[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 247261 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #60 เมื่อ24-05-2011 18:40:38 »

   จางซื่อเยี่ยนลุกพรวดขึ้นทันที ดึงตัวของเว่ยเฟิงปิงกลับมาด้วยสัญชาตญาณ  ร่างบางขมวดคิ้ว มองหน้าอีกฝ่าย
   “ถ้าผมมีอารมณ์แล้วคุณจะยอมผมเหรอ?” ชายหนุ่มถาม  เว่ยเฟิงปิงถลึงตามองจางซื่อเยี่ยนอย่างโมโห ก่อนจะพูดกระชากเสียง “นายนี่โง่หรือตาบอดกันแน่!”
   จางซื่อเยี่ยนเบิ่งตากว้างด้วยความแปลกใจ  และรั้งร่างนั้นเข้ามากอด
   “ขอโทษครับ ผมแค่แปลกใจ”
   “ปล่อยฉันนะ!” เว่ยเฟิงปิงดิ้น พยายามแกะมือแกร่งที่โอบร่างเอาไว้ออก แต่ดูเหมือนลูกน้องของเขาจะไม่ยอมง่ายๆ แบบที่ผ่านมา จางซื่อเยี่ยนไม่เพียงไม่ยอมปล่อยตามคำสั่ง ยังขบติ่งหูของเว่ยเฟิงปิงเบาๆ และเริ่มไซ้ซอกคอของเจ้านายอีกครั้ง  ร่างบางส่งเสียงครางอย่างพอใจ แต่ก็ไม่วายขยับตัวหนีเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือลงต่ำ จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้ว  เขาตัดสินใจอุ้มเจ้านายกลับไปที่เตียง และกดแขนของอีกฝ่ายไว้เหนือศีรษะ ก่อนจะจัดการสำรวจเรือนร่างขาวผ่องนั้นอย่างละเอียดด้วยปลายจมูกและริมฝีปาก
   “นายชอบฉันขนาดไหน?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากถามหลังจากที่ปล่อยให้จางซื่อเยี่ยนจูบอีกครั้ง
   “ชอบจนโง่เลยล่ะครับ”
   คำตอบนั้นทำให้เว่ยเฟิงปิงหัวเราะ “ฉันคิดว่านายโง่อยู่แล้วเสียอีก”
   จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้ว  แลบลิ้นเลียซอกคอจนเว่ยเฟิงปิงร้องคราง แล้วจึงตอบคำถาม
   “ผมชอบคุณจนไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงกันแน่  คุณคงไม่เข้าใจ”
   “อืม.. ฉันไม่เข้าใจหรอก” เว่ยเฟิงปิงตอบ เอื้อมมือโอบอีกฝ่ายเข้ามาหา และจูบกลับเบาๆ จางซื่อเยี่ยนเลยล้มตัวลง กดร่างนั้นไว้กับเตียง พร้อมกับประโลมจูบเร่าร้อนเป็นการตอบแทน
   ร่างบางร้อนผ่าวราวกับโดนไฟเผา เสียงครางแสนรัญจวนดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อส่วนอ่อนไหวถูกสัมผัส  จางซื่อเยี่ยนเม้มริมฝีปากลงบนยอดอกสีชมพูที่ชูชันอย่างยั่วยวน และใช้ปลายลิ้นกระตุ้นให้มันยิ่งตื่นตัวมากขึ้น เว่ยเฟิงปิงบิดร่างด้วยความเสียวซ่าน เมื่ออุ้งมือของอีกฝ่ายเริ่มลูบไล้ส่วนบ่งบอกความเป็นชายของเขา ไอร้อนผ่าวที่ถ่ายทอดผ่านฝ่ามือและการขยับอย่างต่อเนื่องทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มพุ่งสูง ไม่นานนักของเหลวสีขาวขุ่นก็ไหลทะลักออกมา
   จางซื่อเยี่ยนมองดูร่างผอมบางของเจ้านายที่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนด้วยความลุ่มหลง เว่ยเฟิงปิงตอนนี้ยั่วยวนอย่างที่สุด ร่างที่ผ่อนคลายหลังจากเสร็จกิจไม่มีมารยาใดๆ ทั้งสิ้น  บุรุษผู้ซึ่งยามปกติเต็มไปด้วยพิษสงราวกับงูร้าย ตอนนี้กำลังส่งเสียงครางอย่างพอใจ ใบหน้าสีแดงระเรื่อ และร่างที่อ่อนปวกเปียก นัยน์ตาสีฟ้าหยาดเยิ้มที่ปรือตามองมานั้น แทบจะทำให้จางซื่อเยี่ยนเป็นบ้า
   “ขอเข้าไปนะครับ” เขากระซิบข้างหูเจ้านาย เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางอืมในลำคอ จางซื่อเยี่ยนจึงค่อยๆ สอดนิ้วมือที่เปื้อนของเหลวนั้นเข้าไปในส่วนอ่อนไหวด้านหลัง
   แรกๆ เว่ยเฟิงปิงเกร็งนิดหน่อย แต่สักพักก็ผ่อนคลายขึ้น ไม่นานนักก็เริ่มขยับสะโพกขึ้นลงอย่างท้าทาย  จางซื่อเยี่ยนจึงละมือจากส่วนนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้สิ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าเข้าไปแทนที่
   ร่างบางสะดุ้งด้วยความเจ็บ และครางเสียงหนักเมื่อการสอดใส่นั้นลึกขึ้น หยาดน้ำใสๆ ไหลรินออกมาจากหางตาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จางซื่อเยี่ยนรั้งตัวเจ้านายเข้ามากอด และจูบลงไปอย่างทะนุถนอม  เขากลัวว่าเว่ยเฟิงปิงจะเจ็บมาก จึงหยุดการสอดใส่เอาไว้ก่อน นั่นทำให้ร่างผอมบางขมวดคิ้ว และเริ่มขยับสะโพกเอง ดังนั้นจางซื่อเยี่ยนจึงไม่ต้องลังเลใดๆ อีก
   เว่ยเฟิงปิงครางเสียงกระเส่า  เมื่อการขยับตัวนั้นเริ่มถี่กระชั้นและรุนแรง
   จางซื่อเยี่ยนกอดเจ้านายเขาไว้แน่น
   หากว่านี่เป็นความฝัน
   ก็ขอให้มันเป็นความฝันตลอดไป...................
----------------------------------------
   ฟ่งนอนไม่หลับ เขาลืมตาขึ้นมาอีกรอบ หลังจากที่พยายามข่มมันลงไปเป็นหนที่สาม  ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เขาโดนจับตัวมาจากกรุงเทพฯ  เข้าฮ่องกงอย่างผิดกฎหมาย  ใช้ชีวิตอยู่กับมาเฟีย และตอนนี้ เขาอยู่บนเครื่องบินที่กำลังบ่ายหน้าไปฮังการี กับสายลับคนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขา
   “เอาผ้าปิดตาไหมครับ?” ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ยขึ้น เขาคงเห็นว่าฟ่งดูลำบากกับการนอนมาก ร่างบางสั่นศีรษะ ความจริงที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสก็นั่งสบายดีอยู่ แต่เขาจะหลับลงได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันช่างน่าเหลือเชื่อ และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะไปในทิศทางไหน  ฟ่งเพิ่งสังเกตว่ารูฟัสไม่มีทีท่าว่าจะนอนเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีเรื่องให้ครุ่นคิดเช่นกัน
   ความจริงตอนนี้รูฟัสกำลังปวดหัวกับระบบความคิดของตัวเอง  เขาน่าจะกังวลใจกับเรื่องงาน และเรื่องการหาข้อแก้ตัวกับราฟาแอลมากกว่า ดูเหมือนว่าราฟาแอลจะรู้เรื่องมาบ้างแล้ว และกำลังหัวเสียอย่างหนัก  ซึ่งก็ไม่เกินคาดหมายนัก หลังจากที่เขาโทรหาอดีตคู่หูเพื่อบอกเลิกภารกิจ
   รูฟัสยอมรับว่ามันบ้า งานที่เขากำลังทำอยู่ไม่ใช่ว่านึกจะเลิกก็เลิกได้ แต่ที่เขากังวลใจกว่านั้นคือเรื่องของชายหนุ่มที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ
   เขาควรจะทำอย่างไรกับฟ่งดี…..
   จริงๆ แล้วรูฟัสไม่เคยมีความคิดจะกำจัดฟ่งหรือทำให้คนคนนี้ออกไปจากชีวิตเขาเลย ตรงกันข้าม ตอนนี้รูฟัสกำลังมีปัญหาว่าทำยังไงให้ฟ่งยอมอยู่ร่วมกับเขา ความคิดจะส่งฟ่งกลับไทยนั้นรูฟัสแทบอยากจะลบทิ้งออกไปจากสมอง
   ชายหนุ่มเชื่อว่าถ้าเขาส่งฟ่งกลับไปทั้งๆ แบบนี้  เขาจะไม่มีวันจะได้กลับไปใกล้ชิดอย่างที่เคยผ่านมาโดยเด็ดขาด
   เพราะฟ่งดูไม่ไว้ใจเขาสักนิด และยังแสดงทีท่าว่าพร้อมจะไปจากเขาได้ทุกเมื่อ หากมีทางเลือกที่ดีกว่า  ที่ยังยอมตามเขามาก็เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
   รูฟัสไม่อยากหลงตัวเอง ว่าฟ่งจะพึ่งเขาไปตลอด ต้องมีวันใดวันหนึ่งที่ฟ่งเอ่ยปากว่าต้องการจากเขาไป ดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีการทุกอย่างในการหยุดไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น
   แต่ว่า จะทำอย่างไรล่ะ?
   รูฟัสเหลือบตามองร่างที่ดูเหมือนว่ากำลังพยายามข่มตาให้หลับ และเริ่มคิดว่าจะสร้างห้องใต้ดินแล้วขังเอาไว้ดีไหม หรือว่าล่ามเอาไว้กับเสาเตียงดี
   ชายหนุ่มอยากตัดหัวตัวเองไปลงแกว่งในทะเลสาบ ขืนทำบ้าๆ แบบนั้นก็ไม่มีหวังได้ถูกเกลียดไปตลอดชีวิตแน่  การไปฮังการีอาจจะช่วยเขาได้  ให้ฟ่งได้พบกับวิธีการดำเนินชีวิตของเขา รู้จักเขาให้มากขึ้น บางทีฟ่งอาจจะทำใจยอมรับได้
   แต่นั่นก็แค่ความหวังลมๆ แล้งๆ  ใครมันจะไปทำใจยอมรับคนแบบเขาได้กัน ใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แถมยังพาคนอื่นมาเสี่ยงแบบนี้
   รูฟัสไม่อยากจะนึกว่าตอนนี้ฟ่งรู้สึกขยาดเขาแค่ไหน
   ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ป่วยการที่จะคิดถึงอนาคตที่ยังมองไม่เห็นทางออก ตอนนี้เขาควรต้องใช้ช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับฟ่งให้คุ้มค่า  รูฟัสเอนเก้าอี้ลง และพบว่านัยน์ตาสีน้ำตาลจับจ้องเขาอยู่
   ฟ่งไม่เคยเห็นรูฟัสถอนหายใจแรงขนาดนี้มาก่อน ท่าทางคงคิดหนัก ในเมื่อจู่ๆ ก็มีตัวถ่วงเพิ่มขึ้นมา ฟ่งเข้าใจว่ารูฟัสกำลังลำบากใจที่ต้องพาเขาพ่วงไปด้วย เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงพยายามจะยิ้มแห้งๆ
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะไม่อยู่รบกวนคุณนาน”
   นัยน์ตาของรูฟัสสั่นระริกเมื่อได้ยินคำพูด เขายิ้มตอบไม่ออก ไม่สามารถแม้แต่จะกล่าวอะไรตอบออกไปได้
   ฟ่งไม่รู้ตัวเลยหรือว่าตัวเองสำคัญขนาดไหน….
   ไม่รู้ตัวเลยหรือว่าเขาหลงรักมากเพียงใด…..
   ไม่รู้เลยหรือว่าเขาไม่อยากจากไปแม้สักวินาที......
   ในที่สุด รูฟัสก็ฝืนยิ้มออกไป
   ถึงตอนนี้ฟ่งจะไม่รู้ ถึงตอนนี้ฟ่งจะไม่เข้าใจ แต่สักวันหนึ่งเขาจะทำให้ฟ่งเข้าใจความรู้สึกของเขาให้ได้
------------------------------------
   เสียงเคาะประตูปลุกจางซื่อเยี่ยนให้ตื่นจากความฝัน เขาหรี่ตา รู้สึกว่าผ้าม่านในห้องจู่ๆ ก็หนาขึ้นมา ทำให้แสงแดดยามเช้าไม่ส่องลอดเข้ามาเท่าใดนัก มิน่าเล่าเขาถึงได้หลับฝันหวาน
   ชายหนุ่มขยับตัว เพื่อจะลุกไปเปิดประตู เสียงครางอย่างงัวเงียดังขึ้น  จางซื่อเยี่ยนตัวแข็งทื่อ  กะพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง และพบว่าเว่ยเฟิงปิงหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขา  อย่างนั้นผ้าม่านที่หนาไป และเรื่องเมื่อคืน......ไม่ใช่ความฝันหรอกรึ?
   อดีตหน่วยดำระลึกได้ว่าตอนนี้เขานอนอยู่ในห้องของเจ้านาย ไม่ใช่ห้องของเขา ดังนั้นเรื่องที่ผ้าม่านจะหนากว่าปกติย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก  เว่ยเฟิงปิงปรือตาขึ้นมองเขาอย่างง่วงงุ่น และส่งเสียง
   “ไปเปิดทีสิ” ร่างบางออกคำสั่ง นั่นทำให้อีกฝ่ายมองมาอย่างแตกตื่น ผู้เป็นเจ้านายขมวดคิ้ว จ้องหน้าลูกน้อง ก่อนจะพูดต่อ “หรือนายอยากจะให้ฉันไปเปิดเอง?”
   จางซื่อเยี่ยนมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะลงไปจากเตียงและหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่อย่างลวกๆ  แล้วเดินไปเปิดประตู

   เช้าวันนี้อาเง็กตื่นสาย อาจเป็นเพราะเขาทำงานดึกมาหลายวัน และการที่จางซื่อเยี่ยนกลับมาประกอบกับความสำเร็จในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทำให้เขานอนหลับเป็นตาย และมารู้ตัวอีกทีก็ปาไปสิบโมงเช้าแล้ว และพบว่าเจ้านายยังไม่ตื่น แถมยังไม่มีวี่แววของลูกพี่  เด็กหนุ่มจึงขึ้นมาด้านบน แม้จะรู้สึกเป็นห่วงว่าตกลงเมื่อคืนจางซื่อเยี่ยนไปนอนที่ไหนกันแน่ แต่กระนั้นอาเง็กก็ตัดสินใจไปปลุกผู้เป็นเจ้านายก่อน
   แต่เด็กหนุ่มก็ต้องงงงันอีกครั้ง เมื่อผู้ที่มาเปิดประตูเป็นลูกพี่ของเขา  มันทำให้เขาต้องถอยหลัง หันไปมองรอบๆ และมองประตูใหม่  อาเง็กคิดว่าตัวเองเคาะผิดห้อง แต่ว่านี่เป็นห้องนอนของเจ้านายเขานี่...
   จางซื่อเยี่ยนทำหน้าไม่ถูก และไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เมื่อเห็นท่าทางของลูกน้อง อีกฝ่ายคงเข้าใจว่าเคาะประตูผิด  ซึ่งเขาเองก็อยากจะให้เป็นแบบนั้น
   “อะ..อรุณสวัสดิ์พี่จาง” ในที่สุดเมื่อเห็นว่าเคาะห้องไม่ผิด แต่บุคคลที่ออกมาเปิดดูจะผิดความคาดหมายไปหน่อย อาเง็กก็ไม่มีคำพูดอะไรมากไปกว่าคำทักทายปกติในสภาพที่ไม่ค่อยจะปกติ
   “อะ..อืม” จางซื่อเยี่ยนตอบกลับไปแบบตะกุกตะกัก บทสนทนาธรรมดาในสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาช่างเป็นเรื่องที่แย่ อาเง็กมองหน้าเขาและถามอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก “คุณชายล่ะครับ?”
   ผู้ถูกถามมีท่าทีอ้ำอึ้ง มันเป็นคำถามที่แสนจะธรรมดาแต่คำตอบนั้นยากจริงๆ แต่แล้วผู้เป็นเจ้านายก็ตอบคำถามแทนเขา
   “อาเง็กรึ?” เว่ยเฟิงปิงเดินมาจากทางด้านหลังของจางซื่อเยี่ยน  ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมอาบน้ำหลวมๆ สภาพเหมือนเพิ่งตื่น  อาเง็กมองเจ้านายแล้วมองลูกพี่ของเขาสลับกันไปมา แล้วทำหน้าเลิกลั่ก  จางซื่อเยี่ยนเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก นั่นคือกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดูเหมือนว่าคนเดียวที่ยังคงใจเย็นอยู่ได้คือต้นเรื่องทั้งหมด
   “เธอมาก็ดีแล้ว ไปบอกอาฉินให้ย้ายของของซื่อเยี่ยนมาไว้ที่ห้องฉัน”
   “หา?” ลูกน้องทั้งสองคนเกือบจะร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน จางซื่อเยี่ยนหันศีรษะกลับไปมองเจ้านาย เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้ว มองลูกน้องทั้งคู่เหมือนมันเป็นแค่คำสั่งธรรมดา
   “พวกริเวิลกำลังเคลื่อนไหว แล้วพี่จินหยินก็ดอดเข้ามายุ่ง ฉันอยากให้หมอนี่อยู่คุ้มกันฉันยี่สิบสี่ชั่วโมง มีปัญหาอะไรหรือไง?” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยกล่าว ก่อนจะยกแขนขึ้นพาดไหล่ของจางซื่อเยี่ยน อาเง็กทำหน้าไม่ถูก แต่ลองเจ้านายเขาสั่งมาแบบนี้ ก็มีแต่จะต้องทำตาม
   เด็กหนุ่มก้มหน้ารับคำสั่งก่อนจะหลบออกไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากจะจินตนาการเลยเถิดว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้านายกับลูกพี่เขากันแน่ ทางที่ดีทำตามคำสั่งอย่างเดียวจะดีกว่า
   จางซื่อเยี่ยนปิดประตู ก่อนจะหันมามองหน้าเจ้านายด้วยสายตาราวกับเพิ่งถูกทุบหัวมาหมาดๆ  เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วอย่างหาเรื่อง “ทำไม? มีปัญหาอะไร ก็เห็นนายไม่อยากจะไปจากฉันนักนี่”
   “ไม่ใช่อย่างนั้น คือ..มันจะดีหรือครับ”
   ร่างบางจิ๊ปากอย่างอารมณ์เสีย “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกอาเง็กมาใหม่ ฉันจะได้ให้ย้ายข้าวของของนายกลับไปหน่วยดำ”
   “คุณชาย….” จางซื่อเยี่ยนคราง พฤติการณ์ของเว่ยเฟิงปิงตอนนี้มีแต่เรื่องน่าสงสัย แม้เขาจะรู้สึกยินดีที่ไม่ต้องย้าย ได้มีอะไรกับคนคนนี้ไปแล้ว แล้วยังจะได้ย้ายมาอยู่ด้วยอีก แต่ทั้งหมดดูเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ  เว่ยเฟิงปิงไม่เคยมีทีท่าเช่นนี้มาก่อน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
   ชายหนุ่มตัดสินใจสงบปากสงบคำเอาไว้ก่อน ขืนถามอะไรออกไปตอนนี้มีแต่จะทำให้ผู้เป็นเจ้านายอารมณ์เสียเปล่าๆ  แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจ
   เว่ยเฟิงปิงเดินไปนั่งที่เตียง เขามองแผ่นหลังกว้างของลูกน้องและเหลือบไปเห็นผ้าพันแผลที่พาดอยู่บนต้นคอ ผู้เป็นเจ้านายผุดลุกขึ้นอีกครั้ง
   “แผลของนาย หายดีแล้วรึ?”
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้ง เมื่อมือเรียวยื่นมาสัมผัสหลัง ชายหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อทันที เว่ยเฟิงปิงไล้มือผ่านบาดแผลนั้นเบาๆ นัยน์ตาสีฟ้าใสปรากฏแววแห่งความเจ็บปวด ซึ่งอีกฝ่ายไม่มีวันได้เห็น  ร่างบางถอนหายใจ
   “ไปที่ห้องน้ำสิ ฉันจะช่วยอาบน้ำให้”
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองหูฝาด เขาหันหลังกลับไปมองหน้าเจ้านายอย่างไม่เชื่อ แล้วก็ต้องก้มหน้าลงเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย
   มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ!!
   ชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษคิดอยู่ในใจ  ตอนนี้เขาอยู่ในห้องน้ำภายในห้องส่วนตัวของเจ้านาย นั่งอยู่บนขอบอ่าง ร่างเปลือยเปล่า จางซื่อเยี่ยนไม่กล้าหันหน้าไปมองด้านหลัง เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะถอดเสื้อผ้าด้วยรึเปล่า  เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามา เอื้อมมือขึ้นไปปลดฝักบัวสีเงินออกจากที่แขวน  จางซื่อเยี่ยนเห็นวงแขนขาวๆ ของเจ้านาย เขาอดรู้สึกวาบหวิวไม่ได้ ดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงจะไม่ได้สวมท่อนบน
   นัยน์ตาสีฟ้าใสเหม่อมองแผ่นหลังกว้างใหญ่เบื้องหน้าด้วยสายตาปวดร้าว  เขาไม่ได้แกะพลาสเตอร์ที่ใช้ปิดแผลออก  ความจริงคนที่สมควรบาดเจ็บน่าจะเป็นเขามากกว่า  ถ้าไม่ได้คนคนนี้มาขวางไว้แล้วล่ะก็...
   “ซื่อเยี่ยน ขอบใจนะ”
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองหูฝาด คนอย่างเว่ยเฟิงปิงพูดคำคำนี้กับเขาหรือ ชายหนุ่มนั่งนิ่ง รู้สึกถึงปลายนิ้วเรียวที่ไล้ลงไปบนบาดแผลของเขา ถ้าไม่คิดไปเอง สัมผัสนี้ของเว่ยเฟิงปิงเรียกว่าอ่อนโยนมากทีเดียว ชายหนุ่มถึงกับเคลิ้ม
   เว่ยเฟิงปิงเงียบไปนาน ยังคงไล้มือไปตามแผ่นหลังกว้าง ด้วยความรู้สึกหลายอย่าง
   “นายอยากอยู่ข้างๆ ฉันไหม?”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบ เขาอยากอยู่ข้างๆ เว่ยเฟิงปิง และที่ทำอยู่นี้ก็คงเรียกได้ว่าอยู่ข้างๆ แล้ว คนถามเงียบไปอีกสักพัก
   “ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่านายอยู่ข้างฉันมานานขนาดนี้ ทำไมนายไม่เคยเล่าให้ฉันฟัง เพราะคำสั่งคุณพ่อหรือ นายทำงานให้เขา หรือทำเพื่อฉันกันแน่?”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งเงียบไปบ้าง เว่ยชิงผู้มีบุญคุณของเขา เป็นคนให้ชีวิตใหม่กับเขา การที่เขาทำทั้งหมดส่วนหนึ่งเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณของเว่ยชิง แต่ว่าอีกส่วนหนึ่ง การที่เขาทำเกินคำสั่ง และทุ่มเททุกอย่างมาจนถึงตอนนี้ นั่นเพราะเขาหลงรักบุตรของผู้มีพระคุณที่ยืนอยู่ด้านหลังคนนี้
   “กรุณาเถอะครับ แม้ว่าผมจะมาเพราะคำสั่งของคุณท่าน แต่สิ่งที่ผมทำทั้งหมด ผมทำเพื่อคุณ”
   
   แล้วจางซื่อเยี่ยนก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อเว่ยเฟิงปิงกอดเขาจากด้านหลัง
   “ฉันเป็นคนสำคัญมากใช่ไหม?”
   “ครับ”
   “ฉันอยากได้ยินความรู้สึกของนาย” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยเสียงเบา เขาไม่แน่ใจว่าจางซื่อเยี่ยนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาถามหรือเปล่า
   “ผมหลงรักคุณ”   จางซื่อเยี่ยนหลุดออกมาในที่สุด เขากุมมือของเว่ยเฟิงปิงที่โอบอยู่และดึงมันขึ้นมาจูบ “ผมฝันจะทำอย่างนี้กับคุณมานับครั้งไม่ถ้วน มีเพียงคุณเท่านั้นที่อยู่ในความฝัน”
   “นายฝันถึงฉัน?” เว่ยเฟิงปิงถามอย่างแปลกใจ จางซื่อเยี่ยนยิ้ม เขามองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แต่จากน้ำเสียง เว่ยเฟิงปิงคงไม่เชื่อ
   “ผมฝันถึงคุณ เพราะคุณคงเป็นได้แค่ความฝันของผม คุณเป็นเจ้านายผม และที่สำคัญคุณไม่ชอบผม”
   “คนโง่..” ร่างบางเอ่ยเบาๆ ก่อนจะทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งอีกครั้งด้วยจูบเบาๆ บนต้นคอ
   “ฉันจะชอบนาย ตราบเท่าที่ยังรู้ว่านายชอบฉัน”
   “คุณชาย..!” จางซื่อเยี่ยนเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อ และหันหน้ากลับมาอย่างลืมตัว เว่ยเฟิงปิงยิ้ม รอยยิ้มที่สะอาดและจริงใจ
   “ถ้านายชอบฉัน จงอย่ามองคนอื่น อย่าให้คนอื่นสำคัญไปมากกว่าฉัน แล้วฉันจะอยู่กับนาย”
   “คุณชาย...” จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเหมือนตัวเองต้องมนต์สะกด เขาคงกำลังอยู่ในวงรัดของงูพิษตัวใหญ่ แต่ช่างปะไรล่ะ ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาแต่แรกอยู่แล้ว ร่างแกร่งเอี้อมมือขึ้นไปโอบคออีกฝ่ายลงมา จุตพิตลงบนริมฝีปากบางเบาๆ
   หากว่าเว่ยเฟิงปิงเป็นงูพิษ เขาคงเป็นเหยื่อที่เสนอตัวเข้ามาเป็นอาหารของงูอย่างเต็มใจ
   เว่ยเฟิงปิงหลับตา ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับรสจูบนั้น
-------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #61 เมื่อ24-05-2011 18:41:39 »

บทที่25  ความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
   กว่าสิบชั่วโมงแห่งความอึดอัดและยาวนาน ในที่สุดรูฟัสและฟ่งก็เดินทางมาถึงสนามบินบูดาเปส ประเทศฮังการี หลังจากรอต่อเครื่องที่ออสเตรียนานกว่าสามชั่วโมง
   ฟ่งยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำในสนามบิน มองดูตัวเองในเสื้อผ้าชุดใหม่ที่รูฟัสซื้อให้ตอนรอเครื่องที่สนามบินออสเตรีย พลางนึกว่าผู้ชายคนนี้ใช้เงินราวกระดาษ เขาไม่ค่อยชอบใจนัก เมื่อนึกถึงวิธีการหาเงินของรูฟัส
   “ไม่ชอบหรือครับ?” รูฟัสเอ่ยทักขึ้น เขาเห็นว่าฟ่งยืนเหม่ออยู่หน้ากระจกนานกว่าที่ควรจะเป็น  ร่างบางสะดุ้ง ยิ้มแห้งๆ และส่ายหน้า
   “เปล่า” ฟ่งตอบ เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับรูฟัสเท่าไรนัก ดังนั้นจึงเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น
   “แล้วเรา.. จะไปไหนกันต่อ?”
   “ก็คงต้องไปหาราฟี่”
   ราฟี่หรือราฟาแอล เป็นเพื่อนของรูฟัส เขาอธิบายให้ฟ่งฟังระหว่างรอต่อเครื่องว่า ราฟาแอลเคยเป็นลูกศิษย์ของอเล็กเซ  ชายผู้ซึ่งเก็บเขามาจากข้างถนน และนำเข้าสู่วงการสายลับ หลังจากอเล็กเซตาย รูฟัสจึงย้ายมาอยู่กับราฟาแอลที่ฮังการี ในฐานะเพื่อนร่วมงาน
   รูฟัสกดเปิดโทรศัพท์มือถือ และโทรออก
   “คุณอยู่ไหน?” เขากรอกเสียงลงไปเป็นภาษาฮังการี และได้ยินเสียงตอบกลับที่ไม่ได้อารมณ์ดีนัก
   “รออยู่หน้าทางออกนานแล้ว รีบโผล่หัวออกมาซะที!”
   รูฟัสรีบวางหูโทรศัพท์ เขาไม่อยากฟังอย่างอื่นต่อ  ร่างแกร่งหันมองมาทางผู้ร่วมทาง  ที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
   “ไปกันเถอะครับ” เขากล่าว และฉุดมือฟ่งออกไปจากห้องน้ำ
---------------------------------
   ราฟาแอลเป็นชายหนุ่มวัยราวสามสิบเศษ มีผมสีบลอนด์ทองหยักศกยาวประบ่า ไว้เคราบางๆ ส่วนสูงใกล้เคียงกับรูฟัส  ชายผู้มีดวงตาสีเขียวมรกตในชุดเสื้อโค้ทยาวสีเขียวไข่กา  เดินปราดเข้ามาทันทีที่เห็นเพื่อน
   “ฉันล่ะดีใจจริงๆ ที่ได้เจอหน้าแก!” เขากล่าวเป็นภาษาฮังการี แต่สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าดีใจสักนิด รูฟัสหน้าเจื่อน
   “ผมขอโทษ” เขายอมรับความผิดแต่โดยดี  ราฟาแอลเหลือบตามามองร่างผอมบางด้านหลังแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปพูดกับรูฟัสต่อ
   “ไม่มีสัมภาระ? เออ งั้นไปที่รถเลย” เขากล่าว และเดินนำหน้าทั้งคู่ไป  ฟ่งไม่ชอบสายตาที่ราฟาแอลมองเขาเลย ผู้ชายคนนั้นมองเขาเหมือนมองตัวอะไรซักอย่างที่กำลังเกะกะและขวางทาง มากกว่าจะมองเห็นเป็นคนด้วยกัน  ฟ่งไม่ประทับใจกับการพบกันครั้งแรกของเขากับราฟาแอล
   ราฟาแอลขับรถเปอร์โยสีบรอนด์เงินพาทั้งคู่ออกจากสนามบิน มุ่งหน้าไปยังเมืองที่มีชื่อว่าบาลาตอนฟูเรส
   บาลาตอนฟูเรส เป็นเมืองเล็กๆ ค่อนไปทางตะวันออกของบูดาเปส เมืองหลวงของประเทศฮังการี อยู่ติดกับทะเลสาบบาลาตอน ราฟาแอลใช้เวลาขับรถประมาณสองชั่วโมง ก็ไปถึงสถานที่ที่เรียกว่า “บ้านของคลาวเดีย”
   รูฟัสอธิบายระหว่างที่อยู่บนรถว่า บ้านหลังนี้จริงๆ แล้วเป็นเงินของราฟาแอล ที่ให้คลาวเดียซึ่งเป็นแฟนสาวของตัวเองไปลงทุนเปิดร้านเบเกอรี่ และใช้กำไรที่ได้สร้างบ้านหลังนี้  โดยสรุปคือเป็นบ้านที่ราฟาแอลใช้เงินฟอกซื้อมานั่นเอง
   ราฟาแอลจอดรถตรงสนามหน้าบ้าน บ้านหลังนี้สูงสองชั้น มีสนามหญ้าและสวนดอกไม้เล็กๆ อยู่โดยรอบ บริเวณไม่ถือว่ากว้างขวางแต่ก็ไม่ถึงกับแคบ เรียกว่าพออยู่สบายสำหรับสองสามคน
 ขณะที่ฟ่งและรูฟัสกำลังลงจากรถ ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาจากบ้าน
   เรือนผมหยักศกสีมะฮอกกานีที่รวบไว้หลวมๆ ด้านหลัง พลิ้วไหวตามจังหวะการเดิน เธอสวมเสื้อแจคเก็ตสีฟ้าอ่อน รูปร่างสูงโปร่งแบบผู้หญิงตะวันตก ใบหน้าไม่ถือว่าสวยจนต้องเหลียวมอง แต่ก็ไม่ได้ดูแย่ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้แต่งหน้าเลยก็ตาม นับว่าเป็นผู้หญิงอายุสามสิบเศษที่ดูดีมากคนหนึ่ง เธอเอ่ยทักอย่างดีใจเมื่อเห็นใบหน้าของรูฟัส
   “ไง รูฟัส  ฉันคิดว่าเธอจะหายตัวไปเสียอีก”
   รูฟัสยิ้มแหยๆ “ไม่เอาน่าคลาวเดีย คุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น”
   แต่ราฟาแอลมีสีหน้าบึ้งตึงและเดินเข้าบ้านไปโดยไม่พูดอะไรต่อ  รูฟัสจึงต้องรีบพาฟ่งเดินตามเข้าไป
   ฟ่งรู้สึกดีขึ้นเมื่อเข้าไปในตัวบ้าน อุณหภูมิที่นี่ต่ำกว่าที่ฮ่องกงหรือที่ไทย รูฟัสบอกว่าตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ราฟาแอลเดินมาพูดอะไรบางอย่างกับรูฟัส หนุ่มตาสองสีหันมายิ้มแห้งๆ ให้เขา
   “ผมมีธุระนิดหน่อย ให้คลาวเดียพาคุณขึ้นไปพักที่ห้องผมก่อนแล้วกัน”
   รูฟัสกล่าว ขณะที่ราฟาแอลตะโกนเรียกแฟนสาว เธอทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะเดินเข้ามาและยิ้มให้ฟ่ง รูฟัสดูมีสีหน้าไม่เต็มใจอยู่บ้าง ขณะที่คลาวเดียพาฟ่งขึ้นไปชั้นสอง เขาหันไปมองหน้าเพื่อน ราฟาแอลยักไหล่ และทิ้งตัวลงบนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น
   “อธิบายมาสิ ว่านี่มันเรื่องอะไร?” เขาเอ่ยและพยายามสะกดความเดือดดาลเอาไว้อย่างยากลำบาก รูฟัสนั่งปุลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม พยายามอย่างยิ่งที่จะอยู่นอกเหนือรัศมีการโจมตีของราฟาแอล
   “คุณรู้อะไรมาบ้าง โจวยี่เล่าอะไรให้คุณฟัง”
   ราฟาแอลขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่พักหนึ่ง “ไม่ใช่โจวยี่ แต่เป็นคุณเมี่ยง”
   คำว่าเมี่ยงที่ราฟาแอลออกเสียงดูจะประหลาดไปบ้าง แต่มันก็ทำให้รูฟัสถึงกับนิ่วหน้า ราฟาแอลจึงรีบพูดต่อ
   “ฉันไม่ได้บังคับเธอให้บอก แต่เธอก็ไม่ได้บอกอย่างเต็มใจเท่าไรหรอกนะ” เขาพูดเหมือนจะพยายามแก้ตัว รูฟัสคิดว่าราฟาแอลต้องใช้วิธีกดดันกับเมี่ยงแน่ๆ แต่เอาเถอะ ถ้าเขาอยู่ในสภาพแบบนั้น ก็คงต้องทำแบบราฟาแอลเหมือนกัน
   “ทีนี้ ฉันอยากฟังจากปากแกว่า ตกลงแกหนีตามเด็กนี่ไปเพราะแกหลงรักเขาจริงๆ เรอะ?”
   รูฟัสยักไหล่ รู้สึกว่าน้ำเสียงของราฟาแอลช่างชวนหาเรื่องเสียจริงๆ
   “ก็ไหนคุณเคยพูดว่าฟ่งน่ารักดี”
   คนฟังนิ่วหน้า “นั่นฉันพูดเล่น และฉันก็คิดว่าแกไม่ได้คิดจริงๆ จังๆ ไหนลองให้เหตุผลที่ฟังขึ้นกว่านี้หน่อยซิว่า ทำไมแกถึงทิ้งงานไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย”
   “ผมไปรับฟ่งที่ฮ่องกง เฟิงปิงลักพาตัวเขาไป”
   “เอาล่ะ” ราฟาแอลพูดอย่างเหลืออด “ฉันรู้แล้วว่าแกเข้าระบบเอาข้อมูลของริเวิลไปเพื่อตกลงกับเฟิงปิง แต่ที่ฉันอยากรู้คือ เด็กนี่สำคัญกับงานของเรายังไง?”
   ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเลิกคิ้ว ด้วยสีหน้าราวกับว่าคำถามนั่นประหลาดสิ้นดี “ไม่มี  ผมแค่ชอบเขา”
   ราฟาแอลหลับตา ชั่วเสี้ยววินาที เขาเอื้อมมือลงไปที่ชั้นวางของใต้โต๊ะที่คั่นกลางระหว่างคนทั้งคู่อยู่ เสียงกริ๊กดังขึ้น พร้อมกับปากกระบอกมฤตยูสีดำสนิทที่หันเข้ามา
   “ตอบคำถามฉันมาดีๆ ไม่งั้นหัวแกมีรูแน่” เขากล่าว รูฟัสถอนหายใจ
   “ไม่เอาน่า ราฟี่ คุณก็รู้ว่าวิธีข่มขู่แบบนี้มันใช้กับผมไม่ได้ผลหรอก” ชายหนุ่มเอ่ย และนั่งเอกขเนกอยู่บนโซฟาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นัยน์ตาสีเขียวหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนที่จะเหนี่ยวไก
---------------------------------------
   ปัง!!
   เสียงดังนั้นทำให้ฟ่งสะดุ้ง คลาวเดียถอนหายใจ และพูดอะไรที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง มันคงเป็นภาษาฮังการี่
   “หวังว่าคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการซ่อมสีบ้านใหม่หรอกนะ” เธอรำพึง ก่อนจะหันมาพูดภาษาอังกฤษกับฟ่ง “ฉันพูดอังกฤษได้นิดหน่อย เธอเป็นเด็กที่รูฟัสไปรับที่ฮ่องกงสินะ”
   ฟ่งพยักหน้า
   “ฉันชื่อคลาวเดีย  เธอล่ะ”
   “ฟ่ง” เขาตอบ คลาวเดียยิ้มให้เขาอย่างใจดี  ตอนนี้เขาอยู่ในห้องที่เธอบอกว่าเป็นห้องของรูฟัส มันเป็นห้องส่วนตัวที่มีบริเวณอยู่พอสมควร มีโต๊ะเขียนหนังสือ ชั้นวางซีดีเพลง และเครื่องเสียงขนาดกลางวางอยู่  ที่สะดุดตาคงเป็นชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่ดูจะทำให้ห้องเล็กลงไปถนัด  และกล่องที่ดูเหมือนกับกล่องไวโอลิน ฟ่งสงสัยว่ารูฟัสเล่นดนตรีเป็นด้วยหรือ
   “ฉันไม่รู้ว่ารูฟัสเล่าอะไรเกี่ยวกับพวกเราให้เธอฟังบ้าง” เธอเอ่ย ฟ่งส่ายหน้า จริงๆ แล้วเขาเพิ่งรู้ตอนอยู่บนเครื่องบินว่ารูฟัสมีเพื่อนที่ชื่อราฟาแอล และเพิ่งมารู้ตอนอยู่ในรถว่า เพื่อนคนนั้นมีแฟนสาวที่ชื่อคลาวเดีย นอกนั้นแล้วรูฟัสไม่เคยเล่าอะไรให้เขาฟังอีกเลย แม้แต่เรื่องราวจริงๆ ของตัวเอง
   “พวกคุณ เอ่อ...เป็นสายลับกันหมดเลยหรือ?” ฟ่งเริ่มต้นคำถาม  เขาไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงที่ดูใจดีคนนี้ก็เป็นสายลับด้วย คลาวเดียส่ายหน้า
   “ไม่ใช่ฉันหรอก เฉพาะราฟี่กับรูฟัสเท่านั้นแหละ รูฟัสบอกเธอหรือว่าเขาเป็นสายลับ”
   ฟ่งพยักหน้า ความจริงคือเว่ยเฟิงปิงเป็นคนบอกเขา และรูฟัสมายอมรับในตอนหลัง
   “แล้ว.....ที่นี่ไม่มีตำรวจหรือครับ?”
   คลาวเดียหัวเราะกับคำถามนั้น “สายลับนะจ้ะ ไม่ใช่ขโมย ไม่ค่อยมีตำรวจมายุ่งกับเราหรอก บางทีเราก็ทำงานให้ตำรวจ”
   ฟ่งพยักหน้า เขายอมรับว่าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ  จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่า ผู้ชายสองคนที่อยู่ข้างล่างเป็นสายลับ พวกเขาก็ดูเป็นคนธรรมดา
   ธรรมดาจริงๆ รึ  แล้วเสียงดังเมื่อครู่มันคืออะไรล่ะ?
----------------------------------
   นัยน์ตาสองสีของรูฟัสเบิ่งกว้าง  กลิ่นดินปืนโชยเข้ามาจนเขาต้องทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะโวยวายใส่ผู้ที่นั่งตรงข้าม
   “เลิกเล่นตลกที่ขำไม่ออกแบบนี้ทีเหอะ ผมไม่อยากจะซ่อมผนังบ้าน!”
   “ถ้าแกไม่อยากให้หัวแกเป็นรูเหมือนผนังนั่น ก็พูดเรื่องจริงออกมาดีกว่า”
   รูฟัสไม่อยากจะเหลือบมองผนัง เขารู้ว่ามันต้องเป็นรูแน่ๆ และคงไม่พ้นที่จะต้องซ่อมในตอนหลัง ซึ่งโดยปกติ ถ้าราฟาแอลเกิดผีเข้าแบบนี้ สุดท้ายคลาวเดียจะบังคับให้เจ้าตัวซ่อมเอง แต่คราวนี้คนซ่อมคงต้องเป็นเขา
   “เอาล่ะ ราฟี่ คุณเอาปืนลงก่อน ผมพูดความจริงแน่ๆ ถึงไม่ต้องมีมันจ่อหัวอยู่ก็เถอะ  คุณจะฟังผมพูด หรืออยากจะยิงปืนเล่น?”
   “ตอนนี้ฉันอยากยิงหัวแกเล่นมากเลยล่ะ” ราฟาแอลเคี้ยวฟัน ก่อนจะวางปืนลง “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าแกจะหนีงานเอาดื้อๆ บอกมาซิว่าแกเกิดบ้าอะไรขึ้นมา เด็กนั่นเป็นกุญแจสำคัญในแผนของเราใช่ไหม แกกำลังทำภารกิจลับสุดยอดที่บอกไม่ได้แม้แต่ฉัน?”
   รูฟัสนิ่งไปพักหนึ่ง เขาพยายามคิดหาคำพูดอ้อมๆ ที่ไม่ทำให้ราฟาแอลคว้าปืนขึ้นมาอีก  ชายหนุ่มรู้ว่าเพื่อนของเขาโกรธเรื่องนี้มาก แต่ก็อย่างว่าแหละ เขาไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนนี่นา
   “คืออย่างนี้นะราฟี่  ผมน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้หรอก” เขาเริ่มเล่า “ผมสืบไปได้มาก อย่างที่ส่งข้อมูลให้คุณไป เรื่องทั้งหมดมันคงเป็นไปได้สวย ถ้าเกิดเฟิงปิงไม่ดอดเข้ามา……”
   “ฉันกำลังฟังอยู่” ราฟาแอลพูดกระตุ้น เมื่อเห็นว่ารูฟัสเงียบไปอีก
   “ฉันรู้ว่าคุณชายเว่ยเข้ามายุ่งย่ามกับแก จริงๆ คือเขาตามหาตัวแกให้ควักมาแต่เมื่อสี่ปีก่อนแล้ว”
   “อืม” รูฟัสยอมรับ
   “แล้วเด็กนั่นเกี่ยวอะไรกัน ทำไมถึงสำคัญขนาดทำให้แกยอมเอาตัวกับงานเข้าไปแลกได้?”
   “เขาเป็นเพื่อนข้างห้องของผมที่ไทย”
   “อันนั้นฉันรู้แล้ว” ราฟาแอลพูดอย่างอดทน “ฉันอยากรู้ว่าเด็กนั่นเกี่ยวข้องกับแผนการของเรายังไง”
   “ผมพูดไปแล้วแต่คุณไม่ฟัง”
   “แกพูดเมื่อไรล่ะ?”
   รูฟัสยักไหล่ ก่อนจะนึกได้ว่าท่าทีของตนอาจจะกวนโทสะให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดทำปืนลั่นเปรี้ยงปร้างขึ้นมาอีก จึงขยับตัว พูดเป็นงานเป็นการมากขึ้น
   “ผมพูดจริงๆ นะ ราฟี่ ฟ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับงานครั้งนี้ของเราเลย ที่ผมตามไปช่วยเพราะว่า....เอ่อ... ผมเป็นสาเหตุให้เขาถูกจับ..”
   “แกเลยมีความรับผิดชอบขึ้นมากะทันหันงั้นรึ? ตลกน่า ปกติใครจะเป็นจะตายยังไงแกก็ไม่สนใจอยู่แล้วนี่”
   รูฟัสทำสีหน้าปั้นยาก “มันก็ใช่ แต่ว่าคนนี้พิเศษ  เอ่อ....ผมตกหลุมรักเขาจริงๆ นะ”
   ราฟาแอลมีสีหน้าเหมือนคนที่ก้ำกึ่งว่าจะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี  พักใหญ่กว่าที่เขาจะปรับอารมณ์ได้
   “ตกลง นี่แกจะทำให้ฉันเชื่อว่า แกตกหลุมรักคนข้างห้องจริงๆ?”
   รูฟัสพยักหน้า ก่อนจะรีบพูดต่อ “ผมรู้ว่ามันทำใจลำบาก จนตอนนี้ยังไม่มีใครเชื่อเลย” เขากล่าวอย่างรันทด เมื่อคิดว่าฟ่งเองก็คงไม่เชื่อด้วย
   “ก็แหงล่ะ ถึงแกจะเสน่ห์แรง มีคนมาติดพันเยอะ แถมฟันไม่เลือก แต่ก็ไม่เคยเห็นแกติดใจใครสักคนนี่”
   รูฟัสอยากจะเถียงคำว่าฟันไม่เลือก แต่เขาคิดว่านั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่จะมาแย้งราฟาแอลในตอนนี้ จึงกล้ำกลืนคำพูดไว้
   “แต่คนนี้เป็นกรณีพิเศษ....” เขาเอ่ยค้างเมื่อเห็นสีหน้ารับไม่ได้สุดๆ ของราฟาแอล
   “ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นสิบปี กว่าจะเชื่อคำพูดแบบนี้ของแก” ราฟาแอลกล่าวออกมาในที่สุด รูฟัสมีสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
   “เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมก็กลับมาแล้ว  งานของเราไปถึงไหนแล้วล่ะ?” เขาเปลี่ยนเรื่อง ราฟาแอลแค่นเสียงเล็กน้อย
   “เฮอะ พอตอนนี้ขยันทำงานขึ้นมาเลยนะ”
   แม้เขาจะยังติดใจเหตุผลเรื่องผละงานของรูฟัสอยู่ แต่การพูดถึงอดีตไม่ใช่สิ่งที่มีประโยชน์นัก อีกอย่างเขาก็ยิงใส่หมอนั่นไปนัดหนึ่งแล้ว ถึงมันจะไปโดนผนังก็เถอะ อย่างน้อยก็ช่วยระบายอารมณ์ไปได้บ้าง
   “ของที่แกไปเอามาไม่ได้น่ะ ฉันได้มาแล้ว โหลดลงคอมฯไปแล้ว”
   “อ้อ” รูฟัสร้อง นึกถึงตึกที่อยู่เบื้องหลังกำแพงที่มีรั้วไฟฟ้านั้นทันที
   “คุณเข้าไปเอามายังไงน่ะ?” เขาถามอย่างสงสัย
   “คงไม่ใช่ว่า ดักฆ่าพนักงานที่นั่น แล้วตัดนิ้วไปสแกนหรอกนะ” รูฟัสเอ่ยต่ออย่างหวาดๆ ราฟาแอลพยักหน้า
   “แล้วกัน” รูฟัสคราง แต่ราฟาแอลรีบพูดต่อ “ก็นั่นแหละที่ทำให้ฉันต้องหลบด่วนออกมา แต่จะมาโทษฉันก็ไม่ได้นะ ฉันพูดภาษาไทยไม่เป็น จะให้แฝงตัวเข้าไปก็ใช้เวลานาน จะให้ทางนั้นเชื่อใจก็ยาก  จริงๆ แล้วเรื่องนี้แกต้องเป็นคนทำต่างหาก ไม่ใช่ฉัน”
   ท่อนสุดท้ายราฟาแอลหันมาถลึงตาใส่รูฟัส  ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ อย่างเสียไม่ได้  เขารู้ว่าบุคคลตรงมีนิสัยหน้าใจร้อนอยู่พอสมควร และมักจะเลือกหนทางที่ไวที่สุด โดยไม่ค่อยจะคำนึงถึงความเสียหายเท่าไร
   “เอาล่ะ ผมมีส่วนผิด แล้วนี่เราต้องกบดานนานแค่ไหน?”
   “ก็ไม่นานนักหรอก อาจจะสักสองสามอาทิตย์ ฉันไม่อยากให้คุณเมี่ยงเดือดร้อน”
   รูฟัสนึกคัดค้านคำพูดนั้นในใจ
   “แต่ว่านะ ฉันอยากให้แกได้เห็นจริงๆ แผนผังที่ที่เราจะต้องเข้าไปน่ะ” เขาเอ่ย ก่อนจะเดินไปหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมาเปิดที่โต๊ะ
--------------------------------------
   คลาวเดียดูจะไม่ให้ความสนใจอะไรกับเสียงคล้ายประทัดที่ดังขึ้นมากนัก ราวกับว่านั่นเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นฟ่งเลยต้องทำว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาด้วย เขามองสำรวจรอบๆ ห้อง  และสะดุดตากับรูปถ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ  ฟ่งเดินเข้าไปดูอย่างสนใจ มันเป็นรูปถ่ายรวมหมู่ของกลุ่มคนที่แต่งตัวคล้ายกับทหารราวๆ สิบกว่าคน
   “นั่นรูปถ่ายตอนที่สองคนนั่นไปรบที่เชสเนียร์” คลาวเดียเอ่ย เมื่อเห็นว่าฟ่งดูจะสนใจภาพนั้น ก่อนจะเดินมาหยิบมันขึ้น และชี้รูปของผู้ชายคนหนึ่งอายุราวยี่สิบต้นๆ ที่นั่งอยู่เกือบจะกลางรูป
   “นี่คือราฟี่ ส่วนที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่คือรูฟัส” เธอชี้ให้ดูเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งมีผมสีดำสนิท ยาวและมัดรวบเอาไว้ด้านหลัง ฟ่งเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจ เขาไม่คิดว่าคนในรูปนี้จะเป็นรูฟัสไปได้  ดูเหมือนเด็กผู้หญิงอายุแค่สิบกว่าๆ เท่านั้นเอง
   “เมื่อครู่คุณว่า เขาสองคนไปรบ เด็กขนาดนี้เลยหรือครับ?” ฟ่งถามย้อนอย่างไม่เชื่อ คลาวเดียยิ้ม “ใช่จ้ะ พอดีอาจารย์ของรูฟัสเขาให้ไปหาประสบการณ์น่ะ”
   เธอกล่าว ฟ่งเบิ่งตากว้างผ่านกรอบแว่น และก้มลงมองรูปถ่ายอีกครั้ง ทุกคนในรูปสวมชุดรัดกุมลายพราง และมีอาร์มแบบเดียวกันติดตรงแขน สวมรองเท้าคอมแบต ต่างคนต่างสะพายสัมภาระประจำตัว มีทั้งปืน ทั้งมีด กระติกน้ำ ดูเหมือนจะถ่ายกันที่หน้าค่ายพัก สีหน้าของรูฟัสดูกวนประสาทมาก แถมยังคล้ายเด็กผู้หญิง ฟ่งหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเขาคิดว่าเด็กผู้ชายคนนี้เป็นคนคนเดียวกับผู้ชายที่เคยกอดเขา
   “เธอเป็นแฟนรูฟัสสินะ” จู่ๆ คลาวเดียก็เอ่ยขึ้น ฟ่งทำหน้าเลิกลั่ก หญิงสาวยิ้มและบอกให้ฟ่งนั่งรอ จากนั้นก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้อง พักหนึ่งจึงกลับมาพร้อมกับอัลบั้มรูปสองสามเล่ม
   “ราฟี่น่ะไม่ค่อยชอบให้ฉันเก็บรูปถ่ายเอาไว้ เขากลัวว่ามันจะกลายเป็นหลักฐาน แต่ฉันคิดว่าเก็บไว้บ้างไม่น่าจะเสียหายอะไร คนเรามีอดีตหลายอย่างที่น่าจะจดจำเอาไว้” เธอว่า และนั่งลงข้างๆ ฟ่ง ก่อนจะชวนให้เขาดูอัลบั้มรูปที่หยิบมา
   “รูฟัสน่ะ มาอยู่กับเราตอนอายุได้สิบห้าปี นี่เป็นรูปที่ฉันถ่ายตอนที่เขามาฮังการีวันแรก”
   ฟ่งมองดูรูปถ่ายของเด็กผู้ชายผมยาวที่มีสีหน้าไม่ค่อยจะเต็มใจให้ถ่ายรูปเท่าไรนัก หน้าตาของรูฟัสตอนเด็กๆ ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเลย
   “เขาเป็นคนยังไงเหรอครับ?” ฟ่งเอ่ยถาม คลาวเดียนั่งนึก
   “อืม...จะว่าไงดีล่ะ เป็นเด็กที่กวนประสาทล่ะมั้ง แต่ก็รับผิดชอบงานดีมากๆ เขาทำงานไม่เคยพลาด นั่นแหละที่ทำให้ราฟี่หัวเสียนักตอนที่รู้ว่าเขาทิ้งงานไป”
   “ผมขอโทษ” ฟ่งเอ่ย  คลาวเดียหันมาทำหน้าตกใจ
   “ไม่ใช่ความผิดเธอหรอก ไม่มีใครเชื่อว่ารูฟัสจะไปตกหลุมรักใครเข้า ตอนแรกฉันคิดว่าคนคนนั้นต้องเป็นสาวน้อยน่ารักมากๆ”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ  เขาอยากจะพูดว่า”ขอโทษที่เขาไม่ใช่สาวน้อยน่ารัก”อย่างที่เธอคิด แต่ก็คิดว่ามันเป็นประโยคที่ไร้สาระสิ้นดี  คลาวเดียรีบพูดต่อ
   “แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันรับรสนิยมแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ  จริงๆ เราก็รู้มานานแล้วว่ารูฟัสเป็นพวกไบเซ็กชวล”
   รูฟัสเป็นพวกไบเซ็กชวลหรอกรึ อย่างนั้นก็คงทำอะไรก็ได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงงั้นสิ  ฟ่งคิด  ไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าออกไปอย่างไรบ้าง จึงทำให้อีกฝ่ายต้องพูดขึ้นอีก
   “คือฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรที่มันทำให้ดูไม่ดีแบบนั้น จริงๆ แล้วเธอเองก็น่ารักดี” หล่อนพูด ฟ่งหันไปมองอย่างแปลกใจ
   “เธอต่างจากที่ฉันคิดไว้นิดหน่อย แต่ว่า เธอก็ดูน่ารัก ฉันชอบชาวเอเชียที่ดูบอบบางแบบเธอ  มันทำให้เกิดความรู้สึกอยากปกป้อง”
   ฟ่งไม่รู้ว่าควรจะดีใจกับคำพูดนั้นดีรึเปล่า ดูเหมือนคลาวเดียจะรู้สึกว่าเธอทำให้คู่สนทนารู้สึกไม่ดี
   “เอ้อ  จริงสิ เล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังบ้างดีกว่า  เธอมาจากประเทศไทยสินะ  ฉันไม่เคยไปประเทศแถวแถบเส้นศูนย์สูตรเลย เล่าเรื่องประเทศของเธอให้ฟังหน่อยสิ”
   ฟ่งยิ้มกว้าง และเล่าเรื่องเกี่ยวกับประเทศตัวเองให้คลาวเดียฟัง
----------------------------------
   รูฟัสขมวดคิ้ว และยังขมวดอยู่อย่างนั้น แม้ว่าราฟาแอลจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ไปแล้ว
   “ไงล่ะ  จะพูดว่าเจ๋งสุดยอด หรือพระเจ้า!! นี่มันบ้าอะไรกัน!! เลือกไม่ถูกเลยใช่ไหม”
   รูฟัสพยักหน้า เขาเพิ่งได้ดูสิ่งที่ราฟาแอลเรียกว่า”แบบแปลนห้อง”  แต่มันแย่กว่านั้น  มันเป็นแบบแปลนของห้องที่ไม่ใช่แค่ห้อง นี่มันสลับซับซ้อนกว่าที่คนธรรมดาจะคิดออกแล้ว
   ระเบียบทางเดินเป็นร้อยๆ พาดซ้อนอย่างสับสนวุ่นวายกันอยู่บนโครงสร้างรูปไข่กลับหัว โดยส่วนแคบทิ่มลงด้านล่าง แต่ละระเบียงมีลานกว้างเป็นของตัวเองอย่างน้อนหนึ่งลาน และมีทางแยกไปสู่ระเบียงต่างๆ ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยและแยกตัวออกเป็นเอกเทศ ภายในระเบียงต่อเชื่อมเข้ากับห้องขนาดต่างๆ มีทั้งห้องโถงขนาดเล็ก ห้องที่ซอยย่อยๆ เหมือนเป็นห้องพัก แค่มองแวบแรกก็ชวนให้นึกถึงใยแมงมุมหรือกิ่งไม้แห้งๆ ที่วางซ้อนทับกันอยู่
   ที่แย่ไปกว่านั้น นอกจากโครงสร้างรอบนอกที่ชวนปวดหัวแล้ว ภายในวงขดของระเบียงเหล่านั้น ยังซุกซ่อนห้องพิเศษแบบต่างๆ ซึ่งดูไม่ออกว่าจะเข้าไปได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นแบบแปลนของสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใต้ดิน
   “โอ๊ย นี่มันแบบแปลนหรือใยแมงมุมล่ะนี่ ผมนึกไม่ออกเลยนะว่าเราจะเข้าไปยังไง คุณมองเห็นทางเข้าบ้างมั้ย?” รูฟัสเอ่ยขึ้นในที่สุด  ราฟาแอลสั่นศีรษะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #62 เมื่อ24-05-2011 18:42:25 »

   “ถ้าเห็นก็ไม่มานั่งปวดประสาทอย่างนี้หรอก” พูดพลางถอนหายใจ “ให้ไปปล้นสุสานฟาโรห์ยังง่ายกว่า”
   รูฟัสไม่เคยปล้นสุสานอียิปต์โบราณ แต่อย่างไรก็น่าจะเข้าใจง่ายกว่ามองแปลนวุ่นวายแบบนี้
   “ไอ้ห้องพิสดารนี่กำลังสร้างอยู่ตอนฉันลอบเข้าไป เห็นแปลนแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันล่ะนะว่าจะสร้างออกมาได้ แต่พวกนั้นมีนักวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีมากว่าที่เราคิดเอาไว้ พวกนั้นสร้างวัสดุค้ำยันที่สามารถรองรับความแปลกประหลาดซับซ้อนของห้อง แถมยังเหมือนจะติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเต็มรูปแบบ ให้ตายสิ ไหนว่าเรื่องนี้มันไม่ใหญ่โตไง”
   ราฟาแอลคราง รูฟัสพยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที “เอาไงดี? ไม่เข้าไปได้มั้ย? คุณคุยกับเบื้องบนหรือยังน่ะ?”
   “แล้ว.....” ราฟาแอลพูดค้าง จนรูฟัสต้องถามต่อ “แล้ว...?”
   เสียงถอนหายใจหนักหน่วงตามด้วยสีหน้าปลงตกทำให้คนถามพอเข้าใจอารมณ์คนถูกถามได้
   “เบื้องบนบอกว่าจะเพิ่มค่าจ้างให้” ฝ่ายนั้นตอบ รูฟัสมีสีหน้าไม่ต่างจากราฟาแอลนัก
   “ผมควรดีใจสินะ อย่างน้อยเราก็ยังได้ค่าเหนื่อยเพิ่ม แทนที่จะได้ยกเลิกงาน”
   สองคนหันมามองตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะสบถพร้อมกัน “เบื้องบนเวรเอ๊ย”
   ทั้งคู่เอนตัวลงบนโซฟา ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
   “เราประสานงานให้ตำรวจที่นั้นเข้าไปขอค้นก่อนได้มั้ย?”
   รูฟัสกล่าว พลางนึกถึงเรื่องที่เขาไปพบนายตำรวจนายหนึ่งที่สวนสาธารณะ
   “มันจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเอาน่ะซี่ พวกนั้นคงไม่ยอมให้เราเข้าไปค้นจริงๆ หรอก น่าจะเตรียมสถานที่หลอกๆ เอาไว้มากกว่า”
   “อืม” รูฟัสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ตำรวจเก็บเอาไว้ตอนจบแบบทุกทีสินะ”
   ได้ยินเสียงราฟาแอลหัวเราะหึๆ ในลำคอ “ดีหน่อย เบื้องบนบอกว่าให้ส่งแปลนไป เดี๋ยวเขาจะให้คนช่วยตีความให้”
   “อ้อ...แบบนี้เราก็รอแค่ทางนั้นแกะแปลนมาให้น่ะสิ” ชายหนุ่มกล่าว สีหน้าดูมีความหวังขึ้นมา แต่อีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะ
   “ฉันส่งไปเกือบสองสัปดาห์แล้ว รู้ไหมทางนั้นว่าไง?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะบ้าง
   “ทางนั้นตอบกลับมาว่า ไม่สามารถตีความแปลนนี้ได้”
   “แค่นั้น?!” หนุ่มตาสองสีโพล่งอย่างไม่เชื่อหู เพื่อนร่วมงานพยักหน้า
   “เวร...กระทั่งรัสเลอร์เองก็ดูไม่ออกรึ?”
   “ไม่ออก ขนาดฉันคิดว่าคนเพี้ยนๆ แบบนั้นน่าจะเข้าใจอะไรที่เพี้ยนๆ เหมือนกันๆได้ แต่ผิดคาดแหะ”
   รูฟัสหันไปมองหน้าเพื่อนร่วมงาน “แล้วเราจะทำยังไง?”
   “รอพระเจ้ามาโปรดมั้ง” คนถูกถามตอบยียวน ก่อนจะยักไหล่ “เอาน่ะ เบื้องบนบอกว่าจะพยายามหาคนมาตีความให้ก่อนจะถึงเวลาประชุม ภาวนาให้ทางนั้นหาได้แล้วกัน”
   “ถ้าไม่ทันล่ะ?”
   “เดี๋ยวจะบอกให้คลาวเดียซื้อโลงรอไว้”
   “โธ่....” รูฟัสครางในลำคอ ก่อนจะพูดอย่างนึกได้ “งั้นเราไปหาตัวคนเขียนแปลนนี่ซะเลยก็ได้นี่ ถ้าเป็นคนเขียนเองล่ะก็ ต้องอธิบายให้เราฟังได้แน่ๆ”
   ราฟาแอลพยักหน้า และพูดต่อ “ถ้าหาได้ก็เยี่ยมเลยล่ะ แต่ฉันว่า คนเขียนคงถูกเก็บไปแล้วเหอะ”
   “หรือไม่บางทีอาจจะยังอยู่ในเซฟเฮาส์ที่ไหนสักแห่งก็ได้” รูฟัสแย้ง ราฟาแอลนิ่วหน้า “แกจะเสี่ยงกลับไปที่นั่นอีก?”
   รูฟัสยักไหล่ “ก็คุณมีเวลาอยู่ที่นั่นไม่นาน ถูกไหม? คุณไม่รู้รายละเอียดอะไรนักเกี่ยวกับคนที่ทำงานที่นั่น แต่ผมรู้ อย่างน้อยก็มีผู้ชายหน้าสวยกับลูกชายของประธานบริษัทนั่น......”
   จู่ๆ รูฟัสก็เงียบไปเสียเฉยๆ เพราะเกิดนึกเรื่องน่าขนลุกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเคยเห็นอิทธิเดชไปที่คอนโด และกลับออกมาพร้อมกับกล่องทรงกระบอกสีดำ ซึ่งเป็นของที่เขาจำได้ว่าอยู่ในห้องของฟ่ง นั่นเป็นกล่องที่พวกสถาปนิกใช้ใส่แบบแปลนไม่ใช่หรือ?
   “มันไม่น่าจะ..” รูฟัสครางออกมา มันเหลือเชื่อเกินไปที่ฟ่งจะเป็นคนเขียนแบบแปลนพวกนี้ ความจริงคือรูฟัสไม่อยากจะคิดว่าฟ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้อง มันต้องไม่ใช่  เขาคงจำผิด  ใช่ล่ะ เขาคงจำผิดไปแน่ๆ
   ราฟาแอลขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อน
   “ทำไม แกเกิดนึกอะไรได้อีกหรือไง?” เขาถาม รูฟัสรีบส่ายหน้า
   “เปล่า ผมแค่กำลังนึกว่ามันรู้สึกแย่ขนาดไหนที่ต้องตามสะกดรอยสองคนนั่น ที่ไปเมคเลิฟกันจนถึงเช้า ขณะที่ผมต้องนั่งแกร่วอยู่คนเดียว”
   “อ้อ สำหรับคนเซ็กซ์จัดอย่างแกแล้วถือว่าเป็นเรื่องน่าลำบากใจมากเลยสินะ” ราฟาแอลเอ่ย รูฟัสขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
   “ผมไม่เซ็กซ์จัดไปกว่าคุณหรอกน่า”
คนถูกย้อนหัวเราะ ก่อนจะพูดต่อ “เอาล่ะ มาว่ากันต่อ สรุปแกจะเสี่ยงกลับไปที่นั่นอีกก็ได้ แต่ฉันทำเรื่องไว้แล้ว และคิดว่าพวกนั้นต้องเพิ่มการดูแลขึ้นมาอีกแน่ๆ และแกก็จะกลับไปใช้ฐานของคุณเมี่ยงไม่ได้ เพราะเริ่มเป็นที่จับตาแล้ว”
   “โอ้ ยอด!! พ่อคุณชายบ้าปืนราฟี่ทำให้เรื่องของผมวุ่นวายไปหมด” รูฟัสบ่น คนได้ยินแยกเขี้ยวทันที
   “ต้องโทษตัวแกเองนั่นแหละ ใครใช้ให้บ้าหนีตามผู้ชายไปฮ่องกงกันวะ ถ้าฉันทำงานนี้ได้แต่แรกคงไม่ต้องยืมแรงแก....”
   “เอาเถอะๆ” รูฟัสรีบพูดขัด เขากลัวว่าราฟาแอลจะบ่นยาวและงัดปืนออกมาเล่นอีก  ผู้ชายคนนี้ใช้ชีวิตมากับปืนเกือบตลอดชีวิต สำหรับราฟาแอลแล้ว ปืนคงไม่ต่างอะไรกับนิ้วมือนัก
   “สรุปว่ามันเสี่ยงเกินไปที่ผมจะไปที่นั่น แล้วเราจะทำยังไงกับไอ้แบบแปลนซังกาบ๊วยนี่?” รูฟัสตั้งคำถาม เขาเก็บการโต้เถียงเรื่องที่ว่าเขาไม่ได้หนีตามผู้ชายเอาไว้ในสมอง ราฟาแอลยักไหล่
   “ง่ายมาก เราก็ให้รัสเลอร์อธิบายให้เราฟังเท่าที่เขารู้ หรือไม่ก็รอให้เขาหาคนที่จะอธิบายมันได้ ซึ่งเขาเองก็ไม่รับประกันนักว่ามันจะทันกำหนดงานของเรา”
   “ก็แปลว่า เราต้องเผชิญกับห้องและระเบียงที่ยุ่งอย่างกับใยแมงมุมพวกนี้อย่างเดียวดายและไม่รู้ว่ามันคืออะไรมากไปกว่านี้ล่ะสิ?”
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างหงอยๆ
   “ตอนนี้ทั้งรัสเลอร์กับฉันยังคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ออก หวังว่ามันคงจะไม่แย่ขนาดนั้น ฉันไม่อยากตายคู่กับแก มันไม่โรแมนติกสักนิด ให้ตายสิ”
   “ผมก็ไม่ได้อยากตายคู่กับคุณนักหรอก” รูฟัสไม่ยอมแพ้  ราฟาแอลยักไหล่ “เรายังมีเวลาอีกมากสำหรับการหวังเรื่องปาฏิหาริย์ในเรื่องนั้น  ตอนนี้ฉันอยากคุยเรื่องแกต่อ”
   “อะไรอีกล่ะ” รูฟัสกล่าวอย่างรำคาญ
   “เรื่องเด็กที่แกพามา เด็กนั่นทำประโยชน์อะไรให้เราได้บ้าง?”
   คนฟังขมวดคิ้วทันที
   “ผมบอกแล้วว่าฟ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ และผมก็ไม่อยากให้เขาเข้ามาเกี่ยวด้วย”
   ราฟาแอลนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนจะประเมินสถานการณ์
   “แล้ว.....เขารู้อะไรเกี่ยวกับแกบ้าง”
   “เขารู้แล้วว่าผมเป็นสายลับ” รูฟัสเอ่ย รู้สึกปวดใจขึ้นมาจี๊ดๆ เมื่อนึกว่าฟ่งมีท่าทีอย่างไรบ้างหลังจากทราบเรื่องนี้  ราฟาแอลคราง
   “เด็กนั่นจับแกได้ หรือว่าแกสมัครใจบอกเอง?”
   “เฟิงปิงบอก” รูฟัสตอบห้วนๆ
   “อ้อ..” ราฟาแอลลากเสียงยาว “แปลว่าก่อนหน้านี้แกโกหกไปเหมือนทุกที แล้วทำไมถึงไปติดใจเด็กนี่ เขามายั่วแกรึ?”
   “เปล่า” รูฟัสปฏิเสธ ความยิ่งฟ่งไม่ได้ยั่วอะไรเขาสักนิด แม้แต่เขาเองยังแปลกใจว่าตัวเองไปตกหลุมรักได้อย่างไร แต่ก็นั่นแหละ คนมันรักไปแล้วนี่
   “แปลว่าจู่ๆ แกก็เกิดชอบคนข้างห้องที่แกพาไปกินข้าวทุกวันขึ้นมา บอกตรงๆ นะ ตอนนี้ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อ แกปล่อยตัวปล่อยใจแบบนั้นได้ไง”
   “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” รูฟัสพูดอย่างหมดหนทาง ราฟาแอลมองหน้าเพื่อน และเอ่ยต่อ
   “แล้วตอนนี้ เขารู้เกี่ยวกับเรื่องของแกมากแค่ไหน บอกเขารึเปล่าว่าแกกำลังทำอะไร?”
   “เปล่า”
   “สรุปคือเด็กนั่นรู้แค่ว่าแกเป็นสายลับ แล้วแกก็พาเขามาที่นี่ ทำไมถึงไม่ส่งเขากลับบ้านล่ะ” ราฟาแอลถามมาถึงประเด็นที่รูฟัสไม่อยากจะคิดที่สุด
   “ผมเห็นว่ามันอันตรายเกินไป เฟิงปิงรู้ว่าเขาสำคัญกับผม และริเวิลก็คงรู้ด้วย”
   “ใช่ และอีกไม่นานก็คงจะรู้ไปทั้งวงการ” ราฟาแอลกล่าวเสริม รูฟัสมองหน้าเขาอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก
   “เพราะอย่างนั้นผมเลยยังไม่ส่งเขากลับประเทศ”
   “แล้วจะเก็บตัวเอาไว้นานขนาดไหน?  ฉันหมายถึง แกจะให้เขาอยู่นี่นานขนาดไหน”
   รูฟัสนิ่งไปพักหนึ่ง เขาตัดสินใจไม่บอกราฟาแอลว่าจริงๆ แล้วฟ่งต้องการจะกลับประเทศ
   “ก็......นานเท่าที่จำเป็น บางทีอาจจะหลังงานเสร็จ”
   “โอ...” ราฟาแอลคราง “คำถามต่อไป เด็กนั่นรับแกได้รึเปล่า ฉันหมายถึง เขาก็ดูเป็นคนธรรมดาๆ ที่ไม่น่าจะเคยยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องทำนองที่เราทำอยู่ และก่อนหน้านี้เขาก็คงไม่คิดว่าแกเป็นพวกอย่างนี้ ถูกไหม? นั่นคือเรื่องตอนที่แกจีบเขา หรือเขาจะจีบแก เอาเถอะ นั่นไม่สำคัญ ฉันอยากรู้ว่า เขารับแกได้รึเปล่า?”
   รูฟัสนิ่งไปพักใหญ่  มันคือเรื่องจริงที่เขาไม่อยากยอมรับ ฟ่งรับเขาไม่ได้ แต่อาจจะเป็นแค่ในตอนนี้
   “เขาเพิ่งรู้ว่าผมเป็นใคร คงต้องใช้เวลาปรับตัวสักหน่อย” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ยออกมาในที่สุด  ราฟาแอลขมวดคิ้ว
   “นี่คงไม่ใช่ว่าแกหลงรักข้างเดียวแล้วไปข่มขืนเขาหรอกนะ เด็กนั่นท่าทางจะไม่ไว้ใจแกน่าดู”
   “อา... มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก” รูฟัสคราง พลางคิดว่าเขาไม่ได้ไปข่มขืนฟ่งหรอก ก็แค่เผลอตัวมีอะไรด้วย ฟ่งก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธนี่  ถึงแม้อีกวันจะโกรธเขามากก็ตาม แต่หลังจากนั้นก็กลับมาดีด้วย แถมทำตัวน่ารักเสียจนอดรักต่อไม่ไหว ฟ่งคงมีใจให้เขานั่นแหละ รูฟัสพยายามคิดเข้าข้างตัวเอง
   ราฟาแอลมองเพื่อนด้วยสายตาแปลกๆ “แกบินมาไกลนี่  ไปพักผ่อนก่อนก็ได้ ไว้ค่อยคุยกันต่อ”
   เขากึ่งอนุญาตกึ่งไล่ให้อีกฝ่ายออกไปจากวงสนทนา รูฟัสพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเดินเหม่อขึ้นไปชั้นสอง เสียงของราฟาแอลตะโกนไล่หลังมา
   “ตามคลาวเดียลงมาด้วย”
-------------------------------------
   เสียงเคาะประตูทำให้ฟ่งเงยหน้าขึ้นจากอัลบั้มรูป เขาคุยกับคลาวเดียเรื่องเมืองไทยอยู่พักหนึ่ง แล้วคลาวเดียก็ชวนให้เขาดูรูปถ่ายพวกนั้น ตอนนี้เธอเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงร่าเริงกับผู้ที่มาเคาะประตู “เข้ามาสิ”
   รูฟัสเปิดประตูเข้ามา สีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก
   “ราฟี่ทำกำแพงเป็นรูอีกแล้วสินะ” เธอเอ่ย รูฟัสพยักหน้า นึกดีใจที่ฟ่งฟังภาษาฮังการีไม่ออก
   “ไว้เดี๋ยวผมจะซ่อมให้ทีหลัง แล้วนั่นทำอะไรกันอยู่?” เขาถามเมื่อเห็นอัลบั้มรูปวางอยู่  คลาวเดียยิ้ม ก่อนจะกวักมือเรียกให้เข้าไปใกล้ๆ
   “ฉันเอารูปถ่ายเก่าๆ ของเธอมาให้เขาดู”
   “โอ๊ย..” รูฟัสคราง มองดูอัลบั้มรูปพวกนั้นอย่างขยะแขยง
   “ขอร้องล่ะคลาวเดีย ช่วยเผาๆ มันทิ้งไปซ่ะทีเถอะ รูปพวกนี้น่ะไม่น่าพิศวาสขนาดจะเก็บเอาไว้โชว์ใครต่อใครได้หรอกนะ”
   “แต่ฉันว่าน่ารักดีออก แล้วเด็กนี่ก็ดูจะชอบเธอที่อยู่ในรูปด้วย”
   “จริงรึ?” รูฟัสทำหน้าเหลอหลาอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็น จนคลาวเดียหัวเราะออกมา
   “ตายล่ะ รูฟัส นี่เธอกำลังเขินอยู่ใช่ไหมเนี่ย”
   “ผมเปล่า” รูฟัสรีบพูด  แต่คลาวเดียยิ่งหัวเราะชอบใจมากขึ้น
   “เธอหน้าแดง ฉันต้องรีบไปเรียกราฟี่มาดู  เขาคงจะไม่เชื่อแน่ๆ ถ้าฉันเล่า”
   “ไม่เอาน่า” รูฟัสรีบพูดดัก เขาไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าอย่างไรออกไปบ้าง แต่การไปเรียกราฟาแอลมาดู ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
   “ความจริงเขาให้ผมมาตามคุณลงไป แต่คุณไม่ต้องตามเขาขึ้นมาซ้ำซ้อนหรอก หน้าตาผมไม่ได้ดูบันเทิงขนาดนั้น”
   “จ้ะๆ พ่อรูฟัส  ฉันจะให้เวลาเธออยู่กับแฟน”
เธอหันไปพูดกับฟ่งเป็นภาษาอังกฤษ “ฉันขอเอารูปพวกนี้ไปเก็บก่อนนะ เดี๋ยวพ่อหนุ่มขี้อายคนนั้นจะเอาไปเผาหมด”
   ฟ่งส่งอัลบั้มรูปคืนให้หญิงสาวอย่างงงๆ ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เขาอยู่กับรูฟัสสองต่อสอง
   รูฟัสมองไปที่ฟ่งซึ่งนั่งอยู่บนเตียงของเขา  แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
   “คุณชอบรูปถ่ายของผมหรือครับ?”
   ฟ่งมองเขาอย่างงงๆ ก่อนจะพยักหน้า “ผมไม่เคยเห็นคุณสมัยเด็กๆ คุณดู..เอ่อ....น่ารักดี ทำไมถึงตัดผมเสียล่ะ?”
   รูฟัสยิ้มกว้าง จนฟ่งรู้สึกเหมือนเห็นสุนัขไซบีเรียนฮัสกีตัวใหญ่ที่กำลังกระดิกหางอย่างดีใจ  ร่างสูงเดินรี่เข้ามา และโผเข้ากอดผู้ที่นั่งอยู่ทันที
   “ถ้าผมไม่ตัดผม ก็กลายเป็นนักร้องเพลงร็อคน่ะสิครับ” รูฟัสเอ่ย พลางเอาหน้าถูไถไปกับใบหน้าของฟ่งที่ร้องเอะอะอย่างตกใจ  ตอนนี้เขาคิดว่ารูฟัสเหมือนสุนัขจริงๆ
   ความจริงแล้วตอนนี้รูฟัสกำลังดีใจมาก ดีใจกับคำชมเล็กๆ น้อยๆ ของฟ่ง ที่ว่าเขาน่ารัก แม้นั่นจะหมายถึงรูปตอนสมัยเด็กก็เถอะ
   ฟ่งกำลังคิดว่าเขาอาจจะพูดอะไรผิด  ท่าทางรูฟัสดูกระตือรือร้นจนเขากลัว
   “คุณ.. ช่วยออกไปก่อน” ฟ่งเอ่ย ขณะพยายามจะผลักไสอีกฝ่ายให้ออกไปให้พ้นตัว  รูฟัสมองเขาอย่างหงอยๆ และถอยออกไปหน่อยหนึ่ง
   “ผม เอ้อ..” ฟ่งพยายามจะนึกหาบทสนทนามาคุยกับผู้ชายตรงหน้า แต่เขานึกไม่ออก ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับผู้ชายคนนี้ดี จึงได้แต่อ้าปากค้าง และกะพริบตาปริบๆ อย่างคนนึกไม่ออก
รูฟัสมองหน้าฟ่ง  รู้สึกว่าฟ่งนั้นน่ารักจนอยากจะกอดเอาไว้ให้แน่นๆ  ใช่ล่ะ สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าฟ่งจะทำอะไร ก็ดูน่ารักน่ากอดไปหมด  แล้วยิ่งตอนนี้มานั่งทำท่าน่ารักอยู่บนเตียงของเขาอีก……
ฟ่งสะดุ้งอย่างตั้งตัวไม่ติด เมื่อร่างสูงใหญ่ประชิดเข้ามา ฝ่ามือทรงพลังช้อนท้ายทอยเขาเอาไว้ พร้อมกับริมฝีปากที่บดเบียดเข้ามาอย่างหิวกระหาย ร่างผอมบางพยายามยกมือผลักออก แต่กลับถูกวงแขนแกร่งรวบเอาไว้ ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณท้ายทอยที่ถูกอีกฝ่ายใช้มือจิกผมเอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งโพลงอย่างตื่นตระหนก
รูฟัสตวัดปลายลิ้นสำรวจไปทั่วโพรงปากอุ่น เรียวลิ้นที่พยายามจะหลบหลีกยิ่งกระตุ้นอารมณ์ให้พลุ่งพล่านมากขึ้น  นิ้วมือแข็งแรงขย้ำเรือนผมสีน้ำตาล บีบบังคับใบหน้าของอีกฝ่ายให้เงยสูง ริมฝีปากอ่อนเผยอออกกว้างอย่างไม่อาจต้านทาน การรุกเร้ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ฟ่งร้องอู้อี้ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะถูกข่มขืน เขาพยายามยันร่างอีกฝ่ายออก ทั้งผลักตั้งเตะ ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ รูฟัสถึงทำแบบนี้
รูฟัสรู้สึกว่ามือเท้าของฟ่งนั้นช่างขัดจังหวะเขาเสียเหลือเกิน แต่กระนั้นก็ดูเร้าอารมณ์อย่างประหลาด เขาใช้มืออีกข้างตะปบลูบไปตามแผ่นหลังผอมบางโดยไม่สนการต่อต้าน ล้วงผ่านเสื้อผ้าเข้าไปสัมผัสกับผิวกายที่ยังคงสั่นไหว
การผลักไสอย่างไม่เต็มใจยิ่งทำให้ชายหนุ่มคลั่ง รูฟัสผลักร่างผอมบางลงไปบนเตียง กดน้ำหนักตัวลงไปเพื่อหยุดการต่อต้าน ฟ่งดิ้นรนอย่างสิ้นหนทางขณะที่ร่างสูงใหญ่คร่อมตัวลงมา
รูฟัสถอนริมฝีปากออก หอบหายใจถี่หนัก นัยน์ตาสองสีมองลงไปยังร่างที่นอนอยู่เบื้องล่างด้วยอารมณ์ปรารถนาที่เกินการควบคุม ริมฝีปากที่ถูกดูดจึงจนบวมเจ่อ ร่างที่สั่นสะท้าน เสียงหอบหายใจ ใบหน้าที่เป็นสีแดงจัด และดวงตาที่มองมาอย่างหวาดหวั่น ยิ่งกระตุ้นห้วงอารมณ์ปรารถนาโหมทวีมากขึ้น เขาลูบมือไปตามเรือนร่างที่ยังสวมเสื้อผ้าอยู่อย่างหื่นกระหาย
ยังไม่ทันที่ฟ่งจะได้อ้าปากพูดอะไร ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ประกบเข้ามาอีกครั้ง ร่างบางส่งเสียงในลำคออย่างไม่ยินยอม ขณะที่เรียวลิ้นถูกดึงเกี่ยวเข้าไปขบกัด แต่คล้ายยิ่งขัดขืนมากเท่าไรยิ่งเหมือนกระตุ้นให้อีกฝ่ายมีอารมณ์มากขึ้น
รูฟัสดึงมือของฟ่งที่พยายามจะผลักเขาออก กดมันลงไปบนเตียง บดขยี้ริมฝีปากอ่อนอย่างหนักหน่วง ร่างผอมบางดิ้นขลุกขลัก ขณะที่ฝ่ามืออุ่นร้อนโลมลูบไปตามร่างกายด้วยเพลิงปรารถนา และแทบจะฉีกกระชากเสื้อผ้าของเขาออก
“อื้อ!!” ฟ่งร้องอย่างตกใจเมื่ออีกฝ่ายใช้เสื้อผ้าที่ตัวเองถอดกระชากออกมามัดแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ หนุ่มสวมแว่นพยายามจะดันตัวหนี แต่น้ำหนักตัวที่กดทับลงมา และพันธนาการที่แขนทำให้เขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเบิ่งตามองอีกฝ่ายด้วยความหวาดกลัว
รูฟัสก้มลงมองร่างที่นอนหงายอยู่อีกครั้ง ร่างสั่นเทาและดวงตาหวาดหวั่นยิ่งทำให้อารมณ์พลุ่งพล่าน รูฟัสอยากให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาต้องการมากแค่ไหน
ร่างสูงใหญ่โน้มตัวลง ดึงแว่นตาของอีกฝ่ายออก ฝังจูบลงไปบนซอกคอขาว ขบกัดใบหูแดงจัดอย่างรุนแรงจนเหมือนจะกินเข้าไป ฟ่งส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดระคนตกใจ ฝ่ามือร้อนผ่าวขยำขยี้ลงไปตามแผ่นอก บั้นเอว และสะโพกราวกับจะจับปั้น ขณะที่ริมฝีปากอุ่นร้อนดูดดึงและขบกัดลงไปบนร่างของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
รูฟัสกวาดลิ้นไปทั่วแผงอกเรียบ ก่อนจะเลื่อนกลับไปตวัดรอบยอดอกสีอ่อน กัดและดูดมันอย่างรุนแรงจนกลายเป็นสีแดงช้ำ เขาอยากจะแสดงความเป็นเจ้าของร่างกายนี้ อยากเป็นเจ้าของผู้ชายคนนี้ อยากจะประทับรอยรักเพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้เป็นของเขา เป็นของเขาเพียงคนเดียว
ฟ่งครางเสียงพร่า ตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ รูฟัสจูบร่างกายเขาอย่างแรงจนเจ็บจี๊ด ทั้งยังกัดอีกด้วย ความเจ็บปวดเล็กน้อยในภาวะเช่นนี้ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหวาดกลัว เขาพยายามดิ้นรนระหว่างนั้น และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขารุนแรงมากขึ้น
รอยฟันบางๆ และรอยจูบสีแดงจัดถูกทิ้งเอาไว้บนผิวอ่อนบาง ท่ามกลางเสียงร้องอย่างหวาดหวั่น รูฟัสก้มลงจูบสะดือ โอบมือไปรอบสะโพกแน่น กระชากกางเกงของอีกฝ่าย ออกจากนั้นโพรงปากอุ่นร้อนก็ดูดกลืนอวัยวะตรงหว่างขาเข้าไปอย่างหิวกระหาย ฟ่งร้องเสียงหลง ตะกายมือที่ถูกพันธนาการเพื่อจะหยุดการกระทำนั้น เรียวลิ้นร้อนที่ตวัดรอบและการดูดดึงอย่างดุดันแทบจะทำให้เขาสิ้นสติ
ความหฤหรรษ์ทางร่างกายที่ถูกเติมเข้ามาอย่างกะทันหันท่ามกลางความหวาดกลัวและเจ็บปวด ทำให้สมองของชายหนุ่มสับสน ร่างผอมบางเขม็งเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่ แอ่นสะโพกขึ้นตามจังหวะเร่งเร้า มือที่ถูกพันธนาการอยู่กำแน่น ขณะที่เสียงครางแหบพร่าลงเรื่อยๆ
แต่การเร่งเร้านั้นไม่ได้นำพาไปถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ ความกระสันซ่านปะปนกับความเจ็บปวดที่ถูกเติมเข้ามา เลยเถิดเกินไปจนสร้างความทรมานให้กับร่างผอมบางที่กำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ฟ่งรู้สึกหัวใจตัวเองเต้นแรงจนเหมือนกับจะหยุดเต้นได้ทุกขณะ เสียงครางสั่นพร่าขาดห้วงลงเรื่อยๆ
จู่ๆ ริมฝีปากร้อนจัดก็ถูกถอนออกดื้อๆ แทบจะพร้อมๆ กับนิ้วมือที่สอดเข้าไปในช่องเปิดด้านหลัง ฟ่งสะดุ้งสุดตัว เมื่อปลายลิ้นอุ่นร้อนตวัดโลมไปรอบกล้ามเนื้อที่บีบรัดปลายนิ้วนั้นอยู่
ร้อนรนกว่าทุกครั้ง รูฟัสพยายามจะแทรกทั้งปลายนิ้วและปลายลิ้นเข้าไป ราวกับมีความอดทนเหลืออยู่น้อยเต็มที มือแกร่งข้างหนึ่งจับเรียวขาผอมบางให้ยกสูงขึ้น ฟ่งทำได้แค่หอบหายใจ การกระทำก่อนหน้านี้แทบจะดึงเรี่ยวแรงของเขาออกไปหมด
ทันใดนั้นนิ้วมือก็ถูกดึงออก ขาทั้งสองข้างถูกจับยกขึ้นพาดบนไหล่กว้าง ฝ่ามืออุ่นร้อนโอบรอบสะโพก ขย้ำลงไปอย่างแรง แล้วบังคับเบียดเข้ากับส่วนร้อนจัดที่รอท่าอยู่
การสอดใส่เป็นไปอย่างรุนแรงจนร่างผอมบางร้องเสียงลั่น เมื่อความโอฬารเบียดแทรกเข้าไปในช่องทางที่ยังไม่ขยายตัวเต็มที่ ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วทุกเส้นประสาท ได้ยินเสียงคำรามอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วฝ่ามือร้อนจัดก็ขย้ำแรงขึ้น บังคับให้ช่องทางเล็กแคบตอบรับส่วนขยายตัวนั้นลึกเข้าไปอีก
ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะถูกฉีก ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่รูฟัสจะทำรุนแรงขนาดนี้ ความเจ็บปวดแผ่ขยายไปทุกอณูประสาทสัมผัส ขณะที่ฝ่ายนั้นบังคับเบียดกายเข้ามาเรื่อยๆ รูฟัสขยับตัวเข้าๆ ออกๆ อยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดก็ดุนดันเข้ามาจนสุดความยาว
เสียงกรีดร้องดังจนฟังไม่ได้ศัพท์ หยาดน้ำตาไหลพร่างพรูออกมาจากดวงตาสีน้ำตาล ขณะที่รูฟัสกระทั้นกายเข้ามาอย่างไร้ความปราณี ความโอฬารบดเบียดช่องทางเล็กแคบที่ถูกบับคับสอดใส่จนปากทางขยายออกกว้าง การกระแทกกระทั้นยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นทวีคูณ
รูฟัสดึงเสื้อที่ใช้มัดแขนของอีกฝ่ายออก บังคับจับมือของอีกฝ่ายแนบลงกับเตียง อ้าปากขบกัดซอกคอของร่างผอมบางที่กำลังร้องครางอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง
ฟ่งร้องครางเสียงลั่น ความเจ็บปวดประเดประดังเข้ามาในร่าง เซ็กซ์อันรุนแรงแทบจะทำให้ร่างกายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ รูฟัสปล่อยมือที่จับกันอยู่ออก เลื่อนต่ำลงมาตะปบเอวบางเอาไว้ ฟ่งจิกเล็บไปบนผ้าปูที่นอน ดึงทึ้งอย่างไร้สติ ขณะที่ปั้นเอวถูกรั้งสูงขึ้น ความร้อนผ่าวบดเบียดเข้ามาจนลำคอรู้สึกแห้งผาก
ท่ามกลางเสียงร้องอย่างน่าเวทนา รูฟัสบังคับบดเบียดริมฝีปากอีกรอบ น้ำตาไหลพร่างพรูอาบจนเปียกไปทั้งใบหน้า ร่างผอมบางสั่นระริก ท่ามกลางความเจ็บปวด ทำนบอารมณ์ที่ถูกบดขยี้จนยับเยิน ปริแตกออกอย่างไม่อาจควบคุมได้
--------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #63 เมื่อ24-05-2011 18:43:40 »

บทที่26  กรงขัง และพันธนาการ
   ราฟาแอลกำลังแกะปืนออกมาเช็ด ตอนที่คลาวเดียเดินลงมาด้านล่าง เธอหย่อนกายนั่งบนโซฟาข้างๆ เขา มองดูแฟนหนุ่มเช็ดถูอาวุธของตัวเองอย่างเงียบๆ
   เธอรู้จักกับราฟาแอลมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ความสัมพันธ์ของเธอและเขานั้นเป็นไปในรูปแบบที่ยากจะอธิบายให้ใครเข้าใจได้ อย่างไรก็ดี ทั้งเธอและเขาก็ยังติดต่อกันเรื่อยมาจนกระทั่งราฟาแอลเข้าเป็นหน่วยสืบราชการลับ แต่เนื่องจากเจ้าตัวค่อนข้างจะมีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์กับผู้บังคับบัญชา ท้ายที่สุดเจ้าตัวจึงตัดสินใจลาออกและหันมาทำงานเป็นสายลับอิสระ
รูฟัสนั้นย้ายมาอยู่ด้วยหลังจากราฟาแอลลาออกได้ไม่นาน ตามคำสั่งเสียที่เคยได้ให้ไว้ของครูฝึกคนหนึ่งซึ่งราฟาแอลเคารพรัก คลาวเดียยังจำวันแรกที่เธอพบรูฟัสได้ เด็กหนุ่มผมยาวที่มีดวงตาสีประหลาด แวบแรกเธอคิดว่าเขาคงมีปัญหาด้านการมองเห็น แต่สายตาของรูฟัสก็เหมือนคนปกติทั่วไป และออกจะดีกว่าค่ามาตรฐานด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่มีลูกนัยน์ตาที่สีไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
ระยะแรกที่รูฟัสมาอยู่ด้วย เด็กหนุ่มแทบจะไม่พูดไม่จาอะไรกับใคร นอกจากการพูดคุยกับราฟาแอลด้วยภาษารัสเซียเป็นบางครั้งเท่านั้น เขาเป็นคนเงียบๆ และไม่ค่อยจะยิ้มบ่อยนัก แต่กระนั้นก็กวนประสาทเอาเรื่อง ไม่รู้ว่าใบหน้าบึ้งตึงดังกล่าวเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยแบบที่เห็นในปัจจุบันตั้งแต่เมื่อไร คลาวเดียลงความเห็นว่าคงติดมาจากแฟนหนุ่มตัวดีของเธอแน่ๆ
   “เป็นไงบ้างล่ะ เด็กที่มาจากเมืองไทยคนนั้น” ราฟาแอลเอ่ยถาม หลังจากเช็ดปืนเสร็จ  คลาวเดียมองดูผนังห้องตรงหน้าที่เป็นรูเพราะแรงกระแทกของลูกตะกั่ว แล้วถอนหายใจ
   “ก็น่ารักดี ท่าทางรูฟัสจะชอบเขามาก คุณรู้รึเปล่า รูฟัสหน้าแดงด้วยนะตอนที่ฉันบอกว่าฟ่งชอบรูปถ่ายของเขาสมัยเด็กๆ”
   “โอ๊ย ตาย! รูปพวกนั้นอีกแล้ว เมื่อไหร่คุณจะเผามันทิ้งไปสักทีนะ”
   คลาวเดียขมวดคิ้วเมื่อราฟาแอลพูดแบบเดียวกับรูฟัส เธอค้อนใส่แฟนหนุ่มทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองกำแพงที่เป็นรูอีกรอบ และเริ่มพูดต่อ
   “คุณทำผนังพังอีกแล้ว เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยเล่นปืนไม่เลือกที่สักทีนะ ห้องซ้อมยิงปืนก็มีอยู่ชั้นใต้ดิน”
   “เอาน่า  ไว้เดี๋ยวผมจัดการซ่อมให้แล้วกัน” เขากล่าวฝืดๆ ในใจนึกว่าจะต้องบังคับให้รูฟัสมาซ่อมให้ได้
   “ตอนกลางวันฉันไปร้านของชิเอล่ามา ได้ยินว่าคุณตามจีบน้องสาวเธออยู่รึ?”
   “หมายถึงทิมิอา?” ราฟาแอลถามย้อน พลางเอาปืนเก็บเข้ากล่อง คลาวเดียมองเรือนผมสีบลอนด์ทองของแฟนหนุ่ม แล้วถอนหายใจ
   “ท่าทางทิมิอาจะชอบคุณมาก”
   “แหงล่ะ ก็ผมออกจะรูปหล่อ คารมดี สาวที่ไหนจะไม่สนล่ะ” ราฟาแอลยอมรับหน้าตาเฉย นี่เองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคลาวเดียเป็นอะไรที่อธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ยาก
   ราฟาแอลเป็นโรคบ้าผู้หญิง เรียกได้ว่าเห็นผู้หญิงสวยถูกสเป๊กจะต้องเดินไปก้อล้อก้อติกทันที โดยไม่สนว่าตัวเองกำลังควงผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่ คลาวเดียคิดว่าถ้าการถูกตบมีค่าเท่ากับการถูกยิง ราฟาแอลคงตายไปหลายรอบ ถึงกระนั้นเธอเองยังไม่เคยตบเขาเลยสักครั้ง เพราะไม่รู้ว่าตบไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา
   เธอรักเขาในแบบที่เขาเป็น และราฟาแอลเองก็พอใจที่จะอยู่กับผู้หญิงที่รักเขาที่เขาเป็นแบบนี้ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เปลี่ยนผู้หญิงไปกี่คน ท้ายที่สุดเขาก็จะกลับมาที่บ้านหลังนี้ มาพักกายพักใจกับผู้หญิงผมแดงที่รู้จักกันมานานแสนนาน ผู้หญิงที่เขาแทบจะไม่เคยควงไปไหนเลย แต่เป็นคนที่เขาอยู่ด้วยมากที่สุด
   คลาวเดียหันมามองหน้าแฟนหนุ่มของเธออีกครั้ง ด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ
   “ชิเอล่าเป็นห่วงน้องสาวเธอมากนะ ทิมิอายังเด็ก คุณไม่ควรจะไปหยอกเล่นเธอแบบนั้น”
   “ผมก็ไม่ได้คิดจะหยอกเล่นหรอกนะ คุณก็รู้ว่าผมจริงจังกับทุกคน แต่ความจริงจังของผมอาจจะสั้นกว่าคนปกติสักหน่อย” ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีทองหยักศกกล่าว คลาวเดียโคลงศีรษะ “ฉันไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมคุณถึงถูกตบบ่อยนัก”
   “โธ่ ก็ผู้หญิงพวกนั้นไม่เข้าใจผมแบบที่คุณเข้าใจนี่” เขาว่า หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ
   “ฉันรู้แล้วว่าห้ามคุณเรื่องนี้ยากยิ่งกว่าห้ามหมาไม่ให้เห่าเสียอีก เอาเถอะ ยังไงคุณก็ป้องกันบ้างแล้วกัน ฉันไม่อยากให้ทิมิอาติดโรค”
   “อา....” ราฟาแอลครางเสียงยาวทันทีที่ฟังจบ “คุณโกรธ? เอาล่ะ ผมขอโทษแล้วกัน แล้วผมจะเลิกยุ่งกับเธอ”
   คลาวเดียยักไหล่ “เปล่า ฉันไม่ได้โกรธ ฉันแค่เป็นห่วง จริงๆ นะราฟี่ คุณเป็นคนยังไงฉันก็รู้ ฉันจะไปโกรธคุณทำไมกัน”
   “จ้ะๆ” ราฟาแอลรีบพูด และเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
   “เธอคิดว่าไง เรื่องรูฟัสกับเด็กนั่น”
   คลาวเดียมองหน้าราฟาแอลอย่างไม่เข้าใจ เขาเลยพูดต่อ   “คุณคิดว่าสองคนนั่นจะไปกันรอดรึเปล่า?”
   “ไม่รู้สิ” คลาวเดียตอบ เธอไม่มีความเห็นในเรื่องนี้จริงๆ
   “คุณเมี่ยงเล่าให้ฉันฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับเรื่องของเด็กคนนั้น เห็นว่าเป็นสถาปนิก ฉันเองตอนแรกยังคิดว่าเขาอาจจะเกี่ยวอะไรกับแบบแปลนนรกพวกนั้นก็ได้  แต่พอเค้นแล้ว เจ้านั่นก็ยืนยันว่าไม่เกี่ยว นี่ตกลงมันไปติดพันคนข้างห้องจริงๆ รึนี่!”
   ราฟาแอลแทบจะยกมือกุมหัว หากนี่เป็นความจริง มันคงเป็นเรื่องที่เขาทำใจยอมรับได้ยากยิ่งกว่าควงสาวประเภทสองเสียอีก
   “แต่ดูแล้วรูฟัสเหมือนจะชอบฟ่งจริงๆ นะคะ” คลาวเดียพูดอีกครั้ง ราฟาแอลทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตก เขาหันมาถามเธออีกรอบ
   “แล้วเด็กที่ชื่อฟ่งนั่นล่ะ มีปฏิกิริยายังไงบ้าง”
   “เอ..” คลาวเดียนิ่งนึกอยู่อีกพักหนึ่ง “ดูเขากลัวๆ คงจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับรูฟัสเท่าไหร่ล่ะมั้ง”
   “แล้วเด็กนั่นพอใจรูฟัสรึเปล่า?” ราฟาแอลถามต่อ
   “อืม...ก็เหมือนจะพอใจอยู่นะคะ เขาดูจะอยากรู้เรื่องของรูฟัสให้มากขึ้น แต่ก็ยังดูกลัวๆ อยู่เหมือนกัน คงเพราะเพิ่งมารู้ความจริงเอาตอนนี้ล่ะมั้ง”
   ราฟาแอลนิ่งไปพักหนึ่ง “ตามความเห็นของเธอ เธอคิดว่าเด็กที่ชื่อฟ่ง จะเข้ากับเจ้ารูฟัสได้รึเปล่า ฉันหมายถึง เด็กนั่นจะทำงานแบบที่ฉันกับมันทำได้รึเปล่า?”
   คลาวเดียสั่นศีรษะ “ไม่ไหวหรอก โดยส่วนตัวฉันเองก็ไม่อยากให้เขาทำงานเสี่ยงๆ แบบที่พวกคุณทำกัน เขาดู.....บอบบาง แล้วก็อ่อนแอมาก”
   “อืม” ราฟาแอลคราง “คุณเมี่ยงก็บอกฉันแบบนั้น ว่าหล่อนคัดค้านเจ้ารูฟัสแล้วว่าไม่ควรจะไปยุ่งกับเด็กนั่น  ฟ่งเป็นคนธรรมดามาก อย่างน้อยเขาก็ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหรือทำอะไรที่มันอยู่นอกเหนือกฎหมาย ฉันไม่เข้าใจว่ารูฟัสไปติดอกติดใจเด็กนี่ได้ยังไง ไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่ไปกินข้าวด้วยกันทุกวันก็ตกหลุมรักแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
   “บางทีรูฟัสอาจจะมีเหตุผลส่วนตัวก็ได้นะคะ” คลาวเดียกล่าว และกล่าวเสริมต่อ
   “จริงๆ แล้วเขาไม่เคยพาใครไปกินข้าวด้วยกันเกินมื้อหรือสองมื้อเลยนี่ คุณบอกว่าเขาพาเด็กนั่นไปกินข้าวจนมาสาย นั่นอาจจะเป็นเพราะว่ารูฟัสรู้สึกพิเศษกับฟ่งก็ได้นะ”
   ราฟาแอลทำหน้าสยดสยอง เขาไม่อยากเชื่อว่าคำพูดที่เคยพูดแซวรูฟัสเล่นเอาไว้จะเป็นความจริง  รูฟัสพาเด็กนั่นบินมาที่ฮังการีด้วย และเขาก็ยิ้มไม่ออกเลยสักนิด
   “ยังไงก็เถอะ ฉันคิดว่าเรื่องนี้จะต้องจบให้เร็วที่สุด” ราฟาแอลเอ่ยขึ้น คลาวเดียมองหน้าเขาอย่างตกใจ
   “ฉันต้องการให้รูฟัสเลิกยุ่งกับเด็กคนนั้น มันเป็นทางที่ดีกับทั้งคู่”
   “แต่ฉันว่า รูฟัสคงไม่ยอม” คลาวเดียเอ่ยแทรกขึ้นทันที เธอไม่เคยเห็นรูฟัสหน้าแดงหรือแสดงอาการเขินอายกับใครมาก่อน สำหรับกรณีของฟ่ง คลาวเดียคิดว่ารูฟัสกำลังอาการหนัก
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างไม่คัดค้าน แต่เขาก็ยังคิดว่าการคุยกับรูฟัสก่อนเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
   “ฉันคิดว่ายังไงต้องคุยกันตรงๆ  ถึงจะหน้ามืดขนาดไหน แต่จากเหตุผลทั้งหมดแล้ว ฉันคิดว่าในที่สุดมันก็จะยอมปล่อยเด็กนั่นไป เจ้านั่นน่ะ รักใครไม่ได้หรอก”
   “พูดแบบนั้นน่าสงสารรูฟัสนะ” คลาวเดียแย้งขึ้นมาอีก  เธอมองหน้าแฟนหนุ่ม “คุณทำอย่างกับว่ารูฟัสไม่สมควรจะไปรักใครงั้นแหละ”
   “ก็มันจริงนี่” ราฟาแอลกล่าว และเสริมว่า “ผมรู้ว่ามันดูรุนแรง แต่ว่าฟ่งไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมกับรูฟัสหรอก  สองคนนั้นมีวิถีชีวิตต่างกันเกินไป ถ้าคุณสงสารเจ้ารูฟัส คุณก็ควรจะสงสารเจ้าเด็กนั่นด้วย มีชีวิตปกติอยู่ดีๆ ก็ถูกมาเฟียจับตัว แล้วยังต้องบินหนีมาเจอพวกที่ไม่รู้ว่าทำงานแบบไหนกันแน่อีก”
   “เป็นฉันฉันก็คงรู้สึกกลัวเหมือนกัน” คลาวเดียกล่าวสนับสนุน แต่ก็ยังรู้สึกว่าคำพูดของราฟาแอลรุนแรงเกินไปอยู่ดี
   “แล้วคุณจะคุยกับรูฟัสเมื่อไรล่ะ?” เธอถาม ราฟาแอลทำคิ้วย่น
   “ไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่ๆ ตะกี้ก่อนออกมาเธอล็อกประตูห้องรึเปล่า”
   คลาวเดียเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ไม่นี่คะ ทำไมหรือ?”
    ราฟาแอลทำหน้าแปลกๆ “ผมว่าเราออกไปข้างนอกกันเถอะ ไปร้านของชิเอล่าก็ได้  จะได้ไปคุยเรื่องของทิมิอาให้จบๆ”
   “คุณเบื่อเธอล่ะรึ?”
   “ผมหาข้ออ้างอยากเจอเธอต่างหากล่ะ ไปเถอะ” ราฟาแอลกล่าว พร้อมกับฉุดมือคลาวเดียออกไป ความจริงแล้วเขาได้ยินเสียงบางอย่างที่ไม่ค่อยจะโสภานักจากด้านบน
   คลาวเดียอาจจะไม่ได้ยิน และเขาก็ไม่คิดว่าควรจะปล่อยให้เธอได้ยินด้วย
   เจ้ารูฟัสกำลังเมคเลิฟอยู่แน่ๆ
   ราฟาแอลขมวดคิวอย่างไม่ค่อยพอใจขณะเปิดประตูรถให้คลาวเดีย
   เขาควรจะออกไปจากบ้านก่อนที่จะทนขยะแขยงไม่ไหว
-------------------------------------------------------
“ได้ข่าวว่าเธอย้ายซื่อเยี่ยนไปอยู่ห้องเดียวกัน นี่วางแผนอะไรเอาไว้อีกหรือไง?”
   เว่ยเฟิงปิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานขมวดคิ้ว พลางมองหน้าหญิงสาวที่มีลักษณะคล้ายเด็กผู้ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเองด้วยความรำคาญ ความจริงเขาไม่ต้องการที่จะพบเถียนซิงเลยสักนิด แต่เธอนัดจางซื่อเยี่ยนไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูแผล และขากลับก็ดันกลับมาพร้อมกันเสียนี่  เว่ยเฟิงปิงคิดว่าจางซื่อเยี่ยนคงจะไปเล่าอะไรให้เถียนซิงฟังแน่ๆ
   “ก็ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มตอบห้วนๆ ก่อนจะหันไปอ่านเอกสารในมือต่อ แต่ดูเหมือนหญิงสาวยังไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ
   “อย่ามาหลอกฉันให้ยาก  มันต้องมีอะไรแน่ๆ เธอที่ปกติดูรังเกียจเขาเสียขนาดนั้น จู่ๆ ทำไมถึงย้ายไปอยู่ร่วมกันเสียล่ะ”
   เว่ยเฟิงปิงลดมือที่จับเอกสารลง และเงยหน้าขึ้นมามองเถียนซิงอีกครั้ง
   “ก็ไหนเธอบอกว่าซื่อเยี่ยนชอบฉัน ฉันเลยย้ายหมอนั่นมาอยู่ด้วย ไม่เห็นจะแปลกอะไร”
   “แปลกสิ!!” เถียนซิงร้องเสียงแหวว ไม่อยากจะเชื่อว่าเว่ยเฟิงปิงกล้าพูดว่าจางซื่อเยี่ยนชอบเขา ระหว่างสองคนนี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่
   “จะบอกว่าเธอเองก็ชอบเขาอย่างนั้นหรือ?”
   เว่ยเฟิงปิงพยักหน้าเหมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติมากๆ ทำให้เถียนซิงต้องร้องออกมาอีกครั้ง
   “โอ๊ย! เฟิงปิง เมื่อไหร่เธอจะตอบอะไรที่มันตรงกับใจสักทีนะ โอเค ฉันคิดว่าเธออาจจะพอใจอาซื่ออยู่นิดหน่อย จากเรื่องที่เธอแอบไปเยี่ยมเขากลางดึกที่โรงพยาบาล แต่ว่านั่นก็ไม่น่าจะทำให้คนอย่างเธอถึงกับย้ายเขาไปอยู่ด้วยนี่”
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเถียนซิงพูดเรื่องที่เขาแอบไปเยี่ยมจางซื่อเยี่ยนที่โรงพยาบาล
   “ฉันไม่ได้พอใจหมอนั่นสักนิด” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างหมดความอดทน และพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้หงุดหงิดไปมากกว่านี้
   “แต่ฉันรู้ว่าหมอนั่นพอใจฉัน นั่นคือเหตุผลที่ฉันย้ายหมอนั่นไปอยู่ด้วย”
   เถียนซิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เว่ยเฟิงปิงจึงอธิบายต่อ
   “ฉันไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด ซื่อเยี่ยนเป็นคนที่พ่อส่งมาคุมฉัน ฉันไม่รู้ว่าวันๆ หนึ่ง หมอนั่นรายงานพ่อฉันเรื่องอะไรบ้าง  แล้วยิ่งตอนนี้สถานการณ์ก็ไม่น่าวางใจ การเก็บหมอนั่นไว้ใกล้ตัวเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับฉัน”
   “พูดจริงๆ รึ?” เถียนซิงถามกลับอย่างไม่เชื่อ เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดอีกหน
   “เธอจะเอายังไง?” เขาถาม เถียนซิงยักไหล่
   “เปล่า ฉันก็แค่หวังว่า เธออาจจะทำหน้าแดง ยอมรับอย่างอายๆ ว่าจริงๆ แล้วเธอก็ชอบซื่อเยี่ยนอะไรแบบนั้น”
   “บ้าน่ะ!” เว่ยเฟิงปิงพูดสวนออกไปทันที ตอนนี้เขารู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ
   “เธออย่าจินตนาการอะไรบ้าๆ ได้ไหม” เว่ยเฟิงปิงใส่ต่อ มองหน้าญาติอย่างอารมณ์เสีย
   “ฉันแค่อยากจะจับตาดูว่าหมอนั่นไม่ได้พูดอะไรกับพ่อฉัน และ..ถ้าเอาตัวหมอนั่นมาเป็นของฉันได้ ฉันก็จะทำ”
   “เธอว่าไงนะ?”
   “ฉันพูดว่า..” เว่ยเฟิงปิงย้ำคำพูดช้าๆ “ถ้าทำให้หมอนั่นจงรักภักดีต่อฉันมากกว่าคุณพ่อได้ ไม่ว่าวิธีอะไรฉันก็จะทำ”
----------------------------------
   เป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว ที่จางซื่อเยี่ยนได้รับคำสั่งให้ย้ายมาอยู่ร่วมห้องกับเจ้านาย ด้วยเหตุผลบังหน้าว่าเป็นการคุ้มครอง แต่เบื้องหลังนั้น... ถึงตอนนี้จางซื่อเยี่ยนยังไม่เข้าใจเจตนาของเจ้านาย
   เขาไม่เข้าใจเว่ยเฟิงปิงเลยสักนิด
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเขาน่าจะดีใจมากกว่านี้ที่เว่ยเฟิงปิงให้เขาเข้ามาอยู่ด้วย ความจริงมันเป็นเรื่องที่เขาใฝ่ฝันมานานแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับไม่ใช่
   เขารู้สึกว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังวางแผนบางอย่าง
   แม้ว่าจางซื่อเยี่ยนจะทำงานให้คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยมานานหลายปี และคิดว่าตัวเองรู้นิสัยของเจ้านายดีแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับตกอยู่ในแผนที่เจ้านายวางเอาไว้ โดยที่ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร
   ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่าการที่เขาคิดว่าเต็มใจที่จะตกเป็นเหยื่อของเว่ยเฟิงปิงนั้นเป็นเรื่องที่เขาคิดผิด
   จางซื่อเยี่ยนเปิดประตูเข้าไปในห้องพักของเจ้านาย ซึ่งตอนนี้เป็นห้องพักของเขาด้วย เนื่องจากเว่ยเฟิงปิงไล่เขาออกมาหลังจากเถียนซิงเข้าไปพบ วันนี้เขาไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูแผลตามกำหนดนัด และได้รู้ว่าข่าวการย้ายห้องนั่นแพร่สะพัดไปถึงหูแพทย์สาวเรียบร้อยแล้ว
   เถียนซิงถามเขาในหลายๆ เรื่อง และคำถามเหล่านั้นยิ่งกระตุ้นความไม่สบายใจในจิตใจของจางซื่อเยี่ยนให้เพิ่มมากขึ้น
   คนอย่างเว่ยเฟิงปิงคงไม่ทำเรื่องอะไรที่ไร้ผลตอบแทน
   ชายหนุ่มกวาดตามองภายในห้อง เก้าอี้ที่เพิ่มขึ้นมาเป็นสองตัว ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน  และหมอนสองใบที่วางคู่กันอยู่บนเตียง
   ทุกอย่างเว่ยเฟิงปิงเป็นคนจัดการเองทั้งหมด
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกหัวใจเต้นตุ๊บๆ เมื่อนึกว่าหลายวันมานี้เขาได้นอนข้างกายเจ้านายผู้เป็นที่รัก ได้โอบกอดอย่างที่เคยคิดฝัน และยิ่งกว่านั้น  ยังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งไปกับผู้เป็นลูกชายของผู้มีพระคุณของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
   ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้ยอมมีอะไรกับเขา?
   คำถามนี้ยิ่งย้ำชัดขึ้นในหัวสมองของชายหนุ่ม หลังจากผ่านการสนทนากับญาติผู้พี่ของเว่ยเฟิงปิง ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ดูแลอาการของเขา แน่นอนว่าจางซื่อเยี่ยนไม่ได้ปริปากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เลยเถิด แต่ถึงอย่างนั้นข้อสังเกตของเถียนซิงก็ตรงกับที่เขาสงสัย
   เว่ยเฟิงปิงต้องมีแผนอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นจู่ๆ คงไม่ย้ายเขามาอยู่ด้วยแบบนี้
   จางซื่อเยี่ยนเดินผ่านโต๊ะของเว่ยเฟิงปิงไปยังโต๊ะของเขา  และกำลังชั่งใจว่าเขาควรจะรายงานเรื่องนี้กับเว่ยชิงด้วยตัวเองรึเปล่า ข่าวการย้ายห้องในครั้งนี้คงฟุ้งไปถึงหูเจ้านายใหญ่ของเขาเรียบร้อยแล้วแน่ๆ เว่ยชิงจะยังวางใจในตัวเขารึเปล่านะ?
   ฉับพลัน จางซื่อเยี่ยนรู้สึกกลัวขึ้นมาจับจิต
   กลัวว่าเขาจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป
   ถ้าหากผู้เป็นเจ้านายใหญ่ของเขาเกิดไม่พอใจ หรือเกิดรู้ระแคะระคายล่ะก็.....
   อย่าว่าแต่โดนย้ายกลับ ไม่แน่เขาอาจจะโดนไล่ออกจากกลุ่ม โดนกล่าวหาว่าเป็นคนเนรคุณ  และอาจจะเอาชีวิตไม่รอด
   ถึงตอนนั้นเว่ยเฟิงปิงจะเป็นอย่างไร
   จางซื่อเยี่ยนห่วงว่าเว่ยเฟิงปิงจะโดนลงโทษ แต่ว่าลึกๆ แล้ว เขากลัวยิ่งกว่านั้น
   เว่ยเฟิงปิงจะทำหน้าอย่างไรเมื่อถึงเวลานั้น
   ชายหนุ่มเชื่อว่าหากเรื่องแดง เจ้านายของเขายากที่จะเดือดร้อน  เรื่องราวแย่ๆ จะตกอยู่กับเขาทั้งหมด เพราะไม่ว่าจะมองในมุมไหน เขาก็คือลูกน้องผู้หาญอาจเอื้อมไปล่วงเกินผู้เป็นบุตรชายของผู้มีพระคุณชุบเลี้ยงมา  เว่ยชิงนั้นเป็นคนเด็ดขาด และกล้าตัดสินใจจัดการกับอะไรก็ตามที่ก่อหรือสร้างปัญหารังควาญใจของเขา  จางซื่อเยี่ยนซาบซึ้งข้อนี้ดีจากการทำงานในหน่วยดำมาหลายปี
   เว่ยเฟิงปิงจะทำอย่างไร หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา
   จะเสียใจ จะมีน้ำตาหรือเปล่า?
   หรือจะยืนดูเฉยๆ?
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเขาประเมินคุณค่าของตัวเองสูงไป  เว่ยเฟิงปิงน่ะรึจะเสียน้ำตาให้คนอย่างเขา  ในเมื่อเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง  การที่คนคนนั้นยอมลงทุนถึงขั้นมีอะไรด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกันก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะถูกเดินต่อไปแบบไหน เขาก็ควรจะเต็มใจและดีใจที่จะยอมรับ
   แต่ลึกๆ จางซื่อเยี่ยนกลับรู้สึกเจ็บปวด และหวาดหวั่น
   เสียงเปิดประตูทำให้ชายหนุ่มกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง  เขาหันกลับไป และพบว่าเจ้านายกำลังเดินเข้ามา
   “คิดอะไรอยู่รึ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าปกติ ซึ่งทำให้จางซื่อเยี่ยนผิดความคาดหมายไปบ้าง เขาคิดว่าเจ้านายน่าจะแสดงความไม่พอใจมากกว่านี้ เรื่องที่เขากลับมากับเถียนซิง  บางทีสองคนนั้นคงไม่ได้คุยอะไรแย่ๆ อย่างที่เขากลัว
   จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า  เว่ยเฟิงปิงช้อนตาสีฟ้าใสมองเขาอย่างพิเคราะห์ ก่อนจะยิ้มหวานเยิ้ม และเดินมาโอบแขนรอบไหล่เขา
   “อาบน้ำกับฉันหน่อยสิ เดี๋ยวตอนเย็นฉันมีนัดทานอาหารกับคุณเสิ่น ฉันอยากอยู่กับนายก่อน”
   จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเว่ยเฟิงปิงจะเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมาเพื่อเขา
   เว่ยเฟิงปิงขยับตัว  ดึงจางซื่อเยี่ยนให้หันมามองหน้า และเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจนิดๆ
   “เบื่อฉันล่ะรึ?”
   จางซื่อเยี่ยนแทบจะยกมือเคาะกะโหลกตัวเอง เขาอยากจะลืมเรื่องที่คิดเมื่อครู่ให้หมด  เว่ยเฟิงปิงนั้นอ่อนหวานและยั่วยวนมาก จนเขาไม่อยากจะตั้งข้อสังเกตอะไรให้วุ่นวายใจอีก
   ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า ผู้เป็นเจ้านายยิ้มหวาน จนผู้เป็นลูกน้องอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปสัมผัสพวงแก้มแดงเรื่อนั้น และก็ยิ่งทำให้มันแดงเรื่อเข้าไปอีก เว่ยเฟิงปิงเลื่อนมือขึ้นมาโอบคอของจางซื่อเยี่ยน กระซิบเสียงแผ่ว
   “เป็นของฉันตลอดไปนะ..”
   คำพูดนั้นแทบจะทำให้จางซื่อเยี่ยนก้มลงแทบเท้าของผู้เป็นเจ้านาย เขารั้งตัวเว่ยเฟิงปิงมากอดไว้แน่น และแนบจูบลงบนริมฝีปากบางนั้นอยากรักใคร่
   อดีตหน่วยดำยอมศิโรราบให้กับเจ้านายของเขาอีกครั้ง
----------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #64 เมื่อ24-05-2011 18:44:00 »

   เสียงเคาะประตูทำให้ฟ่งรู้สึกตัวตื่น เขาหรี่ตาเพื่อปรับให้เข้ากับแสงสว่าง และจะรู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งตัว วงแขนแกร่งที่โอบกอดเขาอยู่ดึงรั้งร่างของเขากลับไปอยู่ในผ้าห่มอีกครั้งเมื่อเขาทำท่าว่าจะลุกขึ้น
   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมไปเปิดเอง” รูฟัสเอ่ยพลางยิ้มละมุน เขาจูบฟ่งเบาๆ พลางผุดลุกขึ้น เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนราวพาดผ้ามาพันปิดท่อนล่าง ก่อนจะเดินไปที่ประตู
   “ทานข้าวได้แล้ว” คลาวเดียเอ่ย และมีสีหน้าแปลกใจอยู่บ้าง เมื่อเห็นสภาพของรูฟัส
   “อ้อ ฉันเข้าใจล่ะ” เธอเอ่ยออกมา รู้แล้วว่าทำไมตอนเย็นของเมื่อวาน ราฟาแอลถึงได้เร่งให้เธอรีบออกจากบ้าน
   “นี่รบกวนเธอรึเปล่า?” คลาวเดียเอ่ยต่อเมื่อเห็นรูฟัสเงียบ ชายหนุ่มยิ้มบางๆ ตามแบบฉบับของเขา
   “ไม่หรอก เดี๋ยวผมลงไปแล้วกัน”   เขาเอ่ย คลาวเดียจึงถอยหลังออกมาและปิดประตู  เธอไม่อยากคิดว่ารูฟัสทำอะไรกับเด็กผู้ชายที่น่ารักคนนั้น เอาเถอะ ก็สองคนนั่นเป็นแฟนกันนี่
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะถามขึ้น “ห้องน้ำอยู่ไหน...?”
   รูฟัสทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ และพาฟ่งไปที่ประตูที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง ซึ่งเปิดไปเป็นห้องน้ำ
   “ประตูอีกด้านเปิดไปห้องของราฟี่นะ” เขาอธิบาย แต่ฟ่งไม่คิดจะเปิดมันอยู่แล้ว เขามองรูฟัสในเชิงขอร้องให้ออกไปก่อน ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมถอยออกไป
   ฟ่งยืนอยู่หน้ากระจก  มองดูร่างเปลือยของตัวเองที่มีรอยจ้ำสีชมพูคล้ำอยู่ทั่ว  นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าคิสมาร์ก
   สะโพกยังคงเจ็บแปลบ ตอกย้ำว่าสิ่งที่ได้รับเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องโกหก ฟ่งขนลุก วิ่งไปที่ชักโครก จัดการเอาสิ่งที่รูฟัสปล่อยค้างเอาไว้ในตัวออก เมื่อคิดถึงสิ่งที่รูฟัสทำเมื่อวาน ฟ่งรู้สึกกลัวขึ้นมาจับจิต รูฟัสที่เขาไม่รู้จัก รูฟัสที่รุนแรงบ้าคลั่งเหมือนสัตว์ป่า และเหนืออื่นใดที่สุด ร่างกายของเขาติดใจในรสสัมผัสของผู้ชายคนนั้น มันโหยหาและระเริงไปกับสัมผัสนั่น ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เต็มใจสักนิด
   ฟ่งกลัวว่าตัวเองจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้ ถลำลึกลงไปในวังวนแห่งกามอารมณ์วิปริต  เขาไม่เคยต้องการจะเป็นแบบนี้ แม้ว่าจะไม่ได้รังเกียจพวกลักเพศ หรือว่าเกย์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นเกย์ไปเสียเอง
   ร่างบางก้มหน้านิ่ง เขาจะต้องไปให้พ้นจากชีวิตที่มีแต่เรื่องแบบนี้ให้ได้ แต่ว่าการจะหลีกเลี่ยง หากยังอยู่ที่นี่ก็คงเป็นเรื่องยาก เขาจะต้องกลับประเทศให้ได้เสียก่อน
   ฟ่งกัดฟันกรอด มีแต่จะต้องรบเร้าและอ้อนวอนให้รูฟัสส่งเขากลับประเทศเท่านั้น แต่ว่าผู้ชายคนนั้นจะรักษาสัญญาจริงๆ ล่ะหรือ......
---------------------------------------
   รูฟัสยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ ก่อนจะผุดลุกขึ้น สวมเสื้อผ้าและเก็บที่นอนให้เข้าที่ เขาเผลอมีอะไรกับฟ่งไปเมื่อวาน และนอนข้ามวันอย่างเหนื่อยอ่อนจนมาตื่นเพราะเสียงเคาะประตูของคลาวเดีย
   ชายหนุ่มเกือบจะแน่ใจว่าฟ่งต้องไม่พอใจพฤติกรรมก้าวร้าวของเขาเมื่อวานแน่ๆ
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างคนสำนึกผิด เมื่อครู่ตอนตื่นนอน เขายังรู้สึกมีความสุข เนื่องจากไม่ได้ชิดใกล้กับฟ่งหลายวันแล้ว ระยะหลังฟ่งดูจะตีตัวออกห่างเขาไปเรื่อยๆ จนรูฟัสรู้สึกอึดอัด เขาอยากให้ฟ่งอยู่ใกล้ๆ อยากกอด อยากสัมผัส อยากมีสัมพันธ์รักลึกซึ้งกับเจ้าของใบหน้าที่บูดบึ้งนั้น แล้วเมื่อวานเขาก็อดใจไว้ไม่อยู่
   สำหรับเขาแล้ว ฟ่งเป็นอะไรที่ทำให้คลั่งได้เสมอ
   สัมผัสของผิวกายละเอียดอุ่นยังคงตกค้างอยู่บนฝ่ามือ พฤติกรรมของเขาเมื่อวานแทบจะเรียกได้ว่าคลั่ง รูฟัสจำไม่ได้ว่าเขาทำอะไรกับฟ่งไปบ้าง รู้แต่เขาปลดปล่อยอารมณ์อย่างเต็มที่ และเสียงร้องอย่างหวาดกลัวของฟ่งก็กระตุ้นอารมณ์เขาได้อย่างน่าตกใจ
   ชายหนุ่มขบริมฝีปาก เขาเพิ่งสำนึกได้ว่า อาจจะเจอการปิดกั้นจากฟ่งอีกครั้ง
   ร่างผอมบางที่แง้มประตูห้องน้ำออกมาและร้องขอผ้าเช็ดตัว ทำให้ความคิดของเขาหยุดชะงัก รูฟัสเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ตู้มาให้ ฟ่งยื่นมือออกมารับ และพยายามอย่างที่สุดที่จะหลบเขา ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากทางนั้นปิดประตูห้องน้ำแล้ว ไม่รู้ว่าพออาบน้ำเสร็จ ฟ่งจะมีปฏิกิริยากับเขาอย่างไร อาจจะไม่ให้เข้าใกล้อีกก็ได้ พอคิดถึงตรงนี้ รูฟัสก็รู้สึกหงอยขึ้นมาทันที
   ฟ่งเปิดประตูห้องน้ำออกมาพร้อมกับนุ่งผ้าเช็ดตัวครึ่งตัว เขามองหน้ารูฟัสอย่างหวาดๆ และถามถึงเรื่องเสื้อผ้า รูฟัสมองดูฟ่งที่เปลือยท่อนบน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรอยคิสมาร์กที่ตัวเองทำเอาไว้
   แย่ล่ะ นี่เขาทำไปขนาดนี้เลยหรือ
   รูฟัสรีบเดินไปคุ้ยเสื้อผ้าในตู้ พลางคิดว่าคราวนี้คงไม่แค่ไม่ให้เข้าใกล้แน่ๆ ฟ่งได้เสื้อยืดแขนยาวสีสนิม กับกางเกงยีนส์ขายาวจากตู้ของรูฟัส แต่เมื่อใส่เข้าไปก็พบว่ามันหลวมโคร่งทั้งคู่ หนุ่มตาสองสียกมือขึ้นเกาศีรษะ ในที่สุดหลังจากขุดคุ้ยตู้เสื้อผ้าอยู่พักใหญ่ ฟ่งก็ลงเอยกับเสื้อยืดตัวเดิม แต่ได้กางเกงยีนส์ตัวใหม่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องพึ่งเข็มขัดซึ่งก็หลวมอีกเหมือนกัน ฟ่งต้องดึงกางเกงเป็นระยะ เพื่อไม่ให้มันหลุดลงไปกองตรงสะโพก รูฟัสคิดว่าเขาคงต้องจัดการเรื่องเสื้อผ้าของฟ่ง ฟ่งเอ่ยถามถึงผ้าพันคอ เพราะเสื้อที่หลวมทำให้เห็นรอยจ้ำ รูฟัสมองอย่างนึกเสียใจนิดๆ แล้วรื้อผ้าพันคอออกมาให้

   รูฟัสกับฟ่งลงมาที่โต๊ะอาหารหลังจากที่คลาวเดียขึ้นไปตามไม่นานนัก  สภาพฟ่งดูเหมือนเด็กที่ใส่เสื้อผู้ใหญ่ ขณะที่รูฟัสทำหน้าหงอยเหมือนสุนัขที่ถูกดุ
   คลาวเดียตักซุปใส่ชามและวางลงตรงหน้าคนทั้งคู่ ขณะที่ราฟาแอลทานไปก่อนแล้ว  ชายหนุ่มวัยสามสิบสองปี ตวัดดวงตาสีมรกตมองดูคนที่เพิ่งลงมาใหม่อย่างสำรวจตรวจตรา และนึกแปลกใจที่ได้เห็นรูฟัสมีสีหน้าแบบนั้น
   ทั้งสี่ทานอาหารมื้อเช้ากันอย่างเงียบๆ รูฟัสอธิบายให้ฟ่งฟังว่านี้คือซุปกูลาช ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของฮังการี รสชาติของมันถือว่าไม่เลวทีเดียวสำหรับคนต่างถิ่นอย่างฟ่ง แต่ชายหนุ่มสวมแว่นเกิดอาการไม่อยากอาหารขึ้นมา  ดังนั้นกว่าที่จะทานหมดก็กินเวลานานกว่าคนอื่นพอดู
   “ไม่ถูกปากรึ?” คลาวเดียเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฟ่งทานซุปด้วยท่าทางซึมเซา ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า
   “อร่อยแหละครับ แต่ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย” ฟ่งพูด รู้สึกเจ็บคอนิดหน่อย จึงยกน้ำขึ้นมาดื่มตามลงไป
   “ออ” คลาวเดียลากเสียงยาว และหันไปมองรูฟัสด้วยสายตาเหมือนโทษว่าเขาเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ฟ่งรู้สึกไม่สบาย รูฟัสทำหน้าเหลอหลา  และพยายามปฏิเสธด้วยสายอย่างเต็มที่ ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ยังมองเขาอย่างไม่เชื่อถืออยู่ดี

   “เธอน่าจะซื้อเสื้อใหม่ให้เขานะ” คลาวเดียเอ่ยขึ้น หลังจากที่เก็บชามอาหารไปหลังบ้าน โดยมีฟ่งตามไปช่วยทำความสะอาด
   “เสื้อของเธอมันตัวใหญ่เกินไป เด็กนั่นใส่แล้วดูตลกๆ ยังไงไม่รู้”
   รูฟัสพยักหน้าหงึกหงัก  เขาเห็นด้วยกับข้อนี้เป็นอย่างยิ่ง
   “เธอขับรถพาเขาไปซื้อเสื้อผ้าในเมืองก็ได้ ไซต์ขนาดนี้น่าจะมีขาย” คลาวเดียแนะนำต่อ รูฟัสพยักหน้าอีกรอบ และกำลังจะอ้าปากขอกุญแจรถ แต่ราฟาแอลพูดขัดขึ้นก่อน
   “ไม่ต้องเอารถไปหรอก ใกล้แค่นั้น เดินไปก็ได้”
   คลาวเดียขมวดคิ้วกับคำพูดของแฟนหนุ่ม เขาจึงพูดต่อ “เด็กนั่นเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก มีโอกาสก็น่าจะพาไปเดินเล่น ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”
   ถึงตอนนี้คลาวเดียพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่รูฟัสกลับมีสีหน้าแปลกๆ  ราฟาแอลหันไปมองเขาอย่างตั้งใจ
   “ทำไม เกิดขี้เกียจเดินหรือไง?” หนุ่มผมบลอนด์เอ่ยถาม คนถูกถามส่ายหน้าทันที
   “งั้นฉันว่าเดี๋ยวออกไปกันเลยดีกว่า จะได้เดินย่อยอาหารด้วย” คลาวเดียสรุป หลังจากรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างแฟนหนุ่มของเธอกับเพื่อนร่วมงาน  รูฟัสหันไปแปลบทสนทนาบางส่วนให้ฟ่งฟัง ชายหนุ่มผู้สวมแว่นพยักหน้าเป็นระยะๆ
---------------------------------
   อากาศในฤดูใบไม้ร่วงของฮังการีนั้นค่อนข้างจะหนาวมากสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรมาตลอดชีวิตอย่างฟ่ง ชายหนุ่มกระชับเสื้อแจ๊คเก็ตที่รูฟัสซื้อให้เข้ากับตัว ขณะที่สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเข้ามา เขาเหม่อมองออกไปยังทะเลสาบ ดูฝูงหงส์ที่ว่ายน้ำอยู่ ได้ยินเสียงของรูฟัสอธิบายแว่วๆ ว่าทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่าทะเลสาบบาลาตอน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมือง อย่างไรก็ตามฟ่งไม่ให้ความสนใจนักว่าทะเลสาบแห่งนี้จะใหญ่เป็นอันดับที่เท่าไร  สมองของเขากลับนึกไปถึงเรื่องที่รูฟัสทำลงไปเมื่อวาน และพาลย้อนนึกไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา
   ความรู้สึกหวาดกลัวและไม่ไว้วางใจมีเพิ่มมากขึ้น
   ฟ่งไม่กล้ามองหน้า ไม่กล้าสบตากับหนุ่มตาสองสีคนนี้อีก ที่สำคัญ เขากลัวการที่มีผู้ชายคนนี้อยู่ใกล้ๆ  ฟ่งพยายามเดินให้ห่างจากรูฟัสให้มากที่สุดตามสัญชาติญาณ  และหลีกเลี่ยงการที่จะถูกอีกฝ่ายสัมผัสตัว
   เขาอยากที่จะกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด
   ฟ่งกำลังนึกถึงสถานทูต!!
   ถ้าเขาไปที่สถานทูต บอกว่าตัวเองถูกลักพาตัวมา มันจะเป็นเรื่องใหญ่รึเปล่านะ ไม่สิ  คนพวกนี้จะยอมให้เขาไปสถานทูตหรือ?
   และเรื่องที่น่าหนักใจกว่าคือเขาไม่รู้ว่าสถานทูตไทยในฮังการีอยู่ที่ไหน และที่แย่กว่านั้น เขาพูดภาษาฮังการีไม่ได้สักประโยค การถามรูฟัสคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่ และถ้าถามราฟาแอลหรือคลาวเดียก็คงจะให้ผลไม่ต่างกัน
   ฟ่งอธิฐานในใจอย่างเลื่อนลอยว่า ขอให้เจอคนไทยสักคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะรู้สึกย่ำแย่ไปกว่านี้
----------------------------------------
   รูฟัสรู้สึกหนาววาบไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะสายลมที่พัดเข้ามา แต่เพราะพฤติกรรมของชายหนุ่มที่เดินเหม่ออยู่ข้างๆ เขาต่างหาก
   ตอนนี้สายลับหนุ่มรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
   ฟ่งแทบจะไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำ ไม่สิ อาจจะก่อนหน้านั้นอีก  รูฟัสอยากจะร้องตะโกนยอมรับความผิดพลาดที่เขาได้ก่อขึ้นซ้ำซาก
   เขาไม่น่าจะทำแบบนั้นกับฟ่งเมื่อวาน
   ถึงจะรู้สึกแบบนั้น แต่รสสัมผัส ความวาบหวาม เสียงร้องครวญครางที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพู ใบหน้าแดงซ่าน เรือนร่างขาวเนียนที่บิดส่ายอย่างทรมานอยู่ใต้ร่าง ดึงรั้งสติของเขาไปสิ้น รูฟัสคิดว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปเขาก็คงทำเหมือนเดิม  เพราะสำหรับเขาแล้ว ฟ่งนั้นหอมหวานยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลก เป็นคนคนเดียวที่เขาอยากจะสัมผัสแตะต้อง อยากจะทำให้เป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว
   และนั่นก็ทำให้ฟ่งหวาดกลัวมากขึ้น
   ชายหนุ่มพยายามจะยิ้มให้กับผู้ที่เดินหลบเลี่ยงเขาอยู่ ด้วยความหวังแค่ว่ามันอาจจะทำให้ฟ่งรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็เห็นแล้วว่ามันคงจะใช้ไม่ได้ผล
   ราฟาแอลที่เดินตามหลังมาห่างๆ สังเกตพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานและคนที่มาด้วยกัน แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากจะออกมาเดินเล่น ราฟาแอลเป็นคนไม่ชอบเดิน เขาไม่ชอบงานออกแรงฟรี หรือเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ การที่เสนอให้ทั้งหมดเดินออกไปร้านขายของ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเห็นแก่ฟ่ง แต่ราฟาแอลต้องการจะดูความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน กับผู้ชายซึ่งถูกอ้างว่าเป็นคนรัก
   ราฟาแอลเป็นอดีตทหารหน่วยสอดแนมของทางการ และคร่ำหวอดในวงการมานานกว่าสิบปี  เขามีความรู้สึกว่าการที่รูฟัสพาคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรมาอยู่ด้วยมีแต่จะทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง
   ชายหนุ่มเห็นด้วยกับความคิดของเมี่ยง
   รูฟัสนั้นยังไม่เข้าใจว่าการที่เขาดึงคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรเลยเช่นฟ่งมาร่วมชีวิตด้วย จะก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรค์มากเพียงใด อาจจะเป็นเพราะว่าเด็กนั่นไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรัก
   ความจริงราฟาแอลไม่เคยคาดคิดว่ารูฟัสจะไปตกหลุมรักใคร เขารู้จักกับรูฟัสมานาน ตั้งแต่เด็กนั่นยังอายุแค่สิบห้าปี เจ้าเด็กที่แสนจะกวนประสาท ทุ่มเทกับงานมากกว่าใคร สำหรับรูฟัสแล้ว งานสายลับที่ทำอยู่ถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเป็นงานที่คนที่เขานับถือเป็นพ่อบังเกิดเกล้าคนที่สองเป็นคนสั่งสอนให้
   การที่จู่ๆ รูฟัสดันไปหลงคนข้างห้องจนถือเป็นจริงเป็นจังว่าจะเอามาอยู่ร่วมกันให้ได้นั้น  เป็นปัญหาที่ชวนให้ปวดหัว เพราะรูฟัสนั้นดันทุรังเกินกว่าจะพูดจาเหนี่ยวรั้งได้ หากตัดสินใจอะไรไปแล้ว นอกจากกว่าจะไปเผชิญปัญหานั้นด้วยตัวเองเสียก่อน  และราฟาแอลคิดว่าเพื่อนของเขากำลังจะเจอปัญหา
   ราฟาแอลไม่รู้ว่าเมื่อวานรูฟัสทำอะไรฟ่งไปบ้าง ที่รู้แน่ๆ คือสองคนนั่นมีอะไรกัน และปฏิกิริยาในวันต่อมาคือสายตาและทีท่าแสดงความหวาดกลัวมากขึ้น  ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีเขียวและเรือนผมสีบลอนด์เริ่มรู้สึกว่าบางทีรูฟัสอาจจะหลงไปข้างเดียว  และเริ่มคิดไปถึงขั้นเลวร้ายว่าบางทีรูฟัสอาจจะข่มขืนฟ่ง และพยายามบังคับให้เด็กนั่นมาอยู่ด้วยกัน  แต่ก็รีบปัดความคิดนี้ออกไปทันที เพราะนั่นคงไม่ใช่นิสัยของรูฟัส
   เรื่องจึงลงเอยที่ว่า ฟ่งอาจจะรับความจริงเกี่ยวกับเพื่อนของเขาไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ปัญหาคือเหมือนว่ารูฟัสจะไม่ยอมรับในข้อนี้ และพยายามที่จะไม่รับรู้ว่าทำอะไรลงไปบ้าง  ดังนั้นเขาจำเป็นจะต้องทำให้เพื่อนร่วมงานยอมรับถึงความจริงข้อนี้ให้ได้

   “นี่” ราฟาแอลเอ่ยเรียกเพื่อนร่วมงาน เมื่อทั้งหมดเดินมาถึงร้านขายเสื้อผ้า รูฟัสที่ทำท่าจะพาฟ่งเข้าไปในร้านหันมามองด้วยสายตาตั้งคำถาม
   “แกไม่ต้องตามเข้าไปหรอก ให้คลาวเดียไปจัดการให้ก็ได้ ฉันมีเรื่องจะคุยกับแก”
   รูฟัสทำหน้าแย้ง แต่ดูเหมือนว่าราฟาแอลจะวางแผนกับคลาวเดียไว้แล้ว เธอคุยกับฟ่ง และพาเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าทันที ดูเหมือนว่าฟ่งจะมีสีหน้าโล่งใจขึ้น  ดังนั้นรูฟัสจึงถูกบังคับกลายๆ ให้ต้องยืนสนทนาอยู่กับราฟาแอลที่ด้านนอก

   ฟ่งเดินเข้ามาในร้านขายเสื้อผ้าและมองดูรอบๆ คลาวเดียทักทายกับเจ้าของร้านอย่างเป็นกันเอง ด้วยภาษาฮังการีที่ฟ่งฟังไม่รู้เรื่อง มันทำให้เขารู้สึกเกร็งและตื่นเต้นนิดหน่อย ชายหนุ่มเดินไปที่ราวแขวนเสื้อ มองหาเสื้อผ้าขนาดพอจะใส่ได้  จริงๆ คือ เขากำลังมองหาเสื้อที่มีตัวเลขป้ายราคาต่ำที่สุด  ฟ่งรู้สึกละอายใจที่ต้องใช้เงินคนอื่นซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเอง
   ในที่สุดเขาเลือกเสื้อออกมาตัวหนึ่ง และเดินไปหาคลาวเดีย ฟ่งคิดว่ารูฟัสคงจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้น เขาไม่อยากจะใช้เงินของใครทั้งนั้น แต่ว่าเสื้อผ้าของรูฟัสนั้นตัวใหญ่เกินไปสำหรับเขาจริงๆ
   คลาวเดียมองดูเสื้อแล้วมองหน้าเด็กหนุ่มสวมแว่นสลับกันไปมาพักหนึ่ง
   “เลือกมาอีกสิ เธอคงต้องอยู่ที่นี่หลายวัน” หล่อนเอ่ย พลางมองดูนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างเกรงอกเกรงใจ และยิ้มให้
   “ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ รูฟัสเขาจ่ายได้ และเขาสมควรจะจ่ายให้เธอ เพราะเขาเป็นคนทำให้เธอลำบาก”
   ฟ่งมองหน้าหญิงสาว นิ่งคิดไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อย่างน้อยเขาควรจะหาอะไรที่สวมใส่แล้วป้องกันสายตาของคนอื่นได้ในระดับหนึ่ง ฟ่งยังนึกถึงรอยจ้ำสีชมพูเข้มที่มีอยู่ทั่วตัวของเขา จะปล่อยให้ใครเห็นไม่ได้เด็ดขาด
   ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปที่ราวแขวนเสื้อ และเลือกเสื้อผ้าเพิ่มเติม
----------------------------------   
   “ถามจริงๆ เถอะ แกจริงจังกับเด็กนั่นมากขนาดไหน?”
   รูฟัสเบิ่งนัยน์ตาสองสีของเขามองดูเพื่อนอย่างงุนงง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
   “ก็อยากจะให้มาอยู่ด้วย”
   สายลมพัดวูบเข้ามา ปอยผมสีทองของราฟาแอลสยายไปตามแรงลม รูฟัสมองดูนัยน์ตาสีเขียวที่แสดงความแปลกใจนั่นอีกครั้ง และพูดต่อ “ผมจริงจังกับฟ่ง ผมอยากใช้ชีวิตร่วมกันเขา”
   ราฟาแอลหลับตา พยายามคิดกับตัวเองว่าคนที่พูดอยู่ตรงหน้าไม่ใช่รูฟัส  เพราะรูฟัสที่เขารู้จักมาเป็นเวลาสิบกว่าปี ต้องไม่พูดอะไรแบบนี้แน่ๆ มันดูน่าสยดสยองเกินไป
   “แล้วแก...  คิดว่าเขาจะอยู่ร่วมกับแกได้รึ?”
   คำถามนี้ทำเอารูฟัสอึ้งไปพักใหญ่ ฟ่งจะอยู่ร่วมกับเขาได้หรือ? นี่เป็นเรื่องที่ชายหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อน
   “พูดตรงๆ นะ ฉันมองไม่ออกเลยว่าพวกแกสองคนจะไปกันได้ เด็กนั่นดูจะกลัวแกมาก  เมื่อวานแกไปข่มขืนเขาหรือไง?”
   รูฟัสถลึงตาใส่เพื่อนร่วมงาน ราวกับจะถามว่ารู้ได้อย่างไร ราฟาแอลยักไหล่ เอ่ยปากต่อ
   “เด็กนั่นร้องซะเสียงดัง ฉันไม่ได้อยากจะฟังนักหรอกนะ แต่ว่าจากเห็นท่าทางวันนี้ของเขาแล้ว ฉันอดคิดไม่ได้ว่าแกอาจจะหลงชอบข้างเดียวก็ได้”
   คิ้วสีดำเรียวยาวได้รูปของรูฟัสขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ “คุณจะไปรู้ได้ยังไง!”
   ชายหนุ่มโพล่งออกมา ราฟาแอลโบกมือเป็นเชิงให้อีกฝ่ายควบคุมอารมณ์ และพูดต่อ “ฉันไม่รู้ แกรู้รึ? เด็กนั่นเคยบอกแกว่ารักสักคำรึเปล่า?”
   คำพูดของราฟาแอลเหมือนค้อนเหล็กขนาดใหญ่ตอกเข้าไปในหัวใจของรูฟัส  เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่เขาไม่อยากจะย้อนกลับไปคิด ไม่อยากจะคิดเลยว่าจริงๆ แล้วเคยฟ่งรักเขาหรือเปล่า ฟ่งไม่เคยพูด ไม่เคยบอก ไม่เคยจะแสดงอะไรให้เขารู้เลยว่ารักสักครั้ง นอกจากคืนที่เขาพาฟ่งกลับมาจากคลับของเมี่ยงคืนนั้น และจูบที่ฟ่งมอบให้กับเขาสองหนทั้งบนโซฟาและบนเตียงนอน นั่นจะถือเป็นคำบอกรักได้หรือเปล่านะ
   รูฟัสลังเลที่จะชี้ชัดว่านั่นเป็นคำตอบ เรื่องราวคลุมเครือนั้นทำให้เขาทุ่มเทหัวใจให้กับเด็กหนุ่มข้างห้องผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลและนัยน์ตาใสแจ๋วราวกับแก้วเจียระไน
   ในที่สุดเขาก็ส่ายหน้า  ทำให้ราฟาแอลร้องอย่างแปลกใจ “พระเจ้า!!  สรุปว่าแกทึกทักเอาเองจริงๆ?”
   รูฟัสเม้มปาก ทำว่าทึกทักเอาเองของราฟาแอลมันทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจแปลกๆ
   “ผมเปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทึกทักเอาเองจริงๆ หรือเปล่า เรื่องที่ฟ่งมีใจให้ ได้ยินเสียงเพื่อนถอนหายใจยาว
   “นี่ รูฟัส แกชอบเด็กนั่นมากขนาดไหน ฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ความชอบของแกมันรวมถึงการทำให้เขาลำบากด้วยรึเปล่า?”
   “คุณหมายความว่าไงน่ะ?” ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีดำถามสวนทันที ราฟาแอลจ้องเข้าไปในดวงตาสองสีคู่นั้น และกล่าวอย่างช้าๆ
   “หมายความว่า การที่เขาต้องมาตกระกำลำบากเพราะแก ถูกจับตัวไปนั่นมานี่ ใช้ชีวิตอยู่กับคนไม่รู้จัก ถูกหลอก ไม่มีอนาคต นั่นถือเป็นความรักที่แกอยากจะมอบให้เขาอย่างนั้นหรือ?”
   รูฟัสขบกรามแน่น เขาเงียบไปนาน และไม่ยอมตอบคำถามของอีกฝ่าย
   “พอเถอะราฟี่ ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้” เขากล่าวสั้นๆ และหันหลังเดินเข้าไปในร้านขายเสื้อ พอดีกับที่ฟ่งและคลาวเดียเปิดประตูออกมา  คลาวเดียเหลือบตาไปมองราฟาแอลแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาพูดกับรูฟัส
   “เสร็จแล้วล่ะ ดูสิ ใส่แล้วน่ารักดีนะ” เธอเอ่ย และสะกิดฟ่งที่เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ออกมาแล้ว ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีน้ำตาลอ่อนขอบสีน้ำตาลเข้มที่เข้ารูปพอดีตัว กับแจ๊กเก็ตสีน้ำตาลไข่ไก่ ปักลายใบไม้เล็กๆ และสวมกางเกงยีนส์สีสนิม  ดูเข้ากับผิวสีเหลืองและผมสีน้ำตาลเข้มนั้นดี รูฟัสรู้สึกเห็นด้วยกับคำว่า”น่ารัก”ที่คลาวเดียเอ่ย ฟ่งเหมือนลูกนัทสีน้ำตาลที่กำลังสุกได้ที่  ชวนให้อยากแกะเปลือก
   ฟ่งพยายามจะฝืนยิ้ม เขาไม่ได้มองหน้ารูฟัสตรงๆ จริงๆ คือ เขาทนเงยหน้ามองรูฟัสไม่ได้ ฟ่งไม่กล้าจะสบนัยน์ตาสองสีคู่นั้น  เขารู้สึกหวั่นไหวในหลายๆ ด้าน  ความรู้สึกไม่ปลอดภัยทำให้เขาขยับตัวไปยืนหลังคลาวเดียโดยอัตโนมัติ  มันทำให้รูฟัสต้องย่นคิ้วด้วยความอ่อนใจนิดหน่อย
   คงจะดีกว่านี้ถ้าฟ่งมองและยิ้มให้เขา
   “จะกลับเลยรึเปล่า?” คลาวเดียเอ่ย และหันไปมองราฟาแอลเป็นเชิงขอความคิดเห็น แต่จริงๆ แล้วเธอกำลังถามเขาด้วยสายตาว่า คุยกันได้ด้วยดีรึเปล่า ราฟาแอลยักไหล่
   “ก็แล้วแต่สิ จะเดินเล่นต่อก็ได้ ทำไมไม่ถามฟ่งดูล่ะว่าอยากไปไหนรึเปล่า”
   “ผมว่าไปเดินเล่นต่อก็ดีนะ” รูฟัสพูดแทรกขึ้นแทน เขากลัวว่าถ้าฟ่งพูดว่าอยากไปสถานทูตแล้วเขาจะพูดต่อไม่ออก ราฟาแอลคงจงใจที่จะโยนคำถามนี้ เพื่อนของเขามีท่าทีที่แทบจะชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับความรักของเขา
   ฟ่งเงยมองคนทั้งสามอย่างอึดอัดใจ เพราะเขาฟังไม่รู้เลยว่าทั้งหมดกำลังคุยอะไรกันอยู่ และจะพากันไปทำอะไรที่ไหน อย่างไร ฟ่งคิดว่าเขาอยากจะเจอเพื่อนหรือคนรู้จักสักคนหนึ่ง  ซึ่งมันเป็นเพียงแค่ความหวังปลอบใจลมๆ แล้งๆ  แต่แล้วเสียงเอ่ยทักที่เขาไม่อยากจะเชื่อหูก็ดังขึ้น
   “พี่ฟ่ง  พี่ฟ่งใช่รึเปล่า?”
-----------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #65 เมื่อ24-05-2011 18:44:45 »

บทที่27  ความไว้ใจ
   ฟ่งเบิ่งนัยน์ตากว้าง เลื่อนมือขึ้นขยับแว่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผู้เอ่ยทักเป็นเด็กหนุ่มวัยราวๆ สิบเก้ายี่สิบปี สวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีกรมท่า คาดแถบเหลือง ผมสีดำ และนัยน์ตาสีดำสนิท ใบหน้าบ่งบอกว่าเป็นชาวเอเชีย และแน่นอนว่าต้องเป็นคนไทยแน่ๆ
   “พี่ฟ่ง?” น้ำเสียงนั้นเอ่ยอย่างไม่แน่ใจอีกครั้ง บางทีอีกฝ่ายอาจจะคิดว่าตัวเองทักคนผิด  ในที่สุดฟ่งก็โพล่งออกมา
   “กฤษต์?!”
   สีหน้าลังเลของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างอย่างดีใจทันที
   “พี่ฟ่งจริงๆ ด้วย พี่มานี่ได้ไงเนี่ย?!”
   ฟ่งสะอึกเล็กน้อยกับคำถามของเด็กหนุ่ม เขาพยายามนึกหาคำตอบที่ดีกว่าการพูดความจริง กฤษต์มองไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวชาวยุโรปที่ดูเหมือนว่าจะมาด้วยกันแล้วพูดขึ้นต่อ
   “พี่มาเที่ยวกับเพื่อนเหรอ?”
   ฟ่งพยักหน้า นึกดีใจที่อีกฝ่ายช่วยคิดคำตอบให้  เด็กหนุ่มมองหน้าเขาและมองไปด้านหลังอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากอย่างไม่แน่ใจ
   “นี่ผมรบกวนเวลาพี่รึเปล่า?”
   ฟ่งรีบส่ายหน้าทันที “เปล่าเลย พี่กำลังนึกอยากเจอเพื่อนคนไทยอยู่พอดี”
   กฤษต์ทำหน้าดีใจระคนแปลกใจ ชายหนุ่มสวมแว่นจึงรีบพูดขึ้นต่อ “เธอมาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย พี่คิดว่าจะเรียนมหาลัยเสียอีก”
   “อ้อ ผมได้ทุนมาเรียนต่อวิศวะที่นี่น่ะ”
   “เก่งนี่” ฟ่งเอ่ยชม ผู้ถูกชมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับคำชมนั้น และพูดขึ้นต่อ
   “พี่เจอพงษ์มันบ้างรึเปล่า ก่อนมานี่ผมล่ะปวดหัวกับมันจริงๆ เรียนจบแล้วท่าทางมันจะยิ่งอาการหนัก ไม่รู้ตอนนี้จะผ่าตัดแปลงเพศไปแล้วรึเปล่า” พูดพลางทำสีหน้าละเหี่ยใจ
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ กฤษต์เป็นน้องชายแท้ๆ ของเพื่อนสนิทของเขา วุฒิพงษ์ หรือที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นพัชไปแล้ว คำถามของกฤษต์ทำให้ฟ่งแน่ใจว่ากฤษต์ยังไม่รู้เรื่องที่พงษ์ผ่าตัดแปลงเพศ แปลว่าพี่น้องสองคนนี่คงไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว
   แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่พงษ์และกฤษต์แทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ทั้งเรื่องความชอบส่วนตัว การเรียน นิสัย ยกเว้นความใกล้เคียงกันของหน้าตา และนั่นทำให้กฤษต์รู้สึกหัวเสียทุกครั้งที่มีใครทักเขาว่าเหมือนพี่
   กฤษต์เป็นเด็กหนุ่มที่ร่าเริง และกล้าแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ชอบอะไรก็พูดอย่างนั้น และแน่นอนว่าเขาไม่ชอบใจสักนิดที่พี่ชายของตัวเองมีความผิดปกติทางเพศ นั่นทำให้พี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร อย่างไรก็ดี ดูเหมือนกฤษต์จะถูกชะตากับฟ่งอยู่มาก นั่นทำให้พงษ์อดจะแขวะทั้งคู่บ่อยๆ ไม่ได้ว่า กฤษต์น่าจะไปเกิดเป็นน้องชายของฟ่ง มากกว่าเกิดเป็นน้องชายเขา
   “วันก่อนเพิ่งนัดรวมรุ่นกันไปน่ะ” ฟ่งกล่าว และเลือกที่จะไม่พูดเรื่องที่พงษ์แปลงเพศแล้ว  กฤษต์ยักไหล่ แสดงทีท่าว่าไม่อยากให้ความสำคัญกับผู้เป็นพี่ชายมากเท่าไรนัก
   “พี่มาซื้อของเหรอ?” เขาเอ่ยถามอีก และหันไปเอ่ยทักทายชายหนุ่มสองคนและหญิงสาวที่คิดว่าเป็นเพื่อนของฟ่งเป็นภาษาฮังกาเรียน “Jo nappot kivanok A nevem Krish, Fong baradja vagyok.”
   คลาวเดียกล่าวทักทายกลับพร้อมยิ้มอย่างเป็นมิตร ขณะที่ราฟาแอลตอบพอเป็นพิธี
   “เพื่อนกันหรือครับ?” รูฟัสผู้ที่แค่พยักหน้าให้ เอ่ยถามเป็นภาษาไทยออกมา ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ และถอยห่างออกมาอย่างลืมตัวอีกครั้ง รูฟัสถอนหายใจเบาๆ ขณะที่ราฟาแอลหัวเราะขึ้นจมูก
   กฤษต์มีสีหน้าประหลาดใจ และเปลี่ยนเป็นอยากรู้อยากเห็น “พูดภาษาไทยได้ด้วย! เพื่อนพี่ฟ่งที่เมืองไทยเหรอ?”
   “อืม” ฟ่งส่งเสียงตอบรับในลำคอ ก่อนจะพูดต่อ “เพื่อนข้างห้องน่ะ”
   คำว่าเพื่อนข้างห้องที่ฟ่งพูดออกมา ทำเอารูฟัสรู้สึกเหมือนถูกต่อย ทำไมน้ำเสียงและวลีนั่นถึงได้ดูเย็นชาและห่างไกลนัก กฤษต์เบิ่งตากว้าง มองรูฟัสขึ้นๆ ลงๆ อย่างสำรวจ  นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีรู้สึกไม่ค่อยพอใจ มันทำให้รู้สึกว่าเด็กคนนี้พลอยจะไม่ไว้ใจเขาไปอีกคน
   “สนิทกันจัง เพื่อนผมที่อยู่ห้องติดกันมันยังไม่ยอมพาผมไปเที่ยวเลย อยู่ประเทศตัวเองแท้ๆ”
   ฟ่งหัวเราะแห้งๆ นี่ถ้าเด็กคนนี้รู้ว่าเขากับคนข้างห้องมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งเกินกว่าเพื่อนข้างห้อง จะทำสีหน้าแบบไหนนะ เมื่อนึกถึงสีหน้าของกฤษต์เมื่อพูดถึงพงษ์แล้วชายหนุ่มก็ตกลงใจว่าจะไม่ยอมให้กฤษต์รู้เรื่องของเขาอย่างเด็ดขาด
   “พี่จะอยู่ที่นี่นานรึเปล่า ผมพักอยู่หอที่เวสเปรมนี่เอง” กฤษต์เปลี่ยนเรื่อง ฟ่งขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวสเปรมคืออะไร กฤษต์มองหน้าเขา และเหมือนจะรู้ว่าฟ่งไม่เข้าใจ จึงรีบพูดขึ้นต่อ “มันอยู่เมืองถัดไปนี่เองพี่ นั่งรถบัสไปสักสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว”
   “พี่นั่งไม่เป็นหรอก”
   “พี่ให้เพื่อนช่วยพาไปก็ได้” เด็กหนุ่มว่า แต่พอหันไปมองสีหน้าของรูฟัส เด็กหนุ่มชะงักไปนิดหน่อย และหยิบประเป๋าสตางค์ขึ้นมา
   “เอางี้  พี่ขึ้นรถบัสไปก็ได้ ถ้าจากถนนนี่ก็ไปขึ้นที่ป้ายฝั่งตรงข้าม เลือกสายที่ไปตามถนนเปเตอฟี ชานดอร์นะ นั่งสายอื่นเลยไปถึงติฮานย์ผมไม่รู้ด้วย ตรงป้ายรถเมล์มันจะมีตารางเวลาที่บัสมาถึง ก็ดูเวลาไว้แล้วก็มารอนะครับ แล้วเอาตั๋วนี่ตอกกับเครื่องสีแดงๆ ในรถ นั่งไปประมาณเกือบๆครึ่งชั่วโมงได้มั้ง ถึงเวสเปรมแล้วก็รู้เอง เพราะมันจะไปจอดตรงท่ารถบัสเลยง่ายกว่า ผมอยากให้พี่แวะมาหาก่อนกลับ จริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าจะได้เจอคนรู้จักที่นี่หรอก”
   “พี่ก็ไม่คิดว่าจะเจอเหมือนกัน” ฟ่งว่า หลังจากฟังคำอธิบายยาวเหยียดที่เขายอมรับว่าจำได้ไม่ถึงครึ่ง
   กฤษต์หยิบตั๋วรถบัสออกมา และหยิบปากกาขึ้นมาเขียนตัวเลขชุดหนึ่งลงไปบนเศษกระดาษและยื่นให้ฟ่ง “นี่ตั๋วรถกับเบอร์โทรผม  พี่ลงรถแล้วโทรมาก็ได้ เดี๋ยวผมไปรับ ช่วงนี้ปิดเทอมอยู่น่ะ”
   ฟ่งพยักหน้า แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะไปหาตามที่ว่าได้อย่างไร
   “พี่จะลองไปแล้วกัน” เขาเอ่ย เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะถูกเรียกด้วยเสียงโหวกเหวกด้านหลัง
   “โอ๊ย! ต้องไปแล้วพี่ ไอ้เพื่อนมันมาตามแล้ว ไว้เจอกันนะ”   กฤษต์พูดเร็วปรื๋อ ขณะที่เสียงตะโกนเรียกดังซ้ำขึ้น  ฟ่งโบกมืออย่างงงๆ  ขณะมองเด็กหนุ่มวิ่งกลับไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนชาวต่างชาติ
---------------------------------------
   แสงสว่างแรกจากดวงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่เข้ามาในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีดำสนิทตัดสั้นหรี่นัยน์ตาสีฟ้าใสเพื่อปรับให้เข้ากับแสงสว่างนั้น พลางคิดว่านานเท่าไรกันนะที่เขาไม่เคยเปิดผ้าม่านเพื่อรับแสงแดด
   เว่ยเฟิงปิงบิดตัวอย่างเกียจคร้านภายใต้ผ้าห่มนวมสีครีมอ่อน เขาอยู่ในชุดนอนแพรสีน้ำตาล ปกติเว่ยเฟิงปิงไม่ได้ตื่นสาย แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นเช้าขนาดนี้ การที่จางซื่อเยี่ยนย้ายเข้ามาอยู่ร่วมห้องด้วยทำให้วิถีชีวิตของเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อย
   หนุ่มชาวฮ่องกงวัยยี่สิบสี่คนนี้ ถูกพ่อของเขาเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก เว่ยชิงชุบเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้หลายคน จุดประสงค์ก็เพื่อไว้ใช้ทำงานสำคัญภายในแก๊ง บางครั้งเว่ยเฟิงปิงก็นึกอิจฉาว่า ทำไมพ่อของเขาจึงไม่เลี้ยงดูเขาบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะนำมาขบคิดให้วุ่นวาย  เพราะอย่างไรเสีย เวลาก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว และเว่ยเฟิงปิงก็ไม่เคยคิดอยากจะย้อนกลับไปด้วย
   แม้ว่าจะย้ายมาอยู่ร่วมห้องกันแล้ว แต่จางซื่อเยี่ยนยังคงใช้ชีวิตประจำวันแทบจะตามตารางเดิมทุกอย่าง เขาตื่นแต่เช้าตรู่ จัดการเรื่องเวรยาม เตรียมเอกสาร สั่งแม่บ้านให้เตรียมอาหาร และปลุกเจ้านาย เว่ยฟิงปิงคิดว่าสิ่งที่จางซื่อเยี่ยนได้ทำเพิ่มคือการลุกอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เขาตื่น ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะเขาก็ตื่นขึ้นมาทุกที
   เว่ยเฟิงปิงซุกกายกลับเข้าไปในผ้าห่ม แสงสว่างจากม่านหน้าต่างที่จางซื่อเยี่ยนเปิดทิ้งไว้ทุกเช้าไม่ใช่สิ่งที่รบกวนเวลานอนของเขา
   ไฟล์ลับที่ได้จากรูฟัสเมื่อวันก่อนต่างหาก ที่ทำให้เขานอนหลับไม่สนิทมาหลายคืน
   ไม่ใช่เพราะว่ามันผิดพลาด หรือเปิดไม่ได้ แต่เพราะว่าข้อมูลที่ได้มานั้นมีมูลค่ามากกว่าที่เว่ยเฟิงปิงคาดเอาไว้มาก ชายหนุ่มกำลังลังเลใจว่าจะเก็บข้อมูลบางส่วนไว้ หรือมอบมันให้กับเว่ยชิงทั้งหมดดี
   หากเขาทำตัวตรงไปตรงมา มอบข้อมูลทั้งหมดไป สิ่งที่ได้กลับมาคงเป็นความไว้วางใจที่เพิ่มมากขึ้น และผู้เป็นบิดาของเขาอาจจะเปิดทางให้เขาก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงไปกว่านี้  แต่นั่นก็หมายถึงว่าเขากำลังทำตัวเป็นเครื่องมือที่ซื่อสัตย์และแสนดีให้ผู้เป็นบิดา ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มพอใจเท่าไรนัก
   ในทางกลับกัน เว่ยชิงไม่มีทางรู้เลยว่าเขาได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง ดังนั้นการเก็บไว้บางส่วนน่าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยนัก และการเก็บข้อมูลบางส่วนเอาไว้ในมือทำให้เขามีอำนาจในการต่อรองเพิ่มขึ้นอีกในภายภาคหน้า อย่างไรก็ตามหากเว่ยชิงเกิดระแคะระคายขึ้นมา  เรื่องราวต่างๆ ที่จะตามมาคงไม่ค่อยจะโสภานัก
   ชายหนุ่มพลิกตัว พยายามชั่งน้ำหนักเหตุผลเพื่อที่จะตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไร อีกไม่นานหากเขายังเงียบ ผู้เป็นพ่อคงต้องส่งใครมาทวงถาม
   ใบหน้าของเว่ยจินหยินผุดขึ้นมาในหัวสมองทันที
   คิ้วเรียวได้รูปของเว่ยเฟิงปิงขมวดเข้าหากันเมื่อนึกถึงผู้เป็นพี่ชาย เขาไม่เคยนึกจะชอบหน้าพี่ชายคนนี้นัก ไม่สิ เขาไม่ชอบหน้าพี่น้องสักคนเลยต่างหาก แต่กับเว่ยจินหยินแล้ว คำว่าเกลียดขี้หน้าดูจะเหมาะมากกว่า สำหรับเขาแล้วชื่อของเว่ยจินหยินนั้นเหมือนมีดคมๆ ที่คอยรอท่าจะเสียบเขาอยู่เสียร่ำไป เปิดช่องว่างเมื่อไร อาจจะตายโดยไม่รู้ตัวก็ได้
   นอกจากจะรู้จักกันในฐานะคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยแล้ว เว่ยจินหยินยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะ ผู้ชายที่เลวร้ายที่สุดในฮ่องกงอีกด้วย
   เว่ยจินหยินได้รับฉายานี้มาก่อนที่เว่ยเฟิงปิงจะมาถึงฮ่องกงเสียอีก จากข่าวลือที่ว่าเขาพยายามจะฆ่าน้องชายตัวเองไปถึงสามคน และทำสำเร็จเสียด้วย แม้ว่าอีกคนหนึ่งจะเป็นเจ้าชายนิททราก็ตาม
   เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าข่าวลือนี้มีมูลความจริงมากน้อยเพียงไร แต่ที่แน่ๆ เว่ยจินหยินก็คงไม่พอใจขี้หน้าของเขาเท่าไรนัก ดูจากการมาคอยสอดคอยแทรก หาช่องว่างจะทำลายเขาในแทบทุกเรื่อง แน่ล่ะ ก็เขาทำตัวเป็นคู่แข่งแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลนี่นา
   การที่เว่ยเฟิงปิงรู้สึกรังเกียจพี่ชายคนนี้เป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่เพราะเว่ยจินหยินชอบคอยขัดแข้งขัดขาเขาเท่านั้น แต่เป็นเพราะจังหวะในการเข้ามายุ่งย่ามนั้นช่างพอเหมาะพอดีกับช่วงที่เขากำลังจะพลาดไปเสียทุกที
   นั่นอาจจะเป็นเพราะเว่ยจินหยินมีวิธีคิดแบบเดียวกับเขาก็ได้ เผลอๆ จะคิดนำหน้าเขาไปอีกก้าวหนึ่งด้วยซ้ำ
   เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะยอมรับในข้อนี้ แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้  ทุกครั้งที่เขาเจอหน้าพี่ชาย เขาบอกได้แค่ว่าเจ้าหมอนี่คงมีแผนชั่วร้ายอะไรบางอย่าง แต่เว่ยจินหยินกลับดูแผนของเขาออกทะลุปรุโปร่ง เมื่อนึกถึงใบหน้าที่แสร้งทำเป็นแปลกใจตอนที่พบเขาในห้องพักของจางซื่อเยี่ยนแล้ว เว่ยเฟิงปิงยิ่งรู้สึกหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก
   สักวันเขาจะต้องลบชื่อของเว่ยจินหยินออกไปจากโลกให้ได้
-----------------------------------------------
   “คุณชาย?” เสียงเรียกนั้นไม่ได้ทำให้เว่ยจินหยินสะดุ้ง แต่เกิดจากความรู้สึกหนาวที่วาบเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในจังหวะที่พอดีกับเสียงเรียกนั้นต่างหาก  ดูเหมือนผู้ที่เรียกจะพลอยเข้าใจผิดคิดว่าทำให้เขาตกใจ  จึงรีบพูดต่อ “ขออภัยครับ”
   ชายวัยสี่สิบเศษกล่าวอย่างเคารพให้กับเจ้านายผู้อ่อนวัยกว่าเขาเป็นสิบปี เว่ยจินหยินขยับแว่นตากรอบทองและเขม่นมองใบหน้าที่เหมือนไม่เห็นมานานมากแล้วนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยทักอย่างดีใจ “อ่าว อาซาน”
   ผู้ถูกเรียกว่าอาซานยิ้มตอบคำทักทายนั้น เขาเป็นชายวัยสี่สิบเศษที่ดูดีในแบบของคนทำงาน ผมสีดำตัดสั้นที่เริ่มมีสีขาวแซมก่อนวัย ใบหน้าคม สันกรามนูน ผิวคล้ำเพราะแสงแดดเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทราวหินน้ำตก สวมเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนและกางเกงสแลกสีน้ำตาลเข้ม ที่ดูสะดุดตาคงเป็นรอยไหม้เล็กๆ บริเวณใต้แก้มซ้าย
   “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ”
   เว่ยจินหยินรีบโบกมือเป็นเชิงห้าม “ฉันได้ยินเสียงเคาะประตูแล้ว เอาเถอะ ฉันไม่ได้สะดุ้งเพราะเสียงของนายหรอก นั่งก่อนสิ”
   ผู้ถูกเชื้อเชิญลากเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ เข้ามานั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของเว่ยจินหยิน  และหยิบกระเช้าผลไม้ที่หิ้วเข้ามาวางลงบนโต๊ะ  เว่ยจินหยินเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจอีกครั้ง
   “คราวนี้ไม่ได้ใส่ถุงพลาสติกมาเหรอ?”
   ผู้ถูกทักหัวเราะร่วน “กระเช้านี้อาซิงเป็นคนจัดน่ะครับ ผมแวะไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้เห็นเด็กเร่ขายอยู่เลยช่วยซื้อมา”
   “อ้อ เด็กที่ขายส้มเพื่อจ่ายค่าเทอมน่ะรึ? ฉันเห็นในหนังสือพิมพ์แล้วล่ะ แล้วอาซิงสบายดี?”
   ชายหนุ่มผู้มีวัยสูงกว่าพยักหน้า “สบายดีครับ ออกเวรมาเห็นถุงส้มวางอยู่คงรู้ว่าจะเอามาให้คุณ เลยเอาไปจัดกระเช้าเสียสวย แต่ว่าคุณไม่ได้เจอกับเธอตอนไปเยี่ยมซื่อเยี่ยนเหรอ?”
   เว่ยจินหยินสั่นศีรษะ “เปล่า ฉันไม่อยากไปรบกวนเธอ เห็นว่างานยุ่งๆ อ๊ะ ขอบใจ”
   ชายหนุ่มกล่าว และรับส้มที่แกะเปลือกแล้วมาทาน อาซาน หรือเถียนซาน กองเปลือกส้มไว้ข้างกระเช้า และเริ่มแกะอีกลูกหนึ่ง เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเถียนซิง และเคยเป็นหัวหน้าของจางซื่อเยี่ยน เถียนซานมองดูบุตรชายคนที่สองของผู้เป็นเจ้านายใหญ่บิส้มเข้าปากแล้วนึกถึงเรื่องราวในอดีต
   ตอนสมัยที่อายุได้ราวๆ สิบห้าสิบหกปี  เถียนซานได้รับมอบหมายให้ดูแลเว่ยจินหยินที่ตอนนั้นเพิ่งอายุเพียงแค่สี่ขวบ เรื่อยมาจนกระทั่งเว่ยจินหยินไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ หลังจากกลับมา เขาก็ทำงานรับใช้เว่ยจินหยินอีกเป็นเวลาหลายปี ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันเป็นพิเศษ เฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้นที่เว่ยจินหยินจะแสดงท่าทีสบายๆ ออกมา
   เว่ยจินหยินเหลือบตามองลอดแว่น ด้วยสายตาตาที่เหมือนกับเด็กๆ ก่อนจะรับส้มที่ปอกเปลือกแล้วไปทานต่อ  เขารู้สึกสบายใจเวลาที่มีผู้ชายคนนี้อยู่ใกล้ๆ  ไม่ไม่ต้องวางท่า ไม่ต้องปั้นสีหน้า เฉพาะเถียนซานเท่านั้นที่เขาสามารถจะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกไปได้
   “นี่” เว่ยจินหยินพูดหลังจากทานส้มลูกที่สี่หมด ส้มเป็นผลไม้โปรดของเขา เรื่องนี้มีแต่สองพี่น้องแซ่เถียนเท่านั้นที่รู้ดี
   “วันหลังบอกอาซิงว่าให้ใส่ถุงมาเหมือนเดิมนั่นแหละดีแล้ว ตะกร้านี่เอาไว้ก็เกะกะ”
   “ถ้าอาซิงได้ยินคงทำหน้างอนให้ได้ง้อแน่
   เว่ยจินหยินหัวเราะเบาๆ  พลางนึกถึงใบหน้าของเถียนซิงเวลางอน คงดูไม่จืด
   “พักนี้ดูว่าอาซิงจะสนิทกับเฟิงปิงนะ”
   “อืม ปกติคุณชายเจ็ดก็ชอบเรียกใช้งานอาซิงอยู่แล้ว ยิ่งซื่อเยี่ยนมาบาดเจ็บแบบนี้อีก ก็คงมีเรื่องให้คุยกันล่ะครับ”
   “ฉันได้ยินว่าเฟิงปิงย้ายซื่อเยี่ยนไปอยู่ห้องเดียวกัน นายคิดว่าไง?”
   เถียนซานขมวดคิ้วกับคำถาม  เว่ยจินหยินเลยอธิบายต่อ “ฉันน่ะ ไม่ได้คิดไม่ดีอะไรกับซื่อเยี่ยนหรอกน่ะ แต่ก็รู้อยู่ว่าเฟิงปิงน่ะไม่ปกติ หมายถึงเรื่องรสนิยมเรื่องพรรณนั้น”
   “เรื่องที่คุณเฟิงปิงเป็นเกย์น่ะหรือครับ?”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า และพูดต่อด้วยสีหน้าค่อนข้างจะรังเกียจ
   “บอกตรงๆ ว่าฉันยังรับเรื่องนั้นไม่ค่อยได้ ไม่รู้ว่าคุณพ่อทนรับเด็กนั่นกลับมาได้ยังไง  แต่เอาเถอะ ฉันก็แค่กลัวว่าซื่อเยี่ยนจะโดนทำมิดีมิร้าย”
   เถียนซานแทบจะหัวเราะออกมา เขากลั้นยิ้มไว้อย่างเต็มที่  จนอีกฝ่ายต้องทัก “ทำไมล่ะ ตลกเหรอ?”
   เถียนซานพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด ก่อนจะรีบอธิบาย
   “คือ พอนึกภาพว่าคุณชายเจ็ดจะทำอะไรอาซื่อแล้วผมอดขำไม่ได้น่ะ คุณชายเจ็ดคงทำอะไรอาซื่อไม่ได้หรอกครับ ยกเว้นว่าอาซื่อจะสมยอมเอง อันนั้นคงเป็นอีกเรื่อง”
   “อืม..” เว่ยจินหยินทำท่าคิดหนัก
   “ฉันคงเป็นห่วงมากไป” เขากล่าวพลางถอนหายใจในที่สุด
   “บางทีเฟิงปิงคงอยากจับตามองอาซื่อมากกว่า หลายวันนี้เขาไม่ได้ติดต่อมาที่นี่เลย”
   “ปกติอาซื่อก็ไม่ค่อยจะติดต่อมาอยู่แล้วล่ะครับ คุณท่านวางใจเขามาก”
   “เรียกว่าไม่ใส่ใจจะดีกว่า” เว่ยจินหยินพูดสวนขึ้น พลางทำหน้าแปลกๆ
   “ฉันไม่ชอบเลยที่คุณพ่อให้เด็กนั่นกลับเข้ามาในแก๊ง เฟิงปิงเจ้าเล่ห์เหมือนงู เวลามองตาสีฟ้านั่นแล้ว ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย”
   เถียนซานลองนึกภาพแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาไม่ค่อยจะได้พบกับเว่ยเฟิงปิงบ่อยนัก แต่ความรู้สึกที่เจอแล้วไม่ทำให้สบายใจเลยนั้นมันเหมือนกับตัวบ่งบอกลักษณะของเด็กผู้ชายคนนั้นได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาสีฟ้าที่เจ้าเล่ห์ราวพญางูนั้น ไม่ว่าใครที่ได้พบก็คงลืมไม่ลงเช่นกัน
   “คุณท่านคงอยากให้เกิดการแข่งขันขึ้นในครอบครัวน่ะครับ”
   เถียนซานออกความเห็นไปตามตรง ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอ้อมค้อมกับเว่ยจินหยิน การอ้อมค้อมมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายเลิกพูดคุยด้วยเท่านั้น เว่ยจินหยินเป็นคนที่เก่งในเรื่องการพูดอ้อมค้อมวกวน แต่กลับไม่ชอบให้ใครมาพูดจาอ้อมค้อมด้วย เถียนซานคิดว่าการที่เว่ยจินหยินพูดคุยกับเขาแบบนี้ คงมีจุดประสงค์จะสืบเรื่องราวของผู้เป็นน้องชายแน่ๆ
   ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังหลังโต๊ะทำงานยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด เขามองดูชายผู้สูงวัยกว่าที่นั่งอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับเปลือกส้ม พลางคิดว่าคนคนนี้แหละที่เข้าใจเขาทะลุปรุโปร่ง และตัดสินใจว่าจะเลิกพูดอ้อมค้อมเสียที
   “ก็จริงของนาย แต่ฉันรู้สึกไม่ไว้วางใจเด็กนั่นเลย ก่อนหน้านี้ตอนฉันแวะไปเยี่ยม เฟิงปิงยังไม่ได้ข้อมูลของริเวิล แต่หลังจากนั้นไม่นาน ริเวิลก็เริ่มเคลื่อนไหว”
   “ที่บุกไปป้วนเปี้ยนแถวบ่อนของโจวยี่หรือครับ?”
   “อืม” เว่ยจินหยินพยักหน้า และพูดต่อ “ดูเหมือนว่าเฟิงปิงจะให้การคุ้มครองสายลับและตัวประกันที่เขาจับมา และให้โจวยี่ส่งสองคนนั่นออกจากฮ่องกงในคืนนั้นเลย  เขาคงได้ข้อมูลแล้ว แต่ทำไมถึงยังเงียบอยู่”
   “อาจจะกำลังตรวจสอบอยู่ก็ได้ครับ” เถียนซานออกความเห็น แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงการพูดคุยเป็นเพื่อน เขารู้ดีว่าเว่ยจินหยินคิดคำตอบไว้แล้วทุกอย่าง การถามออกมาเป็นเพียงการต่อประโยคเท่านั้น
   “ไม่หรอก” ชายหนุ่มกล่าว พลางขยับแว่นอีกครั้ง
   “อย่างเฟิงปิงน่ะ จะตรวจสอบข้อมูลพวกนั้นใช้เวลาไม่ถึงวันก็ตรวจได้แล้ว ฉันว่าเด็กนั่นคงคิดว่าจะส่งข้อมูลนั่นให้คุณพ่อทั้งหมด หรือจะเก็บบางส่วนเอาไว้แน่ๆ”
   เถียนซานนิ่งนึกไปครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมพูดต่อ จึงพูดแทรกขึ้น “แล้วถ้าเป็นคุณล่ะครับ คุณจะเลือกทำแบบไหน?”
   รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากได้รูปของเว่ยจินหยิน ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
   “ก็เพราะแบบนี้แหละฉันถึงได้หนักใจ ความจริงฉันน่าจะคุยกับคุณพ่อ แต่พักนี้ท่านไม่ค่อยจะว่าง รู้สึกว่าจะไปดูงานที่บริษัทของพี่ชายใหญ่ คงจะไปแผ่บารมีตามประสาคุณพ่อนั่นแหละ”
   เว่ยจินหยินเงียบไปพักหนึ่ง เขามองหน้าเถียนซาน และพูดขึ้น “นี่....นายว่าฉันควรจะแวะไปหาเฟิงปิง หรือว่าจะคุยกับคุณพ่อก่อนดี”
   เถียนซานมองหน้าอีกฝ่าย พลางคิดว่าทางนั้นต้องการความเห็นจริงๆ หรือแค่ถามประกอบการพูดเท่านั้น
   “ทำอย่างที่คุณคิดเถอะครับ แต่สำหรับผม คิดว่าน่าจะเรียนเรื่องนี้กับคุณท่านไว้สักหน่อย”
   เว่ยจินหยินพยักหน้าอย่างเข้าใจ  และรับส้มที่แกะเปลือกแล้วไปอีกลูก
   “อาซาน ถ้าไม่รีบกลับล่ะก็ ไปทานข้าวด้วยกันสิ  เที่ยงนี้ฉันไม่มีนัดหรอก” คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเอ่ยปากชวน หลังจากหมดส้มลูกที่ห้าไปแล้ว เถียนซานพยักหน้า
   ดูเหมือนว่าคุณชายรองของเขาคนนี้คงกำลังวางแผนอะไรอยู่อีกแน่ๆ
---------------------------------------------------------------------
   รูฟัสมองดูเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เดินเข้ามาคุยกับฟ่ง วิ่งเข้าไปสมทบกับกลุ่มเพื่อน และเดินหายลับออกไปอีกฟากถนน ก่อนจะหันกลับมามองดูร่างบางที่ยืนค้างอยู่ ชายหนุ่มได้ยินและเข้าใจบทสนทนาทั้งหมด เขาเดาว่าเด็กคนนั้นคงเป็นเพื่อนของฟ่งตอนอยู่เมืองไทย สำหรับรูฟัสแล้ว เขาไม่ได้ดีใจสักนิดที่ฟ่งเจอคนรู้จักที่นี่ ตรงกันข้าม เขารู้สึกว่ามันอาจจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมาภายหลัง  อย่างไรก็ตาม สีหน้าที่ดูสบายใจขึ้นของฟ่งก็เกือบทำให้เขาหลุดปากไปแล้วว่าจะพาไปเยี่ยมหอพักของเด็กหนุ่มที่เวสเปรมส์
   ไม่รู้ว่าคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่รูฟัสไม่ชอบสายตาที่เด็กคนนั้นมองฟ่งเอาเสียเลย  มันดูกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างไรพิกล เขามองดูฟ่งอีกครั้ง พลางเค้นสมองคิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นได้ นอกจากเรื่องจะพากลับประเทศไทย และเรื่องที่จะพาไปเยี่ยมหอของเพื่อน
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส  ความจริงเขาคิดว่าจะให้รูฟัสช่วยอธิบายเรื่องการเดินทาง หรือช่วยพาไปดูที่พักของกฤษต์ แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ประกอบกับความรู้สึกไม่ดีบางอย่าง ทำให้ฟ่งเปลี่ยนใจ  เขาคิดว่ารูฟัสคงไม่อยากจะพาไปนัก นั่นทำให้ฟ่งรู้สึกแย่หนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มคอตก เก็บตั๋วและกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อ และหยิบถุงกระดาษที่ใส่เสื้อผ้าขึ้นมาหิ้ว เตรียมตัวจะเดินต่อ
   “ผมช่วย” รูฟัสพูดขึ้นทันทีที่เห็นว่าฟ่งพยายามจะหอบเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาและคลาวเดียซื้อมาด้วยตัวคนเดียว เขาฉวยเอาถุงสองสามใบมาถือเอาไว้ ก่อนที่ฟ่งจะพยายามอุ้มมันขึ้นไปหมด
   “อ๊ะ  ขอบคุณ” ฟ่งพูด แต่ยังไม่ทันขาดคำคลาวเดียเดินเข้ามาและเพิ่มภาระให้กับรูฟัสโดยการโยนถุงเสื้อผ้าของตัวเองเพิ่มให้อีกสองถุง นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีทองบ่นขึ้น
   “นี่คุณซื้อเสื้อผ้าเพิ่มอีกแล้วเหรอ ผมคิดว่าของเด็กนั่นเสียอีก”
   คลาวเดียหันหน้าไปมองราฟาแอลอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “ฉันคิดว่ารูฟัสที่เป็นคนหิ้วน่าจะบ่นมากกว่าคุณนะ นี่ราฟี่ ถ้าคุณอิจฉานักล่ะก็ ฉันให้คุณยืมใส่สักตัวสองตัวก็ได้”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #66 เมื่อ24-05-2011 18:45:34 »

