลย  ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของเมี่ยง
“ถ้าผมบอกคุณแต่แรก คุณจะยอมให้ผมจูบหรือ?”
ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอย่างตกใจ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดแบบนี้ออกมา แต่รูฟัสไม่สนใจกับอาการตอบสนองนั้น เขายังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับคนจะร้องไห้
“ถ้าผมบอกคุณแต่แรก คุณจะยอมให้ผมเข้าใกล้หรือ?  ผมจะได้อยู่ใกล้ๆ กับคุณรึเปล่า ฟ่ง....เรื่องของผมน่ะ ถ้าบอกคุณไปแล้ว คุณจะรับมันได้เหรอ?”
ฟ่งนิ่งอึ้ง  เขากำลังนึกย้อน ถ้าเขารู้แต่แรกว่ารูฟัสเป็นสายลับ เขาคงจะไม่ไปยุ่งด้วย และเรื่องทั้งหมดนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น  แต่นั่นก็เป็นสิ่งดีไม่ใช่หรือ?
“ถ้าคุณบอกผมแต่แรก เรื่องทั้งหมดนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น  เราสองคนคงไม่ต้องมาเดือดร้อน...”
 “ฟ่ง!” รูฟัสโพล่งออกมา จนอีกฝ่ายมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ร่างใหญ่ขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากแน่
“ได้โปรด  อย่าพูดแบบนั้นอีกได้ไหมครับ นอกจากว่าคุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ผม...”
“แต่ว่า.... มันก็น่าจะดีสำหรับคุณและผม...” ฟ่งพูดค้างเอาไว้ เพราะสีหน้าของรูฟัสที่กำลังแสดงอยู่ทำให้เขาพูดต่อไม่ออก หนุ่มนัยน์ตาสองสีก้มหน้า ซ่อนแววตาเจ็บช้ำเอาไว้  เขายังคงเม้มริมฝีปากแน่น ฟ่งจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา หรือว่าฟ่งคิดแบบนั้นอยู่แล้ว สิ่งที่ผ่านมาก็แค่สิ่งทีผ่านไปอย่างนั้นหรือ?
“สำหรับคุณแล้ว  ผม...ไม่มีความหมายอะไรเลยอย่างนั้นหรือครับ?  ผม..คงทำให้เดือดร้อนมาก” ประโยคหลังรูฟัสเหมือนพูดให้ตัวเองมากกว่า  ฟ่งนิ่งอึ้ง เขาควรจะตอบรูฟัสว่าอะไร สำหรับเขาแล้ว รูฟัสเป็นอะไรกันแน่ จริงอยู่ที่รูฟัสทำให้เขาเดือดร้อน แต่เขาไม่ได้คิดจะต่อว่า ตรงกันข้ามเขากำลังคิดว่าตัวเองต่างหากที่ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน เขาไม่อยากให้รูฟัสต้องเดือดร้อนเพราะเขา  แต่สิ่งที่พูดออกไปกลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายแทน
“ผม...ขอโทษ..” ฟ่งเริ่มประโยคเหมือนกับที่รูฟัสพูดไปก่อนหน้านี้ เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เริ่มแห้งผาก เม็ดเหงื่อเล็กผุดออกมาตามใบหน้า
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะหมายความแบบนั้น ผมแค่คิดว่าผมทำให้คุณเดือดร้อน ซึ่งจริงๆ แล้วคุณไม่น่าจะต้องมาเดือดร้อนเพราะผม..”
“อา..” รูฟัสครางเสียงยาว ดึงมือที่กุมอยู่เข้ามาจูบอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของมือนั้น
“สำหรับผม คุณไม่เคยทำอะไรให้เดือดร้อน  ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับผมเท่ากับคุณ”
แววตาของรูฟัสที่มองขึ้นมา ทำให้ฟ่งเกือบจะร้องไห้  มันเหมือนกับตอนที่เขาเปิดประตูห้องออกมาเจอรูฟัสกำลังนั่งรออยูด้านนอก  เขาอยากที่จะลองเชื่อใจชายคนนี้อีกสักครั้ง แต่ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่รู้อะไรซักอย่างเดี่ยวกับผู้ชายคนนี้ และไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลยนอกจากคำพูดและแววตานั่น...
“รูฟัส...” ฟ่งเอ่ยชื่อคนที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาเบาๆ ราวกับว่านั่นอาจจะไม่ใช่ชื่อเรียกที่ถูกต้องนัก ผู้ถูกเรียกพยักหน้า เหลือบขึ้นมองร่างบอบบางที่อยู่ใต้ผ้าห่มด้วยสายตาวิงวอนอย่างที่สุด ตอนนี้ฟ่งคงไม่เชื่อใจเขาอย่างมาก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่จะโทษฝ่ายนั้นได้ได้ เพราะเขาเป็นต้นเหตุเอง ถึงกระนั้นรูฟัสคิดว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่โกหกมาแต่ต้น เขาคงไม่ได้อยู่กับฟ่งในวันนี้ และแม้จะต้องแลกด้วยความไม่ไว้ใจกันในวันที่ได้รู้ความจริง ทว่าอย่างน้อยมันก็ยังเปิดโอกาสให้เขาได้มากกว่าการปิดฉากความสัมพันธ์นั้นตั้งแต่แรกด้วยการพูดความจริง
“เชื่อใจผมเถอะครับ ถึงผมจะโกหกหลายๆ เรื่อง แต่เรื่องที่ชอบคุณเป็นเรื่องจริง”
ฟ่งมองหน้ารูฟัส ถึงเวลานี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น  คนเดียวที่จะพาเขากลับได้ในตอนนี้คือผู้ชายพี่อยู่ตรงหน้าเขา  ร่างบางพยักหน้าอย่างซึมเซา  รูฟัสบีบมือของฟ่งแน่นด้วยความรู้สึกอึดอัด
เขารู้ว่าฟ่งต้องไม่เชื่อ
เขารู้ว่าฟ่งต้องไม่ไว้ใจ
แต่จะมีทางเลือกไหนอีก ในเมื่อการเล่าความจริงออกไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร
-------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #56 เมื่อ24-05-2011 18:38:22 »

   กลิ่นบุหรี่ฉุนกึกที่ลอยมาแตะจมูกทันทีที่เปิดประตูทำให้อาเง็กต้องย่นจมูก  เพราะจางซื่อเยี่ยนยังไม่ออกมาจากโรงพยาบาล หน้าที่การรายงานเรื่องราวต่างๆ จึงตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย  เว่ยเฟิงปิงยืนอยู่หน้าเตียง ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้อาบน้ำ นั่นทำให้ผู้เป็นลูกน้องรู้สึกเป็นห่วง  นี่ก็เลยสิบโมงเช้าไปแล้ว ปกติเจ้านายของเขาจะแต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่เก้าโมงครึ่ง  ชายหนุ่มเหลือบมองไปยังโต๊ะเล็กข้างเตียง และพบสาเหตุที่มาของกลิ่นฉุนดังกล่าว
   ก้นบุหรี่กองพะเนินจนล้นที่เขี่ยบุหรี่เงินที่วางอยู่ แสดงให้เห็นว่าเจ้านายของเขาคงจะสูบบุหรี่จนถึงเช้า  แต่เด็กหนุ่มต้องหยุดการสำรวจลงในทันที เมื่อน้ำเสียงอันทรงอำนาจของผู้เป็นเจ้านายเอ่ยถามขึ้น “มีเรื่องอะไร?”
   ไม่กี่ครั้งที่อาเง็กต้องมาเผชิญความกดดันที่มาจากตัวเจ้านายของเขา ปกติหน้าที่นี้จางซื่อเยี่ยนจะเป็นผู้รับไปทั้งหมด เด็กหนุ่มรีรออยู่พักใหญ่ที่จะกล่าวธุระ และนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิด
   “ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็กลับออกไปเถอะ” เว่ยเฟิงปิงกล่าวตัดบท ทำให้อาเง็กต้องรีบละล่ำละลักพูด
   “คือ คุณชายรองมาหาคุณน่ะครับ”
   นัยน์ตาสีฟ้าใสที่ดูอิดโรยแห้งแล้งนั้นแปรเปลี่ยนเป็นแววตาอาฆาตมาดร้ายทันทีที่อาเง็กกล่าวจบประโยค ริมฝีปากบางของเว่ยเฟิงปิงปรากฎรอยยิ้มน่าเกลียด  ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ
   “มาไวจริงนะ” เขาพึมดำ ก่อนจะหันไปกล่าวกับลูกน้อง “ไปบอกเขาว่า เดี๋ยวฉันจะลงไป”
   เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะรีบถอยหลบออกไป เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาวหลังได้ยินเสียงปิดประตู
   เว่ยจินหยิน...
   ชื่อเต็มๆ ของพี่ชายต่างมารดาวัยสามสิบหกปีของเขา ผู้ทำงานเป็นมือขวาให้กับเว่ยชิงมานาน และคุมอำนาจบริหารส่วนใหญ่ในแก๊ง จนกระทั่งแทบจะแน่ใจได้ว่า อนาคตหัวหน้าแห่งกลุ่มธุรกิจตระกูลเว่ยต้องตกเป็นของลูกชายคนนี้แน่ๆ
   ปกติเขาไม่ค่อยได้ติดต่อกับเว่ยจินหยินเท่าไรนัก หรือจะพูดให้ถูกคือ พี่น้องทุกคนในตระกูลนี้ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน สำหรับเว่ยเฟิงปิงแล้ว เว่ยจินหยินถือเป็นศัตรูทางอนาคตดีๆ นี่เอง  เป้าหมายของเว่ยเฟิงปิงคือการขึ้นเป็นหนึ่งในตระกูลเว่ย และก้างขวางคอชิ้นใหญ่คงหนีไม่พ้นพี่ชายต่างมารดาคนนี้ และดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็คงจะรู้ว่าเขาคิดอย่างไรเช่นกัน
   การที่เว่ยจินหยินถ่อมาหาเขาถึงที่นี่ แสดงว่าต้องได้ข่าวเรื่องที่เขาพบกับรูฟัสแล้วแน่ๆ  และคงหวังกับข้อมูลลับที่เขาแลกมา
   ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ให้กับตัวเอง งานนี้เขาคว้าน้ำเหลว นอกจากจะไม่ได้ข้อมูลอะไรมาแล้ว  ลูกน้องตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บอีก เรียกว่าแทบจะเสียหมดกระดานเลยทีเดียว  ดีที่การเคลื่อนไหวของรูฟัสยังอยู่ในสายตาของเขา  แต่ว่า...จะเอาอะไรไปเค้นข้อมูลจากชายคนนั้นได้ล่ะ?
   เว่ยเฟิงปิงก้าวเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัว ปล่อยให้สายน้ำเย็นไหลผ่านศีรษะ รู้สึกเจ็บลำคอ  คงเป็นเพราะเมื่อคืนสูบจัดไป แม้แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน แต่เขากลับไม่ค่อยรู้สึกง่วง มีเพียงความหงุดหงิดที่ดูเหมือนจะทวีขึ้นเรื่อยๆ  ชายหนุ่มหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดผม ตอนนี้คงต้องทำทุกอย่างเพื่อกันเว่ยจินหยินออกไปให้พ้นจากเรื่องนี้ก่อน
   การโดนตัดหน้าในจังหวะนี้จะทำให้เขายิ่งเสียมากขึ้น
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวขึ้นมาใส่  ขณะเค้นสมองเพื่อหาวิธีจัดการกับปัญหาที่กำลังรออยู่ชั้นล่าง

   เว่ยจินหยินเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบเศษที่มองแวบแรกให้ความรู้สึกเหมือนพนักงานบริษัท เขาหวีผมเรียบแปล้ สวมแว่นตากรอบทอง ซึ่งไม่ค่อยจะเหมาะกับวัยเท่าไรนัก เจ้าตัวอยู่ในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อน ที่ตัดเย็บอย่างประณีต และรีดจนเรียบกริบ ด้านหลังมีผู้ติดตามอีกราวๆ สี่ห้าคน  อาเง็กเพิ่งเคยพบชายคนนี้เพียงไม่กี่ครั้ง เว่ยจินหยินเป็นผู้ชายที่ดูดีจนน่าอึดอัด บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่มีแว่นตากรอบทองสวมอยู่ มักปรากฏรอยยิ้มเป็นมิตรที่ดูเหมือนการแสดงละคร กิริยามารยาทและคำพูดแสนสุภาพ แต่แผงไว้ด้วยถ้อยคำที่หวังผล เบื้องหลังแว่นตากรอบทองมีนัยน์ตาสีดำสนิทที่ดูเหมือนหมาจิ้งจอก
   หากมีใครพูดว่าเว่ยเฟิงปิงเป็นคนที่ดูไว้ใจไม่ได้แล้วล่ะก็ เว่ยจินหยินคงเป็นอะไรที่ยิ่งกว่านั้น
   ผู้ชายคนนี้คือคนที่ไม่สมควรไว้ใจมากที่สุด
   ไม่มีบรรยากาศอะไรจะแย่ไปกว่าบรรยากาศในการพบกันของสองพี่น้องคู่นี้อีกแล้ว เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามาในห้องรับรอง ซึ่งพี่ชายของเขานั่งรออยู่ ก่อนจะยิ้มให้และเอ่ยคำทักทาย
   “สวัสดี พี่จินหยิน  ลมอะไรหอบพี่มาถึงนี่”
   เว่ยจินหยินยิ้มให้ผู้เป็นน้องชาย และเอ่ยทักทายกลับ “มาหาเธอนั่นแหละ พี่มีธุระนิดหน่อย”
   ไม่ว่าใครหากรู้จักคนทั้งคู่ ก็ต้องรู้ดีว่าบทสนทนาเริ่มต้นนี้ไม่มีความจริงใจให้กันเลยแม้แต่น้อย ไม่มีพี่น้องแท้ๆ คู่ไหน เรียกหากันด้วยชื่อจริงแบบนี้หรอก หากเปลี่ยนจากคำพูดเป็นอาวุธ ทั้งคู่คงวิ่งเข้าห้ำหั่นกันตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอหน้ากัน
   เว่ยเฟิงปิงหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้หนังตรงข้ามกับเว่ยจินหยิน หาวหวอด ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
   “มีอะไรล่ะพี่  เมื่อคืนผมไม่ค่อยสบาย”
   “ได้ข่าวว่าอาซื่อบาดเจ็บ อาการเป็นยังไงบ้าง” เว่ยจินหยินเริ่มต้นคำถาม เว่ยเฟิงปิงรู้ทันทีว่าพี่ชายกำลังจะชี้ซ้ำในความผิดพลาดของตน ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
   “ก็ไม่เป็นไรหรอก  แหม ทำงานมันก็ต้องบาดเจ็บกันบ้าง หมอนั่นเป็นบอดีการ์ดนะ ไม่ใช่อีตัวในซ่องพี่เสียหน่อย”
   “ฮ่ะๆ” เว่ยจินหยินหัวเราะขึ้นบ้าง เขายกมือขยับแว่น “เจ็บไม่มากก็ดีแล้ว พี่กลัวว่าต้องหาบอดีการ์ดคนใหม่มาให้เธอ พักนี้หน่วยดำของเรายิ่งไม่ค่อยมีคนอยู่”
   “ทำงานพลาดเยอะเลยถูกเก็บหรือไง?” เว่ยเฟิงปิงย้อนถาม ก่อนจะพูดสืบต่อ
   “ถ้าคนไม่พอพี่จะมาเอาคนเก่าคืนไปก็ได้นะ ผมไม่ค่อยได้ใช้หรอก”
   “คุณพ่อคงไม่ยอม” เว่ยจินหยินตอบและยิ้ม  เขาเห็นว่าใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงเปลี่ยนไปนิดหน่อย  รอยยิ้มของเว่ยจินหยินยิ่งกว้างมากขึ้น
“แหม พี่เนี่ย อะไรก็อ้างคุณพ่อ เป็นลูกแหง่หรือไง  ถ้าพี่อยากรู้อาการซื่อเยี่ยน ทำไมไม่ไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลเลยล่ะ” เว่ยเฟิงปิงย้อน   อาเง็กเผลอสูดหายใจลึก เขากลัวจริงๆ ว่าบอดีการ์ดของอีกฝ่ายจะขยับตัว บทสนทนาของคนทั้งคู่ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกผ่อนคลายเลย 
บรรยากาศตรึงเครียดยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อเว่ยจินหยินยิ้มให้คำพูดของน้องชาย
   “พี่ก็แค่ถามไปตามมารยาท  พี่รับคำสั่งจากคุณพ่อให้มารับข้อมูลของริเวิล”
   “อ้อ” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว เบิ่งนัยน์ตาสีฟ้าใสมองหน้าของพี่ชายเหมือนเห็นคนไม่รู้จัก
   “ผมบอกคุณพ่อไปแล้วนี่ว่าจะส่งให้เอง”
   “เหรอ คุณพ่อไม่เห็นบอกพี่ ท่านบอกว่าอยากจะได้เลยเดี๋ยวนี้ พี่เลยมาหาเธอ”
   “ความจริงพี่ไม่ต้องมาถึงที่นี่ก็ได้” เว่ยเฟิงปิงกล่าว เขารู้ว่าเว่ยชิงไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้คนระดับเว่ยจินหยินให้มาเอาเอกสาร  ที่เว่ยจินหยินมาก็คงเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าเขาทำงานพลาด  รอยยิ้มน่าเกลียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงอีกครั้ง
   “ผมกำลังตรวจสอบข้อมูลอยู่  คุณพ่อคงไม่อยากได้ข้อมูลที่ผิดพลาดหรอก จริงไหม? พี่ก็รู้นี่ว่าพวกสายลับเชื่อใจยาก”
   “แต่เธอก็เคยเชื่อใจเขานี่” เว่ยจินหยินกล่าว สีหน้าดูจริงใจอย่างที่สุด เว่ยเฟิงปิงแสยะยิ้มเพิ่มขึ้น “นั่นสิ ดีนะที่ผมเคยเชื่อใจเขา ไม่อย่างนั้นพี่คงไม่ต้องถ่อมาหาผมถึงนี่”
   “จะบอกว่าถ้าไม่มีเธอคงไม่ได้ข้อมูลของริเวิลหรือไง”
   เว่ยเฟิงปิงยักไหล่ “พี่กำลังพูดเอาใจผมเกินไป จริงๆ แล้วผมมีข้อมูลที่ว่านั่นรึเปล่า พี่ยังไม่รู้เลยไม่ใช่รึ?”
   “ถ้าเธอหาไม่ได้พี่ก็คงต้องไปหาเอง” เว่ยจินหยินกล่าว และหันกลับไปพูดอะไรกับลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังสองสามคำ
   “ได้ยินว่าคนขายข้อมูลของเธอยังอยู่แถวนี้ บางทีพี่อาจจะช่วยเจรจาอะไรได้บ้าง”
   เว่ยเฟิงปิงแค่นหัวเราะ “ดีใจจังที่พี่อยากช่วย แต่พี่อาจจะต้องเจรจาแข่งกับพวกริเวิลก็ได้นะ”
   “หมายความว่ายังไง?” น้ำเสียงของเว่ยจินหยินเปลี่ยนไปนิดหน่อย เว่ยเฟิงปิงยังคงยิ้มอย่างสบายใจ
   “ก็ไม่มีอะไรหรอกพี่ ผมแค่กลัวว่า การที่พี่ถ่อมาถึงที่นี่ มันอาจจะเป็นป้ายประกาศบอกพวกริเวิลไปแล้วก็ได้”
   “พี่ไม่ทำอะไรเตะตาขนาดนั้นหรอก” เว่ยจินหยินกล่าว เขารู้ว่าเว่ยเฟิงปิงไม่ได้หมายความตามที่พูด ชายหนุ่มกำลังจะเค้นคำพูดที่แท้จริงออกมาจากปากน้องชาย
   “ชายคนนั้นอยู่ในสายตาของผม แต่ถ้าพี่จะไปยุ่งกับเขา ก็ได้นะ เพียงแต่ผมอาจจะต้องเปิดทางให้พวกริเวิลด้วย”
   “เฟิงปิง!” เว่ยจินหยินเรียกชื่อน้องชายเสียงเครียด  ผู้ถูกเรียกเลิกคิ้ว
   “ผมไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นหรอก ถ้าพี่ไม่ยุ่งให้มากนัก พี่กลับไปดีกว่า พี่คงไม่อยากให้ข้อมูลรั่วออกไปเพราะพี่เป็นต้นเหตุหรอก ใช่ไหม?”
   “คุณพ่อก็คงไม่อยากเหมือนกัน” เว่ยจินหยินกล่าว การพูดถึง”คุณพ่อ” ยิ่งทำให้รอยยิ้มของเว่ยเฟิงปิงน่าเกลียดมากขึ้น
   “ผมรู้ว่าคุณพ่อไม่ชอบ และคงไม่ชอบแน่ๆ ถ้ารู้ว่าลูกชายสุดที่รักแบบพี่เป็นคนทำให้เรื่องรั่ว”
   “เธอ!”
   “พี่กลับไปเถอะ ผมไม่ค่อยสบาย” ผู้เป็นน้องชายกล่าวตัดบท และไอโขลกๆ ออกมา เว่ยจินหยินขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็ยิ้มออกมา
   “นั่นสิ พี่คงทำให้เธอลำบากใจ ไว้อีกสามวันพี่จะกลับมาอีกทีแล้วกัน” ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษผู้สวมแว่นตากรอบทองกล่าว ก่อนจะผุดลุกขึ้น เว่ยเฟิงปิงโบกมือให้อาเง็กออกไปส่ง 
ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะไอ แต่มันคงเป็นผลจากการอัดควันบุหรี่เข้าไปมาก  ลำคอจึงระคายเคืองอยู่พอสมควร เว่ยเฟิงปิงยังคงไอต่อไปอีกพักใหญ่  จนกระทั่งอาเง็กเดินกลับเข้ามา
   “ไปให้คนเตรียมรถ เดี๋ยวฉันทานข้าวเสร็จจะไปโรงพยาบาล”
   “เจ็บคอมากหรือครับ” อาเง็กถาม เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงอืมในลำคอเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
-------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเจ็บคอ ไม่ใช่เพราะเขาสูบบุหรี่ แต่เป็นผลมาจากฤทธิ์ยาสลบ บวกกับการที่เขาฝืนพูดจาไปมากตอนพบกับเว่ยเฟิงปิงเมื่อคืน ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังอยู่ในภาวะหมดอาลัยตายอยาก นี่ก็เช้าแล้ว ยังไม่มีข่าวคราวอะไรของเจ้านายมาถึงเขา ความจริงแล้วจางซื่อเยี่ยนเพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกรอบ หลังจากผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยาที่ยังตกค้าง แต่ความผิดพลาดที่เขาได้ทำเอาไว้ยังคงตามหลอกหลอนอยู่ในหัวสมอง
   ใจหนึ่งเขาอยากพบเจ้านาย แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้าตาหรือพูดคุยแบบไหนกับเว่ยเฟิงปิงดี
   พยาบาลสาวแวะเข้ามาฉีดยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดให้ จางซื่อเยี่ยนทดลองขยับตัว  นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาถูกหามเข้าโรงพยาบาล  ครั้งแรกเป็นเมื่อตอนเข้าสักกัดหน่วยดำใหม่ๆ ตอนนั้นเขาถูกยิงที่แขน คราวนี้ถูกแทงด้านหลัง
   ดูเหมือนว่าแผลจะไม่ลึกมากนัก  ชายหนุ่มไม่อยากจะคิดว่าเพราะเสียงของเว่ยเฟิงปิง ทำให้ฝ่ายนั้นยั้งมือ ผู้ชายคนนั้นช่างไร้หัวใจสิ้นดี  ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้ยึดติดกับรูฟัสนัก  เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว น่าจะหันมองคนอื่นบ้าง
   จางซื่อเยี่ยนย่นคิ้วเมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเพ้อเจ้อ หรือว่าฤทธิ์ยาสลบยังไม่หมด  ชายหนุ่มรีบสลัดความคิดนั้นทิ้ง ขืนปล่อยเอาไว้คงได้เกิดเรื่องแบบเมื่อคืนอีก คราวนี้เขาคงคิดหาคำแก้ตัวไม่ออก
   เรื่องของเจ้านายไว้ค่อยถามเถียนซิงเอาก็ได้ ตอนนี้เขาต้องรีบทำให้ร่างกายหายเป็นปกติให้เร็วที่สุด ชายหนุ่มตัดสินใจว่าเขาควรจะนอนพักให้เต็มที่ ขณะที่พยายามบังคับตัวเองให้หลับ ประตูห้องก็ถูกกระชากเปิดออก
   ช่างเป็นการเปิดประตูที่ไร้มารยาทจริงๆ
   จางซื่อเยี่ยนคิด โดยไม่ได้นึกต่อว่าคนที่เปิดประตูแบบนี้จะเป็นใครกันแน่  ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาเพื่อดูใบหน้าของผู้ที่เปิดประตูเข้ามาอย่างไร้มารยาท  และแล้วหัวสมองของเขาก็ต้องผลิตคำขอโทษเงียบๆ ออกมาสักร้อยล้านครั้ง
   เว่ยเฟิงปิงในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มก้าวเข้ามาในห้อง พร้อมด้วยอาเง็กที่เดินตามมาด้านหลัง  ผู้เป็นเจ้านายใช้หางตาเหลือบมองเขาเหมือนอย่างที่เคยทำ ก่อนจะพูดห้วนๆ
   “ยังตื่นอยู่รึ?”
   โดยไม่รอคำตอบ เจ้าตัวเดินหลบไปนั่งเก้าอี้ตรงมุมห้อง จางซื่อเยี่ยนทำหน้าไม่ถูก สีหน้าของเว่ยเฟิงปิงดูหมองคล้ำเหมือนอดนอนมาทั้งคืน  เจ้านายของเขาคงกำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าอยู่แน่ๆ  แต่ทำไมถึงกลับมาหาเขาอีกล่ะ หรือว่ามาเพื่อพูดให้กระจ่าง
   จางซื่อเยี่ยนพยายามจะเค้นหาคำแก้ตัวในบัดนั้น จังหวะนั้นที่อาเง็กเดินเข้ามาใกล้ๆ และเอ่ยปากถาม
   “เจ็บมากรึเปล่าพี่?”
   จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะ เขามองดูอาเง็กเหมือนจะถามว่ามาที่นี่ทำไม อาเง็กไม่กล่าวอะไรต่อ เด็กหนุ่มเดินเลี่ยงจากเตียงไปยืนอยู่ที่มุมห้อง
   ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง เหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงมารอใครมากกว่าจะมาเยี่ยมเขา จางซื่อเยี่ยนรู้สึกอึดอัด ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาอีก แม้แต่จากปากของอาเง็ก
   กำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?
   ชายหนุ่มคิด บรรยากาศอึดอันนั้นกินเวลายาวนานเหมือนจะผ่านไปแล้วครึ่งวัน และแล้วเสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น
   เว่ยเฟิงปิงผุดลุกจากเก้าอี้ เดินปราดเข้ามาที่เตียงทันที  ทำสีหน้าท่าทางเหมือนอยากจะรู้ว่าอาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง จังหวะเดียวผู้มาเยือนก็เปิดประตูเข้ามา
   “อ้าว เฟิงปิง” น้ำเสียงนั้นเหมือนว่ารู้สึกผิดคาด แต่ในปลายเสียงคล้ายกับว่าคิดอยู่แล้ว จางซื่อเยี่ยนเหลือบตาไปมอง และพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้มาหาเขา
   เว่ยจินหยินเดินเข้ามาในห้อง พร้อมด้วยตะกร้าผลไม้ที่นำมาเยี่ยมคนป่วย ด้านหลังเป็นผู้ติดตามอีกสามสี่คน  จางซื่อเยี่ยนรู้จักบางคน แน่นอนว่าเพราะเคยทำงานให้กับหน่วยดำด้วยกันมาก่อนนั่นเอง
   “เป็นไงบ้างล่ะ อาซื่อ เจ็บมากรึเปล่า?” เว่ยจินหยินเอ่ยถามอาการด้วยน้ำเสียงแสนจะเป็นห่วงเป็นใย หากเป็นคนไม่รู้จักกันแล้วล่ะก็ อาจจะรู้สึกดีใจจนน้ำตาไหล แต่จางซื่อเยี่ยนไม่ใช่คนที่ไม่เคยรู้จักกับผู้ชายคนนี้
   เว่ยจินหยินเคยเป็นหัวหน้าของเขา อย่างน้อยก็พูดได้ว่าเคยเป็นหนึ่งในหัวหน้า หลังจากเรื่องวุ่นวายเมื่อหกปีก่อน หน่วยดำหลายส่วนถูกย้ายมาขึ้นตรงกับเว่ยจินหยิน  จางซื่อเยี่ยนฝืนยิ้มฝืดๆ ให้กับอดีตเจ้านาย ที่เว่ยเฟิงปิงถ่อมาถึงที่นี่ คงเพื่อมาดักทางเว่ยจินหยินแน่ๆ
   “ฉันวางของไว้ตรงนี้แล้วกัน ถ้าเธอยากจะทาน ให้เฟิงปิงปอกให้ก็ได้”
   ไม่รู้ว่าผีอะไรดลใจให้เว่ยจินหยินพูดออกมาแบบนั้น  จางซื่อเยี่ยนรู้ว่าปกติพี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยจะถูกกันอยู่แล้ว เจอกันทีไรต้องหาเรื่องมาพูดกระแนะกระแหนใส่กัน  แต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเอามากระแนะกระแหนในเวลาแบบนี้
   เว่ยเฟิงปิงแค่นยิ้มน่าเกลียด และพูดตอบกลับไปบ้าง
   “จริงๆ พี่น่าจะหาคนปอกมาให้ด้วยเลยนะ ไหนๆ ก็อุตส่าห์จะซื้อของมาเยี่ยมทั้งที”
   “ให้เธอปอกนั่นแหละ ไหนๆ อาซื่อก็เสียสละตัวเองเพื่อเธอขนาดนี้ นิดๆ หน่อยๆ ทำให้ไม่ได้หรือไง”
   “อย่างนั้นพี่ก็ปอกเองเถอะ” เว่ยเฟิงปิงตัดบทไปดื้อๆ  เว่ยจินหยินหัวเราะ หันไปพูดกับจางซื่อเยี่ยนต่อ “เธอทุ่มทุนขนาดนี้นี่ คงได้ผลงานชิ้นใหญ่เลยสิ?”
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเหมือนถูกจับโยนลงทะเลไปทั้งๆ ที่ยังใส่เครื่องช่วยหายใจ  เว่ยจินหยินมาหาเขาเพื่อถามเรื่องข้อมูลของริเวิลแน่ๆ คิดว่าก่อนหน้านี้คงไปพบกับเว่ยเฟิงปิงแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้านายของเขาคงไม่รีบมาดักทางไว้ก่อน
   อดีตเจ้านายคนนี้คงมาหาเขาเพื่อยืนยันว่าน้องชายทำพลาด
   จางซื่อเยี่ยนปิดปากแน่น  ไม่กล้ากระดิกตัว  ความจริงคือเขายังนึกไม่ออกว่าสมควรจะตอบคำถามนั้นด้วยภาษาร่างกายแบบไหน หรือคำพูดอย่างไร เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายแน่ใจว่าเจ้านายของเขาพลาด แต่การที่เขานิ่งไปก็ยิ่งทำให้ยิ่งแน่ใจว่าเว่ยเฟิงปิงทำพลาดมากยิ่งขึ้น
   ดังนั้นจางซื่อเยี่ยนจึงไอออกมา
   เขาไอทั้งๆ ที่ยังใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ ชายหนุ่มไอจนตัวโยน เว่ยเฟิงปิงขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะร้องโวยวาย
   “ตายล่ะพี่ ไอแรงขนาดนี้สงสัยเดี๋ยวแผลจะเปิด พี่ช่วยไปตามอาซิงให้หน่อยสิ”
   ความจริงปุ่มกดเรียกพยาบาลก็มีอยู่ที่ข้างเตียง แต่เว่ยเฟิงปิงทำเหมือนว่ามันไม่เคยมีอยู่ เว่ยจินหยินยิ้มแห้งๆ  รู้ทันทีว่าน้องชายกำลังไล่ ชายผู้สวมแว่นตากรอบทองอยู่เป็นนิจรู้สึกเสียหน้านิดหน่อย แต่เอาเถอะ อีกฝ่ายเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะระวังตัว การที่เว่ยเฟิงปิงมาดักทางเขาไว้ขนาดนี้ แปลว่างานที่ทำต้องพลาดแน่ๆ อย่างน้อยโอกาสจะเป็นแบบนั้นก็มีสูง  เว่ยจินหยินระบายลมหายใจ คลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินกลับออกไปอย่างสุภาพ และทิ้งคำพูดที่ทำให้เว่ยเฟิงปิงแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด
   “อย่างนั้นฉันไปล่ะ ถ้าอีกสามวันเธอยังไม่ดีขึ้น ฉันจะมาเยี่ยมใหม่”
   นั่นแปลว่าอีกสามวันถ้ายังไม่มีข้อมูล ก็ฟันธงได้เลยว่าเว่ยเฟิงปิงทำพลาด
   จางซื่อเยี่ยนหยุดไอหลังจากนั้นพักหนึ่ง  เว่ยเฟิงปิงเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง
   “ใช้ได้เหมือนกันนี่” ผู้เป็นเจ้านายกล่าวลอยๆ ก่อนจะเรียกอาเง็ก
   “เดี่ยวออกไปอีกทางแล้วกัน ฉันไม่อยากสวนกันจินหยิน”
   พูดจบก็เดินออกจากห้องไป  อาเง็กหันไปมองจางซื่อเยี่ยนด้วยความเป็นห่วงแวบหนึ่ง แล้วรีบเดินตามเจ้านายออกไป
   จางซื่อเยี่ยนมองตามหลังคนทั้งคู่ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจกับคำชมของเว่ยเฟิงปิงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะไอ และตอนนี้ก็รู้สึกเจ็บแผลอย่างหนัก  แต่ว่า....จะบอกให้เว่ยเฟิงปิงเรียกพยาบาลก็คงไม่ทัน
   ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างท้อแท้
-----------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #57 เมื่อ24-05-2011 18:39:03 »

บทที่23 เสียงของหัวใจที่ไม่มีใครได้ยิน
   “อ้าว?!” บุรุษนัยน์ตาเหยี่ยวผู้มีผมสีดำยาว อุทานด้วยความแปลกใจเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองและพบเด็กหนุ่มผมสีทองนั่งอยู่ แดเนียลหมุนตัวกลับมา กลอกดวงตาสีเขียวมองสำรวจชายหนุ่มวัยสามสิบอยู่พักหนึ่ง แล้วยิ้ม
   “ผมคิดว่าคุณจะไม่กลับมาแล้วเสียอีก”
   โจวยี่ฝืนยิ้มให้เด็กหนุ่ม ความจริงคืนนี้เขาไม่ได้นัดแดเนียลเอาไว้ การที่เด็กหนุ่มมาที่นี่จึงดูผิดคาดอยู่บ้าง
   “ช่วงบ่ายมีพวกริเวิลมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ให้ควัก คิดว่าคงมาตามหาคุณ”
   “ริเวิล?” โจวยี่ทวนชื่อนั้น และขมวดคิ้ว เขาเดินเข้าไปใกล้   “แล้วพวกนั้นเจอเธอรึเปล่า?”
   เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ  โจวยี่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มุ่นคิ้วอย่างใช้ความคิด แดเนียลนั่งเงียบ เขาไม่รู้ว่าโจวยี่ไปมีเรื่องอะไรกับริเวิลหรือเปล่า แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะรู้
   “เธอลงไปดูสตีฟที่บ่อนหน่อยสิ” โจวยี่เอ่ยกับเด็กหนุ่มหลังจากเงียบไปพักใหญ่ แดเนียลมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ และเดินออกไปจากห้อง ท่าทางผู้ชายคนนี้มีเรื่องที่จะต้องทำเพียงลำพัง
   โจวยี่รอจนแดเนียลปิดประตูเรียบร้อย เขาเดินไปอีกฟากของห้องทำงาน และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
--------------------------------------
   นัยน์ตาสีน้ำตาลลืมขึ้นอย่างช้าๆ และกะพริบอีกหลายครั้งเมื่อพบกับแสงสว่างที่ส่องลอดม่านพรางแสงเข้ามาในห้อง ความจริงฟ่งตื่นนานแล้ว แต่เขาฝืนนอนต่อ  สาเหตุหนึ่งเพราะร่างที่กอดก่ายเขาอยู่กำลังหลับ และอีกสาเหตุหนึ่งคือ เขาไม่รู้ว่าถ้าฝ่ายนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว เขาควรจะทำหน้าหรือทำตัวอย่างไรต่อไป
   เขาไม่เชื่อใจรูฟัส
   อย่างน้อยฟ่งก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้รู้สึกกับรูฟัสเหมือนตอนพบกันครั้งแรก
   ตอนนั้นเขาเผลอตัวให้รูฟัสเพราะกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอทางจิตใจ รูฟัสอ่อนโยน เป็นมิตร ความสัมพันธ์เล็กๆ ที่แสนจะธรรมดานั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาสบายใจ อยากจะให้คนคนนี้อยู่ข้างๆ เพราะรูฟัสทำให้เขามีความสุข
   แต่ว่าตอนนี้………
   ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยรับรู้เกี่ยวกับตัวผู้ชายคนนี้เป็นเพียงเรื่องปั้นแต่งและคำโกหก  เบื้องหลังฉากหน้าที่แสนจะสวยหรู กลับสกปรกจนแม้แต่ตัวเองยังไม่กล้าจะเอ่ยถึง แล้วจะให้เขาเชื่อใจคนแบบนี้ได้อย่างไร
   ฟ่งไม่รู้ว่ารูฟัสมีจุดประสงค์อะไรในการเข้ามายุ่งย่ามกับเขา แต่ที่แน่ๆ มันไม่น่าจะใช่แค่เพียงคำว่ารักที่เอ่ยออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนที่ทำอาชีพอย่างรูฟัส ทำไมจะต้องมาหลงรักคนที่ไม่ดีไม่เด่นอะไรเลยแบบเขา ทำไมต้องมาทำดีกับคนข้างห้อง ถ้าไม่มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝง
   ฟ่งกำมือแน่น เขาบอกไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกโกรธเคือง น้อยใจ เศร้าใจ หรือเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งหมดเหมือนอัดอั้นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
   แม้ว่าจะเจ็บปวด แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น
   ฟ่งต้องทนอยู่กับรูฟัสต่อ อย่างน้อยๆ ก็ในช่วงเวลานี้ แต่ไม่ใช่เพราะความสบายใจอีกแล้ว
   เพราะเวลานี้ไม่มีใครช่วยเขาได้นอกจากชายคนนี้
   
   นัยน์ตาสองสีเหม่อมองเรือนผมสีน้ำตาลเบื้องหน้าอย่างซึมเซา รูฟัสตื่นนานแล้ว และรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็รู้สึกตัว แต่ยังไม่ยอมขยับ  ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะขยับ เพราะไม่รู้ว่า เมื่อขยับแล้ว อีกนานเท่าไรกว่าเขาจะได้มีโอกาสโอบกอดบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าอย่างนี้อีก
   รูฟัสอยากจะกอดฟ่งไว้แบบนี้……….
แม้ว่าฟ่งจะไม่ยอมหันหน้ากลับมาก็ตาม
   อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไม่มีวันได้กอดตลอดไป
   ตอนนี้เขาเริ่มตระหนักชัดกว่าเดิมแล้วว่า ความรักนั้นยากที่จะรักษา และยิ่งความรักที่ไม่ได้เริ่มมาจากการพูดความจริงแต่แรกนั้น ยิ่งรักษายาก
   แต่ว่า หากเริ่มต้นด้วยความจริงแล้ว ความรักนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
   รูฟัสไม่ได้หวาดกลัวที่จะพูดถึงอดีตของตน แต่สิ่งที่เขากลัวคือ กลัวว่าอดีตนั้นจะทำให้ฟ่งตีจากเขาไป  แต่ถึงจะไม่เล่า ก็ใช่จะรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่หนีเขาไปไหน
   ความรักที่ไม่มีความเชื่อใจนั้นไปด้วยกันลำบาก
   รูฟัสรู้ว่าที่ฟ่งแสดงท่าทียินยอมและคล้อยตามเขาในตอนนี้นั้น เพราะเหตุผลสำคัญเกี่ยวกับสถานภาพ ฟ่งเข้าฮ่องกงมาอย่างไม่ถูกกฎหมาย การจะกลับอย่างถูกต้องนั้นวุ่นวายและอาจจะทำให้เรื่องยิ่งวุ่น  ดังนั้นฟ่งจึงยังต้องพึ่งพาเขาอยู่ แต่หากกลับถึงประเทศไทยแล้ว  เรื่องราวระหว่างกันจะเป็นอย่างไรต่อไป รูฟัสไม่อยากคิด
   ตอนนี้เขากลัว กลัวเวลาที่กำลังผ่านไป กลัวสิ่งที่กำลังจะเข้ามา
   กลัวที่จะสูญเสียบุคคลที่อยู่ตรงหน้า
   เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้อย่างไร

   รูฟัสรั้งตัวฟ่งเข้ามากอด  อยากจะถ่ายทอดถ้อยคำในใจทั้งหมดผ่านอ้อมกอดนี้ไปยังอีกฝ่าย แต่ว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริงที่คนจะทำได้  มันทำให้ฟ่งสะดุ้งและตกใจ
   รูฟัสกอดฟ่งแน่น สูดหายใจเอากลิ่นอายของร่างกายนั้น ราวกับว่าหลังจากนี้ เวลาจะผ่านไปอีกนานแสนนาน กว่าเขาจะมีโอกาสแบบนี้อีก
   ฟ่งรู้สึกตกใจ และเริ่มหวาดกลัว เขากลัวว่ารูฟัสจะทำกับเขาเหมือนเมื่อวานอีก
   เมื่อวานเป็นครั้งแรกที่ฟ่งเห็นว่ารูฟัสโกรธ โกรธเขาที่ไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่นๆ  ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วรูฟัสต่างหากที่ทำให้คนพวกนั้นมายุ่งกับเขา
   การกระทำของรูฟัสทำให้ฟ่งกลัว กลัวว่าถ้าเขาเกิดทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจ  รูฟัสอาจจะลงไม้ลงมือกับเขา  หรือใช้กำลังบีบบังคับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟ่งไม่ชอบมากที่สุด
   เขาเกลียดการถูกบังคับ เกลียดการที่จะต้องอยู่ใต้สายตาใครสักคนไปตลอด
   มันทำให้ฟ่งรู้สึกอึดอัด
   แต่เพราะความหวาดกลัว ฟ่งจึงกล้าไม่ขัดขืน เขายอมให้รูฟัสกอด  อย่างน้อยคงทำให้เขายังปลอดภัย
   “รูฟัส..”   ฟ่งเรียกชื่อคนที่กำลังกอดเขาเบาๆ เหมือนทดสอบว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร
   “ครับ?”   รูฟัสขานรับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับแผ่นหลังของอีกฝ่าย ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง และพูดออกมาช้าๆ “ผมจะกลับเมืองไทยได้เมื่อไร”
   ร่างแกร่งชะงักไปทันที
   กลับไทย?
   ความหมายนั่นเหมือนการจากกันเลยไม่ใช่หรือ? รูฟัสจ้องมองคนตรงหน้า เขาอยากจะรั้งตัวฟ่งเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ไม่อยากปล่อยให้กลับไปทั้งอย่างนี้ กลับไปโดยที่ยังไม่รู้ว่าฟ่งคิดอย่างไรกับเขากันแน่
   จริงๆ คือรูฟัสไม่อยากให้ฟ่งห่างไปเลยแม้สักวินาทีเดียว
   “ผมยังไม่แน่ใจ”   รูฟัสเอ่ย พยายามจะคิดหาถ้อยคำมาอ้างเพื่อประวิงเวลา
   “ผมต้องหาคนมาทำพาสปอร์ตให้คุณใหม่”
   “อืม ถ้าพาสปอร์ตล่ะก็  เฟิงปิงมี”
   รูฟัสขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อของเว่ยเฟิงปิง  ถึงแม้จะรู้ว่าเว่ยเฟิงปิงไม่ได้ทำอะไรเกินเลย แต่ว่าก่อนหน้านี้ เด็กนั่นเคยทำเรื่องน่าอับอายไว้กับฟ่ง  แค่คิดก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว
   “คุณก็ไปขอมาจากเขาสิ” ฟ่งเอ่ย และพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้า  นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองอย่างวิงวอน  รูฟัสกลืนน้ำลาย  เขาจะปฏิเสธคำขอร้องนี้ได้อย่างไร
   “ครับ ผมจะลองไปขอมาให้” หนุ่มตาสองสีกล่าวในที่สุด เขารู้สึกเหมือนกับว่ายอมปล่อยให้ฟ่งหลุดมือไป  แต่ว่ารอยยิ้มที่เกิดขึ้นบนหน้าของฟ่งก็ทำให้เขาพูดอะไรต่อไม่ออก
   “ขอบคุณนะ” ฟ่งกล่าว และไถลตัวลงจากเตียง รูฟัสลุกตามด้วยความตกใจ  เขามองตามหลังฟ่งอย่างใจหาย
   ต่อจากนี้ไป เขาจะได้กอดคนคนนี้อีกหรือเปล่า เขาจะได้รับความสนใจจากคนคนนี้อีกไหม?
   รูฟัสก้าวตามไป พยายามหยุดความคิดบ้าๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นในหัวสมอง
--------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนกำลังลุกขึ้นยืนเป็นครั้งแรก หลังจากนอนแกร่วอยู่บนเตียงมาสองวันเต็ม  นับเป็นการฟื้นตัวที่น่าตกใจมากสำหรับอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้น เถียนซิงลงความเห็นว่าเขาอึดเหมือนแมลงอะไรซักอย่าง มันทำให้ชายหนุ่มที่กำลังทดลองเหยียดแขนต้องขมวดคิ้ว
   “เจ็บแผลอีกรึเปล่า?” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก  ชายหนุ่มส่ายหน้า  การอยู่เฉยๆ ติดกันหลายวัน สร้างความเบื่อหน่ายให้กับเขาเป็นอย่างมาก  เพราะโดยปกติจางซื่อเยี่ยนต้องทำอะไรหลายๆ อย่างในแต่ละวัน อย่างไรก็ดี เขายังนึกหาคำแก้ตัวไม่ออก
   “ขอฉันดูแผลหน่อย” เถียนซิงพูด และเดินอ้อมไปทางด้านหลังเพื่อแกะผ้าพันแผล  บาดแผลนั้นดูเหมือนจะปิดสนิทดีแล้ว  แต่เธอยังไม่อยากจะลงความเห็นว่าสมควรจะตัดไหมออก
   “ผมออกจากที่นี่ได้รึยัง?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเงียบอยู่  เถียนซิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
   “ถึงฉันจะบอกว่าไม่ แต่นายก็คงจะออกไปอยู่ดีนั่นแหละ เดี๋ยวจะตัดไหมให้แล้วกัน”
   หญิงสาวตัดสินใจ หล่อนเรียกพยาบาลที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับรถเข็นอุปกรณ์เข้ามา และสั่งให้ชายหนุ่มนอนคว่ำหน้า ก่อนจะใช้กรรไกรค่อยๆ ตัดไหมที่ใช้เย็บแผลออก และทำความสะอาด แผลสมานตัวเรียบร้อยดี เถียนซิงคิดว่าร่างกายจางซื่อเยี่ยนคงไม่มีปัญหาอะไร เธอจึงยอมให้เขาออกจากโรงพยาบาล แต่ที่ดูจะมีปัญหากว่าคือด้านจิตใจต่างหาก

   “จะกลับไปหาเฟิงปิงเหรอ?” เถียนซิงถามขณะเดินมาส่งจางซื่อเยี่ยนที่ด้านนอกของโรงพยาบาล จางซื่อเยี่ยนที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนกับกางเกงขาขาวสีดำ ส่งเสียงอืมโดยไม่ได้หันกลับมามองหน้า  เถียนซิงเดินตามเขาไป และถามต่อ “แล้วนึกข้อแก้ตัวได้รึยัง?”
   “ยัง” จางซื่อเยี่ยนตอบห้วนๆ  แม้จะยังนึกอะไรไม่ออก แต่เขารู้สึกว่าตัวเองจะต้องกลับไปทำงานให้เร็วที่สุด เพราะมันเป็นหน้าที่ และที่สำคัญตอนนี้เจ้านายของเขากำลังอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน การมาของเว่ยจินหยินทำให้จางซื่อเยี่ยนไม่สบายใจ แล้วยังเรื่องของรูฟัสอีก จางซื่อเยี่ยนคาดเดาว่าถ้าเรื่องราวยังไม่ยุติในเร็วๆ นี้ ริเวิลจะต้องเคลื่อนไหว นั่นอาจจะทำให้สถานการณ์ของเจ้านายของเขาลำบากมากขึ้น
   ดังนั้นเขาจึงต้องกลับไปให้เร็วที่สุด
   เถียนซิงยืนมองร่างสูงโปร่งนั้นเดินออกไป ก่อนจะถอนหายใจยาว
   เธอภาวนาให้จางซื่อเยี่ยนไม่ทำอะไรที่โง่เกินไปนัก ในการเผชิญหน้ากับเว่ยเฟิงปิง
-----------------------------------
   รูฟัสยอมรับว่าบางทีเขาอาจจะทำเรื่องโง่ๆ อยู่ วันสองวันนี่เขาขลุกอยู่กับฟ่งในห้องทั้งวัน แม้อีกฝ่ายจะดูไม่ค่อยเต็มใจนัก และก็ไม่ยอมให้ทำอะไรเกินเลยไปมากกว่าการกอด  แต่มันก็ยังดีกว่าการอยู่โดยลำพัง  เขากำลังถ่วงเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันนี้ให้ได้นานที่สุด
   “รูฟัส” ฟ่งเอ่ยขณะที่เดินออกมาจากห้องน้ำ โดยที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย รูฟัสช้อนตาขึ้นมอง เขายังไม่ได้อาบน้ำ จริงๆ แล้วตอนแรกเขาคิดจะอาบกับฟ่ง แต่โดนอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างสุภาพและเด็ดขาด
   “เมื่อไรคุณจะไปหาเฟิงปิง?” ฟ่งเอ่ยถามต่อ ขณะเดินออกไปที่หน้าต่าง  พักนี้ฟ่งหลีกเลี่ยงที่จะสบตากับเขา นั่นทำให้รูฟัสรู้สึกแย่มากขึ้น ชายหนุ่มนิ่งไปพักใหญ่ เขาไม่อยากตอบคำถามนี้ เขาไม่อยากไปพบเว่ยเฟิงปิง เพราะนั่นหมายถึงเวลาที่ใกล้จะจากกันยิ่งกระชั้นเข้ามามากขึ้น
   “หรือว่าผมไปสถานฑูตดี?” ฟ่งพูดขึ้นมาลอยๆ รูฟัสหันหน้าไปมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย
   “ไม่ต้องหรอกครับ  เดี๋ยววันนี้ผมไปหาเขาก็ได้”
   “งั้น... ผมไปกับคุณด้วยได้ไหม?” ฟ่งพูดต่อ และหันหน้ากลับมา รูฟัสยิ้มให้ฟ่ง
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ  คุณรออยู่ที่นี่แหละ”   เขากล่าว แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
   “ผมมีที่ที่หนึ่งน่าสนใจ  ผมจะพาคุณไปที่นั่น คุณจะได้ไม่เบื่อ”
   ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร รูฟัสก็เดินเข้าห้องน้ำไปเสียก่อน ชายหนุ่มยืนอ้าปากค้าง ขณะที่คิดว่าจะทำอะไรต่อไปนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   รูฟัสเองก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ขณะกำลังถอดเสื้อ เขาจึงรีบวิ่งออกมาโดยสวมกางเกงนอนเพียงตัวเดียว เพื่อห้ามฟ่งไม่ให้เปิดประตู แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไปหน่อย ฟ่งยืนอยู่ที่ประตูและกำลังคุยกับบุคคลที่อยู่ด้านนอก
   “เอ้อ  รูฟัส” ฟ่งกล่าวเมื่อหันมาเห็นว่ารูฟัสยืนอยู่ด้านหลัง
   “เราไม่ต้องเสียค่าแท็กซี่แล้วล่ะ เฟิงปิงให้คนเอารถมารอด้านล่างแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับยิ้ม วินาทีนั้นรูฟัสเหมือนอยากจะร้องไห้ ฟ่งดีใจกับเรื่องค่าแท็กซี่ หรือเรื่องที่จะได้ไปจากเขากันแน่นะ
รูฟัสเดินคอตกไปที่ห้องน้ำ  ทิ้งฟ่งให้มองตามด้วยสายตาสงสัย หนุ่มสวมแว่นไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรผิด จึงทำให้อีกฝ่ายมีทีท่าแบบนั้น

สุดท้าย รูฟัสก็ต้องยอมให้ฟ่งไปด้วย  จริงๆ คือ เขาไม่กล้าปล่อยฟ่งเอาไว้ตามลำพัง และการจะเอาไปฝากไว้กับโจวยี่ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เมื่อคนของเว่ยเฟิงปิงเล่นมาดักรออยู่ด้านล่าง  การที่ฟ่งดูเหมือนตื่นเต้นที่จะได้พบกับเว่ยเฟิงปิงยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
  เว่ยเฟิงปิงส่งคนมาแบบนี้คงไม่พ้นเรื่องข้อมูลของริเวิลแน่
รูฟัสขมวดคิ้ว เขาน่าจะติดต่อกับริเวิลแล้วขายข้อมูลของตระกูลเว่ย แล้วทำให้เกิดสงครามระหว่างแก๊งไปให้รู้แล้วรู้รอด  แต่จนใจด้วยวันสองวันที่ผ่านไปนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากการพยายามคลอเคลียกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ
อย่างน้อยมันก็ทำให้เขามีเวลาได้อยู่ร่วมกัน
รูฟัสพยายามคิดปลอบใจตัวเอง กระนั้นก็ยังมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงอยู่ เว่ยเฟิงปิงยังไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ การปรากฏตัวของเขาที่ฮ่องกงไม่ช้าไม่เร็วคงต้องแว่วไปถึงหูของริเวิลจนได้  ถึงตอนนั้นทุกฝ่ายรังแต่จะมีเรื่องยุ่ง  ดังนั้น การเร่งเดินเกมก่อนจึงเป็นการดี
รูฟัสสงสัยว่าคงมีใครได้กลิ่นเรื่องนี้แล้ว และนึกสมเพชตัวเองที่ไม่ได้ทำอะไรเลยในแผนการนี้ จนเว่ยเฟิงปิงชิงเดินเกมไปก่อน แต่เขาอาจจะใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องต่อรองในการขอพาสปอร์ตของฟ่งได้
พอนึกถึงตอนนี้ คิ้วได้รูปนั่นยิ่งขมวดเข้าหามากยิ่งขึ้น ไม่ใช่อาจจะ เขาสามารถขอพาสปอร์ตของฟ่งจากเว่ยเฟิงปิงได้แน่ๆ แต่เมื่อได้พาสปอร์ตมาแล้ว แปลว่าเขาต้องทำตามสัญญาโดยการพาฟ่งกลับเมืองไทย
ซึ่งคงไม่เป็นผลดีกับเขา
รูฟัสคิดไม่ตก เขามีเวลาคิดอีกนิดหน่อยกว่าที่รถจะแล่นไปถึงจุดหมาย  ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างกังวลใจ
-------------------------------------
   อาเง็กยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ตอกบัตรเข้ามาใหม่ ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนนั้นแทบจะเหมือนใบหน้าของพระเจ้า สองสามวันมานี้เขาแทบไม่ได้นอน เพราะต้องจัดการงานทุกอย่างแทนชายคนนี้ อาเง็กไม่เข้าใจว่าจางซื่อเยี่ยนทำงานทุกอย่างแบบนี้ทุกวันได้อย่างไร ดังนั้นการกลับมานี้จึงเหมือนการมาปลดปล่อย
   “แผลหายดีแล้วหรือ พี่จาง” อาเง็กเอ่ยทักทักลูกพี่ของเขา จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยถามกลับ “คุณชายล่ะ”
   “อยู่บนห้องน่ะ”
   “อืม” ชายหนุ่มผู้รวบผมไว้ด้านหลังรับคำ ก่อนจะเดินฉับๆ ไปยังห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านาย อาเง็กมองตามหลังไป และถอนหายใจอย่างโล่งใจ  เพราะวันนี้เว่ยเฟิงปิงมีงานสำคัญ
   
   “อ้าว หนีออกมาจากโรงพยาบาลหรือไง?” นี่คือคำทักทายแรกที่เจ้านายมีให้กับเขา  จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า ความจริงเขาใช้เวลาทำใจอยู่นานกว่าจะกล้าเคาะประตูและเปิดเข้ามา  อย่างน้อยคำทักทายนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเบาใจไปเปลาะหนึ่ง
   “วันนี้ฉันไม่ต้องการคนเจ็บมาถ่วงมือถ่วงเท้าหรอกนะ ถ้ายังไม่หายก็กลับไป” เว่ยเฟิงปิงกล่าวต่อ เขากำลังจัดเนกไทให้เข้าที่ และหยิบเสื้อสูทมาสวมทับ จางซื่อเยี่ยนสังเกตว่าเว่ยเฟิงปิงเหน็บปืนไว้ตรงเข็มขัดคาดไหล่ด้วย
   “จะไปไหนหรือครับ?” ชายหนุ่มถาม ผู้เป็นเจ้านายของเขายักไหล่
   “วันนี้ฉันมีธุระใหญ่ มาก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องจะบอกนาย”
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งวูบ  เว่ยเฟิงปิงมีอะไรจะบอกเขาอย่างนั้นหรือ เขาไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับผู้เป็นนาย เว่ยเฟิงปิงเงียบไปพักหนึ่งแล้วกล่าวต่อ
   “นายจะเข้ามาฟังใกล้ๆ ก็ได้นะ เผื่อจะไม่เชื่อ”
   วินาทีนั้นจางซื่อเยี่ยนรู้สึกว่าตัวเองกำลังตื่นเต้น เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ เว่ยเฟิงปิง มองดูใบหน้าเรียวยาวได้รูป และเรือนผมสีดำนั้นอย่างหลงใหล ก่อนจะได้ยินริมฝีปากบางคู่นั้นเอ่ยคำพูดช้าๆ
“ฉันทำเรื่องย้ายนายกลับไปที่หน่วยดำแล้ว”
   “หา?” จางซื่อเยี่ยนอุทานออกมาอย่างแปลกใจ เว่ยเฟิงปิงเองก็มองเขาอย่างแปลกใจเช่นกัน คงไม่คิดว่าจะมีวันได้เห็นลูกน้องที่แสนจะเฉื่อยชา ทำกิริยาท่าทางแบบนี้  จางซื่อเยี่ยนมองหน้าเจ้านายอย่างงุนงง
   “ทำไม?” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ เว่ยเฟิงปิงยักไหล่อีกครั้ง
   “ฉันได้ข่าวจากพี่จินหยินว่าหน่วยดำกำลังขาดคน อีกอย่างพักนี้นายก็ทำงานเลอะๆ เลือนๆ ฉันเลยเห็นว่าส่งนายกลับไปที่เก่าอาจจะดีกว่า อีกอย่างคุณพ่อก็ไม่มีปัญหาอะไร ดูเหมือนอยากให้นายย้ายกลับไปช่วยงาน”
   “ดะ เดี๋ยวสิครับ” จางซื่อเยี่ยนโพล่งออกมาอย่างงงงัน เขามองหน้าเว่ยเฟิงปิง แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ ชายหนุ่มอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ ในที่สุดก็เค้นคำพูดออกมาได้
   “ทำไมถึงย้ายตอนนี้ล่ะครับ?” เขาถาม ยังคงไม่เข้าใจถึงสาเหตุ เว่ยเฟิงปิงท้าวสะเอว  มองหน้าจางซื่อเยี่ยนด้วยสายตาหน่ายๆ
   “ฉันทำเรื่องย้ายนายมาหลายครั้งแล้ว นายก็รู้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คุณพ่อไม่คัดค้าน ก็แค่นั้นแหละ”
   จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ จริงอยู่ที่เว่ยเฟิงปิงอยากจะย้ายเขาไปให้พ้นๆ แต่นั่นไม่เคยสำเร็จ ทำไมคราวนี้เว่ยชิงถึงยอมตามใจ หรือว่าเรื่องบ้าๆ นั่นไปเข้าหู
   ชายหนุ่มรีบสลัดความคิดแสนน่ากลัวนั้นออกไป ไม่มีทาง คนอย่างเว่ยเฟิงปิงคงไม่เล่าอะไรแบบนั้นให้เว่ยชิงฟังแน่ๆ ด้วยศักดิ์ศรีของเขา  เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าผู้เป็นบิดาไม่ค่อยพอใจตัวเองนักเรื่องรสนิยมรักร่วมเพศ  และพยายามจะหลีกเลี่ยงการเอ่ยเรื่องนี้กับบิดาเสมอมา ไม่สิ แค่พูดกันสำหรับพ่อลูกคู่นี้ก็น้อยเต็มที ดังนั้นเว่ยชิงคงไม่ได้อนุมัติเพราะเรื่องนี้แน่ๆ  อย่างนั้นแปลว่าการทำงานพลาดของเขาเป็นสาเหตุหรือ?
   เว่ยเฟิงปิงมองจางซื่อเยี่ยนที่กำลังทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนจะเอ่ยออกมา “ต้องการเวลาทำใจนานไหม ถ้านานก็ออกไป ฉันกำลังมีธุระ”
   “เอ่อ..” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยวลีที่ไร้ความหมายออกมา จุดประสงค์แค่ต้องการจะถ่วงเวลาออกไปอีกหน่อย นัยน์ตาสีฟ้าใสของเว่ยเฟิงปิงจ้องมองมาทางเขาอย่างหาเรื่อง แต่เสียงโทรศัพท์สายในที่ดังขึ้นก็ทำให้ดวงตาคู่นั้นต้องเบี่ยงไป
   “อืม ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผู้เป็นเจ้านายกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ และหันหน้ามาเอ่ยกับผู้ที่กำลังจะเป็นอดีตลูกน้อง
   “ฉันจะไปพบรูฟัส ถ้านายหายดี ฉันจะให้นายทำงานอีกวันหนึ่ง ตามฉันลงไปด้วย” เว่ยเฟิงปิงกล่าวจบก็เดินออกไปทันที จางซื่อเยี่ยนจึงต้องรีบตามออกไป โดยไม่ทันได้ซักถามอะไรต่อ

   รูฟัสนั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนโซฟาที่ใช้สำหรับรับแขก ในห้องรับรองห้องหนึ่งในอาคาร le mirior ล้อมรอบอยู่ด้วยบอดีการ์ดของเว่ยเฟิงปิงนับสิบคน แน่นอนว่าพร้อมอาวุธครบมือ ตอนนี้ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีกำลังอารมณ์ไม่ดี เขาไม่สนใจที่จะรักษาภาพพจน์ภายนอกเอาไว้ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #58 เมื่อ24-05-2011 18:39:30 »

   ฟ่งรู้สึกถึงบรรยากาศอันน่าอึดอัดที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว โดยเหมือนจะมีที่มาจากชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา  ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาคิดผิดหรือเปล่าที่ขอตามมาด้วย แต่เขาไม่ไว้ใจรูฟัส เหมือนว่าชายคนนี้จะไม่อยากให้เขากลับบ้าน นั่นคือเหตุผลที่ฟ่งขอตามมา เขาอยากจะเห็นด้วยตาว่ารูฟัสเอาพาสปอร์ตกลับไปจริงๆ
   แต่บรรยากาศในตอนนี้ผิดความคาดหมายของเขาไปเยอะทีเดียว
   เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามาในห้องรับรอง แวบแรกเขารู้สึกขบขันเมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของรูฟัส  วันสองวันมานี้เขาสั่งให้คนจับตามองการเคลื่อนไหวของชายคนนี้ และพบว่ารูฟัสแทบจะไม่ทำอะไรเลย อย่างน้อยก็ไม่ได้ติดต่อกับใคร นั่นทำให้เว่ยเฟิงปิงแปลกใจ  เขาคิดว่ามันอาจจะมีสาเหตุมาจากฟ่ง
   บางทีรูฟัสอาจจะมีปัญหากับฟ่ง
   เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะกับเรื่องนี้ดีรึเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยเชื่อว่ารูฟัสจะหลงรักฟ่งจริงๆ  แต่มาถึงตอนนี้ เขาเริ่มรู้สึกนิดๆ แล้วว่า ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีคนนี้กำลังตกหลุมรัก ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่าๆ หลายวัน โดยปกติรูฟัสจะต้องติดต่อขายข้อมูล หรือทำเรื่องบางอย่าง เพื่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น นั่นจะทำให้เขาสามารถหลบหนีได้สะดวก เว่ยเฟิงปิงกลัวมาตลอดว่ารูฟัสจะติดต่อกับริเวิลหรือเว่ยจินหยินเพื่อขายข้อมูล หรือยุให้เกิดสงครามระหว่างแก๊ง ก่อนจะถึงเวลาอันสมควร  แต่ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เขากังวลนั้นไม่ถูกต้อง เมื่อรูฟัสไม่เคลื่อนไหว และถึงกับยอมมาที่นี่ง่ายๆ
   ชายคนนี้คงตกหลุมรักจริงๆ
   ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงปรากฏรอยยิ้มสะใจเมื่อนึกว่านี่อาจจะเป็นกรรมตามสนองรูฟัส  ก่อนหน้านี้เขาหลงรักชายคนนี้อย่างหัวปักหัวปำ และทำทุกอย่างให้ ตอนนี้อาจจะถึงเวลาที่รูฟัสต้องทำแบบที่เขาเคยทำบ้าง แม้จะไม่ได้ทำให้เขา แต่อย่างน้อยเว่ยเฟิงปิงก็ยังรู้สึกสะใจ
   นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบไปมองคนนั่งถัดไป ชายหนุ่มผู้ที่ทำให้เรื่องราวต่างๆ ง่ายขึ้นมาก  เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจทักฟ่งก่อน  เขาคิดว่ามันส่งผลกระทบกับรูฟัสมากกว่าที่จะทักทายโดยตรง
   “สวัสดีฟ่ง นายเป็นยังไงบ้าง สบายดีรึเปล่า?”
   ฟ่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เว่ยเฟิงปิงทักเขา เขายิ้มแห้งๆ “ก็ดี”
   แล้วฟ่งก็พูดขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าจางซื่อเยี่ยนเดินตามเข้ามาด้วย “คุณจางหายดีแล้วเหรอ?”
   “อืม” เว่ยเฟิงปิงช่วยตอบแทนให้ ก่อนจะนั่งปุลงบนเก้าอี้ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจรูฟัสที่นั่งอยู่เลย “หมอนี่อึดเป็นแมลงสาบ  ไม่ตายง่ายๆ หรอก”
   จางซื่อเยี่ยนทำหน้าไม่ถูก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ที่มีคนพูดแบบนี้กับเขา มันจะถือเป็นคำชมได้หรือเปล่า?
   หน้าของรูฟัสยิ่งบอกบุญไม่รับมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะเรียกร้องความสนใจ แต่การสนทนากันอย่างสนิทสนมของฟ่งและเว่ยเฟิงปิงทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก  ระหว่างสองคนนี้มีอะไรกันแน่?
   รูฟัสไม่อยากจะถาม ตอนนี้เขาอยากหิ้วเว่ยเฟิงปิงและลูกน้องด้านหลังไปฆ่าหมกไว้ที่ไหนสักแห่ง
   เว่ยเฟิงปิงหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าของชายผู้ที่เคยทำให้เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
   “ไง รูฟัส  คุณกำลังหึงรึ?”
   “อืม” การตอบรับตรงๆ อย่างไม่มีอะไรจะพูดอีกของรูฟัส ทำให้ฟ่งต้องหันหน้าไปมองอย่างตกใจ
   “เธอคงไม่สั่งคนเอารถไปรับฉันเพื่อให้มาฟังบทสนทนาห่วยๆ แบบนี้หรอก ใช่ไหม?” รูฟัสเอ่ยต่อ ก่อนจะขยับตัวอย่างอึดอัดเต็มที่ เว่ยเฟิงปิงยิ้ม ก่อนจะพูดตอบ
   “ครับ  คุณเอาของที่ผมต้องการมารึเปล่า?”
   “เอามา” รูฟัสตอบห้วนๆ แต่ก็ยังไม่แสดงทีท่าอะไรต่อ จนเว่ยเฟิงปิงต้องพูดขึ้นอีก “ก็ส่งมาสิ”
   “ฉันเอามาก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเอามาให้เธอนี่” รูฟัสเอ่ยตอบ ทำหน้าบอกบุญไม่รับเหมือนเดิม  เว่ยเฟิงปิงมองหน้ารูฟัส ก่อนจะถอนหายใจ
   “ที่คุณเอาไปยังไม่พออีกหรือไง” เขาเอ่ย รูฟัสยักไหล่
   “ไม่เลย ฉันแค่มาเอาคนคืน เพราะอย่างนั้นเธอยังต้องคืนฉันมาอีกอย่าง”
   “อะไรล่ะ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถาม นึกไม่ออกว่ารูฟัสต้องการอะไรจากเขาอีก
   “พาสปอร์ตของฟ่ง” รูฟัสเอ่ยออกมาในที่สุด  เขาไม่กล้าหันหน้ามามองฟ่ง ด้วยกลัวจะได้เห็นสีหน้าดีใจที่เขาไม่อยากจะรับรู้ เว่ยเฟิงปิงร้องอ้อออกมาเสียงยาว
   “เรื่องนี้เอง  ถ้าผมไม่คืนให้ล่ะ?”
   “ก็ลองดูสิ” รูฟัสเอ่ย หน้าตายิ่งเหมือนรูปปั้นหินเข้าไปอีก เว่ยเฟิงปิงรู้สึกสนุก เขาไม่คิดว่าการที่รูฟัสยอมมาที่นี่เพราะพาสปอร์ตของฟ่ง รูฟัสอยากจะส่งฟ่งกลับไทยงั้นหรือ? จากท่าทีที่เป็นอยู่คงไม่ใช่ บางทีหมอนี่อาจจะทนการรบเร้าของฟ่งไม่ไหว ทั้งๆ ที่ใจคงไม่อยากให้กลับไปเท่าไร  เว่ยเฟิงปิงทั้งรู้สึกอิจฉาและสะใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาอยากจะแกล้งรูฟัสต่ออีกสักหน่อย
   “ผมเผาทิ้งไปแล้วล่ะ”
   ฟ่งทำหน้าละห้อยทันที ในขณะที่รูฟัสเหมือนจะโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย เว่ยเฟิงปิงอมยิ้ม
   “แต่ว่า ผมทำให้ใหม่ก็ได้นะ ขอยืมตัวฟ่งไปถ่ายรูปสักวันสองวันสิ”
   ฟ่งทำหน้าเหวอ ขณะที่รูฟัสขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน
   “เฟิงปิง” เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงห้วน เว่ยเฟิงปิงหัวเราะ
   “ผมล้อเล่นหรอก เดี๋ยวจะสั่งให้คนเอามาให้ ฟ่งจะได้กลับบ้านเสียที”
   ผู้ถูกเอ่ยถึงมีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ผู้เจรจาต่อรองกลับมีสีหน้าหงุดหงิดกว่าเดิม  เขารู้ว่าเว่ยเฟิงปิงตั้งใจจะเอ่ยแดกดันเขา  ไม่นานนักพาสปอร์ตเล่มนั้นก็มาอยู่ในมือของเว่ยเฟิงปิง
   “เอาไปสิ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ก่อนจะวางพาสปอร์ตลงบนโต๊ะซึ่งตั้งคั่นอยู่ รูฟัสเอื้อมมือมาหยิบพาสปอร์ต พร้อมกับทิ้งแฟลตไดรฟ์อันหนึ่งไว้แทนที่ มันทำให้คนทั้งหมดรู้สึกแปลกใจ เพราะไม่มีใครสังเกตเลยว่ารูฟัสหยิบของสิ่งนี้ออกมาจากตัวตั้งแต่เมื่อไร บางทีเขาอาจจะถือมันเขามาตั้งแต่แรก เว่ยเฟิงปิงใช้ให้จางซื่อเยี่ยนหยิบแฟลตไดรฟ์นั้นขึ้นมา และเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่วางอยู่
   “จะแน่ใจได้ยังไงว่าข้อมูลจะไม่ลบตัวเองหลังจากที่คุณกลับไปแล้ว” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย หลังจากที่ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดเสร็จ ซึ่งกินเวลานานพอสมควร รูฟัสเลิกคิ้ว มองเว่ยเฟิงปิงเหมือนว่าคำถามนั้นโง่มาก
   “เธอจะทำก๊อปปี้ปริ๊นท์เก็บเอาไว้ระหว่างที่ฉันอยู่ก็ได้” เขาตอบ เว่ยเฟิงปิงหัวเราะเหมือนว่ารู้อยู่แล้ว รูฟัสขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ
   “ฉันกลับได้หรือยัง?” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ยต่อ เว่ยเฟิงปิงยักไหล่
   “ได้  แต่ว่าทางที่ดีคุณควรจะรีบออกจากฮ่องกงไปให้เร็วที่สุด ดูเหมือนพวกริเวิลจะตามกลิ่นคุณเจอแล้ว”
   รูฟัสย่นคิ้วอย่างเบื่อหน่ายเมื่อได้ยินชื่อริเวิล
   “วุ่นวายดี ถ้าฉันไม่ไปคืนนี้เธอคงจะเก็บฉันด้วยสินะ”
   เว่ยเฟิงปิงหัวเราะ “มันก็ช่วยไม่ได้นะครับ  ก็คุณเป็นคนสำคัญเสียขนาดนี้”
   รูฟัสถอนหายใจ และผุดลุกขึ้น ฟ่งมองหน้าเขาอย่างเป็นกังวล ริเวิลคืออะไร? แล้วทำไมรูฟัสต้องรีบออกจากฮ่องกงคืนนี้  เว่ยเฟิงปิงลุกขึ้นพลางเอ่ยสืบต่อ “ผมจะให้คนเอารถไปส่งคุณกลับที่พัก มันจะดีกับทางผมมากกว่า  แล้วก็....ฟ่ง”
   ฟ่งหันไปมองตามเสียงเรียก เว่ยเฟิงปิงยิ้มกว้าง
   “ถ้านายอยากกลับมาที่นี่  ฉันยินดีต้อนรับเสมอ”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ ให้กับคำพูดของเว่ยเฟิงปิง และกล่าวขอบคุณ ขณะที่รูฟัสถลึงตาใส่อย่างประสงค์ร้าย  เว่ยเฟิงปิงหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องนำตัวทั้งคู่ออกไปส่ง
---------------------------------
   “ริเวลคืออะไรหรือ?” ฟ่งถามหลังจากรถแล่นไปได้พักหนึ่ง รูฟัสที่กำลังครุ่นคิดผงะเล็กน้อย ก่อนจะหันมาถามซ้ำอีกครั้ง “เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ?”
   “ผมถามว่าริเวิลคืออะไร?”
   “ออ” ผู้ถูกถามลากเสียงยาว ก่อนจะพยายามลำดับคำตอบที่พอจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่าย
   “ริเวิลเป็นชื่อกลุ่มมาเฟียของที่นี่ เหมือนกับกลุ่มของเว่ยเฟิงปิงนั่นแหละครับ”
   “อืม” ฟ่งพยักหน้า มองมาด้วยสายตาอยากรู้ ทำให้รูฟัสต้องอธิบายต่อ “สองกลุ่มนี้เป็นคู่แข่งกันน่ะ”
   “แล้วคุณเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?”
   รูฟัสพ่นลมหายใจออกมายาวๆ ฝืนยิ้มให้ฟ่ง
   “ผมมีข้อมูลลับของสองกลุ่มนี้  เว่ยเฟิงปิงต้องการข้อมูลริเวิลจากผม ทางริเวิลก็ต้องการข้อมูลของตระกูลเว่ยจากผมเหมือนกัน”
   “ออ” ฟ่งเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงกล่าวว่ารูฟัสเป็นคนสำคัญ
   “แต่ว่า แบบนี้มันจะไม่ยุ่งหรือครับ ในเมื่อคุณให้ข้อมูลคุณเฟิงปิงไปแล้ว”
   “ยุ่งสิ” รูฟัสตอบ อยากจะยกมือขึ้นลูบหัวฟ่ง เขารู้สึกดีเวลาที่ฟ่งถามคำถามและตั้งใจฟังคำตอบ  นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมานั้นน่ารักจนอยากจะนั่งให้ถามไปตลอด
   “เพราะอย่างนั้นเขาถึงบอกให้ผมรีบออกไปจากฮ่องกงยังไงล่ะ เกิดผมถูกริเวิลจับได้ เฟิงปิงก็แย่ ถ้าผมไม่รีบออกเขาก็คงต้องเก็บผม”
   “เขาจะใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
   รูฟัสยิ้ม คราวนี้เขายกมือขึ้นลูบหัวฟ่งเหมือนเด็กๆ
   “ใจร้ายสิ เฟิงปิงเป็นมาเฟียนะครับ โลกแบบนี้น่ะ ไม่มีใครยอมใครหรอก”
   “อืม” ฟ่งส่งเสียงเหมือนว่าจะรับรู้ แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลนั่นสั่นไหว รูฟัสคิดว่าเขาทำให้ฟ่งรู้สึกกลัว จึงรีบพูดต่อ
   “แต่คงไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับ เพราะผมเองก็ไม่อยากตายเหมือนกัน”
   “แล้วผมจะได้กลับเมืองไทยรึเปล่า?” ฟ่งถาม น้ำเสียงนั้นดูจะเป็นกังวลมาก  รูฟัสนิ่งไปพักใหญ่ เขากำลังครุ่นคิดว่าจะมีเวลาพอจะไปจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ฟ่งรึเปล่า และที่เป็นปัญหากว่านั้น ฟ่งจะปลอดภัยในการเดินทางหรือไม่ แล้วเขาจะมีโอกาสได้เจอฟ่งอีกไหม
   “ครับ ผมจะจัดการให้คุณได้กลับ”
   ฟ่งยิ้มอย่างดีใจเมื่อได้ยินคำตอบ รูฟัสตัดสินใจว่าการตามหาฟ่งที่เมืองไทยนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก  ยังไงก็ต้องทำให้แน่ในว่าฟ่งปลอดภัยก่อน  เขาต้องไปปรึกษาเรื่องนี้กับโจวยี่ แต่การจะใช้บริการรถของเว่ยเฟิงปิงให้ไปส่งที่นั่นคงไม่เป็นผลดีแน่ๆ ดังนั้นรูฟัสจึงปล่อยให้คนขับขับกลับไปส่งพวกเขาที่เดิม
   คนของเว่ยเฟิงปิงเดินตามมาส่งพวกเขาถึงในล็อบบีโรงแรม  ขณะที่กำลังเดินผ่านส่วนที่เป็นคอกเทลเลาจ์ บุรุษรูปร่างสูงคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหา
   “ดีใจจริงๆ ที่เจอแกก่อน” ผู้ที่เดินเข้ามาคือโจวยี่ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อเขาก็ลากพวกรูฟัสเข้าไปที่มุมเลาจ์ ซึ่งมีโต๊ะตั้งอยู่ ก่อนจะบอกให้ทั้งคู่นั่ง
   “พวกริเวิลตามหาแกให้ควั่ก ลามไปถึงบ่อนของฉันด้วย” โจวยี่เริ่มเล่าด้วยเสียงเบาแทบจะกระซิบ  รูฟัสเบิ่งตากว้าง ส่วนฟ่งมองอย่างงุนงง
   “แกต้องไม่อยู่ที่ฮ่องกงคืนนี้ เข้าใจนะ ฉันติดต่อกับราฟาแอลแล้ว  ทางนั้นบอกให้แกบินต่อไปที่ฮังการี่เลย หมอนั่นรออยู่”
   “อะไรนะ แกติดต่อกับราฟี่เหรอ!?” รูฟัสอุทานอย่างไม่เชื่อหู โจวยี่โบกมือให้อีกฝ่ายสงบลง
   “ฉันรู้ว่าแกห้ามไม่ให้ฉันติดต่อ แต่นี่มันเรื่องคอขาดบาดตาย ริเวิลกับตระกูลเว่ยอาจจะทำสงครามกันเพราะต้องการตัวแกเร็วๆ นี้ ฉันไม่มีทางเลือก จะบอกแกก่อน พวกริเวิลก็จับตาดูฉันเสียแน่นหนา กว่าจะหลบออกมาได้วุ่นวายพอดู เพราะฉะนั้นฉันกับแกมีเวลาอยู่ที่นี่ไม่มาก  เอ้า! นี่ตั๋ว”
   โจวยี่หยิบซองสีขาวขึ้นมาแล้วยัดใส่มือของรูฟัส  รูฟัสหยิบมาเปิดออกดูและพบว่ามันเป็นตั๋วเครื่องบินสองใบ เขาขมวดคิ้ว
   “เอาแฟนแกไปด้วย” โจวยี่พูดต่อ
   “แต่ว่า ฟ่งต้องกลับไทย” รูฟัสกล่าว โจวยี่ทำหน้าเหมือนฟ้าถล่มเมื่อได้ยินคำพูดนั้น  เขาครางออกมา
   “โอย.. นี่ตกลงแกโง่กะทันหันหรือว่าฟั่นเฟือนมานานแล้วมิทราบ อะไรที่คุณชายเจ็ดรู้ แกคิดว่าพวกริเวิลจะไม่รู้หรือไง คิดว่าแฟนแกจะกลับคนเดียวได้อย่างปลอดภัยงั้นรึ หรือว่าแกจะไปส่ง? แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าปลอดภัย?”
   รูฟัสนิ่งอึ้ง  เขากลับไปส่งฟ่งที่ไทยได้ แต่ว่า หลังจากนั้นล่ะ ไม่มีอะไรประกันว่าทางนี้จะไม่ตามไปราวีฟ่งถึงประเทศไทย แล้วเขาจะทำยังไง ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างคิดไม่ตก
   ฟ่งที่นั่งฟังอยู่อย่างงุนงง เอ่ยปากขึ้นในที่สุด “นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
   เขามองไปทางโจวยี่ ผู้ชายซึ่งเขาเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพื่อนของรูฟัส เพราะพบกันที่โรงพยาบาล
   “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก หมอนี่มันเป็นตัวยุ่ง  ก็เลยต้องรีบออกไปให้พ้นๆ ส่วนเธอที่มากับตัวยุ่ง ก็ต้องตามไปด้วย แค่นั้นแหละ”
   “หา!” ฟ่งร้องอย่างงุนงง ขณะที่รูฟัสถลึงตาใส่เพื่อนที่ให้คำจำกัดความไปแบบนั้น
   “แต่ว่า ผมต้องกลับบ้าน”
   โจวยี่ทำหน้าเหมือนที่ทำกับรูฟัส ก่อนจะพูดเสียงหวาน
   “ฟังนะ คุณหนู เธอจะกลับบ้านก็ได้ แต่เธออาจจะถูกจับกลับมาที่นี่อีก  แล้วเธอคิดว่าหมอนี่จะยอมหรือไง”
   ฟ่งหันไปมองหน้ารูฟัส ที่กำลังทำหน้าบอกไม่ถูก
   “หมายความว่ายังไงน่ะ รูฟัส  ทำไมผมถึงต้องถูกจับกลับมาที่นี่อีก?”
   “เพราะเธอเกี่ยวข้องกับหมอนี่” โจวยี่ช่วยตอบแทนให้ “อะไรที่เว่ยเฟิงปิงจับมาแล้วทำให้รูฟัสยอมถ่อเอาตัวเองไปแลกได้ขนาดนี้ ริเวิลก็ต้องทำเหมือนกันแหละ”
   ฟ่งหันไปมองรูฟัสอีกครั้งด้วยสายตาเหมือนจะถามว่าที่โจวยี่พูดนั่นจริงหรือเปล่า รูฟัสพยักหน้า “ขอโทษนะครับ  แต่ช่วยไปฮังการีกับผมเถอะ แล้วผมจะหาทางพาคุณกลับบ้าน”
   ฟ่งนั่งอึ้ง นี่เขาต้องตามรูฟัสไปฮังการีหรือ เพราะอะไร? เพราะเขาเกี่ยวข้องกับรูฟัส เลยต้องถูกตามล่าด้วยอย่างนั้นหรือ? ฟ่งไม่รู้ว่าริเวิลเป็นยังไง แต่ถ้าโดนจับมาแบบนี้อีก เขาคงไม่รู้สึกยินดีนัก แต่ถึงอย่างนั้นฟ่งก็ยังลังเล
   “แกจะคุยกับราฟี่หน่อยไหม หมอนั่นบอกว่าถ้าเจอแกแล้วให้โทรกลับ” โจวยี่เอ่ยคั่นจังหวะเมื่อเห็นว่าฟ่งยังต้องใช้เวลาตัดสินใจอีกสักพัก รูฟัสชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบมือถือของตนขึ้นมาเปิดเครื่อง
   เสียงด่าทอเป็นภาษาฮังกาเรียนดังขึ้นทันทีโดยที่เขายังไม่ทันจะขยับปากพูด รูฟัสยกโทรศัพท์ออกจากหู ก่อนจะแนบมันลงไปอีกครั้งและกรอกภาษาฮังกาเรียนกลับไป
   “ถ้าเรื่องแตกก็เพราะคุณนั่นแหละราฟี่ หัดหุบปากไม่ได้หรือไง?!”
   เสียงปลายสายโวยวายอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะเบาลง รูฟัสส่งเสียงอืม อืม อยู่หลายครั้ง และในที่สุดก็วางสาย
   “หูแตกเลยไหม?” โจวยี่ถามเสียงเย้า รูฟัสถลึงตาใส่แทนคำตอบ
   “ดูเหมือนหมอนั่นจะไปก่อเรื่องยุ่งไว้ที่ไทย ก็แย่พอกันล่ะวะ” รูฟัสเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเชิงประชด เขาหันไปมองฟ่ง เพื่อรอว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าอย่างไร  ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส
   “ถ้าผมไปฮังการีแล้วคุณจะหาทางพาผมกลับบ้านจริงๆ นะ”
   รูฟัสพยักหน้า “ครับ  ผมสัญญา”
   “อื้อ” ฟ่งส่งเสียงรับอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก โจวยี่ถอนหายใจ
   “เป็นอันว่า พวกนายสองคนตกลง  เดี๋ยวฉันจะขับรถพาไปส่งที่สนามบิน  แกไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์แปด ซินปินรอแกอยู่ ฉันแจ้งไปแล้วว่าจะมีคนเพิ่ม”
   “อืม” รูฟัสรับคำ หันไปมองหน้าฟ่ง ฟ่งหันไปมองหน้าเขา โจวยี่จึงเอ่ยต่อ
   “โรงแรมฉันเช็กเอาท์ให้พวกแกแล้ว ส่วนกระเป๋าก็คิดว่าคงไม่ต้องเก็บ เพราะคงไม่ได้พากันมาสักใบ”
   เขากล่าวพร้อมกับสะกิดให้ทั้งสองคนลุกขึ้น  แล้วทั้งหมดก็เดินออกไปจากเลาจ์นั้นอย่างเงียบๆ
------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกโล่งใจที่เว่ยเฟิงปิงได้ข้อมูลลับนั่นมาในที่สุด เขาเดินไปที่ห้องอย่างสบายใจ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อไม่สามารถเปิดประตูห้องเข้าไปได้ จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้ว  พยายามขยับกุญแจอีกหลายรอบ ดูเหมือนจะมีใครมาเปลี่ยนกลอนประตูใหม่ระหว่างเขาไม่อยู่ ขณะที่กำลังพยายามไขประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย อาเง็กก็เดินลงมาพอดี
   “อ้าว พี่จาง เกิดอะไรขึ้นน่ะ คุณชายไม่ได้บอกพี่หรือ?”
   จางซื่อเยี่ยนหันไปมองลูกน้องอย่างสงสัย อาเง็กจึงพูดต่อ “เมื่อวานคุณชายบอกให้เก็บของพี่ออก เห็นว่าจะย้ายห้องให้”
   “แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าคุณชายย้ายข้าวของฉันไปไว้ที่ไหน?”
   อาเง็กส่ายหน้า “คุณชายใช้ให้คนในแผนกของอาฉินย้าย ผมเลยไม่กล้าถาม”
   “อา...” จางซื่อเยี่ยนครางเสียงยาว และถามต่อ “แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าคุณชายจะย้ายฉันกลับไปที่หน่วยดำ”
   “ไม่เห็นคุณชายพูดถึงนี่” อาเง็กว่า จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้ว เว่ยเฟิงปิงจะต้องเล่นตลกอะไรกับเขาอยู่แน่ๆ  บอกว่าจะย้ายเขากลับหน่วยดำ แล้วขนของเขาออกไปจากห้อง แถมยังเปลี่ยนกลอนประตูอีก นี่กะจะให้เขาออกไปจากที่นี่จริงๆ เลยหรือไง
   “คุณชายกลับไปที่ห้องหรือยัง?”   เขาถาม อาเง็กพยักหน้า และพูดต่อ “ถ้าเรื่องของผมโทรถามอาปิงให้ก็ได้”
   จางซื่อเยี่ยนโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณชายด้วย”
   อาเง็กพยักหน้า  มองตามหลังลูกพี่ไป พลางนึกสงสัยว่า เจ้านายกับลูกพี่ของเขากำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่
-----------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #59 เมื่อ24-05-2011 18:40:16 »

บทที่24 เส้นกั้นบางๆ
   เสียงเคาะประตูดังขึ้นขณะที่เว่ยเฟิงปิงก้าวออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว สงสัยว่าใครที่กล้าเข้ามารบกวนเขาในเวลาเช่นนี้  หลังจากมองลอดตาแมว เว่ยเฟิงปิงพบว่าตัวเองคาดไว้ไม่ผิดนัก จางซื่อเยี่ยนมาเคาะประตูห้อง คงเพราะเรื่องของในห้องที่ถูกย้ายออกกับกุญแจที่ไขไม่ได้แน่ๆ  เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า เขาสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ เอาผ้าขนหนูพาดบ่า เพื่อแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังมารบกวน
   ทันทีที่ประตูเปิดออก จางซื่อเยี่ยนเผลอกลืนน้ำลายตัวเองไปเฮือกหนึ่ง มันทำให้เขาตระหนักทันทีว่ากำลังรบกวนเวลาส่วนตัวของเจ้านาย หยดน้ำเล็กๆ ที่เกาะอยู่บนเรือนผมสีดำนั้นทำให้จางซื่อเยี่ยนลืมไปเสียสนิทว่าเขามาเคาะประตูห้องนี้ด้วยเหตุผลอะไร
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกขบขันกับใบหน้าที่ดูจะแตกตื่นและตกใจของจางซื่อเยี่ยน  ทั้งๆ ที่โดยปกติเขาก็มักจะแต่งตัวแบบนี้ให้จางซื่อเยี่ยนได้เห็นอยู่แล้ว นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาได้สังเกตสีหน้าของลูกน้องคนนี้ชัดๆ
   ไม่รู้ว่าจะตกใจอะไรนักหนา
   “มีธุระอะไร?” ชายหนุ่มพยายามทำให้น้ำเสียงนั้นดูเย็นชามากกว่าขบขัน ดูเหมือนหุ่นยนต์ตรงหน้าจะสะดุ้งนิดหน่อย
   “ขออภัยที่รบกวนเวลาครับ” นั่นคือประโยคแรกที่จางซื่อเยี่ยนเอ่ย  มันช่างซ้ำซากสิ้นดี เว่ยเฟิงปิงคิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องเอ่ยประโยคทำนองนี้ออกมา  แต่ว่าท่าทีประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็น
   “ไม่เป็นไร เข้ามาก่อนสิ”
   เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจทดลองเชิญลูกน้องเข้ามาในห้อง เขาอยากรู้ว่าจางซื่อเยี่ยนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร โดยปกติจางซื่อเยี่ยนมักจะเดินเข้ามาในห้องเขาเพื่อแจ้งข่าวคราวและรายงานเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จางซื่อเยี่ยนขึ้นมาเพราะเรื่องของตัวเอง
   ชายหนุ่มผู้รวบผมไว้ด้านหลังมีท่าทีอึกอักอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้านายจะอนุญาตให้เขาเข้าไปในห้อง ทั้งๆ ที่แต่งตัวแบบนั้น จางซื่อเยี่ยนยอมรับว่าเขาพบเว่ยเฟิงปิงในสภาพคล้ายคลึงกับแบบนี้หลายครั้ง แต่ความรู้สึกตอนนี้แตกต่างออกไป ชายหนุ่มบอกไม่ได้ว่าแตกต่างอย่างไร ถึงอย่างนั้นในที่สุดเขาก็ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง
   “ปิดประตูด้วย” เว่ยเฟิงปิงสั่ง จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าและปิดประตูอย่างเงอะๆ งะๆ นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสนุก
   “ตกลงมีธุระอะไร?” ผู้เป็นเจ้านายถามซ้ำ และยกผ้าขนหนูขึ้นเช็ดศีรษะ จางซื่อเยี่ยนมองเจ้านายของเขาอย่างงุนงง  เพราะเว่ยเฟิงปิงไม่เคยทำตัวตามสบายแบบนี้ต่อหน้าเขามาก่อน  ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปพักใหญ่กว่าจะตั้งสติได้
   “ผมมาเรียนถามเรื่องย้ายห้อง”
   “อ้อ” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว ยังคงไม่ละมือจากการเช็ดผม
   “ฉันไม่อยากให้นายวุ่นวายตอนย้ายออก ก็เลยให้คนส่งของนายไปไว้ที่หน่วยดำแล้ว”
   “คุณชาย!” จางซื่อเยี่ยนเรียกเจ้านายของตนด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อหู แต่เว่ยเฟิงปิงไม่สนใจ เขาโยนผ้าขนหนูพาดไว้บนราวพาด และหยิบไดร์ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาเป่าผม
   เสียงเครื่องเป่าผมทำให้จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เขารอให้เจ้านายจัดการผมเสร็จจึงเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง
   “ตกลงคุณชายจะย้ายผมกลับไปที่หน่วยดำจริงๆ หรือ?”
   เว่ยเฟิงปิงหันมาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “นายคิดว่าฉันพูดจาล้อเล่นหรือไง?”
   จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง เขาอ้าปากอยู่นาน  เว่ยเฟิงปิงคิดว่าจางซื่อเยี่ยนอาจจะกำลังชั่งใจว่าควรจะพูดประโยคอะไรต่อ
   “ทำไมถึงต้องเป็นผม..” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มเสียง เขารู้ว่าตัวเองก่อเรื่องผิดพลาด แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดว่าเว่ยเฟิงปิงจะย้ายเขาเพราะเรื่องนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเองก็ทำความดีความชอบเอาไว้หลายอย่าง จางซื่อเยี่ยนยอมรับว่าเขาอาจจะหลงตัวเองอยู่นิดหน่อย ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจนัก
   “ทำไมถึงต้องเป็นนาย? แล้วทำไมฉันจะย้ายนายไม่ได้ล่ะ  ในเมื่อฉันอยากจะย้ายนายไปให้พ้นๆ มานานแล้ว”
   “คุณเกลียดผมขนาดนั้นเลยหรือ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ย และรู้สึกในตอนนั้นว่าเขาไม่ควรจะถามออกไป  เพราะคำตอบนั้นตัวเขาเองก็ย่อมรู้ดีที่สุดอยู่แล้ว
   “ใช่  ในเมื่อนายรู้แล้ว จะอยู่ต่อไปทำไม?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุด  แม้จะเผชิญกับเรื่องทำนองนี้มาหลายครั้ง แต่จางซื่อเยี่ยนกลับรู้สึกว่าครั้งนี้มันช่างไร้เหตุผลและเกินจะทน  แต่ว่า....เขาจะทำอะไรได้ล่ะ
   “นายขึ้นมาที่นี่เพื่อจะถามแค่นี้หรือ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยต่อหลังจากเห็นอีกฝ่ายเงียบ  จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเจ้านาย และก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้านายของเขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ เผยให้เห็นเรียวขาอ่อนสีขาวผ่องที่ถูกแสงไฟสลัวสีแดงโลมไล้  และลึกเข้าไปนั่น มีเพียงแค่ปลายเสื้อคลุมและเงาดำนิดหน่อยปกปิดไว้
   จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลายอีกครั้ง เขาควรจะบอกเจ้านายดีไหมว่าท่านั่งไม่เรียบร้อย แต่เว่ยเฟิงปิงคงไม่ถูกใจนัก ชายหนุ่มตัดสินใจหันหลังกลับ เขาคิดว่าควรเข้ามาคุยกับเจ้านายใหม่พรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า
   “จะไปล่ะรึ? จะให้ฉันบอกอาเง็กให้คนไปส่งนายที่หน่วยดำรึเปล่า?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยทักมาจากด้านหลัง  จางซื่อเยี่ยนชะงักอีกครั้ง
   “ไม่มีที่ให้นายนอนที่นี่หรอกนะ  ถ้าจะออกไปก็กลับหน่วยดำไปเลย”
   แวบนั้นจางซื่อเยี่ยนรู้สึกตัวว่า เว่ยเฟิงปิงกำลังไม่พอใจเขาอยู่แน่ๆ เขาไปทำอะไรให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกขุ่นเคืองหรือเปล่า
   ชายหนุ่มตัดสินใจหันหน้ากลับมาอีกครั้ง เขาไม่อยากถูกส่งกลับไปหน่วยดำทั้งแบบนี้  จางซื่อเยี่ยนหลีกเลี่ยงที่จะมองไปยังเจ้านายโดยตรง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงก้มลงมองพรมที่เว่ยเฟิงปิงเหยียบอยู่แทน
   “ผมขอโทษ”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วกับคำพูดของจางซื่อเยี่ยน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกขบขันในความหงุดหงิด ดูมิสเตอร์โรบอทจะเงอะๆ งะๆ พิกล การขู่ว่าจะย้ายไปหน่วยดำส่งผลกระทบกระเทือนกับระบบการทำงานขนาดนี้เชียวหรือ
   “นายขอโทษฉันเรื่องอะไร?” ชายหนุ่มถามกลับ จางซื่อเยี่ยนนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ เว่ยเฟิงปิงไม่พอใจเรื่องอะไรเขากันแน่นะ? ก่อนหน้านี้เขาก็เข้าไปช่วยเจ้านายเอาไว้จนต้องเข้าโรงพยาบาล หรือว่าเป็นเรื่องในคืนนั้น?!
   ในที่สุดจางซื่อเยี่ยนก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าเรื่องทั้งหมดที่กำลังเกิดกับเขาต้องมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ผิดพลาดในคืนนั้นแน่ๆ
   “ผมขอโทษที่ล่วงเกินคุณไปวันก่อน” เขากล่าว และหวังว่าจะได้รับคำให้อภัยจากผู้เป็นนาย แต่คำตอบของเว่ยเฟิงปิงยิ่งสร้างปัญหาให้กับสมองของจางซื่อเยี่ยนมากขึ้น
   “นายล่วงเกินฉันเรื่องอะไรมิทราบ?”
   “ก็คืนนั้นที่ผมพูดกับคุณ...” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยค้างไว้แค่นั้น เพราะเว่ยเฟิงปิงแย่งพูดขึ้นมาเสียก่อน
   “ถ้านายคิดว่าสิ่งที่นายทำคืนนั้นคือการล่วงเกินฉันล่ะก็  รีบๆ ไสหัวออกไปเลย”
   “?” จางซื่อเยี่ยนเงยหน้ามองเจ้านายของเขาด้วยความแปลกใจ แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายอีกครั้ง เมื่อเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าที่ถูกปกปิดไว้ด้วยชุดคลุมอาบน้ำเพียงหลวมๆ นั่นทำให้เขาลืมเรื่องที่จะพูดไปพักหนึ่ง
   “คุณไม่ได้โกรธผมเรื่องนั้นหรอกหรือ?” เขาเอ่ยออกมาในที่สุด และตัดสินใจว่าควรจะกลับไปมองพรมเหมือนเดิม เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจออกมาดังๆ อย่างหงุดหงิด
   “นายนี่มันโง่บริสุทธิ์หรือไงนะ ถ้าฉันไม่พูดตรงๆ นายจะไม่เข้าใจเลยใช่ไหม?!”
   จางซื่อเยี่ยนเผลอพยักหน้า ตอนนี้เขาไม่เข้าใจอะไรเลยซักอย่าง ไม่รู้ว่าเจ้านายของเขาต้องการอะไรกันแน่  เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจอีกครั้ง  และลงความเห็นว่าจางซื่อเยี่ยนโง่จริงๆ
   “นายถ่อขึ้นมาถึงบนนี้เพราะเรื่องที่ฉันจะย้ายนายกลับหน่วยดำ  ทำไมนายถึงเดือดร้อนกับเรื่องนี้นัก นายไม่อยากไปจากฉัน?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า เขาไม่อยากไปจากเว่ยเฟิงปิงจริงๆ เสียงถอนหายใจของเว่ยเฟิงปิงดังขึ้นอีก
   “ทำไมนายถึงไม่อยากไปจากฉัน ทั้งๆ ที่ฉันอยากให้นายไปให้พ้นๆ ทำไมถึงต้องหน้าด้านหน้าทนเดินขึ้นมา นายก็เห็นว่าฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ก็ยังจะเข้ามาอีก”
   “ก็คุณให้ผมเข้ามา!” จางซื่อเยี่ยนค้านเสียงหลง เขาเริ่มเดาอารมณ์ของเจ้านายไม่ออก ตกลงเว่ยเฟิงปิงต้องการอะไรจากเขากันแน่
   “นายทำให้ฉันหงุดหงิด นายพูดไม่รู้เรื่อง!” เว่ยเฟิงปิงยังคงใส่ต่อ ถึงตอนนี้จางซื่อเยี่ยนคิดว่ามันเริ่มจะเกินความอดทนแล้ว
   “ผมไม่รู้ว่าคุณโกรธอะไรผมกันแน่  ผมจะไปรู้ได้ยังไง!”
   “นายนี่มันโง่ นี่ตกลงฉันมีลูกน้องโง่ๆ อย่างนายมาได้ยังไงถึงสี่ปีนะ”
   “ก็ผมมันโง่!” จางซื่อเยี่ยนโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองทำผิด
   “ผมขอโทษ” เขาพูดเสียงอ่อน เว่ยเฟิงปิงมองเขา และเบาน้ำเสียงลง
   “ช่างเถอะ ฉันเพิ่งเคยเห็นนายมีอารมณ์ตอบโต้ก็วันนี้แหละ คิดว่านายไม่มีความรู้สึกเสียอีก”
   “ผมก็เป็นคนเหมือนกันนะ” จางซื่อเยี่ยนร้องค้านออกไป เป็นครั้งแรกที่เขามีปากเสียงกับเว่ยเฟิงปิง
   “ทำไมนายถึงไม่อยากไปจากฉันขนาดนี้?” เว่ยเฟิงปิงวกกลับมาที่คำถามเดิม จางซื่อเยี่ยนเงียบไปอีก เขาควรจะตอบเจ้านายเขาว่าอย่างไรดี
   “คุณสำคัญกับผม” เขาพูดออกมาในที่สุด จางซื่อเยี่ยนคิดว่าคำคำนี้อธิบายความรู้สึกของเขาได้ทั้งหมด แต่ดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงยังไม่พอใจกับคำตอบ
   “นายเคยบอกฉันแล้ว ฉันอยากรู้ว่าฉันสำคัญกับนายแบบไหน?”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งเงียบไปอีก  เขารู้สึกว่าเว่ยเฟิงปิงเป็นคนสำคัญ แต่สำคัญแบบไหน จางซื่อเยี่ยนอธิบายไม่ถูก
   “คุณสำคัญที่สุด” ชายหนุ่มสรุปความคิดของตัวเองออกไปแบบนั้น ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากคืนที่เขาหลุดคำพูดพวกนี้ออกไปเลย เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจซ้ำอีก
   “ฉันอยากให้นายระบุว่าสำคัญแบบไหน แบบเพื่อน? แบบเจ้านาย? หรือแบบคนรัก?”
   ท่อนสุดท้ายดูเหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงลังเลที่จะพูด จางซื่อเยี่ยนเองก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยิน
   “คุณเป็นเจ้านายผม..” เขาเอ่ยค้าง และรู้สึกว่ามันไม่ได้ตรงกับใจจริงๆ เท่าไรนัก เว่ยเฟิงปิงเยียดขาออก และลุกขึ้นยืน
   “เพราะฉันเป็นเจ้านาย เลยสำคัญอย่างนั้นเหรอ?”
   จางซื่อเยี่ยนผงกศีรษะ เว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าเข้ามา
   “ถ้าฉันไม่ใช่เจ้านายล่ะ  ถ้าฉันที่ยืนอยู่ตรงหน้านายเป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ฉันจะยังสำคัญกับนายรึเปล่า?” ผู้เป็นเจ้านายเดินเข้ามาจนเกือบจะชน จางซื่อเยี่ยนถึงกับต้องผงะถอยหลัง เมื่อใบหน้าเรียวยาวนั้นยื่นเข้ามาใกล้
   “ตอบฉันสิ” ริมฝีปากบางเอ่ย มันใกล้จนแทบจะสัมผัสได้ หัวใจของจางซื่อเยี่ยนเต้นแรง  เขายกมือขึ้น เกือบจะเผลอตัวกอดร่างที่ยืนเบียดอยู่ แต่สติสัมปชัญญะยังคงทำงานและบอกให้เขาลดมือลง
   “อืม...สำหรับผม คุณคือคนที่สำคัญที่สุด”
   “เหรอ..” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย นัยน์ตาสีฟ้าที่ช้อนมองขึ้นมานั้น หากไม่คิดไปเอง จางซื่อเยี่ยนรู้สึกว่ามันช่างดูออดอ้อน ชายหนุ่มเผลอกลืนน้ำลาย
   “ถ้าฉันไม่ใช่เจ้านาย นายจะทำยังไงกับฉัน?” เว่ยเฟิงปิงเบียดร่างเข้ามาใกล้อีก ใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจและไออุ่น จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองกำลังจะสติหลุด เขาภาวนาให้เจ้านายถอยออกไปโดยไว เพราะเขาคงไม่มีปัญญาจะถอยออกไปได้ด้วยตัวเองอีกแล้ว ร่างกายขาวผ่อง ริมฝีปากแดงบาง และนัยน์ตาออดอ้อนนั้นตรึงเขาไว้ราวกับตอกเสาเข็ม
   “ถ้าคุณไม่ใช่เจ้านาย ผมคงไม่ปล่อยให้คุณยืนอยู่แบบนี้” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยหลังจากที่มองดูใบหน้าที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้ว
   “นายเกลียดฉันมากหรือไง?”
   “เปล่าครับ  ถ้าคุณไม่ใช่เจ้านาย...”
   จางซื่อเยี่ยนพูดไม่จบประโยค เขามองใบหน้าของเว่ยเฟิงปิง มองริมฝีปากที่อยู่ใกล้จนแทบจะสัมผัสได้
   “ถ้าฉันไม่ใช่เจ้านายแล้วนายจะทำอะไร?”
   “ผม...”
   จางซื่อเยี่ยนก้มหน้าลง แนบริมฝีปากลงกับริมฝีปากบางนั่นเบาๆ กลิ่นหอมของสบู่หลังจากการอาบน้ำที่ชอนไชเข้ามาในจมูกยิ่งทำให้ชายหนุ่มประคองสติไม่อยู่ เขาแนบริมฝีปากลงไปแน่นขึ้น ก่อนจะล้วงลิ้นลงไปอย่างกระหาย
   เว่ยเฟิงปิงตะกายกอดไหล่กว้างของผู้เป็นลูกน้องอย่างลืมตัว เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้ารุกเร้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้  จางซื่อเยี่ยนรั้งตัวของเว่ยเฟิงปิงเข้ามากอด ลืมเรื่องปวดแผลไปเสียสนิท ชายหนุ่มดื่มด่ำอยู่กับริมฝีปากบางในฝันนั้นเป็นเวลานานจนอีกฝ่ายเริ่มส่งเสียงคราง
   ร่างสูงถอนริมฝีปากออก  ริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงยิ่งแดงมากว่าก่อนหน้านี้เพราะรสจูบเมื่อครู่ นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ปรือ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดฝาด แล้วยังเสียงหอบหายใจและไออุ่นจากร่างกายอีก จางซื่อเยี่ยนก้มลงจูบริมฝีปากนั้นเบาๆ อีกครั้ง  และเริ่มไซ้ไปตามซอกคอของผู้เป็นนาย
   เว่ยเฟิงปิงเกาะไหล่จางซื่อเยี่ยนแน่น  เหตุการณ์ในตอนนี้จริงๆ ผิดความคาดหมายไปหน่อย  แต่ว่ามันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น ชายหนุ่มร้องครางออกมาเบาๆ เมื่อจางซื่อเยี่ยนจูบลงบนซอกคอและลูบไล้เรือนผมนิ่มลื่น  เว่ยเฟิงปิงเบียดร่างของตัวเองแนบเข้าไปอีก ราวกับอยากจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอีกฝ่าย  จางซื่อเยี่ยนเลื่อนมือลงไปสัมผัสกับสะโพกที่กำลังเบียดเข้ามา และเริ่มโลมลูบอย่างเบามือ
   ร่างบางอ้าปากขบใบหูของอีกฝ่ายอย่างซุกซน  นั่นทำให้จางซื่อเยี่ยนผละจากซอกคอและหันมาสนใจกับริมฝีปากบางนั้นอีกครั้งหนึ่ง
   เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางด้วยความพอใจกับรสจูบที่ได้รับ การเล้าโลมที่สะโพกก็ทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย ตอนนี้ร่างผอมบางในชุดคลุมอาบน้ำแทบจะละลายอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง จางซื่อเยี่ยนรั้งตัวเจ้านายเข้ามาแนบมากขึ้น และค่อยๆ ขยับตัวจนอีกฝ่ายทรุดตัวลงบนเตียง
   เขาประคองร่างของเว่ยเฟิงปิงให้นอนลงอย่างเบามือ และค่อยๆ เปลื้องเสื้อคลุมอาบน้ำที่ห่อหุ้มอยู่ออก ร่างบางขยับตัวหนีอย่างเอียงอาย นั่นทำให้อีกฝ่ายยิ่งคลั่ง ไม่ว่าเว่ยเฟิงปิงจะทำอะไรตอนนี้ ล้วนแต่กระตุ้นอารมณ์ของเขาทั้งสิ้น และเหมือนว่าร่างบางที่นอนอยู่จะรู้เสียด้วยว่าตัวเองมีอิทธิพลขนาดไหน
   เว่ยเฟิงปิงเบียดขาอ่อนเข้าหากันเพื่อไม่ให้จางซื่อเยี่ยนมองส่วนที่น่าอับอายของตนได้ชัดนัก ซึ่งความจริงแล้ว เขาไม่ได้กังวลกับมันเท่าไร ชายหนุ่มเพียงแค่อยากจะยั่วอารมณ์ของอีกฝ่ายเท่านั้น
   ผู้เป็นลูกน้องมองเรือนร่างเจ้านายของตนอย่างลุ่มหลง แม้ว่าเขาจะเปลือยร่างนั้นแล้ว แต่เมื่อเจ้านายของเขาแสดงอาการไม่ต้องการให้เขายุ่งกับส่วนสงวน จางซื่อเยี่ยนก็ไม่กล้าจะรุกต่อ
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเสียอารมณ์เล็กน้อยเมื่อฝ่ายตรงข้ามชะงัก  เขาควรต้องทำใจว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขานี้โง่เกินกว่าที่จะเสียเวลาไปโมโหด้วย  ร่างบางเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายออก
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งเมื่อเห็นว่าเจ้านายเขาทำเช่นนั้น เขารีบปลดกระดุมเสื้อของตัวเองต่อจากเว่ยเฟิงปิงทันที  ด้วยความคิดที่ว่าเจ้านายของเขาไม่ควรทำแบบนี้  เว่ยเฟิงปิงเม้มปาก  ถือโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ระวังตัว  กระชากคอเสื้อของจางซื่อเยี่ยน ดึงร่างนั้นล้มลงมา
   จางซื่อเยี่ยนล้มคะมำลงบนเตียง กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เจ้านายก็ขึ้นคร่อมอยู่บนตัวของเขาแล้ว  เว่ยเฟิงปิงยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า และเริ่มปลดกระดุมเสื้อของเขาต่ออย่างสบายอารมณ์
   ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนรู้สึกหวั่นใจเป็นอย่างมาก  เขาคิดว่ากำลังตกอยู่ในเกมหรือการละเล่นอะไรซักอย่าง ชายหนุ่มไม่กล้าขยับตัว เขาปล่อยให้เจ้านายเขาปลดกระดุมจนหมด และถอดเสื้อออก
   เว่ยเฟิงปิงมองร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อซึ่งนอนอยู่เบื้องล่างด้วยสายตาซึมเซา  ความคึกคักที่มีเมื่อครู่กลับมลายหายไปหมด บางทีอาจจะเพราะทีท่าที่ดูจะไม่มีการขัดขืนหน้ำซ้ำดูเหมือนจะเกร็งด้วยซ้ำของอีกฝ่าย  เว่ยเฟิงปิงก้มหน้าลงไปใกล้ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยน  มองเข้าไปในดวงตาสีอีกานั้น ก่อนจะเอ่ยปากถาม “นายชอบฉันจริงๆ รึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนไม่คิดว่าเว่ยเฟิงปิงจะถามคำถามนี้อีก เขาอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะผงกศีรษะ เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ แล้วก็ลุกออกจากเตียงไปทั้งอย่างนั้น  เล่นเอาผู้เป็นลูกน้องถึงกับต้องโพล่งออกมา “จะไปไหน?”
   นัยน์ตาสีฟ้านั่นเหลือบมามองอย่างหน่ายๆ “ก็นายไม่มีอารมณ์”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด