**เปิดโหวตตัวละครแล้วนะค้า ชอบใครรักใครโหวตกันได้ แต่ไม่มีรางวัลอะไรนะเออ ฮ่าๆ**
ตอบคอมเม้นต์ก่อน
ลง 8 ตอนรวดเลยไม่ได้หรอค่ะ
ฟงน่ารักเกิน 
ลง20ตอนเคยทำมาแล้วค่ะ ปรากฏว่าคนอ่านอ่านกันไม่ทัน แหะๆ อัพมันวันละตอนนี่ล่ะค่ะ อีกไม่กี่วันก็จบแล้ว^^
สวีตกันจนคนอ่านอิจฉาตาเนี่ยลุกเป็นไฟแล้วว!!
ทำไมชีวิตเราไม่มีอย่างงี้บ้างอ่ะ TT^TT
* pandorads --> วิ่งไปที่หน้าผา : ผู้ชายดีๆ อย่างรูฟัสมันหายไปไหนหมดค้าา !!
"ผู้ชายดีๆ อย่างรูฟัส"<<แอบช็อก!!! ไอ้นี่มันผู้ชายกะล่อน ตอแหล หื่น หน้าด้าน หน้าทน มีดีอย่างเดียว รักจริงหวังแต่ง รักแท้หวังฟัน (โห... นี่คือสิ่งที่เราคิดกับพระเอกเรื่องนี้นะเนี่ย ฮ่าๆ)
แต่เราก็รักนะคะ อิอิ
-----------------------------------------------------
ต่อตอน81เลยค่ะ
-----------------------------------------------------
บทที่81 เหตุผลโง่ๆ ของฮีโร่จำเป็น
แม้เมื่อคืนทั้งคู่จะมาถึงห้องด้วยบรรยากาศหวานหวิว แต่จนแล้วจนรอดฟ่งก็ยังยืนกรานจะขอนอนเฉยๆ เพราะกลัวจะตื่นไปดูอะไรต่อมิอะไรพรุ่งนี้ไม่ไหว พอเห็นดวงตาสีน้ำตาลมองอย่างจริงจังตั้งใจแบบนั้น ถึงจะอยากทำมากกว่ากอด รูฟัสก็ต้องห้ามใจเอาไว้ ด้วยไม่อยากให้ฟ่งอารมณ์เสียในวันรุ่งขึ้น
สองคนนอนอิงแอบกันอยู่บนเตียงอ่อนนุ่มท่ามกลางสายลมหนาวยะเยือกที่พัดวูบอยู่นอกหน้าต่าง
ฟ่งเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าการนอนกอดคนเป็นๆ ด้วยกัน อุ่นกว่ากอดหมอนข้างเป็นไหนๆ เพราะมาจากประเทศในเขตร้อนชื้น แม้จะปรับฮีตเตอร์แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี ร่างผอมบางซุกตัวเข้าไปอิงอาศัยไออุ่นจากร่างกำยำที่นอนเคียงข้างจึงรู้สึกค่อยยังชั่ว ฟ่งนอนอิงอยู่อย่างนั้นจนผล็อยหลับไป กระทั่งถึงรุ่งเช้าก็ยังไม่อยากผละออก
อ้อมกอดของรูฟัสอบอุ่นอ่อนโยนจริงๆ
รูฟัสลูบศีรษะร่างผอมบางที่นอนแนบชิด ก้มลงจุมพิตเรือนผมสีน้ำตาลยุ่งๆ นั้น คงต้องขอบคุณความหนาวเหน็บแห่งรัสเซีย ที่ทำให้ฟ่งกระแซะตัวเข้ามาใกล้ชิดเขาขนาดนี้ ตอนอยู่เมืองไทย กอดได้ไม่เท่าไร ฟ่งก็มักจะตะกายออกไปในตอนหลับทุกที คงรู้สึกว่าร้อนล่ะมั้ง แต่ถ้าอากาศหนาวแบบนี้ ฟ่งคงต้องซุกเขาไปตลอด นี่ขนาดยังไม่ใช่หน้าหนาว รูฟัสชักอยากจะอยู่ให้ถึงหน้าหนาว บางทีฟ่งอาจจะยอมให้เขากอดทั้งวันเลยก็ได้ แค่คิดก็รู้สึกวูบวาบในหัวใจแล้ว หรือจะขอให้ฟ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เลยดีนะ...
ขณะที่กำลังคิดไปต่างๆ นาๆ ร่างบางในอ้อมกอดก็ปรือตาขึ้น ก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงงัวเงีย “กี่โมงแล้ว?”
รูฟัสก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ “เจ็ดโมงเช้าครับ”
ฟ่งทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้นทันที จนรูฟัสต้องรีบคว้าตัวไว้ “เดี๋ยวก็หน้ามืดหรอก”
ฟ่งถูกดึงจนต้องกลับมานั่งปุอยู่บนเตียง ก่อนจะหันซ้ายหันขวา “แว่น แว่นผมล่ะ?” เขาเรียกหาสิ่งเดิมๆ ที่เรียกหาอยู่ทุกเช้า รูฟัสหยิบแว่นที่วางอยู่ตรงหัวเตียงขึ้นมา สวมให้อย่างเบามือ ร่างบางกะพริบตาปริบๆ “ผมต้องอาบน้ำ”
“หนาวขนาดนี้ไม่ต้องอาบหรอกครับ” รูฟัสว่า และคลี่ยิ้ม ฟ่งทำหน้างงๆ “อ่อ...อืม..งั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปกันเถอะ”
กล่าวจบทำท่าจะผุดลุกขึ้นอีก รูฟัสจึงดึงร่างนั้นเข้ามากอด และหอมแก้มฟอดหนึ่ง ดูท่าทางฟ่งจะตื่นเต้นอยากออกไปเที่ยวมากจริงๆ ร่างกำยำยกมือขึ้นลูบศีรษะยุ่งๆ นั้นอย่างเอ็นดู
“โบสถ์เปิดสิบโมงครับ คุณนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้
“อ่ะ...อ่อ...อืม...” ฟ่งพยักหน้าพลางทำหน้าเขินๆ เขาผลักรูฟัสออกนิดหนึ่ง “ขอโทษที แบบว่าผมกลัวคนเยอะน่ะ”
“คนไม่เยอะมากหรอกครับ ก็เหมือนสถานที่สาธารณะทั่วไปนั่นแหละ” รูฟัสตอบและยิ้มกริ่ม “ที่นั่นคู่แต่งงานชอบไปถ่ายรูปด้วยนะครับ”
“เป็นพวกสตูดิโอหรือ?” ฟ่งถาม รู้สึกว่าถ้าเจอกองคาราวานถ่ายภาพที่มีทั้งรีเฟลกทั้งขาตั้งแฟลตยั้วเยี้ยเต็มหน้าโบสถ์เขาคงปวดหัวตาย คนถูกถามสั่นศีรษะ “ถ่ายกันธรรมดานี่แหละครับ”
ร่างบางพยักหน้า และล้มตัวลงซุกเข้ามาในผ้าห่มต่อ “งั้นเดี๋ยวผมค่อยลุกแล้วกัน”
รูฟัสคลี่ยิ้มอ่อนโยนอีกรอบ และก้มลงจูบหน้าผากฟ่งเบาๆ “Добрыѝ утро อรุณสวัสดิ์ครับ”
------------------------------------------------------
หลังอาหารเช้า ทั้งคู่ตกลงจะเดินเท้าไปยังโบสถ์เนื่องจากใช้เวลาไม่นานนัก และฟ่งจะได้เห็นทัศนียภาพของมอสโคว์ในยามสายๆ ด้วย ฟ่งเห็นรูฟัสหยิบแว่นตากันแดดสีชาขึ้นมาสวมตอนก่อนจะออกจากห้อง คงอยากจะพรางนัยน์ตาสีแปลกนั้นกระมัง หนุ่มตาสองสีหันมายิ้มแผล่พอรู้ว่าเขามองอยู่ ฟ่งรู้สึกว่ารูฟัสดูแปลกตาไปมากจริงๆ เมื่อสวมแว่นตากันแดดแบบนี้ ดูเจ้าเล่ห์ยังไงพิกล
ในตอนที่เดินออกมาด้านหน้าของโรงแรม รูฟัสชี้ให้ฟ่งดูโรงละครบอลชอย
“บอลชอยจริงๆ แปลว่าใหญ่นะครับ แต่เหมือนคนจะเรียกจนกลายเป็นชื่อไปแล้ว”
“อ่าว แล้วชื่อจริงๆ ชื่ออะไรล่ะ?” ฟ่งถามพลางเขม่นมองอาคารสีขาวในสถาปัตยกรรมแบบยุโรปยุคในสมัยคริสต์ศตวรรษที่สิบแปด
“อืม...” รูฟัสพยายามนึก “เหมือนจะชื่อแกรนด์ อิมพีเรียลมั้งครับ ผมไม่แน่ใจแล้วเหมือนกัน เย็นนี้คุณจะแวะเข้าไปดูบัลเล่มั้ยครับ?”
ฟ่งทำตาโต “ผมไม่เคยดูบัลเล่ อืม...ผมคิดว่ามีละครสัตว์ด้วยเสียอีก”
รูฟัสยิ้ม “ละครสัตว์ก็มีนะครับ ไว้ผมจะหาซื้อตั๋วเอาไว้ จะได้ไปดูกัน ละครสัตว์ที่นี่สนุกมากเลย”
สองคนเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นทั้งที่อากาศหนาวแทบตาย รูฟัสยังมีแก่ใจจะแวะซื้อไอศกรีม
“เอาด้วยไหมครับ?” หนุ่มตาสองสีหันมาถาม ร่างบางสั่นศีรษะ มองดูคนร่วมทางเดินเข้าไปซื้อไอศกรีม เหมือนคนที่นี่จะไม่สนใจอากาศ ฟ่งเห็นว่ามีหลายคนยืนรอคิวอยู่ สักพักชายหนุ่มก็เดินออกมาพร้อมกับโคนใส่ไอศกรีมรสช็อกโกแลต
“คุณไม่หนาวหรือนี่?” ฟ่งว่า มองดูรูฟัสกินไอศกรีมเหมือนไม่รู้สึกว่าอากาศด้านนอกเป็นอย่างไร หนุ่มตาสองสีซึ่งสวมแว่นตาสีชาหันมายิ้ม “ก็นิดหน่อยครับ เห็นแล้วมันอยากจะซื้อมาทานน่ะ คุณลองชิมมั้ย?”
ฟ่งไม่อยากให้เสียน้ำใจเลยเอาลิ้นแตะดูสักทีหนึ่ง รสชาติขมกว่าที่เมืองไทยนิดหน่อย
“อร่อยดี” หนุ่มสวมแว่นว่า รูฟัสจึงอาสาจะไปซื้อก้อนใหม่มาให้ แต่ฟ่งรีบห้ามเอาไว้ เขาคงหนาวตายแน่ๆ ถ้ากินของเย็นๆ แบบนี้เข้าไป
ทั้งคู่เดินมาถึงโบสถ์เซนต์เบซิลราวๆ สิบโมงกว่าๆ แสงแดดยามสายทำให้ทัศนียภาพแตกต่างออกไปจากตอนกลางคืนโดยสิ้นเชิง ฟ่งนัยน์ตาเป็นประกาย
“โอ้โห....สวยอย่างกับไม่ใช่ของจริงแน่ะ” หนุ่มสวมแว่นอุทาน ตะลึงมองดูโบสถ์รูปโดมหัวหอมหลากสีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขึ้นชื่อของประเทศนี้ ผนังด้านนอกโบสถ์ก่อด้วยอิฐสีแดง ปิดด้วยกระเบื้องสีสันต่างๆ บนยอดโดมที่เป็นเอกลักษณ์ก็ประดับด้วยสารพัดทรงกระเบื้อง แถมสีสันก็ฉูดฉาดบาดตา ไม่ซ้ำกันเลยสักหัว เป็นความหลากหลายที่ดูลงตัว กลายเป็นความสวยงามที่น่าประทับใจ
“คนสร้างที่นี่เก่งจัง” ฟ่งเปรยออกมาหลังจากยืนตะลึงอยู่พักใหย่ๆ รูฟัสซึ่งเพิ่งทานไอศกรีมเสร็จยิ้มเผล่ “ได้ยินว่าสถาปนิกที่สร้างที่นี่พอสร้างเสร็จปุ๊บ ก็โดนเอาตัวไปตัดมือปั๊บเลยนะครับ เพราะซาร์ไม่อยากให้ไปสร้างอะไรที่สวยกว่านี้อีก”
ฟ่งทำหน้าสยดสยอง นึกถึงเรื่องปราสาทหินที่เคยได้ยินเหมือนกันว่าคนสร้างพอสร้างเสร็จก็ทุบมือทิ้ง
“คุณเองก็ระวังไว้นะครับ ยิ่งชอบสร้างอะไรแปลกๆ อยู่” รูฟัสแหย่ ฟ่งทำหน้าบูดใส่เขาทันที “พูดงี้แปลว่าคุณจะไม่ช่วยผมแล้วสิ”
“โถ....ผมไม่ช่วยคุณแล้วจะไปช่วยใครล่ะครับ”
“งั้นผมไม่ระวังดีกว่า จะได้ให้คุณไปช่วย” ฟ่งแหย่กลับ รูฟัสคราง “โธ่..แล้วกัน”
หนุ่มสวมแว่นไม่ต่อปากต่อคำอีก เขาเดินจ้ำเข้าไปถ่ายภาพโบสถ์ในระยะใกล้ รูฟัสเดินตามไปห่างๆ อดจะยกมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทไม่ได้
เมื่อวานตอนที่ฟ่งนั่งทานขนมอยู่ รูฟัสไม่ได้แวะไปห้องน้ำ เขาแวะไปซื้อบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อยากให้ฟ่งรู้ ชายหนุ่มหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินใบเล็กออกมา แง้มฝาดูด้านในอย่างอดใจไม่ได้ แหวนพลาสตินั่มสีเงินสองวงนอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น
อาจจะฟังดูตลก แต่เขาอยากจะขอฟ่งแต่งงาน
ชายหนุ่มหยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมาสวมเอาไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย หวังว่าอีกวงคงจะพอดีกับนิ้วฟ่ง เขาอยากเห็นฟ่งสวมมันไวๆ อยากจะเห็นสีหน้าดีใจตอนที่เขาสวมแหวนให้
อยากจะสาบานรักกับคนคนนั้น แม้ว่าพระเจ้าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม
ก็ช่างพระเจ้าสิ เขาจะรักเสียอย่าง
รูฟัสอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เขาเก็บกล่องกำมะหยี่เข้ากระเป๋าเสื้อโค้ท คงมีจังหวะเหมาะๆ ที่เขาจะได้สวมมันบนนิ้วมือของฟ่งในบรรยากาศแสนโรแมนติกแบบนี้
ฟ่งดูจะชอบอกชอบใจโบสถ์เซนต์เบซิลมาก วิ่งไปถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ พออยู่ในชุดโค้ทที่มีขนปุยแบบนั้นแล้วก็เหมือนกระรอกกระต่ายที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในสวนหลังบ้าน รูฟัสยืนมองอย่างอิ่มอกอิ่มใจ เขาเห็นคู่แต่งงานหลายคู่มาถ่ายรูปกันด้านหน้าโบสถ์ มีคู่หนึ่งมาขอร้องให้เขาถ่ายภาพให้ ยิ่งทำให้รูฟัสอยากจะสวมแหวนลงไปบนนิ้วของฟ่งไวๆ หลังจากคืนกล้องให้ผู้ที่มาของช่วยแล้ว ขณะที่ชายหนุ่มกำลังนึกหาจังหวะ ฟ่งก็ตะโกนเรียกเขา
“รูฟัส!”
หนุ่มตาสองสีเดินเข้าไปหาทันที ฟ่งที่ทั้งวิ่งทั้งเดินเพื่อถ่ายรูป ใบหน้าเลยกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ ยิ่งดูน่ารักน่ากอด รูฟัสร่ำๆ จะหยิบแหวนออกมาสวมให้ตอนนี้เลย แต่หนุ่มสวมแว่นชิงพูดขึ้นก่อน
“ตรงนั้นประตูอะไรน่ะ?”
ฟ่งชี้มือไปยังซุ้มประตูอิฐสีแดงที่ปิดประตูสนิทซึ่งด้านบนเป็นหอนาฬิกาก่อจากอิฐมียอดสีเขียวสูงขึ้นไปมีดาวสีแดงประดับอยู่ที่ตั้งติดอยู่กับกำแพงอิฐซึ่งอยู่ห่างจากโบสถ์ไปไม่มาก
“อ้อ...สปัสสกาย โวโรตา” รูฟัสว่า และรีบเปลี่ยนมาพูดอะไรที่ฟังง่ายกว่านั้น “ประตูสปัสสกีน่ะครับ เป็นประตูที่ว่ากันว่าถ้าสวมหมวกเดินเข้าไปจะโชคร้ายนะ”
ฟ่งยกมือขึ้นจับหมวกบนหัวตัวเอง ทำหน้าแปลกๆ “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็มันปิดนี่ แล้วด้านในเป็นอะไรล่ะ?”
“พระราชวังเครมลินไงครับ” รูฟัสตอบยิ้มๆ “จะเข้าไปไหมล่ะครับ ประตูเข้าอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เดี๋ยวผมพาเดินไป”
ฟ่งจึงถ่ายรูปอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะเดินตามรูฟัสไปตามถนนเส้นใหญ่ และเลี้ยวซ้ายเดินผ่านสวนAleksandrovsky ซึ่งต้นไม้กำลังผลัดไปเป็นสีทองอร่ามตา แล้วรูฟัสก็ชี้มือให้เขาถูทิวกำแพงยาวที่ทอดเข้าสู่พระราชวังเครมลิน
“ประตูตรงนี้เรียกว่าหอคอยตรีเอกภาพน่ะครับ เป็นทางเข้าหลัก เดี๋ยวเราต้องไปซื้อตั๋วกันก่อน” เขาว่าและพาฟ่งเดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านซุ้มประตูด้านหน้ากำแพงยาว ตัดเข้าไปในสวนอีกรอบ จึงเจออาคารจำหน่ายบัตรเข้าชม
หลังจากซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว รูฟัสจึงพาฟ่งเดินผ่านซู้มประตูอิฐใหญ่ ผ่านทางเดินยาวเข้ามาสู่บริเวณที่เรียกกันว่าพระราชวังเครมลิน
ความกว้างของบริเวณด้านในและสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ทำให้ฟ่งอ้าปากค้าง แค่นึกว่าต้องเดินไปดูนั่นดูนี่ ขาก็ดูจะปวดรอท่าเสียแล้ว
รูฟัสชี้ให้ฟ่งดูยอดหลังหาทรงหัวหอมสีทองอร่ามที่อยู่ด้านหลังอาคารทรงยุโรป เยื้องออกไปด้านหน้าทางขวามือ
“อื้อหือ ดงหัวหอมสีทอง” หนุ่มสวมแว่นอุทาน และยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอีก รูฟัสจึงพาเขาเดินผ่านลานกว้าง ไปยังกลุ่มอาคารสีขาวที่มียอดหลังคาเป็นโดมสีทองอร่าม
“ตรงนั้นเรียกว่าวิหารเครมลินน่ะครับ” หนุ่มตาสองสีที่ทำหน้าที่ไกด์จำเป็นไปแล้วอธิบายต่อ ฟ่งเบิ่งนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นมองยอดหอมสีทองที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าด้วยความชื่นชม
“เพื่อนผมต้องไม่เชื่อแน่ๆ ของจริงมันสวยมากเลย” หนุ่มสวมแว่นกล่าวอย่างลิงโลด รูฟัสยิ้มกว้าง
“เอากล้องมาสิครับ เดี๋ยวผมถ่ายรูปคุณให้”
“ถ่ายด้วยกันสิ” ฟ่งว่า รูฟัสยิ้มเจื่อน “เอาแค่คุณดีกว่า เพื่อความปลอดภัย” เขาพยายามจะพูดให้ติดตลก หนุ่มสวมแว่นมองหน้าเขา ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ “ผมเข้าใจล่ะ”
รูฟัสเลยถ่ายรูปฟ่งคู่กับวิหารเครมลินไปภาพสองภาพ ก่อนส่งกล้องคืนให้ “ผมยังไม่ได้ถ่ายรูปกับโบสถ์ตะกี้เลย”
“เอาไว้ขากลับก็ได้ครับ” รูฟัสรีบบอก เขาคิดว่าควรจะใช้ช่วงเวลานั้นสวมแหวนให้ฟ่งด้วย
พระราชวังเครมลินนั้นใหญ่โตอลังการ ประกอบกลุ่มอาคารมากมาย ทั้งอาคารคลังแสง และโบสถ์ต่างๆ ที่เด่นสะดุดตานอกจากวิหารเครมลินที่เป็นโบสถ์ทรงโดมรูปหัวหอมสีทองแล้ว ก็คงจะเป็นหอระฆังของซาร์อีวานมหาราช ซึ่งตั้งสูงเด่นเป็นสง่าและมีโดมรูปหัวหอมสีทองเช่นเดียวกัน ด้านล่างของหอระฆังยังมีตั้งเอาไว้ให้ชมอีกด้วย
เนื่องจากอาณาเขตของพระราชวังนั้นกว้างขวางมาก แม้มีนักท่องเที่ยวมากก็ยังดูไม่แออัดหนาแน่น หลังจากอธิบายความเป็นมาของอาคารหลังต่างๆ อย่างคร่าวๆ แล้ว รูฟัสก็นัดแนะว่าถ้าเกิดหลงทางให้กลับมายืนรอที่หอระฆัง เพราะเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดที่สุด ก่อนจะปล่อยให้ฟ่งได้ถ่ายภาพตามสบาย โดยที่ตัวเองเดินตามห่างๆ เนื่องจากสังคมรัสเซียยังไม่ค่อยยอมรับพวกรักร่วมเพศ และที่นี่เป็นสถานที่เปิด ชายหนุ่มเกรงว่าถ้าแสดงท่าทางใกล้ชิดกันจนเกินไปจะกลายเป็นเป้าสายตาของคนบางกลุ่มได้
ฟ่งเดินชมอาคารที่ก่อสร้างด้วยหินอ่อนและอิฐเหล่านั้นอย่างตื่นตาตื่นใจ สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย เขามีโอกาสได้เรียนเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมแบบยุโรป แต่ยังไม่เคยเห็นของจริงเลยสักครั้ง และที่รัสเซียเองก็ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมยุโรปที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากประเทศในแถบยุโรปอื่น
“พี่ชายต้องการไกด์รึเปล่าฮ่ะ?” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษขณะที่ฟ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองอาคารที่สร้างจากเหล็กและกระจกซึ่งดูจะขัดกับลักษณะอาคารโดยรอบ พอก้มหน้าลงไปก็พบเด็กผู้ชายอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบ ผมสีบลอนด์น้ำตาลยืนยิ้มอยู่
“ผมเป็นไกด์ยุวชนของที่นี่ฮะ” เด็กน้อยพูดพลางยกบัตรที่เขียนด้วยภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษให้เขาดู ส่วนใหญ่เป็นทับศัพท์มาจากภาษารัสเซียซึ่งฟ่งอ่านไม่ค่อยออก พอจะตีความได้ว่าคงมาจากโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งแถวนี้
ฟ่งไม่ได้ตอบทันที เขามัวแต่มองหน้าหนูน้อยด้วยความแปลกใจ เด็กน้อยพูดต่อ “พี่มาคนเดียวหรือฮะ พูดภาษาอังกฤษได้มั้ย?”
“ดะ ได้” ฟ่งตอบออกมาในที่สุด เด็กน้อยยิ้มกว้าง และแนะนำตัวเอง
“ผมชื่อเกรเกอรีฮะ ตึกนี้เรียกว่าดราเสียส สเยซโดฟ หรือว่าวังคองเกรซ สร้างในปี1916 เป็นอาคารในยุคที่เรายังเป็นสหภาพโซเวียตอยู่นะฮ่ะ เลยดูแปลกไปจากอาคารหลังอื่น”
หนูน้อยในชุดสเวตเตอร์ผ้าร่มสีฟ้าอ่อนอธิบายปร๋อและยิ้มร่าอย่างภาคภูมิใจ ฟ่งอดไม่ได้ต้องพยักหน้าและยิ้มตอบ
“พี่อยากไปดูอาคารคลังแสงมั้ยฮะ ตรงนั้นมีปืนใหญ่ตั้งอยู่ด้วยนะฮะ” เด็กน้อยเกรเกอรีเอ่ยถามต่อ ฟ่งมองหน้าหนูน้อย และยิ้มบางๆ
“เดี๋ยวนะ พี่ต้องบอกเพื่อนก่อน”
“พี่มีเพื่อนมาด้วยหรือฮะ” เกรเกอรีถาม ฟ่งเลยชี้มือไปทางรูฟัสและพบว่าทางนั้นกำลัง
นั่งคุกเข่าคุยอยู่กับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งวัยไล่ๆ กับเกรเกอรี่ เหมือนว่ากำลังร้องไห้อยู่ด้วย
“อ้าว นั่นมันเอ็ดการ์ดนี่นา สงสัยจะเดินหกล้มอีกแล้ว” เกรเกอรี่ว่า ฟ่งหันมาถาม “นั่นเพื่อนเธอหรือ”
“ครับ” เด็กน้อยตอบ และพูดต่อ “เขามาเป็นเพื่อนผมน่ะ เห็นว่าจะไปซื้อไอศกรีมมาให้ ดันไปยืนร้องไห้ซะแล้ว นั่นเพื่อนพี่หรือฮะ”
“อ้อ ใช่” ฟ่งว่า และกำลังนึกว่าจะบอกรูฟัสอย่างไรดี ท่าทางเด็กคนนี้ตั้งใจจะนำเที่ยวอย่างจริงๆ จังๆ จะบอกปัดก็กลัวจะเสียความตั้งใจ จังหวะนั้นรูฟัสเงยหน้าขึ้นมาพอดี
“ฟ่ง ผมเปล่าตั้งใจแกล้งเด็กนะครับ พอดีผมมัวแต่ดูคุณเลยชนเจ้าหนูนี่เข้า”
ฟ่งยกมือเกาศีรษะ เมื่อไรรูฟัสจะเลิกเอาเขามาอ้างซักทีนะ
“อืม..รูฟัส เด็กคนนี้เขาบอกผมว่าจะพาทัวร์น่ะ คุณว่าไง?”
ดูรูฟัสจะลำบากใจเรื่องเจ้าหนูน้อยที่ยังร้องไห้ไม่หยุด จนคนเดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมามอง เขาไม่อยากให้ฟ่งเสียเวลาอยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เลยตะโกนกลับไป
“คุณไปกับเขาก็ได้ครับ เขามีบัตรไกด์ใช่ไหมล่ะ? เดี๋ยวผมจะตามไปแล้วกันนะ”
พูดภาษาไทยจบก็พูดอีกภาษาสำทับไป “เฮ้ย ไอ้หนู อย่าพาเขาไปที่แปลกๆ ล่ะ”
เกรเกอรีมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันมาพูดกับฟ่ง “เพื่อนพี่เป็นคนที่นี่นี่ฮะ”
“อ้อ..ใช่ แต่ไม่เป็นไรหรอก” ฟ่งว่า และพูดต่อ “เดี๋ยวเขาจะตามมา เธอจะไปดูเพื่อนก่อนรึเปล่าล่ะ”
เด็กน้อยสั่นศีรษะ “ไม่หรอกฮะ ปล่อยไว้เดียวก็คงหยุดร้องไปเองแหละ ขืนผมเดินเข้าไปอีกหมอนั่นจะยิ่งร้องไห้น่ะสิ”
ฟ่งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จึงได้แต่ยิ้ม เกรเกอรี่ดึงแขนเสื้อของเขาและชี้ไปที่อาคารทรงยุโรปแถวยาวที่อยู่ติดกับซุ้มประตูใหญ่อีกประตูหนึ่ง “นั่นไงฮะ อาคารคลังแสง ติดกับประตูที่พี่เดินเข้ามาไงล่ะ”
“ซุ้มประตูที่พี่เดินเข้ามาเรียกว่าตรอยต์สกายา บาชเนียฮะ สมัยก่อนเป็นทางที่ซาร์กับเชื้อพระวงศ์ใช้เสด็จเข้า ส่วนประตูที่อยู่ตรงโน้น”
เด็กน้อยชี้มือไปยังยอดสีเขียวติดดาวแดงที่ฟ่งเพิ่งเอ่ยปากถามรูฟัสไปก่อนหน้านี้
“ตรงนั้นเรียกสปัสสกายา โวโรตา ตอนที่นโปเลียนเอากองทัพฝรั่งเศสมาบุกเรา ดันไปเข้าประตูนั้นฮะ เห็นว่าตอนเข้าประตูหมวกที่ใส่อยู่ประจำดันหลุดหรืออะไรซักอย่าง แล้วหลังจากนั้นนโปเลียนก็แพ้สงคราม เลยเชื่อกันว่าถ้าใส่หมวกเข้ามาทางประตูนั้นแล้วจะโชคร้ายน่ะฮะ แต่ตอนนี้ประตูปิดไปซะแล้ว”
ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ เกรเกอรีอธิบายได้สมกับเป็นไกด์จริงๆ เด็กหนุ่มนำเขามาที่แท่นวางปืนใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาคารคลังแสงนัก เพื่อให้ถ่ายรูป
“อาคารคลังแสงนี่สร้างในสมัยซาร์ปีเตอร์มหาราชฮะ รู้สึกจะประมาณปี1736มั้งฮะ อ้อ พี่ฮะ ผมลืมพูดเรื่องดาวแดง ที่ติดอยู่ด้านบนยอดหอคอยตามกำแพงนั่นไม่ได้มีมาแต่แรกนะฮะ มันเป็นสัญลักษณ์ของพรรคคอมมิวนิสน่ะฮะ พิ่งมาติดหลังสมัยปฏิวัติการปกครอง”
ภาษาอังกฤษของเกรเกอรีดีมากจริงๆ ฟ่งฟังไปเพลิดเพลินกับเนื้อหา เด็กน้อยอธิบายหันมาอธิบายเสียงจ้อจนไม่ทันมองด้านหน้า ผลคือชนกับชายคนหนึ่งอย่างจัง ดีว่าฟ่งคว้าตัวไว้ทัน
“Простите пожалуйста!” เกรเกอรี่กล่าวอย่างตกใจ แต่คนชนเดินผ่านไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มเลยหันมาบอกขอบคุณคนช่วยจับไว้แทน
“ขอบคุณฮะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” ฟ่งว่า มองหน้าเด็กน้อย แล้วจึงพูดต่อ “เธอไปยืนตรงฐานปืนใหญ่นั่นหน่อยสิ พี่จะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก”
“ได้สิฮะ” หนูน้อยเกรเกอรียิ้มร่า และเดินไปที่ฐานปืนใหญ่อย่างว่าง่าย ฟ่งถ่ายรูปหนูน้อยสองสามรูป แล้วจึงชวนกันเดินต่อ
“ตรงนั้นเป็นอาคารอะไรน่ะ” ฟ่งชี้ไปยังด้านขวามือซึ่งมีกลุ่มอาคารที่มีหลังคาทรงโดมอยู่ด้านใน
“อ๋อ ตรงนั้นเป็นอาคารวุฒิสภาน่ะฮะ เรียกว่าอาคารเซนัต เลนินเคยอยู่ที่นี่ด้วยล่ะฮะ พี่ไปพิพิธภัณฑ์เลนินแล้วยังฮะ?”
ฟ่งสั่นศีรษะ หนูน้อยเลยพูดต่อ “เดี๋ยวผมพาไปก็ได้ฮะ พี่ไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วให้ผมหรอก เพราะผมมีบัตรผ่านได้ทุกประตู” เกรเกอรีว่า และยกมือขึ้นแตะบัตร แต่ปรากฏว่าบัตรไม่อยู่บนคอของเขาเสียแล้ว เด็กน้อยหน้าเสียทันใด เขาพึมพำอะไรซักอย่างในภาษาที่ฟ่งไม่เข้าใจ ก่อนจะหันมาพูดด้วย
“ผมคงทำบัตรหล่นหาย ต้องไปหาก่อนนะฮะ พี่รอตรงนี้ก่อน..”
“ไม่ๆ พี่ไปด้วยดีกว่า ช่วยหาไง” ฟ่งว่า เด็กน้อยมีสีหน้าเกรงอกเกรงใจ “ผมทำพี่เสียเวลารึเปล่าฮะ”
“ไม่หรอก รีบไปเดินหากันเถอะ” หนุ่มสวมแว่นตอบและยิ้มอย่างใจดี เกรเกอรีพลอยยิ้มออกมาบ้าง
ทั้งคู่จึงเดินย้อนกลับมาทางเดิม และช่วยกันมองหาบนพื้นลานกว้าง ขณะที่ฟ่งกำลังก้มมองพื้นเพื่อหาของ เท้าของใครคนหนึ่งก็มาหยุดตรงหน้าเขา ดูจากสภาพของเท้าเก่าเขรอะแบบนี้คงไม่ใช่ของรูฟัสแน่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมอง
ชายชาวยุโรปรูปร่างสูงใหญ่ไว้หนวดที่ใต้จมูกกำลังเขม่นมองเขาเขม็ง เหมือนกับว่าไปเหยียบเท้าเข้านั่นแหละ ฟ่งถึงกับผงะถอยหลังกับสายตาคุกคาม ยังไม่ทันจะพูดอะไร แผ่นหลังก็กระแทกเข้ากับอะไรสักอย่าง ฟ่งหันกลับไปด้วยความตกใจและพบว่ามีชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจปรากฏขึ้นบนมุมปากที่ซ่อนอยู่ใต้เคราสีทองอ่อน ขณะที่กำลังจะถอยหลัง มือสากหยาบข้างหนึ่งก็กดไหล่เขาเอาไว้ ขณะที่ชายตรงหน้าขยับเข้ามาพร้อมกับมีดพกปลายแหลมซึ่งขยับมาจ่อที่ท้อง
“อยู่เงียบๆ ไว้นะ” ภาษาอังกฤษสำเนียงเพี้ยนแปร่งถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากที่กระตุกนั้น ฟ่งตัวแข็งทื่อ รู้สึกถึงปลายแหลมของมีดที่ดันเสื้อโค้ทเข้ามา “อยู่เงียบๆ อย่างนี้แหละ”
ฟ่งกลืนน้ำลาย เขาอาจจะโดนจี้ เหงื่อเย็นยะเยียบซึมออกมาตามฝ่ามือ เขาเงยหน้าขึ้นมองชายที่จี้เขาอยู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนดูเจ้าเล่ห์และกลิ้งกลอกอย่างบอกไม่ถูก ไม่เหมือนกับเว่ยเฟิงปิง นัยน์ตาสีน้ำตาลนี้ดูจะบ้าคลั่งกว่านั้นมาก ราวกับว่าถ้ามีอะไรสะกิดสักเล็กน้อย มีดปลายแหลมที่จี้อยู่คงพร้อมจะทะลวงเข้ามาในท้องของเขาได้ทุกเมื่อ
ฟ่งนึกถึงเด็กที่มากับเขา ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอีกรอบก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้าไปมองข้างๆ และพบกว่าเกรเกอรีกำลังถูกชายอีกคนหนึ่งที่สวมเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำตาลดำจูงออกไป นัยน์ตาของเด็กน้อยมองมายังเขาอย่างอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น มองดูเด็กน้อยถูกจูงออกไปโดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปาก เขาได้แต่ยืนนิ่งๆ มองดูเกรเกอรีถูกจูงออกไป
ฟ่งมองไล่ตามชายคนนั้นไปจนสุดสายตา ชายคนนั้นไปทางประตูที่เขาเพิ่งเดินเข้ามา โดยสภาพไม่เร่งร้อน ฟ่งคิดว่าเกรเกอรีคงโดนผู้ชายคนนั้นใช้มีดหรืออะไรซักอย่างบังคับเหมือนที่เขากำลังโดนอยู่ ชายหนุ่มชักเริ่มกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่ออีก แต่พอชายคนนั้นเดินหายลับออกไปในฝูงชน ชายสองคนที่ขนาบเขาอยู่ก็ผละออก และเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฟ่งยืนงงอยู่เกือบหนึ่งนาที ก่อนจะได้สติ
เขาต้องรีบไปบอกรูฟัส
--------------------------------------------------