   ราฟาแอลทำหน้าเบี้ยว พลางนึกถึงอดีตที่ไม่ค่อยจะโสภานักกับชุดผู้หญิงของคลาวเดีย
   “ถ้าเธออยากจะเล่น ฉันแนะนำให้ลองจับเจ้ารูฟัสแต่งดูบ้าง เธอจะได้เห็นว่า มีผู้ชายที่แต่งผู้หญิงแล้วน่าเกลียดกว่าฉัน”
   คิ้วของรูฟัสขมวดเข้าหากันทันที “นี่ราฟี่ คุณอย่าเสนออะไรที่มันชวนสยองโลกนักได้มั้ย ผมไม่เคยคิดจะไปแข่งวัดความน่าเกลียดกับคุณเลยสักครั้ง”
   “อ้อ! แกอายงั้นเรอะ โถ..พ่อหนุ่มรูปหล่อ  นี่....ถ้าแกอยากจะทำให้แฟนแกรู้สึกดีขึ้น แกน่าจะทำอะไรตลกๆ เข้าไว้นะ บางทีเขาอาจจะกลัวแกน้อยลง”
   รูฟัสทำหน้าบี้ นึกอยากต่อยปากราฟาแอลสักหมัดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ ดีที่ว่าฟ่งฟังภาษาฮังกาเรียนไม่ออก ไม่อย่างนั้นถ้าฟ่งเกิดเห็นด้วยขึ้นมา เขาคงทำหน้าไม่ถูกแน่ๆ
   “อืม....นั่นสิ รูฟัส เธอน่ะน่าจะลองทำอะไรตลกๆ ดูบ้าง บางทีเขาอาจจะไว้ใจเธอมากขึ้น”
   คลาวเดียเห็นด้วยกับราฟาแอล ขณะที่รูฟัสกำลังคิดว่าสองคนนี่หวังดีหรือแค่อยากจะแกล้งเขากันแน่ ขณะที่กำลังคิดอยู่ คลาวเดียก็หันไปเจรจาความกับฟ่งแบบแปลเป็นภาษาอังกฤษเสร็จสรรพ ฟ่งพยักหน้าด้วยสายตาแปลกๆ และอมยิ้มออกมานิดๆ เมื่อคลาวเดียพูดถึงการให้รูฟัสแต่งเป็นผู้หญิง
   “ถ้าคุณชอบ ผมแต่งก็ได้” รูฟัสรีบพูดขึ้น ด้วยความคิดแค่ว่าถ้าฟ่งยิ้ม จะให้เขาทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ฟ่งหันกลับมามองหน้าเขา และรีบส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตายทันที
   “ไม่เอาหรอก ผมไม่ได้วิปริตแบบนั้น”
   รูฟัสแทบจะครางออกมาเมื่อได้ยินคำว่าวิปริต ดีที่สองคนนั่นฟังภาษาไทยไม่ออก ไม่งั้นเขาก็คงทำหน้าไม่ถูกอีกนั่นแหละ
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส ความจริงเขานึกขำกับความคิดที่จะให้รูฟัสแต่งเป็นผู้หญิงของคลาวเดีย แต่พอเห็นหน้ารูฟัสแล้ว ฟ่งจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันจะออกมาเป็นเช่นไร ที่สำคัญ ยิ่งรูฟัสแสดงความกระตือรือร้นที่จะทำเพื่อเขา ยิ่งทำให้ฟ่งรู้สึกแน่นหน้าอก
   ฟ่งไม่อยากให้รูฟัสทำอะไรเพื่อเขาอีกแล้ว
   แทนที่จะรู้สึกขำ มันกลับทำให้ฟ่งนึกอยากจะร้องไห้ ความทรงจำเก่าๆ ตอนที่เขาพบกับรูฟัสใหม่ๆ รูฟัสที่ไม่ว่าจะพูดหรือจะสั่งอะไรไป ก็จะรับปากและรีบทำให้เสมอ  แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาอยากให้รูฟัสทำมากที่สุด รูฟัสก็คงไม่ทำแน่ๆ
   ฟ่งก้มหน้า พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
   “เป็นอะไรรึเปล่า?” คลาวเดียเอ่ยถาม หล่อนรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ฟ่งรีบส่ายหน้า เขากะพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ก่อนจะรีบพูดต่อ
   “ผมหนาว ถ้าไม่มีอะไรแล้วกลับกันเถอะครับ”
   -------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนค่อยๆ ไขประตูและบิดมันเบาๆ เพื่อเปิดเข้าไปในห้อง ด้วยเกรงว่าจะทำให้ผู้เป็นเจ้านายของเขาตื่น ชายหนุ่มเพิ่งจัดการดูแลความเรียบร้อยต่างๆ ในตึกเสร็จ และตอนนี้ได้เวลาปลุกเจ้านายของเขาให้ตื่น
   อย่างไรก็ตาม จางซื่อเยี่ยนพบว่าเจ้านายของเขาตื่นอยู่ก่อนแล้ว เว่ยเฟิงปิงกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ไม่เหลือบมามองเขาด้วยซ้ำ จางซื่อเยี่ยนเดินเข้าไปใกล้ๆ เจ้านาย และก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
   “คุณชายครับ ได้เวลารับประทานอาหารแล้วครับ”
   “รู้แล้ว” เว่ยเฟิงปิงตอบเสียงห้วนๆ  ก่อนจะลดหนังสือลง  จ้องหน้าผู้เป็นลูกน้องเขม็ง
   “จูบอรุณสวัสดิ์ล่ะ?” เขาเอ่ย จางซื่อเยี่ยนทำหน้าเหลอหลา
   “ถ้าไม่อยากทำไม่ต้องก็ได้” เว่ยเฟิงปิงกล่าว พลางขยับตัวจะลุกขึ้น  ชายหนุ่มรีบพูดเร็วปรื๋อ
   “อรุณสวัสดิ์ครับ” พลางก้มลงจูบริมฝีปากบางนั้นเบาๆ ทีหนึ่ง
   “อรุณสวัสดิ์” เว่ยเฟิงปิงกล่าวตอบก่อนจะจูบกลับที่แก้มของเขาเบาๆ  จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองกำลังฝัน ตอนนี้เขาชักอยากกลับไปนอนต่อ
   “นี่ พ่อหุ่นยนต์  วันหลังช่วยเพิ่มจูบรับอรุณเข้าไปในโปรแกรมด้วยนะ” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ย พร้อมกับยิ้มหวาน เล่นเอาอีกฝ่ายเคลิ้ม จางซื่อเยี่ยนต้องรีบบอกตัวเองว่าเขากำลังอยู่ในเวลาทำงาน และต้องพาเจ้านายลงไปทานข้าว
   “ฉันจะไปอาบน้ำล่ะ” เว่ยเฟิงปิงช่วยพูดให้จางซื่อเยี่ยนได้สติ ก่อนจะไถลตัวลงจากเตียง หยิบผ้าเช็ดตัวและเดินไปเข้าห้องน้ำ จางซื่อเยี่ยนมองตามหลังเจ้านายอย่างเหม่อลอย ก่อนจะรู้สึกตัวเพราะเสียงโทรศัพท์
   “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไป และต้องเบิ่งตากว้างอย่ากแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงปลายสาย
   “ครับ  ได้ครับ  ตกลงครับ” จางซื่อเยี่ยนพยักหน้ารับรู้ และวางสายไปในจังหวะเดียวกับที่เจ้านายของเขาก้าวออกมาจากห้องน้ำพอดี
   “ใครโทรมารึ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามทันที จางซื่อเยี่ยนมองร่างเจ้านายที่เปลือยท่อนบนอยู่พักหนึ่ง อย่างคนนึกอะไรไม่ออก ก่อนจะตั้งสติตอบคำถามได้
   “พี่เถียนซานน่ะครับ เห็นว่าเพิ่งกลับจากเซี่ยงไฮ้ เลยอยากจะแวะมาเยี่ยม จะให้ใส่เอาไว้ในตารางนัดหมายตอนบ่ายไหมครับ?”
   “เถียนซาน?” เว่ยเฟิงปิงทวนชื่อซ้ำ ขณะหยิบเสื้อออกมาจากตู้ จางซื่อเยี่ยนเดินเข้าไปช่วยเจ้านายของเขาแต่งตัว
   “ขอบใจ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยเรียบๆ เมื่ออีกฝ่ายช่วยหยิบเนกไทให้
   “เถียนซานไม่ได้จงใจจะมาเยี่ยมเฉพาะนายหรอกรึ?” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยถาม ก่อนจะพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจนัก “ไม่ต้องใส่เอาไว้ในตารางตอนบ่ายหรอก มันแน่นจนฉันแทบจะกระดิกตัวไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเถียนซานอยากจะพบฉัน ก็บอกไปแล้วกันว่าฉันมีธุระยุ่ง ไว้มาพบวันอื่น”
   “ได้ครับ” จางซื่อเยี่ยนรับคำ เว่ยเฟิงปิงดึงเนกไทให้เข้าที่ และหนุนตัวกลับมายกมือโอบคอของอีกฝ่ายไว้
   “กลับมาหาฉันก่อนเวลาอาหารเย็นนะ” เขาเอ่ย และรู้สึกว่าจางซื่อเยี่ยนจะหน้าแดงนิดๆ  ผู้เป็นลูกน้องพยักหน้า  ก่อนที่เจ้านายจะผละตัวออกไป
--------------------------------------------------
   อากาศยามบ่ายในฮ่องกงแสนจะร้อนอบอ้าว จางซื่อเยี่ยนขับรถออกมาจากสำนักงาน ก่อนจะจอดมันไว้ในอาคารจอดรถของภัตตาคารระดับหรูแห่งหนึ่ง  ชายหนุ่มเดินตัดเข้าไปในตัวอาคารเพื่อพบกับคนที่นัดเขาไว้
   “คุณจาง เชิญทางนี้ค่ะ”
   ทันทีที่ก้าวเข้าไป จางซื่อเยี่ยนถูกนำทางโดยบริกรหญิงที่เขาไม่เคยเห็นหน้าแต่กลับรู้จักชื่อของเขา ชายหนุ่มถูกพาไปยังห้องรับรองพิเศษ ซึ่งถูกจัดไว้สำหรับแขกผู้มีสตางค์และบุคคลสำคัญโดยเฉพาะ ที่นั่น เขาได้พบกับเถียนซาน และบุรุษอีกคนหนึ่งซึ่งทำให้เขารู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง
   “ไง อาซื่อ  ดูท่าทางสบายดีนี่ แผลที่หลังเป็นยังไงบ้าง” เถียนซานวัยสี่สิบหกเอ่ยทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง จางซื่อเยี่ยนโค้งให้กับหัวหน้าเก่า และเดินเข้าไปในห้องอาหาร ที่นั่งอยู่อีกฝั่งเป็นบุคคลผู้เป็นเจ้าของภัตตาคารแห่งนี้ การนั่งอยู่ในห้องอาหารพิเศษของเว่ยจินหยินไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การเรียกเขาเข้ามาพบด้วยนี่สิแปลก
   “สวัสดีอาซื่อ หวังว่าฉันคงไม่รบกวนเวลาทำงานของเธอหรอกนะ” เว่ยจินหยินเอ่ยทัก  ผมของเขายังคงเรียบแปล้ ท่าทางเป็นงานเป็นการ นัยน์ตาสีดำที่มองลอดแว่นออกมานั้น แม้จะดูใจดี แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกไว้ใจสักนิด มันดูเจ้าเล่ห์ราวกับดวงตาของสุนัขจิ้งจอก จางซื่อเยี่ยนไม่เข้าใจว่าคนที่อบอุ่นและจริงใจอย่างเถียนซาน สนิทกับคนที่เหมือนกับแสดงละครอยู่ตลอดเวลาอย่างเว่ยจินหยินได้อย่างไร ถึงสองคนนี่จะโตมาด้วยกันก็เถอะ
   “ไม่หรอกครับ นี่เป็นเวลาพักเที่ยงของผม” จางซื่อเยี่ยนตอบ และพยายามปั้นยิ้มให้กับอดีตเจ้านาย
   “ฉันคิดว่าเธอจะทานข้าวเที่ยงกับเฟิงปิงเสียอีก” เว่ยจินหยินเอ่ยด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่จางซื่อเยี่ยนรับรู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นการเหน็บแนมเขา เพราะโดยปกติลูกน้องมักจะไม่ร่วมโต๊ะอาหารเดียวกับเจ้านายอยู่แล้ว ยกเว้นแต่เถียนซานกับเว่ยจินหยินนี่แหละ จางซื่อเยี่ยนจำได้ว่าสองคนนี่มักจะไปทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ  บางทีอาจจะเพราะฐานะของเถียนซานนั้นนอกจากจะเป็นหัวหน้าหน่วยดำและคนสนิทของเว่ยจินหยินแล้ว ยังเป็นเครือญาติของตระกูลเว่ยอีกด้วย
   เถียนซานจะมีศักดิ์เป็นหลานชายที่เกิดจากญาติฝ่ายแม่ของเว่ยชิง และตระกูลของเขาทำงานให้กับตระกูลเว่ยมาแล้วราวๆ สามชั่วคน จึงไม่แปลกที่ฐานะของเขาจะต่างจากคนอื่น
   ชายหนุ่มสั่นศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญของเถียนซาน
   “คุณชายรองอยากพบเธอน่ะ ฉันเองก็ไม่ได้เจอเธอนานแล้ว ได้ข่าวว่าถูกแทงที่หลังรึ?” เถียนซานเอ่ยถาม จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า
   “ต้องขอบคุณคุณชายรองที่อุตส่าห์แวะไปเยี่ยมผม” เขากล่าว พลางมองหน้าอดีตเจ้านาย เว่ยจินหยินมองผ่านแว่นแล้วยิ้มเล็กๆ
   “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันคิดว่าฉันคงไปทำให้เธอเดือดร้อนมากกว่า”
   บริกรหญิงเดินเข้ามาและตักข้าวให้ ระหว่างที่กับข้าวถูกลำเลียงเข้ามา จางซื่อเยี่ยนมองดูอาหารบนโต๊ะ คงไม่มีโอกาสมากนักที่เขาจะได้ทานอาหารหรูหราแบบนี้ แต่กระนั้น ท้องของจางซื่อเยี่ยนกลับไม่หิวสักนิด แม้ว่าจะเป็นตอนพักเที่ยงแล้วก็ตาม คงเพราะการปรากฏตัวของเว่ยจินหยิน จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเถียนซานคงไม่เชิญเขามาทานอาหารในภัตตาคารหรูหรากับคุณชายรองคนนี้โดยมีจุดประสงค์แค่จะถามเรื่องอาการบาดเจ็บแน่ๆ
   “ทานเถอะ ฉันไม่วางยาเธอหรอก” เว่ยจินหยินพูดเหมือนกับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร  จางซื่อเยี่ยนยิ้มแห้งๆ คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยผู้นี้เคยมีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับการวางยาพิษ  อย่างไรก็ดียังคงไม่มีหลักฐานอะไรบ่งบอกชัดว่าผู้บริหารระดับสูงสองสามคนที่เจ็บป่วยและมีอันเป็นไปนั้นมาจากฝีมือของเขา
   เถียนซานซึ่งมีอายุมากที่สุดในโต๊ะยุติปัญหาลงโดยเริ่มรับประทานก่อน ในที่สุดทั้งสามคนก็รับประทานอาหารกันอย่างเงียบๆ ซึ่งกินเวลาไม่นานนัก
   “ได้ข่าวว่าเฟิงย้ายเธอไปอยู่ห้องเดียวกันเหรอ?” เว่ยจินหยินเป็นฝ่ายเปิดฉากถามขึ้นหลังจากเช็ดปากด้วยผ้าที่บริกรนำมาวางไว้ให้ จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า แววตาราวสุนัขจิ้งจอกที่มองมาทำให้เขารู้สึกอึดอัด ความจริงการถูกถามเรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่แล้ว
   “คุณชายเจ็ดต้องการการคุ้มกันเพิ่มเติมน่ะครับ” เขาอธิบายเพิ่มเติม และก็ต้องรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เมื่อเห็นรอยยิ้มของเว่ยจินหยิน
   “แปลว่าเฟิงปิงได้ข้อมูลลับนั่นมาแล้วสินะ ดีไป ฉันกลัวว่าเธอจะถูกทำมิดีมิร้ายเสียอีก”
   “คุณชายไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ!” ชายหนุ่มสวนขึ้นมาทันที เว่ยจินหยินหัวเราะในลำคอ
   “ฉันไม่ได้จะตั้งใจดูถูกน้องชายตัวเองหรอกนะ เอาเถอะ ว่าแต่ทำไมเฟิงปิงยอมปล่อยเธอออกมาง่ายๆ เธอบอกเขารึเปล่าว่าจะออกมาพบใคร”
   “ผมบอกว่าจะมาพบพี่เถียนซาน ก็ไม่นึกเหมือนกันหรอกครับว่าจะเจอคุณด้วย”
   คราวนี้เถียนซานหัวเราะออกมาบ้าง ทำให้จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเหมือนตกหลุมพรางอะไรสักอย่าง
   “แปลกใจสินะที่เจอฉันที่นี่” เว่ยจินหยินกล่าว เป็นคำพูดที่จางซื่อเยี่ยนรู้สึกว่ามันช่างดูตอแหลสิ้นดี จริงๆ แล้ว ฝ่ายนั้นคงอยากจะพูดว่า “เธอไม่อยากเจอฉันสินะ” มากกว่า จากสายตาทิ่มแทงที่มาพร้อมกับคำพูดนั้น แม้ว่าเขาจะเคยชินกับการพูดแดกดันของเว่ยเฟิงปิง แต่การพูดจาที่สุภาพและหวานบาดหูของเว่ยจินหยินนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าคำพูดของเจ้านายของเขาเสียอีก ชายหนุ่มคิดว่าผู้ชายคนนี้อาจจะไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะกล่าวหาว่าเป็นจอมวางยาพิษในอาหาร แต่อย่างน้อยหากเป็นด้านคำพูดล่ะก็  ผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยินคงมีพรสวรรค์ในด้านนี้อย่างเต็มเปี่ยม
   “พักนี่เธอติดต่อกับคุณพ่อบ้างรึเปล่า?” อีกฝ่ายเปิดฉากถามต่อ  จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้าทันที  เว่ยจินหยินขมวดคิ้ว
“อย่างนั้นรึ  เฟิงปิงคุมเธอแจเลยนี่นะ” เขาเอ่ยลอยๆ แต่ความหมายของมันทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของอีกฝ่าย
   “คุณชายเจ็ดคงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ” เถียนซานช่วยแก้ให้  เว่ยจินหยินแผ่ยิ้มกว้าง
   “ผิดแล้วอาซาน  ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็คงไม่ใช่เฟิงปิงหรอก”
   “ปกติผมไม่ได้ติดต่อกับคุณท่านบ่อยๆ อยู่แล้วครับ” จางซื่อเยี่ยนรีบพูดต่อ เพื่อตัดบทสนทนาที่ยิ่งวกเข้าไปหาเจ้านายของเขา เว่ยจินหยินเลิกคิ้วเหมือนว่าแปลกใจ
   “คุณพ่อเลิกสนใจเฟิงปิงแล้วล่ะรึ ช่างเถอะๆ ว่าแต่เจ้านายของเธอจะเอาข้อมูลลับนั่นมาให้คุณพ่อเมื่อไรกันล่ะ เขาพูดถึงมันบ้างรึเปล่า”
   จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า เว่ยจินหยินจึงพูดต่อ “ความจริงฉันก็อยากจะพูดคุยเรื่องนี้กับเฟิงปิงโดยตรง แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยว่างพบฉันเท่าไร เอาเถอะ ฝากเธอไปบอกเขาหน่อยแล้วกัน  ฉันไม่อยากจะให้ถ่วงเวลา ถ้าคุณพ่อระแวงเข้าจะไม่ดีกับตัวเขาเอง”
   “ครับ แล้วผมจะเรียนคุณชายให้” จางซื่อเยี่ยนรับคำ และคิดว่าเขาควรจะรีบกลับไปที่ตึกได้แล้ว
   “เอ้อ จริงสิ” เว่ยจินหยินทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ เขากวักมือเรียกบริกรหญิงเข้ามา และสั่งอะไรบางอย่าง ไม่นานนักหล่อนก็กลับมาพร้อมด้วยส้มที่ถูกจัดใส่กระเช้าอย่างสวยงาม บนนั้นมีการ์ดเสียบเอาไว้ใบหนึ่ง จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้วทันทีที่เห็นว่าเป็นส้ม มันเป็นผลไม้ที่เขาเห็นและต้องทานอยู่บ่อยครั้งเมื่อตอนที่ยังไปมาหาสู่กับเถียนซาน
   “อาซานซื้อมาจากเซี่ยงไฮ้ ฉันเห็นว่ามันเยอะเกินไปเลยแบ่งมาให้เธอบ้าง ถือเสียว่าเป็นของเล็กๆ น้อยๆ ฉลองที่เธอไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากก็แล้วกัน”
   “ขอบคุณครับ” จางซื่อเยี่ยนรับตะกร้าผลไม้นั่นมาอย่างไม่ค่อยจะสบายใจนัก เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เพื่อหาจังหวะที่จะปลีกตัวออกไป ท่าทางเว่ยจินหยินเองก็คงเสร็จธุระแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยปากขึ้น
   “บ่ายแล้วนี่นะ เธอกลับไปทำงานต่อได้แล้วล่ะ ฝากบอกเฟิงปิงด้วยว่าฉันคิดถึง  ถ้าว่างก็แวะมาทานข้าวด้วยกันบ้าง”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนรีบรับคำทันที เขาคงรู้สึกดีขึ้นหากได้ออกไปให้พ้นจากรัศมีการมองและคำพูดคำจาของคนคนนี้
   “ขอบคุณมากนะครับสำหรับอาหารมื้อนี้”
   “ไม่เป็นไรหรอก” เว่ยจินหยินโบกมือ ขณะที่อดีตลูกน้องโค้งให้และถอยฉากออกไปอย่างรวดเร็ว

   “คุณแน่ใจหรือว่าอาซื่อจะอ่านการ์ดนั่นก่อนจะไปพบคุณชายเจ็ด?”   เถียนซานเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่จางซื่อเยี่ยนออกไปแล้ว  เว่ยจินหยินยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบและยิ้มละมุน
   “ถึงไม่อ่านก็ไม่เป็นปัญหาหรอก แค่เฟิงปิงปล่อยเด็กนั่นออกมาก็เข้าแผนของฉันแล้ว”
   เถียนซานมองหน้าผู้เป็นญาติและเจ้านาย ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “จะยุให้อาซื่อระแวงคุณชายเจ็ดหรือครับ”
   เว่ยจินหยินพริ้มตาลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหมือนเด็กๆ
   “จะคิดแบบนั้นก็ได้ ฉันแค่สะกิดให้คิดเท่านั้นเอง ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปก็เป็นผลมาจากสองคนนั้นนั่นแหละ แม้แต่นายเองก็คงไม่เห็นว่าฉันเป็นคนโหดร้ายอะไรหรอกใช่ไหม?”
   “ไม่หรอกครับ” เถียนซานเอ่ย ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างใจดี แม้บางคราวเขาจะรู้สึกว่าเว่ยจินหยินมีบางส่วนที่น่าหวาดกลัว แต่เถียนซานก็ยังเอ็นดูเจ้านายคนนี้เหมือนน้องชาย เว่ยจินหยินในสายตาเขาเมื่อสามสิบปีที่แล้วเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร  เว่ยจินหยินก็ยังคงเป็นเว่ยจินหยิน และเถียนซานก็พอใจที่เว่ยจินหยินเดินไปตามทางที่เจ้าตัวเลือกไว้
   แม้ว่าทางเลือกนั้นจะต้องสังเวยใครต่อใครไปบ้างก็ตาม
---------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนวางตะกร้าใส่ส้มที่รับมาจากเว่ยจินหยินไว้หลังรถ และเกือบจะลืมมันเอาไว้แบบนั้น ถ้าลูกน้องคนหนึ่งของเขาที่เดินผ่านมาไม่ทักเข้า จางซื่อเยี่ยนคิดว่าคงไม่ดีแน่ๆ ถ้าจะเอากระเช้าผลไม้เสียบการ์ดที่มีลายมือของผู้ชายคนนี้เข้าไปในตึก เจ้านายของเขาคงไม่พอใจนัก  ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแจกจ่ายส้มให้กับลูกน้องที่ทำงานอยู่ภายในลานจอดรถ
   ชายหนุ่มเรียกลูกน้องคนหนึ่งของเขาเข้ามา และยกตะกร้าส้มให้ จางซื่อเยี่ยนหยิบการ์ดใบนั้นออกมา และเปิดอ่านอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนัก ขณะที่ส้มในตะกร้าถูกนำออกไปแจกจ่าย เขาคิดว่าเว่ยจินหยินคงเขียนข้อความอวยพรสุภาพๆ ตามแบบฉบับ แต่พอกวาดตามองไปสองสามตัวอักษรแรก จางซื่อเยี่ยนก็รู้สึกว่าเขาประเมินอดีตเจ้านายของเขาผิดไปถนัด
   การ์ดใบนั้นเริ่มต้นด้วยถ้อยคำง่ายๆ ที่ไม่น่าจะปรากฏอยู่ในการ์ดอวยพร
   “ในกระเป๋ากางเกงของเธอ มีเครื่องดักฟังอยู่  แต่เธอไม่ต้องหยิบมันออกมาหรอก เพราะเมื่อเธอพบกับเฟิงปิง เด็กนั่นจะเป็นคนหยิบมันออกมาเอง”
   ลายมือเรียบร้อยสวยงามแบบนี้เป็นของเว่ยจินหยินไม่ผิดแน่ จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเหมือนมีเสียงของผู้ชายคนนั้นออกมาด้วย เขาเผลอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง และพบว่ามีเครื่องดักฟังอันเล็กๆ อยู่จริงๆ  บางทีเว่ยเฟิงปิงอาจจะใส่ลงมาตอนที่กอดเขา
   จางซื่อเยี่ยนหลับตา รู้สึกปวดท้องนิดหน่อย ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงต้องดักฟังเขา  แต่บางทีนี่อาจจะเป็นแผนการของเว่ยจินหยินก็ได้ เขาตัดสินใจหยิบเครื่องดักฟังออก และขยี้มันลงกับพื้น ก่อนจะเดินขึ้นตึกไป
------------------------------------------------
   “อ่าว กลับมาไวนี่” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยทักเมื่อเห็นลูกน้องเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน เขาง่วนอยู่กับการอ่านเอกสารที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะ จางซื่อเยี่ยนคิดว่าถ้าเว่ยเฟิงปิงยังจัดการเอกสารที่วางอยู่ไม่หมด เขาคงจะต้องเลื่อนการนัดพบกับเจ้าของโรงแรมที่เกาลูนออกไปสักครึ่งชั่วโมง  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขากังวลดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหา เพราะไม่นานเว่ยเฟิงปิงก็จัดการอ่านรายงานและแจกแจงรายละเอียดต่างๆ นั้นจนหมด
“ไม่ต้องเลื่อนนัดกับคุณคริสโตเฟอร์หรอก” ชายหนุ่มกล่าวหลังจากเห็นลูกน้องก้มลงมองนาฬิกาอยู่หลายหน เขาดื่มน้ำ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
   “ไปเจอพี่จินหยินมาด้วยล่ะสิ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยทัก ทำให้จางซื่อเยี่ยนรู้สึกขนลุกนิดหน่อย เขาพยักหน้า เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามาใกล้
   “คุณชายรองฝากบอกคุณเรื่องข้อมูลลับขอริเวิล ว่าให้คุณรีบตัดสินใจ  เขาเกรงว่าคุณท่านจะไม่พอใจหากคุณถ่วงเวลา”
   “ฉันกำลังคิดเรื่องนั้นอยู่” เว่ยเฟิงปิงกล่าวเรียบๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นลูกน้อง
   “จินหยินไม่ได้ให้อะไรมารึ?”
   จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้วกับคำถาม
   “ไม่มีอะไรหรอก ก็เห็นว่าชวนออกไปกินข้าว คิดว่าจะให้อะไรติดไม้ติดมือมาเสียอีก” เว่ยเฟิงปิงกล่าว พลางขยับตัวเข้ามาใกล้  ช้อนนัยน์ตาขึ้นมองอย่างออดอ้อน  จางซื่อเยี่ยนทำหน้าไม่ถูก หลายวันมานี้เขาถูกเว่ยเฟิงปิงเข้ามายั่วยวนแบบคาดไม่ถึงอยู่หลายครั้ง  และแทบจะทำให้เขาคุมสติตัวเองไม่อยู่ จางซื่อเยี่ยนรู้สึกถึงมือน้อยๆ ที่ค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปหลังเข็มขัดของเขา
   “คุณชาย” จางซื่อเยี่ยนกล่าวเสียงเบา รั้งตัวเว่ยเฟิงปิงเข้ามากอด ร่างบางเผยอริมฝีปากขึ้นนิดหน่อย นั่นทำให้ผู้เป็นลูกน้องจูบลงไปโดยอัตโนมัติ
   เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางอย่างพอใจ และเลื่อนมือเปะปะไปบนร่างแกร่ง จางซื่อเยี่ยนกอดเจ้านายแน่น แทบจะลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่าง
   “อย่าโกหกฉันนะ ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออก  จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า ร่างบางยิ้มน้อยๆ และผละออกไป
----------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #67 เมื่อ24-05-2011 18:46:17 »

บทที่28 รอยแยกของความรู้สึก
   “นี่ รูฟัส แกอยู่ข้างล่างนี่แหละ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ราฟาแอลกล่าวขณะที่รูฟัสทำท่าจะเดินตามฟ่งขึ้นไปชั้นบน ทั้งสี่คนเพิ่งกลับมาถึงบ้านในช่วงบ่าย เนื่องจากกว่าที่ฟ่งจะซื้อเสื้อผ้าและคุยกับเพื่อนเสร็จ ก็ใกล้เที่ยงพอดี  คลาวเดียเลยเสนอให้รับประทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารแถวนั้น
   ผู้ถูกเรียกขมวดคิ้วในทันที ก่อนจะคลายมันออกเหมือนนึกขึ้นได้ รูฟัสหมุนตัวกลับ และนั่งลงประจันหน้ากับเพื่อนร่วมงานบนโซฟาในห้องรับแขก
   “ฉันไม่ชอบเลย เวลาแกทำหน้าแบบนั้นใส่เนี่ย” ราฟาแอลเริ่มบทสนทนาด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะสดใสนัก  รูฟัสพยักหน้าหงึกหงัก และพยายามทำสีหน้าให้ดีขึ้น สีหน้าของเพื่อนร่วมงานในตอนนี้ทำให้ชายหนุ่มผมสีบลอนด์นึกถึงวันที่เขาได้พบกับรูฟัสครั้งแรก มันเป็นสีหน้าที่ตั้งแง่และแฝงแววความเป็นศัตรูไว้อย่างชัดเจน คงจะมาจากเรื่องที่เขาพูดตอนที่เดินออกไปซื้อของแน่
   “เอาเถอะ ฉันรู้ว่าแกไม่พอใจ เรื่องที่ฉันพูด แต่ยังไงฉันก็ต้องพูดให้มันรู้เรื่อง”
   รูฟัสนิ่งเงียบ ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “ว่ามา ราฟี่ ผมพยายามรับฟังคุณอยู่”
   “ไม่ใช่พยายาม แต่แกต้องฟัง” ราฟาแอลเอ่ยย้ำ พลางจ้องหน้าเพื่อน “ฉันอยากให้แกส่งเด็กนั่นกลับ แล้วเลิกยุ่งกับเขาเสีย”
   คิ้วของรูฟัสขมวดเข้าหากันอีกครั้ง มันเป็นประโยคที่เขาคาดไว้แล้ว แต่ไม่ใช่ประโยคที่อยากจะได้ยิน เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ ราฟาแอลจึงเอ่ยต่อ
   “ฉันไม่ได้รังเกียจที่แกชอบผู้ชาย หรือรังเกียจแฟนแก ความจริงฉันรู้สึกสงสารเขาด้วยซ้ำ และฉันก็สงสารแกด้วย เขากลัวแก แล้วแกก็ไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้น ถูกไหม? แต่ว่านะ รูฟัส ความรักน่ะไม่ได้มีแต่เซ็กซ์หรอกนะ”
   ถ้าเป็นตอนปกติ รูฟัสจะต้องสวนประโยคนี้ของราฟาแอลกลับไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาได้แต่นิ่งเงียบ ราฟาแอลพูดถูกต้องเรื่องของฟ่ง เขาไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ว่าการได้อยู่ใกล้โดยไม่ได้แตะต้องนั้น มันช่างแสนจะทรมานและเกินจะห้ามใจไหว  ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านใจเขาออก
   “ฉันอยากให้แกลองคิดทบทวนดูนะ ว่าแกชอบเขา หรือชอบมีเซ็กซ์กับเขากันแน่ ถ้าเกิดวันหนึ่งเขามีเซ็กซ์กับแกไม่ได้ แกยังจะอยากมีเขาอยู่ข้างๆ ต่อไปรึเปล่า?”
   ผู้ถูกถามขมวดคิ้วยุ่ง นี่ตกลงเขาเป็นคนมีปัญหาเรื่องเซ็กซ์ล่ะหรือ? เขาไม่ได้ชอบฟ่งเพราะอยากมีเซ็กซ์ เพียงแต่พอได้อยู่ใกล้ๆ แล้วความอยากมันก็ตามมา รูฟัสไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ ปกติถ้าเขาพอใจใคร แค่พูดจานิดหน่อย ทำตาเยิ้มๆ  อีกฝ่ายก็จะยอมให้เขากอดง่ายๆ ไม่ต้องขืนใจหรือมีการโมโหตามหลังมาสักนิด และก็ไม่ได้ติดใจอะไร  เพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น แต่กับฟ่งนั้นต่างออกไป ดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาทางเขา  แก้มแดงเรื่อง ริมฝีปากที่เผยอออกนิดๆ รูฟัสรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะเชิญชวนเขาสักนิดในวันนั้น แต่มันกลับกระตุ้นเขาอย่างประหลาด ทั้งที่ก่อนหน้า เขาไม่เคยมีความคิดเกินเลยกับเพื่อนข้างห้องของเขามาก่อน แต่หลังจากที่ฟ่งเมาพับในคลับของเมี่ยง  คำพูดและกิริยาที่เกิดจากความเมามายในคืนนั้น  มันทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยเป็น  ความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆ อยากเป็นเจ้าของ อยากจะรั้งเอาไว้ให้อยู่กับตัวแต่เพียงคนเดียว ยิ่งทวีมากขึ้นเรื่อยๆ นับจากวันนั้น  แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีใจให้เขาก็ตาม
   รูฟัสเชื่อปักใจมาตลอดว่าฟ่งชอบเขา แต่พอมาถึงตอนนี้แล้ว ความเชื่อนั้นแทบจะไม่มีอะไรที่ยืนยันชัดเจนเลย เหมือนจะมีแต่เขาที่ทึกทักเอาเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเป็นจริงเป็นจัง  จริงๆ แล้ว เรื่องที่ฟ่งแสดงออกว่าไม่มีใจให้เขานั้นเยอะเสียยิ่งกว่าเยอะ
   ชายหนุ่มสะบัดหน้าอย่างลืมตัว ถึงตอนนี้เขาไม่อยากจะคิดต่อ อยากจะลืมๆ ไปเสียให้หมด ฟ่งชอบเขา ฟ่งต้องชอบเขาสิ ก็เรื่องในคืนนั้น ความสัมพันธ์ที่เกินเลยนั่น ฟ่งไม่เคยบอกว่ารังเกียจนี่นา แม้จะไม่เคยเรียกร้องก่อน แต่ก็ไม่เคยแสดงทีท่าไม่พอใจจริงๆ สักครั้ง
   ราฟาแอลมองดูท่าทางของอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจออกมาบ้าง ดูเหมือนรูฟัสคงยังทำใจยอมรับไม่ได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะถลำลึกลงไปขนาดนี้ คนอย่างรูฟัส กับเรื่องแบบนี้ ราฟาแอลไม่เคยคิดถึงมาก่อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลายครั้งที่เขาเคยคิดว่า รูฟัสนั้นอำมหิตกับคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากกว่าเขาเสียอีก เด็กหนุ่มนัยน์ตาสองสีที่ทรงเสน่ห์คนนี้ ยินดีที่จะมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกับใครก็ตามที่เขาพอใจ และพร้อมจะไม่แยแสว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนคนนั้นหลังจากมีสัมพันธ์กับเขาแล้ว รูฟัสไม่เคยผูกพันกับใคร ไม่เคยสร้างภาระ ไม่เคยมีจุดอ่อน  น่าตกใจที่การไปทำงานที่ประเทศไทยในคราวนี้ ชายหนุ่มละทิ้งแบบแผนของตัวเองแทบทั้งหมด  เขาจมปลักอยู่กับคนข้างห้องอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ราฟาแอลคิดว่าจำเป็นจะต้องทำให้รูฟัสถอนตัวออกให้เร็วที่สุด
   “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมแกถึงไปติดอกติดใจเพื่อนข้างห้อง แต่ว่า...นั่นเป็นตอนก่อนที่เขาจะรู้ว่าแกเป็นใคร ตอนที่แกรู้จักเขา นั่นไม่ใช่ตัวจริงของแก สิ่งที่แกเล่นละครออกไปต่างหากที่ทำให้เขายอมรับตัวแก แต่ว่าตอนนี้ แกไม่ได้แสดง แกเป็นแกแบบที่แกเป็น และเขาก็รับมันไม่ได้  ความจริงมันมีอยู่แค่นี้”
   รูฟัสอยากจะตะโกนให้ราฟาแอลหยุดพูด แต่สิ่งที่เขาทำจริงๆ คือการนิ่งเงียบ นิ่งเงียบอยู่กับความสับสนและความเจ็บปวดที่ประดังประเดเข้ามา
   ความจริงคือเขาอยู่กับการเล่นเป็นบุคคลอื่นมาเกือบตลอดชีวิต และก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นปัญหา จนกระทั่งตอนนี้......
   ชายหนุ่มเพิ่งเข้าใจว่าการถูกยอมรับทุกด้านในเรื่องความรักนั้นเป็นสิ่งสำคัญ
   ฟ่งไม่ยอมรับเขา เพราะเขาไม่ใช่อย่างที่เป็นในตอนแรก แต่นั่นเป็นความผิดรึ?  เขามีทางเลือกอื่นหรือไง กับความสัมพันธ์แบบนี้  ถ้าไม่เล่นละครแต่แรก มันจะเกิดขึ้นรึ?  แต่ว่า  หลังจากเลิกแสดงแล้ว เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย มันช่างเจ็บปวดเหมือนการนอนฝันหวานและตื่นขึ้นมาพบความจริงที่แสนจะเลวร้าย ซึ่งความจริงนั้นอาจจะไม่เลวร้ายนัก หากมันไม่ถูกเปรียบเทียบกับความฝันอันแสนหวาน
   “อา...” รูฟัสครางออกมายาวๆ เขาไม่อยากจะคิดต่อ ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกจริงๆ  ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเพื่อนร่วมงานที่ทำงานกันมานับสิบปี เขาอยากจะย้อนเวลากลับไปในตอนที่เขากับฟ่งอยู่อยู่ห้องติดกัน ห้องที่แค่เปิดประตูออกมาก็เห็นหน้าของคนอีกห้องหนึ่ง วันที่เขาได้นอนใกล้ๆ ฟ่ง ไม่ต้องคิดหรือแสดงบทบาทอะไรให้เหนื่อยใจ ได้นอนหลับอย่างเต็มตา และตื่นขึ้นมารับวันใหม่พร้อมกับคนรัก แต่ว่านั่นช่างเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความจริงในปัจจุบันเสียเหลือเกิน
   “ผมทำไม่ได้หรอก!” ชายหนุ่มโพล่งออกมาในที่สุด เขาผุดลุกขึ้น จนอีกฝ่ายต้องลุกตาม
   “จะไปไหนน่ะ?” ราฟาแอลถาม เมื่อเห็นว่ารูฟัสทำท่าเหมือนจะเดินออกไป
   “ไปหาฟ่ง” อีกฝ่ายตอบ ผู้ถามขมวดคิ้วยุ่งทันที
   “เดี๋ยว” ราฟาแอลเรียกรูฟัสเสียงเครียด นั่นทำให้ผู้มีนัยน์ตาสองสีหยุดชะงัก
   “แกแน่ใจหรอว่าแกพร้อมจะเจอเขา ในสภาพแบบนี้”
   “ผมไม่รู้” เขาเอ่ย สีหน้าเหมือนเด็กที่หลงทาง ราฟาแอลถอนหายใจ
   “ฉันรู้ว่ายุ่งกับเรื่องของแกมากไป แต่ขอเถอะนะรูฟัส ฉันอยากให้แกห้ามใจ ฉันไม่อยากให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้ บางทีแกน่าจะแยกห้องนอน..”
   “ไม่ล่ะ” รูฟัสปฏิเสธทันที  และพูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณคิดอะไร วางใจเถอะ ผมไม่ข่มขืนเขาหรอก ผมจะไม่เกินเลยกับเขาอีก ตอนนี้ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆ เข้าใจผมนะราฟี่”
   ราฟาแอลมองหน้าเพื่อน เขาไม่รู้ว่าจะเข้าใจสิ่งที่รูฟัสพูดได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ การจะห้ามไว้อีกคงไม่เป็นผลดี ชายหนุ่มจึงยินยอมปล่อยให้อีกฝ่ายออกไป
--------------------------------------
   คลาวเดียมองตามหลังเด็กหนุ่มชาวเอเชีย ที่เดินเข้าไปในห้องนอนของเพื่อนร่วมงานของแฟนของเธอ หญิงสาวรู้สึกไม่ค่อยจะสบายใจนัก ดูเหมือนว่ารูฟัสจะมีปัญหากับราฟาแอล เพราะเรื่องของเด็กคนนี้  ราฟาแอลนั้นไม่เห็นด้วยกับเรื่องความรักของเพื่อนร่วมงาน
เขามองว่ามันมีแต่จะก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งข้อนี้เธอเห็นด้วย แต่ว่ามันก็ดูโหดร้ายเกินไปสำหรับรูฟัส กระนั้นพอหันมามองอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ฟ่งเองก็ได้รับผลกระทบมากเช่นกัน
   หล่อนไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีใจให้กับรูฟัสหรือเปล่า  ในบางเสี้ยวเวลาดูเหมือนว่าฟ่งจะพอใจรูฟัสอยู่บ้าง  แต่ก็ช่างเลือนรางเลื่อนลอยเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับทีท่าหวาดกลัวที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนนั้น
   คลาวเดียรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มชาวเอเชียขึ้นมาทันใด
   เขาน่าจะอยู่ในประเทศบ้านเกิด ใช้ชีวิตแบบคนปกติ ไม่ใช่มาซัดเซพเนจรแบบนี้  เธอได้ยินได้ฟังเรื่องราวของเขามาจากราฟาแอลมาบ้าง  หากรูฟัสดึงดันจะรั้งเอาความรักครั้งนี้ไว้ ฟ่งคงต้องเผชิญกับเรื่องราวที่เรียกได้ว่าผลิกผันชีวิตของเขาอย่างถึงที่สุด ซึ่งคงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวต้องการนัก
   อย่างไรก็ตาม ฟ่งคงไม่มีทางเลือก ในเวลาแบบนี้ คนที่เขาจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยมากที่สุดคือรูฟัส  ดังนั้นการจะปฏิเสธจึงเป็นเรื่องยาก และทางรูฟัสเองก็ดูเหมือนจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ ตั้งแต่รู้จักกันมากว่าสิบปี คลาวเดียยังไม่เคยเห็นสีหน้าพ่ายแพ้ของรูฟัสเลยสักครั้ง เด็กนั่นไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ และก็มักจะทำสำเร็จไปเสียทุกเรื่อง  เรื่องคราวนี้ก็คงตั้งใจจะทำให้สำเร็จเช่นกัน แต่ว่าความรักนั้นสลับซับซ้อนเกินกว่าที่เจ้าตัวจะจัดการเองได้
   ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของคลาวเดีย
   ถ้าฟ่งเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน รูฟัสอาจจะยอมถอยก็ได้
   เธอคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ฟ่งคงไม่มีโอกาสพูด ด้วยสาเหตุหลายๆ อย่าง ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือเขาจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากรูฟัสในการกลับประเทศ แต่ว่าเรื่องนั้นหากให้ราฟาแอลจัดการก็คงได้เหมือนกัน
   ถ้าฟ่งไม่มีใจให้รูฟัส เรื่องราวก็คงง่ายขึ้น
   การต้องทนอยู่โดยไม่ได้รักนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมานอกจากความทรมานทางจิตใจ ยิ่งกับความสัมพันธ์แบบนี้แล้ว คลาวเดียเห็นว่ามันน่าจะเป็นทางออกที่ดี  แม้ว่าจะดูโหดร้ายกับรูฟัส แต่ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง  เธอคิดว่ารูฟัสน่าจะยอมรับความจริงข้อนี้ได้

   เสียงเคาะประตูทำให้ฟ่งสะดุ้ง เขากำลังรื้อเสื้อผ้าออกมาอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มดันแว่นให้เข้าที่และรีบไปเปิดประตู  และพบคลาวเดียยืนอยู่ เธอยิ้มให้เขา ก่อนจะขอเข้ามาด้านใน
   “แบ่งครึ่งตู้เสื้อผ้ากับรูฟัสสิ  เด็กนั่นทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่นี่ไม่มากหรอก”
   หล่อนกล่าว หลังจากเห็นกองเสื้อผ้าที่ฟ่งรื้อออกมา  ฟ่งยิ้มแห้งๆ รู้สึกเกรงใจอย่างบอกไม่ถูก
   “ผมไม่ได้อยู่ที่นี่นานขนาดนั้นหรอกครับ”   เขากล่าวออกมา  คลาวเดียฉวยโอกาสนั้นพูดเรื่องที่หล่อนคิด
   “เธอคิดยังไงกับรูฟัส?”
   ฟ่งหันกลับไปมองหน้าหญิงสาวอย่างงุนงงทันที  หล่อนจึงพูดต่อ
   “คือฉันอยากรู้ว่าเธอชอบรูฟัสรึเปล่า?” คลาวเดียอธิบายจุดประสงค์ของคำถามให้ชัดมากยิ่งขึ้น ฟ่งยืนนิ่งอึ้งกับคำถาม  เขาไม่คิดว่าจะได้ยินในตอนนี้
   “ผะ..ผมไม่รู้” ฟ่งตอบ หลบสายตาลงอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้ากลายเป็นสีแดงระเรื่อ คลาวเดียถอนหายใจ  และคิดว่าบางทีเรื่องอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด ปฏิกิริยาของฟ่งทำให้เธอรู้สึกว่า บางทีเด็กหนุ่มคนนี้อาจจะมีใจให้กับรูฟัสอยู่ แต่คงลังเลที่จะชี้ชัดลงไปว่าชอบหรือไม่ ความลังเลนี้เองที่ทำให้เรื่องยุ่งยาก ถ้าฟ่งทั้งไม่ยอมรับและปฏิเสธ ความวุ่นวายก็ยังคงเกิดขึ้นต่อไป  คลาวเดียตัดสินใจว่าเธอน่าจะอธิบายข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้กับเด็กหนุ่มเพื่อช่วยในการตัดสินใจ
   “ฉันคิดว่าเธอชอบเขาเสียอีก” หล่อนกล่าว ฟ่งรู้สึกร้อนวาบบนใบหน้าอีกครั้ง
   “ผมไม่ได้ชอบ..” ในที่สุดเขาก็โพล่งออกมา ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวอย่างสับสน และรีบพูดต่อ “คือผมไม่ได้เกลียดเขา แต่ผมไม่ได้เป็นแบบที่คุณคิด”
   “แบบไหนล่ะ?” หญิงสาวย้อนถาม  ฟ่งกลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า “ผมไม่ได้เป็นเกย์..”
   คลาวเดียนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นใจ
   “ฉันเข้าใจล่ะ เธอโดนรูฟัสหลอก?”
   “ก็ไม่เชิงแบบนั้น” ฟ่งพูดตะกุกตะกัก เริ่มคิดว่าตัวเองกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่
   “เขาเคยโกหกผมหลายเรื่อง แต่ว่าเรื่องนั้น ผม...” ฟ่งละคำว่าสมยอมทิ้งไป บางทีเขาอาจจะนึกคำภาษาอังกฤษไม่ออก แต่ถึงนึกออก เขาก็ไม่คิดอยากจะพูด นั่นทำให้คลาวเดียต้องตีความเอาเอง
   คลาวเดียมองหน้าเด็กหนุ่ม เขาดูสับสน และเหมือนจะไม่ยอมรับตัวเอง หล่อนเริ่มมองเห็นเรื่องราวต่างๆ ระหว่างสองคนนี้แล้ว การที่รูฟัสไม่ยอมจะตัดใจง่ายๆ คงเพราะฝ่ายนี้คอยให้ท่าอย่างไม่รู้ตัวนั่นเอง
   “ฉันไม่อยากเห็นเธอต้องลำบากเพราะความไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เธออาจจะชอบรูฟัสในช่วงหนึ่งตอนที่เธอยังไม่รู้จักเขาดี แต่ตอนนี้เขาเป็นแบบที่เธอไม่เคยรู้ ฉันอยากให้เธอตัดสินใจว่า เธออยากจะอยู่หรืออยากจะไปจากเขา”
   นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนมองขึ้นอย่างไร้ความหวัง ริมฝีปากเอ่ยถ้อยคำอันน่าสะเทือนใจ
   “ผมเลือกได้ด้วยหรือ?” ฟ่งกล่าว น้ำเสียงแหบแห้งนั้นสะท้อนไปกับความเงียบในห้อง  และที่ติดตามมาคือเสียงเคาะประตู
   “คุณอยู่ที่นี่ด้วยรึ? คลาวเดีย”
   รูฟัสเปิดประตูเข้ามา และทักทายด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คลาวเดียรู้สึกหนาวสะท้าน เขาไม่เคยแสดงทีท่ามุ่งร้ายใส่เธอมาก่อน แต่คงไม่ใช่ในตอนนี้ เธอระลึกขึ้นมาทันทีว่าบางทีหนุ่มวัยยี่สิบแปดคนนี้อาจจะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่
   “ฉันมาช่วยฟ่งจัดเสื้อผ้า แต่เอาเถอะ เธอมาก็ดีแล้ว ฉันลงไปข้างล่างดีกว่า”  หล่อนกล่าวเร็วปรื๋อ และเดินออกไปจากห้องแทบจะในทันที แม้จะรู้สึกเป็นห่วงฟ่งอยู่บ้าง แต่ว่านี่เป็นปัญหาที่เด็กคนนั้นต้องเผชิญเอง คลาวเดียคิดว่าบางทีเธออาจจะกำลัง “แส่ไม่เข้าเรื่อง” อยู่ก็ได้
   ฟ่งขยับตัวถอยห่างออกมาจากเตียงนอนโดยอัตโนมัติ เมื่อรูฟัสก้าวเข้ามา เขาจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่นั่งลงบนเตียงเกิดอะไรขึ้น
   รูฟัสมองหนุ่มสวมแว่นผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลที่ถอยกรูดออกไปทันทีที่เขาเดินเข้าใกล้ด้วยความรู้สึกสับสนปนเป  เมื่อครู่เขาไม่ได้ตั้งใจจะขู่คลาวเดีย แต่บทสนทนาที่บังเอิญได้ยิน และอารมณ์ที่คางคามาจากราฟาแอลทำให้เขาแสดงท่าทีแบบนั้นออกไปโดยอัตโนมัติ บางทีนั่นอาจจะส่งผลกระทบกระเทือนถึงฟ่งด้วย
   ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีพยายามจะหยุดฝีเท้า ความจริงเขาอยากจะเดินไปกอดฟ่ง  อยากจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังอยู่ใกล้ๆ  อย่างไรก็ดี ขืนทำแบบนั้นมีแต่จะทำให้เรื่องแย่เข้าไปอีก  รูฟัสไม่ค่อยมั่นใจนักว่าเขาจะสามารถควบคุมตัวเองได้ แต่เขานึกหนทางอื่นไม่ออก เขาแค่อยากอยู่ข้างๆ ฟ่ง ก็แค่นั้นเอง
   ในที่สุดร่างสูงใหญ่ก็ตัดสินใจล้มตัวลงบนเตียง เขานอนปุลงไปทั้งอย่างนั้น และเงยหน้ามองเพดาน
   “ใช้ตู้ผมก็ได้” รูฟัสว่า และพูดประโยคต่อมาที่ทำให้ฟ่งอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
   “จัดไปเถอะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
   ชายหนุ่มสวมแว่นกระพริบตาถี่ๆ มองร่างที่นอนแผ่อยู่บนเตียง เขาไม่ได้ไม่เชื่อถือคำพูดนั้น แต่รู้สึกสะท้อนใจยังไงชอบกล ฟ่งหันไปที่ตู้ ความจริงเขาไม่ได้ต้องการจะใช้มัน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้นแล้ว ก็คงต้องทำตาม อีกอย่างเขาก็นึกไม่ออกว่าจะเอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาไปกองไว้ไหน  มือผอมบางเอื้อมไปเปิดประตูตู้  และหยิบไม้แขวนที่ว่างอยู่แขวนเสื้อของตัวเองเข้าไป
   รูฟัสยังคงมองเพดาน เขารู้ว่าฟ่งกำลังจัดเสื้ออยู่จากเสียงไม้แขวนเสื้อกระทบราวที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ ความคิดในสมองฟุ้งกระจายเหมือนฝุ่นควัน ในตอนนี้ เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป  ควรจะส่งฟ่งกลับไทย แล้วค่อยตามไปขอคืนดี หรือจะคุยกันให้รู้เรื่องที่นี่เลยดี หรือว่าจะปล่อยเอาไว้แบบนี้
   เสียงไม้แขวนกระทบกันคล้ายกับเสียงบทเพลงอะไรสักอย่าง สมองที่กำลังฟุ้งซ่านรู้สึกเพลิดเพลินไปกับเสียงนั้น อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าฟ่งยังอยู่ใกล้ๆ เขา
   ฟ่งเอาเสื้อใส่ตู้จนหมด แล้วหันกลับไปมองร่างที่ยังคงนอนแผ่นั้นอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ความจริงเขาอยากหมกตัวอยู่ในห้อง แต่ว่าหากต้องอยู่กับรูฟัสสองต่อสองแล้ว ฟ่งไม่แน่ใจในสวัสดิภาพทางร่างกายของตัวเองเท่าไรนัก ชายหนุ่มกำลังคิดว่าเขาน่าจะออกไปข้างนอก แต่ว่าจะออกไปไหนล่ะ?
   รูฟัสรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงบิดลูกบิดประตู ดูเหมือนว่าเขาจะเคลิ้มหลับไปวูบหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่วิสัยปกติเท่าไรนัก
   “ไปไหนหรือครับ”
   ฟ่งชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงทัก เขาคิดว่ารูฟัสกำลังหลับอยู่เสียอีก ร่างบางหันหน้ามาและยิ้มแห้งๆ
   “ผมว่าจะลงไปหาอะไรกินหน่อย”
   รูฟัสขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟ่งเพิ่งทานอาหารมาเมื่อครู่ หิวอีกล่ะหรือ? แต่ถึงอย่างนั้นในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมา
   “อยากทานอะไรล่ะครับ เดี๋ยวผมพาไป” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับผุดลุกขึ้น ฟ่งหัวเราะแหะๆ ความจริงเขาไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด เพียงแค่อยากจะหาข้ออ้างออกไปเท่านั้นเอง แต่ว่าดูเหมือนมันจะให้ผลไม่ตรงกับจุดประสงค์เท่าไร
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณนอนเถอะ ผมลงไปถามคุณคลาวเดียก็ได้”
   รูฟัสกลืนคำพูดที่ว่าเขาคงนอนไม่ลงถ้าไม่มีฟ่งอยู่ด้วยเอาไว้ในคอ ผู้ชายคนนี้กำลังพยายามหลบหน้าเขาอยู่ รูฟัสไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เขาต้องการให้ฟ่งอยู่ในสายตาทุกวินาที  ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไป
   “ผมรู้จักร้านกาแฟดีๆ แถวนี้  ไปกันเถอะครับ”
   ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจพูดจารวบรัดตัดความ กึ่งบังคับให้ฟ่งไปกับเขา ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างคนพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
----------------------------------------------------
   นัยน์ตาสีดำสนิทค่อยๆ ปรือขึ้นมารับแสงแดดในยามเช้า แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน คิ้วบางได้รูปก็ขมวดเข้าหากันทันที ก่อนจะขยับมือแกะวงแขนที่รัดร่างอยู่ออก และดีดตัวลุกขึ้น
   “รีบลุกเดี๋ยวก็หน้ามืดหรอก” เสียงทุ้มๆ ของผู้ที่ยังนอนอยู่เอ่ยขึ้น ยิ่งทำให้คิ้วงามคู่นั้นขมวดแน่นขึ้นอีก อิทธิเดชไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ชายหนุ่มรีบเดินตรงไปยังห้องน้ำทันที  วรุตปรือตามองตามร่างอ้อนแอ้นราวกับหญิงสาวนั้นหายลับเข้าประตูห้องน้ำไป แล้วหาวหวอด
   
เป็นเวลากว่าสามสัปดาห์แล้ว ที่สถาปนิกชื่ออภิวัฒน์หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุความจริงเขาจะต้องถูกปิดปากทันทีหลังจากทำงานเสร็จ แต่หมอนั่นทิ้งแค่งานเอาไว้ แล้วหายตัวไปเสียเฉยๆ สืบจากทางบ้านก็ได้ความว่าไปดูงานที่ฮ่องกง แต่ก็ไม่พบรายชื่อในตารางขาออกนอกประเทศ สถาปนิกคนนั้นหายไปไหนกันแน่
   นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษผู้มีใบหน้าสวยงามราวกับหญิงสาวครุ่นคิดมาเป็นเวลาหลายวัน  ชายที่ชื่ออภิวัฒน์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาโดยตรง เพียงแต่การหายตัวไปของผู้ชายคนนั้นทำเขาถูกพักงานกลายๆ  อธิเดชคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด  หลังจากสอบถามกับทวีศักดิ์แล้ว อีกฝ่ายบอกกับเขาว่างานนี้เสี่ยงอันตรายเกินไป และตัดเขาออกจากแผน  มันต้องเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างปริศนานั่นแน่ๆ
   มีใครบางคนชิงตัวของสถาปนิคคนนั้นไปก่อนหน้าพวกเขา
   อิทธิเดชเปิดฝักบัวให้น้ำรดลงบนศีรษะ เขานึกไม่ออกว่าใครที่ต้องการลักพาตัวสถาปนิกคนนั้น ตอนแรกทุกฝ่ายเป็นห่วงว่าแผนการจะรั่วไหล ทำให้ทวีศักดิ์ถูกบีบคั้นอย่างหนักให้ตามหาตัวหรือศพของสถาปนิกคนนั้นให้พบ อย่างไรก็ดี หลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์  ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรที่ชี้ออกมาว่าเรื่องได้รั่วออกไปแล้ว และก็ยังไม่มีวี่แววของสถาปนิกที่ชื่ออภิวัฒน์แม้แต่เงา   
   สายน้ำไหลรินจากเรือนผมตกลงสู่ร่างขาวเนียนผอมบาง ที่มีรอยจ้ำสีชมพูอยู่ทั่ว ผู้ประทับรอยนี้เอาไว้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเด็กหนุ่มที่นอนหาวหวอดอยู่บนเตียงเมื่อครู่
   หลังจากโดนพักงานได้สองสามวัน อิทธิเดชก็ได้พบกับความเลวร้ายในชีวิตมากยิ่งขึ้น เมื่อจู่ๆ วรุต ลูกชายคนเดียวของทวีศักดิ์ ผู้เป็นเจ้านายของเขา ได้ขนข้าวขนของย้ายเข้ามาอยู่ในห้องเขา ไม่รู้ว่าเด็กนั่นไปเอากุญแจกับคีย์การ์ดมาจากไหน อาจจะขอเอาจากเคาน์เตอร์  ยังไงเสียปกติวรุตก็เข้าออกที่นี่เหมือนบ้านตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่านี่คือฝันร้ายสำหรับเขาชัดๆ
   อิทธิเดชพูดอะไรไม่ออก เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาและเจอวรุตจัดของอยู่ ความจริงเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ขนอะไรมามาก มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุด และเครื่องใช้ส่วนตัวไม่กี่อย่าง ตอนแรกวรุตยื่นข้อเสนอให้อิทธิเดชย้ายไปอยู่คอนโดเดียวกันกับเขา แต่เมื่อถูกปฏิเสธ  ก็ลงเอยด้วยการที่วรุตมาปักหลักอยู่ที่นี่เสียเอง
   ร่างบางหยิบสบู่ขึ้นมาถูตัว พลางคิดว่าเมื่อไหร่เด็กที่แสนเลวร้ายนี่จะกลับไปเรียนต่อเสียที เขาไม่เข้าใจว่าทำไมวรุตถึงได้ปฏิบัติกับเขาอย่างร้ายกาจ เพราะเขาเคยมีอะไรกับพ่อของเด็กนั่นมาก่อนรึไง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด อิทธิเดชเคยอธิบายเรื่องนี้ให้วรุตฟังแล้ว แต่ผลที่ได้คือความเจ็บปวดแสนสาหัสที่วรุตมอบให้เขาบนเตียง เหมือนการพูดถึงเรื่องนี้ไม่ว่าในรูปแบบใดจะยิ่งทำให้เด็กหนุ่มอารมณ์เสียมากยิ่งขึ้น
   ดังนั้นหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ อิทธิเดชจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับวรุตอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะใช้กำลังหรืออะไรก็ตามบังคับให้เด็กหนุ่มออกไปได้ อย่างไรก็ตามทวีศักดิ์ดูจะได้ข่าวการกระทำของลูกชายเขาแล้ว จึงโทรมาขอโทษขอโพยหลังจากนั้น
   อิทธิเดชเอื้อมมือไปเปิดฝักบัวอีกครั้ง เพื่อล้างเอาสบู่ออก หลังจากคำขอโทษ  ทวีศักดิ์นัดเขาเข้าไปที่สำนักงานในวันนี้ แต่เขากลับตื่นสายเพราะวรุต
   เด็กหนุ่มวัยยี่สิบบิดตัวอย่างเกียจคร้าน มองไปยังห้องน้ำ พลางคิดว่าวันนี้เขาจะพาอิทธิเดชออกไปไหนดี หลายวันก่อน อิทธิเดชพูดกับเขาเรื่องพ่อ นั่นทำให้วรุตรู้สึกโมโห อีกฝ่ายยังคงไม่ลืมพ่อ และยังมาตอกย้ำเขาด้วยการอธิบายเรื่องเก่าๆ เขาไม่ได้ไม่พอใจที่อีกฝ่ายมีอะไรกับพ่อของเขา แต่เขาไม่พอใจที่อิทธิเดชเคยตกเป็นของผู้เป็นพ่อมาก่อน ทำไมเขาถึงไม่เจออิทธิเดชเร็วกว่านี้
   วรุตรู้ว่าความคิดนี้แสนจะงี่เง่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่อาจจะย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงได้อีก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงต้องครอบครองเอาไว้ แม้จะเป็นแค่ร่างกายก็ตาม
   อิทธิเดชเดินออกมาจากห้องน้ำ และตรงไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อออกมาและรีบกลับไปที่ห้องน้ำใหม่ ราวกับกลัวจะถูกตะครุบตัวไว้ เขาไม่อยากจะใช้เวลาที่ร่างกายมีแต่ผ้าเช็ดตัวห่อหุ้มต่อหน้าวรุตให้นานมากนัก ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะมีอารมณ์เมื่อไร  ดูเหมือนวรุตจะฉวยโอกาสทำอะไรเขาได้ทุกขณะ
   เด็กหนุ่มยืดตัว ลุกขึ้นจากเตียง และถอนหายใจยาว เมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่าย ไม่นานอิทธิเดชก็ออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพแต่งตัวเรียบร้อย นั่นทำให้วรุตขมวดคิ้วขึ้นบ้าง
   “จะออกไปข้างนอกรึ?” เขาเอ่ยถาม อีกฝ่ายพยักหน้า และหยิบกุญแจรถ เดินออกไปทันที วรุตรีบถลันวิ่งไปคว้ามือของอิทธิเดชไว้
   “ไม่ต้องตามมาหรอก” อิทธิเดชกล่าว และสะบัดมือออกอย่างแรงจนวรุตต้องถอยหลัง  ก่อนจะเปิดประตูออกไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มยืนงง
-----------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #68 เมื่อ24-05-2011 18:46:37 »

   ทวีศักดิ์เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร และมองไปรอบๆ ห้องทำงานสีขาว เป็นเวลากว่าสามสัปดาห์แล้วที่สถาปนิกที่ชื่ออภิวัฒน์หายตัวไป เขาไม่ได้นึกเป็นห่วง แต่เป็นกังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่อยู่ในหัวสมองของเด็กคนนั้นต่างหาก ชายวัยห้าสิบเศษผู้มีผมสีดอกเลาแซมเล็กน้อย หยิบเอกสารรายงานความคืบหน้าขึ้นมาดู เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ติดต่อว่าจ้างสถาปนิกคนนี้ ห้องที่ออกแบบมานั้นสลับซับซ้อนเสียจนหากไม่มีแผนที่คงไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ถูก การก่อสร้างเสร็จไปแล้วกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่มันยังไม่สมบูรณ์พร้อม การป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลจึงยังจำเป็น ตอนนี้ทุกคนที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับมัน อยู่ในสายตาของเขาไม่ก็ถูกกำจัดไปหมดแล้ว ยกเว้นแต่คนออกแบบนี่แหละ จากคำบอกเล่าที่ว่าสถาปนิกคนนั้นไปดูงานที่ฮ่องกง ทำให้ทวีศักดิ์นึกถึงคนคนหนึ่ง
   เว่ยเฟิงปิง
   ความจริงเขาเคยส่งหนังสือเชิญเข้าร่วมงานครั้งนี้ไปให้กับเว่ยชิงผู้เป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลเว่ย เพราะทางนั้นเคยอำนวยความสะดวกด้านธุรกิจกับเขาในฮ่องกงมาก่อน อย่างไรก็ดี เว่ยชิงส่งบุตรชายคนที่เจ็ดมาเพื่อตอบปฏิเสธคำเชื้อเชิญอย่างสุภาพ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้พบกับเว่ยเฟิงปิง
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยคนนี้ ท่าทีดูไม่เลวนัก ผิดเสียแต่แววตาสีฟ้านั้นดูเจ้าเล่ห์คล้ายงูไปเสียหน่อย แต่คงเป็นธรรมดาของคนตระกูลนี้ แม้แต่ตัวเว่ยจินหยินผู้เป็นบุตรชายคนที่สอง ซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือเขาเอง ก็มีแววตาที่ไม่น่าไว้ใจเช่นกัน เว่ยเฟิงปิงมาหาเขาเพื่อยื่นจดหมายปฏิเสธของผู้เป็นพ่อ และจบลงด้วยการเตือนเรื่องสายลับ
   ดูจากพฤติกรรมแล้ว เว่ยเฟิงปิงไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการหายตัวไปของสถาปนิกที่ชื่ออภิวัฒน์ แต่วันที่เขาบินกลับฮ่องกงนั้นดูจะตรงกับวันที่สถาปนิกคนนั้นหายตัวไปพอดี
   ตามข้อมูลเบื้องต้นที่เขารู้ คุณชายเจ็ดคนนี้เป็นคนชอบวางแผน และมักจะทำอะไรบางอย่างที่คนอื่นคาดไม่ถึง แต่ทวีศักดิ์ไม่คิดว่าเว่ยเฟิงปิงจะวางแผนล้มงานประชุมของเขา  ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถหาคำอื่นมาอธิบายการหายไปของสถาปนิกคนนั้นได้ได้ ครั้นจะสอบถามไปโดยตรงยิ่งอาจจะทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจกันโดยใช่เหตุ เพราะเขาไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ทางตระกูลเว่ยยังไม่เคลื่อนไหวอะไรที่ส่อว่าจะคุกคามงานในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าทางนั้นกำลังมีศึกสำคัญอยู่กับแก๊งคู่แข่งอย่างริเวิล
   บางทีการหายตัวไปของอภิวัฒน์อาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับตระกูลเว่ยก็ได้  ถึงอย่างนั้น การหายตัวไปอย่างปริศนานั่นก็ยังสร้างความไม่ปลอดภัยกับแผนการอยู่ดี  ทวีศักดิ์ได้สั่งให้ระดมกำลังเท่าที่มี ค้นหาและจัดการเก็บสถาปนิกคนนั้นได้ทันทีหากเจอตัว
   เสียงสัญญาณเตือนจากเครื่องติดต่ออัตโนมัติดึงเขากลับสู่โลกปัจจุบัน เสียงจากเลขาส่วนตัวที่นั่งอยู่หน้าห้องดังขึ้นทันทีที่ทวีศักดิ์กดปุ่มอนุญาต
   “คุณอิทธิเดชมาพบท่านค่ะ”
   “อ้อ  ให้เข้ามาเลย” เขากรอกเสียงลงไปในเครื่อง เกือบจะลืมไปเสียสนิท วันนี้เขานัดให้อิทธิเดชมาพบนี่นา เรื่องของวรุต บุตรชายคนเดียวของเขาที่ย้ายไปอยู่ร่วมกับลูกน้องคนนี้แว่วมาเข้าหูเขามาพักหนึ่งแล้ว จริงๆ คือวรุตเป็นคนมาบอกกล่าวเขาเอง  แต่ด้วยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่มีเวลาจะจัดการกับเรื่องนี้ ได้แต่โทรศัพท์ไปขอโทษขอโพยกับอิทธิเดช 
ทวีศักดิ์ยอมรับว่าเขาไม่สามารถควบคุมลูกชายของตัวเองได้ วรุตนั้นอยู่ห่างจากเขามากเกินไป ภรรยาของเขา และแม่ของวรุตเสียชีวิตขณะเด็กคนนั้นอายุได้สิบปี หลังจากนั้นทวีศักดิ์ก็ทุ่มเทเวลาให้กับงานเพื่อลืมความเจ็บปวดจากการสูญเสียภรรยา และสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกชาย มารู้ตัวอีกทีวรุตก็เริ่มมีปัญหากับโรงเรียนจนเขาจำเป็นต้องส่งไปเรียนต่อเมืองนอก นั่นทำให้สองพ่อลูกแทบจะไม่มีเวลาส่วนตัวที่เรียกว่าเป็นเวลาของครอบครัวเลย ทวีศักดิ์รู้สึกเสียใจนิดหน่อย แต่นี่เป็นผลกระทบที่เลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อเขาเลือกงานก่อนครอบครัว
   อิทธิเดชผลักบานประตูสีขาวเข้ามาในห้อง ทันทีที่ได้รับสัญญาณอนุญาต เขายังคงเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบาง ใบหน้าสะสวยเช่นเดิม
   “สวัสดีครับ” อิทธิเดชยกมือไหว้ทวีศักดิ์ที่มีอายุมากกว่าตามธรรมเนียม อีกฝ่ายรับไหว้ และเอ่ยทักกลับ “สวัสดี ต้องขอโทษด้วยนะ เรื่องเจ้าวิน”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” อิทธิเดชกล่าวอย่างขมขื่น เขาคงพูดอะไรไม่ได้มากกว่านี้  ทวีศักดิ์มองหน้าเด็กหนุ่มพลางถอนหายใจ
   “เธอน่ะ ถ้าไม่พอใจอะไรล่ะก็ พูดออกมาก็ได้”
   อิทธิเดชช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่าย นานแล้วที่เขาไม่ได้มีโอกาสคุยกับทวีศักดิ์สองต่อสอง  ความจริงในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แม้จะมีอะไรกัน แต่ก็แทบจะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลยด้วยซ้ำ  ความสัมพันธ์นั่นไม่แม้แต่จะอยู่ในฐานะคนรัก แต่เขากลับตัดใจจากชายคนนี้ได้ยาก
   “ครับ” อิทธิเดชรับปาก แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะพูดจริงๆ  ทวีศักดิ์ถอนหายใจอีกครั้ง
   “ฉันน่ะ หมดปัญญาจะจัดการกับเจ้าวินแล้ว ก็อย่างที่เธอเห็น เขาไม่ยอมฟัง ถ้าเธอรู้สึกลำบากใจมาก ฉันจะหาที่อยู่ใหม่ให้เอาไหม?”
   “ขอบคุณครับ” อิทธิเดชกล่าวพลางส่ายหน้า เขาคิดว่าการย้ายที่อยู่ใหม่ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ก็ไม่มีอะไรประกันได้เลยว่า วรุตจะไม่ตามไปอีก ทวีศักดิ์จ้องหน้าของอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง เหมือนจะถามเพื่อความแน่ใจ ในที่สุดก็พูดต่อ
   “ถ้าเธอเลือกแบบนั้นล่ะก็ ฉันมีเรื่องอยากจะไหว้วานเธอหน่อย”
   นัยน์ตาสีดำของเด็กหนุ่มเหลือบมองขึ้นมาอย่างสงสัย  ทวีศักดิ์ทำหน้าปั้นยาก
   “คือฉันอยากให้เธอคุ้มครองเจ้าวินให้หน่อย มันอาจจะฟังดูรับได้ยาก เจ้าวินติดเธอมาก  และสถานการณ์ของเราตอนนี้ก็ไม่น่าไว้วางใจ ฉันเป็นห่วงลูก แต่ถ้าเธอลำบากใจมาก ฉันจะให้คนอื่นทำแทน แต่เธอต้องย้ายที่อยู่ใหม่ เจ้าวินจะได้ไม่ไปกวนใจอีก” เขาพูดเร็วปรื๋อ เหมือนว่าไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตั้งใจฟังมากนัก บางทีทวีศักดิ์อาจจะคิดว่าการให้เด็กหนุ่มย้ายที่อยู่เป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่อิทธิเดชกลับให้ทำตอบที่เขาแปลกใจ
   “ตกลงครับ  ผมจะดูแลคุณวรุตให้”
   “อะ..เอ้อ...” อีกฝ่ายอึ้งไปกับคำตอบครู่ใหญ่ และถามย้ำอีกครั้ง “เธอแน่ใจนะ?”
   ผู้ถูกถามพยักหน้า  เขามองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเพื่อยืนยัน ในที่สุดทวีศักดิ์ก็ระบายลมหายใจออกมา
   “ขอบใจมาก ขอบใจเธอมากจริงๆ ฉันอนุญาตให้เธอจัดการกับเจ้าวินตามความจำเป็น หากเขาไม่ยอมเชื่อฟัง สรุปคือเธอไม่ต้องเกรงใจว่าเป็นลูกชายฉันหรอก”
   อิทธิเดชยิ้มแห้งๆ  เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการให้ลงไม้ลงมือกับลูกชายตัวเองจริงๆ อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มรู้ว่าขอบเขตที่ว่าเป็นอย่างไร คำอนุญาตของผู้เป็นเจ้านายทำให้เขาสบายใจขึ้นนิดหน่อย
   ทวีศักดิ์มองนาฬิกาตั้งโต๊ะ และหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มอีกครั้ง
   “ถ้าเธอไม่รีบล่ะก็ อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนสิ”
   อิทธิเดชมองหน้าทวีศักดิ์อย่างไม่เชื่อ ก่อนจะพยักหน้าอย่างยินดี
----------------------------------------------
   รถบีเอ็มดับเบิลยูสีดำ แล่นเข้ามาจอดภายในลานจอดรถของตึกสีขาวตระหง่าน เด็กหนุ่มวัยยี่สิบก้าวลงจากรถ และเดินเข้าไปข้างในด้วยท่าทีเร่งร้อน วรุตพยายามนึกอยู่นานว่าอิทธิเดชจะไปที่ไหน ในที่สุดสถานที่เดียวที่เขาคิดออกคือที่ตึกทำงานของพ่อเขานั่นเอง
   ความจริงแล้วเด็กหนุ่มยังรู้สึกงุนงงอยู่นิดหน่อย เรื่องที่อิทธิเดชปัดมือเขาออกเมื่อเช้า ไม่ใช่ว่าอิทธิเดชไม่เคยขัดขืนเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่วรุตรู้สึกว่าอีกฝ่ายแข็งแรงกว่าที่คิด  บางทีเขาอาจจะยังไม่รู้จักอิทธิเดชดีพอ
   เด็กหนุ่มเสียเวลาทักทายกับพนักงานและเพื่อนร่วมงานบางคนของบิดาของเขา ความจริงวรุตไม่ใช่เด็กต่อต้านสังคม หรือทำตัวเลวร้ายเหมือนที่เขาปฏิบัติกับอิทธิเดช โดยปกติวรุตเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย และมักเป็นที่ชื่นชอบ วัดจากอัตราการทักทายของคนในที่นี่ กว่าที่เขาจะไปถึงห้องทำงานของผู้เป็นบิดาก็กินเวลาไปมากทีเดียว
   “อ้าว เจ้าวิน” เสียงคุ้นหูเอ่ยทัก ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังคิดว่าจะโผล่พรวดเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นบิดาโดยไม่ผ่านเลขาหน้าห้อง เขาหันกลับไปมอง และพบว่าผู้เป็นพ่อเดินคู่มากับคนที่เขากำลังตามหาอยู่
   อิทธิเดชไม่ได้ทานข้าวกับทวีศักดิ์มานานมาก แม้การท่านอาหารครั้งนี้จะมีรัตน์มาร่วมโต๊ะด้วย แต่มันก็ยังทำให้เขารู้สึกดี การได้พบกับวรุตในที่นี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเขามากนัก แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมานิดหน่อย
   ดูเหมือนทวีศักดิ์จะคาดถึงการมาของวรุตไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาเดินตรงเข้าไปทักบุตรชาย ที่กำลังมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร พลางเอ่ย “มาก็ดีล่ะ ต่อไปนี้อิทธิเดชจะเป็นผู้ปกครองลูก  ช่วยเชื่อฟังพี่เขาหน่อยแล้วกัน”
   “หา?” วรุตร้องออกมาอย่างแปลกใจ และมองหน้าพ่อแบบงงๆ ทันที
   “ก็อย่างที่พูด พ่อเห็นลูกติดเขาแจ เลยวานให้ช่วยดูแล ก็ดูเข้าท่าดีไม่ใช่หรือ?”
   “พ่อจะเล่นอะไรอีกเนี่ย ผมดูแลตัวเองได้” เด็กหนุ่มเถียงทันที ทวีศักดิ์ย่นคิ้ว และยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับลูกชายของเขา  การไม่รู้อะไรเลยของวรุตนี่แหละที่น่าเป็นห่วง
   “ลูกเอารถมาใช่ไหม ทิ้งไว้นี่แหละ จากนี้ก็ให้เดชขับรถให้แล้วกัน”
   “พ่อ!!” วรุตร้องอีกครั้ง พลางคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเขากันแน่ ทวีศักดิ์หลิ่วตาให้กับอิทธิเดช พลางพูดต่อ
   “ลูกกินข้าวหรือยังล่ะ ถ้ายังให้เดชเขาพาไปสิ”
   วรุตหันไปทางอิทธิเดช และเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า ในที่สุด เมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคำถามอะไรต่อดี เขาจึงต้องปล่อยผู้เป็นบิดาไป และเดินตามอิทธิเดชต้อยๆ
------------------------------------------------
   กาแฟในร้านที่รูฟัสพาไปนั้น อร่อยอย่างที่ว่าจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ระหว่างคนทั้งคู่ดีขึ้น ในที่สุดฟ่งก็เอ่ยปากกว่าอยากกลับบ้าน ในขณะที่ยังดื่มกาแฟค้างอยู่ มันทำให้รูฟัสนึกถึงช่วงที่เขาพบกับฟ่งแรกๆ ฟ่งที่ดูหงอยๆ เพียงแต่ว่ารอบนี้คนที่ทำให้ฟ่งดูหงอยไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเขาเอง
   สายลมยามบ่ายพัดผ่าน พัดพาเอาใบไม้สีทองปลิวว่อนราวกับช็อตในหนังโรแมนติก  จะต่างก็เพียงคู่พระเอกนางเอกนั้นไม่ได้ลงรอยกันหวานแหววเหมือนในหนัง
   ฟ่งเดินห่างจากรูฟัสเกือบสามเมตร!!
   รูฟัสชำเลืองมองดูฟ่งที่เดินไปข้างด้วยสายตาหม่นหมอง สำหรับเขาแล้วสามเมตรที่ว่านั้นราวกับสามปีแสง ฟ่งนั้นดูห่างเหินจนไม่น่าเชื่อ จะมานึกเสียใจในการกระทำของตัวเองตอนนี้ก็สายเสียแล้ว ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีพยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้ฟ่งกลับมาไว้ใจเขา
   “คุณ...กลัวผมเหรอ?” ในที่สุดรูฟัสก็กลั้นใจถามคำถามหนึ่งในข้อที่เขาหวาดกลัวในคำตอบที่จะได้รับ ฟ่งเงยหน้ามองเขาอย่างงงๆ
   “ปะ..เปล่า” เสียงนั้นตอบตะกุกตะกัก แน่นอนว่าฟ่งกลัว แต่การยอมรับออกไปตรงๆ ก็คงจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี รูฟัสเม้มปาก เขาไม่รู้จะดีใจในคำตอบนั้นดีหรือไม่ ชายหนุ่มพูดต่อ
   “ถ้าอย่างนั้นมาเดินใกล้ๆ ผมได้ไหมครับ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลบ่งบอกถึงความไม่ไว้ใจอย่างเห็นได้ชัด  รูฟัสถอนหายใจ แล้วพูดขึ้นอีก “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
   หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ฟ่งก็ยอมเดินมาใกล้ขึ้น รูฟัสกลืนน้ำลาย ความจริงเขาอยากจะจูงมือฟ่งด้วยแต่สถานการณ์ตอนนี้คงไม่อำนวยให้ทำแบบนั้น
   ฟ่งกระชับสเวตเตอร์ให้เข้ากับตัวด้วยความหนาว การมาเดินคู่กับรูฟัสสองคนทำให้เขารู้สึกแสลงใจ
   ทำไมเขาจะต้องมาอยู่ข้างๆ ผู้ชายแบบนี้ด้วยนะ
   ชายหนุ่มสวมแว่นเผลอนึกย้อนไปว่าหากเรื่องราวไม่พลิกผันแบบที่เป็นในปัจจุบัน การได้เดินคู่กับรูฟัสในสถานที่แบบนี้คงจะสร้างความสบายใจให้เขามากทีเดียว แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องรีบเปลี่ยนความคิด
   ไม่ว่าจะแบบไหนก็คงไม่ต่างกันหรอก ก็เขาไม่ได้เป็นพวกรักร่วมเพศเสียหน่อย
   ฟ่งแน่ใจว่าเขาไม่เคยมีความคิดจะชอบเพศเดียวกันมาก่อน แม้แต่ตอนนี้ก็ตาม เวลาเขาเห็นผู้ชายคนอื่นก็ยังรู้สึกเฉยๆ เหมือนเดิม ถึงอย่างนั้นพวงแก้มใต้เงาแว่นก็แดงระเรื่อออกมาอย่างไม่รู้ตัว ฟ่งเร่งฝีเท้า เดินนำหน้ารูฟัสไปเล็กน้อย เขาไม่อยากจะอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ให้มากนัก สำหรับฟ่งแล้วรูฟัสเป็นอะไรที่น่ากระอักกระอ่วนใจยามอยู่ใกล้ ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดขี้หน้าผู้ชายคนนี้ เพียงแต่เมื่อได้อยู่ใกล้ๆ แล้ว คำพูด สีหน้า แววตาที่อีกฝ่ายมองมานั้น ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวไปเสียทุกครั้ง  นเกือบจะมองข้ามเหตุผลและความเป็นจริงที่ว่าผู้ชายคนนี้อันตราย
   รูฟัสเป็นคนอันตราย
   ฟ่งพยายามท่องคำนี้ไว้ในหัว ผู้ชายที่ชักมีดออกมาแทงคนได้หน้าตาเฉย จะไม่เรียกว่าอันตรายได้อย่างไรกัน  ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะทำดีกับเขามามาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นแบบนั้นไปตลอด ฟ่งนึกถึงสิ่งที่รูฟัสทำกับเขาเมื่อวาน ร่างกายพลันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาทันที
   รูฟัสพยายามเร่งฝีเท้าตามฟ่งที่เหมือนกับกำลังเดินหนีเขา ชายหนุ่มย่นคิ้วด้วยความอ่อนใจ จนปัญญาที่จะสรรหาวิธีมาแก้ปัญหา บางทีเขาอาจจะต้องปรึกษาใครบางคน รูฟัสรีบตัดราฟาแอลออกไปเป็นคนแรก หมอนั่นไม่สนับสนุนเขา แถมมีแนวโน้มทำลายอย่างเห็นได้ชัด  แล้วคลาวเดียล่ะ? คลาวเดียเป็นแฟนราฟาแอลนี่ คงจะหวังอะไรมากไม่ได้
   ชายหนุ่มพยายามนึกถึงคนที่จะสามารถให้คำปรึกษากับเขา ขณะที่เดินไล่ตามฟ่ง ช่างตลกสิ้นดี คนที่ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องแบบนี้อย่างเขา กำลังจนตรอกจนต้องร้องขอความช่วยเหลือ แต่ว่าเพื่อให้ได้ฟ่งกลับคืนมาแล้ว ถึงต้องทนเสียหน้าขนาดไหนก็คงต้องทำ

   ฟ่งรู้สึกว่าการเดินนั้นช่างเชื่องช้าและยาวนานเหลือเกินกว่าจะถึงบ้านของราฟาแอล  ทันทีที่มาถึง เขารีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ชายหนุ่มแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตลอดทางที่เดินมา เขาคิดเรื่องของรูฟัสจนยุ่งเหยิงไปหมด ยิ่งคิดยิ่งปวดในหัวใจ ชายหนุ่มวางแว่นตาไว้ตรงขอบอ่างล้างหน้าหน้า และยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลซึมออกมา
   ในที่สุดฟ่งก็ร้องไห้  มันเป็นการร้องไห้เงียบๆ แบบที่เขาเคยทำมาก่อนหน้านี้ในช่วงที่เลิกกับพิฌาดาใหม่ๆ เพียงแต่ความเจ็บปวดในคราวนี้แตกต่างออกไป มันมีทั้งความอึดอัด หักหลัง และไม่แน่ใจปะปนกัน เมื่อไม่มีทางอื่นจะระบายออก น้ำตาจึงหลั่งออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น

   รูฟัสได้แต่ยืนนิ่งเมื่อเห็นฟ่งวิ่งเข้าห้องน้ำทันทีที่กลับถึงบ้าน เขาสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่เดินมาแล้วว่าสีหน้าของฟ่งไม่ค่อยจะสู้ดีนัก บางทีอาจจะกำลังร้องไห้อยู่ ความคิดนั้นยิ่งทำให้รูฟัสรู้สึกแย่มากขึ้น เขาอาจจะบีบบังคับจิตใจของฟ่งมากเกินไป
   “เป็นอะไรน่ะ?” คลาวเดียเอ่ยทักเมื่อเห็นรูฟัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอกำลังอบขนมอยู่ และต้องเดินออกมาดูเหตุการณ์เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำดังปัง
   รูฟัสส่ายหน้าแทนคำตอบและถามกลับ “ราฟี่ล่ะ?”
   “ซ้อมยิงปืนอยู่” คลาวเดียตอบ และมองหน้าของชายหนุ่มขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะหายกลับเข้าไปในครัว
   หลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่ง รูฟัสก็ตัดสินใจเคาะประตูห้องน้ำ
   “ฟ่ง คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
   เสียงเคาะทำให้ฟ่งสะดุ้ง  เขารีบปาดน้ำตาออก  และพยายามจะพูดด้วยเสียงปกติที่สุด “เปล่า”
   รูฟัสแทบจะหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดเมื่อได้ยินเสียงที่สั่นเครือนั้น ฟ่งกำลังร้องไห้ แม้ปากจะปฏิเสธแต่รูฟัสแทบจะแน่ใจว่า ฟ่งรู้สึกในทางตรงกันข้ามกับที่พูด เพียงแต่อาจจะต้องเก็บงำเอาไว้เพราะเกรงกลัวหรือเกรงใจ ไม่ว่าจะแบบไหน ก็ทำให้สถานการณ์แย่ลงทั้งนั้น
   “..............................”
   ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งคู่อีกครั้ง รูฟัสนึกไม่ออกว่าเวลาแบบนี้เขาควรจะพูดอะไร การจะเรียกให้ฟ่งออกมาคงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก แม้จะรู้สึกเป็นห่วง แต่การที่เขาจะเข้าไปยุ่งย่ามนั้นมีแต่จะทำให้อาการของฟ่งแย่ลงมากขึ้น
   “ฟ่งครับ ถ้าดีขึ้นแล้ว อย่าลืมออกมาทานขนมของคลาวเดียนะครับ กำลังร้อนได้ที่เลย” ในที่สุดรูฟัสก็ตัดสินใจพูดอะไรที่ดูจะธรรมดาที่สุด เพื่อลดความกดดันของอีกฝ่าย ประโยคนั้นทำให้ฟ่งอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทันใดน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาอีกครั้ง
   มันเป็นความเจ็บปวดที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ออก
   รูฟัสยืนนิ่งไปอีกพักหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว
   
“อ้าว ขนมยังไม่สุกนะ” คลาวเดียเอ่ย เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามา
“ผมไม่กินหรอก” รูฟัสตอบ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายทำหน้ายุ่งเมื่อได้ยิน
“ฝากดูแลฟ่งหน่อย คืนนี้ผมอาจจะไม่กลับ”
คลาวเดียขมวดคิ้วทันที “จะไปไหนล่ะ?”
“คงไปร้านชานดอร์ น่าจะค้างที่นั่นแหละ”
“จะไปดวดเหล้ารึ?” หญิงสาวทักขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อของชานดอร์ ชานดอร์เป็นหนุ่มวัยสามสิบแปด ผู้ซึ่งเปิดร้านเหล้าเล็กๆ อยู่ตรงหัวมุมถนนในย่านใจกลางเมือง รูฟัสส่ายหน้า
“ผมแค่จะไปคุยธุระ”
คุยธุระถึงกับต้องไปค้างเลยรึ? คลาวเดียตัดสินใจเก็บข้อสงสัยของเธอเอาไว้ และพยักหน้า
“ฉันจะดูแลเด็กนั่นให้ก็แล้วกัน”
หญิงสาวรับปาก รูฟัสกล่าวขอบคุณสั้นๆ  และหันหลังเดินกลับออกไป   
   แม้จะไม่อยากจะยอมรับนัก แต่ความจริงคือ ตัวเขาเองกำลังเป็นปัญหากับฟ่ง
การที่ฟ่งไม่เห็นหน้าเขาในคืนนี้ น่าจะเป็นการดีมากกว่า
-----------------------------------------------------
   ร้านเหล้าของชานดอร์นั้น ตกแต่งแบบไม่ค่อยจะทันสมัยนัก ติดไปทางหลงยุคด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ปีนี้เจ้าของร้านเพิ่งจะอายุเพียงสามสิบแปด อย่างไรก็ตามเจ้าตัวให้ความเห็นว่าเขาชอบบรรยากาศเก่าๆ แบบนี้มากกว่า
   ชานดอร์รับสืบทอดร้านเหล้านี้มาจากลุงของเขา ปีนี้เป็นปีที่ห้าสิบของการเปิดกิจการ แน่นอนว่าการตกแต่งร้านที่แสนจะเชยนั้น ถูกรักษาเอาไว้ให้เหมือนเดิมตั้งแต่ตอนเปิดร้านใหม่ๆ นอกจากจะเปิดร้านเหล้าแล้ว ชายหนุ่มคนนี้ยังมีเกสท์เฮาส์เล็กๆ ราคาประหยัดไว้สำหรับให้คนสัญจรพักด้วย
   เสียงกระดิ่งกริ๊งๆ ที่ดังขึ้น ทำให้คิ้วสีน้ำตาลอ่อนของชายหนุ่มมุ่นเข้าหากัน นี่เพิ่งจะสี่โมงเย็น และป้ายหน้าร้านก็ยังเขียนคำว่า ”ปิด” อยู่  อย่างไรก็ตามเขาก็ละมือจากผ้าเช็ดแก้ว และเดินไปเปิดประตู
   “ขอโทษนะครับ ร้านยังไม่เปิด” ชายหนุ่มกล่าว พลางนึกว่าคนที่มาเปิดอาจจะอ่านภาษาฮังการีไม่ออก แต่กลับได้ยินเสียงตอบเรียบๆ “รู้แล้ว”
   นั่นทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองทันที และอุทานออกมา “เฮ้ย รูฟัส! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
   “สองสามวันแล้วล่ะ ขอเข้าไปหน่อยสิ” อีกฝ่ายกล่าว และเบียดตัวเข้าไปในช่องว่างของประตูโดยไม่รอคำอนุญาต
   “ทำไมล่อมานี่แต่หัววันเลยล่ะ ราฟี่ไล่นายออกจากบ้านหรือไง” ชานดอร์แซว สำหรับเขาแล้ว รูฟัสไม่ใช่ลูกค้าอื่นใกล้ เหมือนญาติพี่น้องกันมากกว่า ชายหนุ่มนัยน์ตาสองสีคนนี้ เป็นลูกค้าของเขามาตั้งแต่เขาเข้ามารับช่วงสืบทอดกิจการใหม่ๆ หรือจะพูดว่า เป็นลูกค้าเดิมของที่นี่ก็ได้ สิ่งที่ทำให้ชานดอร์จำรูฟัสได้ดีคือหมอนี่จับจองเป็นสิงห์นักดื่มตั้งแต่ยังเป็นเจ้าหนูอายุสิบกว่าๆ และยังดื่มเก่งจนน่ากลัวเสียด้วย ช่วงหนึ่งเขาเคยมาหัดเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นี่ อย่างไรก็ตามระยะหลังรูฟัสไม่ได้แวะมาบ่อยนัก
   “จะดื่มอะไรก่อนไหมล่ะ?” ชายหนุ่มวัยสามสิบแปดย่างสามสิบเก้าผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาสีฟ้าใส ใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริงเล็กน้อยเอ่ยถาม ทันทีผู้มาเยือนนั่งปุลงบนเก้าอี้เคาน์เตอร์บาร์
   “น้ำเปล่าก็พอ” รูฟัสตอบ และเริ่มต้นบทสนทนา
   “นี่ ชานดอร์ ถ้านายเกิดไปชอบใครคนหนึ่งเข้า และเขาก็ทำท่าเหมือนว่าจะชอบนายด้วย แต่ว่าไม่เคยบอกนาย นายคิดว่าเขาจะชอบนายรึเปล่า?”
   ชานดอร์ชะงักมือที่กำลังรินน้ำเปล่าใส่แก้วทันที เขามองรูฟัสด้วยสายตาแปลกๆ
   “แกเมามารึไง? หรือว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่?  หรือช่วงนี้แกคิดจะเขียนนิยายขาย?”
   รูฟัสขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด  เขาพยายามเค้นสมองหาคำอธิบายเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ
   “ผมไม่ได้จะเขียนนิยายขาย!” เขาหยุดไปพักหนึ่ง และพ่นลมหายใจออกมา “การที่จะรู้ว่าใครชอบเรา วัดจากอะไรน่ะ?”
   คราวนี้ชานดอร์ขมวดคิ้วขึ้นบ้าง เขาวางน้ำเปล่าไว้ตรงหน้ารูฟัส พลางคิดว่าน่าจะหายาแก้เมาให้กินด้วย
   “นายเป็นอะไรเนี่ย ปกติฉันเห็นใครๆ ก็ชอบนาย ถ้าจะมีใครเหม็นขี้หน้านาย ก็คงเพราะนายเป็นที่ชื่นชอบมากเกินไปนี่แหละ”
   “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” รูฟัสเอ่ย และคิดว่าเขาหรือชานดอร์กันแน่ที่พูดไม่รู้เรื่อง
   “แล้วหมายความว่าแบบไหน  ถ้านายไม่พูดออกมาตรงๆ ก็ไม่มีใครรู้เรื่องหรอกนะ” อีกฝ่ายเอ่ยสวนตอบ รูฟัสขมวดคิ้วยุ่ง และพูดออกมาในที่สุด
   “ตอนนี้ผมกำลังชอบคนคนหนึ่งอยู่”
   “ห๊ะ!!” ชานดอร์ร้องอย่างไม่เชื่อ นั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาที่เหนือความคาดหมายเท่าไรนัก
   “แล้วดูเหมือนว่าเขาจะชอบผมด้วย แต่ว่าตอนนี้เขากลับกลัวผม” รูฟัสพยายามเล่าต่อ  แต่ชานดอร์กำลังคิดว่าเจ้าเด็กนี่คงเมาอะไรมาสักอย่างแน่ๆ
   “ทำไมเขาถึงกลัวนายล่ะ?” อีกฝ่ายถาม แม้จะเหมือนกับว่าเมา แต่การจะตีความแบบนั้นไปเสียทีเดียวคงไม่ได้ เพราะโดยปกติรูฟัสไม่เคยเป็นแบบนี้ บางทีหมอนี่อาจจะกำลังมีเรื่องทุกข์ใจจริงๆ ก็ได้
   “ก็...” รูฟัสชะงักไปกลางคัน พลางคิดว่าควรเล่าเรื่องที่เขาทำกับฟ่งให้อีกฝ่ายฟังดีรึเปล่า  ชานดอร์หยิบแก้วขึ้นไปวางบนชั้นจนเสร็จ เมื่อเห็นว่าผู้ที่นั่งอยู่ยังคงมีทีท่าอ้ำๆ อึ้งๆ จึงพูดเสริม
   “ถ้าไม่เล่าให้รู้เรื่อง ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ”
   รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองหนุ่มวัยสามสิบกว่า ก่อนจะพูดอย่างไม่แน่ใจนัก “แล้วนายจะช่วยได้รึ?”
   ชานดอร์ขมวดคิ้วอีกครั้งหนึ่ง “ถ้าคิดว่าฉันช่วยไม่ได้แล้วถ่อมาหาทำเกือกอะไรล่ะ”
   รูฟัสพยักหน้าหงึกหงักทันที และเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
--------------------------------------------

   

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #69 เมื่อ24-05-2011 18:47:27 »

บทที่29 เบื้องต้นของคำสารภาพ
   ฟ่งเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ เขาเพิ่งนึกได้ว่าอาจจะกำลังสร้างความเดือดร้อนอยู่  ชายหนุ่มดันแว่นให้เข้าที่และเดินเข้าไปในครัว เขาควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น แต่ยังรู้สึกเบลอๆ ในหัว เขาพบคลาวเดียกำลังยกถาดขนมออกจากเตา จึงรีบเข้าไปช่วย
   “รูฟัสล่ะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้น เมื่อไม่เห็นวี่แววของชายผู้มีนัยน์ตาสองสี ซึ่งมักจะปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ เขาเสมอ
   “ออกไปคุยธุระข้างนอกน่ะ เห็นว่าจะไปค้าง” คลาวเดียตอบ นั่นทำให้ฟ่งรู้สึกแปลกใจ
   “ยกนี่ไปให้ราฟี่ด้วยสิ” คลาวเดียหยิบจานใส่ขนมแล้วส่งให้ฟ่ง
   “เธอจะนั่งทานกับเขาก็ได้ ราฟี่น่ะอาจจะดูเย็นชา แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก” หล่อนพูด และยิ้มให้  ฟ่งยิ้มตอบ และยกจานขนมออกไป
   ราฟาแอลเสร็จจากการซ้อมยิงปืนแล้ว ตอนนี้เขานั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก และกำลังเช็ดปืนอย่างทะนุถนอม เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ่งหน่อยหนึ่ง ตอนที่ขนมถูกวางลงบนโต๊ะ
   “เจ้ารูฟัสล่ะ?” เขาถามโดยที่ยังก้มหน้าเช็ดปืนอยู่
   “เห็นว่าออกไปข้างนอกน่ะครับ” อีกฝ่ายตอบ  ราฟาแอลพยักหน้าหงึกหงัก เขาหยิบส้อมจิ้มขนมขึ้นมากิน โดยไม่ชวนหรือเอ่ยขอบคุณคนที่นำมาให้  อย่างไรก็ตามฟ่งเกิดความคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง
   “จากนี่ไปเวสเปรมไกลมากรึเปล่าครับ?”
   “ไม่ไกล ทำไมล่ะ?” ราฟาแอลถามกลับ ดูจะไม่ค่อยให้ความสนใจนัก
   “คือผมอยากไปหาเพื่อนที่นั่น  เอ่อ...รถบัสที่ไป ขึ้นตรงไหนหรือครับ”
   คราวนี้อีกฝ่ายวางปืนลงทันที  และเงยหน้าขึ้นมอง “เธอมีตั๋วรถเมล์หรือ?”
   ฟ่งพยักหน้า  เขารู้สึกกว่าราฟาแอลยิ้มนิดหน่อย หนุ่มฮังกาเรียนผุดลุกขึ้น
   “ป้ายรถเมล์อยู่ไม่ไกลหรอก ฉันไปส่งก็ได้”
   ฟ่งยิ้มอย่างดีใจ ราฟาแอลใจดีกว่าที่เขาคิด
---------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My neighbor is a spy
« ตอบ #69 เมื่อ: 24-05-2011 18:47:27 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #70 เมื่อ24-05-2011 18:48:14 »

   ใกล้ถึงเวลาเปิดร้านแล้ว แต่ชานดอร์กลับเดินไปแขวนป้ายเลื่อนเวลาเปิดตรงประตูเสียใหม่  เพราะเขาคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการจัดการกับเจ้าตัวปัญหาเดินได้ที่นั่งปุอยู่หน้าเคาท์เตอร์บาร์
   “ขอโทษที่รบกวนนะ” รูฟัสเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินกลับเข้ามา ชานดอร์ยักไหล่
   “ไม่เป็นไร นานๆ ทีจะเห็นนายมีปัญหาที่แก้ไม่ตก แถมเป็นปัญหาหัวใจเสียด้วย”
   รูฟัสรู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้างกับสีหน้าไม่ค่อยเชื่อของอีกฝ่าย แต่นี่ก็ควรจะเป็นปฏิกิริยาปกติของคนที่รู้จักเขามานานอยู่แล้ว กับเรื่องแบบนี้ แม้ตัวรูฟัสเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
   “ฉันเองก็เคยมีแฟนเป็นผู้ชายนะ ปัญหาของนาย จริงๆ จะว่าง่ายมันก็ง่าย จะว่ายากมันก็ยาก”
   รูฟัสพยักหน้า เพราะชานดอร์มีรสนิยมทางเพศแบบเดียวกับเขา นั่นทำให้การอธิบายให้เข้าใจปัญหาง่ายขึ้น ที่สำคัญ หมอนี่ไม่ได้เจ้าชู้กระตูดินแบบราฟาแอลด้วย
   “เรื่องก็คือ เขาไม่เชื่อใจนาย เพราะนายทำตัวไม่น่าไว้ใจ แล้วนายก็ซ้ำเติมปัญหา ด้วยการไปทำแบบนั้นกับเขาอีก เชื่อเลย” ชานดอร์คราง ทำให้รูฟัสขมวดคิ้ว
   “เลิกตอกย้ำผมทีเถอะน่า ก็ผมทนไม่ได้นี่ คนที่ชอบมาอยู่ใกล้ๆ แบบนั้น แถมยังเคยทำอะไรกันมาก่อน จู่ๆ จะให้หยุดไปเฉยๆ ทำได้ที่ไหนล่ะ”
   “พอๆ” ชานดอร์รีบยกมือห้าม “ไอ้ทนไม่ได้นี่แหละ คือปัญหา นายต้องแยกระหว่างเซ็กซ์กับความรัก ฉันเข้าใจว่าตอนนี้สำหรับนายแล้วสองอย่างนี่แทบจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่ว่าทางโน้นเขาไม่ได้คิดแบบนาย ถ้ามีเซ็กซ์กันโดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจ ก็ไม่ต่างอะไรจากการไปข่มขืนเขาหรอก ถ้านายไม่รู้จักอดทน รอให้เขาพร้อม รับรองว่านายได้ล่ามเขาไว้กับเสาเตียงแน่ๆ และก็คงไม่มีปัญญาจะได้ยินคำบอกรักไปตลอดชาติ”
   รูฟัสยกมือขึ้นเกาหัว ความจริงเขาไม่เคยมีปัญหาเรื่องอดเซ็กซ์ แต่พออยู่ใกล้ๆ ฟ่งแล้วกลับกลายเป็นว่าเขาเป็นพวกบ้ากามไปเสียแบบนั้น ดูท่าเขาต้องพยายามอดทนอย่างที่ชานดอร์ว่า
   “แต่ว่า แค่อดทนน่ะ มันจะทำให้เขากลับมาไว้ใจผมหรือไง?” รูฟัสถามต่อ พลางคิดว่าเขาต้องอดทนนานขนาดไหนกัน
   “ในบางกรณีอาจจะใช่ แต่กรณีนาย คงยาก เพราะนายดันไปทำให้เขาไม่เชื่อใจ ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายโกหกอะไรเขาไปบ้าง  แต่ว่ายิ่งเขาจับโกหกนายได้บ่อยเท่าไร ความไว้วางใจก็ต่ำลงเท่านั้น ยิ่งความไว้วางใจต่ำ ไอ้การที่เขาจะมอบหัวใจให้นายมันก็ยิ่งเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้  พอจะเข้าใจความสอดคล้องนี้รึเปล่า?”
   รูฟัสพยักหน้า ชานดอร์ไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร และก็ไม่เคยสนใจจะถาม ผู้ชายคนนี้ให้ความเป็นส่วนตัวกับทุกๆ คนที่รู้จัก นั่นเป็นข้อดีข้อหนึ่งที่ทำให้ชานดอร์สนิทกับราฟาแอลและรูฟัส
   “แล้วผมควรจะทำยังไง?” รูฟัสถามคำถามที่เขาออกมานับครั้งไม่ถ้วนในการสนทนาก่อนหน้านี้
   “นายต้องแสดงความจริงใจให้เขาเห็น” ชานดอร์เอ่ย และรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นสีหน้าหมดสิ้นหนทางคิดต่อของรูฟัส
   “นายต้องทำอย่างที่นายพูด หรือไม่ก็พูดอย่างที่นายทำ  สมมติว่านายทำงานเป็นขโมย นายก็ต้องบอกเขาว่าเป็นขโมย ไม่ใช่ไปบอกเขาว่าเป็นตำรวจ”
   รูฟัสเผลอสะดุ้ง ก่อนจะรีบเอ่ยค้าน “ผมไม่ได้เป็นโจรสักหน่อย”
ชานดอร์รีบโบกมือห้าม “นั่นแค่ยกตัวอย่างน่ะ  สรุปให้ฟังง่ายๆ นะ นายควรจะพูดความจริงกับเขา อธิบายเหตุผลในสิ่งที่นายทำ  ถ้าเขารับไม่ได้ นายก็ควรตัดใจซะ”
   ผู้ได้ยินทำหน้าเบี้ยว แต่แทนที่จะอ้าปากเถียงต่อ รูฟัสกลับนิ่งอึ้ง ความจริงข้อนี้แหละที่เป็นปัญหาสำหรับเขา  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน ก่อนจะเอ่ยเสียงแห้ง
   “แปลว่าผมไม่ควรจะไปรักใครอย่างนั้นสินะ”
   ชานดอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดต่อ “นี่สรุปว่านายไม่คิดเลยใช่ไหมว่าเขาชอบนาย  ตกลงว่านายหลอกตัวเองมาตลอด จริงๆ แล้วนายไปบังคับฝืนใจเขา?”
   “ปะ เปล่า..” รูฟัสตอบออกไปอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงมากนัก เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ฟ่งเต็มใจที่จะนอนกับเขาหรือเปล่า
   “เลิกเหอะรูฟัส ถ้านายลังเลขนาดนี้ ฉันว่าจบๆ ไปแหละดีที่สุด”
   ชายหนุ่มนัยน์ตาสองสีหันหน้ามามองเพื่อนอย่างไม่ค่อยจะพอใจทันที “นี่ผมมาปรึกษานายนะ ไม่ใช่ให้นายมาพูดเหมือนราฟี่”
   “อ้อ..” ชานดอร์ลากเสียงยาว มองหน้ารูฟัสกลับ สีหน้าเหมือนคาดไว้แล้วว่าราฟาแอลจะต้องพูดแบบนั้น
   “ราฟี่ก็พูดแบบฉันหรือ เอาเถอะ ก็นายเป็นซะแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำยังไง  ถ้านายรักเขา  นายอยากอยู่กับเขา ก็ต้องแสดงความจริงใจ ถ้าเขารับไม่ได้ นายก็ตัดใจซะ แต่ถ้าเขารับได้ นั่นก็ดีไม่ใช่หรอ ถ้านายไม่พูด  มันก็จะเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี่ แล้วคงจบลงไม่สวยใช่ไหมล่ะ..”
ประโยคนั้นทำเอาชายหนุ่มตาสองสีนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จนอีกฝ่ายต้องหันมามอง
   “ทำใจไม่ได้หรือไง?” ชานดอร์เอ่ย  รูฟัสพยักหน้า
   “ก็คงงั้นแหละ คืนนี้คงต้องนอนนี่ไปก่อน ถ้าเขาไม่เจอผมสักวันอาจจะรู้สึกดีขึ้น”
   อีกฝ่ายยักไหล่ แยกเขี้ยวยิ้ม “ได้ เด็กเสิร์ฟฉันลาไปต่างจังหวัดคนหนึ่งพอดี คืนนี้นายก็อยู่ช่วยงานที่ร้านด้วยแล้วกัน”
   รูฟัสอ้าปากค้างทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็โดนชานดอร์ชิงพูดขึ้นก่อน
   “ฉันจะไปเปิดร้านล่ะ ดูแลเครื่องดื่มด้วย”
----------------------------------
   ภายในห้องทำงาน ณ ตึก Le mirror เว่ยเฟิงปิงพยายามขยี้ก้นบุหรี่ลงบนที่เขี่ยบุหรี่เงินที่เพิ่งซื้อมาใหม่ และพบว่ามันเต็ม กลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้งไปทั่วห้อง คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยใช้ก้นบุหรี่ที่ถืออยู่ในมือเขี่ยลงบนกองก้นบุหรี่นั้นเพื่อหาที่ว่างและยัดมันลงไป เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าอัดบุหรี่เข้าไปมาก หลังจากที่ได้พบกับจางซื่อเยี่ยน
   เครื่องดักฟังไม่ได้อยู่ในกระเป๋าเสื้อของชายผู้นั้นเสียแล้ว
   เว่ยเฟิงปิงแน่ใจว่าเขาหย่อนมันลงไปในกระเป๋าเสื้อของอีกฝ่ายโดยที่จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ตัว  และมันคงไม่หลนไปเฉยๆ แน่ ดังนั้นเขาจึงเรียกลูกน้องที่อยู่แผนกดังกฟังมาถาม และได้รู้ว่าจางซื่อเยี่ยนได้กระเช้ากลับมาใบหนึ่ง
   แปลว่าจางซื่อเยี่ยนโกหกเขา
   เรื่องนี้ทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดมาก เพราะคนที่จางซื่อเยี่ยนไปพบคือเว่ยจินหยิน   ผู้ชายที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด และยังเป็นอดีตหัวหน้า เว่ยเฟิงปิงคาดเดาว่าการหายไปของเครื่องดักฟัง กับการโกหกของจางซื่อเยี่ยน คงมีผลมาจากเว่ยจินหยินเป็นแน่ ผู้ชายที่น่ารำคาญคนนั้นคงเขียนใส่อะไรบางอย่างแทนคำพูด เพื่อหลบการดักฟัง ที่สำคัญจางซื่อเยี่ยนดูเหมือนจงใจจะปิดบังเรื่องนี้กับเขาเสียด้วย
   เว่ยเฟิงปิงหยิบบุหรี่เสียบเข้ากับก้นกรอง แล้วหยิบไฟแช็คขึ้นมาจุด เขาอัดควันเข้าไปเต็มปอด และระบายมันออกมาอย่างอึดอัด
   ความจงรักภัคดีที่จางซื่อเยี่ยนมีให้เขามันมากแค่ไหนกัน?
   ชายหนุ่มแตะก้นกรองสีเงินเข้ากับริมฝีปาก สูดควันเข้าไปอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะไว้ใจผู้ชายคนนี้ คนที่มาตามคำสั่งบิดาของเขา จางซื่อเยี่ยนที่น่ารังเกียจ แต่เพราะแบบนี้เอง หากทำให้จางซื่อเยี่ยนภักดีต่อเขาได้ การทำงานทั้งหมดก็จะราบรื่น
   ร่างบางห่อตัวอย่างหนาวเหน็บ ไม่ใช่เพราะอุณหภูมิภายในห้อง แต่เขากำลังหวาดหวั่นกับการกระทำและความรู้สึกของตัวเอง ทำไมเขาถึงยินยอมให้ผู้ชายคนนั้นกอด  
เพียงเพราะอยากได้ความภักดีอย่างนั้นหรือ?
     ชายหนุ่มนึกถึงคำบอกเล่าของเถียนซิงเกี่ยวกับจางซื่อเยี่ยน นั่นเป็นความจริงล่ะหรือ  ผู้ชายคนนั้นแอบชอบเขาจริงๆ หรือ?
   นัยน์ตาสีฟ้าหลับพริ้ม สัมผัสอ่อนโยนที่ผู้ชายคนนั้นมอบให้เขาในคืนนั้นวนเข้ามาหลอกหลอนในหัว นิ้วเรียวยาวกำแน่นเข้าไปในกล้ามเนื้อแขน คำพูดของจางซื่อเยี่ยนที่บอกว่าเขาสำคัญที่สุดยังก้องอยู่ในหัว
   นี่น่ะรึ สำคัญที่สุด คำว่าสำคัญนั้นในหัวของจางซื่อเยี่ยนหมายความว่ายังไงกันนะ
   เว่ยเฟิงปิงแตะก้นกรองสีเงินเข้ากับปากอีกครั้ง คราวนี้เขาเกิดสำลักควัน ชายหนุ่มไอจนตัวงอ น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย
-----------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา มันใกล้เวลาที่นัดไว้แล้ว แต่เจ้านายของเขายังไม่ออกมาจากห้องทำงาน ปกติเว่ยเฟิงปิงไม่เคยสาย ยิ่งหากเป็นเวลาที่เจ้าตัวกำหนดไว้เองแล้ว เจ้านายของเขามักลงมาก่อนเวลาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มผู้มัดผมหางม้าชะเง้อหน้ามองไปยังประตูห้องทำงานของเจ้านาย ไม่มีเหตุผลอะไรที่เว่ยเฟิงปิงจะออกมาสาย นอกจากจะทำธุระอื่นเพิ่มเติม แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าจะบอกล่วงหน้านี่นา ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินไปตามตัวเจ้านาย
   ชายหนุ่มเคาะประตู และเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ หรือปฏิกิริยาใดๆ เขาจึงเปิดเข้าไป
   กลิ่นควันบุหรี่ที่อัดแน่นอยู่ในห้องแทบจะทำให้หยุดหายใจ จางซื่อเยี่ยนมองตรงไป เห็นเจ้านายของเขากำลังไอโขลกๆ พร้อมกับแก้วน้ำในมือที่ไม่รู้ว่าดื่มหรือหกไปจนเหลือครึ่งหนึ่งกันแน่  ชายหนุ่มรีบรุดเข้าไปดูอาการของเจ้านายพลางนึกสงสัยว่าทำไมจู่ๆ เว่ยเฟิงปิงถึงได้อัดบุหรี่เข้าไปหนักขนาดนี้
   “ขะ ขอบใจ” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก หลังจากที่อาการไอทุเลาลงแล้ว  จางซื่อเยี่ยนตัดสินใจพยุงเจ้านายออกมาจากห้อง มานั่งที่เก้าอี้ด้านนอก เพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์กว่า
   “เดี๋ยวผมไปหายาแก้ไอมาให้นะครับ” ชายหนุ่มเอ่ย หลังจากที่เจ้านายนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เว่ยเฟิงปิงโบกมือวูบ
   “แต่ว่า...” จางซื่อเยี่ยนอยากจะเอ่ยค้าน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นการขัดใจซึ่งเว่ยเฟิงปิงไม่ชอบเท่าไรนัก
   “ไปเอามาก็ได้” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป จางซื่อเยี่ยนมีสายตาแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็รีบลุกออกไปในทันที และกลับมาพร้อมกับขวดยาแก้ไอ เว่ยเฟิงปิงรับมาดื่ม
   “จะให้เลื่อนนัดรึเปล่าครับ” จางซื่อเยี่ยนถามผู้เป็นเจ้านาย เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสบายดีนักของเว่ยเฟิงปิง
   “ไม่ต้อง” ผู้เป็นเจ้านายปฏิเสธในทันที ก่อนจะยันตัวลุกขึ้น และเดินออกไปที่ลานจอดรถ
------------------------------------------
   เมอเซเดสเบนส์สีบรอนเงินคันงามแล่นผ่านประตูรั้วอัลลอยขนาดเขื่องเข้ามาจอดในลานจอดรถภายในบ้านซึ่งกินอาณาบริเวณราวๆ สามไร่เศษใจกลางเมือง หญิงสาวผมลอนในชุดราตรีสีเลือดหมูก้าวขาออกมาจากรถ ก่อนจะเดินนวยนาดเข้าไปในบ้านหลังนั้น  ทันทีที่ผลักประตูเข้าไป หล่อนก็ต้องขมวดคิ้วเรียวด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เมื่อพบว่าภายในห้องรับแขกที่เปิดไฟเอาไว้นั้น มีคนนั่งอยู่
   ชายผู้มีเรือนผมสีดอกเลาหันหน้ามาแทบจะในทันทีที่หล่อนเปิดประตู
   “มีอะไรเหรอคะพี่โรจน์” หญิงสาวเอ่ยทัก ขณะมองผ่านไปยังนาฬิกาไม้มะค่าฝังมุกเรือนงามที่แขวนอยู่ข้างผนัง มันบอกเวลาตีสามเศษๆ ผู้ถูกเอ่ยทักยิ้ม โครงหน้าคมสันนั้นชวนมองเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่ามันจะเริ่มมีริ้วรอยแห่งกาลเวลาปรากฏแล้วก็ตาม
   “นั่งลงก่อนสิ” เขาเอ่ย หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งยังโซฟาอีกตัวหนึ่งตรงข้ามเขา
   “เหมือนว่าเราไม่ได้คุยกันสองคนแบบนี้นานแล้วนะเมี่ยง” ชายวัยห้าสิบเศษเอ่ย ขณะที่มองดูผู้เป็นภรรยานั่งลง เมี่ยงยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ หล่อนจับจ้องใบหน้าของผู้เป็นสามี  และถอนหายใจยาว
   “มีอะไรเหรอคะ” หล่อนถาม  ปกติไพโรจน์จะไม่นั่งรอหล่อนแบบนี้ ทั้งคู่แยกห้อนนอนกันมานานแล้วด้วยซ้ำ และวันๆ หนึ่งแทบจะไม่ได้พบหน้ากันเลย
   ไพโรจน์ขยับตัวให้ตรงขึ้น เขามองหน้าภรรยา “คุณรู้จักกับคุณทวีศักดิ์รึเปล่า?”
   เมี่ยงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ และเอ่ยถามย้อน “ทวีศักดิ์ไหนคะ?”
   “ทวีศักดิ์  วีระวัฒนา คนที่เป็นเจ้าของโรงงานยาน่ะ” ไพโรจน์ช่วยระบุให้แน่ชัดขึ้น เมี่ยงร้องอ้อเสียงยาวทันทีที่เขาพูดจบ
   “คุณทวีศักดิ์คนนั้น ฉันไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรอกค่ะ เพียงแต่ลูกค้าบางคนของฉันทำงานกับเขาเท่านั้นเอง”
   “เหรอ ผมคิดว่าคุณรู้จักกับเขาเสียอีก” ไพโรจน์กล่าวอย่างผิดหวังหน่อยๆ เมี่ยงมองหน้าผู้เป็นสามี
   “ทำไมเหรอคะ พี่มีปัญหากับเขางั้นหรือ?” หญิงสาวเอ่ยถาม นึกไม่ออกว่าสามีของหล่อนจะไปมีปัญหาอะไรกับผู้ชายที่ชื่อทวีศักดิ์ได้ ในเมื่อไพโรจน์ทำงานด้านธุระกิจการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ ในขณะที่ทวีศักดิ์ทำงานด้านยาและเวชภัณฑ์
   “เปล่า ไม่ใช่ผมหรอก” ไพโรจน์ปฏิเสธออกมา เขามองดูภรรยาอีกครั้ง เหมือนว่านานเหลือเกินที่เขาไม่ได้มองผู้หญิงคนนี้ แต่ในความจริงแล้ว ในชีวิตของเขา เขาไม่คิดจะมองผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น
   “ยุทธชัยต่างหาก” ผู้เป็นสามีเอ่ยขึ้นต่อ เมี่ยงทำตาโต
   “พี่ยุทธน่ะเหรอคะ?” หล่อนถามอย่างแปลกใจ ยุทธชัยเป็นเพื่อนสนิทของไพโรจน์ หรือจะให้พูดกันในความจริงคือ เขาต่างหากที่เป็นคู่ของไพโรจน์ ไม่ใช่หล่อน เมี่ยงทราบมาตั้งแต่แรกที่ได้รู้จักกับไพโรจน์ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายแบบที่จะมองผู้หญิง และไพโรจน์เองก็เปิดใจพูดเรื่องนี้กับหล่อนในเวลาต่อมาหลังจากคบกันไม่นานนัก สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ตกลงปลงใจแต่งงานกันดูจะเป็นเรื่องราวของธุรกิจเสียมากกว่า
   เมี่ยงเม้มปากอย่างลืมตัว ขณะที่ไพโรจน์พยักหน้า “ยุทธเขาอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณทวีศักดิ์น่ะ เห็นว่าเขาจะมาชวนร่วมหุ้นอะไรสักอย่าง”
   “อ๋อ  อืม..” หล่อนนิ่งคิดไปพักหนึ่ง “ฉันว่า อย่าไปยุ่งกับเขาเลยค่ะ ถึงฉันจะไม่ค่อยรู้จักเขา แต่ว่าชื่อเสียงของเขาไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เหมือนว่าเขาจะค้ายาเสพย์ติดด้วย”
   “นั่นแหละ ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ผมเตือนยุทธแล้ว แต่ดูเหมือนเขาสนใจที่จะลงทุนกับคุณทวีศักดิ์มาก ผมเลยลองถามคุณดูเผื่อจะได้เอาไปพูดให้เขาเลิกสนใจโครงการนี้ได้”
   “พี่ยุทธบอกพี่รึเปล่าคะ ว่าโครงการนั่นเป็นโครงการเกี่ยวกับอะไร”
   “เห็นว่าเป็นโครงการผลิตเครื่องทำออกซิเจนกระป๋องหรืออะไรนี่แหละ”
   “เอ๋  นี่จะทำอากาศขายกันแล้วเหรอคะ?” หล่อนถามด้วยน้ำเสียงขบขัน  ไพโรจน์ย่นคิ้ว
   “ผมก็คิดว่ามันตลก ถึงแม้ว่าอากาศจะแย่ แต่ธุรกิจขายอากาศอาจจะยังไม่เวิร์คสำหรับประเทศเราก็ได้”
   “มันดูทะแม่งๆ อยู่นะคะ ฉันว่ายังไงคุณลองยืนยันเสียงแข็งไปเลยดีกว่าว่าไม่ควรจะไปยุ่งกับคุณทวีศักดิ์  บอกว่าถ้าเกิดเขาเอาเงินไปลงทุนในเรื่องยาเสพติดล่ะก็จะพาลซวยกันไปหมด”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #71 เมื่อ24-05-2011 18:48:31 »

   “ผมจะลองแล้วกัน” ไพโรจน์พยักหน้า และผุดลุกขึ้น
   “งั้น ผมไปนอนล่ะ ราตรีสวัสดิ์” เขาเอ่ย และเดินออกไปที่บันได เมี่ยงมองดูสามีด้วยสายตาอ่อนใจ ปกติไพโรจน์มักจะเข้านอนแต่หัวค่ำ การที่เขายอมถ่างตารอหล่อนแบบนี้ก็เพราะเป็นเรื่องของยุทธชัยนี่เอง แต่แล้วหล่อนก็นึกบางอย่างขึ้นได้
   “จริงสิคะ พี่โรจน์ ถ้ายังไงลองให้ฉันไปคุยกับพี่ชัยเขาก็ได้ค่ะ ฉันคิดว่าฉันน่าจะพูดให้เขาเลิกล้มความตั้งใจเรื่องนี้ได้”
   ไพโรจน์มองลงมาจากบันไดด้วยสายตาแปลกใจ “เอางั้นหรือ ก็ได้ ไว้ผมจะนัดเขาให้”
   “ค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ” หล่อนเอ่ย และเดินฉีกออกไปที่บันใดอีกฝั่งหนึ่ง
---------------------------------------
   นัยน์ตาสีดำสนิทมองผ่านกระจกออกไปยังแมกไม้ด้านนอก อากาศในฤดูใบไม้ร่วงของฮังการีกำลังสบาย แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง เขานั่งจับเจ่าทำการบ้านที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายมาตั้งแต่เช้าจนเกือบจะเย็น แม้การเรียนที่นี่จะสบายและเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าที่เมืองไทย แต่การทำการบ้านก็ยังเป็นอะไรที่เขาไม่ชอบอยู่ดี
   กฤษต์โยนดินสอลงบนสมุดคำตอบที่กำลังเขียนอยู่ และเดินไปหยิบโทรศัพท์ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะโทรชวนเพื่อนบางคนออกไปเดินเล่น คงต้องมีคนที่กำลังเบื่อเหมือนเขาแน่ๆ
   ขณะที่กำลังจะกดโทรศัพท์ เสียงออดก็ดังขึ้น เด็กหนุ่มรีบวางโทรศัพท์ และวิ่งไปเปิดประตูอย่างดีใจ
ต้องเป็นเจ้าอเล็กซ์แน่ๆ เขาคิด แต่แล้วก็ต้องพบกับความแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือน
   “พี่ฟ่ง!” กฤษต์เอ่ยอย่างงุนงง มองดูชายหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู ซึ่งดูจะมีท่าทางดูจะดีใจมากเมื่อเห็นหน้าเจ้าของห้อง
   “พี่มาได้ไงเนี่ย” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความแปลกใจไม่หาย หลังจากเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามาแล้ว
   “นั่งรถเมล์ แล้วลองถามๆ คนแถวนี้มา”
   “โห เก่งโคตร  แล้วทำไมพี่ไม่โทรมา?”
   “พี่ไม่มีเหรียญโทรศัพท์”   ฟ่งตอบ
   “พี่แลกเอาก็ได้นี่” เขาเอ่ย มองฟ่งอย่างแปลกใจ ฟ่งรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะพูดออกไปแบบนั้น
   “แล้วนี่พี่มาคนเดียวเหรอ แล้วเพื่อนพี่ล่ะ?” กฤษต์เอ่ยถามต่อ ฟ่งสั่นศีรษะ เริ่มคิดว่าเขาอาจจะไม่ควรจะมาที่นี่ เด็กหนุ่มมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง และเอ่ยถามขึ้นอีก “เอากาแฟมั๊ย?”
   ฟ่งรีบส่ายหน้า เขาดูอิดโรยขนาดนั้นเลยรึ?
   “งั้นเอาข้าวโอ๊ตก็ได้ เหมือนพี่จะหนาว หน้าซีดเชียว เดินมาไกลเหมือนกันนี่นา”
   “ก็ได้” ฟ่งตอบตกลงในที่สุด เขาหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา ขณะที่เด็กหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง
   ฟ่งมองดูรอบๆ ห้อง มันเป็นห้องพักแบบห้องสูท ที่มีห้องย่อยออกไป ดูกว้างกว่าคอนโคที่เขาอยู่ที่ไทย ชายหนุ่มรู้สึกดีใจที่มาถึงที่นี่จนได้ แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร เมื่อคิดว่าบางทีเขาอาจจะกำลังทำให้เรื่องราวยุ่งยากมากขึ้น
   ในที่สุดกฤษต์ก็กลับเข้ามาพร้อมกับแก้วใส่ข้าวโอ๊ตที่มีควันลอยฉุย ฟ่งเอื้อมมือรับมันมา และรู้สึกดีขึ้นมาได้รับไออุ่น เขาเป่าปากเบาๆ ลงบนแก้ว เพื่อที่จะลองชิมข้าวโอ๊ต แต่ปรากฏว่าไอน้ำเกาะแว่นจนต้องถอดออก
   “ใส่แว่นนี่ลำบากเนอะ” กฤษต์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางทุลักทุเลของอีกฝ่าย ฟ่งยิ้มแห้งๆ
   “ก็มันช่วยไม่ได้นี่” เขากล่าว และพยายามกินข้าวโอ๊ตโดยไม่สวมแว่น
   “แล้วพี่มองเห็นเหรอ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้ง ฟ่งพยักหน้า และบอกกับตัวเองว่าถึงเขาจะสายตาสั้น แต่กินข้าวโอ๊ตแค่นี้ คงไม่ถึงกับต้องใส่แว่นกินหรอก
   ฟ่งรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากทานของร้อนๆ เข้าไป การเดินตากอากาศเย็นๆ แบบนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยเลยจริงๆ ชายหนุ่มว่าเขาอาจจะป่วยได้ถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ อย่างไรก็ตามเหมือนว่าตอนนี้เขายังคงมีสุขภาพดีอยู่
   ราฟาแอลออกมาส่งเขาถึงป้ายรถเมล์ และบอกทางมาให้เสร็จสรรพ  จนทำให้ฟ่งอดคิดไม่ได้ว่า บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะอยากให้เขาออกไปให้พ้นๆ อยู่แล้วก็ได้ อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองก็ไม่คิดจะอยู่ที่นั่นนานเหมือนกัน เขาไม่อยากจะอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักและไม่มีใครที่ไว้ใจได้แบบนั้น ฟ่งคิดว่าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ได้กลับประเทศ การจะหวังพึ่งรูฟัสดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก
   ผู้ชายตาสองสีคนนั้น….
   หัวใจของฟ่งปวดแปลบขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงรูฟัส เขาพยายามกระพริบตาถี่ๆ และบอกตัวเองให้เลิกคิดถึงผู้ชายคนนั้น กฤษต์เดินมารับถ้วยไปจากมือของเขา ฟ่งคิดว่ากฤษต์จะสงสัยอะไรหรือเปล่า กับการปรากฏตัวและท่าทีของเขา แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มดูจะไม่สนใจอะไรมาก  เขาชวนฟ่งพูดคุยถึงเรื่องราวของฮังการี และมหาลัย รวมทั้งแขวะพี่ชายที่ไม่สมชายของเขาด้วย
   ฟ่งรู้สึกว่าตัวเองสบายใจขึ้น กฤตษ์พูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเองเหมือนตอนที่ยังอยู่ที่เมืองไทย เขาเจอกฤษต์ครั้งแรกตอนที่ไปบ้านของพงษ์ ตอนนั้นกฤษต์ขอให้เขาช่วยสอนการบ้านเลขให้ และทำให้ฟ่งรู้ว่าน้องชายของเพื่อนคนนี้เป็นจอมขี้เกียจทำการบ้านแห่งยุค เพราะกฤษต์รู้คำตอบในนั้นหมดทุกอย่าง เพียงแต่เขาขี้เกียจเขียนมันลงไปแค่นั้นเอง
   หลังจากเข้ามหาลัย เขาก็ไม่ค่อยได้เจอเด็กคนนี้อีก อย่างไรก็ตามมีอยู่ครั้งหนึ่งที่กฤษต์เคยขอไปนอนค้างห้องเขา สาเหตุมาจากเขาไม่กล้านอนกับพงษ์  ทั้งๆ ที่รบเร้าให้พามาด้วยแท้ๆ  ฟ่งนึกแปลกใจระคนขำกับพี่น้องคู่นี้ ดูเหมือนกฤษต์จะไม่ชอบพงษ์เอามากๆ แต่ก็มักจะพูดถึงพงษ์ทุกครั้ง ฟ่งเอ็นดูกฤษต์เหมือนกับน้องชายของเขา และดีใจที่ได้เจอกฤษต์ที่นี่
   “กฤษต์ พี่ขอค้างที่นี่ได้รึเปล่า?” ฟ่งเอ่ยขึ้น และพบว่ากฤษต์มองหน้าเขาอย่างงงๆ
   “ได้ แต่ทำไมอ่ะ พี่ทะเลาะกับเพื่อนเหรอ?”
   “อืม” ฟ่งพยักหน้า พลางภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายถามอะไรไปมากกว่านี้ คืนนี้เขาคงต้องขอค้างที่นี่  และอาจจะต้องค้างต่อไปเรื่อยๆ  ฟ่งยังไม่กล้าถามเรื่องสถานทูต ด้วยกลัวว่าจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายสงสัยมากขึ้น ฟ่งไม่อยากทำให้เรื่องราวมันใหญ่โต เขาแค่อยากกลับไปเงียบๆ
   “จริงสิ แล้วพี่ดาไม่มาด้วยเหรอ?” จู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้น ทำให้ฟ่งสะดุ้ง
   “พี่เลิกกับดาแล้วล่ะ” เขากล่าว และยิ้มเศร้าๆ กฤษต์ทำหน้าแปลกใจ
   “อ่าว ทำไมล่ะพี่ ก็เห็นรักกันดีอยู่นี่นา” กฤษต์พูด และดูเหมือนจะรู้ตัวว่าไม่ควรพูดออกมาแบบนั้น ฟ่งยิ้มแห้งๆ
   “พี่มีปัญหาน่ะ” เขากล่าว ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะอับจนคำพูดไปพักใหญ่ บางทีอาจจะตกใจเรื่องที่ฟ่งเลิกกับแฟนก็ได้ ฟ่งมองดูกฤษต์ที่ทำหน้าหงอยลงไปถนัด พอมองแล้วทำให้รู้สึกนึกขำขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่เด็กหนุ่มเคยไปนอนค้างที่ห้องเขา
   “ตลกดีนะ เมื่อก่อนกฤษต์เคยไปขอค้างที่ห้องพี่ ตอนนี้กลายเป็นพี่ต้องมาขอค้างที่ห้องกฤษต์แทน”
   “ก็ตอนนั้นผมไม่อยากนอนกับไอ้พงษ์นี่” กฤษต์คราง ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบพี่ชายของตัวเองเอามากๆ “พี่คงมีคนที่ไม่อยากนอนด้วยเหมือนกันอ่ะดิ”
   คำถามของกฤษต์ทำให้ฟ่งสะดุ้ง เขาหัวเราะแห้งๆ “ไม่หรอก ว่าแต่นี่อยู่คนเดียวเหรอ?”
   “อืม” กฤษต์พยักหน้า ฟ่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาคิดว่าห้องนี้กว้างพอที่จะอยู่สองคน
   “ความจริงผมมีรูมเมดอีกคนหนึ่ง แต่มันเกือบจะย้ายข้าวของไปอยู่กับเพื่อนอีกคนแล้วล่ะพี่ สงสัยจะทนความขี้เกียจของผมไม่ไหว” กฤษต์กล่าวเหมือนกับเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไร และลงท้ายด้วยการหัวเราะ ฟ่งยิ้ม พลางนึกเห็นด้วย
   “พี่จะกินอะไรอีกหรือเปล่า เดี๋ยวผมออกไปซื้อให้”    กฤษต์ถามขึ้น เมื่อท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดครึ้มลง ฟ่งส่ายหน้า “ไม่ต้องลำบากหรอก พี่กินที่มีอยู่ในห้องก็ได้”
   อีกฝ่ายรีบพูดต่อทันที “ไม่มีให้กินหรอกพี่ ผมไม่รู้ว่าพี่จะมาค้างที่ห้อง เลยไม่ได้ซื้ออะไรเข้ามาเพิ่มไว้เลย ที่นี่ก็ไม่ได้มีร้านสะดวกซื้อยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนเมืองไทยด้วย”
   ฟ่งมองหน้าอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด ความจริงคือเขากลัวว่ากฤษต์จะสงสัยเพราะตนไม่มีสตางค์ติดตัวมาเลยสักกะแดงเดียว
   “ถ้ากฤษต์จะกินอะไร กฤษต์ก็ซื้อขึ้นมาแล้วกัน พี่กินได้ทั้งนั้นแหละ” ฟ่งเอ่ยออกมาในที่สุด  กฤษต์พยักหน้า และพูดต่อ
   “ผมว่า เราลงไปซื้อพร้อมกันเลยดีกว่า นั่งอยู่แบบนี้ก็เมื่อยเปล่าๆ ผมเลี้ยงพี่เอง”
   เป็นครั้งแรกที่ฟ่งรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินว่าคนอื่นจะเลี้ยง ชายหนุ่มรู้สึกอนาถใจกับตัวเองอยู่บ้าง แต่ก็ตามอีกฝ่ายลงไป เพราะเห็นว่าการนั่งจับเจ่าอยู่คนเดียวนั้นน่าเบื่อจริงๆ
-------------------------------------------
   รูฟัสเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อ เขาโยนผ้าเช็ดตัวลงบนราวแขวน และนอนลงบนเตียงทั้งอย่างนั้น ชายหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบางส่วนของร่างกายไว้ การไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนไม่ใช่ปัญหา เพราะเขาคิดจะค้างอยู่ที่นี่แค่คืนเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามการฉวยโอกาสใช้งานของชานดอร์เป็นเรื่องที่เขาลืมนึกถึง รูฟัสนึกสาปแช่งเพื่อนของเขาอยู่ในใจ
   ความจริงงานในบาร์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ การพบผู้คนมากหน้าหลายตาทำให้เขาเข้าใจสภาพแวดล้อมและการปรับตัวให้เข้ากับผู้คนได้มากขึ้น  แต่สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ การพบปะผู้คนจำนวนมากในบาร์ทำให้รูฟัสรู้สึกหงุดหงิด เขาเบื่อจะตอบคำถามซ้ำๆ ซากๆ เรื่องแฟนหรือคู่นอน ซึ่งโดยปกติแล้วมันเป็นคำถามธรรมดามากในชีวิตของเขา  ที่ผ่านมารูฟัสไม่เคยรู้สึกรำคาญผู้คนขนาดนี้มาก่อน ทำไมทุกคนต้องพุ่งเข้ามาหาเขาเหมือนคนบ้า ถามหาว่าเขามีแฟนหรือยัง มีคนรักหรือเปล่า สนใจใครเป็นพิเศษไหม  คนพวกนั้นคงคิดว่าเขาหน้าตาดีเสียเต็มประดา แต่แล้วไงล่ะ?
   นัยน์ตาสองสีหลับลงอย่างเจ็บปวด  พลางคิดว่าฟ่งเองเคยเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า ฟ่งเคยแสดงท่าทีเหมือนหึงเขาเรื่องเมี่ยง แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้แสดงทีท่ารังเกียจเขาแบบนี้
   แววตาที่แสดงความหวาดกลัวของฟ่งยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ ผู้ชายคนนั้นกำลังกลัวเขา เพราะอะไรกัน เพราะเขาเป็นแบบนี้งั้นหรือ?
   คิ้วได้รูปขมวดแน่น กรามขบจนเป็นสันนูน รูฟัสรู้ตัวว่าเขากำลังโมโห แต่ว่าเขากำลังโมโหอะไรกันแน่ โมโหที่ฟ่งกลัวเขา หรือโมโหที่ตัวเองไม่ได้เป็นไปแบบที่อีกฝ่ายจะยอมรับกันแน่ ในที่สุดรูฟัสก็ถอนหายใจยาว ลืมตาขึ้น
   มันเป็นความผิดของเขาเอง ไม่ใช่ว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ว่าเขาไม่ยอมควบคุมเองต่างหาก ตั้งแต่เริ่มรู้ว่าคิดอะไรกับคนข้างห้อง เขาตัดสินใจเอง ไขว่คว้ามาเอง และคิดเอาเองว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกไปในทางเดียวกัน แต่ตอนนี้ เวลาได้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่เป็นไปอย่างที่คิด  เขาหลอกตัวเองอย่างไม่รู้ตัวมาตลอด ความจริงแล้วรูฟัสไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฟ่งคิดยังไงกับเขากันแน่ ถึงจะรู้แบบนั้น แต่เขาก็บอกตัวเองไม่ให้คิด และนั่นยิ่งทำให้เรื่องราวแย่ลง
   ร่างแกร่งถอนหายใจอีกครั้ง พยายามควบคุมสติตัวเองให้สงบ และลำดับเรื่องราวที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ สิ่งที่ชานดอร์พูดนั้นเป็นความจริงแท้ทีเดียว การที่ฟ่งหนีห่างจากเขาไปนั้น เป็นเพราะฟ่งไม่ไว้ใจเขา รูฟัสนึกขันเมื่อมองย้อนไป เขาเคยทำอะไรให้ฟ่งไว้ใจได้บ้าง? นอกจากโกหกพกลมมาตั้งแต่ต้น แม้แต่ตอนที่ฟ่งขอร้องให้เขาไปรับตอนเที่ยงคืน เขายังทำไม่ได้เลย……
   ชายหนุ่มหลับตาอย่างเจ็บปวด ถ้าเขาไปเร็วกว่านั้น...เรื่องราวแย่ๆ ทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้น.....
   ไม่สิ!!
   รูฟัสปัดความคิดนี้ทิ้งไปทันที นั่นเป็นแค่การยืดเวลาการเกิดปัญหาให้ยาวออกไปเท่านั้น วันใดวันหนึ่ง ฟ่งก็ต้องรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเขาอยู่ดี  ชายหนุ่มคิดว่าถ้าเขาพูดความจริงไปแต่แรกปัญหาคงไม่เกิด  ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงไม่ต้องมารับรู้รสชาติความเจ็บปวดของความรัก แต่ว่า มันจะดีจริงๆ หรือ?
   ชายหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าที่เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา เขามองดูฝ่ามือของตัวเอง นึกถึงสัมผัสยามได้กอดผู้ชายที่ชื่อฟ่งคนนั้น
   นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองเขา กับใบหน้าเศร้าๆ ตอนที่ได้พบกันครั้งแรก
   เพราะไม่อยากเห็นใบหน้าแบบนั้นไม่ใช่หรือ เขาจึงตกลงใจที่จะเข้าไปช่วยเหลือคนข้างห้องคนนั้น เขาอยากเห็นฟ่งหัวเราะ ไม่อยากให้เศร้าเหมือนตอนเขาเมื่อวัยเด็ก แต่ว่าตอนนี้......
   เป็นเขาเองที่ทำให้อีกฝ่ายเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
   รูฟัสนึกถึงใบหน้าอึดอัดและเศร้าสร้อยของฟ่งในช่วงเย็น ฟ่งเคยมีรอยยิ้มให้เขา มีเสียงหัวเราะ แต่แล้วรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้น ก็ถูกลบด้วยความจริงที่ถูกเปิดเผยออกมา
   เขาโกหกมาโดยตลอด ได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากการโกหกนั่น และกำลังจะสูญเสียมันไป
   ถ้าหากการพูดความจริงไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นล่ะก็.....
   อย่างน้อยเขาคงจะรู้สึกดีขึ้นที่ได้พูดออกไป
   มันคงเหมือนกับการสารภาพบาป
   รูฟัสเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าการสารภาพบาปในโบสถ์มีไว้เพื่ออะไร เขาพลิกตัว และพยายามจะข่มตาให้หลับ ด้วยจิตใจที่ศิโรราบและยอมจำนน
   เวลาสำหรับการสำนึกบาปนั้นดูจะยังอีกนานจนกว่าแสงอาทิตย์แรกจะจับขอบฟ้า
----------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #72 เมื่อ24-05-2011 18:49:10 »

บทที่30 หัวใจที่แตกสลาย
   จางซื่อเยี่ยนขยับตัวอย่างอึดอัด ซึ่งเป็นกิริยาที่ไม่สมควรนัก ในเมื่อเขากำลังยืนอารักขาเจ้านายซึ่งกำลังทานข้าวและคุยธุรกิจอยู่
   เว่ยเฟิงปิงจะมาถึงสถานที่นัดด้วยสภาพเกือบจะปกติ โดยทิ้งกลิ่นบุหรี่เหม็นหึ่งเอาไว้ในรถ เรื่องบุหรี่นี้เองที่ทำให้จางซื่อเยี่ยนรู้ไม่สบายใจ จริงอยู่ที่เว่ยเฟิงปิงเป็นคนสูบบุหรี่ แต่โดยปกติแล้วจะไม่สูบจัดขนาดนี้หากไม่มีเรื่องอะไรต้องเป็นกังวลใจมาก  ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ดูจะมีแต่เรื่องของผู้ชายที่ชื่อรูฟัสเท่านั้นที่ทำให้เว่ยเฟิงปิงเกือบจะสำลักควันบุหรี่  แต่ว่าเรื่องนั้นก็คลี่คลายไปแล้วนี่นา อีกอย่างในช่วงหลายวันมานี้เจ้านายของเขาไม่ได้มีท่าทีกังวลอะไรเป็นพิเศษ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้อัดบุหรี่เข้าไปมากขนาดนั้น
   ผู้ทำหน้าที่อารักษ์ขาแทบจะทนรอให้เจ้านายของเขาคุยธุระจบไม่ไหว เขาอยากสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติการณ์อย่างนั้น อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว เขามีแต่ต้องรอให้เว่ยเฟิงปิงเสร็จธุระ และถึงอีกฝ่ายจะไม่มีธุระแล้ว ก็ใช่ว่าจะตอบคำถามเขาเสียเมื่อไหร่
   ชายหนุ่มขยับตัวอีกครั้ง เขามองไปยังเบื้องหลังของเจ้านาย ซึ่งกำลังเจรจาธุรกิจอยู่อย่างแข็งขัน แผ่นหลังสีขาวนวลที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนั่น ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงยอมให้เขากอด ยอมให้เขาสัมผัสกับแผ่นหลังแบบนั้น จางซื่อเยี่ยนหลับตา เขารู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่สัมผัสรอยนูนนั้น แวบหนึ่งเขาเคยคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นผู้เยียวยารอยแผลในใจของผู้เป็นเจ้านายได้ แต่ก็เพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น จนถึงบัดนี้ จางซื่อเยี่ยนไม่รู้สักนิดเลยว่า เว่ยเฟิงปิงคิดอะไรอยู่กันแน่
   ในสายตาเว่ยเฟิงปิงแล้ว เขามีคุณค่าแบบไหนกัน?
--------------------------------
   ฟ่งเดินออกมาจากห้องน้ำโดยสวมชุดนอนสีน้ำเงินซึ่งกฤษต์ให้ยืมเป็นการชั่วคราว  ชายหนุ่มไม่กล้าที่จะเดินออกมาใส่เสื้อข้างนอก เนื่องจากรอยจ้ำบนตัวยังคงไม่จางหายไป เขากลัวว่าน้องชายของเพื่อนจะเกิดตั้งข้อสงสัยขึ้นมาอีก
   ร่างบางสยิวกายเล็กน้อยเมื่อออกมาสัมผัสอากาศด้านนอก แม้กฤษต์จะบอกว่าอากาศเย็นๆ แบบนี้ไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ แต่ฟ่งก็ยังยืนยันจะอาบอยู่ดี เขาคงรู้สึกแปลกๆ หากนอนโดยไม่ได้อาบน้ำ
   “ใส่ได้รึเปล่า?” กฤษต์เอ่ยทักเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา ในมือของเด็กหนุ่มมีถุงขนม และเจ้าตัวก็กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่  ทั้งคู่ลงเอยมื้อเย็นด้วยร้านอาหารราคาประหยัดใกล้ๆ หอพัก ฟ่งพยักหน้า เขามองไปที่ขนมในมือของเด็กหนุ่มอย่างไม่ตั้งใจ กฤษต์ยักไหล่ และยื่นให้
   “ทานไหมพี่?”
   ชายหนุ่มรีบส่ายหน้าทันที “ไม่ล่ะ พี่แปรงฟันแล้ว”
   ดูเหมือนกฤษต์มีสีหน้าผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็หยิบขนมขึ้นมากินต่อ ฟ่งมองนาฬิกา มันเพิ่งบอกเวลาสามทุ่มเศษๆ เขาคิดว่าควรจะใช้เวลาทำอะไรอีกสักหน่อยก่อนจะเข้านอน ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เพื่อสำรวจว่าเขาควรจะทำอะไรอีกบ้าง  ฟ่งไม่อยากจะนอนลงไปเฉยๆ ด้วยกลัวว่าจะหวนคิดไปถึงเรื่องราวของชายหนุ่มตาสองสีผู้นั้นอีก  มันรังแต่จะทำให้เจ็บปวดใจมากขึ้น
   “พี่ฟ่ง มีแฟนใหม่แล้วยังอ่ะ?” จู่ๆ กฤตษ์ก็เอ่ยถามขึ้น ฟ่งสะดุ้งเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองหน้าเด็กหนุ่มและตอบเรียบๆ “ยัง ทำไมหรือ?”
   เด็กหนุ่มยักไหล่ ทำหน้าเป็นในแบบฉบับของเขา   “ผู้หญิงผมสีแดงที่มาด้วยกันวันนั้นไม่ใช่แฟนของพี่เหรอ?”
   ฟ่งนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง อีกฝ่ายคงหมายความถึงคลาวเดีย เขาส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก”
   “แล้วผู้ชายผมสีดำคนนั้นล่ะ”
   นัยน์ตาสีน้ำตาลของผู้ถูกถามเบิ่งกว้าง ก่อนจะพูดออกมาอย่างลืมตัว “มะ..หมายถึงรูฟัสเหรอ?”
   เขาหันไปมองหน้าเด็กหนุ่ม  พลางคิดว่าเจ้านี่ตั้งใจจะล้อเล่นเขาหรือว่าอะไรกันแน่ ดูเหมือนนัยน์ตาสีดำของกฤษต์จะหรี่ลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคต่อไปของเขาดูเหมือนว่าจะแผงอาการประชด
   “ชื่อรูฟัสเหรอ?”
   ฟ่งพยักหน้า และรีบพูดต่อ “นั่นไม่ใช่แฟนพี่หรอก พี่จะมีแฟนเป็นผู้ชายได้ไง”
   เด็กหนุ่มหัวเราะแหะๆ ทันที
   “นั่นสิเนอะ” เขากล่าว แต่ยังมิวายตั้งคำถามต่อ “อย่างนั้นเขาเป็นอะไรกับพี่ล่ะ?”
   “อืม” ฟ่งยกมือลูบคางอย่างใช้ความคิด กฤษต์ขยับตัวเล็กน้อย ท่าทางจะลืมขนมในมือไปเสียสนิท
“ตอนนั้นพี่บอกว่าเป็นเพื่อนข้างห้องนี่ หรือจริงๆ แล้วไม่ใช่?”
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองยกมือขึ้นเกาจมูก นี่กฤษต์ยังจำรายละเอียดในเรื่องที่คุยกันตอนนั้นได้อีกเหรอ เขาคงพูดไปอย่างนั้นในตอนที่ได้พบกันที่ถนนนั่นล่ะมั้ง
   “ก็อยู่ห้องข้างๆ กันน่ะ” ชายหนุ่มอธิบายเหตุผล และตัดสินใจตัดบทด้วยการปลีกตัว เดินออกไปหยิบเหยือกน้ำบนโต๊ะซึ่งวางอยู่ รินใส่แก้ว และดื่มมันลงไป โดยไม่ทันสังเกตว่ากฤษต์เดินตามมาด้วย
   “พี่ฟ่ง” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกในตอนที่ฟ่งวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ ฟ่งหันมามองหน้าเขา และทันใดนั้นเอง ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ประทับลงบนริมฝีปากของเขา
   เสี้ยววินาทีนั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งกว้างอย่างตกใจ  และกว่าที่ฟ่งจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เห็นน้องชายของเพื่อนเซถลาออกไปด้วยแรงกำปั้นของตัวเองที่เผลอชกออกไปอย่างทันได้ตั้งสติ ถึงจะรู้สึกตกใจ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะล้มลง ฟ่งก็รีบถลาเข้าไปประคองเอาไว้ทันที
   “ขอโทษ!!” ชายหนุ่มโพล่ง และดึงร่างของอีกฝ่ายไว้ ดูเหมือนกฤษต์จะหัวเราะหน่อยหนึ่ง ขณะที่เอามือปาดเลือดที่ติดอยู่ตรงมุมปาก
   “ก็ดูปกตินี่ ผมคิดว่าพี่จะชอบให้ผู้ชายด้วยกันทำอะไรแบบนี้เสียอีก”
   ฟ่งมองหน้ากฤษต์ด้วยความตกใจซ้ำสอง เขาไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรืออะไรกับคำพูดแบบนี้ของอีกฝ่ายดี เพราะไม่รู้ว่าที่กฤษต์ทำลงไปมีเจตนาใดกันแน่
   “พี่ไม่ใช่เกย์นะ!” ในที่สุดฟ่งก็ขึ้นเสียง แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาต้องรู้สึกโกรธ อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นน้องชายของเพื่อนเขา และก็สนิทกันอยู่ ฟ่งหยิบกระดาษทิชชู่ที่วางอยู่ใกล้ๆ มาเช็ดเลือดบนหน้าของอีกฝ่าย
   “ทีหลังอย่าเล่นอะไรบ้าๆ แบบนี้อีกนะ” ชายหนุ่มกล่าวสำทับ เขาคิดว่าคงเป็นเพราะความคะนองของกฤษต์มากกว่า ที่ทำลงไปแบบนั้น  กฤษต์เหลือบตามองเขาเล็กน้อย และดึงทิชชู่ไป
   “ผมเช็ดเองได้” เด็กหนุ่มกล่าว บางทีเขาอาจจะกำลังโกรธที่ถูกชก นั่นทำให้ฟ่งรู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง
   “พี่ขอโทษ” ชายหนุ่มสวมแว่นกล่าวอีกครั้ง คราวนี้เด็กหนุ่มรีบโบกมือขึ้นทันที
   “พี่ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมเล่นอะไรบ้าๆ เองแหละ ว่าแต่พี่หมัดหนักโคตรเลย” กฤษต์กล่าวพลางยกมือขึ้นลูบปากซึ่งยังมีเลือดซึมออกมาอยู่ ฟ่งมองหน้าเขาอย่างเป็นกังวล
   “อย่าไปซีเรียสน่าพี่” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “ผมรู้ว่าพี่ตกใจ”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เมื่อครู่เขาตกใจมากจริงๆ ฟ่งไม่คิดว่าจะมีใครมาทำแบบนี้กับเขาอีก โดยเฉพาะน้องชายของเพื่อนสนิทคนนี้
   “ก็เล่นทำแบบนั้นนี่นา” ชายหนุ่มกล่าว และยกมือขึ้นลูบริมฝีปากอย่างไม่ตั้งใจ เขารู้สึกขยะแขยงเล็กๆ อย่างไรก็ตาม ดูน่าโล่งใจที่มันคงเป็นเพียงการล้อเล่น
   “กฤษต์ไปเอาน้ำแข็งมาโปะที่ปากไว้ก่อนดีกว่า มันจะได้ไม่บวมมาก” ฟ่งกล่าว กฤษต์พยักหน้า และเดินไปเอาน้ำแข็งในตู้เย็น ฟ่งมองเขาพลางคิดว่ามันคงจะทรมานอยู่ ในคืนที่อากาศหนาวๆ แบบนี้ แล้วยังต้องเอาน้ำแข็งมาโปะหน้าอีก อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ในเมื่อเด็กนั่นเล่นอะไรแผลงๆ เอง
-------------------------------------
   นัยน์ตาสองสีค่อยๆ ลืมขึ้นมาและปิดลงอีกครั้ง ในที่สุดแสงตะวันก็จับขอบฟ้า รูฟัสไม่แน่ใจว่าเขาหลับไปตอนกี่โมง จริงๆ คือ เขาค่อนข้างแปลกใจว่าตัวเองหลับลงได้อย่างไร 
นัยน์ตาคู่งามคู่นั้นค่อยๆ กะพริบอีกครั้งสองครั้ง เพื่อปรับให้เข้ากับแสงสว่าง ก่อนที่จะยันร่างขึ้น และเดินตรงไปยังห้องน้ำ
   สายน้ำเย็นจัดที่จงใจเปิดรดใบหน้า ทำให้เขารู้สึกตัวมากขึ้น ชายหนุ่มหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดหน้า และหยิบเสื้อผ้าของเมื่อวานสวมกลับเข้าไปใหม่ ก่อนจะก้าวออกจากห้องน้ำ หันหน้าไปมองนาฬิกา มันคงยังเช้าอยู่สำหรับชานดอร์ รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะค่อยมากล่าวขอบคุณเพื่อนคนนี้ในวันหลัง ชายหนุ่มก้าวเท้าออกจากเกสท์เฮาส์ มุ่งหน้ากลับไปยังสถานที่ที่เขาจากมา

   รูฟัสสูดหายใจลึก เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน ตลอดทางเขารู้สึกกลัวและหวาดหวั่น แม้จะทำใจมาบ้างแล้ว แต่การจะให้เอ่ยทุกอย่างออกไปโดยต้องยอมรับกับสิ่งที่จะตามมานั้นแสนจะยาก แค่คิดว่าฟ่งอาจจะหนีไปแล้วรูฟัสก็แทบหันหลังกลับ อย่างไรก็ตามในที่สุด เขาก็เดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น ด้วยหวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้นหลังจากนี้
   ทันทีที่เปิดประตู รูฟัสต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นคลาวเดียยืนจ้องหน้ากับราฟาแอลที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา  สองคนนี่คงทะเลาะอะไรกันอีกแน่ๆ หนุ่มตาสองสีเดินผ่านประตูและคิดว่าตัวเองน่าจะหลบขึ้นไปข้างบนจะดีกว่า แต่เมื่อก้าวเข้าไปด้านใน รูฟัสกลับรู้สึกว่าเรื่องราวนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับเขา
   “คุณจัดการเองแล้วกัน” คลาวเดียเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก หล่อนหันมาทางรูฟัสแทบจะในทันทีที่เห็นเขา ราฟาแอลเองก็เช่นกัน รูฟัสมองหน้าทั้งคู่ และทำหน้าบอกให้รู้ว่าเขาไม่อยากจะห้ามศึกหรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างคนคู่นี้
   ราฟาแอลยักไหล่ ทำหน้าเหมือนมีอะไรติดคออยู่ เขามองหน้ารูฟัสกับคลาวเดียสลับไปมา และถอนหายใจยาว
   “คลาวเดีย คุณออกไปก่อน ผมคิดว่าผมเคลียร์กับเจ้ารูฟัสได้”
   “ฉันจะเอาปืนออกไปด้วย” คลาวเดียว่า พลางฉวยกล่องใส่ปืนที่วางอยู่ใต้โต๊ะไป โดยที่ราฟาแอลยังไม่ทันจะคัดค้าน  ชายหนุ่มตาสีเขียวมองตามหลังแฟนสาวไปอย่างทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะหันหน้ากลับมามองเพื่อนร่วมงาน
   “นั่งก่อนสิ” เขาเอ่ย พลางจ้องหน้าเหมือนกับจะสั่งให้รูฟัสนั่งลง รูฟัสมองหน้าราฟาแอลอย่างสงสัย เขายังคงยืนอยู่แบบนั้น
   “มีอะไร?” ชายหนุ่มตาสองสีเอ่ยอย่างรำคาญนิดๆ เขาหวังจะมาเจอหน้าฟ่ง ไม่ใช่มาจ้องหน้ากับราฟาแอลแบบนี้
   ราฟาแอลมองหน้าเขา หลับตาลง ก่อนจะลืมตา และถอนหายใจอีก
   “แฟนแก ฉันส่งกลับไปแล้วล่ะ”
   “หา!!” รูฟัสร้องอย่างไม่เชื่อหู เขาเดินเข้าไปหาราฟาแอลอย่างลืมตัว
   “คุณว่าอะไรนะ ส่งฟ่งกลับไปแล้ว กลับไปไหน?!!” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีถามเสียงห้วน เขามองหน้าราฟาแอล หนุ่มฮังกาเรียนมองหน้าเพื่อนร่วมงาน แต่ก่อนที่จะได้กล่าวอะไร รูฟัสก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนแล้ว
   ประตูถูกเปิดผลัวะออก ไม่มีใครอยู่ในห้อง รูฟัสวิ่งไปเปิดประตูห้องหนึ่ง และตะโกนเรียกชื่อฟ่ง เขารู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า ไม่มีเสียงตอบ ทุกห้องว่างเปล่า ไม่มีใคร
   ไปแล้วรึ? ไม่อยู่จริงๆ รึ?
   รูฟัสถามตัวเองในใจ อยากจะร้องตะโกนออกมา
   นี่ต้องเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ๆ!
   “ฟ่ง!!” รูฟัสตะโกนอีกครั้ง ด้วยหวังจะได้รับเสียงตอบ แต่เสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงของราฟาแอล
   “ไม่อยู่หรอก เมื่อวานฉันส่งเขากลับไปแล้ว”
   ชายหนุ่มหันขวับมาทันที ก่อนจะเดินมุ่งเข้าหาอีกฝ่ายอย่างประสงค์ร้าย
   “คุณส่งเขาไปที่ไหน?” รูฟัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนคำราม ราฟาแอลมองหน้าเพื่อนร่วมงาน เขาเองก็คิดไว้แล้วเหมือนกันว่าเมื่อรูฟัสกลับมาอาจจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ หนุ่มผมบลอนด์ถอยห่างออกมาในระยะที่คิดว่าปลอดภัยระดับหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ
   “ใจเย็นๆ ก่อน ฉันส่งเขาไปที่ปลอดภัยแน่ และเขาคงได้กลับบ้านในอีกไม่ช้า”
   “ราฟี่!!!” รูฟัสครางเสียงยาว รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา “คุณส่งเขากลับไปทำไมกัน?!”
   ราฟาแอลผิวปากหวือทันทีที่ได้ยิน “นี่แปลว่าแกไม่อยากให้เขากลับบ้านล่ะสิ”
   “ใช่!” รูฟัสตอบออกไปอย่างลืมตัว ดูเหมือนราฟาแอลจะยิ้มนิดหน่อย
   “แล้วแกไปสัญยิงสัญญาทำไมว่าจะพาเขากลับบ้านฮึ?!”
   คราวนี้ทำเอาอีกฝ่ายอ้าปากค้าง พูดไม่ออกอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน
   “ผะ...ผม...” ชายหนุ่มขบกรามแน่น พยายามจะคิดหาคำพูดที่อธิบายความคิดของตัวเอง
   “จริงๆ แล้ว เด็กนั่นเป็นคนขอร้องให้ฉันพาออกไปเอง” ราฟาแอลกล่าวสืบต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะอับจนคำแก้ตัวแล้ว รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองทันที
   “เด็กนั่นอยากออกไปเอง เขาไม่อยากอยู่กับแกหรอก” หนุ่มผมสีบลอนด์ย้ำ มองเข้าไปในดวงตาสองสีที่ตื่นตะลึงนั้น
   “มะ...ไม่จริงหรอก..” รูฟัสได้ยินเสียงตัวออกตอบปฏิเสธออกไป แต่ในความรู้สึกแล้ว เขาสับสน  ฟ่งออกไปเอง ฟ่งหนีไปแล้ว ฟ่งไม่อยากอยู่กับเขา
   ไม่มีโอกาสให้เขาอีกแล้วหรือ....
   “คุณส่งเขาไปไหน?” ชายหนุ่มกล่าวออกมาในที่สุด
   “ที่ที่ดีกว่านี้” ราฟาแอลตอบเหมือนกวนประสาท รูฟัสหลับตา พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้
   “ผมอยากเจอเขา” ร่างแกร่งพูดต่อ  ราฟาแอลยักไหล่
   “จะไปเจอเขาทำไม โกหกเขาอีกรึ?”
   รูฟัสสะอึกทันที กำหมัดแน่น ปกติเขาคงต่อยอีกฝ่ายไปแล้ว แต่เรื่องที่ราฟาแอลพูดใช่ว่าไม่มีเหตุผล
   “ผมไม่ได้จะไปโกหก ผมแค่อยากเจอ…..” รูฟัสกล่าวได้แค่นั้น
ถ้าเจอแล้วเขาจะพูดอะไรกันล่ะ?
   ราฟาแอลมองหน้าเพื่อนร่วมงาน พลางถอนหายใจ “เชื่อฉัน รูฟัส นายกับเด็กนั่นไปกันไม่ไหวหรอก ถ้านายเห็นแก่เขาล่ะก็ ปล่อยเขาไปเถอะ”
   “ถึงคุณจะพูดแบบนั้น......” รูฟัสเอ่ย ท่าทีของเขาดูสงบลงไปอย่างประหลาด ราฟาแอลชักยิ่งไม่แน่ใจว่าระยะห่างที่มีอยู่ยังปลอดภัยดีรึเปล่า เขาถอยหลังออกไปอีกก้าวหนึ่ง
   “บอกผมทีว่าคุณส่งเขาไปไหน ผมอยากเจอเขา ครั้งสุดท้าย….”
   เสียของชายหนุ่มขาดห้วงไปในวินาทีนั้น คำว่า”ครั้งสุดท้าย” เมื่อเอ่ยออกไปแล้ว ช่างสร้างความเจ็บปวดภายในหัวใจอย่างประหลาด เขาแทบอยากจะเย็บปากของตัวเองเสีย
   “ครั้งสุดท้าย...”
   ถึงจะรู้สึกแบบนั้น แต่เขาก็พูดมันซ้ำ ราวกับพยายามจะตอกย้ำตัวเอง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมงาน
   “ครั้งสุดท้าย... แล้วผมจะปล่อยเขาไป..” รูฟัสกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาเอ่ยคำคำนั้นออกไปถึงสามครั้ง ราฟาแอลมองหน้ารูฟัส ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกสงสารคนตรงหน้าอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้ไม่มีทางออกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
   “เห็นว่าคงจะไม่ได้ ให้มันจบไปแบบนี้เถอะนะ” ชายหนุ่มผมสีบลอนด์กล่าว นัยน์ตาสองสีที่เหมือนกับปิศาจคู่นั้นหลับลง
   “ถ้าคุณไม่ยอมบอก ผมจะออกไปหาเอง” เขากล่าว และเดินออกไปในทันที
   “เฮ้! เดี๋ยวก่อนสิ” ราฟาแอลถลันตัวเข้าไปขวางไว้ แต่กลับถูกรูฟัสใช้มือผลักอก
   “ถอยไป ถ้าคุณไม่อยากจะบอกล่ะก็ อย่าขวางผม ไม่งั้นผมจะไม่อดทนอีก”
   ราฟาแอลมองเข้าไปในดวงตาสองสีที่น่าหวาดหวั่นคู่นั้น  เขากำลังประเมินสถานการณ์ตรงหน้า  ตอนนี้สภาพจิตใจของรูฟัสไม่ค่อยจะปกติ การจะปล่อยให้ออกไปตามหาฟ่ง อาจจะทำให้เกิดเรื่องแย่ๆ  และหากรูฟัสพบอีกฝ่ายแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำอะไรลงไปบ้าง
   ราฟาแอลขยับตัว เขาคิดว่าอาจจะต้องทำบางอย่างให้อีกฝ่ายสงบลงก่อน
   “ผมไม่ได้ดูแย่อย่างที่คุณคิดหรอกนะ” รูฟัสเอ่ยขึ้นเหมือนรู้ทัน เขาผ่อนแรงจากมือที่ยึดหัวไหล่ของอีกฝ่ายลง
   “คุณก็รู้ว่าถ้าสู้กันล่ะก็ ไม่ผมก็คุณต้องเจ็บหนักแน่ๆ” เขากล่าวต่อ มองดูนัยน์ตาสีเขียวของราฟาแอล  ชายหนุ่มผมบลอนด์มองหน้าเขา  ก่อนจะพูดออกมา “ถ้าฉันยังยืนขวางอยู่ แกก็จะอัดฉันจริงๆ สินะ”
   เขาถอนใจ และเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส
   “นี่ รูฟัส  ถ้าเจอเขาแล้ว แกจะตัดใจได้จริงๆ หรอ?” ราฟาแอลตั้งคำถาม รูฟัสมองหน้าเขา และพยักหน้าช้าๆ “อืม”
   นัยน์ตาสองสีหลับพริ้มลง “บอกผมได้หรือยังว่าส่งเขาไปไหน?”
   ราฟาแอลยักไหล่ มองไปยังมือที่กำไหล่เขาอยู่
   “ถ้าแกเอามือออกไปก่อน” เขากล่าว รูฟัสถอนหายใจ และลดมือลงในที่สุด
-----------------------------
   ฟ่งพลิกตัว และผงะวาบเมื่อพบว่าเกือบจะตกลงจากโซฟา เมื่อคืนเขาเถียงกับกฤษต์อยู่นานเรื่องที่นอน กฤษต์เสนอให้เขาไปนอนที่เตียง ส่วนตัวเองจะมานอนโซฟา  แต่ฟ่งเห็นว่าเขาเป็นฝ่ายมารบกวนควรจะไปนอนที่โซฟามากกว่า ในที่สุดหลังจากเถียงกันพักใหญ่ อีกฝ่ายก็ต้องยอมแพ้กลับไปนอนโปะน้ำแข็งอยู่บนเตียง
   ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่ง และพบว่าแสงแดดตอนเช้าเริ่มส่องเข้ามาในห้องแล้ว เขาบิดขี้เกียจ และรู้สึกว่าเป็นคืนแรกในหลายๆ คืนที่นอนหลับอย่างสนิทใจ อย่างไรก็ตามเรื่องหลายๆ เรื่องยังคงฟุ้งอยู่ในสมอง
   วันนี้เขาควรถามกฤษต์เรื่องสถานทูตดีไหม?
   ฟ่งคิด คว้าแว่นที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ โซฟา พลางเดินโซเซไปยังห้องน้ำ ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะตื่นแล้ว และคงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ฟ่งหยิบแปรงฟันขึ้นมา มองดูตัวเองในกระจก
   เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมแว่นตาหนาเตอะ หนวดเคราขึ้นหรอมแหรม หน้าตาดูมึนๆ ซึมๆ ฟ่งนึกสงสัยว่าเขามีชีวิตกับหน้าตาแบบนี้ได้อย่างไร เขาเริ่มแปรงฟัน และจบลงด้วยการล้างหน้ากับน้ำเย็น ซึ่งทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น ฟ่งคิดว่าตัวเองคงต้องโกนหนวดสักหน่อย
   “กฤษต์ พี่ยืมที่โกนหนวดหน่อยนะ” เขาตะโกน และได้ยินเสียงอีกฝ่ายตะโกนกลับมา “ครับ”
   กฤษต์คงทำอะไรอยู่ในห้องนั่งเล่นแน่ๆ ฟ่งหยิบที่โกนหนวดขึ้นมา และเริ่มจัดการกับหนวดเคราที่เริ่มขึ้นหรอมแหรมบนหน้าของตัวเอง เขานึกดีใจที่มันเป็นที่โกนหนวดไฟฟ้าเลยไม่บาดหน้า ความจริงเขาเองก็เคยมีอยู่เครื่องหนึ่ง แต่พอใช้ไปพักหนึ่งมันเริ่มโกนไม่ค่อยจะเกลี้ยงและถ่านหมด ในที่สุดเขาก็โยนมันทิ้งไปและหันกลับมาใช้ที่โกนหนวดแบบใบมีดเหมือนเดิม  ซึ่งเขาทำมันบาดหน้าบ่อยครั้ง โชคดีที่เครื่องโกนหนวดเครื่องนี้ยังคมอยู่
   ฟ่งลูบหน้าตัวเองอย่างพอใจหลังจากโกนหนวดเสร็จ เขาควรจะทำตัวให้เหมือนคนที่ปกติสบายดี มากกว่าจะเป็นคนที่โดนลักพาตัวเมื่อไปที่สถานทูต แต่ตอนนี้เขายังคิดไม่ออกว่าจะหาเหตุผลถามเรื่องสถานทูตกับกฤษต์ว่าอย่างไร และจะหาเรื่องอะไรไปอ้างกับสถานทูตแทนเรื่องจริงที่เขาประสบอยู่
   ชายหนุ่มคิดว่าการบอกไปว่าเขาถูกลักพาตัวคงจะยิ่งทำให้เรื่องวุ่นวาย ทางสถานทูตคงต้องติดต่อตำรวจ แม้จะกลับประเทศได้ก็จริง แต่ก็คงต้องถูกสอบสวน ก่อนหน้านี้ดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงจะโทรไปโกหกกับที่บ้านของเขาว่าเขาต้องเดินทางไปธุระต่างประเทศ ฟ่งตัดสินใจว่ายังไงเขาจะไม่ยอมเป็นคนที่ถูกลักพาตัวเด็ดขาด  แต่ว่าจะเป็นอะไรดีล่ะ?!
   เสียงออดประตูที่ดังขึ้นทำให้ความคิดของฟ่งชะงัก เขาคิดว่าคงเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งของกฤษต์ ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเสื้อ พลางคิดว่าอาจจะต้องพักเรื่องสถานทูตไว้ก่อน
---------------------------------
   กฤษต์กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ในตอนที่ได้ยินเสียงออด ใบหน้าของเขาบวมอยู่พอสมควร ดีที่เมื่อคืนประคบน้ำแข็งเอาไว้ ไม่งั้นมันคงได้บวมกว่านี้แน่ๆ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนั้นลงไปทำไม บางทีอาจจะเพราะนึกสนุกก็ได้ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบปาก และคิดว่าเขาจะตอบคำถามของเพื่อนว่าอะไรดี หากเสนอหน้าแบบนี้ออกไป
   เสียงออดนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คิ้วของเขาขมวด
   หัดใจเย็นๆ กันบ้างได้ไหม กดหยั่งกะไฟจะไหม้งั้นแหละ
   เขาคิด พลางลุกจากเก้าอี้ มุ่งไปที่ประตู มองลอดตาแมวออกไป พลางนึกว่าควรจะลากเพื่อนที่มากดออดคนนี้ออกไปจ่ายค่าอาหารเช้าเสียให้เข็ด แต่แล้วเขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าคนที่มากดออดไม่ใช่คนที่เขารู้จัก
   “ฟ่งอยู่ที่นี่รึเปล่า?” ผู้มาเยือนถามขึ้นทันทีที่เขาแง้มประตูออกไป กฤษต์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นตาสองสีนั้น เขาจำได้ทันที นั่นคือผู้ชายที่เขาเพิ่งตั้งคำถามกับฟ่งไปเมื่อคืน เด็กหนุ่มส่ายหน้าทันที มีอะไรบางอย่างบอกเขาว่าผู้ชายคนนี้อันตรายกับเพื่อนของพี่ชายเขา
   “งั้นรึ? แต่ผู้ดูแลด้านล่างบอกว่าเขามาที่ห้องนี้” ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีกล่าว ภาษาไทยของเขาคล่องจนน่าตกใจ กฤษต์คิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานแล้วแน่ๆ
   “คุณเป็นใคร?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามออกไป นัยน์ตาของเขาแสดงความไม่ไว้วางใจออกมาอย่างชัดเจน
   “ฉันเป็นคนพาเขามาที่นี่” ชายหนุ่มกล่าว พลางจ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ  กฤษต์รู้สึกถึงความอันตรายในตัวผู้ชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน
   “คุณเป็นคนร้ายลักพาตัวหรือไง”   เขาโพล่งออกไป และหลังจากนั้นเขาก็คิดว่าควรจะปิดประตูใส่คนคนนี้เสียแต่แรก
   “ถ้าฉันบอกว่าใช่ เธอจะให้ฉันเจอกับฟ่งหรือเปล่า” ชายผู้นั้นกล่าว ดวงตาสองสีที่ราวกับดวงตาของปิศาจนั้นถลึงเขาอย่างมุ่งร้าย กฤษต์เบิ่งตาโพล่ง
   “ผมจะโทรแจ้งตำรวจ!” เขาว่าและรีบปิดประตูลงทันที แต่แล้วเสียงอีกเสียงก็ดังขึ้น
-------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy
«ตอบ #73 เมื่อ24-05-2011 18:49:31 »

   “ฉันบอกนายก็ได้ แต่ฉันเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะว่าเด็กนั่นอยู่ที่ไหน”
   นั่นคือประโยคที่ราฟาแอลกล่าวหลังจากที่รูฟัสยอมลงมานั่งคุยดีๆ แล้ว
   “เด็กนั่นไปที่เวสเปรม” เขารีบกล่าวต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
   “เขาคงไปที่พักของเพื่อนคนไทยที่เจอกันวันก่อน” ราฟาแอลขยายความ  รูฟัสพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที
   “แล้วคุณก็ไปส่งเขา?”
   “ใช่” ราฟาแอลกล่าวยอมรับ รูฟัสลุกพรวดขึ้นทันที
   “ผมจะไปเวสเปรม” เขากล่าว  ทำให้อีกฝ่ายต้องลุกตามทันที “ฉันจะขับรถไปส่งแกเอง”
   รูฟัสหันมามองหน้าราฟาแอลอย่างไม่เชื่อ “คุณไม่ไว้ใจผมมากหรือไง”
   “ใช่” ราฟาแอลพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่ว่าฉันเป็นห่วงเด็กนั่นหรอกนะ แต่ฉันกลัวแกจะไปอาละวาดทำอะไรบ้าๆ ต่างหาก”
   “ผมไม่เสียสติแบบนั้นหรอกน่า” รูฟัสแย้ง  ราฟาแอลโบกมือ “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เอาว่าฉันอยากไปส่งแก ตกลงไหม?”
   ชายหนุ่มตาสองสีมองหน้าเพื่อนร่วมงานอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ราฟาแอลต้องไม่ไว้ใจเขาอยู่แน่ๆ
   “ถ้าอยากจะตามผมขนาดนั้นล่ะก็ ตามใจคุณแล้วกัน แต่พอถึงเวสเปรมแล้ว คุณต้องไปให้พ้นจากสายตาผมนะ”
   ราฟาแอลย่นคิ้ว “เออ ฉันจะรีบถีบแกออกจากรถเลย”
   
   ในที่สุด รูฟัสก็มาถึงเวสเปรมด้วยรถของราฟาแอล ทันทีที่ถึงเขานึกไม่ออกเลยว่าฟ่งหาสถานที่ที่ตัวเองต้องการมาเจอได้อย่างไร รูฟัสรู้สึกกลัวขึ้นมา หากว่าฟ่งจะไปไม่ถึงที่หมาย มีอะไรประกันล่ะว่าฟ่งมาถึงที่นี่  ถ้าฟ่งเป็นอะไรไปล่ะก็...... เขาคงต้องเป็นบ้าแน่ๆ
   ชายหนุ่มรวบรวมสติอยู่นาน หลังจากที่ราฟาแอลขับรถจากไปแทบจะในทันทีที่ปล่อยเขาลง รูฟัสรู้สึกสงบใจขึ้นบ้าง เมื่อราฟาแอลไม่อยู่ ผู้ชายคนนั้นทำให้เขาหงุดหงิด แม้ว่าสิ่งที่พูดจะเป็นเรื่องจริง แต่เพราะความจริงนั่นแหละที่ทำให้น่าหงุดหงิด รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะเริ่มถามจากผู้คนและเจ้าของหอพักแถวนี้ดูถึงเรื่องที่พักและคนเอเชีย ดูเหมือนว่าเรื่องจะง่ายกว่าที่เขาคิด  พอเริ่มถามไปได้สองที่ รูฟัสก็พบหอพักที่ฟ่งน่ามาเมื่อวาน
   ชายหนุ่มรีบวิ่งขั้นไปชั้นบนทันทีที่คุยกับผู้ดูแลจบ เขาไปยังห้องที่ระบุหมายเลขไว้ กดออดด้านหน้าอย่างร้อนรน ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้พบหน้าคนที่อยากพบ เขายังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับฟ่ง หรือเตรียมใจรับว่าฟ่งจะทำหน้ายังไงเมื่อเจอเขา  รูฟัสเพียงแต่อยากแน่ใจว่าฟ่งยังปลอดภัยดี ยังสบายดีอยู่เท่านั้น
   นิ้วเรียวยาวกดลงไปบนออดอีก บางทีเขาอาจจะใจร้อนเกินไป ชายหนุ่มบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อผู้ที่มาเปิดไม่ใช่คนที่เขาหวังไว้
   นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นมองมาที่เขาอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป เขาจำได้แทบจะทันทีว่านี่คือเด็กที่ฟ่งทักตอนที่อยู่ในเมือง ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะมีทีท่าเป็นปรปักษ์กับเขายังไงพิกล
   เด็กหนุ่มส่ายหน้า รูฟัสคิดว่าเขาโกหก ดูจากสายตาที่ไม่ยอมจะมองสบตาด้วย
   “งั้นรึ? แต่ผู้ดูแลด้านล่างบอกว่าเขามาที่ห้องนี้” เขาถามกลับไป และคิดว่าบางทีการพบกับฟ่งอาจจะเป็นเรื่องยากกว่าที่เขาคิด ขณะที่รูฟัสคิดว่าเขาควรจะใช้คำพูดดีๆ เพื่อให้เด็กคนนี้ยอมเปิดประตูให้  อีกฝ่ายกลับชิงถามขึ้นมาก่อน
   “คุณเป็นใคร?” ด้วยน้ำเสียงและสีหน้า ทำให้รูฟันเกือบจะมั่นใจได้ว่าเด็กนี่ต้องไม่มีความคิดดีๆ กับเขาแน่ๆ ทีท่าเป็นศัตรูนั้นชัดเจนจนแทบจะจับต้องได้  ชายหนุ่มตัดสินใจตอบกลับออกไปว่าเขาเป็นคนพาฟ่งมาที่นี่ และประโยคต่อไปที่เด็กนั่นย้อนกลับมา ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของรูฟัสขุ่นมัวยิ่งขึ้น
   “คุณเป็นโจรลักพาตัวหรือไง?” เขากล่าว  รูฟัสขบกรามอย่างพยายามสะกดอารมณ์
   ทำไมเจ้าเด็กบ้านี่ถึงไม่ยอมเปิดประตูดีๆ กันนะ
   ยิ่งพอคิดว่าเจ้านี่อยู่กับฟ่งทั้งคืนยิ่งทำให้รูฟัสรู้สึกโมโห
   “ถ้าฉันบอกว่าใช่ เธอจะยอมให้ฉันเจอฟ่งรึเปล่า”
   “ผมจะแจ้งตำรวจ” เด็กหนุ่มกล่าว พลางรีบปิดประตูใส่หน้า รูฟัสคิดว่าถึงเวลาที่เขาจะจัดการกับปัญหายุ่งยากนี่เสียที เขาสอดมือขวางตรงระหว่างร่องประตูที่กำลังจะปิด และออกแรงดันมันจนเปิดอ้าออก น่าตลกตอนเห็นสีหน้าตกใจของเด็กนั่น แต่แล้วเสียงที่ดังตามออกมาก็ทำให้รูฟัสตัวเย็นวาบ
-------------------------------------
   ฟ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงออดครั้งที่สอง โดยปกติเขาไม่ชอบเสียงพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงแตร เสียงออด หรือแม้แต่เสียงโทรศัพท์ ชายหนุ่มขยับแว่น พลางคิดว่าทำไมกฤษต์ถึงไม่ยอมออกไปเปิดประตูเสียที สักพักเขาก็ได้ยินเสียงสนทนาดังขึ้น ตอนแรกฟ่งไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปเขาชักรู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมกฤษต์ถึงไม่พาเพื่อนเข้ามาในห้อง  ฟ่งจึงตัดสินใจเดินออกไปดู
   “ใครมาน่ะ?” เขาถาม ขณะเดินออกมายังห้องนั่งเล่น ซึ่งอยู่ติดกับประตูทางเข้า และก็ต้องชะงักเท้า เมื่อเห็นว่ากฤษต์กำลังเผชิญหน้าอยู่กับใครคนหนึ่ง
   “รูฟัส!?” ฟ่งร้องขึ้นมาอย่างตกใจ ทันทีที่สายตาของรูฟัสเห็นเขา ชายหนุ่มออกแรงผลักประตูอย่างแรงจนเจ้าของห้องที่ยืนยันกันอยู่เซถลา ฟ่งถอยหลังออกไปอย่างลืมตัว เขากลัว....
กลัวว่ารูฟัสจะทำร้ายเขาและกฤษต์
   “กลับไปกับผมเถอะนะครับฟ่ง” รูฟัสเอ่ยออกมา เขามองดูหน้าฟ่ง รู้สึกเจ็บปวดกับแววตาและท่าทีที่แสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน กับแววตาและท่าทางแบบนั้นที่มีให้เขา รูฟัสคิดว่าการที่ตัวเองทนยืนและกล่าววาจาอยู่ได้นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้ว
   ฟ่งยืนนิ่ง เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร หรือพูดอะไรออกไป รูฟัสมาที่นี่ได้อย่างไร แล้วต่อไปนี้เขาควรจะทำอย่างไร นี่เขาไม่อาจจะหนีพ้นจากผู้ชายคนนี้ได้เลยหรือ?
   “นะครับฟ่ง” รูฟัสกล่าวต่อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบ เขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าฟ่งจะวิ่งหนีออกไปที่หน้าต่างหรืออะไรที่แย่กว่านั้น ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเข้าไปช้าๆ และพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “กลับไปกับผมนะครับ ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ผมสัญญาว่าจะไม่โกหกคุณอีก”
   ฟ่งแทบอยากจะร้องไห้ออกมา ไม่โกหกงั้นหรือ?  เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสิ่งที่รูฟัสกำลังพูดอยู่ตอนนี้เป็นความจริงหรือเปล่า ผู้ชายคนนี้เคยพูดอะไรที่เป็นเรื่องจริงบ้างไหม?...
   “ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง” ฟ่งตอบออกไปในที่สุด และนึกขำตัวเอง นี่เขายังอยากเชื่อใจผู้ชายคนนี้อยู่อีกหรือ....
   “ถ้าพี่ไม่อยากไป ก็ไม่ต้องไปกับเขาหรอกครับ” จู่ๆ กฤษต์ก็พูดแทรกขึ้น รูฟัสจะหลับตาลงอย่างคนที่ถูกขัดจังหวะ
   “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเป็นอะไรกับพี่ฟ่ง แต่ถ้าเขาไม่อยากไปกับคุณ คุณก็ไม่น่าจะตามมาบังคับเขา”
   คราวนี้รูฟัสหันขวับไปทันที เขาจ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างประสงค์ร้าย
   เด็กอย่างเธอจะไปรู้อะไรกัน?!
   “ถ้าคุณไม่ยอมกลับไปล่ะก็ ผมจะแจ้งตำรวจ” กฤษต์พูดต่อ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้น  เขาพยายามจะขู่ให้ผู้ชายคนนี้ล่าถอยออกไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรกับฟ่ง ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ
   ฟ่งยืนตัวแข็งทื่อ เขาเห็นกฤษต์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และขู่ว่าจะฟ้องตำรวจ ฟ่งเกือบจะตะโกนออกไปว่าอย่า
   เขาไม่อยากให้ตำรวจรู้เรื่องนี้ และการใช้คำว่าตำรวจขู่คนอย่างรูฟัส คงจะะไม่ได้ผลอะไร แต่ว่าฟ่งพูดไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดไหนหรือภาษาอะไร ก็ไม่อาจจะถูกเอื้อนเอ่ยออกมาได้ ราวกับว่าเขาถูกสาปให้เป็นใบ้ไปในตอนนั้น
   รูฟัสชั่งใจอยู่นานว่าควรจะใช้วิธีการแบบไหนจัดการกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจยาว หันกลับไปทางร่างผมบางที่ยืนตัวแข็งอยู่
   “ผมจะรอคุณอยู่ข้างล่างนะครับฟ่ง ถ้าพร้อมจะกลับแล้วค่อยลงมาก็ได้” เขาเอ่ย และเดินกลับออกไปเงียบๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฟ่งมองตามหลังรูฟัส ด้วยนัยน์ตาสั่นระริก
   ผมจะรอ……
   ภาพของรูฟัสในอดีตไหลย้อนกลับเข้ามาในหัว ฟ่งก้มหน้า เขาได้ยินเสียงกฤษต์ถามขึ้น
   “เขาเป็นใครน่ะพี่”
   แต่ฟ่งไม่มีปัญญาจะตอบคำถามนั้น พูดให้ถูกคือเขาไม่อาจจะกล่าวคำใดๆ ออกมาได้ มีแต่น้ำตาเท่านั้นที่หลั่งออกมาจากนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้น
   “พี่ฟ่ง!! พี่ร้องไห้?!” เด็กหนุ่มร้องเสียงแปลก คงนึกตกใจ เขารีบเดินเข้ามาใกล้ ฟ่งส่ายหน้า ยกมือขึ้นปาดน้ำตา
   “ไม่มีอะไรหรอก” ชายหนุ่มกล่าวปฏิเสธด้วยเสียงแหบพร่า กฤษต์มองดูเขาอย่างงุนงง ปนสงสาร บางทีอาจจะคิดว่าเขาคงกลัวมาก แต่ฟ่งรู้ตัวว่าไม่ใช่
   “ผู้ชายคนนั้นลักพาตัวพี่มาเหรอ” กฤษต์เอ่ยถามต่อ พลางนึกขำตัวเอง ถ้าผู้ชายคนนั้นลักพาตัวฟ่งมา แล้วเขากับฟ่งจะยังยืนคุยอยู่ได้แบบนี้ได้อย่างไร
   ฟ่งส่ายหน้า กฤษต์ยิ้มแห้งๆ กับความคิดของตัวเอง “แล้วตกลงเขาเป็นอะไรกับพี่?”
   ฟ่งเริ่มนึกรำคาญกับการช่างซักช่างถามของอีกฝ่าย
   “พี่ไม่ตอบได้ไหม” ชายหนุ่มตัดบท เขาไม่อยากจะตอบคำถามพวกนี้อีกต่อไปจริงๆ  เขาอธิบายไม่ได้ว่าเขากับรูฟัสเกี่ยวข้องเป็นอะไรกันแน่
   “เขาเป็นแฟนพี่ใช่ไหม?!” ในที่สุดกฤษต์ก็พูดออกมา ฟ่งสะดุ้งวาบ เบิ่งนัยน์ตาค้าง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาแบบนี้ เขาพูดตอบไม่ออก ได้แต่ก้มหน้านิ่ง แม้แต่จะสบนัยน์ตาก็ยังทำไม่ได้
   “ถ้าพี่ไม่ตอบ ก็ไม่เป็นไร” เด็กหนุ่มกล่าวออกมาหลังจากเงียบไปพักใหญ่ ฟ่งคิดว่ากฤษต์คงช็อค แน่ล่ะ อีกฝ่ายไม่ชอบเกย์หรือกระเทยขนาดนั้นนี่นา นั่นทำให้ฟ่งรู้สึกผิด ขณะที่จะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยขอโทษ เด็กหนุ่มก็หายตัวไปเสียแล้ว
   ฟ่งหัวเราะหึๆ กับตัวเอง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น และปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา
--------------------------------------
   กว่ากฤษต์จะรู้ตัวอีกที เขาก็วิ่งเตลิดเข้าไปในห้องนอน เด็กหนุ่มรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพื่อนพี่ชายที่เขาสนิทด้วยขนาดนี้จะกลายเป็นอะไรที่ลักเพศไปอีกคน แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเจ็บปวดมากขนาดนี้  กฤษย์ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากตัวเอง
   ที่ทำไปเมื่อคืนเพราะเขานึกอยากแกล้งฟ่งจริงๆ หรือ
   เด็กหนุ่มหลับตา เขาไม่อยากจะคิดอะไรต่อ มันก็แค่ความคิดบ้าๆ  กฤษต์ลืมตาขึ้น เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง  และต้องรู้สึกหงุดหงิด  เมื่อเห็นผู้ชายน่ากลัวคนนั้นยืนอยู่ตรงถนนด้านล่าง
   คิดจะยืนเฝ้าอย่างนั้นไปตลอดชีวิตเลยหรือไง
   กฤษต์หันหน้าออกจากหน้าต่าง และล้มตัวนอนอย่างหงุดหงิด
--------------------------------------
   “เป็นไงบ้างล่ะ ราฟี่” คลาวเดียเอ่ยทักทันทีที่เห็นแฟนหนุ่มขับรถกลับมา
“ก็ไม่แย่อย่างที่เธอคิดหรอก อย่างน้อยฉันกับเจ้านั่นก็ไม่ได้ต่อยกัน พอใจหรือยังล่ะ?”
   “ฉันไม่ได้รู้สึกดีที่มันเป็นแบบนั้นหรอกนะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น เธอยืนท้าวสะเอวมองดูอีกฝ่ายโยนกุญแจรถลงในตะกร้า
“แล้วคุณทิ้งรูฟัสไว้แบบนั้นเหรอ?” หล่อนถาม  ราฟาแอลทิ้งตัวลงบนโซฟา
   “เจ้ารูฟัสบอกให้ฉันอยู่ให้พ้นระยะสายตา” เขากล่าว พลางนึกหงุดหงิด “เธอรู้รึเปล่าว่าหมอนั่นตั้งใจจะรออยู่แบบนั้นจนกว่าเด็กคนนั้นจะยอมกลับมาด้วย”
   “ว้าว!” หญิงสาวอุทาน “คุณเห็นหรือไง?”
   “อืม” ราฟาแอลพยักหน้า “เจ้านั่นมันหายเข้าไปในหอพักนั่นสักพัก แล้วกลับออกมา คราวนี้ยืนเฝ้าเป็นหมาเฝ้ายามอยู่ด้านล่างเลย ก็คงเจอแล้วล่ะ แต่ทางนั้นคงไม่ยอมกลับมาด้วย”
   “แล้วจะต้องรอนานแค่ไหนกันล่ะ” คลาวเดียเอ่ยลอยๆ ราฟาแอลหยิบขนมปังกรอบในโหลที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาใส่ปาก
   “ไม่รู้มัน ฉันรอมันอยู่สองชั่วโมงแล้วยังไม่เห็นแววก็เลยกลับมาก่อนเนี่ย”
   หญิงสาวถอนหายใจ และหันไปมองหน้าชายหนุ่ม “นี่ราฟี่  ความรักของรูฟัสคราวนี้น่ะ มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ เหรอ?”
   “ก็ใช่น่ะสิ หรือเธอคิดว่าจะรอด?” เขาย้อนถาม และดูเหมือนจะให้ความสนใจขนมปังกรอบมากกว่า คลาวเดียยักไหล่    “ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกสงสารรูฟัสนะ”
--------------------------
   ฟ่งมองดูตัวเองในกระจก และรู้สึกว่าตาบวมนิดหน่อย ตัวเขาตอนนี้ดูเหมือนจะแย่กว่าตอนเช้าเสียอีก เขาเปิดก๊อกน้ำ วักน้ำขึ้นมาล้างหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเช็ดด้วยผ้าขนหนู และก้าวเท้าออกจากห้องน้ำ
   ชายหนุ่มเดินไปยังห้องนอน เขาคิดว่ากฤษต์อาจจะอยู่ที่นั่น ฟ่งรู้สึกผิดที่โกหก เขายกมือขึ้นเคาะประตู และเปิดเข้าไป พบว่ากฤษต์กำลังนอนฟังเพลงและอ่านหนังสืออยู่  เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้น และถอดหูฟังออก เมื่อเห็นว่าฟ่งเดินเข้ามา
   “พี่ขอโทษนะ” ฟ่งเอ่ย เขาไม่อยากจะสบตากับรุ่นน้องคนนี้เลย ด้วยกลัวว่าจะเจอกับสายตารังเกียจ
   “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่” กฤษต์กล่าว น้ำเสียงดูเหมือนจะฝืนๆ อยู่บ้าง ฟ่งเงยหน้าขึ้นมอง  แม้ว่ากฤษต์จะไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจ แต่สีหน้าก็ดูไม่ดีนัก
   “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะโกหกเธอ” ฟ่งกล่าว รู้สึกขมในปาก กฤษต์นิ่งไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “ผมไม่โกรธเรื่องพี่เป็นเกย์หรอก”
   ฟ่งกลืนน้ำลาย เขาไม่อยากจะยอมรับคำว่าเกย์เลยจริงๆ ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
   “ถ้าเขามาที่นี่อีก พี่จะไล่เขาไปเอง”
   แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่ฟ่งไม่มั่นใจสักนิดว่าเขามีความกล้าพอจะเอ่ยปากไล่รูฟัส
   กฤษต์มองหน้ารุ่นพี่ และถอนใจบ้าง
   “ถ้าหมายถึงผู้ชายคนนั้นล่ะก็ เขายังยืนรอพี่อยู่ข้างล่างอยู่เลยมั้งครับ”
   “บะ..บ้าน่า” ฟ่งอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อ ก่อนจะวิ่งไปดูที่หน้าต่าง รูฟัสยังคอยอยู่รึ?  ผู้ชายคนนั้นจะรออยู่จริงๆ หรือ?
   เขามองลงไป และหลับตาทันทีที่เห็นร่างที่คุ้นตานั้น
   รูฟัสยืนอยู่ด้านล่าง และเหมือนรู้ นัยน์ตาสองสีนั้นมองสบขึ้นมาทันที ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี รู้สึกปวดแปลบในอก
   ทำไมถึงทำแบบนี้นะ ทำไมถึงไม่ยอมไปเสียที  คิดจะทรมานกันไปจนถึงไหนกัน
   ฟ่งอยากจะกรีดร้องออกมา แต่ก็ต้องกล้ำกลืนเอาไว้ เขาจะต้องเข้มแข็ง ผู้ชายคนนั้นก็เป็นเพียงแค่คนหลอกลวงคนหนึ่ง ไม่มีอะไรจะต้องไปอาลัยอาวรณ์อีก ไม่นานก็คงกลับไปเอง
   ใช่แล้ว ไม่นานหรอก
--------------------------------------
   รูฟัสมองดูบานหน้าต่างของห้องที่เขาติดว่าฟ่งพักอยู่  แสงสีแดงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ฉายจับขอบฟ้า ช่างเป็นเรื่องตลกที่เลวร้ายสิ้นดี  เมื่อคืน เขายังรอแสงอาทิตย์แรกของเช้านี้ เพื่อกลับมาสารภาพเรื่องราวความผิดพลาดของเขา แต่ว่าตอนนี้ แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันกำลังจะหมดไปแล้ว แต่เขากลับยังไม่ได้พูดหรือบอกอะไรออกไปเลย
   คงไม่มีโอกาสสำหรับเขาอีกแล้วในการพูดความจริง
   ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างขมขื่น
จะให้เขาพูดอะไรได้ ในเมื่อแค่ได้พบหน้า ฟ่งก็เกือบจะวิ่งหนีเขาไปแล้ว เขาเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่า คนที่เขารักหวาดกลัวเขาเพียงใด  หากต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า รูฟัสแน่ใจว่านั่นเป็นการทำร้ายฟ่งมากกว่าที่จะทำให้เรื่องราวดีขึ้น ตอนนี้เขาหวังเพียงให้ฟ่งยอมกลับไปกับเขา  ขอให้เขาได้ส่งฟ่งขึ้นเครื่องบิน ขอให้เขาได้เห็นใบหน้านั้นเป็นครั้งสุดท้าย
ครั้งสุดท้าย แล้วเขาจะลืมให้หมดทุกอย่าง
แสงสีแดงโลมไล้ขอบหน้าต่างสีขาวจนกลายเป็นสีส้มแดง รูฟัสเงยมองมันอย่างหม่นหมอง เขาไม่รู้เลยว่าฟ่งจะยอมลงมาเมื่อไหร่ หรือจะยอมลงมาหรือเปล่า และตัวเองต้องรออีกนานเท่าไร แต่ว่าลึกๆ แล้ว รูฟัสกลับรู้สึกชื้นใจอยู่บ้าง
อย่างน้อยตอนนี้ ก็ยังมีฟ่งให้เขารอ
-----------------------------------
   นัยน์ตาสีน้ำตาลลืมขึ้น และหลับลงอีกครั้งเพราะแสงแดดที่ส่องเข้ามา พลางนึกแปลกใจว่านี่ผ่านไปคืนนึงแล้วล่ะหรือ  ฟ่งยันกายลุกขึ้นจากโซฟา เดินไปยังห้องน้ำ ไม่นึกอยากมองภาพตัวเองในกระจกอีก ชายหนุ่มรู้สึกห่อเหี่ยว การพบกับรูฟัสเมื่อวานยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่
   ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ผู้ชายคนนั้นไม่น่าจะมีความสำคัญอะไรแท้ๆ
   ฟ่งแปรงฟันอย่างลวกๆ และวักน้ำขึ้นมาล้างหน้านิดหน่อย เขาไม่คิดอยากจะตื่นนอนเต็มที่นัก
   ขณะที่กำลังมองโซฟาและกำลังชั่งใจว่าควรจะกลับไปนอนต่อดีไหม เท้าของเขาก็ชักนำตัวเองไปยังหน้าต่าง
   คงกลับไปแล้ว........
   ฟ่งคิดขณะที่ก้มหน้ามองลงไป แล้วก็ต้องขนลุก
   รูฟัสยังยืนอยู่ตรงนั้น
   “ยังรออยู่น่ะครับ ตลอดคืนเลย” เสียงของกฤษต์ดังขึ้นด้านหลัง ฟ่งสะดุ้ง และหันกลับมามอง
   “ไม่สงสารเขาหรือครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น ฟ่งมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ และยกมือขึ้นปิดหน้า
   ทำไมกัน รูฟัส!! ทำไมกัน!! ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้!!!
---------------------------------------
   รูฟัสหันหน้าไปมองร่างที่กำลังเดินเข้ามา มันคุ้นตา และดึงดูดเขาอย่างประหลาด ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจดี แต่ในที่สุดเขาก็ยิ้มออกไป
   “ดีใจที่คุณลงมานะครับ”
   ฟ่งพยักหน้า ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย เขาเห็นเท้าของรูฟัสก้าวเข้ามาใกล้  ทำไมถึงได้อยากร้องไห้ออกมาตอนนี้นะ....
   “ผมเรียกแท็กซี่กลับนะครับ” รูฟัสกล่าว น้ำเสียงนั้นแม้จะดูอ่อนล้า แต่ก็ยังฟังดูอ่อนโยน และใจดีเหมือนเดิม ฟ่งเม้มปากแน่น เขาก้าวเท้าตามอีกฝ่ายไป เหมือนว่ารูฟัสจงใจเดินให้ช้าลงเพื่อที่จะอยู่ในระดับเดียวกับเขา แต่ก็รักษาระยะห่างเอาไว้

   “ทะ..ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้”
   ในที่สุดฟ่งก็เอ่ยปากขึ้นขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่ในรถ รูฟัสหันหน้าไปมองร่างผอมบางที่นั่งก้มหน้าอยู่ เขานึกอยากลูบศีรษะของอีกฝ่าย แต่ก็ยั้งมือไว้
   ก็คนคนนี้อาจจะไม่ใช่คนของเขาอีกต่อไปแล้ว....
   “เพราะผมรักคุณครับ” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีกล่าว ก่อนจะขบริมฝีปากเบาๆ
   “แล้วคุณล่ะครับ เคยรักผมบ้างรึเปล่า?”
   ฟ่งกลืนน้ำลาย เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเบือนหน้าไปยังหน้าต่างรถ รูฟัสยิ้มอย่างเศร้าๆ ภายในตัวรถเงียบสนิท
   ถ้าหากเสียงตัวใจแตกสลายมีจริงแล้วล่ะก็ มันก็คงดังขึ้นอย่างเงียบๆ นั่นแหละ
--------------------------------------

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: My neighbor is a spy บทที่30-24/05/2554
«ตอบ #74 เมื่อ24-05-2011 23:31:38 »

ชอบ แต่เพิ่งอ่านได้ห้าตอนเองครับ  อยากอ่านต่อแต่ปวดตาสุดๆ    :sad4: :L1:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy บทที่30-24/05/2554
«ตอบ #75 เมื่อ26-05-2011 20:32:18 »

บทที่31 ความเงียบอันแสนปวดร้าว
   ในที่สุด ทั้งคู่ก็กลับมาถึงบ้านของราฟาแอล  คลาวเดียดูมีสีหน้าดีใจ เมื่อได้พบหน้าฟ่ง
   “ฉันคิดว่าเธอจะหายตัวไปแล้วเสียอีก” หล่อนกล่าว และมองดูหน้ารูฟัส
   “ส่วนเธอ รูฟัส ไปอาบน้ำเสียหน่อยดีไหม?” คลาวเดียเสนอแนะ รูฟัสส่ายหน้า
   “ไม่ล่ะ ผมทำธุระก่อนดีกว่า”
   หญิงสาวขมวดคิ้ว ขณะที่ฟ่งก้าวเดินออกไป
   “ผมขอตัวขึ้นไปข้างบนนะครับ” ร่างบางกล่าว และเดินหายไปทันที  คลาวเดียมองอย่างอ่อนใจ และหันไปมองรูฟัสที่นั่งปุลงบนโซฟา พลางล้วงเอาเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมา
   “จะทำงานหรือไง?” เธอเอ่ยถามอย่างแปลกใจ  ชายหนุ่มส่ายหน้า
   “ผมจะจองตั๋วเครื่องบิน”
   
   ฟ่งทิ้งตัวลงบนเตียง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง คำถามของรูฟัสในรถแท็กซี่เมื่อครู่ยังก้องอยู่ในหัว
   แล้วคุณล่ะครับ เคยรักผมรึเปล่า?
   ฟ่งเผลอเม้มริมฝีปาก จะให้เขาตอบออกไปว่าอย่างไรกันล่ะ ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าคิดอะไรกับผู้ชายคนนี้กันแน่  เรื่องเดียวที่เขาคิดออกในตอนนี้คือ อยากจะร้องไห้  ร้องให้น้ำตามันไหลออกไป เผื่ออะไรๆ ในสมองมันจะดีขึ้นบ้าง
   เผื่อจะลืมนัยน์ตาสองสีคู่นั้นได้
---------------------------------------------
   “ฉันคิดว่าจะรออยู่สักอาทิตย์เสียอีก” ราฟาแอลที่เดินขึ้นมาจากชั้นใต้ดินเอ่ยทักเมื่อเห็นรูฟัสนั่งอยู่บนโซฟา  นัยน์ตาสองสีคู่นั้นเหลือบขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปสนใจกับคอมพิวเตอร์ต่อ
   “ได้ตัวกลับมาแล้วสิ แล้วจะทำยังไงต่อ?” ราฟาแอลยังคงเอ่ยถามต่อ และนั่งปุลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม รูฟัสขยับตัวอย่างรำคาญทันที
   “อย่ามาตื้อผมเลยน่ะ  ผมบอกคุณไว้ว่ายังไง ผมก็จะทำแบบนั้นแหละ”
   “จะส่งกลับจริงๆ?” ราฟาแอลถามด้วยน้ำเสียงเหมือนตั้งใจจะยั่วโทสะ รูฟัสยักไหล่
   “จองตั๋วแล้ว อีกสองวัน และถ้าคุณจะกรุณา” เขาเอ่ย และหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากเครื่องพริ๊นต์ยื่นให้ราฟาแอล
   “เอาตั๋วนี่ให้ฟ่งด้วย ผมจองตามชื่อในพาสปอร์ตของเขา”
   “พาสปอร์ตล่ะ?”
   รูฟัสทำท่าเหมือนนึกได้ เขาลุกขึ้น แต่แล้วก็นั่งลงอีก
   “มันอยู่ข้างบน ในลิ้นชักโต๊ะผม  วานเอาให้เขาด้วยแล้วกัน”
   ราฟาแอลขมวดคิ้ว “แล้วทำไมไม่ขึ้นไปเอาเอง?”
   รูฟัสย่นคิ้วอย่างอ่อนใจ
“ผมทนขึ้นไปไม่ไหวหรอก  คุณหาเจอน่าราฟี่” เขากล่าว พลางลุกขึ้น
   “ผมอาจจะต้องวานให้คุณช่วยไปส่งเขาที่สนามบินด้วย เผื่อว่าผมยังกลับมาไม่ได้” รูฟัสกล่าว ทำให้ราฟาแอลต้องขมวดคิ้วซ้ำทันที
   “แล้วแกจะไปไหน?”
   ร่างแกร่งกะพริบตาสองสามหน ก่อนจะมองออกไปด้านนอก
   “สักที่หนึ่ง” เขากล่าว  และหันมาพูดต่อ “เอาว่าผมไม่ทำอะไรบ้าๆ แล้วกัน  ฝากหน่อยนะราฟี่”
   เขากล่าว พลางเดินพรวดๆ ออกไปนอกบ้าน  ราฟาแอลอ้าปากค้าง เหมือนว่าจะพูดแต่ไม่ทัน  ชายหนุ่มได้แต่นั่งเกาหัวแกร่ก
   “แบบนี้คลาวเดียต้องไม่ชอบแน่ๆ” หนุ่มผมสีบลอนด์พึมพำเบาๆ
-------------------------------
   รูฟัสนั่งเหม่ออยู่ในรถแท็กซี่ เขารู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง  ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ดูแย่ไปหมด แบบนี้คืออาการของคนอกหักหรือ...
   ชายหนุ่มหัวเราะเศร้าๆ ให้กับตัวเอง  เขาสั่งให้คนขับแท็กซี่จอดรถตรงทะเลสาบบาลาตอน และยื่นเงินให้โดยไม่สนใจเงินทอน ร่างแกร่งก้าวเท้าลงจากรถ  เดินข้ามถนนไปหยุดอยู่ตรงทางเดินริมฝั่ง มองดูห้วงน้ำเวิ้งว้างกว้างสุดลูกหูลูกตา
   ทำไมเขาถึงถามออกไปแบบนั้นกันนะ?
   เขากำลังหวังอะไรจากคำถามนั้นหรือเปล่า?
   เขารักฟ่ง แต่ฟ่งล่ะเคยรักเขาบ้างไหม?
   คำถามนี้เป็นคำถามที่รูฟัสปฏิเสธที่จะถามแม้แต่ตัวเองมาโดยตลอด เพราะเขากลัว กลัวในคำตอบที่จะได้รับ  แต่ว่าเมื่อครู่นี้  เขาถามออกไปแล้ว  ถามคนคนนั้นออกไปแล้ว  และคำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบที่ว่างเปล่า
   เป็นความเงียบที่อ้างว้างและว่างเปล่าจริงๆ
   เสี้ยววินาทีนั้น รูฟัสรู้สึกตัวทันทีว่าเขากำลังหลงทางอยู่ในเขาวงกตที่ละเมอเพ้อพกไปเองว่ามันจะมีสมบัติหรือแสงสว่างอยู่ปลายทาง  ที่สุดท้ายความจริงคือความว่างเปล่าและการวนเวียนอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ไม่มีสมบัติหรืออะไรทั้งนั้น มีเพียงแต่ความว่างเปล่าและเงียบสนิท
   ช่างเงียบได้อย่างร้ายกาจจริงๆ
   นัยน์ตาสองสีเหม่อมองออกไปยังที่ไกลแสนไกล หูของเขาได้ยินเสียงมากมาย แต่ก็ไม่มีเสียงใดที่ดังและน่าหวาดกลัวไปกว่าความเงียบจากฟ่งอีกแล้ว
   ฟ่งไม่เคยตอบคำถามของเขา ไม่ว่าจะตอนไหน เด็กคนนั้นเงียบมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้
   รูฟัสเพิ่งเข้าใจว่าสำหรับฟ่งแล้ว สิ่งที่ควรค่าจะมอบให้เขาคือความเงียบนั่นเอง
   ความเงียบที่มีความหมายทั้งตอบรับและปฏิเสธในคราวเดียวกัน
   แต่ว่าความเงียบแบบนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฟ่งยอมอดทนอยู่กับเขาได้ ภายใต้ความเงียบ ฟ่งหวาดกลัวเขา ไม่ไว้ใจเขา แต่กลับไม่ยอมพูดออกมา
   หลบซ่อนอยู่ภายใต้ความเงียบแบบนั้น และปล่อยให้เขาตีความไปเพียงฝ่ายเดียว
   รูฟัสถอนหายใจ  มันคงถึงเวลาที่จะพอกันทีสำหรับความสัมพันธ์แบบนี้  ความสัมพันธ์ที่ไม่รู้ว่าจะไปในทิศทางไหน การพยายามอยู่คนเดียวไม่ได้ช่วยพยุงความรักเอาไว้ได้  มันเป็นเรื่องของคนสองคนจริงๆ
   คนสองคนที่เข้าใจซึ่งกันและกัน
   ตลอดเวลา เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองไม่เคยเข้าใจและไม่เคยสนใจอีกฝ่ายขนาดไหน ชายหนุ่มหลอกตัวเองมาโดยตลอดว่าเขาให้ความสำคัญกับฟ่ง แต่ว่านั่นคือความสำคัญจริงๆ หรือ? เขาไม่แม้แต่จะบอกว่าตัวเองคือใคร ไม่แม้แต่จะไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับคนคนนั้น และไม่เคยที่จะรู้เลยว่าฟ่งคิดอะไรกับเขา  ไม่เคยจะสะกิดใจเลยว่าฟ่งอึดอัดขนาดไหน  และไม่เคยจะคิดเลยว่าเขาควรจะปฏิบัติตัวกับอีกฝ่ายอย่างไร ทั้งหมดเขาทำตามใจตัวเองทั้งนั้น
   เพราะเขามุ่งมั่นที่จะคว้าความรักครั้งนี้เอาไว้ด้วยตัวคนเดียว ผลมันจึงลงเอยแบบนี้สินะ
   รูฟัสก้าวเท้าไปตามแนวริมทะเลสาบ สายลมเย็นๆ ช่วยทำให้เขารู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่ภายในหัวกลับยังเบลออย่างประหลาด เหมือนว่ายังคงสัมผัสถึงทุกสิ่งทุกอย่างของคนคนนั้นได้อยู่ ทั้งรอยยิ้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้น เสียงพูดคุย ใบหน้าที่มักจะดูบึ้งตึงแต่ก็ดูน่ารักอยู่ในที ริมฝีปากสีชมพูอ่อนนุ่ม เรือนร่างเนียนที่เคยสวมกอด ทุกอย่างดูเหมือนจะแจ่มชัดและแทบจะสัมผัสได้ในความทรงจำ
   ชายหนุ่มขยี้นิ้วมือและกำมันลงเบาๆ เขาไม่มีทางจะได้สัมผัสความจริงแบบนั้นได้อีกแล้ว มันกลายเป็นเพียงความทรงจำที่แสนจะปวดร้าว เมื่อหมอกควันจางหายไป สิ่งที่สัมผัสได้คือความอ้างว้างเดียวดายที่มีมาแต่แรกเท่านั้น
   เขาไม่เคยมีฟ่งมาแต่แรก และต่อไปนี้ก็จะไม่มี
   รูฟัสพยายามจะระลึกถึงความจริงข้อนี้  ใช่แล้ว ฟ่งไม่เคยมีตัวตนอยู่แต่แรก เป็นแค่คนที่ผ่านมาชั่วครู่ชั่วคราวและก็ผ่านไป ทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่แสนดี
   แต่ว่า.....ความทรงจำแสนดีที่ว่านั้นทำไมตอนนี้มันถึงได้เจ็บปวดนัก
   ความปวดแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจ นัยน์ตาสองสีหลับพริ้ม เขารู้สึกเหมือนว่ามีหยดน้ำตาอุ่นๆ ไหลลงมากระทบใบหน้า
   เมื่อคืน เขาเคยคิดที่จะอยู่เพื่อดูหน้าฟ่งเป็นครั้งสุดท้าย อยู่เพื่อจะส่งคนคนนั้นกลับบ้าน อยู่เพื่อดูว่าคนคนนั้นกลับไปอย่างปลอดภัย แต่ว่าพอเอาเข้าจริง เขากลับไม่มีความกล้าพอแม้แต่จะขึ้นไปเอาพาสปอร์ตในห้องที่คนคนนั้นอยู่  ไม่กล้าพอที่จะสบตา หรือแม้แต่มองส่วนใดส่วนหนึ่งของเด็กคนนั้น  เขากลัว  กลัวที่จะรับรู้ว่าฟ่งมีตัวตนอยู่จริงๆ
   รูฟัสอยากให้ทุกอย่างเป็นความฝันแสนหวานของเขา ฟ่งที่เป็นแค่ความฝัน ฟ่งที่ไม่เคยมีตัวตน เป็นเพียงแค่คนในความฝันของเขา
   ความฝันที่แสนหอมหวาน
   ชายหนุ่มลืมตา ปล่อยให้ลมทะเลสาบพัดพาให้หยาดน้ำตาเหือดแห้ง ก่อนจะเดินออกไป โบกรถแท็กซี่อีกครั้ง
-----------------------------------------
   “นี่ ชานดอร์ นายเคยฝันบ้างรึเปล่า?”
ผู้เป็นเจ้าของบาร์เหล้าที่มีอดีตยาวนานหันหน้ามามองลูกค้าขาประจำ ซึ่งเมื่อวานเพิ่งมาช่วยงานที่ร้าน รูฟัสโผล่เข้ามาในช่วงเย็นด้วยสีหน้าที่พอจะเดาได้ว่าไม่ได้พบกับเรื่องน่ายินดีเท่าไหร่นักในรอบวันที่ผ่านมา
   “เคย” ชานดอร์กล่าว พลางรินเหล้าส่งให้ลูกค้าอีกคนที่นั่งรออยู่  เขาคิดว่าแก้วต่อไปเขาจะรินน้ำเปล่าให้รูฟัส  เพราะดูยังไงหมอนี่ก็คงจะเมาอยู่ก่อนที่จะมาร้านเขาอยู่แล้ว  คงจะเมาอดีตที่เพิ่งจากไป
   “แล้วนายคิดว่าระหว่างความฝันกับความจริง อะไรมันดีกว่ากัน” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ย เขาดูคล้ายคนที่เพ้ออยู่มากกว่าเมา นัยน์ตาสองสีที่เคยมีเสน่ห์ดึงดูดนั้นบัดนี้หม่นหมองและเหม่อมองออกไปในที่ที่ไม่มีอยู่จริง เขายกน้ำสีอำพันในแก้วขึ้นมาจิบระหว่างรอคำตอบ
   “ฉันคิดว่าความจริงดีกว่า เพราะความฝันถึงมันจะดีขนาดไหน มันก็ไม่ได้มีผลกับชีวิต”
   “งั้นเหรอ?” รูฟัสกล่าวพลางพยักหน้า ยกแก้วขึ้นมาจิบอีกครั้ง
   “แต่ผมคิดว่านั่นแหละที่ดี เพราะมันไม่ได้มีผลกับชีวิตก็เลยเป็นเรื่องที่ดี”
   “นั่นก็แล้วแต่นายจะคิด” ชานดอร์เอ่ย พลางวางแก้วคอกเทลใส่ถาดและให้เด็กเสิร์ฟยกออกไป
   “บางที ถ้าเกิดมีใครไปทึกทักเอาว่าความฝันเป็นความจริงล่ะก็ มันคงเป็นเรื่องที่แย่มากตอนที่ตื่นขึ้นมาและรู้ว่ามันเป็นแค่ความฝัน  เพราะนั่นแปลว่าทั้งหมดคือความว่างเปล่า”
   “ถูกของนาย” รูฟัสกล่าว และยกแก้วขึ้นมาซดจนหมด คราวนี้ชานดอร์รีบกล่าวขึ้น
   “เฮ้ยๆ  นี่ถ้านายจะดื่มรวดเดียวแบบนั้นล่ะก็  ฉันอัญเชิญให้กลับไปก๊งกับราฟี่ที่บ้านเลยนะ  เดี๋ยวมาเมาแล้วอาละวาดในร้านฉันอีก”
   “ผมเคยเมาอาละวาดในร้านนายหรือไง?”
   ชานดอร์ส่ายหน้า
   “ไม่เคย แต่วันนี้ฉันไม่แน่ใจนักหรอก ดูเหมือนนายจะเมามาก่อนที่จะเข้าร้านฉันเสียอีก”
   “ฮ่ะๆ ”   รูฟัสหัวเราะ ความจริงแล้วชานดอร์ไม่เคยเห็นเด็กคนนี้เมาจริงๆ เลยสักครั้ง  แต่คราวนี้เขาเกิดไม่ไว้ใจรูฟัสขึ้นมา เพราะสภาพจิตใจของหมอนี่ตอนนี้ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
   “ผมคงอกหัก” ในที่สุดรูฟัสก็โพล่งขึ้น เขามองดูแก้วเหล้าเปล่าในมือ และยื่นมันไปให้ชานดอร์ “เอาเตกีล่า ไม่ต้องเอาน้ำเปล่ามาให้ผมเลยนะ”
   ชานดอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเกือบจะอ้าปากเถียงไปว่านั่นไม่ใช่น้ำเปล่า แต่เป็นสมีนอฟต่างหาก แต่ก็นั่นแหละ ลองรูฟัสเห็นแล้วก็คงป่วยการจะโกหก  เขาวางแก้วสีอำพันดำลงบนเคาน์เตอร์หน้ารูฟัส และกล่าวสำทับ
   “ถ้ากินรวดเดียวหมดคราวนี้ฉันจะให้นายกินน้ำเปล่าจริงๆ”
   ชายหนุ่มหัวเราะลงคอ  ความจริงเขาไม่รู้สึกว่าเมาสักนิด ทั้งๆ ที่นี่เป็นเตกีล่าแก้วที่แปดแล้ว แต่ก็คงไม่น่าแปลกที่ชานดอร์จะรู้สึกไม่วางใจ
   “แล้วตกลงไงต่อ ที่ว่าอกหักตะกี้” เจ้าของร้านเอ่ยถามอีก ไม่รู้ว่าอยากจะดึงความสนใจของเขาให้พ้นจากแก้วน้ำเมานั่นหรือเปล่า
   “ก็อกหักนั่นแหละ  ผมน่ะไม่กล้าจะพูดอะไรสักแอะด้วยซ้ำตอนที่เจอเขา”
   “อ่าว ไม่พูดแล้วจะรู้ได้ไงว่าอกหัก..” อีกฝ่ายถามสวนทันที  รูฟัสหยิบแก้วเหล้าขึ้นมามองดู เขาคิดว่าจะขอมะนาวมากินแกล้มเพิ่มอีกสักหน่อย
   “เขาหนีผม ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าเขากลัวผมขนาดนั้น เมื่อวานเขาหนีออกจากบ้านตอนที่ผมไม่อยู่”
   “อ้อ... ก็น่าอยู่” ชานดอร์กล่าว  พลางคิดว่ารูฟัสอาจจะต้องรู้สึกไม่พอใจแน่ๆ แต่แปลกที่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่วน
   “ถูกของคุณ ผมน่ะน่ากลัว แต่ผมเพิ่งรู้สึกตัวตอนที่เจอเขานี่แหละ มันสายไปแล้ว ผมพูดไม่ออกหรอก  นี่ขนาดยังไม่พูดเรื่องจริงเขายังกลัวผมขนาดนี้ ถ้าผมพูดออกไปเขาคงต้องแย่แน่ๆ”
   “นายคิดว่าตัวเองน่ากลัวมากเลยหรือไง” ชานดอร์ถาม รูฟัสส่ายหน้า
   “แต่สำหรับคนอื่น ผมคงจะน่ากลัว”
   “แต่ฉันไม่เคยเห็นใครกลัวนายเลยนี่ มีแต่คนวิ่งเข้าหานาย”
   “ขอมะนาว”
   รูฟัสพูดพลางแบมือ ชานดอร์หยิบมันวางให้เขาอีกจานหนึ่ง รูฟัสยกเตกีล่าขึ้นซดรวดเดียวหมด แล้วเคี้ยวมะนาวตามเข้าไป เขาหยีตาเพราะความเปรี้ยวของมันอยู่พักหนึ่ง
   “แก้วที่เก้าล่ะ” เขากล่าว พลางยื่นแก้วให้อีกฝ่าย ชานดอร์รับมันไปอย่างเสียไม่ได้
   “ผมเคยกินได้ยี่สิบแก้วน่า” รูฟัสเอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีลังเลที่จะเติมเหล้าให้
   “นั่นไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจหรอกนะ” ชานดอร์กล่าว  คราวนี้เขาเทอย่างอื่นปะปนลงไปกับเตกีล่าด้วย
   “ความจริงนายน่าจะปล่อยให้ผมเมาจนหลับนะ” รูฟัสกล่าวหลังจากรับเหล้าแก้วใหม่มาแล้ว  ชานดอร์ขมวดคิ้ว
   “ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่านายจะเมาจนหลับ ไม่ใช่อาละวาดน่ะ”
   ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง “หลับสิครับ คนเราน่ะ พอเมาแล้วจะทำในสิ่งที่จิตใต้สำนึกลึกๆ อยากทำไม่ใช่หรอ ตอนนี้น่ะ ผมอยากหลับมากเลย เพียงแต่นอนไม่หลับเท่านั้นแหละ”
   “ถ้าอยากจะหลับมากขนาดนั้น ทำไมไม่กินยานอนหลับเสียเลยล่ะ” ชานดอร์กล่าว พลางส่งเหล้าผลไม้ให้ลูกค้า เขาล่ะกลัวว่าจะมีใครวิ่งเข้ามาขอแข่งดวดเตกีล่ากับหมอนี่จริงๆ  ชานดอร์เคยมีประสบการณ์ต้องหามคนที่คิดจะดวดเตกีล่าแข่งกับรูฟัสมาแล้ว เพราะฉะนั้นคืนนี้ ขอแค่แบกเจ้านี่ก็พอ ไม่ต้องหาคนมาให้หามเพิ่มหรอก
   “ก็เหล้าน่ะ กินเกินขนาดก็แค่อ๊วกกับเมา แต่ยานอนหลับน่ะ กินเกินขนาดถึงตายเลยนะ” รูฟัสกล่าว ชานดอร์หันกลับมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
   “เหมือนจะมีความคิดเลย ว่าแต่ทำไมนายถึงอยากหลับขนาดนั้น”
   “ผมอยากฝัน” รูฟัสตอบ  อีกฝ่ายส่งเสียงอ้อยาวๆ ทันที
   “เกิดไม่อยากอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วหรือไง?” เขากล่าว รูฟัสพยักหน้า  ชานดอร์เลิกคิ้ว
   “เพิ่งเคยเห็นนายเป็นแบบนี้น่ะเนี่ย  แค่อกหักก็คิดจะหนีโลกเลย?”
   “ช่างผมเถอะน่า ก็ผมไม่เคยอกหักนี่” รูฟัสกล่าว  ประโยคนี้ชานดอร์นึกขำเล็กๆ
   เจ้าหนูที่ดูเหมือนผ่านโลกมาโชกโชน แต่ยังไม่เคยอกหักนี่ช่างฟังดูน่าขบขัน
   “ถ้านายอยากจะหลับนักล่ะก็ เอามะนาวคืนมา เปลืองเหล้าฉัน” เขากล่าว และดึงจานมะนาวกลับไปทันที
   “โธ่ เตกีล่าที่ไม่มีมะนาว มันจะต่างอะไรกับเอาไฟเข้าตัวล่ะครับ”
   ผู้เป็นเจ้าของบาร์เลิกคิ้ว “ก็ไหนว่าอยากจะหลับนักนี่ แบบนี้หลับเร็วแน่”
   เขารินเตกีล่าอีกแก้วหนึ่งให้กับรูฟัส คราวนี้ใช้แก้วขนาดปกติเลยทีเดียว  รูฟัสรับมามองแล้วย่นคิ้ว
   สงสัยชานดอร์จะลืมไปแล้วแน่ๆ ว่าตะกี้กลัวเรื่องอะไร
---------------------------------
   ฟ่งลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขารู้สึกหัวหนักอึ้ง อากาศด้านนอกเริ่มมืดครึ้มแล้ว ร่างบางพยายามเปิดเปลือกตาที่บวมปูด นี่เขาร้องไห้จนหลับไปอีกแล้วหรือ
   ชายหนุ่มหลับตา รู้สึกสังเวชตัวเอง
   รูฟัส...
   นี่คือสิ่งที่เขานึกขึ้นได้ต่อมา ฟ่งถอนใจ จนถึงตอนนี้เขายังไม่อาจจะลบภาพของผู้ชายคนนั้นออกไปได้ ไม่ว่ารูฟัสเป็นคนน่ากลัวขนาดไหนก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็ยังคิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่ดี
   ฟ่งซุกหน้าลงกับหมอน ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงต้องทำขนาดนี้ เพียงแค่รั้งเขาเอาไว้หรือ  ชายหนุ่มหนับตาลงเมื่อนึกถึงคำพูดนั้น
   เพราะผมรักคุณ
   ฟ่งขบกรามแน่น เขารู้สึกโมโห ทำไมต้องเอาคำแบบนั้นมาอธิบายเรื่องทุกอย่างด้วย  เพราะรักเลยทำแบบนี้หรอก เพราะว่ารักเลยต้องโกหกด้วยหรือเปล่า
   เพราะว่ารักแบบนั้นเลยต้องหลอกลวงกันงั้นหรือ?
   “บ้า บ้า บ้า บ้า” เขาอยากจะตะโกนใส่รูฟัส เอาให้แก้วหูแตก แต่ก็ได้แต่ตะโกนอยู่ในใจ
   สำหรับเขาแล้ว รูฟัสดูจะห่างไกลเกินกว่าจะพูดอะไรออกไปได้
-------------------------------
   คลาวเดียขมวดคิ้ว มองดูโต๊ะอาหารมื้อเย็นที่มีแต่ราฟาแอลนั่งอยู่  ราฟาแอลมองหน้าหล่อนแล้วยักไหล่
   “สรุปนี่เหลือแต่คุณกับฉันหรือนี่” หญิงสาวผมสีแดงกล่าว ขณะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแฟนหนุ่ม
   “ก็ดูจะเป็นอย่างนั้น เจ้ารูฟัสมันหนีเตลิดออกไปนอกบ้าน คงจะไม่กลับมาหลายวัน”
   “เฮ้อ...” หล่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ทำไมฉันรู้สึกว่า คุณกำลังทำให้เรื่องมันแย่ลงนะ”
   คราวนี้ราฟาแอลขมวดคิ้วขึ้นบ้าง “ผมคิดว่าผมทำดีที่สุดแล้วนะ มันก็ต้องมีบ้าง ช่วงเวลาที่แย่ๆ แบบนี้ เจ้านั่นเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องแบบนี้ด้วยสิ”
   คลาวเดียมองหน้าแฟนหนุ่มที่กำลังตักซุปเข้าปาก และนึกหงุดหงิดเขานิดหน่อย แม้ว่าเธอจะเห็นด้วยว่ารูฟัสกับฟ่งไม่เหมาะสมกัน แต่ว่าพอเรื่องกลายเป็นแบบนี้ เธอรู้สึกสงสารรูฟัสขึ้นมาถนัด
   “ฉันหมายความว่าคุณไม่น่าจะปล่อยให้เด็กคนนั้นออกไปเลย บางทีถ้าให้พวกเขาคุยกันก่อนหน้านี้ เรื่องราวมันอาจจะดีขึ้น”
   “มันเป็นไปแล้วล่ะคลาวเดีย แล้วผมก็ไม่ใช่คนต้นคิด เด็กคนนั้นอยากออกไปเอง ผมก็แค่ปล่อยเขาไป แค่นั้นเอง นั่นเป็นความต้องการของเจ้าตัว ซึ่งรูฟัสควรจะรับรู้เอาไว้”
   “ถึงจะพูดแบบนั้นก็เหอะ” หญิงสาวเอ่ยค้างไว้แค่นั้น  หล่อนผุดลุกขึ้น ชายหนุ่มมองตามอย่างแปลกใจ
   “จะไปไหนอีกอีกล่ะ”
   “ฉันว่าจะไปดูฟ่งหน่อย ว่าจะเอาซุปไปเผื่อด้วย เด็กนั่นอาจจะหิวแล้วก็ได้”
   ราฟาแอลยักไหล่ “ตามใจคุณแล้วกัน เด็กนั่นคงอยู่นี่อีกสักสองวันแหละ”
   คลาวเดียชะงักทันที “รูฟัสจองตั๋วไว้แล้วเหรอ”
   ราฟาแอลพยักหน้า “อืม  อีกสองวัน หมอนั่นฝากผทไปส่งด้วย เออ ไหนๆ คุณขึ้นไปแล้ว ฝากหยิบพาสปอร์ตให้เด็กคนนั้นด้วยสิ เห็นว่าอยู่ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือน่ะ”
   คลาวเดียนิ่วหน้า และคิดจะพูดว่า “ทำไมไม่ไปเอาเองล่ะ” แต่ก็หยุดปากไว้ หยิบถ้วยขึ้นมาตักซุปและเดินขึ้นไปชั้นบน
--------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy บทที่30-24/05/2554
«ตอบ #76 เมื่อ26-05-2011 20:32:55 »

   ฟ่งสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขารีบยันกายลุกขึ้น ขณะที่คลาวเดียเปิดประตูเข้ามาในห้อง
   “อ่าว หลับอยู่เหรอ?” เธอเอ่ยทัก  ลากเก้าอี้มานั่ง และวางถ้วยซุปลงบนโต๊ะข้างๆ  ฟ่งสั่นศีรษะ
   “รูฟัสจองตั๋วให้เธอแล้วล่ะ  อีกสองวันเธอจะได้กลับบ้าน”
   “เหรอครับ” ฟ่งกล่าว และรู้สึกแปลกใจกับน้ำเสียงของตัวเอง เขาควรจะรู้สึกดีใจมากกว่านี้สิ
   “อืม เห็นว่าพาสปอร์ตเธออยู่ในลิ้นชัก” คลาวเดียกล่าว และเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ  และหยิบมันยื่นให้ฟ่ง  ชายหนุ่มสวมแว่นรับมาและเปิดดู  เขาเห็นรูปใบหน้าตัวเองอยู่ในนั้น และขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อ
   “พาสปอร์ตของฮ่องกงนี่ครับ” เขาถาม และนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ถูกเว่ยเฟิงปิงพาตัวออกมาจากประเทศไทย เขายังไม่เคยได้ดูพาสปอร์ตของตัวเองเลย คลาวเดียพยักหน้า
   “วางใจเถอะ เธอจะไม่โดนจับหรอก พอกลับไปถึงที่นั่นก็เผาทิ้งเสีย แค่นั้นแหละ”
   ฟ่งนึกกลัวอยู่บ้าง “พวกคุณเดินทางกันด้วยพาสปอร์ตปลอมแบบนี้ตลอด?”
   “ไม่ใช่ฉันหรอก เฉพาะรูฟัสกับราฟี่เท่านั้นแหละ ถ้าเธออยากรู้เพิ่ม ทำไมไม่ถามเอากับรูฟัสล่ะ”
   ฟ่งยิ้มเศร้าๆ “เขาไม่เล่าให้ผมฟังหรอกครับ เขาไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลย”
   “อย่างนั้นรึ?” คลาวเดียเอ่ย พลางนึกใคร่ครวญ
   “จริงสิ ฉันเอาซุปมาให้เธอ คิดว่าเธออาจจะหิว นี่ก็เย็นแล้วนะ เธออยากทานมื้อเย็นรึเปล่า?”
   “อา... ขอบคุณมากครับ ผมต้องขอโทษจริงๆ”
   ฟ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้กินอะไรเลยแต่เช้า  ชายหนุ่มมองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างซาบซึ้ง
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมทานแค่นี้ก็พอ”
   เขาหันไปมองถ้วยซุป มันยังมีควันกรุ่นๆ อยู่
   “ตามใจแล้วกัน  ถ้าหิวก็ไปเปิดตู้เย็นเอานะ” หล่อนกล่าว ก่อนจะผุดลุกขึ้น และเดินกลับออกไป
   “ขอบคุณนะครับ” ฟ่งพูดตามหลัง และถอนหายใจยาว
--------------------------------------
   ชานดอร์รู้สึกภูมิใจกับความคิดของตนเองนิดหน่อย ในที่สุดเจ้ารูฟัสก็ได้เมาหลับสมใจในตอนที่บาร์ปิดพอดี โชคดีที่หมอนี่เมาหลับจริงๆ อย่างที่พูด ผู้ชายตาสองสีคนนี้คอแข็งอย่างน่ากลัว ชานดอร์กลัวว่าลูกค้าของเขาจะหายใจออกมาเป็นไฟก่อนที่จะเมาเสียอีก  อย่างไรก็ตามความกลัวนั้นดูจะห่างไกลความจริงนัก เพราะตอนนี้เขากำลังลากร่างหนาหนักนั้นกลับไปยังเกสท์เฮาท์
   ให้ตายสิ ตัวหนักหยั่งกะช้าง ชานดอร์คิด ขณะถูลู่ถูกังลากรูฟัสซึ่งบ่นงึมงำมาตลอดทางขึ้นไปบนเตียง
   “ผมจะฝันดีรึเปล่า ชานดอร์” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ขณะนอนหมดสภาพอยู่บนเตียงนอน
   “จะไปรู้นายเรอะ อย่าอ๊วกแล้วกัน ฉันสงสารเด็กทำความสะอาด”
   รูฟัสหัวเราะ ดูเหมือนเขาจะรู้สึกสนุกที่เห็นอีกฝ่ายมีน้ำโห
   “ทำไมเขาถึงไม่ยอมพูดกับผมบ้างนะ สักคำก็ยังดี  ให้เหมือนว่าผมมีตัวตนอยู่”
   ชานดอร์ขมวดคิ้ว นี่เจ้ารูฟัสกำลังจะเพ้ออะไรอีกล่ะ
   “นายไปทำให้เขาไม่อยากพูดล่ะมั้ง” ผู้มีวัยสูงกว่าเอ่ยขึ้นลอยๆ รูฟัสครางอืม และดึงหมอนหนุนลงมากอด
   “ฟ่ง ผมคิดถึงคุณจัง”
   “ถ้าง่วงก็หลับๆ ไปเถอะ” ชานดอร์เอ่ยขึ้น เขาคิดว่าควรจะปล่อยเจ้านี่ทิ้งเอาไว้มากกว่าจะมานั่งฟังคำพูดเพ้อเจ้อแบบนี้ และก็เหมือนว่าคำสั่งตอนเมาจะได้ผล ไม่นานรูฟัสก็หลับไป  หนุ่มวัยสามสิบกว่าถอนหายใจ
   เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย
   เขาลูบหัวรูฟัสอย่างเอ็นดู  ความจริงรูฟัสก็ถูกใจอยู่ แต่เด็กนี่สนิทกับเขามาเกินกว่าจะคิดเป็นอย่างอื่นไปได้  ชานดอร์หัวเราะหึๆ  พลางนึกอยากเห็นหน้าของคนที่หักอกเด็กร้ายกาจคนนี้
   “โดนเองเสียบ้างจะได้เข้าใจหัวอกคนอื่น” เขากระซิบที่ข้างหู และได้ยินเสียงงืมงำตอบกลับมา ชานดอร์ผุดลุกขึ้น เห็นทีพรุ่งนี้เช้าเขาคงต้องโทรไปคุยเรื่องสนุกเรื่องนี้กับราฟาแอลเสียแล้ว
--------------------------------------------------------
   “นี่ ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงเรียกชื่อลูกน้อง เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้าวเข้ามาในห้อง ผู้เป็นเจ้านายดูเหมือนเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เขาอยู่ในชุดแพรสีฟ้าอ่อน นัยน์ตาดูซึมเซาพิกล
   “ครับ?” จางซื่อเยี่ยนตอบรับคำเรียกหาของเจ้านาย เขาเพิ่งเสร็จจากการตรวจบริเวณอาคารในรอบดึก จนแล้วจนรอด  จางซื่อเยี่ยนก็ไม่ได้เอ่ยถามถึงสาเหตุที่เว่ยเฟิงปิงอัดบุหรี่เข้าไปมากขนาดนั้น  เขาไม่กล้าจะเปิดปาก แม้ว่าจะอยู่ใกล้กันขนาดนี้แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่า อีกฝ่ายช่างห่างไกลอยู่ดี
   “นายเอากล่องใส่บุหรี่ฉันไปซ่อนอีกแล้วเหรอ”
   ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย และพยักหน้า เขาคิดแล้วว่าเว่ยเฟิงปิงจะต้องหงุดหงิด  ร่างบางเคาะนิ้วเรียวยาวลงกับโต๊ะไม้สัก และมองมาทางผู้เป็นลูกน้อง
   “ถ้าไม่อยากให้ฉันสูบบุหรี่ทำไมไม่บอกตรงๆ ล่ะ?”
   “ผมกลัวว่าคุณจะอารมณ์เสีย”
   “เอาไปซ่อนก็อารมณ์เสียเหมือนกันแหละ” เว่ยเฟิงปิงแย้งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ และเงยหน้าขึ้นมองลูกน้อง
   “ทำไมนายถึงไม่พูดกับฉันตรงๆ ล่ะ กลัวว่าฉันจะอารมณ์เสียมากขนาดนั้นเลยเหรอ คิดบ้างไหมว่าถ้านายไม่พูด ฉันก็จะอารมณ์เสียเหมือนกัน”
   จางซื่อเยี่ยนอึกอัก พอถูกดวงตาสีฟ้าใสนั้นจ้องในระยะประชิดแบบนี้ สมองพาลจะนึกอะไรไม่ออกเสียทุกที
   “ผะ..ผม...” เขากล่าวกระท่อนกระแท่น ด้วยไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงจะมาไม้ไหนกันแน่
   “ว่าไงล่ะ นายคิดว่าพูดหรือไม่พูดดีกว่ากัน” ร่างบางเอ่ยถามต่อ น้ำเสียงเหมือนว่าจะคุกคามมากขึ้น
   “ผม..ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็แค่อยากทำให้คุณสบายใจขึ้น” จางซื่อเยี่ยนโพล่งออกมา นัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นจับจ้องเขาอย่างคาดคั้น
   “ไอ้การเอาบุหรี่ไปซ่อนนี่ไม่เรียกว่าทำให้สบายใจหรอกนะ นายต้องการอะไรกันแน่?”
   “ก็ผมไม่อยากให้คุณสูบ” จางซื่อเยี่ยนตอบ เริ่มคิดว่าเขาต้องมาโดนกดดันเพียงเพราะเรื่องบุหรี่เท่านั้นหรือ คนอย่างเว่ยเฟิงปิงนี่เดาอารมณ์ไม่ถูกเลยจริงๆ
   “ทำไมถึงไม่อยากให้ฉันสูบ กลัวฉันเป็นมะเร็งตายรึไง?”
   “ครับ” อีกฝ่ายเอ่ยปากรับทันที  เว่ยเฟิงปิงมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
   “เป็นห่วงฉันเหรอ?”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า และคิดว่าเว่ยเฟิงปิงไม่เคยคิดเลยหรือว่าเขาเป็นห่วง  ตลอดมาคิดว่าเขากวนใจหรอกหรือ
   “ถ้าเป็นห่วงนักทำไมไม่บอกให้ฉันเลิกสูบ”
   “ก็คุณโมโห” จางซื่อเยี่ยนแย้ง แต่อีกฝ่ายสวนกลับทันที “ฉันไปโมโหนายเมื่อไหร?”
   จางซื่อเยี่ยนหุบปากทันที เขาพยายามจะไม่พูดออกไปว่า “ก็ตอนนี้ไงล่ะ”
   “ตกลงว่าฉันไม่เคยโมโหนาย แล้วทำไมนายถึงไม่ยอมพูด”
   “ก็ตอนนี้คุณกำลังโมโหผมอยู่ไงครับ” ในที่สุดจางซื่อเยี่ยนก็พูดออกไป เว่ยเฟิงปิงเถียงกลับทันที
   “ที่ฉันโมโหก็เพราะว่านายไม่ยอมพูดต่างหาก ทำไมนายถึงทำอะไรต่อมิอะไรลงไปโดยที่ไม่เคยบอกฉันเลยนะ ทำไมต้องปล่อยให้ฉันเดาเอาเองทุกที”
   ชายหนุ่มผมหางม้าอ้าปากค้าง  เขานึกไม่ออกว่าทำอะไรโดยที่ไม่ได้รายงานเว่ยเฟิงปิงไปเมื่อไหร่
   “ถ้าคุณจะหมายถึงเรื่องกระเช้าของคุณจินหยินล่ะก็........”
   “เอ้อ!!! นั่นแหละ ในที่สุดนายก็ยอมพูด” เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงอย่างผู้ชนะในทันที ความจริงเขาไม่ได้คิดจะให้จางซื่อเยี่ยนพูดถึงเรื่องนี้ แต่การหลุดออกมาแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว
   “นายยอมรับแล้วว่าได้ของมาจากพี่จินหยิน แล้วทำไมตอนกลางวันนายไม่บอกฉัน”
   “ก็ผมเห็นว่าไม่จำเป็น”
   “งั้นเหรอ?”
   เว่ยเฟิงปิงลากเสียงถาม ตวัดดวงตาขึ้นมาจ้องหน้าเขาอีกครั้ง  จางซื่อเยี่ยนหลบสายตาเจ้านายอย่างอึดอัด
   “แล้วนายไม่คิดจะถามอะไรฉันบ้างหรือไง?”
   ประโยคนี้ของเว่ยเฟิงปิงเล่นเอาจางซื่อเยี่ยนงงเป็นไก่ตาแตก ตะกี้เพิ่งไล้บี้เขาอยู่หยกๆ ตอนนี้จะให้เขาถามอะไรอีก  จางซื่อเยี่ยนได้ยินเสียงตัวเองครางอย่างจนปัญญา
   “คุณ..คุณจะเอายังไงกับผมกันแน่..” ในที่สุดชายหนุ่มก็ถามออกไป  เว่ยเฟิงปิงมองเขาอย่างผิดหวังนิดหน่อย
   “ที่จะถามมีแค่นี้?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า เขาอยากรู้จริงๆ ว่าเว่ยเฟิงปิงคิดจะเอายังไงกับเขากันแน่  อีกฝ่ายขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดทันที
   “นี่นายไม่คิดจะถามเลยหรือว่า ทำไมฉันถึงอัดบุหรี่เข้าไปขนาดนั้น ถึงขนาดต้องเอาไปซ่อนแต่ไม่คิดจะถามซักคำเนี่ยนะ”
   “ก็คุณโมโห..” จางซื่อเยี่ยนเถียงเสียงเบา แต่ก็ยังมิวายโดนตอกกลับมาด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราดกว่า
   “ฉันโมโหที่นายไม่ถามนี่แหละ!!”
   “โอเค งั้นคุณสูบทำไม?”   จางซื่อเยี่ยนถามออกไปในที่สุด เขาเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ออกจริงๆ เว่ยเฟิงปิงก้มหน้าลงเล็กน้อย เป็นครั้งแรกตั้งแต่จางซื่อเยี่ยนก้าวเข้ามาที่เว่ยเฟิงปิงหลบตาเขา
   “ฉันสูบเพราะนาย” ร่างบางตอบเสียงค่อย
   “ผม?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยออกไปอย่างประหลาดใจ  นั่นกลายเป็นทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดขึ้นอีก
   “เออ เพราะนายไม่ยอมบอกฉันเรื่องกระเช้าผลไม้ ทำไมนายถึงโกหกฉัน กระเช้านั่นมันมีอะไรหรือไง”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปพักหนึ่ง กระเช้านั่นมีอะไรน่ะรึ กระเช้านั่นมีเรื่องเครื่องดักฟังที่อยู่ในกระเป๋าเขาไงล่ะ  ชายหนุ่มตัดสินใจว่าเขาไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า
   “ไม่มีครับ” เขาตอบ และถูกสวนกลับมาอีกครั้ง
   “ไม่มีแล้วทำไมนายไม่บอกฉัน ทำไมต้องโกหก”
   “ก็ผมเห็นว่ามันไม่จำเป็น”
   “ง้านเหรอ” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว ดูเหมือนจะโมโหสุดๆ  จางซื่อเยี่ยนนึกไม่ออกว่าเขาทำผิดพลาดไปตรงไหน ร่างแกร่งเผลอยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เขาจนปัญญาจะรับมือกับเจ้านายคนนี้
   “ถ้าไม่มีอะไรจะพูดหรือจะถามฉันมากกว่านี้ล่ะก็ ออกไปเลย” เว่ยเฟิงปิงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด และชี้มือออกไปทางประตู จางซื่อเยี่ยนมีท่าทีเงอะงะขึ้นมาทันที
   “ดะ เดี๋ยวสิครับ จู่ๆ ก็มาไล่กันแบบนี้...”
   “ถ้านายไม่พูด ไม่ถาม ฉันก็ไม่มีธุระอะไรกับนาย ออกไปซะ” เว่ยเฟิงปิงเน้นเสียง เหมือนกับว่าอยากให้ออกไปจริงๆ  จางซื่อเยี่ยนมองหน้าเจ้านายเขาแล้วทำตาปริบๆ
   “แล้วผมจะนอนที่ไหนล่ะ?” เขาเอ่ย และแทบจะหลับตาเพราะเสียงตะคอกที่ตอบกลับมา
   “เรื่องของนายสิ ไสหัวไปได้แล้ว!!”
   ผู้เป็นลูกน้องกลืนน้ำลายอย่างขมขื่น ก่อนจะหันหลังกลับออกไปอย่างเงียบๆ  เว่ยเฟิงปิงปิดประตูตามหลังดังปัง และสบถออกมาอย่างขัดใจ
   “เจ้าโง่เอ๊ย!!”
--------------------------------------
   เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น หลังจากที่ราฟาแอลทานอาหารเช้าเสร็จไม่นาน  เขาเดินออกมาจากครัว รู้สึกแปลกใจที่ทำไมคลาวเดียถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์ และนึกได้ว่าเธอขึ้นไปหาฟ่งที่ห้องชั้นบน
   ราฟาแอลยกหูโทรศัพท์ขึ้น และกรอกเสียงลงไป “ฮัลโหล”
   เสียงอู้อี้ดังมาตามสาย “ไงราฟี่ นี่ฉันเอง ชานดอร์”
   “อ้อ ชานดอร์” ราฟาแอลร้อง นึกถึงร้านเหล้าตรงหัวมุมถนนทันที
   “ตื่นเช้าจัง มีอะไรล่ะ” เขาเอ่ย พลางมองดูนาฬิกา มันเพิ่งบอกเวลาสิบโมงเศษ ซึ่งโดยปกติแล้วชานดอร์น่าจะยังไม่ตื่น
   “เด็กนายมาเมาแอ๋อยู่ร้านฉัน”
   “รูฟัสน่ะรึ?” ราฟาแอลถามสวนไป เขารู้สึกแปลกใจมากที่ได้ยินคำว่าเมา
   “ตกใจที่ได้ยินว่าเจ้านั่นเมาเป็นกับเขาด้วยล่ะสิ”
   “ก็นิดหน่อย  ไปทำอีท่าไหนล่ะ” ราฟาแอลกล่าว พลางนึกไม่ออกว่ารูฟัสเมาได้อย่างไร
   “ก็ซัดเตกีล่าเพียวๆ ไปเกือบขวด ฉันเทให้หมอนั่นเองแหละ ก็เห็นว่าอยากจะหลับ”
   “เฮ้ย นี่มันคงไม่ได้คิดอะไรบ้าๆ หรอกนะ” หนุ่มผมบลอนด์ร้อง เริ่มคิดแล้วว่าบางทีรูฟัสอาจจะเผลอไปทำอะไรบ้าๆ ได้
   “ไม่ขนาดนั้นหรอก ดูเหมือนแค่ยังทำใจไม่ได้ หนุ่มที่ไหนหักอกหมอนั่นได้นะ ฉันล่ะอยากเห็นจริงๆ”
   “เจ้านั่นเล่าให้นายฟังไปเยอะล่ะสิ หนุ่มที่ว่าอยู่ที่บ้านฉันนี่แหละ”
   “อ้อ!! มิน่าล่ะ หมอนั่นถึงได้หนีเตลิดออกมา เด็กที่ว่าเป็นญาตินายหรือไง”
   “ผิดไปห่างไกลเลยล่ะ” ราฟาแอลกรอกเสียงตอบ  อีกฝั่งร้องอย่างแปลกใจ “ไม่ใช่งั้นรึ งั้นเป็นใครล่ะ?”
   “เป็นพวกต่างชาติน่ะ”
   “โห.... เอเชียล่ะสิ?” ชานดอร์เดา  นั่นทำให้ราฟาแอลเผลอเลิกคิ้ว
   “ใช่ นายรู้ได้ไง หมอนั่นบอกรึ?”
   “เดาเอาน่ะ ก็เห็นไม่เคยสนใจเด็กแถวนี้สักคน อาจจะชอบแบบเอเชียก็ได้มั้ง กำลังนิยมกันนี่”
   “อืม..ฟังดูน่าขยะแขยงพิลึก” ราฟาแอลกล่าว เขาได้ยินเสียงชานดอร์หัวเราะผ่านสายโทรศัพท์
   “แล้วจะเอาไงดี ให้ฉันเกลี้ยกล่อมให้กลับไปไหม หรือว่าจะให้พักตัวไว้ที่นี่ก่อน”
   “เอาไว้นั่นก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้เด็กที่ว่าคงจะกลับประเทศแล้วล่ะ”
   “เหรอ  ไวจัง แล้วหอบกันมาได้ไงล่ะนั่น”
   “เรื่องมันยาวน่าดู ไว้ถ้าเจ้ารูฟัสตื่นแล้วนึกอยากเล่าขึ้นมานายคงได้รู้เองแหละ”
   “ดูลึกลับจังเลยน๊า” ชานดอร์เอ่ยเสียงเย้า พลางพูดต่อ “งั้นฉันรับดูแลหมอนี่สักพักหนึ่งแล้วกัน”
   “อืม ฝากด้วยนะ” ราฟาแอลกล่าว
   “ไม่เป็นไรหรอก นี่ถ้าแฟนคลับมาเห็นเจ้านี่ตอนนี้นะ ร้านฉันคงแตก ไม่เคยเห็นเจ้ารูฟัสอาการหนักแบบนี้เลยจริงๆ”
   “ก็เที่ยวนี้เป็นเอามากนี่”    ชายหนุ่มผมบลอนด์ว่า
   “งั้นแค่นี้แล้วกัน ไว้มีอะไรแปลกๆ ฉันจะโทรไปเล่าอีก บาย”
   “บาย” ราฟาแอลกล่าว และวางโทรศัพท์ ในจังหวะที่คลาวเดียเดินเข้ามาพอดี
   “ใครโทรมาหรือ?” หล่อนถาม
   “ชานดอร์น่ะ” ราฟาแอลตอบพลางยักไหล่ “เห็นว่ารูฟัสไปเมาแอ๋อยู่ที่นั่น”
   “รูฟัสน่ะน” คลาวเดียพูดอย่างไม่เชื่อ
   “แปลกใช่ไหมล่ะ คนอย่างหมอนั่นน่ะนะเมา ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ”
   “มันไม่น่าเชื่อมาตั้งแต่ที่เขาไปตกหลุมรักแล้วล่ะ” คลาวเดียเอ่ย
   “แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ?” หล่อนถาม ราฟาแอลส่ายหน้า
   “ไม่รู้เหมือนกัน ผมฝากให้ชานดอร์ดูแลไปก่อน ไว้ฟ่งกลับประเทศแล้วค่อยว่ากันอีกที   พรุ่งนี้เองนี่”
   “อืม” คลาวเดียส่งเสียงในลำคอ เหมือนว่าอึดอัดอะไรบางอย่าง หล่อนมีความรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก ความจริงแล้วมันไม่น่าจะแย่ขนาดนี้ แต่จะแก้ไขอะไรได้อีกล่ะ
   “พรุ่งนี้จะไปส่งเขากี่โมงล่ะ?” หล่อนถามแฟนหนุ่ม ราฟาแอลยักไหล่
   “ก็ราวๆ เจ็ดแปดโมงมั้ง ทำไมล่ะ คุณจะไปส่งแทนผมรึ?”
   “อืม ฉันไปส่งให้ก็ได้”
   ชายหนุ่มยิ้ม และหอมแก้มแฟนสาวเบาๆ “แหม น่ารักจังเลย งั้นฝากหน่อยแล้วกัน”
   คลาวเดียพยักหน้าอย่างหน่ายๆ    “แต่ทำไมฉันไม่รู้สึกว่าคุณน่ารักสักนิดเลยนะ” หล่อนกล่าว ราฟาแอลทำหน้ายุ่ง
   “ผมว่าผมทำตัวน่ารักแล้วนะ”
   คลาวเดียถอนหายใจยาว และเดินออกไปในทันที  ทิ้งให้ราฟาแอลยืนเกาหัวแกร่กๆ อยู่คนเดียว
---------------------------------------
   รูฟัสหรี่ตาเมื่อพบกับแสงแดดในยามเช้า เขาพยายามลืมตาอย่างยากลำบาก และพบว่าหัวสมองหนักอึ้ง
   สงสัยจะเพราะพิษของเตกีล่าแน่ๆ
   ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ตัว ทำความเข้าใจกับสภาพที่อยู่ของตัวเอง ที่นี่คงเป็นห้องใดห้องหนึ่งในเกสท์เฮาท์ของชานดอร์แน่ๆ  รูฟัสคิดว่าควรจะขอบคุณชานดอร์เสียหน่อย เมื่อวานดูเหมือนเขาจะก่อกวนไว้เยอะทีเดียว
   ร่างแกร่งยันกายลุกขึ้นจากที่นอน เดินโซเซไปหยิบขวดน้ำมาเปิดดื่ม ก่อนจะเดินไปยังห้องน้ำ และสำรอกเมือกเหนียวออกมา ถึงเพิ่งพบว่าตัวเองปวดท้องพ่วงด้วย
   โรคเก่านี่อีกแล้ว
   รูฟัสคิด ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหากระเป๋าสตางค์ ก่อนจะเปิดประตูห้องและเดินออกไป

   “ฮ้าววว อ้าว?” ชานดอร์แทบจะลืมว่าตัวเองกำลังหาวอยู่เมื่อเห็นหนุ่มนัยน์ตาสองสีเดินหน้ามึนกลับเข้ามาในเกสท์เฮาส์  รูฟัสมองเขาอย่างแปลกใจ
   “ทำไมนายตื่นเช้าจัง” เขาเอ่ยถาม และเห็นชานดอร์ทำหน้าประหลาด
   “เช้าอะไรกันล่ะ นี่บ่ายแล้ว ตกลงนายเลิกหิ้วขวดเหล้า หันมาหิ้วขวดยาแทนหรือไง”
   รูฟัสมองหน้าชานดอร์  และมองขวดยาสีขาวในมือ
   “โรคเดิมๆ น่ะ” เขากล่าว และเดินเลี่ยงไป
   “ระวังเหอะ กินยาโรคกระเพาะมากๆ สมองจะเสื่อม”
   “ผมไม่ได้กินบ่อยหรอกน่า” ชายหนุ่มแย้ง และชะงักเท้าลง
   “เออ....เมื่อวาน ขอบคุณ แล้วก็ขอโทษด้วยนะ”
   ชานดอร์ยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ “ถ้ารู้สึกผิดนักล่ะก็ มาเป็นเด็กเสิร์ฟให้ฉันสักเดือนเป็นไง”
   “เอางั้นก็ได้” รูฟัสกล่าว ชานดอร์หันมาอย่างไม่เชื่อ
   “พูดจริงรึ?”
   “จริง” ชายหนุ่มว่า เขาหยิบขวดยาสีขาวขึ้นมาเปิดและดื่มมันลงไปอึกหนึ่ง “แต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้หรอกนะ”
   “โธ่” อีกฝ่ายร้องครางอย่างผิดหวัง  ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
   “แล้วเป็นไงล่ะ เมื่อคืนฝันดีไหม?”
   รูฟัสนิ่งเงียบไปพักใหญ่
   ฝันรึ?  เมื่อคืนเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฝันอะไร
   ชายหนุ่มถอนหายใจยืดยาว
   “ผมมันบ้าไปเองแหละ” เขาพึมพำ  จนอีกฝ่ายต้องถาม “ว่าไงนะ?”
   “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” รูฟัสโบกมือวูบ
   “ผมไปนอนต่อล่ะ ปวดหัวชะมัด  ไว้คืนนี้อาจจะไปช่วยที่ร้าน”
   “โอ้ ข่าวดีเลยนะนั่น แต่ถ้ายังอยู่ในสภาพนี้ล่ะก็ไม่ต้องก็ได้ ลูกค้าฉันคงหายหมด”
   รูฟัสหัวเราะหึๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าเกสท์เฮาส์ไป
   
   ร่างแกร่งล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้งพร้อมกับขวดยา และระบายลมหายใจออกมา ทั้งหัวและกระเพาะยังคงปวดตุบๆ  บอกไม่ถูกว่าอะไรปวดมากกว่ากัน
   รูฟัสหัวเราะ มันทำให้เขานึกถึงครั้งแรกที่เขามีอะไรกับฟ่ง หลังจากนั้นเขาก็ต้องออกไปหิ้วยาแก้โรคกระเพาะมาเหมือนกันไม่ใช่หรือ
   เด็กนั่นเข้ามาเพื่อทรมานเขาหรือไงนะ
   รูฟัสหลับตาปล่อยให้หยดน้ำใสๆ ไหลซึมออกมา
   ไม่มีความฝันแสนหวานที่เขาวาดหวังหรอก ที่มีอยู่เป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรื่องจริงที่กลายเป็นอดีต ความหอมหวานที่เป็นเพียงความทรงจำ
   และปัจจุบันที่แสนเจ็บปวดเท่านั้น
   เสียงถอนหายใจยืดยาวดังขึ้นอีกครั้ง
   เขาจะผ่านช่วงเวลาอันปวดร้าวนี่ไปได้อย่างไรนะ
----------------------------------

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: My neighbor is a spy บทที่31-26/05/2554
«ตอบ #77 เมื่อ28-05-2011 12:15:50 »

เข้ามารอนะครับ
 :L1:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy บทที่31-26/05/2554
«ตอบ #78 เมื่อ04-06-2011 09:19:26 »

บทที่32 ลาจาก
   ฟ่งพลิกแผ่นกระดาษพริ๊นต์สีขาวในมือที่คลาวเดียหยิบมาให้ ก่อนจะพับมันและสอดเข้าไปในพาสปอร์ต พรุ่งนี้แล้วสินะที่เขาจะได้กลับบ้าน ชายหนุ่มถอนหายใจ เขากำลังจะไปพ้นจากเรื่องยุ่งๆ พวกนี้ กลับไปใช้ชีวิตสงบสุขเหมือนอย่างที่ผ่านมา
   เขาควรจะรู้สึกดีใจมากกว่านี้สิ
   ฟ่งนึกถึงห้องพักของเขา ป่านนี้ฝุ่นคงหนาเป็นนิ้วแล้ว ชายหนุ่มจำไม่ได้แล้วว่าเขาจากที่นั่นมานานเท่าไหร่ อาจจะสักสองหรือสามอาทิตย์ ของที่แช่ไว้ในตู้เย็นคงเสียหมดแล้ว หรือไม่ก็คงแข็งเป็นก้อนหินไปเลย กลับไปคงต้องทำความสะอาดยกใหญ่ จะเรียกใครมาช่วยดีนะ เล้งก็คงติดเรียน เจ๊ผิงก็ทำงาน คงต้องทำคนเดียวนั่นแหละ แล้วเขาก็นึกถึงคนข้างห้อง
   รูฟัสจะกลับไปที่นั่นด้วยรึเปล่า?
   ชายหนุ่มหลับตา ทำไมเขาจะต้องคิดถึงผู้ชายคนนั้นด้วย รูฟัสอาจจะไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้วก็ได้ มันไม่ใช่ที่ของเขาเสียหน่อย เขาก็แค่ไปทำงาน ไปชั่วคราว ที่พักชั่วคราวก็แค่นั้น แต่ถ้ารูฟัสกลับไปล่ะ เขาจะทำหน้ายังไง จะยังคุยกันอยู่ไหม จะยังเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า จะลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ไหม?
   ฟ่งหัวเราะหึๆ ในลำคออย่างเศร้าๆ  ทำไมเขาถึงได้อาลัยอาวรณ์ผู้ชายคนนั้นนัก  ความสัมพันธ์ที่เขามีกับรูฟัสน่าจะเป็นแค่เรื่องผิดพลาดเรื่องหนึ่งในชีวิตของเขา
   ใช่แล้วล่ะ มันเป็นแค่ความผิดพลาด ผิดที่เขาอ่อนแอเกินไป พลาดที่เขาไม่เข้มแข็งพอ
   ร่างบางขบกรามอย่างปวดร้าว ถ้าเขาเข้มแข็งกว่านั้นสักนิด เข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธความหวังดีของผู้ชายคนนั้นแต่แรก เรื่องพวกนี้คงไม่เกิดขึ้น ชีวิตของเขาคงจะสงบสุขกว่านี้  เขาคงจะได้อยู่ตัวคนเดียวไปเรื่อยๆ
   ตอนนี้เขาก็อยู่คนเดียวแล้วไม่ใช่หรือไง...
   จู่ๆ น้ำตาก็หยดลงมาอย่างไม่รู้ตัว ฟ่งยกมือขึ้นเช็ดมัน แต่ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งหยาดน้ำตาที่เริ่มจะไหลทะลักออกมาได้
   เขาไม่อาจจะเข้มแข็งอย่างหวังได้เลย....
---------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกอยากจะร้องไห้ เขากำลังเดินอย่างไร้จุดมุ่งหมายอย่างเดียวดายอยู่บนทางเดินยาวภายในตึก  เว่ยเฟิงปิงไล่เขาออกจากห้องด้วยเหตุผลที่เขาไม่อาจจะเข้าใจได้  ชายหนุ่มไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโมโหเขาเรื่องบุหรี่หรือเรื่องกระเช้ากันแน่ แต่คิดๆ แล้ว เว่ยเฟิงปิงอาจจะโมโหทั้งสองเรื่อง ชายหนุ่มถอนหายใจยาว มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักเรื่อง หรือถ้าใช่อาจจะสักนิดหนึ่งในเรื่องกระเช้า ก็เขาไม่อยากบอกว่าข้างในเขียนเรื่องเครื่องดักฟังนี่ นั่นอาจจะยิ่งทำให้เว่ยเฟิงปิงโมโหก็ได้
   จางซื่อเยี่ยนคอตก เขานึกไม่ออกว่าจะเอาใจเจ้านายคนนี้อย่างไร แต่ตอนนี้เขาควรจะคิดเรื่องที่ซุกหัวนอนก่อน ห้องเก่าที่เขาเคยอยู่ เว่ยเฟิงปิงก็ย้ายคนอื่นมาอยู่แทนแล้ว  ครั้นจะออกไปนอนข้างนอกก็ไม่รู้ว่าจะโดนตามตัวเมื่อไหร่ เกิดถูกโมโหอีกคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ  เขาคงต้องไปขอนอนห้องใครสักคน
---------------------------------------------
   รูฟัสลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และยังคงรู้สึกปวดหัวอยู่หน่อยๆ แต่โรคกระเพาะดูเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว เขายันกายลุกขึ้น มองดูนาฬิกาข้อมือ
   สี่โมงเย็นแล้วหรือนี่..
   คงต้องขอบคุณอาการเมาค้างที่ทำให้เขาหลับลืมโลกไปได้หลายชั่วโมง อย่างน้อยตอนหลับก็ยังไม่เจ็บปวดเท่าตอนตื่น
   ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ  เขามองดูตัวเองในกระจก และพาลรู้สึกหงุดหงิด
   ผู้ชายผมสีดำที่ดูไม่ค่อยจะเป็นทรงนักเนื่องจากนอนมากไป นัยน์ตาเบลอๆ สองสีนั่น ดูแล้วน่าขนลุกสิ้นดี  เหมือนกับตาไม่เท่ากันงั้นแหละ หนวดเคราก็เริ่มจะขึ้นมาจนเริ่มจะดูรกแล้ว  สารรูปแบบนี้มันน่ามองตรงไหนกัน
   รูฟัสหยิบมีดโกนหนวดขึ้นมาและเริ่มจัดการกับใบหน้าของตนเอง เขาเผลอทำมันบาดคางตัวเองในช่วงก่อนจะโกนเสร็จ ชายหนุ่มจิ๊ปากอย่างขัดใจเล็กน้อย ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างมีดและเลือดที่คางออก รูฟัสมองหน้าตัวเองในกระจกอีกครั้ง แผลที่คางสงสัยจะต้องติดปลาสเตอร์ เขามองดูตาตัวเอง และคิดว่าน่าจะหยิบคอนแทกต์เลนส์สีออกมาจากบ้านด้วย
   สงสัยจริงๆ ว่าจะมีใครไม่สังเกตเห็นตาประหลาดแบบนี้บ้าง
   เห็นแล้วจะรู้สึกแบบไหนนะ? จะลืมลงรึเปล่า?
   รูฟัสรู้ว่าคนที่เขารู้สึกและสัมผัสส่วนใหญ่ไม่เคยลืมตาคู่นี้ แล้วคนคนนั้นล่ะ
   ฟ่งเคยจดจำอะไรเกี่ยวกับตัวเขาบ้างรึเปล่า? ในความทรงจำของฟ่งจะมีเขาอยู่บ้างไหม?
   ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นนั้น เคยมีเงาของเขาสะท้อนอยู่บ้างรึเปล่านะ
-------------------------------------
   “อ้าว มาจริงรึนี่” ชานดอร์เอ่ยทักทันทีที่เห็นรูฟัสเปิดประตูเข้ามาในบาร์ รูฟัสกวาดตาดูรอบๆ เขาเห็นว่าชานดอร์กำลังก้มๆ เงยๆ เตรียมของอยู่ที่เคาน์เตอร์เหมือนเช่นทุกวัน
   “แหม แต่งซะหล่อเชียวนะ ทำใจได้แล้วหรือไง?” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยแหย่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นผู้มาเยือน รูฟัสส่ายหน้า
   “แล้วคิดจะประชดอะไรอีกล่ะ คราวนี้จะทำตัวเป็นพวกโฮสหรือไง?”
   ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจทันที “ผมไม่ทำอะไรตกต่ำแบบนั้นหรอก”
   “นั่นสินะ ลืมไป  ถ้านายทำอะไรแบบนั้น พวกสาวๆ คงดีใจกันใหญ่”
   รูฟัสทำหน้าบูด “ผมไม่ได้น่าควงขนาดนั้นหรอก”
   “เรอะ ฉันเห็นมีแต่คนอยากจะจี๋จ๋ากับนาย”
   “แล้วไงล่ะ” รูฟัสกล่าว พลางยักไหล่อย่างไม่แยแส
   “อ้าว ก็เห็นเคยควงอยู่หลายคนนี่ พวกนั้นไม่เคยถูกใจบ้างเลยรึ?”
   ผู้ถูกถามถอนหายใจ ยกมือขึ้นกดศีรษะที่ยังปวดอยู่ “ไอ้ถูกใจก็ใช่หรอก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนี่ แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป”
   “เรอะ แล้วตอนนี้ก็ไม่ใช่แค่ผ่านมาผ่านไปหรือไง”
   รูฟัสหลับตาอย่างเสียมิได้ เขาเบือนหน้าไปทางอื่น
   “ที่ว่าผ่านไปน่ะ อาจจะเป็นตัวผมเองก็ได้”
   “อ้อ...เด็กนั่นโชกโชนน่าดูเลยล่ะสิ”
   รูฟัสส่ายหน้าทันที เขาหันกลับมามองหน้าชานดอร์อย่างไม่พอใจนิดหน่อย
   “เขาเรียบร้อยมากเลยล่ะ  ความจริงผมเป็นครั้งแรกของเขาด้วยซ้ำ”
   “โอ๊ย ตายล่ะ!!” ชานดอร์ร้องขึ้น รูฟัสย่นคิ้วอย่างรำคาญ
   “นี่นายประทับใจในครั้งแรกของคนอื่นขนาดนั้นเลยหรือไง”
   “ผมดูเป็นคนแบบนั้นรึ?” อีกฝ่ายถามย้อน  และเดินมานั่งปุลงบนเก้าอี้เคาน์เตอร์  ชานดอร์ส่ายศีรษะทันที ดูยังไงรูฟัสก็ไม่ใช่คนที่จะมีความรู้สึกอ่อนไหวแบบนั้นแน่ๆ
   “มีอะไรให้ทำบ้างล่ะ ถ้าไม่มีงานล่ะก็ผมจะไปที่อื่น” ชายหนุ่มกล่าว ชานดอร์รีบหันหน้ามาทันที
   “มีเพียบ นี่กะโก่งค่าตัวกันหรือไง  ไม่มีร้านไหนทำงานสบายเท่าร้านฉันหรอกนะ ที่นอนก็มีแถมให้”
   “รู้แล้วล่ะน่า” รูฟัสตอบอย่างรำคาญ
   “ผมไม่ได้อยากได้ค่าจ้าง จะให้ผมทำอะไรบ้างล่ะ”
   ชานดอร์มองไปรอบๆ ร้าน “ก่อนอื่น เธอไปกวาดพื้น แล้วก็ยกเก้าอี้ลงมาตั้งให้หมดเลยนะ”
-------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงพลิกตัวอยู่บนเตียงอย่างหงุดหงิด เขาโยนหมอนของจางซื่อเยี่ยนลงจากเตียงในตอนที่พลิกตัวครั้งล่าสุด มันทำให้เขาหงุดหงิดสิ้นดี
   เจ้าบ้านั่นไม่ยอมโผล่หัวกลับมาจริงๆ ด้วย
   ชายหนุ่มมองดูนาฬิกา นี่ก็ตีหนึ่งเข้าไปแล้ว ความจริงเขาเองที่เป็นคนไล่จางซื่อเยี่ยนออกไป  แถมยังเป็นการไล่อย่างไร้เหตุผลเสียด้วย  แต่ทั้งๆ ที่ไล่แบบไร้เหตุผลขนาดนั้น หมอนั่นยังออกไปได้หน้าตาเฉย ไม่เถียงอะไรสักคำ แถมยังทำเหมือนกับว่าจะไม่กลับมาด้วยซ้ำ
   มันน่าหงุดหงิดจริงๆ
   เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าจางซื่อเยี่ยนคิดอะไรอยู่ เจ้านั่นทำตามคำสั่งเขาเหมือนกับหุ่นยนต์ ไม่เคยหือไม่เคยอือ ไม่เคยแข็งข้ออะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าเคร่งครัดในหน้าที่มาก หรือว่าบ้า หรือว่าโง่กันแน่  หรือบางทีอาจจะรวมกันทั้งสามอย่าง
   ร่างบางทุบลงไปที่หมอน
   โธ่เว่ย!! นี่ตกลงจะหายหัวไปตลอดคืนเลยใช่มั๊ย!!
   นิ้วเรียวขย้ำหมอนอย่างอารมณ์เสีย เจ้านั่นรู้เรื่องเครื่องดักฟังแล้วแท้ๆ แถมรู้แล้วด้วยว่าเขารู้เรื่องกระเช้า แล้วทำไมถึงไม่ถามอะไรสักอย่าง ไม่คิดจะถามเลยเรอะว่าใส่เครื่องดักฟังลงไปทำไม หรือว่ารู้อยู่แล้ว แต่หน้าแบบนั้นจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาคิดอะไร
   ถ้าเจ้าบ้านั่นเป็นใบ้คงจะไม่น่าหงุดหงิดแบบนี้หรอก!!
   เว่ยเฟิงปิงพลิกตัวอีกครั้ง และคว้าหมอนข้างมากอด ทั้งบุหรี่ทั้งเหล้าที่เก็บเอาไว้ จางซื่อเยี่ยนเอาไปซ่อนจนหมด ถ้าไม่อยากให้สูบก็บอกสิ  ทำไมต้องเอาไปซ่อน พอถามแล้วก็อ้ำๆ อึ้งๆ  ถ้าคิดจะหวังดีก็น่าจะบอกกันบ้าง ตกลงว่าหมอนั่นหวังดีกับเขาจริงๆ หรือว่าทำไปเพราะสัญชาติญาณ หรือทำไปเพราะอยากจะกวนประสาทกันแน่นะ
   ร่างบางขยับตัวอย่างกระสับกระส่าย ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาคงนอนไม่หลับแน่ จู่ๆ เว่ยเฟิงปิงก็ผุดลุกขึ้น เดินไปหยิบโทรศัพท์
   มันน่าหงุดหงิดที่สุดเลย
-------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งตื่นจากภวังค์เพราะเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่ดังขึ้น เขารู้สึกตกใจที่เห็นว่ามันเป็นเบอร์ส่วนตัวของเจ้านาย ไม่บ่อยนักที่เว่ยเฟิงปิงจะใช้โทรศัพท์ส่วนตัวเข้ามาหาเขา หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนที่เขาไม่อยู่ ชายหนุ่มกดรับโทรศัพท์ และต้องรีบถอยมันออกมาให้ห่างหูทันที
   “เจ้าบ้าซื่อเยี่ยน ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนเนี่ย!!” เสียงแว้ดทำเอาเขาปรับอารมณ์แทบไม่ทัน ชายหนุ่มละล่ำละลักกรอกเสียงลงไป
   “มีอะไรหรือครับคุณชาย” เขากล่าว  พลางคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ หรือเว่ยเฟิงปิงแค่โทรมาอาละวาดเท่านั้นนะ
   “ฉันถามว่านายอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ให้นายมาถามว่าเกิดอะไร”
   “ครับๆ” ชายหนุ่มตอบอย่างลนลาน “ผมอยู่ที่ห้องอาเง็ก”
   “อ้อ” อีกฝ่ายลากเสียงยาวจนต้องนึกหวาดว่าตอบอะไรผิดไปอีกหรือเปล่า”
   “ห้องอาเง็กน่านอนกว่าห้องฉันงั้นสิ งั้นเชิญนอนไปเลย”
   “ดะ เดี๋ยวสิครับ” จางซื่อเยี่ยนรีบกรอกเสียงลงไป ด้วยกลัวว่าเว่ยเฟิงปิงจะตัดสายไปก่อน
   “ทำไม?” อีกฝ่ายกรอกเสียงกลับมา
   “ก็คุณไล่ผมออกมาเอง”
   “เออ ฉันจำได้  ถ้าอยากนอนที่นั่นก็นอนไปเลย แค่นี้ล่ะ” ผู้เป็นเจ้านายกล่าว และวางสายไป  จางซื่อเยี่ยนกะพริบตาอย่างงงๆ นี่ตกลงเว่ยเฟิงปิงโทรมาเพื่อจะพูดแค่นี้หรือนี่ เขาวางโทรศัพท์อย่างสลด  เสียงงึมงำของอาเง็กที่นอนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องดังขึ้น
   “คุณชายโทรมาหรือพี่?”
   “อืม” จางซื่อเยี่ยนตอบในคอ นึกไม่ออกว่าเขาไปทำอะไรให้เว่ยเฟิงปิงไม่พอใจอีก ก็ออกมาอย่างที่ไล่ แล้วก็ไม่ได้ไปทำอะไรต่อเลยนี่นา
   “พี่จะออกไปเลยรึเปล่า?” อาเง็กถาม จางซื่อเยี่ยนมีสีหน้างุนงง
   “ออกไปไหน?”
   “อ่าว ไม่ใช่ว่าคุณชายโทรตามเหรอ?”
   จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า เขาไม่อยากบอกว่าเว่ยเฟิงปิงโทรมาด่าต่างหาก
   “อืม...ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่ไปขัดใจอะไรคุณชายรึเปล่า แต่คุณชายน่าจะเหงานะ ที่ให้พี่ไปอยู่ด้วยอาจจะเพราะเหงามากๆ ก็ได้”
   “คุณชายน่ะนะ” จางซื่อเยี่ยนถามออกไปอย่างไม่เชื่อ อาเง็กหาวหวอดก่อนจะพูดต่อ
   “นี่พี่ไม่รู้สึกหรือไง คุณชายน่ะอยู่คนเดียวตลอดเลยนะ  ไอ้ที่ดูจะทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา ก็คงเป็นตอนที่มีตัวประกันคนนั้นอยู่ล่ะมั้ง เหมือนว่าคุณชายจะชอบเขา”
   จางซื่อเยี่ยนจะงักไปนิดหน่อย เว่ยเฟิงปิงชอบฟ่งงั้นรึ?  จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดของฟ่ง  เจ้านั่นก็เคยบอกเหมือนกันว่าเว่ยเฟิงปิงเหงา
   “ฉันเป็นแค่ลูกน้อง จะไปทำอะไรได้” ชายหนุ่มกล่าว  อาเง็กบิดขี้เกียจ
   “จะลูกน้องหรืออะไรผมว่าคุณชายคงไม่ว่าหรอก คุณชายก็แค่อยากจะมีเพื่อนแค่นั้นแหละมั้ง ถ้าพี่ไม่กลับไปห้องคุณชายล่ะก็ ช่วยปิดเสียงโทรศัพท์ที ผมกลัวว่าจะมีสายต่อลงมาอีก”
   “อืมๆ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว พลางกดปิดเสียงโทรศัพท์ ขณะที่อาเง็กซุกหน้าลงกับหมอนและหลับต่อ
---------------------------------------
   ในขณะที่กำลังรู้สึกเคลิ้มๆ เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น เว่ยเฟิงปิงลืมตาอย่างงัวเงีย พลางคิดว่าไอ้บ้าที่ไหนมาเคาะประตูป่านนี้  เขาซุกหัวลงไปบนหมอนต่อ ไม่ว่าใครที่มาเคาะ ถ้าเคาะอีกรอบมันต้องเจอดีแน่ โชคดีที่เสียงเคาะดังแค่นั้น ตามมาด้วยเสียงเปิดประตู  เว่ยเฟิงปิงขยับตัว เขารู้แล้วว่าใครมา
   จางซื่อเยี่ยนค่อยๆ แง้มประตูเข้ามาในห้อง และจริงดังคาด เว่ยเฟิงปิงนอนแล้ว  เขาปิดประตู มองไปที่เตียงและเห็นหมอนร่วงอยู่บนพื้น ร่างแกร่งถอนหายใจ
   นี่เขากลับมาทำไมเนี่ย
   จางซื่อเยี่ยนก้าวเท้าเข้าไปข้างเตียงอย่างเงียบๆ หยิบหมอนขึ้นมา และวางมันลงไปบนโต๊ะ ดูเหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงจะหลับสนิท เขามองดูใบหน้าเรียวยาวนั้น พลางคิดว่าถ้าไม่ใช่คนที่ตื่นมาอาละวาดเมื่อครู่นี้ก็คงน่ารักทีเดียว
   จางซื่อเยี่ยนมองไปรอบๆ ห้อง เว่ยเฟิงปิงนอนขวางเตียงเต็มที่ ครั้นจะกลับไปที่ห้องอาเง็กก็กระไรอยู่ ขณะที่กำลังยืนคิดว่าจะไปนอนตรงมุมไหนดี เสียงของเว่ยเฟิงปิงก็ดังขึ้น
   “ทำไม หาที่นอนไม่ได้หรือไง”
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้ง หันหน้ากลับมาและยิ้มแห้งๆ เขาคิดผิดไปถนัดว่าเจ้านายของเขาหลับไปแล้ว
   “ผมว่าจะไปนอนที่หน้าตู้...”
   “เกะกะน่า” เว่ยเฟิงปิงกล่าวสวน และพูดต่อ “เตียงมีนอนไม่เป็นหรือไง”
   จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง มองดูแผ่นหลังของคนพูดที่นอนหันหลังให้อยู่บนเตียง พลางกลืนน้ำลาย
   “แต่ว่า.....คุณนอนอยู่”
   คราวนี้เว่ยเฟิงปิงพลิกตัวกลับมาจ้องหน้ากับเขาเต็มที่
   “ฉันนอนอยู่แล้วไง  ก่อนหน้านี้ก็นอนได้สองคนนี่ บอกให้ขยับไม่เป็นหรือไง”
   “อา...” จางซื่อเยี่ยนคราง มองดูร่างบางที่นอนขวางอยู่ ในที่สุดก็อ้าปากพูดขึ้น
   “ช่วยขยับไปหน่อยครับ”
   เว่ยเฟิงปิงจ้องหน้าเขาพักหนึ่ง จางซื่อเยี่ยนกลัวว่าจะโดนด่าอีก แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ยอมขยับ
   “พูดแต่แรกก็จบเรื่องแล้ว” ร่างบางกล่าว และหันหลังให้อีกครั้ง จางซื่อเยี่ยนนั่งลงไปบนเตียง มองดูแผ่นหลังของเว่ยเฟิงปิง
   “ราตรีสวัสดิ์ครับ” ชายหนุ่มพูด และล้มตัวลงนอนข้างๆ ทิ้งระยะห่างจากผู้เป็นเจ้านายเล็กน้อย  เสียงของเว่ยเฟิงปิงดังขึ้น
   “กอดฉันด้วยสิ”
   ร่างแกร่งกลืนน้ำลายอีกครั้ง แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย เขาได้ยินเสียงเว่ยเฟิงปิงพึมพำอะไรบางอย่าง
   “เมื่อไหร่จะฉลาดซะทีนะ”
   “ว่าไงนะครับ” ชายหนุ่มถามออกไป และได้ศอกมาเป็นคำตอบ
-------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy บทที่31-26/05/2554
«ตอบ #79 เมื่อ04-06-2011 09:19:52 »

   ฟ่งตัดสินใจลงมาข้างล่างในตอนเย็น แม้เขาจะไม่อยากพบหน้ารูฟัส แต่การต้องให้คลาวเดียเอาอาหารขึ้นไปให้นั้นดูจะน่าเกลียดกว่า
   “อ่าว ลงมาได้แล้วหรือไง” เสียงทักจากราฟาแอลที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟาทำให้ฟ่งไม่รู้ว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี ดูเหมือนว่าราฟาแอลจะไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไหร่นักแม้กระทั่งตอนนี้ โชคดีที่คลาวเดียเดินออกมาจากครัวพอดี
   “อ้าวฟ่ง มาพอดีเลย อยากจะไปช่วยในครัวรึเปล่า” เธอเอ่ย ชายหนุ่มพยักหน้าทันที   อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องนั่งเผชิญหน้ากับผู้ชายผมสีบลอนด์คนนั้น

   “แล้วรูฟัสล่ะครับ” ฟ่งเอ่ยถามขึ้นในตอนที่เขาหยิบมันฝรั่งขึ้นมาวางให้คลาวเดีย หญิงสาวมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
   “ไม่อยู่  ไม่คิดว่าเธอจะถามถึงเขานะเนี่ย”
   “ผม  เอ้อ..” ฟ่งนึกสงสัยเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องถามถึงรูฟัสด้วย ว่าแต่ผู้ชายคนนั้นไม่อยู่หรือ
   “ไปซื้อของหรือครับ” ชายหนุ่มสวมแว่นถามต่อ คลาวเดียหยิบมีดมาปอกมันฝรั่ง
   “เปล่าหรอก คงไปเมาอยู่แถวไหนสักแห่งล่ะมั้ง”
   “อา..” ฟ่งคราง รู้สึกผิดขึ้นมาทันที
   “เพราะผมหรือ?” เขาถามอย่างไม่แน่ใจนัก คลาวเดียยักไหล่
   “ก็คงอย่างนั้นแหละ ไม่ใช่เพราะเธอเขาคงไม่บ้าได้ขนาดนี้”
   “ผมขอโทษ” ฟ่งคอตก รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนก่อเรื่องวุ่นแท้ๆ
   “แล้วเขาจะกลับมาอีกหรือเปล่า?”
   หญิงสาวกองเปลือกมันฝรั่งเอาไว้ตรงหน้าฟ่ง ชายหนุ่มรีบโกยไปทิ้งทันที
   “คงกลับมาหลังจากที่เธอกลับไปแล้วน่ะ” หล่อนกล่าวหลังจากที่ฟ่งทิ้งเปลือกมันฝรั่งแล้ว  ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
   ก็แปลว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วสินะ
   ในวินาทีนั้น ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้ง
   “ทำไมจู่ๆ ถามถึงรูฟัสล่ะ” คลาวเดียถามขึ้นบ้าง ฟ่งส่ายหน้า
   “ไม่รู้สิครับ ช่างเถอะ มันฝรั่งนี่ต้องล้างอีกหรือเปล่าครับ” เขาถาม คลาวเดียโบกมือ
   “ไม่ต้อง เดี๋ยวเอาใส่หม้อเลย”
-----------------------
   “ว้าว รูฟัส เดี๋ยวนี้มาเป็นบาร์เทนเดอร์แทนชานดอร์แล้วหรือไง” หญิงสาวผมสีบลอนด์ร้องทัก ขณะนั่งปุลงบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์
   “หมอนี่ไม่ได้เป็นแค่บาร์เทนเดอร์ได้อย่างเดียวนะ ยังเป็นอย่างอื่นได้ด้วย” ชานดอร์กล่าว  เขายืนอยู่ในเคาท์เตอร์บาร์เช่นกัน กำลังชงเหล้าให้ลูกค้าคนหนึ่งอยู่
   “คิกคิก  เป็นอะไรล่ะชานดอร์ เป็นแฟนคุณได้หรือไง” หล่อนเย้า รูฟัสทำหน้าเหยเก ขณะที่ชานดอร์ทำหน้าเหมือนกลืนขยะลงไป
   “ฉันหมายถึง เป็นเด็กเสิร์ฟกับพนักงานทำความสะอาดต่างหาก”
   “ตาย ชานดอร์ คุณนี่ใจร้ายจริงๆ ฉันล่ะนึกภาพรูฟัสกวาดพื้นไม่ออกเลย” หญิงสาวพูดพลางหัวเราะ
   “งั้นเดี๋ยวจะใช้ให้กวาดให้ดู”
   “พอเหอะ” รูฟัสกล่าวตัดบท มองไม่เห็นว่าของแบบนั้นมันน่าภูมิใจนำเสนอตรงไหน  หญิงสาวผมบลอนด์หันมาให้ความสนใจกับเขาอีกครั้ง
   “หายเมาค้างแล้วหรือ เมื่อวานฉันเห็นเธอดวดเตกีล่าไปเยอะเลย”
   “คุณเห็นด้วยรึ?” เขาถามอย่างแปลกใจ หญิงสาวพยักหน้า
   “แหม ก็เธอน่ะเด่นขนาดนั้น ขอเหล้าผลไม้นะ” หล่อนสั่งเครื่องดื่ม และพูดต่อ
   “รู้รึเปล่าว่ามีหลายคนแวะมาร้านนี้เพราะแค่อยากจะเจอกับเธอสักครั้งหนึ่ง”
   หนุ่มนัยน์ตาสองสีทำหน้าแปลกๆ ชงเหล้าผลไม้และยื่นให้หล่อน
   “ฉันบอกแล้วว่าแฟนคลับเธอเยอะ” ชานดอร์กระซิบ
   “ผมไม่เห็นจะภูมิใจสักนิด” รูฟัสพึมพำ
   “แล้วนี่เธอจะมาทำงานที่นี่ยาวเลยรึเปล่า?” หล่อนถาม ขณะจิบเหล้า
   “ไม่รู้เหมือนกัน” เขากล่าว
   “ถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอมาทำงานที่นี่ ลูกค้าของชานดอร์คงเพิ่มมาเป็นกองเลยล่ะ”
   “อย่าบอกนะว่าแค่เข้ามาดูผมน่ะ”
   หญิงสาวพยักหน้า  รูฟัสทำท่าเหมือนโลกจะแตก
   “ทำไมต้องทำหน้าสยองโลกแบบนั้น เธอไปเจออะไรมาหรือไง ถึงต้องจิตตกขนาดต้องดวดเตกีล่าเนี่ย”
   “พูดไปแล้วเธอจะหาว่าโกหก” ชานดอร์กล่าวแทรกขึ้น  เขากำลังเขย่าเชคเกอร์ในท่าทางที่น่าหวาดเสียวว่ามันจะหลุดมือและพุ่งเข้าใส่หัวของรูฟัส
   “เจ้านี่เพิ่งอกหักมาหมาดๆ เลย” เขาพูดพลางพยักเพยิดไปยังผู้ถูกพาดพิง หญิงสาวทำตาโต
   “คุณต้องโกหกคำโตแน่ๆ ชานดอร์ ใครที่ไหนจะกล้าหักอกรูฟัสเนี่ย”
   “มีสิ ไม่เชื่อก็ลองถามเจ้าตัวดู”
   รูฟัสมีสีหน้าเหมือนกลืนเม่นเข้าไป
   “ทำไมถึงต้องตอกย้ำกันนะชานดอร์” เขากล่าว และหันหน้าไปทักลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่อีกคน หญิงสาวผมบลอนด์มีสีหน้าแปลกใจ
   “จริงหรือรูฟัส ที่ว่าเธออกหักน่ะ”
   “อืม” ผู้ถูกถามพยักหน้า และหันไปรับออเดอร์จากลูกค้า
   “เหลือเชื่อจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นเป็นนางงามจักรวาลหรือไง”
   “เป็นผู้ชายต่างหาก” ชานดอร์ช่วยแก้ให้ รูฟัสมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองเล็กน้อย
   “โอ๊ย ตาย..ฉันล่ะจะเป็นลม ตกลงเป็นผู้ชายอีกหรือนี่” หล่อนร้อง ทำท่าเหมือนจะเป็นลมจริงๆ รูฟัสย่นคิ้วอย่างอ่อนใจ
   “ผมเป็นไบ คิดว่าทุกคนรู้กันหมดแล้วเสียอีก”
   “รู้น่ะรู้อยู่หรอก ขอเตกีล่าแก้วนึง” หล่อนกล่าว และสั่งเหล้าเพิ่ม
   “จะประชดหรือไง” ชานดอร์แหย่เมื่อเห็นว่าเธอสั่งอะไร หญิงสาวยักไหล่
   “ก็รู้อยู่นะว่าเธอน่ะได้ทั้งสองอย่าง แต่แหม... คนที่ทำให้เธออกหักดันเป็นผู้ชายนี่ก็เท่ากับพิสูจน์ว่าเธอชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิงน่ะสิ”
   หนุ่มตาสองสีทำหน้ายุ่ง “สำหรับผมมันก็เหมือนกันนั่นแหละ ทั้งผู้ชายผู้หญิง”
   “พูดจาได้ร้ายกาจมากเลยนะ  มันจะเหมือนกันได้ยังไงล่ะ” หล่อนกล่าว กวาดตามองเขาขึ้นลง
   “นี่แปลว่าถ้าเขาเกิดเป็นผู้หญิง ก็ยังจะชอบงั้นสิ”
   รูฟัสมองหน้าหล่อนแวบหนึ่ง และยื่นแก้วเตกีล่าให้ พร้อมกับมะนาว
   “ผมบอกแล้วว่าสำหรับผม ชายหญิงก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเขาเป็นผู้หญิงก็ดีสิ”
   “ดียังไง จะทำลูกหรือไง” ชานดอร์เอ่ยแทรกขึ้น รูฟัสผงกหัว
   “ไม่แน่นะ คุณอาจจะได้เห็นลูกผมก็ได้”
   ชานดอร์ยกมือขึ้นกุมขมับ “ถ้าเด็กนั่นได้ยินแบบนี้คงโกรธนายแน่ๆ พูดเหมือนผิดที่เขาเกิดเป็นผู้ชาย”
   “เขาคงไม่โกรธผมหรอก ก็เขาไม่ได้คิดอะไรกับผมนี่” รูฟัสพูด พลางยกเหล้าส่งให้กับลูกค้าที่อยู่ด้านซ้ายมือ
   “ท่าทางเธอจะจริงจังมากนะเนี่ย” หญิงสาวผมบลอนด์เอ่ย เธอเพิ่งซดเตกีล่าลงไปรวดเดียวหมด
   “ผมดื่มเป็นเพื่อนเอาไหม” จู่ๆ รูฟัสก็เอ่ยขึ้น ชานดอร์ตาเหลือกทันที “เฮ้ยๆ ทำงานนะ ไม่ใช่ให้มากินเหล้าแข่ง”
   รูฟัสทำหน้าเจื่อนนิดๆ และหันไปชงเครื่องดื่มต่อ  หญิงสาวผมบลอนด์หัวเราะ
   “ชานดอร์ คุณกำลังทำให้ฉันพลาดโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตนะเนี่ย  ฉันกำลังจะได้รูฟัสมาเป็นเพื่อนดื่มอยู่แล้วเชียว”
   “ระวังเหอะว่าเธอจะถูกหามกลับออกไปน่ะ หมอนี่คอแข็งเหลือเชื่อเลย”
   “ก็รู้อยู่หรอก” เธอกล่าว และหันไปมองชายหนุ่มตาสองสี
   “พอเธออกหักแล้วก็ดูน่ารักขึ้นนะ” รูฟัสหันมามองอย่างงงๆ หล่อนยิ้มด้วยริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงสด
   “ท่าทางเธอดูอ่อนลงไปเยอะเลย สมัยก่อนเธอคงไม่เสนอตัวดื่มเป็นเพื่อนฉันแบบนี้”
   “เจ้านี่มันเสนอหน้าใส่ทุกคนที่มันพอใจแหละ” ชานดอร์กล่าวแย้ง รูฟัสยกมือขึ้นเกาหัว
   “น่า ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ คุณไม่รู้สึกหรอว่าเขาดูไร้เขี้ยวเล็บลง” หล่อนหันไปพูดกับชานดอร์ ฝ่ายนั่งนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วพยักหน้า
   “พวกคุณคิดอะไรกันอยู่เนี่ย” รูฟัสเอ่ยขึ้นบ้าง เริ่มรู้สึกว่าตนเองอาจจะไม่ปลอดภัย
   “ไม่รู้สิ สมัยก่อนเธออาจจะดูเหมือนพวกเสือโคร่ง แต่ตอนนี้เธอดูไปคล้ายๆ พวกลูกเสือ ของน่ากลัวแบบย่อส่วน แล้วเลยน่ารัก”
   “อืม  คำชมแบบนี้ผมไม่เคยได้ยินเลย” รูฟัสเอ่ย รู้สึกขนลุกนิดๆ  เขาส่งมะนาวเพิ่มให้หล่อน
   “นี่ รูฟัส จบจากที่นี่เธอจะไปต่อที่ไหนอีกรึเปล่า” เธอถาม รูฟัสรีบส่ายหน้า
   “ผมยังไม่มีอารมณ์ไปไหนกับใครหรอกครับ” เขาพูดราวกับรู้ทันว่าเธอจะพูดอะไรต่อ  หญิงสาวทำหน้าผิดหวัง
   “ว้า ฉันคงรีบไป ฮ่ะๆ” เธอหัวเราะเหมือนจะไม่ใส่ใจนัก
   “เธอเห็นกลุ่มผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะด้านขวามือของเธอรึเปล่า?”
   รูฟัสหันไปมองตามคำบอก เขาเห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง เหมือนกับว่ามองมาทางเขาอยู่เช่นกัน  พวกหล่อนโบกไม้โบกมือให้เขา  รูฟัสหันกลับมาที่เดิม
   “แหม.. น่าจะยิ้มให้สักหน่อยนะ เด็กพวกนั้นรอที่นั่งแถวนี้ว่างนะเนี่ย”
   “ผมไม่ใช่นางงามนะครับ จะได้ยิ้มไปทั่ว” รูฟัสกล่าว และก้มลงไปตักน้ำแข็ง
   “ตายล่ะ ชานดอร์ เด็กคุณไม่รับแขกเลย”
   ชานดอร์ยักไหล่  ทำหน้าช่วยไม่ได้
   “รูฟัส  เธอน่ะรู้ใช่ไหมว่ามีคนชอบเธอเยอะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่ออีกฝ่ายตักน้ำแข็งเสร็จแล้ว รูฟัสพยักหน้า “ก็คงจะเป็นแบบนั้น”
   “ฉันหวังว่าเธอคงไม่ฟูมฟายเรื่องอกหักจนเกินไป ยังมีคนอีกเยอะให้เธอเลือกนะ”
   รูฟัสยิ้มให้เธอ
   “ขอบใจนะ ผมจะลองพยายามแล้วกัน” เขากล่าว และเทเหล้าลงในแก้ว
----------------------------------------------
   ฟ่งนอนไม่หลับ เขาพลิกตัวอย่างกระสับกระส่าย คงเป็นเพราะตื่นเต้นที่จะได้กลับบ้าน  เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบชั่วโมง เขาก็จะได้ขึ้นเครื่องกลับประเทศเสียที ชายหนุ่มพยายามจะบอกตัวเองให้หลับ เขาควรจะพักผ่อนเสียเพื่อที่จะได้ไม่ตื่นสาย แต่ไม่ว่าจะบอกตัวเองอย่างไร สุดท้ายเขาก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาทุกครั้ง หรือเพราะเขาจะกังวลเรื่องพาสปอร์ตปลอมนั่น ถ้าเขาถูกจับที่สนามบินจะทำอย่างไรนะ แต่คนพวกนั้นคงไม่ทำอะไรที่ใช้ไม่ได้จริงๆ หรอก อีกอย่างเว่ยเฟิงปิงก็เคยใช้พาสปอร์ตนั้นมาแล้ว ถ้าเขาถูกจับได้ ก็เท่ากับว่าให้การพาดพิงได้น่ะสิ
   ฟ่งตัดเรื่องความกังวลใจเกี่ยวกับพาสปอร์ตออกไป และบอกตัวเองให้หลับๆ ไปได้แล้ว
   พรุ่งนี้รูฟัสจะไปส่งเขาหรือเปล่า
   ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาคิดเสียหน่อย ผู้ชายคนนั้นไม่อยู่ ไปไหนก็ไม่รู้ และก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว  จริงๆ คือ ไม่เจอกันอีกเลยนั่นแหละดีที่สุด ผู้ชายที่ทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวายคนนั้น ผู้ชายที่ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องจริงเมื่อไหร่กันแน่ ผู้ชายคนนั้น  คนที่เข้ามาทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป
   ให้มันจบลงแค่นี้ แบบนี้แหละดีแล้ว
   เขาพร่ำบอกตัวเอง แต่ทำไมคำถามที่ว่ารูฟัสจะไปส่งเขาหรือเปล่ายังคงดังก้องอยู่ในหัว   ทำไมถึงได้อยากให้รูฟัสไปส่งนัก อยากจะเจอเขานักหรือไง
   ชายหนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง
   เขาไม่เคยอยากเจอรูฟัส ไม่เคยคิดอยากจะเห็นหน้า ไม่แม้แต่เคยคิดอยากจะรู้จัก
------------------------------------
   “ตื่นได้แล้ว”
   เสียงเรียกของหญิงสาวทำให้ฟ่งสะดุ้งตื่น  เขากะพริบตาอย่างงงๆ และลุกพรวดพราดขึ้นทันที ก่อนจะควานหาแว่น
   “กี่โมงแล้ว” เขาเอ่ยถาม และรู้สึกว่าตัวเองต้องตื่นสายแน่ๆ
   “แปดโมงกว่าๆ แล้วล่ะ” คลาวเดียเอ่ย มองดูชายหนุ่มหัวยุ่งที่กำลังสวมแว่นและกระโดดลงจากเตียง หล่อนสงสัยว่าเขาจะสวมไปทำไมกันในเมื่อเดี๋ยวก็ต้องถอดออกตอนล้างหน้าอยู่ดี
   “ยังไปทันเครื่องบินอยู่ แต่รีบๆ หน่อยก็ดี” หล่อนกล่าว จากนี่ไปที่สนามบินกินเวลาสองชั่วโมง ถ้าเร่งหน่อยก็คงทัน ที่น่าแปลกใจคือทำไมเด็กคนนี้ถึงตื่นสาย เมื่อคืนตื่นเต้นจนนอนไม่หลับหรือไง
   “ขอโทษนะครับ” ฟ่งละล่ำละลัก รีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง เขากลัวว่าจะตกเครื่อง ชายหนุ่มใช้เวลาไม่นานก็แต่งตัวเสร็จ
   “อย่าลืมหยิบตั๋วเครื่องบินกับพาสปอร์ตไปด้วยล่ะ” คลาวเดียเตือน ฟ่งล้วงกระเป๋าเสื้อของเขา และพบว่าใส่ไว้แล้ว เขาพยักหน้าให้หญิงสาว หล่อนจึงเดินนำเขาลงไปชั้นล่าง
   “ฉันจะขับรถไปส่งเธอเอง ขึ้นรถสิ” เธอกล่าว เมื่อเห็นท่าทีรีรอของอีกฝ่าย  ฟ่งหันซ้ายหันขวาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็มุดเข้าไปในรถ
   “คุณราฟาแอลไม่ได้ไปด้วยหรือครับ” เขาถาม เมื่อคลาวเดียนั่งตรงที่นั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว
   “ไม่ไปหรอก” เธอกล่าว สอดกุญแจเข้าไปและสตาร์ทรถ ฟ่งหันไปมองรอบๆ บริเวณบ้าน ไม่มีวี่แววของใครอีก
   “มองหาใครรึ?” หญิงสาวถาม และออกรถ ฟ่งเหลียวมองกลับไปอีกครั้ง และส่ายหน้า
   
   “ตะกี้มองหารูฟัสหรอ?” หล่อนถามหลังจากรถเคลื่อนออกมาได้พักใหญ่ คราวนี้ฟ่งพยักหน้านิดๆ  แม้จะรู้สึกขัดๆ แต่เมื่อครู่เขามองหารูฟัสอยู่จริงๆ ได้ยินเสียงคลาวเดียถอนหายใจ
   “เด็กนั่นไม่มาหรอก ฉันก็คิดว่าเขาจะกลับมาส่งเธอเหมือนกัน แต่ดูท่าจะยังทำใจไม่ได้”
   “ขอโทษนะครับ” ฟ่งกล่าว  และไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องรู้สึกแย่ด้วย
   “เธออยากเจอเขาหรือเปล่า?” คลาวเดียถามขึ้นอีก เธอมองหน้าเด็กหนุ่มผ่านกระจกมองหลัง
   “อ่ะ อืม..” ฟ่งยอมรับออกมา เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนี่นะ ถ้าจะเจอสักครั้ง ก็คงไม่เป็นไรหรอก
   “ฉันรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” คลาวเดียพูด ขณะหักพวงมาลัยรถเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ่ เพื่อจะเข้าสู่ถนนเลี่ยงเมืองไปสนามบิน
   “แต่ว่าเพราะเธอตื่นสาย ถ้าเธอไปเจอเขา เธอก็คงตกเครื่อง เธอจะเลือกอะไรล่ะ”
   ฟ่งอ้าปากค้าง
   แล้วเขาจะเลือกอะไรได้ล่ะ....
----------------------------------------------
   รูฟัสนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง เขามองนาฬิกา มันบอกเวลาแปดโมงกว่าๆ ความจริงชายหนุ่มตื่นนานแล้ว เขาชั่งใจว่าจะไปส่งฟ่งที่บ้านดีหรือเปล่า เวลานั้นช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน อีกไม่กี่ชั่วโมง ฟ่งก็จะกลับไปที่ประเทศไทยแล้ว เมื่อกลับไปที่นั่น ฟ่งจะยังจำเขาได้อยู่หรือเปล่านะ? ถ้าเขากลับไปที่คอนโดนั่น กลับไปที่ห้องนั้น แล้วคนข้างห้องของเขาจะยังทักทายเขาหรือเปล่า? จะได้ไปทานข้าวกันอีกไหม?
   รูฟัสหลับตา เขาจะกล้ากลับไปที่นั่นได้ยังไง ในเมื่อแค่จะไปส่ง เขายังทำใจไม่ได้เลย
   แม้รู้ว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าจะกลับไปมองหน้าฟ่ง
   กลัวที่จะเห็นสายตาสีน้ำตาลคู่นั้น กลัวสิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาใสราวแก้วเจียระไนคู่นั้น
   ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนจะผุดลุกขึ้น คว้าเสื้อแจ็กเก็ตมาสวมทับ และผลุนผลันออกจากห้องไป
   ถึงจะไม่ได้เห็นหน้า แต่ขอแค่ได้ไปส่งก็ยังดี
---------------------------------------------
   ฟ่งมองออกไปนอกหน้าต่าง และก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เครื่องคงใกล้จะออกแล้ว  ชายหนุ่มหลับตา
   นี่เขาตัดสินใจถูกหรือเปล่านะที่เลือกหนทางนี้
   เขากำลังจะได้กลับบ้านแล้ว  เรื่องของรูฟัสน่ะ ไม่ใช่อะไรที่น่าสนใจมากนักหรอก
   ก็แค่อาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว....
   ก็แค่นั้นเอง....
----------------------------------------------
   รูฟัสลงจากรถแท็กซี่  ก่อนจะแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาอยู่ใกล้ๆ กับเขตสนามบิน  ชายหนุ่มก้มลองมองนาฬิกา  สิบโมงสิบห้าแล้ว
   เครื่องคงใกล้จะออกแล้ว 
   เขาโทรหาราฟาแอลก่อนหน้านี้ และทราบว่าคลาวเดียเป็นคนมาส่งฟ่ง ไม่นานนักเสียงลั่นของเครื่องยนต์และเสียงเสียดทานจากอากาศก็ดังขึ้น เครื่องบินโดยสารลำใหญ่ที่มุ่งหน้าไปยังออสเตรียทะยานออก ลำที่จะพาฟ่งไปต่อเครื่องเพื่อกลับบ้าน
   รูฟัสเหม่อมองดูเครื่องบินลำนั้นค่อยๆ บินลับหายไปในกลุ่มเมฆ เขาอธิฐานให้ฟ่งปลอดภัย
   ในที่สุดเครื่องบินลำนั้นก็ลับสายตาไป จนไม่ได้ยินแม้แต่เสียง ชายหนุ่มรู้สึกตัวโหวงๆ เหมือนกับว่าหัวใจของเขาหายไปด้วย
   เครื่องบินลำนั้นพาหัวใจของเขากลับไปแล้ว  และคงไม่กลับคืนมาตลอดกาล
   รูฟัสยืนซึม เขายกมือขึ้น โบกลาหัวใจเป็นครั้งสุดท้าย
   ลาก่อนครับฟ่ง ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง
   เขากล่าวคำอำลานั้นในใจ และยืนอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ กว่าที่จะลากเท้าออกไปเรียกรถแท็กซี่ที่ถนน
   รูฟัสกระแทกตัวลงบนเบาะรถ ก่อนจะสั่งให้คนขับขับไปส่งยังที่หมาย เขาเงยหน้า พยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
   คืนนี้เขาคงไปบาร์ของชานดอร์ไม่ไหว
------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My neighbor is a spy บทที่31-26/05/2554
« ตอบ #79 เมื่อ: 04-06-2011 09:19:52 »





tumprom

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
โอ้ว ลงได้ยาวและต่อเนื่องมากกกก  o13 ตามอ่านอย่างสะใจและเหนื่อยมาก  :laugh: 

อ่านแล้ว ชอบคู่ จางซื่อเยี่ยนกับเฟิงปิง มากกว่าคู่เอกอีกนะเนี่ย  :-[

+1 สำหรับการลงแบบยาวมากกกกกกกกกกกกก ค่ะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่33 อดีตของรูฟัส (2)
   ชายหนุ่มตาสองสีก้าวลงจากรถแท็กซี่ราวกับไร้วิญญาณ เดินโซเซเข้าไปยังเกสท์เฮาส์โดยไม่สนใจเสียงพนักงานต้อนรับที่เอ่ยทัก
   “คุณรูฟัส มีคนรอพบค่ะ”
   รูฟัสโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ และเดินออกไปโดยไม่รอฟังประโยคต่อ เขาไม่อยากสนใจว่าใครจะมาหา หรือมารอพบ ไม่ว่ามันจะเป็นใครหน้าไหน เขาก็ไม่อยากจะพบทั้งนั้น เชิญรอให้ตายไปเถอะ ชายหนุ่มเดินเปะปะไปตามทาง พยุงร่างอย่างยากลำบากกว่าที่จะไปถึงห้อง เขาอยากจะนอนกลิ้งลงไปตอนนี้เลย นอนและร้องไห้ให้หายอยาก ร้องให้กับหัวใจที่เพิ่งจะโบยบินไป
   รูฟัสล้วงกุญแจออกมาไขประตูห้อง แม้จะนึกแปลกใจว่าตัวเองลืมล็อกประตู แต่เขาก็ผลักมันเข้าไป
   !!
   รูฟัสคิดว่าเขาคงเสียใจหนักจนเห็นภาพหลอน ก็คนคนนั้นกลับไปแล้ว เขากะพริบตาอีกครั้ง มองเข้าไปภายในห้อง ร่างที่ดูคุ้นตามองมาทางเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้น ริมฝีปากที่เขาเคยได้ลิ้มรสเผยอขึ้น และเอ่ยคำพูดออกมา
   “รูฟัส..”
   รูฟัสยืนตัวแข็งทื่อ ชั่ววินาทีนั้นเขาคิดว่าหัวใจตัวเองหยุดเต้น เหมือนเวลาและทุกอย่างหยุดหมุน หยุดอยู่ที่คนคนนั้น
   “ฟ่ง!!”
   รูฟัสได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่อนั้นออกมา  มันคงเป็นความฝัน เขากำลังฝันแน่ๆ  เขาคงช็อกหนัก ฟ่งจะมานั่งอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร ก็เครื่องเพิ่งจะออกไปนี่เอง ถึงจะคิดแบบนั้น แต่รูฟัสก็เอื้อมมือกลับไปด้านหลัง และล็อกประตู... เขากลัว  กลัวว่าความฝันนี้จะหนีออกไป
   “ผะ..ผมคิดว่าคลาวเดียหลอกผมเสียอีก” ฟ่งเอ่ยขึ้น
   คลาวเดียรึ? รูฟัสคิด  นี่คลาวเดียหลอกฟ่งมาหรือนี่ เขาไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณหรือสาปแช่งหล่อนดี
   “คุณโดนคลาวเดียหลอกมาหรือครับ” รูฟัสเอ่ยถาม ยังไม่แน่ใจนักว่าภาพข้างหน้าเป็นความจริง
   “ปะ เปล่า” ฟ่งปฏิเสธอย่างไม่เต็มเสียงนัก เขาดูตื่นเต้น และหวาดๆ
   “คลาวเดียบอกว่าคุณอยู่ที่นี่ แต่ผมมารอนานแล้วไม่เห็นคุณจะกลับมาเสียที ผมคิดว่า...คุณอาจจะไม่กลับมาแล้ว”
   “คุณมารอผม?” รูฟัสทวนคำอย่างเหลือเชื่อ
   “คุณไม่ได้ขึ้นเครื่องบินไปออสเตรียแล้วรึ?” เขาถามอย่างไม่แน่ใจว่านี่คือเรื่องจริงที่กำลังเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าฟ่งจะถอนใจ
   “ผมตกเครื่องแล้วล่ะ ผมอยากพบคุณ”
   คราวนี้รูฟัสไม่ลังเลอีกแล้ว ไม่ว่าฟ่งที่อยู่ข้างหน้าจะเป็นตัวจริงหรือภาพหลอน เขาก็จะไม่ปล่อยช่วงเวลานี้ไปอีก ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว รวบร่างนั้นขึ้นมากอดไว้แน่น  สูดกลิ่นหอมของเรือนร่างที่คุ้นเคย และจูบลงไปเบาๆ ที่ข้างแก้ม
   “ระ..รูฟัส” ฟ่งเรียกชื่อเขาด้วยเสียงตกใจเล็กน้อย
   “คุณกลับมาหาผมจริงๆ ?” รูฟัสถาม  ยังคงกอดรัดอีกฝ่ายไว้แน่น ด้วยกลัวว่าจะหนีหายไปอีก เขาได้ยินเสียงฟ่งหัวเราะแหะๆ และรู้สึกว่าร่างนั้นวางมือลงบนบนหลังของเขา
   ฟ่งกำลังกอดเขา...
   “ผม..ผมคงเป็นบ้า” ฟ่งเริ่มพูด เขาโอบมือไปที่หลังของรูฟัสอย่างกล้าๆ กลัวๆ และกอดแน่นขึ้นหลังจากนั้น
   “ผมมาหาคุณ แทนที่จะกลับบ้าน ผมคิดถึงคุณ” ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลโพล่ง รูฟัสหลับตา รู้สึกเหมือนตัวเองมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เขาลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างอ่อนโยน และจูบลงไปเบาๆ
   “ฟ่ง..” ร่างแกร่งเรียกชื่อนั้นซ้ำ ไม่รู้จะพูดอะไรไปได้มากกว่านี้อีก ฟ่งคิดถึงเขา และเลือกจะกลับมาหาเขา
   เสียงหัวใจเต้นสะท้อนอยู่ในอก ความตื้นตันแผ่ไปทั่วทั้งร่าง ชายหนุ่มจูบลงไปบนเรือนผมสีน้ำตาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตระกองกอดร่างผอมบางนั้นไว้แนบแน่น เหมือนฟ่งจะมีอาการเกร็งเล็กน้อย แต่ก็ยังยอมให้เขากอดโดยไม่ขัดขืนอะไร
   “ผมเกือบจะขาดใจตายไปแล้วตอนที่เห็นเครื่องบินบินออกไป” ในที่สุดรูฟัสก็กล่าวออกมา
   “คะ..คุณไปส่งผมหรือ?” ฟ่งกล่าวเสียงพร่า รูฟัสรู้สึกว่าร่างผอมบางนั้นสั่นน้อยๆ
   “ผมแค่ไปยืนข้างสนามบิน ผม...ผมทำใจลาคุณไม่ได้  ผมตัดใจจากคุณไม่ได้”
   “รูฟัส….” เสียงของฟ่งอู้อี้ขึ้น คงกำลังร้องไห้
   “ทำไม...ทำไมต้องเป็นแบบนี้น่ะ คุณน่ะ...ทั้งๆ ที่ทำกับผมไว้ขนาดนั้นแท้ๆ แต่ว่า ถึงตอนนี้ก็ยัง...” ฟ่งหยุดไป ร่างผอมบางยิ่งสั่นสะท้าน
   “ทำไมถึงต้องใจดีทั้งๆ ที่กำลังหลอกผมด้วย ผมน่ะ...ผมน่ะ.....ทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณหลอกแท้ๆ  แต่ผมก็ยัง...”
   “ขอโทษครับฟ่ง” รูฟัสรวบร่างนั้นแน่นอีก ก่อนจะคลายมันออก และยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าที่เปื้อนน้ำตานั้น
   “ต่อจากนี้ผมจะไม่โกหกคุณอีกแล้ว” ชายหนุ่มกล่าว เขามองดูใบหน้าใต้แว่นที่เปื้อนคราบน้ำตา และจูบลงไปเบาๆ ฟ่งผงะหนีด้วยความตกใจ รูฟัสรีบรั้งตัวเขาเอาไว้
   “ฟ่ง...”
   ร่างผอมบางมองตรงผ่านม่านน้ำตาและเลนส์แว่นที่จับเป็นฝ้า เหมือนจะเห็นดวงตาสีน้ำตาลกะพริบอยู่หลายครั้ง
   “คุณเป็นใครกันแน่ รูฟัส” ในที่สุดฟ่งเริ่มต้นถามในเรื่องที่เขาสงสัยมากที่สุด ร่างผอมบางพยายามจะหยุดสะอื้นระหว่างนั้น รูฟัสลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยน ก่อนจะตอบออกไป
   “ผมเป็น**IN. Spy** หรือที่คุณเรียกว่าสายลับ หรือเรียกว่าจารชนนั่นแหละครับ” ชายหนุ่มเริ่มเล่า
   “มีคนจ้างผมให้ไปสืบเรื่องบางอย่างที่ประเทศไทย แล้วผมก็บังเอิญไปเช่าห้องอยู่ข้างๆ คุณพอดี” เขาหยุด และเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย
   “คุณไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกับงานของผมเลย ที่ผมเข้าไปช่วยคุณตอนนั้น เพราะสีหน้ากับดวงตาของคุณทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส มองเข้าไปยังนัยน์ตาสองสีคู่นั้น เขากำลังจะได้ฟังเรื่องจริงจากปากของผู้ชายคนนี้จริงๆ หรือ....
   “ผมเลยคิดว่าน่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเพื่อให้ผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงได้ใจดีกับคุณนัก แต่ว่า...เรื่องบางเรื่องมันก็เกิดขึ้นแบบคาดไม่ถึงเหมือนกัน” รูฟัสกล่าว และยิ้มให้ฟ่ง
   “คุณคงจำคืนนั้นได้ คืนที่คุณไปเจอผมที่คลับของคุณเมี่ยง คุณทำท่าเหมือนว่าจะหึงผม”
   “ผะ...ผม...” ฟ่งตะกุกตะกัก เมื่อนึกถึงตอนนั้นแล้วเขารู้สึกละอายจริงๆ รูฟัสจูบหน้าผากของเขาเบาๆ และเล่าต่อ
   “แล้วคุณก็เมาล้มลง... ผมน่ะไม่เคยสนใจว่าใครจะเมาหรือจะตายหรือจะเป็นอะไรหรอกครับ แต่ว่าคืนนั้น ผมตกใจมากที่คุณฟุบลงไป ความจริงผมรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เจอว่าคุณไปที่นั่นแล้วล่ะ คุณคงเห็นว่าผมไม่ได้แต่งตัวตามปกติ”
   “อืม..” ฟ่งพยักหน้า “คุณเหมือนว่าจะปลอมตัวไป”
   “ครับ ผมปลอมตัว แต่ว่าคุณก็จำได้”
   “ก็คุณเด่น” ฟ่งสวนทันที รูฟัสยิ้มให้เขาอีกครั้ง รู้สึกมีความสุขที่ฟ่งกำลังพูดคุยอยู่ในอ้อมกอดของเขา
   “ผมปลอมตัวไป ตาของผมมันจำง่ายเกินไปน่ะครับ แล้วผมก็ไม่ได้คิดว่าจะพบคุณที่นั่น คุณ.... คุณทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก เหมือนกับว่าผมไปเจอภรรยาเข้าอย่างนั้นแหละ”
   “บ้า ใครเคยไปเป็นเมียคุณกัน” ฟ่งผลักอกรูฟัสเบาๆ ร่างแกร่งหัวเราะหึๆ และจูบริมฝีปากนั้นเป็นการตอบแทน
   “คุณทำให้ผมหัวปั่นไปหมด ผมตกใจที่คุณฟุบลงไปตอนนั้น แล้วผมก็วิ่งไปหาคุณทันที จากนั้นก็ต้องแบกคุณกลับไปที่คอนโด”
   ฟ่งรู้สึกผิดนิดหน่อยพอมาถึงตอนนี้ “ขอโทษทีนะ ตอนนั้นผมเมา”
   “ครับ ผมรู้ แล้วคุณก็โวยวายใส่ผม หาว่าผมไปชอบคุณเมี่ยง แล้วบอกว่าคุณคงพูดอะไรไม่ได้  คำพูดของคุณทำเอาผมนอนไม่หลับ”
   “คะ..คุณยังจำได้อีกเรอะ!!” ฟ่งส่งเสียงตะกุกตะกัก รูฟัสเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มหน้าแดง
   “แปลว่าคุณจำได้สินะครับ แต่คุณไม่ยอมบอกผมในอีกวัน คำพูดนั้นของคุณทำให้ผมทึกทักไปเองว่าคุณชอบผม จะบอกว่าผมหลงตัวเองก็ได้นะ” รูฟัสหัวเราะ ขณะที่ฟ่งหน้าแดงขึ้นอีก
   “ผมก็เลย เอ้อ... นั่นแหละ  ไปหาคุณที่ห้อง ขอคำยืนยันอีกครั้ง แล้วก็จบลงที่วันรุ่งขึ้นคุณไล่ผมออกมา แต่ผมก็ยังเข้าข้างตัวเองต่อไปว่าคุณต้องชอบผมบ้างแน่ๆ”
   “คะ..คุณมันหลงตัวเองน่าดูเลย” ฟ่งค่อนแคะ แต่กลับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายตรงๆ
   “มันก็น่าอยู่หรอกครับ ก็พออีกวันหนึ่งที่ผมถามคุณซ้ำ คุณก็จูบผม แล้วคืนนั้นคุณก็รุกผมบนเตียง ทำเอาผมนอนไม่หลับไปทั้งคืนเลย”
   “คะ..คุณ” ฟ่งทุบอกรูฟัสอย่างโมโห รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า รูฟัสใช้มือเชยใบหน้าที่แดงเป็นลูกมะเขือเทศนั้นขึ้นมา
   “คุณจำได้ทุกอย่างสินะครับ คุณทำให้ผมทึกทักไปเองว่าคุณชอบ แม้แต่ตอนนี้คุณหน้าแดง จะให้ผมคิดว่าอะไรดีล่ะ?”
   “อ่ะ..” ฟ่งพูดไม่ออก เขาร้อนวาบไปทั้งตัว จะให้คิดว่าอะไรได้ล่ะ
   “อยากคิดอะไรมันก็เรื่องของคุณสิ” เขาโพล่งออกมา และรู้สึกอยากร้องไห้ สีหน้าของรูฟัสดูจะอ่อนใจลงนิดหน่อย เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ใบหน้าแดงก่ำนั้น หายใจรดเบาๆ
   “หลังจากนั้นคุณก็ยอมให้ผมกอด ตอนแรกผมคิดว่าคุณโมโหเรื่องนั้น แต่คุณบอกว่าเปล่า คุณไม่ได้ถือเรื่องที่ถูกผมกอด หรือเรื่องที่มีอะไรกับผม... บอกผมสิครับ คุณคิดอะไรกับผมกันแน่  ทำไมคุณถึงได้ยอมผมขนาดนั้น”
   ฟ่งหน้าแดงก่ำ นี่รูฟัสจำได้หมดทุกอย่างเลยหรือ ทุกอย่างที่เขาแสดงหรือพูดออกไป  ผู้ชายคนนี้จำได้ทุกอย่าง  เขาอายจนแทบจะมุดหนีไปให้พ้นๆ
   “จนถึงตอนนี้ คุณก็กลับมาหาผม ให้ผมกอด อยู่ใกล้ผม บอกผมสิครับว่าทำไม  ผมไม่อยากเดาความในใจของคุณอีกแล้วครับฟ่ง ผมอยากฟังเรื่องจริงจากปากคุณบ้าง”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส รู้สึกจุกอยู่ในลำคอ เขาจะพูดอะไรออกไปดีล่ะ กับคนคนนี้ เขารู้สึกอย่างไรกันแน่
   “คุณคิดอะไรกับผมกันแน่ ชอบผม รักผม หลงผม หรือว่าคุณกลัว หรือแค่อยากจะหลอกผม อย่าปล่อยให้ผมคิดไปเองอีกเลยครับ ผมเจ็บปวดมาพอแล้ว สำหรับคุณแล้ว ผมมีคุณค่าอะไรบ้างหรือครับ”
   ฟ่งนิ่งอึ้ง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ารูฟัสกำลังเจ็บปวด เจ็บปวดจากการโอบกอดเขา นัยน์ตาสองสีนั้นสั่นระริก นี่เขาเป็นคนทำให้เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นหรอกหรือ  ฟ่งมองดูใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ที่กำลังมองมาทางเขาอีกครั้ง กับรูฟัสแล้ว เขารู้สึกอย่างไรกันแน่ เรื่องในคืนนั้น คืนที่เขาเมาและถูกหามกลับ เขาอยากจะพูดอะไรออกไปกันนะ
   “ผม...” ฟ่งเริ่ม และรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้า สมองตื้อไปหมด เขาคิดอะไรกับคนคนนี้กันแน่....
   “ผมน่ะเป็นผู้ชายนะ แล้วคุณก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายกับผู้ชายมีอะไรกันมันก็แย่แล้ว” หนุ่มสวมแว่นว่า และกะพริบตาปริบๆ ขณะที่พูดคำพูดนั้น เหมือนกับรู้สึกแสลงใจอะไรบางอย่าง
   “แต่คุณบอกว่าไม่ถือนี่” รูฟัสถามอย่างสงสัย ตกลงฟ่งคิดยังไงกับเขากันแน่นะ
   “ที่ผมไม่ถือเพราะ..........” ฟ่งพูด หน้ายิ่งแดงมากขึ้น “เพราะเป็นคุณ”
   รูฟัสนิ่งไปบ้าง แต่หัวใจเต้นแรงอย่างประหลาด เขาจะได้ยินคำพูดนั้นจากปากฟ่งหรือเปล่านะ...
   “ผมน่ะ..ยอมให้คุณกอด ยอมให้คุณทำแบบนั้น เฉพาะแค่คุณเท่านั้นที่ผมไม่ได้รังเกียจ  แค่คุณเท่านั้น”
   ร่างบางกล่าวพลางขบริมฝีปาก หัวใจของรูฟัสเต้นระส่ำ ไม่เคยรู้เลยว่ามันอยากจะได้ยินคำคำนั้นจากปากของคนอื่นมากมายขนาดนี้
   คำสามคำง่ายๆ ที่เขาพูดและได้ยินคนอื่นพูดมาหลายต่อหลายหน
   คำสามคำที่กำลังจะออกมาจากปากคนตรงหน้าที่เขาคะนึงหามากที่สุด
   “ผม...ผมพูดไม่ออกหรอก”
   ฟ่งโพล่งออกมา ใบหน้ากลายเป็นสีแดงจัด กระทั่งขอบตายังพลอยแดงเรื่อไปด้วย เกิดมารูฟัสเพิ่งเคยเห็นคนเขินจนร้องไห้จริงๆ ก็คราวนี้นี่เอง แม้จะรู้สึกตกใจอยู่บ้าง แต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่ฟ่งเขินจนจะร้องไห้เพราะเขา
   “พูดไม่ออกจริงๆ หรือครับ บอกผมสักนิดไม่ได้หรือ?” ชายหนุ่มยังคงพยายามถามถามต่อ คราวนี้นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ขอบตาแดงเรื่อถลึงใส่เขาทันที
   “คุณจะให้ผมพูดออกไปให้ได้หรือไง!”
   รูฟัสพยักหน้า เขามองดูหน้าที่ยิ่งแดงมากขึ้น และบอกว่าตัวเองว่า เขาไม่ได้ทึกทักไปเองแน่ๆ แต่ก็ยังอยากได้คำยืนยัน
   “ถ้าคุณรักผม  บอกให้ผมรู้สักคำสิครับ แค่คำเดียว เพราะผมรักคุณจนจะบ้าอยู่แล้ว”
   “บะ..บ้าน่ะ จะให้พูดคำแบบนั้นออกไป” ฟ่งพูดอึกอัก
“พูดออกมาไม่ได้หรือครับ  อายมากหรอ?” รูฟัสกล่าวเหมือนรู้ทัน ร่างบางกัดฟัน มองหน้าเขา “อือ..”
   “งั้นก็พูดสิครับ เพราะยิ่งคุณอาย คุณก็ยิ่งน่ารัก ผมชอบให้คุณอาย”
   “ระ..รูฟัส!!” ฟ่งร้องอย่างตกใจ  เขาอายมากจริงๆ ตอนนี้  แต่ดูเหมือนรูฟัสยิ่งอยากให้เขาอายหนัก ใบหน้าได้รูปนั่นโน้มเข้ามาใกล้ กระซิบข้างหูเขา
   “ถ้าคุณไม่กล้าจะพูดออกมาดังๆ กระซิบเบาๆ ข้างหูผมก็ได้ครับ”
   ฟ่งอ้าปากค้าง นี่จะให้เขาพูดออกไปจริงๆ หรือนี่ ร่างบางตะกุกตะกัก พยายามรวบรวมความกล้า หน้าด้าน หรืออะไรก็ถามเพื่อให้เอ่ยถ้อยคำแบบนั้นออกไปได้
   “ผม...ผม......ผม..........” ผมอยู่หลายครั้ง แต่ฟ่งก็พูดไม่ออกสักที ร่างบางจิกเล็บลงไปบนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ก่อนจะโพล่งขึ้นอีกครั้ง “ผมอาย!!”
   รูฟัสมองอีกฝ่ายอย่างตะลึงงัน แต่ยังไม่ทันทำอะไร ร่างนั้นก็โผกอดเขาไว้แน่น ได้ยินเสียงครางงึมงำในลำคอ
   “ผม...ผมจะอยู่กับคุณ”
   หูของรูฟัสอื้อไปหมดหลังฟังคำพูดนั้นจบ แม้จะไม่ใช่คำที่เขาหวังไว้ แต่มันก็เติมเต็มหัวใจเขาได้อย่างน่าประหลาด ชายหนุ่มรวบร่างผอมบางเข้ามากอดไว้ จูบลงไปบนพวงแก้ม กระซิบกระซาบที่ข้างหู
   “I love you, I love you so much and I’m glad you wanna stay with me.You need me now? Please say that….”
   ประโยคท้ายรูฟัสกระซิบใกล้หูฟ่งซึ่งยังคงแดงก่ำ  ชายหนุ่มแทบจะยกมือขึ้นปิดหน้า
   “คุณแกล้งผม คุณต้องอยากแกล้งผมแน่ๆ ใครมันจะไปพูด...”
   ฟ่งร้องโวยวาย แต่รูฟัสเหมือนจะไม่สนใจ เขาแนบจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นก่อนที่อีกฝ่ายจะทันพูดจบ พลางยิ้มกริ่ม เชยใบหน้านั้นขึ้นมามองอีกครั้ง
   “คุณแน่ใจนะครับว่าจะอยู่กับผม ผมที่เป็นสายลับ ผมที่ไม่ใช่นักธุรกิจ” ชายหนุ่มถาม รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาบ้าง  เมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาอย่างขุ่นเคือง
   “ถ้าผมไม่อยากอยู่กับคุณ ผมจะมานั่งรอคุณทำเบื๊อกอะไรล่ะ” ฟ่งโพล่งใส่หน้ารูฟัส รู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรมากไปแล้ว และดูเหมือนจะถูกหลอกให้พูดเสียด้วย รูฟัสยิ้มกว้าง และกอดร่างนั้นไว้แน่นอีกครั้ง นี่เขาคงฝันไปแน่ๆ
   “แต่ว่านะ” ฟ่งพูดต่อ
   “คุณต้องเล่าให้ผมฟังให้หมดเลย เรื่องของคุณ”
   รูฟัสพยักหน้า ต่อให้เล่าสักร้อยรอบเขาก็จะเล่า
-----------------------------------------
   มันเกิดขึ้นในวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิที่มีไม่ค่อยนานนักในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
   แสงแดดยามเช้ายังคงสาดส่องมาตรงพื้นถนนตรงลานกว้างหน้าประตูทางเข้าโรงเรียนชั้นประถมที่มีทั้งครู ผู้ปกครอง นักเรียนตัวน้อย เดินและพูดคุยกันเต็มไปหมด
   รถเปอร์เช่สภาพไม่เก่าไม่ใหม่คันหนึ่งแล่นมาจอดตรงถนนด้านหน้าโรงเรียน ก่อนที่หญิงสาวในชุดสีฟ้าอ่อนจะก้าวลงมา พร้อมเด็กหญิงวัยราวๆ สามขวบในอ้อมกอด ประตูรถด้านหลังถูกเปิดออก เด็กผู้ชายอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบคนหนึ่งก้าวเท้าลงมา เรือนผมของเขาสีดำสนิทเช่นเดียวกับของมารดา ส่วนดวงตา....
   ผู้ชายอีกคนก้าวเท้าออกมาจากประตูรถฝั่งคนขับ เขามีเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม หนวดเคราที่ถูกตัดแต่งได้ทรงสวยรับกับใบหน้าคมสัน เขาเดินมาและก้มตัวลงพูดกับลูกชายที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองมารดา ดวงตาของสองพ่อลูกเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ดวงตาคู่หนึ่งที่ต่างสีกันออกไป
   สองพ่อลูกคุยกันอยู่พักหนึ่ง และโอบกอดกันเบาๆ ก่อนที่เด็กน้อยจะผละออก และหันไปหอมแก้มผู้เป็นมารดาซึ่งโน้มตัวลงมาพร้อมกับน้องสาวตัวน้อยในอ้อมกอด เด็กหญิงน้อยยังคโบกมือและยิ้มจนเห็นฟันขาวที่เพิ่งงอก ในตอนที่ผู้เป็นมารดาก้าวเข้าไปในตัวรถพร้อมกับบิดา เด็กผู้ชายยืนโบกมือ รอยยิ้มค้างคาอยู่บนใบหน้า ในตอนที่รถบรรทุกขนาดใหญ่แล่นเข้ามา บดขยี้รถเปอร์เช่คันนั้นไปต่อหน้าต่อตา
   เขาสูญเสียครอบครัวทั้งหมดไปในวันนั้นเอง

   ฤดูใบไม้ผลิแสนสั้นไม่สดใสอีกต่อไปแล้ว ความเศร้าดูจะยาวนานไร้ที่สิ้นสุด ในงานศพ ผู้คนมากมายที่เด็กผู้ชายจำได้บ้างไม่ได้บ้าง ทยอยมากอดเขา พูดกับเขาเกี่ยวกับเรื่องการตาย แต่เด็กชายไม่เข้าใจคำพูดเหล่านั้นเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าถึงต้องพรากทุกคนไปจากเขาด้วย
   ในบ้านหลังเดิมที่ว่างเปล่า เด็กผู้ชายเริ่มต้นร้องไห้อย่างเงียบๆ มีเพียงเสียงสะอื้นสะท้อนอยู่ภายในตัวบ้าน เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าร้องไห้เพราะอะไร คงเพราะบ้านเงียบเหงาวังเวงจนน่าใจหาย คงเพราะเขาคิดถึงพ่อแม่และน้องสาว
   เสียงสะอื้นยังคงดังสะท้อนอย่างนั้นอยู่หลายวัน ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่วุ่นวายกับการจัดการเรื่องมรดก
   แล้ววันหนึ่ง ผู้ที่เขาเรียกว่าป้าก็มาที่บ้าน พาเขาออกจากบ้านว่างเปล่าหลังนั้น ไปในอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่กว่า มีพื้นที่มากกว่า มีคนมากกว่า แต่เด็กผู้ชายยังคงเก็บตัวเงียบและร้องไห้คนเดียวอยู่ในห้อง โดยไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลย
   ในที่สุด เขาก็ถูกส่งตัวไปบำบัดอาการทางจิตที่เกิดจากอาการช็อกที่โรงพยาบาล ผ่านไปสองเดือน ในห้องที่เต็มไปด้วยของเล่นแบบต่างๆ และเพื่อนพูดคุยต่างวัยที่คอยมาพูดจากับเขาในหลายรูปแบบ เด็กผู้ชายยอมเปิดปากพูดในที่สุด
   เด็กผู้ชายกลับมาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่นั้นอีกครั้ง ผู้เป็นป้าและสามีวางแผนให้เขากลับไปเรียน แต่ในคืนวันหนึ่ง เด็กผู้ชายก็ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน
   เพียงเพราะเขาไม่อาจหยุดร้องไห้เมื่อเห็นครอบครัวของป้าอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาได้
   ทำไมมีแต่เขาเพียงคนเดียวที่ถูกพระเจ้าพรากครอบครัวไป
   
   เด็กผู้ชายเดินลากเท้าเตร็ดเตร่ฝ่าอากาศหนาวเหน็บในช่วงฤดูใบไม้ร่วงมาจนถึงสถานีรถไฟใต้ดิน มันช่างอบอุ่นเมื่อเทียบกับการเดินอยู่ด้านนอก และเมื่อขบวนรถไฟขบวนหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่ชานชาลา เด็กผู้ชายก็ตัดสินใจก้าวขึ้นไป ขึ้นไปยังขบวนรถไฟที่เขาไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่จุดไหนกันแน่ เพียงเพราะอยากจะหนีไปให้พ้นเมืองที่อบอวลไปด้วยความทรงจำของสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว

   บนรถไฟขบวนนั้น เด็กผู้ชายโกหกเป็นครั้งแรก เขาโกหกกับคนตรวจตั๋วที่เป็นผู้หญิงว่าต้องการไปหามารดาที่มอสโคว์ เธอจึงแอบหาที่นั่งให้เขา และบอกเขาเมื่อถึงสถานีนั้น

   เมื่อถึงมอสโคว์ เด็กผู้ชายก้าวเท้าออกจากขบวนรถไฟ ตื่นตาตื่นใจกับความโอ่อ่าหรูหราของสถานีในเมืองหลวงจนลืมเรื่องเศร้าไปเสียสนิท ผู้คนมากมายแต่งตัวหลากหลายสีสันทำให้เขารู้สึกถึงความแปลกใหม่
   อาหารมื้อแรกในมอสโคว์เป็นซุปง่ายๆ ที่คนขายอาหารซึ่งเปิดร้านอยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟหยิบยื่นให้เขา หลังจากเห็นเด็กผู้ชายเดินวนเวียนอยู่หน้าร้านเป็นเวลานาน
   เด็กน้อยรับถ้วยซุปมาด้วยความดีใจ และพยายามเบียดตัวเข้าไปในซอกเล็กๆ ตรงตรอกริมถนน เพื่อทานซุปนั้นประทังความหิว
   แต่แล้วเสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
   เด็กผู้ชายทำถ้วยซุปหล่นจากมือทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทานเข้าไปเลยสักคำ เสียงนั้นดังเสียดเข้าไปในโสตประสาท เสียงที่พรากครอบครัวของเขาไป รถบรรทุกคันใหญ่แล่นผ่านถนนตรงหน้า แต่เด็กผู้ชายไม่ได้ยืนอยู่อีกแล้ว เขาคู้ตัวลงจนแนบกับพื้น สั่นกึกๆ น้ำตาไหลร่วงลงมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
   แม้ว่าเสียงของมันจะเงียบไปแล้ว อาการสั่นและหยาดน้ำตายังคงไม่หยุด จนใครต่อใครแถวนั้นพยายามเข้ามาปลอบประโลมเขา ช่างน่าสมเพช ทั้งๆ ที่หนีมาไกลขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยังไม่อาจพ้นจากอดีตที่ตามหลอกหลอนเขาได้เลย
   เด็กผู้ชายหนีเตลิดอีกครั้ง หนีจากการปลอบโยนของคนที่เขาไม่รู้จัก
   วิ่งหนีไปเรื่อยๆ ในความมืดและแสงสีที่ไม่คุ้นเคย จนล้มลงตรอกมืดๆ ตรอกหนึ่ง เด็กผู้ชายนอนคู้ตัวอยู่แบบนั้น ร้องไห้โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบเหตุผล
--------------------------
   ในตรอกเล็กๆ เด็กหนุ่มตื่นขึ้นเพราะใครบางคนกำลังพยายามถอดเสื้อกันหนาวของเขาออก เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบเด็กสองคนยืนอยู่ เด็กผู้ชายไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คนพวกนั้นถึงพยายามจะถอดเสื้อของเขา รู้เพียงแต่เขาไม่รู้สึกดีใจเลยที่ถูกทำแบบนี้ ดังนั้นเด็กทั้งสามจึงทะเลาะกัน ถึงขั้นต่อยตี และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของทางเดินในอาชีพที่ทุกคนไม่เคยคาดหวัง
   เด็กที่มาแย่งเสื้อกันหนาวของเขาเป็นสมาชิกของแก๊งเด็กข้างถนนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น หลังจากชนะการต่อสู้ เด็กผู้ชายก็ได้รู้จักกับสมาชิกคนอื่นๆ ในแก๊งนั้น และถูกชักชวนให้เข้าแก๊งในเวลาต่อมา
   ที่นั่น เด็กผู้ชายได้พบโลกที่แตกต่างจากโลกเดิมของเขาอย่างสิ้นเชิง การดำรงชีวิตอยู่ในมอสโคว์โดยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่รูเบิลเดียวนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แก๊งเด็กข้างถนนสอนให้เขารู้จักการลักเล็กขโมยน้อยในตลาด แน่นอนว่าเขาเป็นมือใหม่สำหรับเรื่องนี้ และถูกจับได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ดังนั้นเขาจึงไม่ถูกยอมรับในกลุ่มมากนัก ทุกคนมองว่าเขาไร้ค่า บ้างก็หาว่าเขาเป็นตัวประหลาด พิกลพิการจากสีตาที่ไม่เท่ากันนั้น
   เด็กผู้ชายสิ้นหวังอีกครั้ง ท้อแท้กับชีวิตที่เขาไม่เข้าใจ เขาเริ่มเก็บตัว อาการหวาดกลัวรถบรรทุกก็ยังตามหลอกหลอน แต่ตอนนี้ไม่มีใครให้เขาพึ่งพาอีกแล้ว ไม่มีแม้แต่เพื่อนหรือคนที่เคยหัวเราะเยาะ เขากลับมาเผชิญกับความเป็นจริงเพียงลำพังอีกครั้ง
   สิ้นหวังและไม่มีใคร
   มีเพียงเสียงรถบรรทุกและความหิวที่ทวีขึ้นเรื่อยๆ
   คงเพราะสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอด คืนนั้นเด็กผู้ชายไปที่ถังขยะ หาของที่พอจะกินได้ใส่ท้อง และเริ่มวางแผนการใช้ชีวิตในโลกที่ไม่มีใครพอให้พึ่งได้อีก
   เขาไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อเหตุผลอะไร รู้เพียงแต่เขาจะไม่ยอมตายอย่างเด็ดขาด จะไม่ยอมให้พระเจ้าพรากชีวิตเขาไปอย่างทารุณเฉกเช่นที่ทำกับพ่อแม่และน้องสาว
   เด็กผู้ชายกลับมายืนหยัดอีกครั้ง เผชิญหน้ากับความหวาดกลัวของตนเอง นอนในมุมตรอกใกล้ถนนที่มีรถบรรทุกวิ่งผ่านเป็นประจำ ตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่นคืนแล้วคืนเล่า แทบจะเป็นบ้าไปเสียให้ได้ กว่าที่สมองเขาจะเข้าใจว่ารถบรรทุกไม่ได้อันตรายและน่ากลัวไปเสียทุกคัน เวลาก็ผ่านไปเป็นเดือนแล้ว เวลานี้แม้แต่เด็กที่เล็กและอ่อนแอที่สุดในแก๊งเด็กข้างถนน ยังหัวเราะเยาะเวลาเดินผ่านเขาด้วยซ้ำ
   แต่เด็กผู้ชายตัดสินใจแล้ว เขาจะเอาชีวิตรอดไปให้ได้ และจะไม่ยอมให้ใครหัวเราะอีก เขาหวนคืนสู่แก๊งเด็กอีกครั้ง โดยการท้าพนันกับหัวโจกของเด็กกลุ่มนั้น เรื่องการล้วงกระเป๋าในตลาด
   ช่วงที่เผชิญหน้ากับความหวาดกลัวจากอดีต เด็กผู้ชายใช้เวลาส่วนที่เหลือ ไปกับการสังเกตผู้คนที่เดินไปเดินมา สังเกตท่าทาง การกระทำ ลักษณะนิสัยที่คนจะแสดงออกมาเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เขาทดลองล้วงกระเป๋าและถูกจับได้อยู่หลายครั้ง กระนั้นเด็กผู้ชายก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย แน่นอนว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาไม่ได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ขณะที่ถูกหัวเราะเยาะ เด็กผู้ชายก็พยายามคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาของตนเองอย่างเงียบๆ ทดลองสิ่งที่เขาคิด และการท้าประลองในครั้งนั้น เขาเป็นฝ่ายชนะอย่างที่ไม่มีใครอยากเชื่อ
   เด็กผู้ชายถูกต้อนรับกลับเข้ากลุ่มอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ยอมแช่ตัวเองอยู่กับที่อีกต่อไป เด็กผู้ชายพยายามพัฒนากลยุทธของตนให้ดีขึ้น เขากลายเป็นจุดสนใจ กลายเป็นดาวเด่นของกลุ่ม ทุกคนหันมามองเห็นเขา ไม่ล้อเขาว่าเป็นพวกพิการอีกต่อไป แต่เด็กผู้ชายไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว เขามุ่งไปข้างหน้า พัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ มองหาความท้าทายใหม่ๆ แล้วในที่สุดเขาก็ได้พบกับผู้ชายที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง
   ผู้ชายคนนั้นท่าทางแปลกกว่าคนอื่นๆ ที่เด็กผู้ชายเคยพบเห็น ท่าทางสบายๆ แต่ก็ดูจะระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญดูจะกระเป๋าหนักไม่ใช่เล่น ผู้ชายคนนี้แหละที่จะเป็นเป้าหมายต่อไปของเขา
   เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนหลังจากกลับเข้าแก๊งที่เด็กผู้ชายถูกจับได้ ผู้ชายคนนี้ต่างจากคนอื่นๆ จริงๆ แม้จะไม่ถูกจับได้มานาน แต่เด็กผู้ชายมีการวางแผนดีพอในการเอาตัวรอด เขาหนีมาได้พร้อมกับเงินที่ขโมยมา หลังจากใช้เงินอย่างสนุกสนานจนเป็นที่พอใจแล้ว เขาก็ได้พบกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง
   ผู้ชายที่จับเขาได้ แต่ก็ปล่อยให้เขารอดมา
   เด็กผู้ชายรู้ตัวในทันทีว่าเขาไม่สามารถหนีพ้นผู้ชายคนนี้ได้ แต่แทนที่จะกลัว เขากลับรูสึกตื่นเต้นปนสงสัย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงแปลกว่าคนอื่น ทั้งๆ ที่ภายนอกก็ดูเป็นคุณลุงหน้าตาธรรมดาแท้ๆ
   ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้กับเด็กผู้ชาย ราวกับว่าเป็นการหลานเสียมากกว่าจะเป็นการจับหัวขโมยได้ มันเป็นรอยยิ้มง่ายๆ และจริงใจซึ่งเด็กผู้ชายเกือบจะลืมไปแล้ว จากนั้นก็แนะนำตัวเอง
   อเล็กเซคือชื่อของผู้ชายคนนั้น
   เขาแนะนำตัวเองและถามคำถามง่ายๆ ที่ทำให้ชีวิตของเด็กผู้ชายเปลี่ยนไปอีกครั้ง
   “อยากทำอะไรที่มันท้าทายกว่านี้อีกรึเปล่า?”
   เด็กผู้ชายตอบรับคำถาม และติดตามผู้ชายคนนั้นไป
   นั่นคือก้าวแรกของการเข้าสู่วงการจารชนของเขา
------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “อโลช่าเป็นอาจารย์ผม” รูฟัสกล่าว อโลช่าเป็นชื่อเรียกเล่นๆ ของอเล็กเซ ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ
   “เขาเป็นคนให้ชื่อผมว่ารูฟัส”
   “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนแล้วล่ะ?”
   “ตายแล้ว” รูฟัสกล่าวและคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นสีหน้าสลดของคนถาม
   “เขาถูกลอบสังหาร เป็นเรื่องธรรมดาของคนในวงการนี้อยู่แล้ว” ชายหนุ่มกล่าวต่อ แต่ยังไม่ทันได้เริ่มพูดประโยคต่อไป วงแขนผอมบางก็โอบรัดเขาไว้อีกครั้ง
   ฟ่งดึงตัวของรูฟัสเข้ามากอด ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเบื้องหลังชีวิตของผู้ชายที่เขาเคยหวาดกลัวคนนี้จะมีอดีตที่แสนจะขมขื่น หากเปลี่ยนเป็นเขาแล้วล่ะก็ คงไม่สามารถจะยิ้มออกมาได้แบบที่ผู้ชายคนนี้ยิ้มแน่ๆ
   รูฟัส....
   รูฟัสกอดตอบร่างที่โอบรัดเขาอยู่ อุ่นวาบไปทั่วร่าง ชีวิตของเขาที่อ้างว้างเดียวดายและปฏิเสธทุกคนมานาน ท้ายที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ผู้ชายสวมแว่นผมสีน้ำตาลคนนี้ ผู้ชายที่เริ่มต้นแค่เป็นคนข้างห้อง ความสัมพันธ์ธรรมดาๆ ที่ชีวิตของเขาลืมเลือนไปแล้ว ผู้ชายที่ดึงหัวใจของเขากลับมา
   “ขอบคุณนะครับ ผมไม่เป็นไรหรอก” รูฟัสกล่าวออกมา ก้มลงจุมพิตพวงแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ และเล่าเรื่องราวของตนเองต่อ
   “หลังจากนั้นผมก็ย้ายมาอยู่กับราฟี่ คุณคงเห็นรูปถ่ายแล้ว”
   ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง และพูดออกมา “คุณตอนเด็กๆ น่ารักดี”
   พอพูดจบแล้วก็อดรู้สึกเสียวสันหลังไม่ได้ เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ฟ่งยังไม่ลืมว่าคราวก่อนที่เขาพูดแบบนี้รูฟัสทำอะไร ร่างผอมบางผงะหนีโดยสัญชาตญาณ
   “ผมไม่ทำแบบคราวที่แล้วหรอกครับ” หนุ่มตาสองสีกล่าวอย่างรู้ตัว “คราวที่แล้วผมทำไปเพราะไม่ยอมหักห้ามความต้องการของตัวเอง เลยทำให้คุณกลัว แต่ผมรับรองว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก”
   “อือ..” ฟ่งพยักหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าคำพูดของผู้ชายคนนี้จะเชื่อถือได้แค่ไหนกันแน่ และถ้ารูฟัสเกิดหน้ามืดขึ้นมาอีก เขาจะต้านอย่างไร
   จู่ๆ รูฟัสก็ดึงตัวเขาเข้าไปกอดอีกครั้ง ฟ่งตกใจจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ราวกับเพียงต้องการรับรู้ว่าคนในอ้อมกอดเป็นของจริง ไม่ใช่ความฝัน
   “ผมดีใจที่ได้พบคุณ” รูฟัสพูดขึ้นมาอีกครั้ง เขาขยับตัว เลื่อนใบหน้าออกมา นัยน์ตาสองสีที่มองมาทำให้หัวใจของฟ่งสั่น สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก
   “ยังอยากรู้อะไรอีกรึเปล่าครับ?”
   ฟ่งนิ่งนึกไปพักหนึ่ง เขายังอยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้อีกนะ เรื่องที่รูฟัสเล่าเกี่ยวกับชีวิตตัวเองสะเทือนใจเขามาก ก่อนหน้านี้เขามีหลายเรื่องที่อยากจะถาม แต่พอถึงตรงนี้แล้ว ฟ่งกลับนึกเรื่องเหล่านั้นไม่ออกเลย ที่เขานึกได้คือการกอดฝ่ายนั้นไว้อีกครั้ง
   “เล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังบ้างสิครับ” รูฟัสพูดขึ้น หลังจากที่ฟ่งคลายอ้อมกอดแล้ว คนถูกถามยกมือขยับแว่นให้เข้าที่ มองหน้าอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง จึงพูดออกมา
   “ชีวิตของผมไม่มีอะไรหรอก ผมหมายถึงคงจะเอาไปเทียบกับชีวิตคุณไม่ได้ ผมเป็นแค่คนธรรมดาๆ ”
   “เล่ามาเถอะครับ ผมอยากฟัง” รูฟัสว่า ฟ่งกะพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดต่อ
   “ผมมีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง ที่คุณเจอวันก่อนนั่นแหละ แล้วก็มีน้องชายอีกคน แล้วก็มีแม่...”
   “ครับ...”
   “พ่อผมเสียไปตอนน้องชายเกิดได้ไม่กี่เดือน แต่ก่อนหน้านี้ผมก็จำอะไรเกี่ยวกับพ่อตัวเองไม่ได้หรอก เหมือนว่าเขาจะทำงานอยู่ที่ไกลมาก แม่บอกว่าอย่างนั้น แล้วเขาก็ตายด้วยอุบัติเหตุหรืออะไรสักอย่าง ครอบครัวผมเลยเหลือกันแค่สี่คน แต่แม่ก็เลี้ยงดูพวกเรามาได้ เราช่วยๆ กันทำงานทุกอย่างที่พอจะทำได้ อืม...ชีวิตผมไม่ได้ลำบากเท่าไหร่หรอกนะ”
   รูฟัสไม่พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มๆ และจูบเขาๆ ที่หน้าผากเขาทีหนึ่ง ฟ่งหน้าแดงทันที
   “รูฟัส...คุณชอบงานที่คุณทำรึเปล่า?” ในที่สุดหนุ่มสวมแว่นก็ถามออกมา ถามเสร็จแล้วก็ขบริมฝีปากเหมือนนึกขึ้นได้ว่าไม่น่าถามออกไป รูฟัสกะพริบตาปริบๆ อยู่พักหนึ่งจึงพูดตอบ
   “ชอบครับ ก็มันเป็นชีวิตผมไปแล้ว”
   “แล้ว...คุณชอบฆ่าคนด้วยรึเปล่า?”
   คราวนี้คนถูกถามมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะ
   “ผมทำงานแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องฆ่าคนนะครับ อีกอย่างผมก็ไม่ได้ชอบด้วย”
   “แต่ถ้ามีคนมาเห็นความลับของคุณเข้า คุณก็ต้องฆ่าเขาปิดปากใช่ไหมล่ะ?” ฟ่งถาม และนึกถึงภาพยนตร์หรืออะไรก็ตามที่เขาเคยดู แน่นอนว่าภาพของรูฟัสที่แทงมีดเข้าใส่จางซื่อเยี่ยนยังคงฝังใจเขาอยู่ รวมถึงสายตาของราฟาแอลที่มองมาทางเขาด้วย
   “ถ้าผมเกิดไปเห็นสิ่งที่คุณไม่อยากให้เห็น หรือรู้ความลับของคุณเข้า คุณ..คุณก็คงจำเป็นต้องกำจัดผมใช่ไหม?” ฟ่งพูดต่อ ใจนึกไปถึงตอนที่เขาถูกว่าจ้างให้เขียนแบบแปลนนั่น คนพวกนั้นกับคนที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างกันตรงไหน? คนที่ทำสิ่งผิดกฎหมาย มีแต่ความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้ซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด
   “ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่” รูฟัสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และมองคนตรงหน้าอย่างวิตก ดูเหมือนฟ่งจะยังสองจิตสองใจที่จะเชื่อถือเขาอยู่ ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไรนัก การที่เจ้าตัวกลับมาหาเขานี่สิแปลก
   รูฟัสจับมือของอีกฝ่ายแน่น ในเมื่อฟ่งกลับมาหาเขาแล้ว เขาจะไม่ยอมปล่อยไปอีกเด็ดขาด
   เขาจะไม่ยอมเสียหัวใจไปอีกแล้ว
   “ถ้าผมอยากจะปิดบังคุณ ผมคงไม่เล่าให้คุณฟังขนาดนี้หรอกครับ ผมคงไม่พาคุณไปที่บ้าน แนะนำคุณให้คนอื่นรู้จัก จริงอยู่ผมต้องรักษาความลับหลายอย่าง เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แต่ผมเชื่อใจคุณ และไม่เคยคิดจะทำอะไรเลวร้ายแบบนั้นกับคุณเลย ผมทำไม่ลงหรอกครับ เพราะผมรักคุณมาก”
   ฟ่งหน้าแดงอีกครั้ง รูฟัสใช้คำนี้อธิบายทุกอย่างอีกแล้ว แต่คนที่ใช้ชีวิตแบบนี้ก็สมควรที่จะต้องระวังตัวเองในหลายๆ ด้าน การที่รูฟัสพูดว่าไว้ใจเขาโดยที่เขาไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับเจ้าตัวเลย คงไม่ใช่การพูดพล่อยๆ
   “นี่...รูฟัส คุณทำงานแบบคนธรรมดาได้รึเปล่า ผมหมายถึง คุณกลับมาใช้ชีวิตสุจริตได้ไหม?”
   รูฟัสมองหน้าคนถาม ที่กำลังช้อนดวงตาสีน้ำตาลมาทางเขาอย่างคาดหวังอะไรบางอย่าง ก่อนจะกลืนน้ำลาย
   “ไม่รู้สิครับ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ความจริงผมก็ทำงานปกติได้หลายอย่างนะครับ เพียงแต่มันเป็นฉากบังหน้าของผมเท่านั้น”
   “คุณ...คุณเลิกเป็นสายลับได้ไหม เลิกทำอาชีพเสี่ยงๆ แบบนี้ แล้วไปทำงานธรรมดาเต็มตัว..อย่างบาร์เทนเดอร์หรือครูสอนภาษาอย่างที่คุณเคยบอกผมก็ได้”
   “ราฟี่ได้ยินคงโมโหคุณแน่ๆ “ รูฟัสกล่าวพลางยิ้มให้คนถาม เขาพอจะเข้าใจเจตนาของฟ่งแล้ว ฟ่งคงอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับเขาจริงๆ ถึงได้ถามอะไรแบบนี้ออกมา หัวใจของชายหนุ่มพองโตขึ้นมาทันที
   “อือ...ก็เขาเป็นเพื่อนสนิทคุณนี่” ฟ่งว่า และนึกถึงดวงตาสีเขียวน่ากลัวนั้นอีกครั้ง
   “เขาจะฆ่าผมไหม?”
   รูฟัสมองหน้าฟ่งอย่างแปลกใจทันที ร่างผอมบางเอ่ยต่อ “ก็ผมพยายามชวนคุณให้เลิก เหมือนผมไปขัดงานของเขานะ ดูเขาไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่”
   “ราฟี่ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ” รูฟัสพูด พยายามยิ้มเพื่อปลอบใจอีกฝ่าย แต่ก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าราฟาแอลจะทำอะไรกับฟ่งหรือเปล่า เอาเถอะถึงจะเป็นคนแบบราฟาแอลก็คงจะรู้เหมือนกันว่าขืนทำอะไรแบบนั้นลงไปคงได้เจอกับเรื่องไม่โสภาแน่ เขารู้จักราฟาแอลมานาน และฝ่ายนั้นก็รู้จักเขามานาน รูฟัสพอจะเชื่อใจได้ว่าราฟาแอลคงไม่ทำอะไรฟ่งด้วยเหตุผลที่ว่ามาแน่ๆ
   “ถึงเขาจะดูเป็นคนเย็นชา แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกครับ” หนุ่มตาสองสีพูดต่อ พลางรู้สึกแสลงใจเล็กๆ ก็เจ้าหมอนั่นนั่นแหละที่เกือบทำให้เขาไม่ได้พูดกับฟ่งอีกแล้ว นึกไปก็น่าต่อยสักหมัดจริงๆ
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส กะพริบตาปริบๆ “ผมคงต้องเชื่อคุณสินะ”
   คนถูกถามหัวเราะออกมา “เชื่อผมไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ”
   ร่างผอมบางเหลือบตาขึ้นมองด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่เชื่อแน่ๆ รูฟัสหัวเราะขืนๆ อีกครั้ง
   “คือราฟี่เขาเป็นคนมีปมชีวิตอยู่เหมือนกันนะครับ เขาถึงได้ดูเป็นคนแบบนั้น”
   “อือ..” ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง รูฟัสไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจหรือเปล่า แต่คงไม่ใช่กงการอะไรของเขาที่จะต้องอธิบายชีวิตของราฟาแอลให้คนอื่นฟัง
   ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “ขอโทษนะ แต่ผมน่ะคงใช้ชีวิตโลดโผนแบบพวกคุณไม่ไหวหรอก ปืนผมก็ยิงไม่แม่น ทักษะทางร่างกายก็ไม่ได้เรื่อง ผม....”
   “ก็ไม่ได้จะให้คุณมาใช้ชีวิตแบบนี้หรอกครับ” รูฟัสรีบตอบไปทันที ดูฟ่งจะจริงจังกับเรื่องที่บอกว่าจะอยู่กับเขาจนอดรู้สึกจะดีใจขึ้นมาอีกไม่ได้
   “เอาไว้จบงานนี้แล้ว ผมจะพูดกับราฟี่ดูแล้วกัน เขาคงเข้าใจผมบ้างแหละ” หนุ่มตาสองสีว่า พยายามยิ้มอย่างอ่อนโยนที่สุด ความจริงแล้วราฟาแอลไม่ได้เป็นปัญหากับเขาในการจะเลิกหรือไม่เลิกอาชีพนี้ ฟ่งคงไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาทำอยู่ใช่ว่าเลิกแล้วจะไม่มีเรื่องวุ่นวายตามมา รูฟัสรู้จักวิถีของคนในวงการนี้ดี แต่เขาไม่อยากทำลายความหวังของฟ่ง ทำร้ายความรู้สึกจนฟ่งหนีเตลิดไปจากเขาอีกหน ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน เขาก็จะทำให้ได้ เพื่อให้ผู้ชายคนนี้อยู่กับเขา
   คนที่เขารักมากที่สุด

   ฟ่งมองหน้ารูฟัส แล้วจู่ๆ ก็หาวหวอดออกมา
   “ผมง่วงจัง” ร่างบางกล่าว และสอดนิ้วเข้าไปใต้แว่นเพื่อปาดน้ำตาที่ไหลซึมออกมา รูฟัสมองคนตรงหน้าซึ่งมีสีหน้าว่าง่วงเหมือนที่ปากว่าจริงๆ
   “เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ” ฟ่งกล่าว กะพริบตาซ้ำอีกหลายครั้ง ได้ยินเสียงรูฟัสพูดตอบ “คิดถึงผมหรือครับ?”
   ร่างผอมบางหน้าแดงวาบขึ้นมาทันที “มะ..ไม่รู้”
   คนฟังยิ้มกริ่ม ก้มลงหอมแก้มแดงๆ นั้น แล้วพูดต่อ “ผมก็นอนไม่หลับนะครับ คิดถึงคุณตลอดเลย”
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ และทำหน้าแปลกๆ “ถ้างั้นนอนกันเถอะ ผมง่วงแล้ว”
   ไม่พูดเปล่า ทิ้งตัวนอนลงจริงๆ เล่นเอารูฟัสทำตัวไม่ถูก ท้ายที่สุดจึงต้องล้มตัวลงนอนข้างๆ ฟ่งถอดแว่นออก และหลับตาลง หลังจากนั้นรูฟัสถึงรู้สึกว่าฟ่งเลื่อนมือมาแตะมือของเขาที่วางอยู่เบาๆ
---------------------------------------------------
   “วันนี้รูฟัสไม่มาเหรอคะ?”
   ชานดอร์หันไปมองตามเสียงทัก เขาจำได้คับคล้ายคับคลาว่าเป็นผู้หญิงในกลุ่มเมื่อวานที่ดูเหมือนจะนั่งรอเคาน์เตอร์บาร์ว่าง ผู้เป็นเจ้าของร้านมองไปยังประตูทางเข้า แล้วส่ายหน้า
   “คงไม่มาหรอก” เขาตอบ พลางส่งแก้วเหล้าให้หล่อน  ชานดอร์ยังไม่ได้พบกับรูฟัสเลยตั้งแต่เช้า เขาได้ยินจากคนเฝ้าเกสท์เฮาส์ว่า หนุ่มตาสองสีคนนั้นนั่งรถแท็กซี่ออกไป บางทีอาจจะไปส่งอดีตแฟนก็ได้
   หญิงสาวมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย หล่อนหันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่  ชานดอร์เดาว่านี่คงเป็นกลุ่มหนึ่งที่แอบปลื้มรูฟัสแน่ๆ
   ความจริงรูฟัสไม่ได้มาที่บาร์ของเขาบ่อยถี่นัก แต่ถ้าหากว่าใครอยากจะเจอหมอนั่นล่ะก็ การมาดักรอพบที่บาร์ของเขานี่แหละง่ายที่สุด  ด้วยหน้าตาที่เรียกได้ว่ามองกี่ทีก็ไม่เบื่อ บวกกับนิสัยใจดี เป็นมิตรและเข้ากับคนง่าย ทำให้รูฟัสมีทั้งหญิงและชายมาติดพัน อย่างไรก็ตามรูฟัสไม่เคยจริงจังกับใครมาก่อน ถ้าพอใจก็อาจจะมีอะไรกันครั้งสองครั้ง แต่ก็ไม่เคยติดอกติดใจใครนานๆ นั่นทำให้ชานดอร์นึกสงสัยว่า คนแบบไหนกันหนอที่รั้งหัวใจของรูฟัสเอาไว้ได้
   “ขอเหล้าผลไม้ที่หนึ่ง” เสียงของลูกค้าทำให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ เขารีบเทส่วนผสมทั้งหมดลงในแก้วผสม และรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเสียงนั้น
   “อ้าว เจ้ารูฟัส” ชานดอร์เอ่ยทักทันทีเมื่อเห็นใบหน้าชัดๆ ของลูกค้า รูฟัสคลี่รอยยิ้มพิมพ์ใจตามแบบฉบับของเขา และนั่นเป็นการจุดชนวนเสียงทักทายหลายเสียงจากกลุ่มหญิงสาวที่นั่งอยู่
   “รูฟัส นึกว่าคุณจะไม่มาแล้วเสียอีก”
   “ไง รูฟัส นี่ฉันเอง ลิซ จำได้ไหม?”
   ดูเหมือนผู้ถูกทักจะผงะเล็กน้อยทันทีและรีบยกมือห้าม ชานดอร์นึกสงสัยว่ารูฟัสรู้จักกับพวกหล่อนมาก่อน หรือแม่พวกนี้ทึกทักไปเองกันแน่
   “สวัสดีครับ ผมมาคุยธุระน่ะ เดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ” ชายหนุ่มตาสองสีตัดบท เขาจำพวกหล่อนไม่ได้เลยสักคน และคิดไม่ออกว่าเคยไปทักทายตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่นี่ถือเป็นอีกเรื่องที่ปกติในชีวิตเขา ถึงอย่างนั้นรูฟัสก็ไม่อยากทำให้ผู้ที่มาด้วยกันเสียอารมณ์เพราะเสียงทักทายพวกนี้
   “อ่าว  มาแล้วก็จะกลับเลยรึ? แล้วมาทำไม?” ชานดอร์เอ่ยถามอย่างสงสัย ขณะส่งเหล้าผลไม้ให้รูฟัส ชายหนุ่มรับมา และยื่นให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ
   “นั่งก่อนสิครับฟ่ง” รูฟัสกล่าว คนที่มาด้วยกันเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบกว่าๆ สวมแว่นตาหนาเตอะ ผมกระเซอะกระเซิง ท่าทางดูหงิมๆ  ชานดอร์ขมวดคิ้ว  เขาฟังภาษาที่รูฟัสใช้สื่อสารกับเด็กคนนั้นไม่ออก คงเป็นชาวต่างชาติ
   ชายหนุ่มคนนั้นนั่งลงและรับแก้วมา ก่อนจะค่อยๆ ยกขึ้นจิบ และยิ้มออกมา “อร่อยดี”
รูฟัสยิ้มตอบ และหันหน้ากลับมาหาชานดอร์ต่อ
   “ผมว่าจะมาขอบคุณนาย”
   “เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อน! อย่าบอกนะว่านั่นแฟนนาย คนที่ว่าจะบินกลับไปวันนี้น่ะ” ผู้สูงวัยกว่ารีบกล่าวออกมาอย่างนึกขึ้นได้ พลางมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังจิบเหล้าผลไม้อยู่ รูฟัสพยักหน้า
   “อืม...คนนี้แหละ”
   “ฉันคิดว่าจะเด็กกว่านี้เสียอีก” อีกฝ่ายกล่าว และมองร่างผอมบางที่นั่งอยู่ขึ้นๆ ลงๆ  ฟ่งยิ้มอย่างประหม่า นี่คงเป็นคนที่รูฟัสบอกว่าเป็นเจ้าของเกสท์เฮาส์ที่เขาพักอยู่แน่ๆ
   “ผมไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นนะ” รูฟัสกล่าวอย่างอ่อนใจ ชานดอร์ยักไหล่
   “ใครจะไปรู้ล่ะ แล้วไปไงมาไงเนี่ย จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนใจกลับมาหานายหรือไง”
   “ก็ทำนองนั้นแหละ” ชายหนุ่มว่า และเหลือบมองฟ่งที่ดูเหมือนจะติดใจเครื่องดื่ม  เขานึกอยากลองชิมเหล้านั้นขึ้นมาบ้าง
   “ชิ น่าเสียดาย จริงๆ น่าจะหักอกนายให้ดังเป๊าะไปเลย”
   “ทำไมพูดจาใจร้ายกับผมอย่างนั้นล่ะ” รูฟัสว่า และทำหน้าเบ้
   “ก็คนอย่างนายมันน่าหมั่นไส้นี่ เอาเถอะ ดีกันก็ดีแล้ว ราฟี่จะได้เลิกสติแตกเสียที”
   “อ่าว ราฟี่โทรมาหาคุณเหรอ?” รูฟัสถามด้วยความแปลกใจ ชานดอร์ยักไหล่
   “ฉันโทรไปเองแหละ ท่าทางหมอนั่นกำลังปวดหัวหน้าดูที่นายหายไป”
   “ก็น่าอยู่” รูฟัสว่า แต่เขาไม่รู้สึกผิดสักนิด ก็ราฟาแอลนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาทุรนทุรายแทบตาย ถ้าเจ้านั่นไม่พาฟ่งออกไปล่ะก็ บางทีเขาอาจจะได้กอดฟ่งเร็วกว่านี้
   “แล้วนี่จะกลับไปบ้านเลยรึ?” ชานดอร์ถามต่อ และหันไปสั่งเด็กเสิร์ฟให้ไปดูแลลูกค้าตรงโต๊ะหัวมุม
   “ก็คงงั้น  แต่ผมอยากแวะมาขอบใจนายก่อน ทั้งเรื่องที่พักและเรื่องคำแนะนำน่ะ”
   อีกฝ่ายยักไหล่ “ไม่ต้องมาขอบคุณหรอก สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ไม่ใช่เหรอ”
   “ได้ใช้สิ” รูฟัสว่า และกล่าวต่อ “คุณทำให้ผมคิดอะไรได้มากขึ้น ยังไงก็ขอบใจนะชานดอร์”
   หนุ่มตาสองสีว่า พลางหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา อีกฝ่ายรีบห้าม
   “เฮ้ๆ นายจ่ายค่าที่พักครบแล้วน่า นายก็รู้ว่าฉันไม่อยากได้เงินของนายหรอก ถ้าอยากจะตอบแทนล่ะก็  มาทำงานใช้สักเดือนเป็นไงล่ะ” เขาว่า  รูฟัสยิ้มแห้งๆ  เก็บกระเป๋าสตางค์ลง
   “ถ้าอาทิตย์เดียวล่ะก็ได้อยู่”
   “ว่างก็มาแล้วกัน” ชานดอร์พูดยิ้มๆ เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่รูฟัสจะมาทำงานที่นี่เป็นประจำ แค่เจ้านี่ยอมรับปากก็ถือว่าแปลกแล้ว  รูฟัสหัวเราะ ก่อนจะหันกลับไปหาฟ่งอีกครั้ง
   “ฟ่งครับ ไม่เมานะครับ?” เขาว่า เมื่อเห็นว่าเครื่องดื่มลดไปกว่าครึ่งแก้ว ฟ่งหันมามองหน้าเขาแบบงงๆ “ไม่เมาหรอก”
   แต่รูฟัสดูเหมือนจะไม่ไว้ใจนัก เขาคว้าแก้วที่เหลือมาจัดการจนเรียบ และส่งแก้วเปล่าให้ชานดอร์ ฟ่งมองอย่างเสียดาย
   “ฉันผสมให้ใหม่เอาไหม?” ชานดอร์ถามฟ่งเป็นภาษาอังกฤษ  แต่รูฟัสรีบห้ามทันที
   “อย่าทำความตั้งใจของผมพังสิ”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วทันที “นี่นายไม่ได้กะจะเอาเขามามอมหรอกรึ?”
   คนฟังย่นคิ้ว “คุณเห็นผมเป็นคนแบบไหนเนี่ย เอาล่ะๆ ผมกลับดีกว่า โชคดีนะ ไว้เจอกันวันหลัง”
   หนุ่มตาสองสีรีบพูด และพาคู่รักออกไปทันที  ทิ้งให้ชานดอร์ยืนอมยิ้ม
   เจ้าเด็กนั่นคิดจะแสดงเป็นหมาป่าในคราบลูกแกะหรือไงนะ
------------------------------------
   “ฉันควรจะโทรหาชานดอร์รึเปล่า” จู่ๆ ราฟาแอลก็เอ่ยขึ้นในระหว่างมื้ออาหารเย็น คนเดียวที่ได้ยินคำถามนี้คือคลาวเดียที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา หล่อนขมวดคิ้วอย่างแปลกใจและถามกลับ
   “จะให้ตามรูฟัสกลับมาหรือ?”
   “อืม” หนุ่มตาสีเขียวรับคำ และนิ่งคิดไปพักหนึ่ง หญิงสาวจึงพูดขึ้นบ้าง
   “ไม่ต้องหรอกมั้ง หรือว่าคุณมีธุระด่วน?”
   เขาพยักหน้าหงึกหงัก “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ พอดีงานมีความคืบหน้า ไม่สิ เรียกว่ามีข่าวใหม่เข้ามาดีกว่า ค่อนข้างจะไม่ดีเสียด้วย ผมอยากให้เจ้านั่นกลับมาทำงานได้ไวๆ”
   คลาวเดียยักไหล่อย่างนึกขำ “ทีนี้ล่ะอยากรีบใช้  ทีทำให้เขาหนีไปล่ะไม่พูด”
   “โธ่ ถึงไม่ทำแบบนี้เจ้านั่นก็ไม่เป็นอันทำงานอยู่ดีแหละน่า เจ้าเด็กตัวปัญหาก็กลับไปแล้ว เจ้านั่นน่าจะกลับมาได้แล้ว อกหักก็อย่าฟูมฟายนานนัก”
   “แล้วอกหักนี่มันต้องใช้เวลาฟูมฟายกี่วินาทีกันล่ะ พ่อนักรัก”
   ราฟาแอลหันควับไปทันทีที่ได้ยินเสียง เจ้าหนุ่มตาสองสีที่เขาเอ่ยถึงกำลังยืนท้าวสะเอวอยู่ตรงทางเดินเข้ามาในครัว
   “กลับมาไว้ดีนี่” เขากล่าว แล้วก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เมื่อมองเลยไปเห็นอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
   “ตกใจล่ะสิที่เห็นว่าเขาอยู่กับผมน่ะ” รูฟัสพูด พลางแค่นยิ้ม ราฟาแอลหันมามองคลาวเดียทันที
   “ไหนว่าไปส่งแล้วไง?”
คลาวเดียยักไหล่ “ก็ไม่ได้บอกว่าจะไปส่งที่ไหนนี่”
   “อืมมมม” ราฟาแอลคำรามในคอ พลางยกมือเกาหัว  รูฟัสหัวเราะขึ้นมาบ้าง
   “ทำไม ผิดหวังรึ? นี่คุณมุ่งมั่นจะให้ผมอกหักจริงๆ ใช่ไหม?”
   นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นมองมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ฉันไม่รู้หรอกว่าแกกับคลาวเดียวางแผนกันยังไง แต่ว่าแกกับเขาดีกันได้แล้ว?  ฉันหมายถึงเข้าใจกันดีแล้วเหรอ ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวหนีออกไปอีกนะ”
   รูฟัสยิ้มร่า ดึงฟ่งเข้ามาหอมแก้มดังฟอด
   “ดีกันแล้วแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์” เขาว่า ราฟาแอลทำหน้าขยะแขยงสุดฤทธิ์ ขณะที่ฟ่งผลักรีบผลักออกและโวยวายเบาๆ
   “ถ้าเข้าใจกันได้ ฉันก็ดีใจล่ะ แต่ว่าเธอน่ะน่าจะทำตัวให้มันดีขึ้นบ้างน่ะ” คลาวเดียว่า  รูฟัสรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที
   “ผมทำแน่ ขอบคุณคุณมากเลยนะคลาวเดีย ถ้าไม่ใช่คุณแต่เป็นราฟี่ล่ะก็ ป่านนี้ผมคงเป็นบ้าอยู่แถวไหนสักแห่ง”
   “อย่าเพ้อให้มันมากนักน่า” ราฟาแอลตัดบท
   “ลองแกปากดีได้ขนาดนี้แปลว่าพร้อมจะทำงานแล้วสิ ถ้างั้นไปที่ห้องรับแขกกับฉันหน่อย มีข่าวใหม่”
   “โห..นี่คุณจะไม่ถามผมสักคำเลยหรือว่ากินข้าวหรือยัง”
   “ถ้าเธอยังไม่ได้ทานก็มาทานก่อนเถอะ ฟ่งคงหิว” คลาวเดียกล่าวขึ้นมาแทน ราฟาแอลส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
   “งั้นก็กินให้เสร็จ” เขาว่า แล้วผุดลุกจากโต๊ะไป รูฟัสเรียกให้ฟ่งนั่งลง ชาหนุ่มผมสีน้ำตาลเอื้อมมือมาสะกิดเขาแล้วถาม “นี่ ผมทำอะไรให้คุณราฟาแอลไม่พอใจรึเปล่า?”
   รูฟัสส่ายหน้า “ไม่ต้องไปสนใจหมอนั่นหรอก เขาก็เป็นแบบนี้แหละ คุณทานข้าวเถอะ”
   ฟ่งพยักหน้า คลาวเดียส่งจานอาหารให้รูฟัส และพูดค่อนแคะขึ้น
   “แหม...ตานั่นทำหยั่งกะหึงเธอเลย”
   หนุ่มตาสองสีทำหน้าแปลกๆ “อย่าพูดอะไรน่าสยดสยองอย่างนั้นนะคลาวเดีย  ผมขอเพิ่มพิเศษเลยแล้วกัน” เขาว่า ขณะที่หญิงสาวกำลังตักจานที่สอง
   “จ้า พ่อคนเจริญอาหาร ที่นี้ก็กินได้นอนหลับเสียทีนะ”
-------------------------------------

   

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่34 เบื้องหลังของคำสารภาพ
   รูฟัสเดินเอามือรองท้ายทอยเข้ามาในห้องรับแขก เขาฝากฟ่งไว้กับคลาวเดียในครัว  ราฟาแอลนั่งอยู่บนโซฟา และมองมาด้วยสีหน้าที่เหมือนจะดีใจปนเหนื่อยหน่ายว่าในที่สุดก็โผล่มาได้เสียที
   “แกปกติดีแล้วแน่นะ” นั่นคือคำแรกที่เขาเอ่ยถาม รูฟัสทำหน้าแปลกๆ
   “คุณเห็นผมผิดปกตรงไหนบ้างล่ะ?” ชายหนุ่มย้อนถาม ราฟาแอลย่นคิ้ว  อีกฝ่ายจึงพูดต่อ “ธุระคุณล่ะ”
   ความจริงรูฟัสไม่อยากจะรับรู้เรื่องงานในตอนนี้นัก เขาอยากใช้เวลาขลุกอยู่กับฟ่งมากกว่า แต่ก็นั่นแหละ เขาหนีงานไปนานมาก จนแทบจะให้อภัยไม่ได้อยู่แล้ว และอีกอย่างเขากลัวว่าจะอดใจไว้ไม่ไหว ถ้าอยู่ใกล้ๆ ฟ่งนานเกินไป
   ราฟาแอลมองหน้าเขาขึ้นลงอย่างสำรวจ ก่อนจะพูดขึ้น
   “คุณเมี่ยงติดต่อมา เห็นว่าเป้าหมายของเราเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้ว”
   “คราวนี้ทำอะไรอีกล่ะ หาคนทำแปลนใหม่หรือไง?” คนฟังว่า ราฟาแอลไม่สนใจ ยังคงอธิบายต่อ
   “เห็นว่าเริ่มจะติดต่อกับผู้นำธุรกิจด้านต่างๆ ให้มาร่วมหุ้นด้วย อ้างว่าจะทำอากาศกระป๋องขายอะไรสักอย่างนี่แหละ”
   รูฟัสขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “ผมว่าจะทำเฮโรอีนแบบสูดผ่านอากาศได้มากกว่านะนั่น”
   ราฟาแอลพยักหน้า
   “นั่นแหละ ถึงรายละเอียดจะยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่  แต่ก็ได้กำหนดเวลาที่ทางนั้นจะเริ่มงานเป็นที่แน่นอนแล้ว บางทีเราอาจจะต้องเร่งมืออีก ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอากาศล่ะก็ วุ่นแน่”
   รูฟัสส่งเสียงอืมอย่างเห็นด้วย และนั่งปุลง
“จะให้เริ่มเมื่อไหร่ล่ะ” เขาถาม ราฟาแอลยักไหล่
   “เร็วเท่าที่ได้  แต่...” เขาเว้นระยะไปพักหนึ่ง “แต่เบื้องบนยังหาคนที่ตีความแบบแปลนนรกนั่นให้เราไม่ได้”
   “แปลน......ไอ้แบบแปลนนรกนั่นน่ะรึ?” รูฟัสโพล่งออกมา หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง เขากำลังนึกว่าราฟาแอลพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่
   “อืม” ฝ่ายโน้นพยักหน้าหงึกหงัก “และอีกไม่นานเราจะต้องไปเผชิญนรกที่เราไม่รู้จักนี่ มีเวลาเตรียมตัวสองอาทิตย์ แกคิดว่าไง?”
   “ผมคงไม่คิดจะเตรียมงานศพตัวเองแน่ๆ” รูฟัสว่า ราฟาแอลถอนใจ
   “นั่นแหละ ฉันเองก็รู้สึกจนมุมยังไงก็ไม่รู้ พอนึกถึงแปลนบ้าๆ นั่น ขนาดว่าเป็นแค่แปลนนะ ของจริงจะเป็นยังไง....”
   “ไม่อยากคิดเลยล่ะ” รูฟัสช่วยต่อให้ และรู้สึกสยองขวัญเมื่อนึกถึงแบบแปลนนั้นเช่นกัน
   “ถึงจะบอกว่าอยากเลิกงาน ก็คงเลิกไม่ได้อีกสินะ” หนุ่มตาสองสีกล่าวต่อ  ราฟาแอลพยักหน้า “นายก็รู้ เบื้องบนน่ะเป็นยังไง”
   รูฟัสทำหน้ายุ่ง “มองไปทางไหนเหมือนจะเห็นแต่โลงแหะ นี่ผมต้องจัดงานศพพร้อมคุณหรือเนี่ย?”
   ราฟาแอลมองหน้ารูฟัสเหมือนเห็นขยะ “ใครอยากจะตายกับแก ในเมื่อไม่มีใครอ่านมันได้ เราก็ตีความกันเอาเองแล้วกัน”
   “เอางั้นเลยนะ...” รูฟัสว่า มองหน้าราฟาแอลและรู้สึกสิ้นหวังแปลกๆ
   “แต่ว่านะ ราฟี่  บางทีอาจจะมีปาฏิหาริย์เกี่ยวกับไอ้แปลนนี้ก็ได้” ชายหนุ่มตาสองสีเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวัง  อีกฝ่ายมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ
   “จะบอกว่าเจอคัมภีร์ที่น่าจะอธิบายมันได้หรือไง”
   “ก็ไม่เชิงหรอก..” รูฟัสอ้อมแอ้ม  เขาไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ว่ามันจะใช่ กับสิ่งที่เขากำลังคิด ฟ่งน่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับไอ้แปลนนรกนี่ แต่เท่าที่จำได้รู้สึกว่าฟ่งจะทำงานเกี่ยวกับการออกแบบโครงสร้าง บางทีอาจจะช่วยตีความได้
   “เอ่อ บางทีมันอาจจะเร็วไปที่เราจะคิดถึงเรื่องนี้นะ ผมหมายถึง..ผมเพิ่งกลับมา แล้วก็ อืม... ถ้ามีเวลาสักหน่อยเราน่าจะคิดอะไรกันออกมากขึ้น” บางสิ่งบางอย่างทำให้รูฟัสตัดสินใจยุติที่จะพูดต่อ ได้ยินเสียงราฟาแอลถอนหายใจ
   “ถูกของแก เอาเหอะ  ไหนๆ ฉันก็หาคนมาแทนไม่ได้แล้ว แกอยากจะไปทำใจก็ไปเถอะ  แล้วก็..” เขาเว้นระยะไปครู่หนึ่ง
   “ดีใจที่แกกลับมานะ  แล้วอย่าเสือกหายหัวไปอีกล่ะ”
   รูฟัสหัวเราะ “ก็ดีใจที่คุณพูดแบบนั้นนะราฟี่ แล้วอย่าพาคนของผมไปทิ้งไว้ที่ไหนอีกล่ะ”
   ราฟาแอลเบ้ปาก แล้วหันไปกดรีโมทเปิดโทรทัศน์แทน
---------------------------------------
   “เป็นไง ตอนนี้เธอคิดว่าไปสนามบินหรืออยู่ที่นี่ดีกว่า” คลาวเดียเอ่ยถามขณะที่กำลังล้างชามอยู่  ฟ่งรับจานจากหล่อนมาเช็ด
   “ไม่รู้สิครับ” ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะแหะๆ และวางชามกลับเข้าตู้  ในตอนนั้นทำไมเขาถึงไม่เลือกไปที่สนามบินกันนะ ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองอยากกลับบ้านใจจะขาดแท้ๆ  แต่พอรู้สึกว่าต้องกลับไปใช้ชีวิตคนเดียวโดยที่ไม่มีคนคนนั้นอยู่ด้วยแล้วก็...
   โดยที่ไม่มีรอยยิ้มที่ใจดีนั้น
   โดยที่ไม่มีแววตาสองสีที่อ่อนโยนนั้น
   หัวใจมันก็ปวดแปลบขึ้นมา...
   หรือว่าเขาไม่อาจจะตัดใจจากผู้ชายคนนั้นได้แล้ว
   ฟ่งพยายามจะปฏิเสธตัวเองอย่างถึงที่สุดในช่วงระยะเวลานั้น แต่ว่ายิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ความทรมานยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งใกล้ความจริงว่าจะต้องไปโดยไม่มีโอกาสได้เจอรูฟัสอีกแล้วยิ่งรู้สึกเจ็บปวด เขาพยายามเฝ้าบอกตัวเองว่าผู้ชายคนนั้นเป็นแค่คนที่บังเอิญผ่านเข้ามาและทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวาย แต่แม้จะพร่ำบอกตัวเองอย่างไร แต่เอาเข้าจริงเขากลับคิดถึงชายคนนั้น  คิดถึงจนต้องเอ่ยปากถามหาอยู่เกือบตลอดเวลา
   เขาคิดถึงผู้ชายคนนั้นมากมายจริงๆ
   ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทิ้งเที่ยวบินนั้นในนาทีสุดท้าย  ฟ่งไม่รู้ว่าตัวเองคิดดีแล้วหรือเปล่า เขาเพียงแค่อยากเจอ  อยากจะลองถามผู้ชายคนนั้นอีกสักครั้ง อยากจะรู้ให้แน่ชัดว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งรอยยิ้ม ความห่วงหาอาทรที่มอบให้  และถ้อยคำว่ารักนั้น เป็นความจริงเพียงใด  อยากฟังเรื่องจริงทั้งหมดจากปากผู้ชายคนนั้น อยากรู้ว่าจริงๆ แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นคนแบบไหนกันแน่
   อยากที่จะอยู่ด้วยกัน.......
   “อืม..หน้าแดงเชียว” คลาวเดียเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ทำให้ฟ่งสะดุ้งจนเกือบทำจานหล่น  หญิงสาวถอนหายใจ
   “เธอน่ะ ถ้าชอบก็น่าจะบอกว่าชอบไปตั้งแต่แรกเลยสิ อ้ำๆ อึ้งๆ เสียเวลาแถมยังเกือบจะเสียโอกาสด้วยนะ น่าจะซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองหน่อย”
   “คือ...ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น..” ฟ่งแก้ตัวแบบไปน้ำขุ่นๆ  ไม่อยากยอมรับจริงๆ ว่าตัวเองเป็นพวกวิปริตผิดเพศอะไรเทือกนั้น เขาไม่ได้ชอบผู้ชายสักหน่อย แต่สำหรับรูฟัส.....
   “ปากแข็งจริงๆ  ถ้าเธอเถรตรงกับความรู้สึกตัวเองมากกว่านี้  สักครึ่งหนึ่งของรูฟัสล่ะก็  เรื่องมันอาจจะไม่วุ่นวายขนาดนี้ก็ได้นะ”
   “กำลังนินทาผมอยู่รึ?” เสียงทุ้มๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้น หญิงสาวเบิ่งตาอย่างประหลาดใจ
   “คุยเสร็จแล้วหรือ เร็วจัง” หล่อนว่า พลางล้างฟองออกจากมือ รูฟัสได้ยินคลาวเดียงึมงำคำว่าตายยากหรืออะไรซักอย่าง
   “ก็ไม่มีอะไรมาก ราฟี่กำลังดูโทรทัศน์”
   “อ่อ รายการตลกห่วยๆ หลังอาหารนั่นอีกล่ะสิ” หญิงสาวว่า  ชายหนุ่มยักไหล่
   “ผมเลยมาที่นี่ไง” เขาพูดต่อ หญิงสาวร้องอ้อเสียงยาว “คิดว่าจะมาทวงแฟนคืนเสียอีกน๊า”
รูฟัสพยักหน้า “อืม ก็นั่นแหละ”
   เขาหันไปทางฟ่ง “ฟ่ง คุณอยากทำอะไรต่อรึเปล่า?”
   ฟ่งทำท่าเหมือนงงกับคำถามนั้นเล็กน้อย
   “อืม ไม่รู้สิครับ ผมฟังภาษาฮังการีไม่รู้เรื่อง ดูโทรทัศน์คงไม่สนุก แต่ว่าเพิ่งทานข้าว นอนเลยคงไม่ดี”
   “อืม..” รูฟัสนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
   “ไปดูโทรทัศน์ก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมแปลให้ฟัง”
   ผู้ถูกถามพยักหน้า และปิดตู้เก็บจาน รูฟัสยิ้มกว้าง  เดินเข้าไปจับมือฟ่ง และจูงออกมาทันที  ทำให้คลาวเดียต้องเอ่ยคำค่อนแคะ
   “แหม หวานกันจริงนะ”
   รูฟัสหัวเราะแหะๆ ในขณะที่ฟ่งดูไม่แน่ใจว่าควรจะจับมือนั้นให้แน่น หรือว่ารีบดึงออกมาดี
--------------------------------------
   ไม่รู้ว่ารายการตลกนั้นตลกจริง หรือว่ารูฟัสตั้งใจจะแปลมันให้ตลกกันแน่ แต่ว่าก็ทำให้ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหัวเราะออกมาหลายครั้ง  ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหาวก่อนรายการจะจบ สงสัยว่าคงจะได้เวลานอนเสียที
   ฟ่งนึกสงสัยว่าตัวเองก็นอนไปแล้วตอนกลางวัน ทำไมยังง่วงอีก อาจจะเพราะเหล้าผลไม้ที่ทานไปในตอนเย็นก็ได้ แต่ว่าก็ทานข้าวตามไปแล้วนี่นา ในเมื่อหาเหตุผลไม่ได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่านอนก็นอน เขาหันไปชวนรูฟัส แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินคำตอบ
   “ไปนอนเถอะครับ ผมว่าจะดูโทรทัศน์ต่ออีกสักพัก” ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างงง แต่สุดท้ายก็ยอมเดินขึ้นข้างบนไปคนเดียว
   ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนเตียง รู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ปกติรูฟัสน่าจะตามมาเลยทันทีนี่นา
   ช่างมันแล้วกัน.....
   ฟ่งพลิกตัวอีกสองสามครั้ง และหลับไปในที่สุด

รูฟัสตามขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน  ความจริงเขาไม่ได้อยากจะดูโทรทัศน์ต่อสักนิด แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาตอบปฏิเสธคำชวนของฟ่งไป
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะจงใจหรือแค่ชวนตามมารยาท แต่คำชวนนั้นทำให้รูฟัสสันหลังสะท้านวาบ
ให้ไปนอนด้วยกันหมายถึงจะให้ทำแบบนั้นด้วยรึเปล่า?
ถ้าคิดในแบบของฟ่งแล้ว รูฟัสแทบจะบอกได้เลยว่าคงแค่ชวนตามมารยาทเท่านั้น  หนุ่มสวมแว่นคนนั้นไม่มีทางจะชวนเขาไปทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด ที่ผ่านๆ มามีแต่เขาที่เป็นฝ่ายเริ่มโดยไม่เคยเอ่ยถาม
ดังนั้นรูฟัสจึงปฏิเสธไป ด้วยกลัวว่าจะหักห้ามใจไม่ได้อีก กว่าจะได้ตัวกลับมา เขาก็แทบจะเป็นบ้า ถ้าเกิดทำให้ตกใจแล้วหนีหายไปอีกหนนี้เขาคงประสาทตายแน่ๆ รูฟัสตัดสินใจจะทำตามคำแนะนำของชานดอร์อย่างเคร่งครัด
เขาจะไม่บังคับให้ฟ่งมีเซ็กซ์อย่างเด็ดขาด จนกว่าเจ้าตัวจะแสดงความต้องการออกมา
ชายหนุ่มถอนหายใจ มองดูร่างบางที่นอนอยู่บนเตียง ดูท่าจะหลับไปแล้ว
เขาจะต้องอดทน.....แต่ว่าจะต้องอดทนไปถึงเมื่อไหร่กัน?
รอจนฟ่งเป็นฝ่ายชวนก่อนงั้นหรือ?
จู่ๆ เขาก็นึกขนพอง ถ้าเกิดทางนั้นไม่ได้มีอารมณ์หรืออยากจะทำกับเขาเลยล่ะ เขามิคลั่งตายหรือนี่
เหมือนแต่เดิมฟ่งจะไม่ใช่พวกที่มีอารมณ์กับผู้ชาย แฟนเก่าก็เป็นผู้หญิง ทุกครั้งที่มีอะไรกันเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนทั้งนั้น เล้าโลมจนทางนั้นยอมโอนอ่อนผ่อนตาม หนักกว่านั้นก็ใช้กำลังบังคับ
มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่า ฟ่งอาจจะไม่ชอบมีเซ็กซ์กับเขา
ถึงตรงนี้รูฟัสรู้สึกขนลุกขึ้นมาจริงๆ เขาก้มลงมองดูใบหน้ายามหลับสนิทของฟ่ง ดูช่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรบ้างเลย ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อนั่น ไม่รู้เลยหรือไงว่ามันยั่วยวนใจขนาดไหน  ตอนอยู่ที่บาร์ของชานดอร์ เขาแทบจะอดใจไม่ไหว ตอนที่ฟ่งแตะริมฝีปากลงบนแก้ว พวงแก้มแดงเรื่อเพราะพิษแอลกอฮอล เขาอยากเหลือเกิน อยากที่จะลิ้มรสชาติริมฝีปากที่เปื้อนเครื่องดื่มแอลกอฮอลนั้น มันจะหอมหวานขนาดไหนกันนะ แค่คิดถึงก็ร้อนวูบวาบไปทั้งตัวแล้ว ทั้งตอนที่นอนในห้องนั้นอีก  ร่างอุ่นๆ ที่นอนจับมือเขาหลวมๆ นั้นน่ารักอย่างบอกไม่ถูก อยากจะก้มลงจูบไปไม่รู้กี่ครั้ง อยากให้มือนั้นจับเขาแน่นขึ้นยามที่ร่างกายบิดเร่าด้วยอารมณ์ปรารถนาอยู่ในอ้อมกอด เขาแทบจะนอนไม่หลับเลยด้วยซ้ำ ได้ยินแต่เสียงเฝ้าบอกตัวเองเหมือนคนบ้า
ทนไวๆ
กระนั้นจินตนาการใช่ว่าจะหยุดกันได้ง่ายๆ เขาจำต้องคิดถึงเรื่องเลวร้ายสารพัด เพื่อให้ตรงนั้นมันฝ่อลงไปบ้าง เกิดมายังไม่เคยต้องข่มใจข่มความรู้สึกตัวเองขนาดนี้มาก่อนเลย อุตส่าห์ได้อยู่ด้วยกันแล้วแท้ๆ จะต้องอดทนแบบนี้ไปนานเท่าไหร่กันนะ ถ้าเกิดว่าวันนั้นมันมาไม่ถึงล่ะ?
หรือจะจัดการเลยตอนนี้ดี
นัยน์ตาสองสีมองดูเรือนร่างผอมบางที่ห่มทับไว้ด้วยผ้าห่มอีกชั้นหนึ่ง แค่เลิกผ้าห่มออก ไล้มือไปตามเรือนร่าง สัมผัสริมฝีปากที่แสนคุ้นเคยนั้นอีกครั้ง เลื่อนมือไปปลดกระดุม  แล้วจากนั้น....
รูฟัสรีบสะบัดหัวในทันใด
ทำไมเขาถึงได้คิดบ้าๆ แบบนี้นะ เดี๋ยวก็พังกันหมดพอดี  ต้องทนๆ
งั้นเอาแค่หอมแก้มก็ยังดี...
ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปใกล้พวงแก้มนั้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ชอนไชเข้ามาในจมูก  นัยน์ตาสองสีหลับอย่างเคลิบเคลิ้ม
มันน่า....
รูฟัสดีดตัวขึ้นมาในทันที ไม่ได้การ แค่คิดจะหอมแก้มยังเกือบจะทำลงไปแล้วแบบนี้...
ร่างสูงใหญ่ตัดสินใจถอยห่างออกมาจากเตียง มองหามุมห้องที่อยู่ไกลที่สุด เพราะหากออกไปนอนห้องอื่นอาจจะถูกทั้งคลาวเดียและราฟาแอลค่อนแคะเอาได้ ชายหนุ่มค่อยๆ ดึงหมอนออกจากเตียงมาใบหนึ่ง เดินฉับๆ ไปตรงมุมที่เลือก และล้มตัวลงนอน
อดทนไว้ อดทนไว้ อดทนไว้...
--------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนยืนอยู่ข้างหน้าต่างบานหนึ่งตรงทางเดินระเบียง เขาเพิ่งเสร็จจากการทำธุระเรื่องเอกสารและจัดตารางนัดหมายให้เจ้านาย
   ชายหนุ่มผมสีดำมัดหางม้ายืนอยู่ตรงนี้พักใหญ่แล้ว  นัยน์ตาสีอีกาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย หัวสมองของเขากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
   คิดถึงเรื่องความเอาแต่ใจของผู้เป็นเจ้านาย
   เมื่อคืนเขาโดนเว่ยเฟิงปิงไล่ออกจากห้องด้วยเรื่องที่เขาคิดว่าไม่เป็นเรื่อง ทั้งๆ ที่ทำตามคำสั่งทุกอย่าง แต่ยังไม่วายถูกอารมณ์เสียใส่  จางซื่อเยี่ยนยอมรับว่าเขาตั้งตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะตามใจเว่ยเฟิงปิงทุกอย่าง หรือควรจะขัดขืนบ้างดี  แต่โดยปกติการตามใจน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ?
   ร่างสูงเผลอส่ายหน้า เขาคงไม่สามารถล่วงรู้ความคิดของเจ้านายได้ว่าต้องการอะไรแบบไหน ดังนั้นเขาจึงตามใจเว่ยเฟิงปิงทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็โดนโกรธทุกที  นี่เขาควรจะถามอีกฝ่ายรึเปล่าว่าจะให้เขาทำตัวอย่างไร
   แต่คงไม่พ้นโดนด่าอีกแน่ๆ
   ชายหนุ่มถอนหายใจออกมายืดยาว ก่อนจะสะดุ้งเฮือก
   “เฮ้ ซื่อเยี่ยน ทำไมนายไม่ไปรอหน้าห้องฉัน”
   ชายหนุ่มหันไปตามเสียง แทบจะไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผู้ที่พูดขึ้นมาคือเจ้านายของเขานั่นเอง  เว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าสบายๆ มาตามทางเดินยาว ยังไม่ทันที่จางซื่อเยี่ยนจะได้เอ่ยปากแก้ตัวอะไร ฝ่ายนั้นก็พูดต่อ
   “เย็นนี้นายว่างรึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนมองเจ้านายเขาอย่างงุนงง ก็เขามีหน้าที่ต้องติดตามเว่ยเฟิงปิงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
   “นั่นก็ต้องแล้วแต่คุณล่ะครับ” เขาว่า เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า “ฉันโทรยกเลิกนัดกับคุณหว่องแล้วล่ะ เห็นว่าไม่จำเป็นอะไร อยากจะพักผ่อนสักวันหนึ่ง”
   ชายหนุ่มทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
   “ตามใจคุณแล้วกันครับ” เขาว่า เว่ยเฟิงปิงยักไหล่
   “เย็นนี้นายไปทานข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
   จางซื่อเยี่ยนเบิ่งตากว้างเหมือนว่าเขาฟังผิด  นั่นทำให้คิ้วเรียวยาวของเว่ยเฟิงปิงขมวดเข้าหากันทันที
   “หรือว่าไม่อยากไป?”
   “เอ่อ ไม่ใช่แบบนั้นครับ” ผู้เป็นลูกน้องรีบเอ่ย เขามองหน้าเจ้านายที่กำลังเริ่มจะอารมณ์เสียแล้วรีบพูดต่อ “ผมไปก็ได้ครับ ที่นี่ใช่ไหมครับ?”
   อีกฝ่ายส่ายหน้า “ที่เกาลูน ฉันจองห้องไว้แล้ว”
   จางซื่อเยี่ยนตาเหลือก “จะดีหรือครับคุณชาย แบบนั้นน่ะ คุณกับผม...”
   “ดี!!” เว่ยเฟิงปิงว่า พลางถลึงตาใส่จางซื่อเยี่ยน “จะไปหรือไม่ไป!”
   “ปะ..ไปครับ” ผู้เป็นลูกน้องละล่ำละลักรับปาก  เว่ยเฟิงปิงยิ้มออกมา
   “เดี๋ยวตามไปเอาเอกสารที่ห้องฉันหน่อย” เขาว่า และเดินออกไปทันที  จางซื่อเยี่ยนรีบเดินตามออกไปติดๆ
   นี่เว่ยเฟิงปิงจะมาไม้ไหนอีกหนอ...........
-----------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ฟ่งลืมตาอย่างสะลึมสะลือ แสงสว่างภายนอกสาดผ่านม่านกั้นเข้ามาในห้องแล้ว ร่างบางยันตัวขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตาดี สักพักหนึ่งก็ล้มตัวลงนอนต่อ ผ้าห่มที่ยังอุ่นๆ นั้นชวนให้ไม่อยากลุกออกไปไหนเลยจริงๆ ร่างบางพลิกตัวพลางกอดก่ายหมอนข้างไปเรื่อยๆ  และเริ่มรู้สึกแปลกใจ
   ทำไมเตียงมันถึงได้กว้างนัก?
   ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง มองไปรอบๆ
   เขานอนบนเตียงคนเดียวรึ  รูฟัสล่ะ?
   ฟ่งควานมือเปะปะไปตรงโต๊ะข้างหัวเตียงเพื่อหาแว่น หยิบมันมาสวมและมองไปรอบๆ อีกครั้ง ก่อนจะพบว่ารูฟัสอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นมุมห่างออกไปอย่างที่สุด  ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ผุดลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหาร่างสูงใหญ่นั้น
   “คุณมานอนทำไมตรงนี้” ฟ่งเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่ารูฟัสขยับตัวตอนที่เขาเดินเข้ามา คนถูกถามหัวเราะแห้งๆ  เขาได้ยินเสียงฟ่งพลิกตัวแล้ว และรู้สึกขบขันนิดหน่อยตอนนี้เห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งแล้วกลับไปนอนอีก ความจริงรูฟัสกำลังคิดว่าจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ เขาไม่อยากให้ฟ่งเห็นว่าตัวเองมานอนตรงนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะคิดช้าไปหน่อย
   “ผม..เอ้อ...ผมคิดว่านอนที่พื้นน่าจะสบายกว่า” รูฟัสพยายามแก้ตัว เขาเห็นคิ้วของฟ่งขมวดเข้าหากันอีก
   “ผมนอนขวางเตียงรึเปล่า?” ร่างบางกล่าว เขาคิดว่ารูฟัสต้องจำใจลงไปนอนที่พื้นเพราะเขาแน่ๆ ฟ่งนึกละอายใจ บางทีเขาอาจจะนอนกินที่มากไป รูฟัสรีบสั่นศีรษะ
   “ไม่ใช่หรอกครับ ผมคิดว่าเตียงนั่นนอนคนเดียวน่าจะสบายกว่า  เดี๋ยวไปซื้อเตียงมาเพิ่มอีกหลังก็ได้”
   “เหรอ... ผมคิดว่าเราจะนอนด้วยกันเสียอีก” ฟ่งกล่าว เสียงของเขาดูเหมือนจะเบาลงนิดหน่อย  รูฟัสถามกลับอย่างไม่แน่ใจ
   “ว่าอะไรนะครับ?”
   “ไม่มีอะไรหรอก” ฟ่งว่า เขาหันหลังกลับ รู้สึกว่าตัวเองอาจจะพูดอะไรที่ไม่น่าจะพูดออกไปเสียแล้ว
   “คุณ..อยากให้ผมนอนด้วย?” ดูเหมือนว่ารูฟัสจะได้ยินที่พูด  เขาถามย้ำอีกครั้ง ทำให้ฟ่งต้องย่นคิ้ว
   ได้ยินแล้วทำไมต้องถามซ้ำอีกนะ...
   “ถ้าคุณคิดว่านอนคนเดียวสบายกว่า ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
   ร่างบางว่า และเดินตรงไปยังห้องน้ำ รูฟัสรีบลุกขึ้นคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ทันที
   “เดี๋ยวสิครับ ผมไม่ได้คิดว่านอนคนเดียวสบายกว่า แต่ว่า...”
   “แต่ว่าอะไร?” ฟ่งหันมาถามกลับบ้าง เขาเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอย่างสงสัย รูฟัสกลืนน้ำลายลงคอ
   “ถ้านอนกับคุณ ผมคง...”
   “อ้อ..” ฟ่งร้องออกมา  ทำให้อีกฝ่ายต้องเงียบไปโดยอัตโนมัติ
   “ผมคิดว่าคุณจะไม่โกรธผมเสียอีก” ร่างบางกล่าว มองออกไปยังจุดที่รูฟัสเพิ่งลุกออกมา
   “โกรธ?” รูฟัสทวนคำอย่างแปลกใจ เขามองใบหน้าที่ยังดูง่วงๆ ของฟ่งอีกครั้ง ร่างผอมบางพูดต่อ
   “ผมรู้ว่าผมเองก็ทำไม่ถูกเท่าไหร่เรื่องที่หนีคุณออกไป ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจขนาดที่ต้องหนีไปนอนริมห้องแบบนั้นล่ะก็ ผมขอโทษ”
   ฟ่งกล่าว พลางช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นมองด้วยอาการขัดเขินเล็กๆ  จนรูฟัสคิดว่าฟ่งต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ  ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดว่าเขาโกรธอยู่ และกำลังสำนึกผิดขึ้นมาจริงๆ
   “ผมดีใจที่คุณพูดขอโทษนะ แต่ว่า..ผมไม่ได้โกรธคุณ” รูฟัสว่า เขาดีใจจริงๆ ที่ฟ่งคิดจะขอโทษเขา บางทีฟ่งอาจจะเข้าใจแล้วว่าทำให้เขาเจ็บปวดใจขนาดไหน
   “ถ้าคุณไม่ได้โกรธผมแล้วคุณไปนอนตรงนั้นทำไม” ฟ่งถามต่อ และเริ่มคิดว่าทำไมเขาต้องขอโทษรูฟัสด้วยนะ ทางนั้นสิควรจะเป็นฝ่ายขอโทษเขามากกว่า แต่เขาเองก็มีส่วนผิดอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน ที่ทำแบบนั้นลงไปโดยไม่ยอมพูดอะไรก่อน
   ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีนี่นา
   ฟ่งเผลอหลบตาและหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัว รูฟัสกลืนน้ำลายอีกครั้ง เขาเริ่มคิดว่าตัวเองกำลังจะทนไม่ไหว
   “ผมว่า คุณไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มตาสองสีตัดบท ก่อนที่จะควบคุมสติตัวเองไม่อยู่  ฟ่งมองหน้าเขาอย่างใจเสีย
   “ตกลงคุณโกรธผมจริงๆ สินะ” ร่างบางกล่าวเสียงอ่อนเขารู้สึกเหมือนโดนไล่ รูฟัสมองฟ่งอย่างอ่อนใจ
   “ผมไม่ได้โกรธคุณครับ สาบานได้”
   “แล้วทำไมคุณหนีไปนอนไกลขนาดนั้น” ฟ่งถามซ้ำอีกครั้ง  รูฟัสยกมือขึ้นเกาหัว  นี่ฟ่งไม่เข้าใจหรือว่ากำลังแกล้งโง่กับเขากันแน่นะ
   “เพราะผมคงทนไม่ไหว” เขาพูด และคว้าตัวฟ่งเข้ามากอด มองดูดวงตาสีน้ำตาลที่เบิ่งโพลงด้วยความตกใจ
   ไม่ว่าจะแกล้งโง่หรือไม่เข้าใจจริงๆ อย่างไรก็ต้องมีการเรียกค่าเสียหายบางอย่าง จากการทำให้เขาต้องอัดอั้นจนแทบจะอกระเบิดอย่างนี้….
   รูฟัสแนบริมฝีปากลงไปกับริมฝีปากบางนั้น ดึงเกี่ยวปลายลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามาขบกัดและดูดดึงมันอย่างหิวกระหาย ฟ่งจิกเล็บลงบนท่อนแขนของเขาด้วยความตระหนก
   “ถ้านอนใกล้กับคุณล่ะก็ ผมคงไม่หยุดแค่จูบแค่นี้หรอกนะครับ” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ยหลังจากถอนริมฝีปากออกไปแล้ว เขาพยายามแทบตายว่าจะถอนริมฝีปากออกมาได้ และบอกตัวเองไม่ให้ทำอย่างอื่นไปมากกว่านี้  ฟ่งหน้าแดง ยกมือขึ้นจับริมฝีปาก
   “คะ..คุณ..” ร่างบางกล่าวตะกุกตะกัก รูฟัสรู้สึกเสียใจกับการกระทำนี้อยู่บ้าง เขาน่าจะอดใจเอาไว้สักหน่อย แต่ว่าฟ่งก็ยั่วเสียเหลือเกิน
   ฟ่งยังคงหน้าแดง เขาหลบสายตารูฟัส ร่างกายร้อนวูบวาบไปหมด ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกจูบกระทันหัน สัมผัสของผู้ชายคนนี้ทำให้ร่างกายของเขาสับสนอยู่เสมอ แม้กระทั้งตอนนี้....
   “ไปอาบน้ำเถอะครับ” รูฟัสกล่าว ปล่อยวงแขนที่โอบกอดร่างนั้นอยู่อย่างไม่เต็มใจนัก  และนึกแปลกใจอย่างที่สุดที่ตัวเองสามารถอดกลั้นความต้องการได้อย่างไม่น่าเชื่อ
   จะมีรางวัลอะไรให้กับความอดทนครั้งนี้รึเปล่านะ
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอย่างแปลกใจ ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นไปได้ความคิดแบบนี้มาจากไหน เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับเรื่องนี้ดี เหมือนรูฟัสพยายามอดกลั้นกับเขาอย่างเต็มความสามารถ ฟ่งหน้าแดง เขายังไม่ยอมขยับ ได้แต่ส่งเสียงอ้อมแอ้ม
   “ไม่เห็นจะต้องทนเลยนี่”
   รูฟัสขมวดคิ้วอย่างไม่เชื่อหู ฟ่งพูดอะไรออกมาน่ะ... เข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูดออกมารึเปล่า?
   “ที่ว่าไม่ต้องทนนี่  หมายถึงว่าให้ทำได้หรือครับ?” อีกฝ่ายถามย้ำเพื่อความแน่ใจ แม้ว่าจะรู้สึกว่านั่นเป็นคำถามที่โง่มาก แต่ถ้าเกิดนึกตีความไปเอง ก็กลัวออกแนวเดิมอีก
   รูฟัสไม่อยากถูกหาว่าทึกทักไปเองอีกแล้ว
   “อืม” ฟ่งส่งเสียงยอมรับ ใบหน้ายิ่งแดงปลั่ง นี่เขากำลังพูดอะไรนะ ก็แค่อยากให้รูฟัสอยู่ด้วยกันกับเขาแค่นั้นเอง การนอนด้วยกันมันก็อบอุ่นดี
   “Спасибο!!” รูฟัสโพล่งอย่างดีใจ เขาคว้าตัวฟ่งเข้ามากอด แนบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากแดงเรื่อที่เผยออ้าอย่างตกใจนั้นอีกหน สัมผัสปลายลิ้นของตนเข้ากับปลายลิ้นอุ่นที่ผงะหนีอย่างทำอะไรไม่ถูก ร่างกายร้อนวาบขึ้นมาทันที
   ฟ่งพยามยกมือผลักร่างสูงใหญ่ที่จู่โจมเข้ามาด้วยความตกใจ แต่เรียวลิ้นที่ขยับต้อนเข้ามาช่างชำนิชำนาญเสียเหลือเกิน ผลักได้ไม่เท่าไหร่ แขนทั้งสองข้างก็พาลอ่อนแรงลงดื้อๆ เขาจำต้องคว้าท่อนแขนแกร่งนั้นไว้อย่างลืมตัว และตอบสนองรสจูบนั้นอย่างไม่อาจต้านทานได้
   เรียวลิ้นที่ตอบสนองมายิ่งทำให้รูฟัสหัวใจเต้นแรง เขารั้งร่างนั้นเข้ามากอดแน่นอีก ก่อนจะตะปบมือลูบไล้ไปตามแผ่นหลังผอมบาง สัมผัสได้ถึงความร้อนระอุในตัวของอีกฝ่าย
   ของรางวัลที่ว่าท่าทางจะมาเร็วกว่าที่คิด...
   เขาผละริมฝีปากออก มองดูดวงตาสีน้ำตาลใสที่มองเขาผ่านเลนส์แว่น ฟ่งตอนที่ทำหน้างุนงงแบบนี้ยิ่งดูน่ารักเป็นพิเศษ เขาก้มลงหอมพวงแก้มแดงเรื่อนั้น และถูไถใบหน้าลงไปอย่างรักใคร่ ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะคิกคัก พร้อมกับเบี่ยงร่างหนีอย่างเขินอาย
   “ผมจั๊กจี๋” ฟ่งว่า และหัวเราะอีกครั้ง รูฟัสขบใบหูแดงก่ำเบาๆ  สำหรับเขาแล้ว  เพื่อคนคนนี้ ต่อให้ต้องแลกอะไรไปเพื่อให้ได้มาก็คุ้มค่าอยู่ดี
“Я вас люблю” รูฟัสกระซิบถ้อยคำที่อีกฝ่ายไม่อาจจะเข้าใจ แตะปลายจมูกเข้ากับแก้มอุ่น พวงแก้มนี้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ชวนให้สัมผัสเสมอ
สำหรับเขาแล้วฟ่งน่ารักที่สุด
ชายหนุ่มค่อยๆ ผลักร่างนั้นลงบนเตียง สอดมือเข้าไปใต้เสื้อ สัมผัสผิวกายร้อนผะผ่าว เตรียมตัวจะลิ้มลองรสชาดของรางวัลอันแสนหวาน ฟ่งร้องเหวอ ขณะที่รูฟัสคร่อมอยู่เหนือตัวเขา
“ดะ..เดี๋ยว” ร่างบางร้องเสียงหลง ขณะที่อีกฝ่ายแนบใบหน้าลงมาใกล้ มือที่สอดเข้าไปใต้เสื้อเริ่มบีบเค้นจุดไวสัมผัสที่อยู่แถวนั้น
“What?” รูฟัสส่งเสียงถามอย่างไม่เข้าใจ เขาหยุดมือ แต่ก็ยังไม่ยอมถอยห่าง ฟ่งเว้นระยะหายใจเล็กน้อย รู้สึกหัวใจเต้นตุบๆ
“คุณคิดจะทำตอนนี้เลย?”
   รูฟัสขมวดคิ้ว มองดูร่างบางในอ้อมกอด “ก็คุณบอกว่าไม่ต้องทน”
   ฟ่งกลืนน้ำลาย มองหน้าอีกฝ่าย  นี่ถ้าเขาพูดต่อจะโดนทำอะไรอีกไหมนะ...
   “ก็ใช่.. แต่ผมไม่ได้หมายความว่าให้ทำตอนนี้” ร่างบางว่า และเกือบจะหยุดหายใจ  เขากลัวว่ารูฟัสจะไม่ยอมหยุดแล้วก็ทำแบบที่ผ่านๆ มาอีก
   นัยน์ตาสองสีจ้องร่างนั้นเขม็ง และกลืนน้ำลายอีกครั้ง
   ตกลงนี่ไม่ได้หมายความว่าให้ทำได้หรอกรึ?
   “แล้วจะทำได้เมื่อไหร่ล่ะครับ” ร่างสูงใหญ่ถามต่อ เขาไม่ยอมเสียโอกาสงามๆ นี้ไปโดยไม่มีเหตุผลแน่ ฟ่งก็ดูมีอารมณ์ร่วมชัดๆ  ผู้ถูกถามหน้าแดง เบนสายตามองไปข้างๆ อย่างขัดเขิน ก่อนจะพูดอ้อมแอ้ม
   “คะ..คืนนี้ก็ได้ ก็ผมเพิ่งตื่นนอน...”
   “ก็ได้ครับ คืนนี้..” รูฟัสพูด  และยินยอมถอยออกไปโดยดี  แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายอย่างที่สุด แต่เขาก็ต้องหักห้ามใจ ขืนทำลงไปอีกฟ่งอาจจะโกรธก็ได้  อีกอย่างเจ้าตัวบอกเองว่าคืนนี้
   ฟ่งมองรูฟัสด้วยสายตาแปลกๆ แต่ก็รู้สึกโล่งใจที่รูฟัสยอมถอยออกไปจริงๆ  เขารีบลงจากเตียง และตรงไปหยิบผ้าเช็ดตัว
   “ผมอาบน้ำดีกว่า” ร่างบางว่า และผลุบเข้าห้องน้ำไปทันที ก่อนที่รูฟัสจะทันได้พูดหรือทำอะไร ก็ได้ยินเสียงล็อกประตูห้องน้ำดังแกร่ก
   ชายหนุ่มมองไปยังห้องน้ำ ไม่รู้ว่าฟ่งโมโหหรือเขินมากกันแน่ แต่ในเมื่อพูดออกมาแล้ว เขาก็จะไม่ยอมเสียโอกาสเด็ดขาด
   คืนนี้จะจัดการให้คุ้มเลย.....
------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนยืนอยู่หน้ากระจกแต่งตัวในห้องนอนของเว่ยเฟิงปิง  ชายหนุ่มไม่เคยยืนอยู่หน้ากระจกนานขนาดนี้มาก่อน หรือจะพูดให้ถูกคือเขาไม่เคยตั้งใจส่องกระจกเพื่อดูตัวเองเลย จนถึงตอนนี้
   ร่างที่มีส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบเศษดึงเนกไทสีดำให้เข้าที่ โดยปกติจางซื่อเยี่ยนจะสวมสูทเต็มยศในตอนที่เขาต้องติดตามผู้เป็นเจ้านายไปในสถานที่ต้องการความสุภาพเท่านั้น แต่ว่าเหตุผลการแต่งตัวในคราวนี้นั้นแตกต่างออกไป
   เขากำลังจะไปออกเดทกับเจ้านาย!
   จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย เขาไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงจะพอใจกับเนกไทสีดำรึเปล่า เพราะในตู้ของเขาไม่มีสีอื่นอีก หลังจากเลียบๆ เคียงๆ ถามด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะอารมณ์เสีย จางซื่อเยี่ยนก็แน่ใจว่า เว่ยเฟิงปิงตั้งใจจะไปทานอาหารเย็นกับเขาแค่สองคนจริงๆ แต่ก็ยังเดาไม่ออกว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการทานอาหารครั้งนี้คืออะไร ครั้นจะให้ถามไปตรงๆ ก็คงถูกโมโหใส่อีก ถึงอย่างนั้นจางซื่อเยี่ยนก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้ที่จะได้ไปออกเดทกับคนที่เขาเฝ้าฝันมานาน แม้ว่ามันจะเป็นการเดทที่มีจุดประสงค์แอบแฝงก็ตาม
   “ทำไมนายไม่ใส่เนกไทสีที่มันสดใสหน่อย” เสียงของเว่ยเฟิงปิงที่ดังขึ้นมาทำให้จางซื่อเยี่ยนสะดุ้ง เขาหันหลังกลับมามองผู้เป็นเจ้านายอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะพูดตะกุกตะกัก
   “ผมไม่มี...”
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจเฮือก ก้าวฉับๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง และหยิบเนกไทสีชมพูอ่อนลายขาวออกมา เขาดึงเนคไทสีดำเส้นเก่าออก และผูกเส้นใหม่ให้กับผู้เป็นลูกน้อง
   “ดีกว่าไหมล่ะ” ร่างบางกล่าว พลางขยับเนกไทให้เข้าที่  จางซื่อเยี่ยนรู้สึกหัวใจตัวเองเต้นตึกตัก ทำแบบนี้มันเหมือนภรรยากับสามีเลยไม่ใช่หรือไง
   “ขะ  ขอบคุณครับ” เขากล่าว  เว่ยเฟิงปิงจะรู้รึเปล่าว่าเมื่อครู่ทำเขาตื่นเต้นขนาดไหน  อย่างไรก็ดีจางซื่อเยี่ยนสังเกตว่าอีกฝ่ายยังคงอยู่ในชุดเดิม หรือว่าเจ้านายของเขาจะไปทั้งๆ อย่างนี้
   “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปสิ ฉันจะได้เปลี่ยนเสื้อ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว เมื่อเห็นว่าผู้เป็นลูกน้องน่าจะดูดีแล้ว จางซื่อเยี่ยนทำหน้าเลิ่กลั่ก อีกฝ่ายจึงพูดต่อ
   “หรือนายอยากจะดูฉันแก้ผ้า”
   ผู้เป็นลูกน้องรีบส่ายหัว  ความจริงเขาอยากจะพูดว่ารู้สึกขัดเขินนิดหน่อยกับสีของเนกไท แต่ว่าขืนพูดออกไปคงโดนโมโหอีก ดังนั้นจึงเหลือแต่สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน
   เมื่อเถียงไม่ออก และไม่กล้าพูด แม้ว่าในใจคิดจะอยากดูเรือนร่างของอีกฝ่ายจริงๆ จางซื่อเยี่ยนก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งเจ้านาย เขาเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ  และได้ยินเสียงเฮอะจากเว่ยเฟิงปิงเบาๆ
   นี่คงไม่ได้ไม่พอใจที่เขาเดินออกไปช้าหรอกนะ.........
-----------------------------
   เว่ยเฟิงปิงระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย หลังจากที่จางซื่อเยี่ยนปิดประตูแล้ว เขารู้สึกหงุดหงิดกับผู้เป็นลูกน้อง ทำไมเจ้านั่นถึงได้ทำอะไรทื่อๆ เป็นหุ่นยนต์ได้ตลอดเลยนะ
   ร่างบางถอดเสื้อนอกออก และเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต การแสดงออกของจางซื่อเยี่ยนทำให้เขาเกิดลังเลนิดหน่อยว่าควรจะล้มแผนอาหารเย็นมื้อนี้ดีไหม แต่เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจแล้วว่าเขาต้องไปกับคนคนนี้แค่สองคนให้ได้ ด้วยหวังจะเข้าใจเจ้ามนุษย์หุ่นยนต์นั่นได้มากขึ้น
   แต่ว่าเขาจะเข้าใจคนอย่างเจ้านั่นได้จริงๆ น่ะรึ?
   เว่ยเฟิงปิงมองดูตัวเองในกระจก และยกมือขึ้นลูบผมสีดำขลับที่ตัดสั้นของตน เขารู้สึกอิจฉาผู้เป็นลูกน้องที่ไว้ผมยาวได้โดยไม่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเกย์หรือกระเทยหรืออะไรเทือกนั้น  เมื่อก่อนนี้เว่ยเฟิงปิงเคยไว้ผมยาว จนกระทั่งถูกขับออกจากตระกูล ผมยาวนั้นทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจและถูกจดจำได้ง่าย ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องตัดมันออก และเมื่อกลับเข้ามาอยู่ในตระกูลแล้ว  เขาก็ยังคงตัดมันให้สั้นอยู่อย่างนั้น ด้วยเหตุผลที่แสนจะงี่เง่าว่ามันคงทำให้เขาดูเป็นผู้ชายและเข้มแข็งมากขึ้นในสายตาคนอื่น  แต่ตอนนี้คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยผู้มีดวงตาสีฟ้าราวกับสีของท้องฟ้ากำลังจะหมดความอดทนกับการสร้างภาพนี้  เขาอยากไว้ผมยาว อยากถูกจดจำ อยากจะทำให้ตัวเองสวยงามกว่านี้ สำหรับเว่ยเฟิงปิงแล้ว เรือนผมสีดำเป็นเงาสยายนั้นเป็นความสวยงามอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเขากลับไปไว้ผมแบบนั้นอีกครั้ง เขาจะสวยหรือเปล่านะ
   นัยน์ตาสีฟ้าหลับพริ้ม  ย้อนนึกไปถึงอดีตในช่วงที่ยังไว้ผมยาวอยู่ ตอนนั้นเคยมีใครที่ชมเขาบ้างหรือเปล่านะ คงเป็นพวกเด็กผู้หญิงที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับเขาล่ะมั้ง 
แต่ว่ากับผู้ชายด้วยกันล่ะ?
ร่างบางถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ถึงใครจะไม่คิดว่ามันสวยแต่ว่าเขาอยากจะทำนี่นา  ทำไมจะต้องไปสนใจสายตาคนอื่นด้วยล่ะ
ถ้าอยากจะแต่งสวย ก็คงต้องตอนนี้เท่านั้นล่ะมั้ง
ชายหนุ่มคิด และตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า
-----------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนมองดูเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกหน้าต่าง สีของเนกไทยังคงทำให้เขาเป็นกังวล เนื่องจากชายหนุ่มไม่เคยใส่อะไรที่เป็นสีฉูดฉาดมาก่อน แต่ถ้านี่เป็นสิ่งที่เจ้านายเขาต้องการก็คงต้องทำใจ ถึงแม้ว่ามันจะยากอยู่สักหน่อยก็ตาม
   ร่างสูงถอนหายใจยาว และหันหลังกลับมามองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า
   !!!!!!!!!!!!!!
   “ทำไม! ตลกหรือไง?” ผู้ที่เดินมากระชากเสียงอย่างค่อนข้างจะหัวเสีย เมื่อเห็นสีหน้าของจางซื่อเยี่ยน ชายหนุ่มรีบหุบปาก นัยน์ตาสีอีกากระพริบถี่ๆ เสียงนั่นเป็นของเจ้านายเขาไม่ผิดแน่ แต่ว่าที่ยืนอยู่ตรงนั้น.... ใช่เว่ยเฟิงปิงแน่รึ?  สาวผมยาวนัยน์ตาสีฟ้าในชุดกี่เพ้าสีแดงกับผ้าคลุมไหล่สีขาวนั่น!!
   จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย เขาชอบเว่ยเฟิงปิง หลงรักคนคนนี้ ชอบในรูปแบบที่คนคนนี้เป็นเป็น แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายจะมีรสนิยมในการแต่งตัวแบบนี้ด้วย
   ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ อีกหลายหน จะว่าแปลกใจมันก็แปลกใจอยู่หรอก แต่จะบอกว่าแปลกตาเลยก็คงจะไม่ใช่ นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าพอแต่งแบบนี้แล้วเจ้านายของเขาก็ดูดีไม่ใช่เล่น นัยน์ตาสีฟ้าเรียวที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางบางๆ ดูดึงดูดมากขึ้น ริมฝีปากบางที่แต้มสีชมพูแดงนิดหน่อย ก็ดูน่ามองดี แล้วยังผมสีดำยาวสลวยนั่นอีก  ความจริงเขาก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า ก่อนหน้านี้เว่ยเฟิงปิงเคยไว้ผมยาว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงทำให้เลิกไว้ไป ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเจ้านายของเขาน่าจะเหมาะกับผมยาวๆ มากกว่า
   เว่ยเฟิงปิงหน้าบูด  เขากำลังคิดว่าถ้าจางซื่อเยี่ยนเกิดหัวเราะออกมาเขาควรจะตวาดให้เงียบหรือวิ่งกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดี  และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังยืนนิ่งอึ้งเว่ยเฟิงปิงจึงตัดสินใจหันหลังกลับ
   “จะไปไหนน่ะครับ?” จางซื่อเยี่ยนร้องเมื่อเห็นผู้เป็นเจ้านายกระแทกส้นสูงลงพื้น ทำท่าเหมือนจะเดินกลับไปจริงๆ
   “ไปเปลี่ยนชุด!” เว่ยเฟิงปิงตะคอก รู้สึกหงุดหงิดตัวเองว่าทำไมต้องทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ต่อหน้าเจ้าบ้านี่ด้วย ความจริงแค่ไปทานข้าวด้วยกันก็ดูจะแปลกประหลาดพออยู่แล้ว   ยังจะดันมาทำตัวแบบนี้อีก ร่างบางกระแทกส้นอย่างหงุดหงิด จนไม่ได้ยินเสียงเรียกจากอีกฝ่าย
   “เดี่ยวสิครับ” จางซื่อเยี่ยนตัดสินใจคว้าข้อมือของผู้เป็นเจ้านายเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเว่ยเฟิงปิงคงไม่ได้ยินที่เขาพูดแน่ๆ  ร่างบางหันขวับกลับมาด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
   “ถ้านายกล้าอ้าปากหัวเราะใส่ฉันตอนนี้ล่ะก็ ฉันจะฆ่านาย” เว่ยเฟิงปิงตวาดแวดใส่หน้าของจางซื่อเยี่ยนซึ่งมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด ผู้เป็นลูกน้องรีบสั่นศีรษะ แต่ก็ไม่วายยิ้มออกมา
   “ไม่เลยครับ  ผมว่าคุณสวยดี เอ่อ...ไม่ต้องอายหรอกครับ”
   เว่ยเฟิงปิงเบิ่งตากว้าง “ใครอาย!? ฉันน่ะนะ?!!”
   และแล้วผู้เป็นเจ้านายก็หุบปากเงียบ  ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วจริงๆ ว่าเขาอาจจะกำลังอาย ด้วยความร้อนที่รู้สึกได้บนใบหน้า  จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองกำลังฝันอีก นี่เว่ยเฟิงปิงกำลังแสร้งทำทีเป็นเขินอายต่อหน้าเขา หรือว่ากำลังเขินอยู่จริงๆ นะ เขาเกิดอยากจะทดสอบเรื่องนี้ขึ้นมา
   “คุณสวยจริงๆ นะครับ ตอนอายก็น่ารักดี”
   “ไอ้บ้า!!” เว่ยเฟิงปิงตะโกนใส่หน้าจางซื่อเยี่ยน และตัดสินใจว่าเขาจะล้มแผนทิ้งทั้งหมด นี่มันบ้าไปหมดแล้ว ทำไมเขาจะต้องมาหน้าแดงกับเจ้าบ้างี่เง่านี่ด้วยนะ ร่างบางสลัดมือ ก้าวพรวดๆ กลับไปยังห้อง
   จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือเสียใจดี ดูเหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงจะเขินอยู่จริงๆ และเขาก็ดันไปกระตุ้นให้ทางนั้นโมโหอีก ชายหนุ่มคิดว่าเขาควรจะรีบหยุดผู้เป็นเจ้านายไว้
   แต่ว่า..ด้วยวิธีไหนล่ะ?!!
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกถึงแรงคว้ามหาศาลที่ข้อมือ จางซื่อเยี่ยนตัดสินใจรั้งร่างที่กำลังเดินจากไปนั้นเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะทำเรื่องน่าเหลือเชื่อ
   เขาก้มลงจูบผู้เป็นเจ้านาย
   นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งค้าง เมื่อริมฝีปากถูกสัมผัสด้วยริมฝีปากอีกคู่หนึ่ง ก่อนจะหลับพริ้มลง และส่งเสียงครางในลำคออย่างพอใจ
   เจ้าหุ่นยนต์บ้านี่ก็ทำเรื่องแบบนี้เป็นนี่นา...
   “ขอโทษครับ” นั่นคือประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากของจางซื่อเยี่ยนหลังจากถอนริมฝีปากออกไปแล้ว เว่ยเฟิงปิงย่นคิ้วเล็กน้อย เมื่อกี้เจ้านี่เพิ่งจะจูบเขาแบบลึกซึ้งไปหยกๆ แต่กลับมาจบด้วยประโยคสุดงี่เง่า
   “ถ้านายไม่พูดออกมาฉันคงรู้สึกดีกว่านี้” ร่างบางว่า ทำให้อีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วขึ้นบ้าง เว่ยเฟิงปิงมองดูใบหน้าของจางซื่อเยี่ยน และหัวเราะ
   “ปากนายเลอะลิปสติก”
   จางซื่อเยี่ยนทำหน้าเหวอ แต่ก่อนที่จะได้พูดคำว่าขอโทษออกมาอีก เว่ยเฟิงปิงก็เช็ดมันด้วยกระดาษทิชชู่เสียก่อน
   “ว่างๆ ฉันจะจับนายแต่งหญิงบ้าง” ผู้เป็นเจ้านายว่า หลังจากเช็ดรอยลิปสติกออกจากปากของอีกฝ่ายแล้ว จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลายเฮือก เขาเห็นว่าการที่เว่ยเฟิงปิงแต่งอย่างนี้ก็สวยดี แต่ถ้าให้เขาแต่งด้วยคงไม่ดีแน่ๆ
   ร่างบางยิ้มให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะก้าวเดินนำออกไป จางซื่อเยี่ยนเดินตามไปติดๆ ด้วยหัวใจตุ้มๆ ต้อมๆ
   เขาคงฝันไปอีกแล้วแน่ๆ
----------------------------------------------


ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ทั้งคู่ฟ่ง คู่เฟิงปิง กว่าจะเปิดใจกันแบบ 100% อีกนานมั้ยอะ

แต่ชอบคุณชายเจ็ดนะ น่ารักดี เดี๋ยวโกรธเดี๋ยวงอน สงสารแต่อิตาซื่อเยี่ยน  :laugh:

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
สนุกมากเลยค่ะ นั่งอ่านตั้งแต่ช่วงค่ำๆ เลยยาวเลย :laugh:
หลายๆตอนทำให้น้ำตาซึมเลยค่ะ มีครบทุกรสจริงๆ
รอติดตามต่อไปค่ะ ^^

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่35  I need you.
   “หน้าระรื่นเชียวนะ” ราฟาแอลเอ่ยทัก เมื่อรูฟัสเดินเข้ามาในห้องรับแขก ทั้งหมดเพิ่งเสร็จจากมื้ออาหารเช้า  ฟ่งเสนอตัวจะไปช่วยคลาวเดียล้างจานชาม ดังนั้นรูฟัสจึงต้องมานั่งแกร่วอยู่กับราฟาแอลแทน
   “อย่างกับหมาเจอเจ้าของ” หนุ่มผมสีบลอนด์ค่อนแคะต่อ  รูฟัสอมยิ้ม
   “ก็แหม.. คนกำลังมีความสุข” เขาว่า  ราฟาแอลแบะปากอย่างนึกสยอง
   “เอาเถอะ ถ้าแกจะเมคเลิฟกันล่ะก็ ช่วยเบาเสียงหน่อย ไม่ก็ไปเช่าโรงแรมก็ได้ เกรงใจคลาวเดียบ้างก็ดี”
   “อ่า..” รูฟัสคราง รู้สึกอายขึ้นมานิดหน่อย ราฟาแอลคงหมายถึงเรื่องเมื่อวันก่อน ตอนนั้นเขาหน้ามืดไปหน่อย จำได้ว่าทำรุนแรงไปหลายอย่าง  ทางนั้นคงร้องเสียงดังแน่ๆ หนุ่มนัยน์ตาสองสียกมือขึ้นลูบหน้า
   “ขอโทษที” เขาว่า และนั่งปุลงบนโซฟา ราฟาแอลโยนม้วนกระดาษให้เขา
   “เอาไปดูทำใจ” อีกฝ่ายว่า รูฟัสรับและคลี่ออกดู ก่อนจะร้องคราง
   “โอ๊ย ไอ้แปลนนี่อีกแล้วหรือ เห็นแล้วอยากจะบ้า ไม่มีวิธีอื่นแล้ว?”
   “ไม่มี มีก็ไม่มานั่งปวดหัวงี้หรอก” หนุ่มนัยน์ตาสีเขียวตอกกลับ รูฟัสยกมือกุมขมับ
   “ถามหน่อย คุณคิดว่าถ้ามีคนตีความแบบแปลนนี่ให้เราได้ แล้วเราจะเข้าไปเองได้รึเปล่า?”
   “ตีความได้ก็เข้าไปได้สิ ถามอะไรแปลกๆ” ราฟาแอลตอบ  รูฟัสทำหน้ายุ่ง
   “หมายถึง เราไม่ต้องให้คนตีความพาเราเข้าไปใช่ไหม?”
   “อันนั้นมันก็ไม่แน่ คือถ้ามันวุ่นวายมากจนเราไม่เข้าใจ ซึ่งน่าจะเป็นแบบนั้น ก็คงต้องใช้คนนำทาง แต่ว่าไอ้เรื่องแบบนั้นมันจะมีได้ยังไง”
   “นั่นสิ” รูฟัสรีบพูดอย่างเห็นด้วยทันที ชายหนุ่มพยายามจะปัดความคิดที่ว่าฟ่งอาจจะเป็นคนเขียนไอ้แปลนนรกนี่ออกไป ไอ้กล่องใส่แปลนแบบนั้นไม่ใช่ว่าจะมีคนใช้คนเดียวสักหน่อย สิ่งที่เขาเห็นที่คอนโดอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้ ฟ่งคงไม่ใช่คนคนนั้นหรอก มันดูตลกเกินไปถ้าบังเอิญเขาอยู่ข้างๆ ห้องของคนที่ทำสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด ไม่สิ ถ้าเกิดเป็นจริงล่ะก็ เขาเองเคยอยู่ตอนที่ฟ่งทำแปลนนี้ด้วยไม่ใช่หรือไง ตอนนั้นที่ฟ่งเรียกเขาไปที่ห้อง....
   รูฟัสแทบอยากจะเอามือตบกะโหลกตัวเอง  ฟ่งไม่มีทางจะเขียนอะไรบ้าๆ บอๆ แบบนี้แน่ แถมไอ้แปลนนี่ก็ถูกขโมยมาจากพวกนอกกฎหมายด้วย ดูยังไงฟ่งก็ไม่น่าจะทำงานกับคนพวกนี้ได้ 
   “นี่รูฟัส ผมออกไปซื้อของกับคุณคลาวเดียนะ” เสียงของฟ่งที่ดังขึ้นทำให้รูฟัสสะดุ้ง เขารีบสอดแปลนเข้าไปใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว
   “ครับ อยากให้ผมไปด้วยรึเปล่า”
   “ไม่เป็นไร ว่าแต่ตะกี้แบบแปลนอะไรเหรอ?” ฟ่งถาม และมองผ่านเลนส์แว่นออกมาอย่างใคร่รู้  รูฟัสยิ้มแห้งๆ และนึกสาปแช่งตัวเองที่มือไม่ไวพอ
   “แปลนบ้านน่ะครับ” เขาตอบเลี่ยงๆ และภาวนาให้ฟ่งไม่สนใจจะถามต่อ แต่ก็ต้องรู้สึกว่าตัวเองทำผิดซ้ำซาก
   “คุณจะสร้างบ้านใหม่หรือ ขอดูได้ไหม?”
   “คือว่า มันคงไม่สะดวก พอดีไม่ใช่บ้านผม” ชายหนุ่มตาสองสีตอบตะกุกตะกัก ฟ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไร งั้นผมไปข้างนอกก่อนแล้วกัน”
   รูฟัสรู้สึกใจโล่งใจขึ้นมาทันที ฟ่งดูไม่ให้ความสนใจอะไรมากนัก เขาเดินออกไปส่งอีกฝ่ายจนถึงหน้าประตูบ้าน
   “นี่ แกจะซ่อนไปทำประตูกลอะไร  ไอ้แบบแปลนที่ดูไม่ออกเนี่ย ฉันไม่คิดว่ามันเป็นความลับอะไรหรอกนะ” ราฟาแอลเอ่ยไล่หลังมา รูฟัสตอบโดยไม่ทันหันไปมอง “ช่างผมเถอะน่า”
   “ทำอย่างกับกลัวว่าเขาจะรู้ว่ามีไอ้แปลนนี่งั้นแหละ อืม..อ้อ!” จู่ๆ ราฟาแอลก็อุทานขึ้นมา รูฟัสหันไปมองอย่างรำคาญ และพบว่าอีกฝ่ายถือกระดาษแปลนอยู่
   “มีอะไรเกี่ยวกับเด็กนั่นที่ไม่อยากให้ฉันรู้งั้นสิ?” หนุ่มผมสีบลอนด์ว่า ยังไม่ทันที่รูฟัสจะอ้าปากตอบ อีกฝ่ายก็ก้าวเท้าออกไปทันที
   
   “เฮ้คลาวเดีย รอก่อน ผมมีธุระ”
   หญิงสาวหันไปมองตามเสียงเรียก และเห็นแฟนหนุ่มวิ่งถือกระดาษเข้ามา
   “จะเอาไปฝากส่งให้ใครหรือไง?” หล่อนว่า  อีกฝ่ายสั่นศีรษะ
   “I wanna talk with you.” เขาหันไปพูดกับฟ่ง หนุ่มสวมแว่นเงยหน้ามองราฟาแอลอย่างแปลกใจ เพราะโดยปกติดูเหมือนผู้ชายคนนี้ไม่เคยทักเขามาก่อน
   “Have you ever seen this?.”
    “เดี๋ยว ราฟี่!” เสียงของรูฟัสดังแทรกเข้ามา พร้อมด้วยเจ้าตัวที่วิ่งตามมาติดๆ  แต่คงสายไปแล้วเมื่อฟ่งรับแบบแปลนไปและคลี่ออกดู
   “H..How did you get it?” ฟ่งถามเสียงตะกุกตะกักหลังจากเห็นแบบแปลนนั่น  และหันไปมองรูฟัส  หนุ่มตาสองสีได้ยินเสียงหัวใจตัวเองหล่นตุ๊บลงไปบนพื้น
   มันไม่จริงหรอก ใช่ไหม....
   “I took it from Thailand .You known this plan, did you?” ราฟาแอลตอบด้วยน้ำเสียงที่คาดเอาอารมณ์ไม่ได้ ฟ่งพยักหน้าช้าๆ เขาถือก๊อปปี้แบบแปลนนั่นด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะเบือนหน้ามาทางรูฟัสอย่างช้าๆ “รูฟัส คุณ.... คุณรู้อยู่แต่แรก?”
   เสียงฟ่งที่ถามขึ้นช่างเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของเขาราวกับโดนมีดเสียบ รูฟัสสั่นศีรษะ “ผมไม่รู้ จริงๆ นะครับฟ่ง”
   “แต่ว่าแปลนนี่ เพื่อนคุณเอามันมาจากเมืองไทย” เสียงของฟ่งสั่นไหว ใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด รูฟัสอึ้งไปพักหนึ่ง เหมือนหัวใจของเขาถูกบีบ
   “ครับ” ชายหนุ่มยอมรับในที่สุด และรีบพูดต่อ “คือผมต้องการแปลนนี่ แต่ผมไม่รู้เลยว่าคุณเป็นคนเขียนมัน”
   “ผมไม่ได้พูดสักคำว่าผมเป็นคนเขียน”
   ฟ่งโพล่งขึ้น นัยน์ตาสั่นระริก  รูฟันยืนอึ้ง ราวกับขาของเขางอกรากลงไปในดิน ความรีบร้อนแก้ตัวของเขากลายเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ไปเสียแล้ว
   “คุณจงใจแต่แรกใช่ไหม?” ฟ่งพูดต่อ ตัวสั่นสะท้าน บอกไม่ได้ว่าเพราะโกรธ หรือเสียใจ หรือผิดหวังกันแน่ รูฟัสส่ายหน้าอีกครั้ง รู้สึกปวดหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟ่งจะเชื่อเขาไหม เขาไม่เคยรู้เลย  ไม่เคยอยากจะรู้ และไม่อยากรู้ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ด้วย
   “งั้นทำไมคุณรู้ว่าผมเป็นคนเขียน?”
   “คือ ผม...”
   “ฉันว่ากลับไปคุยกันข้างในดีไหม?” คลาวเดียกล่าวแทรกขึ้นมา หล่อนไม่รู้ว่าฟ่งกับรูฟัสคุยอะไรกัน แต่ที่แน่ๆ คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับแบบแปลนที่แฟนจอมยุ่งของหล่อนวิ่งถือมาเมื่อครู่แน่ๆ ท่าทางมันอาจจะบานปลายไปเป็นปัญหาครอบครัวได้ ทั้งหมดพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และเดินกลับเข้าไปในบ้าน
   
   “ตกลงคุณรู้ได้ไงว่าผมเขียนแปลนนี่” ฟ่งตั้งคำถามทันทีที่นั่งลงเรียบร้อย และเกือบจะพร้อมกัน ราฟาแอลก็ถามออกมาด้วย “นี่คือสิ่งที่แกไม่อยากบอกฉันสินะ เด็กแกรู้เรื่องแปลน”
   รูฟัสยกมือเป็นเชิงห้าม เพราะเขาไม่สามารถตอบคำถามทีเดียวสองภาษาได้
   “เอาล่ะราฟี่ ผมจะตอบคำถามของฟ่งก่อน เพราะฉะนั้น คุณช่วยเงียบสักพักหนึ่งได้ไหม”
   ราฟาแอลยักไหล่
   “จะจัดการอะไรก็รีบๆ เพราะฉันอยากคุยกับเด็กนั่นเหมือนกัน”
   รูฟัสย่นคิ้ว และหันไปทางฟ่ง
   “ผมไม่รู้หรอกครับฟ่ง จะพูดให้ถูกคือ ผมแค่สงสัย” เขาเริ่ม พยายามมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น
   “งานของผมเกี่ยวข้องกับแบบแปลนที่คุณถืออยู่ มันเป็นหนึ่งในหลายอย่างที่ผมต้องเอามามา เพราะฉะนั้น ถ้าผมรู้ว่าคุณเป็นคนเขียนแต่แรก ผมคงไม่ปล่อยทิ้งเอาไว้เฉยๆ หรอกครับ”
   หนุ่มตาสองสีอธิบาย ฟ่งนั่งฟังอย่างตั้งใจ มือยังคงถือแปลนนั่นไว้แน่น
   “คนที่ผมตามสะกดรอยเข้ามาเอาไอ้กล่องทรงกระบอกที่คอนโด และผมก็รู้สึกว่าเคยเห็นกล่องแบบนั้นที่ห้องคุณมาก่อน พอนึกขึ้นได้ผมก็แค่สงสัย ผมไม่คิดว่าคุณจะทำงานให้มาเฟีย”
   “ผมโดนบังคับ!!” ฟ่งโพล่งออกมา ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะโกรธ หรือเสียใจ หรืออะไรกันแน่  รูฟัสไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ หรือ แต่ถ้ารู้แต่แรก แล้วจะรอให้เขาส่งแปลนเพื่ออะไร  บางทีนี่คงเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ก็ได้ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่บังเอิญได้อย่างพอเหมาะพอเจาะเกินไปจริงๆ
   “ผมโดนเอาปืนจี้ ถูกพาไปสถานที่แปลกๆ ถูกซ้อม ถูกขู่บังคับ เกือบถูกขัง เกือบถูกฆ่า!!” คำพูดของฟ่งพร่างพรูออกมา เหตุการณ์ร้ายๆ ที่เขาเผชิญหวนกลับมาสู่ห้วงความทรงจำอีกครั้ง ร่างบางกำแบบแปลนนั้นแน่น ตัวสั่นกึกๆ ก่อนจะรู้สึกว่าถูกโอบกอด
   “ขอโทษนะครับ ผมไม่เคยรู้เลยจริงๆ ” รูฟัสกล่าวได้แค่นั้น เขารู้สึกตีบตันไปหมด  ระหว่างที่เขาอยู่ด้วย ฟ่งกลับต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆ โดยที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน ร่างกายบอบบางแบบนี้ต้องทนรับกับเรื่องร้ายๆ แบบนั้น มันช่างน่าปวดใจสิ้นดี เพราะว่าเขาไม่รู้อะไรเลยนี่แหละ
   ชายหนุ่มจูบหน้าผากของคนรักอย่างหวงแหน จนฟ่งต้องใช้มือผลักเขาออก จังหวะเดียวกับที่ราฟาแอลส่งเสียงไอออกมา
   “ระ..รูฟัส พอเถอะ ผมอายคน” ฟ่งว่า แม้จะรู้สึกดีที่ถูกกอด แต่ว่าต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ เขารู้สึกอายมากกว่า รูฟัสกอดแน่นอยู่อย่างนั้นอีกพัก ถึงยอมคลายวงแขนออก
   “เป็นอันว่าเข้าใจกันแล้วนะ?” ราฟาแอลว่า รูฟัสหันมาถลึงตาใส่เขา
   “คุณน่ะเงียบไปเลยดีกว่า” ชายหนุ่มตาสองสีกล่าว เขารู้สึกโมโหเพื่อนร่วมงานของเขาขึ้นมาจริงๆ ราฟาแอลยักไหล่อย่างไม่แยแส
   “แกโมโหฉัน?  ฉันสิน่าจะโมโหแก ตกลงนี่แกรู้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ แล้วจะพากันไปตายหมู่ ทั้งๆ ที่พระเมซซิอาอยู่ตรงหน้าเนี่ย ฉันว่าแกนั่นแหละเงียบๆ ไปเลย” เขาใส่รูฟัสยืดยาว และหันหน้าไปหาฟ่ง
   “สรุปว่าเธอรู้จักแปลนนี่?”
   หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า
   “แล้วเธออธิบายมันได้รึเปล่า?”
   “คุณได้ใบแนบที่ติดอยู่กับมันมาด้วยรึเปล่าล่ะ?” ฟ่งถามกลับ ราฟาแอลส่ายหน้า และถามอย่างแปลกใจ
   “ไอ้แปลนนี่มันมีหลายแผ่นรึไง?”
   “แปลนน่ะมีแผ่นเดียว แต่มันมีแผ่นที่เป็นส่วนขยายของช่วงแยกย่อย คือแผ่นที่คุณให้ผมดูมันเป็นแปลนแบบรวมน่ะ” ฟ่งอธิบาย เสียงรูฟัสครางขึ้น
   “ยอด... พ่อนักรักใจร้อน ฆ่าคนตายแล้วได้งานมาแค่ส่วนเดียว คงดูออกหรอก”
   “หุบปากไปเลยน่า ใครจะไปรู้ล่ะวะ ฉันก็ดึงไฟล์ที่คิดว่ามันใช่มาทั้งหมดแล้ว จะรู้ได้ไงว่ามันยังมีซ่อนไว้อีก แล้วไอ้บ้าที่ไหนหนีตามผู้ชายไปฮ่องกงวะ ทั้งๆ ที่มันควรจะทำเรื่องนี้แท้ๆ ”ราฟาแอลสวนกลับ รูฟัสทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
   “แล้วถ้ามีแค่นี้พอจะอธิบายได้รึเปล่าล่ะ?” หนุ่มผมบลอนด์ถามต่อ ฟ่งกะพริบตา นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ
   “มันก็พอได้อยู่หรอกครับ แต่คุณอาจจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ อืม...ขอผมดูไฟล์ก่อนดีกว่าว่าคุณเอาตัวไหนมา”
   “สรุปว่าเธอเป็นคนเขียนมัน?!”
   “อือ” ฟ่งพยักหน้า และตกใจที่ได้ยินราฟาแอลครางเสียงลั่น “พระเจ้า! บ้าไปแล้ว เขียนออกมาได้ไงน่ะ!”
   พูดจบก็หันไปมองรูฟัสอย่างเอาเรื่องทันที “สรุปว่าแกรู้อยู่แต่แรก แต่ไม่ยอมบอกฉันจริงๆ ด้วยสินะ”
   รูฟัสขมวดคิ้วอย่างรำคาญ “ผมไม่รู้ ถ้าผมรู้ผมจะให้คุณไปขโมยหาหอกอะไร ผมขโมยมาเองแต่แรกไม่ดีกว่าเหรอ”
   เขาว่า ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ก็ไม่วายตั้งข้อสังเกตต่อ “แล้วทำไมเมื่อตะกี้แกถึงทำท่าลับๆ ล่อๆ แกรู้ตอนไหน รู้ได้ยังไง บอกฉันมานะ!”
   “เอาว่าผมรู้แล้วกัน” คนถูกถามตอบปัดๆ แต่อีกฝ่ายยังคงไม่เลิกหาเรื่อง
   “แล้วทำไมตะกี้แกถึงไม่ยอมเอาแปลนให้เขาดูเลยวะ อยากตายหมู่นักหรือไง?”
   รูฟัสย่นคิ้วอย่างรำคาญอีกรอบ หันไปมองคลาวเดีย และเห็นว่าหล่อนทำหน้าโบ้ยให้เขายอมรับผิดอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มหันกลับมา และพยายามลำดับเรื่องราวให้คนฟังตรงหน้าเขาได้ได้ง่ายที่สุด
   “ผมไม่แน่ใจ แล้วผมก็ไม่อยากให้เป็นเขา มันเสี่ยงที่จะต้องมายุ่งกับเรื่องพวกนี้อีก เขาเจออะไรร้ายๆ มามากพอแล้ว”
   “อืม... ลองถ้าเขียนไอ้นี่ออกมาได้ ไม่ตายก็บุญแล้วล่ะ ฉันว่าแกควรจะไปบอกขอบคุณคุณชายเว่ยนะ”
   รูฟัสทำหน้าหงิกทันที ถ้าฟ่งไม่ถูกเว่ยเฟิงปิงพาตัวไป อาจจะถูกเก็บไปแล้วก็ได้ ถึงจะเป็นแบบนั้นจริงก็เถอะ แต่เขาไม่รู้สึกขอบคุณทางนั้นเลยสักนิด
   “พวกคุณอยากรู้ไปทำไมหรือ?” ฟ่งถามขึ้น
   “เราต้องเข้าไปในนั้น” ราฟาแอลรีบตอบทันที รูฟัสนึกเสียใจที่ฟ่งไม่ยอมถามเป็นภาษาไทย คนได้ฟังหน้าเปลี่ยนไปอีกรอบ
   “พวกคุณจะเข้าไป...คุณจะเข้าไปในนี้?” ท้ายประโยคเพิ่งหันมาถามคนที่อยากให้ถามแต่แรก รูฟัสพยักหน้า
   “พวกผมต้องเข้าไปจัดการเรื่องบางอย่างในนี้ครับ”
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ “มันอันตรายนะ... เขาบอกให้ผมสร้างห้องที่แม้แต่เทวดายังผ่านไม่ได้ ผมเลย.....”
   รูฟัสอยากจะครางออกมา ห้องที่เทวดาผ่านไม่ได้ เพราะคำนี้ฟ่งเลยเขียนไอ้ของพวกนี้ออกมารึ? ชายหนุ่มชักนึกสงสัยว่าเขารู้จักคนข้างห้องน้อยเกิดกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียแล้ว
   “อย่าเข้าไปเลยนะ” ฟ่งว่า เขาไม่รู้ว่ารูฟัสต้องเข้าไปทำอะไรในนั้นกันแน่ แต่ในฐานะคนออกแบบมัน เขาไม่อยากให้เข้าไปเลยสักนิด
   “เอาล่ะ หยุดเถียงกันได้แล้ว ฉันอยากรู้ว่าจะเข้าไปได้ยังไง” ราฟาแอลพูดขัดจังหวะ และไม่ปล่อยโอกาสให้รูฟัสได้พูดแทรก
   “อธิบายส่วนที่เธอรู้มาให้หมด พวกฉันจำเป็นจะต้องเข้าไปในนี้ มันเกี่ยวกับความเป็นความตายของเจ้านั่นด้วย” พูดพลางพยักพะเยิดมาทางรูฟัส ชายหนุ่มตาสองสีไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจที่ราฟาแอลเอาเรื่องนี้มาอ้างดี
   “คุณต้องเข้าไปจริงๆ หรือ? ” ฟ่งหันมาถามรูฟัส ชายหนุ่มพยักหน้า “ครับ”
   หนุ่มสวมแว่นนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ผมพอจะอธิบายให้พวกคุณฟังได้ ไม่รีบกันใช่ไหม?”
   “รีบ” ราฟาแอลสวนกลับทันที ฟ่งทำหน้าอึ้งๆ ระหว่างนั้นอีกฝ่ายก็พูดต่อ
   “เธอต้องใช้อะไรบ้าง เครื่องแมค ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ หรือใช้อุปกรณ์เฉพาะ?”
   “เอ่อ...” ฟ่งมองหน้าราฟาแอล กะพริบตาปริบๆ และหัวเราะออกมา “ไม่ต้องใช้ของพวกนั้นหรอกครับ เอาแค่พีซีธรรมดา กับโต๊ะเขียนแบบก็พอ”
   ราฟาแอลทำหน้าเหมือนเห็นยานอวกาศ เขาร้องออกมา “เธอใช้แค่ของพวกนั้นเขียนมันออกมาเรอะ?”
   ฟ่งพยักหน้า คราวนี้รูฟัสพลอยหัวเราะขึ้นมาบ้าง “ราฟี่ หน้าคุณตลกสุดๆ เลย”
   ราฟาแอลไม่ขำด้วย เขาหันมาถลึงตาใส่อีกฝ่าย “หุบปากแล้วรีบๆ จัดการไปหามาเลย ก่อนที่ฉันจะต้องสั่งแกด้วยวิธีรุนแรง”
   รูฟัสรีบจูงฟ่งออกจากบ้าน ได้ยินเสียงคลาวเดียหัวเราะเบาๆ
----------------------------------------------------
   “ขอโทษนะครับ” รูฟัสพูดขณะสตาร์ทรถ ฟ่งหันมามองเขาอย่างงงๆ
   “ผมไม่อยากให้คุณมายุ่งกับเรื่องนี้เลย” ชายหนุ่มกล่าว และได้รับรอยยิ้มตอบจากอีกฝ่าย
   “ไม่เป็นไรหรอก ก็ผมเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเองนี่”
   รูฟัสเร่งเครื่องรถยนต์ และถอยมันออกจากตัวบ้าน ก่อนจะพูดต่อ “คือผมไม่อยากให้คุณเสี่ยง....” เขาหยุดไว้แค่นั้น ด้วยไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ฟ่งเข้าใจอย่างไม่กังวลว่าการทำงานนี้มันเสี่ยงขนาดไหน ได้ยินเสียงฟ่งพูดต่อ
   “ก็มันเกี่ยวพันถึงชีวิตคุณนี่”
   รูฟัสหันมามองคนนั่งข้างทันที แทบจะลืมว่าขับรถอยู่
   “ผมปล่อยให้คุณเสี่ยงแบบนั้นคนเดียวไม่ได้หรอก” ฟ่งว่า และสะกิดให้รูฟัสมองรถที่แล่นสวนมา ชายหนุ่มจึงได้หันกลับไปมองด้านหน้าต่อได้
   “ขอบคุณนะครับ” รูฟัสกล่าวขึ้นมา รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ฟ่งสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไรหรอก ก็คุณไม่ได้มองทางนี่”
   “เปล่า ผมหมายถึงเรื่องที่คุณอยากช่วยผมน่ะ”
   “อ้อ”
   “ขอบคุณที่เป็นห่วงผมขนานนี้”
   ฟ่งพยักหน้า มองดูนิ้วเรียวได้รูปที่จับพวงมาลัยรถอยู่ แล้วพูดต่อ “คุณจะเข้าไปทำอะไรในนั้นหรือ? ผมหมายถึงพวกคุณกำลังสืบเรื่องอะไรอยู่หรือ? บอกผมได้รึเปล่า?”
   “............................”
   “บอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ” ฟ่งพูดต่อ รูฟัสรีบกล่าวสวนทันที “คือ..ไม่ใช่อย่างนั้น”
   ชายหนุ่มว่าพลางเม้มริมฝีปาก เขากำลังใคร่ครวญว่าจะอธิบายให้ฟ่งฟังเข้าใจเกี่ยวกับงานของเขาอย่างไรดี หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง จึงได้พูดต่อ
   “คนที่ว่าจ้างคุณชื่ออะไรหรือครับ?”
   “ทวีศักดิ์” ฟ่งตอบกลับ รู้สึกว่าแทนที่เขาจะเป็นฝ่ายถามความลับ รูฟัสอาจกลายเป็นฝ่ายสอบสวนเขาแทนก็ได้
   “อ้อ...อืม.... ผมเองก็สืบเรื่องเกี่ยวกับเขาเหมือนกัน” รูฟัสเว้นจังหวะการพูดไปอีกพักหนึ่ง ขณะเลี้ยวรถผ่านหัวมุมถนน
   “เขามีโครงการจะทำเรื่องบางอย่าง เท่าที่พวกผมสืบ มันเกี่ยวกับยาชนิดใหม่ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านอากาศ”
   “?!” ฟ่งอึ้งไปบ้าง สักพักจึงถามออกมา “ยาเสพย์ติดหรือ?”
   รูฟัสพยักหน้า “มีแนวโน้มว่าจะเป็นแบบนั้น ความจริงเรื่องนี้ตอนแรกเป็นแค่ข้อสงสัยของผู้จ้างงานผม แต่พอสืบดูแล้วมันมีโอกาสจะเกิดขึ้นได้จริง เขาเลยวานพวกผมให้ช่วยจัดการสะสางปัญหาเสียด้วยเลย”
   ฟ่งหันไปมองรูฟัสอย่างไม่เข้าใจ อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ “เอาว่าผมต้องจัดการไม่ให้ฝ่ายนั้นทำมันออกมาสำเร็จแล้วกันครับ ส่วนวิธีก็ต้องดูกันต่อไป”
   “แล้วมันจำเป็นจะต้องเข้าไปในห้องนั้นมากเลยเหรอ?” ฟ่งถามต่อ อดเป็นกังวลกับเรื่องห้องพิสดารนั่นไม่ได้ รูฟัสพยักหน้า
   “ฟ่ง คุณรู้รึเปล่า ว่าเขาให้คุณออกแบบห้องนั้นไปเพื่ออะไร?”
   คนถูกถามกะพริบตาปริบๆ “เขาบอกผมว่าจะเอาไปใช้เพื่อการประชุมอะไรสักอย่าง”
   รูฟัสพยักหน้าอีกรอบ และกล่าวต่อ “เขามีโครงการจะกระจายยาตัวใหม่นี้ผ่านกลุ่มผู้มีอิทธิพลทั่วโลก โดยใช้การประชุมนี้เป็นจุดเริ่ม”
   “ขนาดนั้นเลย” ฟ่งโพล่งขึ้น ก่อนจะรีบพูดต่อ “ถ้าเรื่องมันร้ายแรงขนาดนั้น ทำไมไม่แจ้งให้ทางตำรวจจัดการล่ะ?”
   “เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรผิดน่ะสิ” อีกฝ่ายตอบ “อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับว่าตอนแรกที่เป็นแค่ข้อสงสัย และถึงจะรู้ว่าเขามีโครงการแบบนี้ ก็ใช้กระบวนการทางกฎหมายเอาผิดไมได้อยู่ดี มันเป็นยาตัวใหม่ เข้าข่ายยาเสพย์ติด หรือเข้าข่ายว่าเป็นยารึเปล่ายังสรุปไม่ได้เลย”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง “ตกลงคุณทวีศักดิ์นี่เป็นใครกัน? ผมเคยเจอเขานะ ท่าทางใจดีไม่น่าทำเรื่องแบบนี้เลย”
   “เท่าที่ผมรู้ เขาเป็นเจ้าของโรงงานผลิตยา อืม...คุณเคยเจอตัวจริงเขาด้วยหรือ? ความจริงคนเราดูกันแค่ภายนอกไม่ออกหรอกครับ คนบางคนท่าทางใจดีแต่อาจจะทำเรื่องร้ายๆ อยู่ก็ได้”
   “อือ ผมเข้าใจดีเลยล่ะ” ฟ่งว่า ประโยคนี้ทำเอารูฟัสสะดุ้ง
   “ผมไม่ได้ทำอะไรไม่ดีอย่างที่คุณคิดหรอกนะ อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ขายยา” รูฟัสรีบแก้ตัว และได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดอย่างแปลกใจ “ผมยังไม่ได้พูดว่าคุณอย่างนั้นเลย”
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ จากนั้นจึงเฉไปพูดเรื่องอื่น “เขาบอกคุณเกี่ยวกับรายละเอียดงานบ้างรึเปล่าครับ? หมายถึงนอกจากบอกคุณว่าจะทำห้องไปเพื่อประชุมแล้ว เขาบอกหรือเปล่าว่าจะสร้างมันที่ไหน”
   “เขาบอกว่าจะสร้างมันใต้ดิน แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันอยู่ตรงไหน เพราะตอนไปผมถูกปิดตา แถมเหมือนรถจะขับวนด้วย” ฟ่งตอบ นึกถึงประสบการณ์ไม่น่าอภิรมณ์นั้นแล้วยังสงสัยตัวเองไม่หายว่ารอดมาได้อย่างไร รูฟัสพยักหน้า พอคิดว่าฟ่งถูกพาไปอย่างนั้นตอนที่เขาอยู่ด้วยก็อดโมโหตัวเองไม่ได้ ระหว่างที่เขามีความสุขเพราะได้อยู่ใกล้ๆ ทางนั้นกลับต้องเผชิญเรื่องน่ากลัวเพียงลำพังโดยที่บอกใครไม่ได้เลย รูฟัสย้อนนึกถึงแววตาของฟ่งตอนที่อ้าปากชวนเขาไปที่ห้อง ฟ่งคงกลัวมากจริงๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์เขียนอะไรแบบนี้ออกมาจนเสร็จ ผู้ชายคนนี้เป็นคนแบบไหนกันแน่
   รูฟัสเหลือบไปมองฟ่งอีกครั้ง และเห็นว่าฟ่งกำลังมองเหม่อออกไปด้านนอก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่อีก
   แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้ทำอะไรเสี่ยงๆ อีกเด็ดขาด
--------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกขัดเขินอยู่พอสมควรตอนมาถึงร้านอาหาร เพราะโดยปกตินอกจากเดินตามเว่ยเฟิงปิงในฐานะผู้ติดตามแล้ว เขาไม่เคยได้ย่างกรายเข้ามาในสถานที่หรูหราแบบนี้มาก่อน หนำซ้ำคราวนี้ยังไม่ได้มาในฐานะผู้ติดตาม แต่เป็นฐานะผู้ร่วมโต๊ะ
   ดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงจะใช้ชื่อเขาในการจองโต๊ะ พนักงานสาวเดินนำพวกเขาทั้งคู่ไปยังโต๊ะพิเศษที่อยู่ติดหน้าต่างที่มีวิวสวยที่สุด จางซื่อเยี่ยนนึกแปลกใจ พนักงานต้อนรับไม่สงสัยเลยหรือไงว่าน้ำหน้าอย่างเขาทำไมถึงต้องตะเกียกตะกายมากินข้าวถึงที่นี่ด้วย  แต่อย่างว่า ลองถ้าเว่ยเฟิงปิงเป็นคนจัดการแล้วล่ะก็ คงไม่มีอะไรจะต้องเป็นห่วง
   ผู้เป็นเจ้านายนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และเริ่มอธิบายถึงความสวยงามของทิวทัศน์ด้านนอก แต่จางซื่อเยี่ยนมองไม่ออกว่ามันจะสวยกว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาตรงไหน
   “ไม่ต้องสั่งอาหารหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยถามขึ้น หลังจากไม่เห็นว่ามีพนักงานคนไหนเข้ามาอีก และเว่ยเฟิงปิงเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะเรียกพนักงานมาแต่อย่างใด ร่างบางยักไหล่
   “เลือกชุดอาหารไว้ล่วงหน้าแล้วน่ะ” ผู้เป็นเจ้านายว่า และหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง
   “ฉันน่ะ อยากจะมานั่งที่นี่แบบส่วนตัวนานแล้วล่ะ แบบที่ว่าไม่ต้องนัดใครมาคุยธุระ ไม่ต้องพกผู้ติดตามให้ยุ่งยาก มาแบบคนปกติธรรมดา นี่ซื่อเยี่ยน นายฟังอยู่รึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนรีบพยักหน้าหงึกหงัก เขากำลังคิดว่าแบบนี้เรียกว่าปกติธรรมดาตรงไหน คิ้วเรียวยาวได้รูปของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันทันที
   “ทำไมนายถึงดูไม่ค่อยสนใจ นายฝืนใจมากหรือไงที่ต้องมาทานอาหารกับฉัน”
   ผู้เป็นลูกน้องรีบสั่นศีรษะทันที “เปล่าครับ ผมดีใจ”
   “งั้นทำไมนายถึงนั่งซึมเป็นบื้อแบบนี้” เว่ยเฟิงปิงว่า จางซื่อเยี่ยนทำหน้าปั้นยาก
   “จะให้ผมทำอะไรล่ะครับ” ชายหนุ่มกล่าว  อีกฝ่ายถอนหายใจยาวออกมาทันที
   “นาย!” เว่ยเฟิงปิงกล่าวค้าง พยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้ตวาดผู้ชายคนนี้ออกไป  ทำไมเจ้านี่ถึงได้งี่เง่าน่าเบื่อแบบนี้นะ เขากำลังทำอะไรเพื่อเจ้าบื้อนี่กันแน่
   “ช่างมันเถอะ” จู่ๆ ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าก็ตัดบทไปเสียดื้อๆ และหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ทำเอาจางซื่อเยี่ยนตั้งตัวไม่ถูก
   “เดี๋ยวสิครับ คุณชาย” เขาว่า แล้วก็ต้องรีบหุบปากไว้ เมื่อเห็นสายตาเขียวปัดที่จ้องกลับมา  ชายหนุ่มลืมไปสนิทว่าตอนนี้เจ้านายของเขาไม่ได้อยู่ในสภาพผู้ชาย แต่ถึงอย่างไรอารมณ์ก็ยังคงแปรปรวนอยู่เหมือนเดิม
   เว่ยเฟิงปิงมองดูแสงไฟระยับ ทั้งจากตัวตึกและจากเรือที่ลอยลำอยู่ในบริเวณอ่าว  ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ท่ามกลางเมืองที่วุ่นวายแบบนี้ เขามีใครอยู่ข้างกายบ้าง
   ร่างบางถอนหายใจยาว ป่วยการจะคิดถึงคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เจ้าบ้านี่ดูเหมือนตอไม้หรือหุ่นยนต์มากกว่าจะเป็นคนด้วยซ้ำ  แล้วทำไมเขาถึงได้ลากเอาผู้ชายน่าเบื่อแบบนี้เข้ามาในชีวิตกันนะ ก่อนหน้านี้เขาเคยหงุดหงิดที่จางซื่อเยี่ยนทำตัวจุ้นจ้านกับชีวิตของเขา แต่ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกว่า ถ้าเจ้านี่ทำตัวยุ่มย่ามขึ้นมาบ้างตอนนี้อาจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น คงดีกว่าทำตัวเหมือนหัวหลักหัวตอแบบนี้
   “นายเคยรู้สึกเหงาบ้างรึเปล่า” เว่ยเฟิงปิงเริ่มบทสนทนาอีกครั้งเมื่อเครื่องดื่มและออเดิร์ฟชุดแรกถูกนำมาเสิร์ฟ จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของเขา ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “ไม่ครับ”
   “นายไม่เคยอยู่คนเดียวหรือไง?”
   ผู้ถูกถามนิ่งนึกอยู่พักหนึ่ง อยู่คนเดียวหรือ? นั่นเป็นเรื่องนานกี่ปีมาแล้วนะ.... ตอนที่ยังอยู่ข้างถนน ก็มีเพื่อนๆ อยู่ด้วยหลายคน ถึงแม้จะไม่ได้เรียกว่าเพื่อนไม่ได้เต็มปากก็เถอะ แต่เรื่องความเหงากับการอยู่โดดเดี่ยว จางซื่อเยี่ยนไม่เคยคิดถึงมาก่อน เขาไม่เคยรู้เลยว่ามันเป็นอย่างไร
   “ไม่เคยครับ” ชายหนุ่มตอบอีกครั้ง  เว่ยเฟิงปิงมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ “ไม่รู้ว่านายเป็นคนมีเพื่อนเยอะนะเนี่ย”
   จางซื่อเยี่ยนส่ายศีรษะอีกครั้ง เขาตักออเดิร์ฟให้เจ้านาย
   “คำว่าเพื่อนคงไกลเกินไปสำหรับผม”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้ว
   “ฉันไม่เข้าใจ” เขาว่า และใช้ส้อมเขี่ยกุ้งทอดที่อีกฝ่ายตักมาให้
   “ถ้าเพื่อนคือคำเรียกของคนที่เรารู้สึกอยู่ด้วยอย่างสนิทใจและคุยอะไรก็ได้ ผมคงไม่มีหรอกครับ ชีวิตผมมีแค่คำว่า เจ้านาย ลูกน้อง ผู้ร่วมงาน และศัตรูครับ”
   เว่ยเฟิงปิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง มองดูใบหน้าของผู้เป็นลูกน้อง “แล้วนาย..... ไม่รู้สึกอะไรกับคนพวกนั้นเลยเหรอ?”
   จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้วอย่างมึนงงกับคำถาม “รู้สึกอะไรเหรอครับ?”
   “เหงา ว้าเหว่อะไรพวกนี้น่ะ รอบๆ ตัวนายเองก็ไม่เคยมีใครที่ไว้ใจได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
   ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ “ไม่หรอกครับ ผมคิดว่าทุกคนไว้ใจได้เมื่อทำตามหน้าที่ พวกที่ไว้ใจไม่ได้คือพวกที่ไม่ทำตามหน้าที่  ถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องถูกกำจัดทิ้ง”
   “นายไม่เคยถูกหักหลังหรือไง?”
   “ถ้าเป็นคนทรยศ ทางเราก็ทำหน้าที่เก็บกวาดกันอยู่บ่อยๆ อยู่แล้วล่ะครับ” จางซื่อเยี่ยนว่า และรินเครื่องดื่มให้เจ้านายของเขา
   “ฉันหมายความว่า นายไม่เคยถูกคนที่ไว้ใจมากๆ หักหลังเลยรึ? หรือว่านายไม่เคยไว้ใจใครเลย?”
   “ไม่ทั้งสองอย่างครับ” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีอีกากล่าว และอธิบายต่อ
   “ผมไว้ใจทุกคน และผมก็พร้อมจะกำจัดทุกคนที่ไว้ใจไม่ได้”
   “โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอ?”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า โดยไม่ทันสังเกตนัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริกที่มองมาทางเขา
   “แล้วถ้าฉันหักหลังนายล่ะ?”
   จางซื่อเยี่ยนชะงักไปทันที ก่อนจะยิ้มออกมา
“สำหรับคุณไม่ถือว่าหักหลังหรอกครับ ถ้ามันจะเป็นแบบนั้น ก็คงเป็นเพราะผมไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้ามากกว่า เรื่องที่จะต้องเป็นตัวหมากให้เจ้านายมันเป็นหน้าที่ของลูกน้องอยู่แล้วนี่ครับ”
   “นายคิดว่าตัวเองเป็นแค่ตัวหมากอย่างนั้นเหรอ?”
   อีกฝ่ายพยักหน้า
   “ชีวิตนายมีค่าแค่นั้นเอง?”
   “สำหรับคุณอาจจะใช้คำว่าแค่ แต่สำหรับผมคงเป็นคำว่าตั้ง หรือมากมาย ผมยินดีหากได้เป็นตัวหมากของคุณ”
   “หมากของฉันหรอ?  นายน่ะ ไม่ได้เป็นตัวหมากของคนอื่นหรือไง” เว่ยเฟิงปิงว่า และใช้ส้อมจิ้มกุ้งที่จางซื่อเยี่ยนตักให้อีกตัวหนึ่ง
   “ตอนนี้เป็นของคุณครับ” ชายหนุ่มว่า และตักกุ้งให้อีกฝ่าย
   “แล้วหลังจากนี้ล่ะ นายก็จะกลับไปเป็นหมากของคนอื่นอีกใช่ไหม”
   จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะอีกครั้ง
   “คุณเป็นคนเดียวที่ผมจะเป็นตัวหมากให้ สำหรับคุณแล้วต่อจะเดินตาร้ายยังไง ผมก็จะไม่หนีหายไปไหนทั้งนั้น  ขอแค่คุณยังอยากใช้ผมอยู่”
   เว่ยเฟิงปิงมองดูผู้ชายตรงหน้า นัยน์ตาสีอีกานั่นดูไร้หัวใจเหมือนเฉกเช่นคำพูดอย่างนั้นหรือ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เย็นชากับชีวิตตัวเองอย่างน่ากลัวอย่างนี้ เป็นครั้งแรกที่เว่ยเฟิงปิงรู้สึกกลัวลูกน้องของเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
   “ซื่อเยี่ยน นายไม่เคยมีความรู้สึกแบบคนทั่วไปเลยเหรอ รู้สึกสนุก เศร้า เหงา เบื่อ  นายน่ะ เคยหัวเราะบ้างรึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนชะงักร่างกายทันที หัวเราะหรือ? ครั้งสุดท้ายมันเมื่อไหร่กัน  น่าจะตอนที่ยังอยู่หน่วยดำล่ะมั้ง แต่ว่าทำไมถึงนึกไม่ออกเลยนะ จริงๆ แล้วเขาเคยหัวเราะบ้างรึเปล่า...
   “เรื่องแบบนั้นมันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันเลยนี่ครับ” ชายหนุ่มว่า และขยับตัวเพื่อให้พนักงานเสิร์ฟวางจานอาหารลงบนโต๊ะ
   “เกี่ยวสิ” เว่ยเฟิงปิงว่า  หลังจากที่พนักงานเดินออกไปแล้ว
   “ที่นายตักอาหารให้ฉันแบบนี้ มันเป็นเพราะความรู้สึกหรือหน้าที่กันล่ะ?”
   จางซื่อเยี่ยนชะงักมือที่ตักอาหารไปหน่อยหนึ่ง แต่ก็ทำต่อจนเสร็จ
   “ทั้งสองอย่างครับ” เขาว่า เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้ว
   “หมายความว่ายังไง? ถ้านายไม่ใช่ลูกน้องฉันนายจะทำแบบนี้รึเปล่า หรือถ้าฉันเป็นแค่เจ้านายเฉยๆ นายก็จะทำแบบนี้หรอ? หรือเพราะว่าฉันเป็นทั้งสองอย่าง”
   “เพราะว่าคุณเป็นทั้งสองอย่างครับ ถ้าคุณไม่ใช่เจ้านายผม ผมคงอยากจะป้อนคุณด้วย”
   “เป็นเจ้านายก็ป้อนได้นี่” เว่ยเฟิงปิงว่า รู้สึกใจเต้นขึ้นมานิดหน่อย  จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะ
   “ไม่ได้หรอกครับ เพราะคุณเป็นเจ้านาย”
   “เพราะฉันเป็นเจ้านาย นายถึงได้เย็นชาขนาดนี้งั้นเหรอ?”
   เว่ยเฟิงปิงถาม รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าตัวเองโดดเดี่ยวแค่ไหน “เพราะคำว่าเจ้านาย ฉันเลยถูกทอดทิ้งสินะ”
   จู่ๆ จางซื่อเยี่ยนก็นึกถึงคำพูดของอาเง็กที่พูดกับเขาเมื่อตอนที่เขาขอไปนอนค้างด้วย  บางที่เว่ยเฟิงปิงอาจจะกำลังเหงา แต่ว่าคนแบบเขาจะช่วยอะไรได้ล่ะ?
   “นายไม่เคยรู้สึกเลยสินะ ทั้งๆ ที่ทุกคนทานข้าวด้วยกันได้แท้ๆ ทำไมมีแค่ฉันที่ต้องไปนั่งทานข้าวกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ ทั้งๆ ฉันไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพูดคุย ไม่เคยหัวเราะให้ด้วยซ้ำ เวลาทำงานก็มีแต่ฉันที่ไม่เคยได้พูดอะไรนอกจากออกคำสั่งกับติดต่อธุระ แม้แต่ตอนนอน ทำไมมีแต่ฉันเท่านั้นที่ต้องนอนคนเดียว ทำไมฉันถึงต้องออกคำสั่ง ถ้าเกิดฉันไม่สั่ง ก็คงจะไม่มีใครทำอะไรเพื่อฉันเลยใช่ไหม!?”
   คำพูดพร่างพรูออกมาจากริมฝีปากบางได้รูปนั้น จางซื่อเยี่ยนนิ่งอึ้ง โดยปกติเขาก็แทบจะคิดหาคำพูดอะไรดีๆ เพื่อพูดคุยกับเจ้านายไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้อีก  สิ่งที่เขาทำได้ก็คือการนิ่งเงียบ
   “อะไรคือความจริงกันซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงพูด และเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นลูกน้อง
   “นายอยู่กับฉันเพราะความรู้สึกหรือเพราะคำสั่ง? สำหรับนายแล้วสิ่งที่ควรมอบให้ฉันคือการเชื่อฟังคำสั่งหรือว่าความจริงใจกันแน่ นายเคยมีหัวใจบ้างรึเปล่า”
   จางซื่อเยี่ยนเม้มปากแน่น น่าแปลกใจที่อาหารที่นี่แทบจะไม่มีรสชาติแม้แต่น้อยเมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงจุดนี้ ร่างสูงหลับตา 
หัวใจ...  เว่ยเฟิงปิงเคยคิดว่าเขามีหัวใจด้วยหรือ?
   “หัวใจของผม..” จางซื่อเยี่ยนเริ่มประโยค  ท่ามกลางความรู้สึกเหมือนโดนระเบิด หัวสมองขาวโพลนไปหมด
   “ของแบบนั้นไม่มีหรอกครับ” ชายหนุ่มผมยาวว่า และเงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาสีฟ้าใส
   “หัวใจของผมให้คุณไปหมดแล้ว ทั้งชีวิตของผม ผมมอบมันให้คุณหมดแล้ว ไม่ว่าคุณจะทำอะไรกับมัน คุณคือเจ้านาย และผมคือลูกน้อง ลูกน้องที่ไม่ว่าคุณจะสั่งหรือทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
   “ถ้านายต้องลำบากขนาดนั้นแค่เพื่อเป็นลูกน้องฉันล่ะก็ นายไม่ต้องทนก็ได้ ฉันน่ะ ไม่ได้ต้องการนายมากแบบนั้น” เว่ยเฟิงปิงกล่าวออกไปด้วยความคิดที่ว่าเขาควรจะต้องโมโหผู้ชายคนนี้ แต่พอพูดออกไปแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่กลับกลายเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างน่าสมเพช
   ตกลงแล้วที่เป็นได้ก็แค่เจ้านายเท่านั้นเองหรือ....
   จางซื่อเยี่ยนยิ้ม รอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากได้รูปของเขา ผู้เป็นลูกน้องมองดูเจ้านายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผู้ที่ทำให้เขาหลงใหลคลั่งไคล้ราวกับจะเป็นบ้า คนคนนี้เอ่ยปากไล่เขาออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่คงจะจำไม่ได้เลย
   “ผมทำไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าหัวใจผมเป็นของคุณไปแล้ว ไม่ว่าคุณจะออกปากไล่ผมขนาดไหน หรือเกลียดผมยังไง ผมก็ไปจากคุณไม่ได้ ถ้าหากคุณต้องการผมสักนิด….”
เว่ยเฟิงปิงนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ทุกอย่างรอบตัวเขาดูเหมือนหยุดสนิท
   “กลับเถอะ” จู่ๆ ผู้เป็นเจ้านายก็โพล่งขึ้นมา และผุดลุกขึ้นทันที เล่นเอาจางซื่อเยี่ยนเกือบขยับตามไม่ทัน
   “แต่ว่า..” เขาเอ่ยค้าง และมองดูบริกรที่กำลังจะนำอาหารมาเสิร์ฟ
   “ฉันจ่ายค่าอาหารแล้ว กลับเถอะ” เว่ยเฟิงปิงว่า และเดินออกไป
--------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนเดินตามเจ้านายกลับมาถึงรถ ท่ามกลางความงุนงงสงสัยว่าทางนั้นเกิดโมโหหรืออะไรขึ้นมาอีกหนอ ความจริงเขาไม่คิดว่าจะต้องพูดเรื่องแบบนี้เลย ชายหนุ่มไม่เคยคิดจะพูดเรื่องราวเหล่านี้กับผู้เป็นเจ้านายเลยสักครั้ง เพราะมันไม่จำเป็น และเว่ยเฟิงปิงคงไม่ต้องการฟัง แต่กลับกลายเป็นว่าฝ่ายนั้นเอ่ยปากถามออกมาก่อน
   อะไรที่เขาควรจะพูดกับเว่ยเฟิงปิงกันแน่....
เว่ยเฟิงปิงโบกมือไล่พนักงานที่ตามมาส่ง และมุดเข้าไปในรถ จางซื่อเยี่ยนเปิดประตูด้านคนขับ จากนั้นจึงไขกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ เขาไม่เข้าใจเลยว่าเว่ยเฟิงปิงคิดหรือมีอารมณ์แบบไหนในตอนนี้ แต่ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันว่าจะกลับก็คงต้องกลับ ขณะจะบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ เว่ยเฟิงปิงก็ฉวยมือของเขาไว้
   “นายน่ะ ถ้าฉันต้องการนายสักนิดล่ะก็ นายจะมีความรู้สึกให้ฉันหรือเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนหันหน้ามามองเจ้านายเขาอย่างไม่เข้าใจ
   “นายจะรู้สึกกับฉัน เหมือนที่คนปกติเขารู้สึกกันรึเปล่า ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงหยุดไปครู่หนึ่ง ผู้มีนัยน์ตาสีอีกาจ้องมองมาอย่างงุนงง
   “ฉันต้องการนาย”
   นัยน์ตาสีอีกาเบิ่งค้าง จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใสที่กำลังสั่นระริก ริมฝีปากบางที่กำลังเม้มแน่น เว่ยเฟิงปิงรู้รึเปล่าว่าที่พูดออกมาหมายความว่าอย่างไร หรือว่ารู้แล้วและตั้งใจจะพูดกันแน่
   จางซื่อเยี่ยนยกมืออันสั่นเทาขึ้นสัมผัสริมฝีปากบางที่เพิ่งเอ่ยคำพูดออกมา นัยน์ตาเรียวยาวสีฟ้าคู่นั้นมองมายังเขาราวกับมีความหวัง เว่ยเฟิงปิงที่แสนเย็นชาคนนั้น กลับมีนัยน์ตาที่อ่อนไหวราวกับกิ่งไผ่บอบบางท่ามกลางสายลมหนาวอันรุนแรงต่อหน้าเขา
   “พูดจริงๆ หรือครับ” จางซื่อเยี่ยนกระซิบ และแนบริมฝีปากของตัวเองลงไปบนริมฝีปากงามคู่นั้น ไม่ว่าคำพูดนั้นจะจริงหรือเปล่า แต่วินาทีนี้ เขาอยากจะสัมผัส  สัมผัสริมฝีปากของเจ้านายอันเป็นที่รักที่เอ่ยคำพูดนั้นออกมา เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางอืมในลำคอ ชายหนุ่มผมยาวรู้สึกถึงวงแขนบอบบางที่โอบรอบตัวเขา
   “คุณชาย..” เสียงกระซิบแผ่วเบา พร้อมกับวงแขนแกร่งที่รวบร่างนั้นเข้ามากอดตอบ  และจูบไปทั่วใบหน้าของผู้เป็นเจ้านาย เว่ยเฟิงปิงครางเบาๆ โอบรัดร่างแกร่งนั้นแน่นยิ่งขึ้น
   หากการโอบกอดนี้เป็นเพียงแค่การทำเพื่อหลอกลวงแล้วล่ะก็  คงไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นความจริงอีกแล้ว
   จางซื่อเยี่ยนดึงร่างของผู้เป็นเจ้านายเข้ามาจูบอีกครั้ง
   เว่ยเฟิงปิงจะรู้หรือเปล่าว่าเขาต้องการมากแค่ไหน

   ร่างบางส่งเสียงครางเบาๆ และจิกเล็บลงไปบนไหล่ของอีกฝ่ายแน่น ขณะที่ร่างกายถูกกดลงไปแนบเบาะรถ จางซื่อเยี่ยนถอนริมฝีปากออกเพื่อหายใจ เว่ยเฟิงปิงโอบคอของเขาเข้าไปจูบอีกครั้ง ราวกับจะบอกว่าต้องการมากเช่นกัน
   มือเรียวลูบไล้เรือนร่างบอบบางที่สั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอด และสัมผัสถึงต้นเขาเรียบลื่นที่ซ่อนอยู่ภายใต้กี่เพ้าสีแดง  จางซื่อเยี่ยนเม้มริมฝีปากของตัวเองเข้ากับซอกซอขาวผ่อง  ท่ามกลางเสียงครางสะท้านของผู้เป็นเจ้านาย  ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปลดซิบด้านหลังเสื้อสีแดงนั้น และค่อยๆ เลื่อนมันลงมา เผยให้เห็นช่วงไหล่ขาวเนียน และหน้าอกแบนราบที่ปลายยอดสีชมพูเริ่มชูชันขึ้นมาตามห้วงอารมณ์หวาม
   ร่างแกร่งใช้ปลายสิ้นสัมผัสกับจุดอ่อนไหวสีชมพูนั้นเบาๆ ขณะที่มืออีกข้างเลื่อนผ่านต้นขาเรียบเนียนเข้าไปสู่จุดกลางที่กำลังแข็งตัวอย่างรู้สึกได้ชัด เว่ยเฟิงปิงยกมือขึ้นปิดปาก ในตอนที่จางซื่อเยี่ยนดูดคลึงยอดอกสีชมพูของตน และกระตุ้นส่วนล่างด้วยอุ้งมืออุ่นๆ
   “อื้ออ”
   จางซื่อเยี่ยนดึงมือของเจ้านายออกจากริมฝีปาก ด้วยกลัวว่าทางนั้นจะกัดมือจนเป็นแผลเสียก่อน และใช้ริมฝีปากของตัวเองช่วยปิดให้แทน เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางในลำคออย่างวาบหวาม สองแขนโอบรัดและกดจิกลงไปบนร่างกายของอีกฝ่ายทุกครั้งที่ถูกกระตุ้นให้เสียวซ่าน ร่างแกร่งค่อยๆ ดึงชั้นในของผู้เป็นเจ้านายออก และสอดใส่ปลายนิ้วเข้าไปยังส่วนซ่อนเร้นด้านหลัง
   “อ๊า!” เว่ยเฟิงปิงเผลอร้องครางออกมา เมื่อถูกอีอกฝ่ายช้อนตัวให้ขึ้นนั่งบนตัก ส่วนแข็งขึงที่ดุนดันสะโพกของเขาอยู่ทำเอาร่างกายร้อนวูบวาบไปหมด  จางซื่อเยี่ยนใช้ริมฝีปากของตัวเองปิดปากของผู้เป็นเจ้านายไว้อีกครั้ง ขณะค่อยๆ เบียดความร้อนระอุนั้นเข้าไป
   ร่างบางสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด เมื่อถูกสอดใส่ไปได้ครึ่งทาง จางซื่อเยี่ยนชะงัก แม้จะต้องการมากแค่ไหน แต่การฝืนต่อไปอาจจะทำให้ผู้เป็นเจ้านายบาดเจ็บ
   “ซื่อเยี่ยน..” เว่ยเฟิงปิงเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ ก้มลงจูบที่ริมฝีปาก และพยายามขยับร่างกายเพื่อจะรับเอาส่วนนั้นเข้าไป จางซื่อเยี่ยนโอบเจ้านายของเขาไว้แน่น การที่ได้เห็นผู้เป็นเจ้านายซึ่งเขาเคยใฝ่ฝันพยายามทำเพื่อตนขนาดนี้ทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาตอบรับจูบนั้นอย่างดูดดื่ม และขย้ำมือลงไปบนปั้นเอวของอีกฝ่าย ออกแรงกดจนได้ยินเสียงครางสั่นพร่า
   สะโพกแน่นถูกกดแนบกับหน้าขา จากนั้นร่างบางก็ถูกกระแทกขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ท่ามกลางหยาดน้ำตา และเสียงร้องที่ถูกดูดกลืนด้วยจูบที่ร้อนแรงและหิวกระหาย ความสุขสมล้นปรี่จนทแบทะลัก ท้ายที่สุดของเหลวขุ่นข้นก็ไหลเปรอะออกมา
ริมฝีปากสองคู่ปรนเปรอจูบให้กันและกันอีกครั้ง วงแขนแกร่งพยุงร่างของผู้เป็นเจ้านายไม่ให้ล้มพับลงไป เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางเบาๆ ตอนที่อีกฝ่ายถอนตัวออก ร่างผอมบางขยับริมฝีปากขึ้นแตะกับริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าคมได้รูปนั้น
   “ได้โปรด รักฉันบ้าง”
   จางซื่อเยี่ยนจูบริมฝีปากนั้นแทนคำตอบ คำว่ารักที่มีต่อเว่ยเฟิงปิงนั้นคือทุกลมหายใจของเขา ร่างแกร่งค่อยๆ สวมเสื้อผ้าให้ผู้เป็นเจ้านาย และก้มลงจูบหลังฝ่ามือ เว่ยเฟิงปิงหัวเราะขืนๆ
   “วิกยุ่งหมดเลย ถอดออกดีไหม?” ร่างบางเอ่ยถาม ขณะพิงตัวซบไหล่ของผู้เป็นลูกน้อง
   “ถ้าคุณพอใจ ยังไงก็ได้ครับ”
   “นายไม่มีความเห็นเลยหรือไง?”
   จางซื่อเยี่ยนยกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่าย ขณะที่เพิ่งจัดการเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จ
   “ผมชอบที่คุณผมยาว ไว้ผมยาวก็ดีนะครับ”
   “อืม” ร่างบางคราง หลับตาอย่างสบายใจกับฝ่ามือแกร่งที่ลูบลงมา
   “ขับรถไหวหรือเปล่า?” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยถามอีกครั้ง จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า 
   “ถ้ายังไงโทรเรียกอาเง็กมารับดีไหม?” ผู้เป็นเจ้านายว่า ก่อนจะหลับตาพริ้มเมื่อถูกจูบหน้าผาก
   “ให้อาเง็กมาเห็นคุณในสภาพแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ครับ” จางซื่อเยี่ยนว่า  แม้ใจจริงอยากจะอยู่แบบนี้อีกสักพักใหญ่ๆ แต่เขาคงต้องพาผู้เป็นนายกลับที่พักได้แล้ว เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางอืม จางซื่อเยี่ยนจึงค่อยๆ ช้อนศีระษนั้นวางลงกับเบาะ และเปลี่ยนไปนั่งที่นั่งคนขับ ก่อนจะสตาร์ทรถออกไป
---------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด