[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 247246 ครั้ง)

ออฟไลน์ Maria_safe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อ่านรวดเดียวเลย สนุกมากๆเลยค่ะ
ตอนนี้ชอบทั้งสองคู่เลย
ดีใจมากอัพเร็วได้ใจ
รอตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
เรื่องนี้รู้สึกเหมือนเคยอ่านจากเวปไหนซักที่
แต่ไม่ใช่จากเวปบอร์ดนี้แน่นอน
เอาเป็นว่ารอตอนต่อไปอยู่นะ :bye2:

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ลงเร็วมว๊ากกกกกกกกกกกกก  :a5:  ยังอ่านไม่ทันเลยค่ะ  :o12:
เดี๋ยวแว่บไปอ่านต่อ แล้วจะรายงานตัวอีกรอบนะคะ อิอิ  :o8:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่36  รัสเลอร์
   ระหว่างทางกลับบ้านหลังจากซื้อของเสร็จ จู่ๆ รูฟัสก็หยุดรถลงตรงใกล้ๆ กับทางเดินริมทะเลสาบ ก่อนจะหักหัวเลี้ยวเข้าไปจอดยังที่จอดรถ
   “ไปเดินเล่นหน่อยไหมครับ?” เขาเอ่ยถามชายหนุ่มสวมแว่นที่นั่งอยู่ที่เบาะอีกฟากของคนขับ  ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างงงๆ
   “ไม่ต้องรีบกลับหรือ?”
   รูฟัสสั่นศีรษะ พลางนึกว่าทำไมเขาจะต้องรีบกลับไปให้เจ้าหมอนั่นใช้งานฟ่งด้วย
   “อยากไปเดินดูทะเลสาบบาลาตอนหน่อยไหมครับ อากาศกำลังเย็นสบายเลย”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส ก่อนมองออกไปด้านนอก และพยักหน้า ในเมื่อทางนั้นดูอยากจะนำเสนอสถานที่เที่ยวเต็มที่ อีกอย่าง ตั้งแต่เขาถูกลักพาตัวมา  ยังไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่ได้เดินอย่างสบายใจเลย  บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรก
   สองหนุ่มก้าวเท้าลงจากรถ  และเดินทอดน่องไปตามทางเดิน  สายลมทะเลพัดเอาละอองน้ำและความเย็นมากระทบเรือนร่าง สำหรับคนที่เกิดในเมืองร้อนอย่างฟ่งแล้ว อากาศแบบนี้ถือว่าหนาวเลยทีเดียว  ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลกระชับเสื้อแจ็กเกตเข้ากับตัว รูฟัสมองดูใบหน้าของคนรัก  ใบหน้าได้รูปถูกไล้ด้วยแสงแดดยามบ่าย ดูงดงามราวกับภาพวาด  บางคราวมันก็ทำให้เขารู้สึกกลัวว่าหากละสายตาจากคนคนนี้ไปแล้ว เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง อาจจะไม่ได้เห็นใบหน้านี้อีก
   “จับมือได้หรือเปล่าครับ?” ชายหนุ่มกระซิบ  ขณะขยับตัวเดินเข้าไปใกล้ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส ปอยผมสีน้ำตาลถูกลมพัดไล้พวงแก้มที่เริ่มเป็นสีชมพูเพราะความหนาว
   “............................”
   “ไม่เป็นไรครับ” รูฟัสพูดและยิ้ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีทีท่าลังเล  ฟ่งรีบพูดขึ้นทันที
   “เปล่า คือ..มันจะดีหรือ ผู้ชายกับผู้ชายจับมือกันในที่สาธารณะน่ะ..”
   “รังเกียจหรือเปล่าล่ะครับ” รูฟัสถาม ฟ่งนิ่งอึ้งไปอีก
   “ผมไม่ได้รังเกียจคุณ แต่.....”
หนุ่มตาสองสียิ้มอีกครั้ง “อย่างนั้นก็ไม่เป็นไรครับ  เป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องแปลก”
   ฟ่งย่นคิ้ว “ไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่อยากทำอะไรให้มันประเจิดประเจ้อ อีกอย่าง ผมไม่ใช่เกย์”
   รูฟัสเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “งั้นทำไมถึงยอมมากับผมล่ะครับ?”
   ฟ่งถลึงตามองรูฟัส และเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นทันที หนุ่มตาสองสีหัวเราะ พลางเร่งฝีเท้าตามคนรักไป ก่อนจะฉวยข้อมือบางนั้นไว้
   “คุณชอบแกล้งผม!” ฟ่งโพล่งออกมา ใบหน้าเป็นสีชมพูระเรื่อ รูฟัสยิ้ม และยกมือที่ฉวยไว้ได้ขึ้นมาจูบเบาๆ “ผมชอบคุณนะครับ”
   ฟ่งเม้มปาก ใบหน้ายิ่งแดงหนักขึ้นไปอีก  เขาพยายามดึงมือออก แต่ทางนั้นยิ่งจับแน่น
   “ผมอาย!!” ร่างบางพูด ขณะพยายามดึงมือออกอีกครั้ง รูฟัสฉวยโอกาสโอบร่างนั้นเข้าไปกอด และกระซิบข้างหู
   “คุณน่ารักมาก รู้ตัวหรือเปล่าครับ”
   ฟ่งรู้สึกร้อนวาบไปทั้งร่าง เมื่อลมหายใจอุ่นๆ สัมผัสใบหู ร่างบางส่งเสียงโวยวาย
   “นี่มันที่สาธารณะนะ!!”
   “ครับๆ ” หนุ่มนัยน์ตาสองสีอมยิ้ม ความจริงเขาอยากจะแกล้งอีกฝ่ายต่อสักหน่อย แต่ท่าทางคนที่จะทนไม่ไหวจะกลายเป็นตัวเขาเอง รูฟัสมองออกไปในทะเลสาบ และชี้ให้ฟ่งดู
   “คุณรู้รึเปล่า ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นสีเทา”
   หนุ่มสวมแว่นมองตามออกไป และก็ต้องขมวดคิ้ว มันก็ดูเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ที่สวยงามดีนี่นา มีทั้งดอกไม้ใบหญ้าสีสันต่างๆ แถมยังมีหงส์เป็นฝูงว่ายอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วไม่เหมือนภาพถ่ายขาวดำเลยสักนิด  สงสัยว่ารูฟัสอาจจะตาบอดสี
   “ก็ดูสวยดีนี่ ตอนหน้าหนาวที่นี่แล้งมากเหรอ?”
   ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ ใช้มือปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าของอีกฝ่ายออก
   “เปล่าครับ มันเป็นสีเทาตอนที่คุณจะจากผมไป”
   ฟ่งทำหน้าแปลก พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้า เขานึกกลัวขึ้นมานิดๆ ว่า ทางโน้นอยากจะพูดอะไรกันแน่
   “แล้วตอนนี้ล่ะครับ?” หนุ่มสวมแว่นถามกลับ  และเบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง ยกมือขยับแว่น และบอกตัวเองว่าเขาไม่ได้อยากรู้คำตอบสักนิด รูฟัสคลี่ยิ้ม ก้มลงกระซิบเบาๆ ข้างหูคนรักอีกครั้ง
   “ตอนนี้สีมันเหมือนแก้มแดงๆ ของคุณไงครับ”
   ฟ่งย่นคิ้วอย่างสยดสยอง “คุณอย่าพูดอะไรน้ำเน่าแบบนั้นได้ไหม ผมฟังแล้วรู้สึกยังไงก็ไม่รู้”
ถึงจะพูดออกมาแบบนั้น แต่พวงแก้มนั่นดูเหมือนจะยิ่งแดงปลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ  รูฟัสหัวเราะ
“ไม่พูดก็ได้ครับ ใช่ว่าผมจะพูดแบบนี้บ่อยๆ นะ”
ฟ่งย่นคิ้ว เริ่มคิดจริงจังว่า ผู้ชายคนนี้คงชอบแกล้งเขาจริงๆ
“คุณน่ะ อยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ  หมายถึงปกติอยู่ที่นี่หรอ?”
“ก็ประมาณนั้นครับ” รูฟัสตอบ นึกดีใจที่ฟ่งแค่ผลักเขาออก แต่ก็ยังยอมให้เดินใกล้ๆ ไม่งอนเขาแล้วเดินหนีเหมือนคราวที่ผ่านมา
 “แล้ว ไม่เคยชอบใครที่นี่เลยเหรอ ผมว่าคนที่นี่ก็หน้าตาดีนะ”
รูฟัสสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ว่าหน้าตาดีแล้วจะทำให้อยากอยู่ด้วยสักหน่อยนี่ครับ”
“อืมม” ฟ่งส่งเสียงในลำคอเหมือนใช้ความคิด เขามองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมารอบๆ  พลางคิดว่าพวกผู้หญิงที่มองมาแล้วกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงพวกเขาในแง่ใดกันแน่
“ถ้าคุณไม่เดินกับผมอาจจะมีคนมาทักเยอะก็ได้นะ”
รูฟัสย่นคิ้ว มองดูฟ่งที่กำลังมองออกไปทางอื่น
“ไม่ได้อยากให้มีใครมาทักเลยครับ” เขาว่า และเหลือบเห็นผู้หญิงสองคนที่ทำท่ากระซิบกระซาบกัน
“จริงๆ นะ ผมว่าเราเดินแยกกันดีกว่า” ฟ่งพูด และขยับตัวเดินห่างออกไป รูฟัสส่งเสียงคราง
“โธ่.... จะทำเป็นหึงผมบ้างสักนิดไม่ได้หรือไงครับ” เขาว่า ฟ่งทำหน้าเหมือนได้ฟังเรื่องแปลก
“ทำไมล่ะ ก็ทุกคนเหมือนจะมองแต่คุณ ที่เราเดินด้วยกันนี่ ผมว่ามันอาจจะไม่ดีก็ได้นะ”
“ดีสิครับ” รูฟัสว่า ฉวยข้อมืออีกฝ่ายไว้อีกครั้ง
“คุณมองผม เดินกับผม ดีที่สุดแล้วครับ ใครคนไหนจะมองยังไงก็ช่างสิ” เขามองดูหน้าคนรัก และพูดอย่างนึกขึ้นได้
“หรือว่าคุณจะหึง เมื่อกี้นี่หึงผมรึเปล่าครับ?”
ฟ่งถลึงตามองรูฟัส “ผมไม่ได้หึงสักหน่อย ใครๆ ก็มองแต่คุณนี่ ผมน่ะ เดินกับคุณแล้วรู้สึกยังไงไม่รู้”
“แล้วกัน” รูฟัสคราง พลางนึกโมโห เขาอยากจะเดินควงกับฟ่งให้สบายใจแท้ๆ ทำไมกลายเป็นแบบนี้กันนะ
“ผมว่า เราเดินแยกกันดีกว่า” ฟ่งพูด สลัดมือออก และเดินหนีไปทันที รูฟัสอ้าปากค้าง  ไม่รู้จะนึกดีใจหรือเสียใจดี
ตกลงนี่ฟ่งหึงเขาแล้วงอนจนเดินหนีไป?
ชายหนุ่มเกาหัวแกร่ก ขณะที่คิดว่าควรจะวิ่งตามไปดีไหม สาวทรงโตคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
----------------------------------------------
ฟ่งไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องเดินหนีออกมาด้วย ก็แค่รู้สึกอายปนกับน้อยใจนิดๆ  เมื่อเห็นสายตาของคนที่มองมา พวกนั้นมองมาที่รูฟัส และกระซิบกระซาบกัน เพราะว่าเขาดูไม่เหมาะกับรูฟัสหรือเปล่า? ที่จริงแล้วรูฟัสเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก จะทำอะไรก็ดูดีไปหมด ทำไมถึงต้องมาคู่กับคนที่ดูยังไงก็ไม่เจริญหูเจริญตาแถมยังเป็นผู้ชายแบบเขาด้วยล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ ในที่สุดร่างบางก็ชะงักฝีเท้าลง และหันกลับไปเพื่อถามหาทางออกจากอีกฝ่าย แต่ว่าเขามองไม่เห็นหนุ่มตาสองสีที่ว่านั่นเสียแล้ว
ฟ่งมองไปรอบๆ อย่างตกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาศีรษะ  เขาคงเดินหนีออกมาไกลเกินไป  ถึงคิดว่ารูฟัสน่าจะตามมาทันก็เถอะ แต่ว่ามันก็อาจจะไม่ทันกันก็ได้ อย่างนี้แปลว่าเขาหลงทางรึเปล่า?
ชายหนุ่มสวมแว่นมองไปรอบๆ อีกครั้ง และพบว่านี่เป็นสถานที่ที่เขาไม่รู้จักอย่างแท้จริง แถมผู้คนยังแปลกภาษา จริงอยู่ เขาเคยออกจากบ้านของราฟาแอลแล้วไปหากฤษต์ด้วยตัวคนเดียว นั่นเพราะเขาต้องการหนี หนียังไงก็ได้เพื่อให้พ้นจากผู้ชายคนนั้น ตอนนั้นเขาไม่ได้มีเป้าหมายแน่นอนเท่าไหร่ ก็แค่คิดว่าถ้าไปไม่ถูก ก็คงพยายามบอกคนแถวนั้นงูๆ ปลาๆ ให้พาเขาไปสถานทูต แต่ตอนนี้เขาต้องกลับไปหารูฟัส โดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงส่วนไหนของทะเลสาบกันแน่
ฟ่งตัดสินใจเดินย้อนกลับไปทางที่คิดว่าเพิ่งเดินผ่านมา พลางนึกโมโหความงี่เง่าของตัวเอง
ถ้าเขาไม่รีบเดินหนีออกมา ก็คงไม่ต้องมาเสียเวลาแบบนี้
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะอีกครั้ง เขายังมองไม่เห็นวี่แววของรูฟัส แต่ก็พยายามปลอบใจตนเองว่าเดี๋ยวคงเจอ
“May I help?” เสียงหนึ่งทักขึ้น ฟ่งไม่ต้องเสียเวลามองหาที่มาของมันให้ยุ่งยาก เพราะเจ้าของเสียงนั้นหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เขาเป็นหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหยักสก นัยน์ตาสีฟ้า ดูจะอายุพอๆ หรือมากกว่ารูฟัสสักหน่อย หน้าตาจัดกว่าพอมองได้ สวมเสื้อแจ๊กเกตสีขาว
ฟ่งสั่นศีรษะ  เขานึกไม่ออกว่าจะให้ใครช่วยทำอะไร ก็แค่หารูฟัสให้เจอแค่นั้นเอง แต่หนุ่มผมสีน้ำตาลคนนี้ดูเหมือนจะรู้เรื่องราวอะไรอยู่บ้าง
“ผมเห็นแฟนคุณนะ ที่ยืนคุยอยู่กับผู้หญิงตรงนั้นรึเปล่า?” เขาว่า และชี้มือไปอีกฝั่งหนึ่ง ฟ่งมองตามไป และรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที นั่นใช่รูฟัสแน่ เพราะยืนคุยกับผู้หญิงอยู่นี่เองเลยไม่ได้ตามมา
“ทะเลาะกับหรือครับ?” ชายหนุ่มคนนั้นถามต่อ ฟ่งสั่นศีรษะ
“แล้วทำไมคุณเดินหนีออกมาล่ะ ให้ผมพากลับไปส่งไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ” ฟ่งตอบ และรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นภาระกับคนอื่นเสียจริงๆ
“คุณเพิ่งมาที่นี่หรือ?” ชายหนุ่มแปลกหน้าเริ่มตั้งคำถาม เมื่อพบว่าฟ่งยืนเงียบไป ฟ่งพยักหน้า
“ครับ ผมเพิ่งมาถึงได้ไม่กี่วัน”
“ก่อนหน้านี้อยู่ประเทศอะไรหรือครับ?”
“ไทย” ฟ่งว่า และนึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องมาตอบคำถามของคนที่ไม่รู้จักด้วย หนุ่มแปลกหน้ายิ้ม
“ถ้าไม่รังเกียจ ผมคาร์ล คุณล่ะครับ?”
“ฟ่ง” หนุ่มสวมแว่นตอบ ยกมือขึ้นจับมือที่ยื่นมาพอเป็นพิธี และคิดว่าเมื่อไหร่รูฟัสจะมาสักที เขาเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับผู้ชายแปลกหน้าคนนี้
“แฟนคุณคงอาจจะคุยธุระอยู่ก็ได้นะครับ” คาร์ลว่า เมื่อเห็นสายตาจดๆ จ้องๆ ของฟ่ง ร่างบางห่อไหล่
“ไปเดินเล่นกับผมไหมครับ เผื่อกลับมาแฟนคุณอาจจะคุยธุระเสร็จแล้ว” อีกฝ่ายพูดต่อ และยิ้มให้อีกครั้ง ฟ่งรีบสั่นศีรษะ
“ไม่ดีกว่า” เขาว่า คาร์ลหัวเราะ
“แฟนคุณเนื้อหอมนะครับ ผมเคยเห็นเขาเปลี่ยนผู้หญิงอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่รังเกียจ เราไปนั่งร้านน้ำชาใกล้ๆ นี่ไหมครับ รอเขาคุยเสร็จ”
ฟ่งทำหน้าย่น “คุณรู้จักเขาเหรอ?”
คาร์ลยักไหล่ “รู้จักสิครับ เขาสะดุดตา เนื้อหอม เป็นที่นิยมแบบนั้นใครๆ ก็คงอยากรู้จัก”
ฟ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และยิ่งรู้สึกหงุดหงิด โดยไม่ได้สังเกตสายตาของอีกฝ่ายที่มองมา
“ชอบทานเครื่องดื่มอะไรหรือครับ ชา กาแฟ หรือว่าน้ำผลไม้?”
“โกโก้มั้งครับ” ฟ่งตอบ และหันไปมองร้านน้ำชาที่ว่า คาร์ลยักไหล่
“ไปด้วยกันไหมล่ะครับ ยังไงคุณก็ต้องรอแฟนอยู่แล้ว”
“ผมยังไม่รู้ว่าเขาอยากให้ผมรอรึเปล่าเลย” ฟ่งว่า  อีกฝ่ายส่งเสียงอย่างแปลกใจ
“แล้วกัน งั้นคุณจะรอทำไมล่ะครับ?”
ฟ่งนิ่วหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบไป
“เราไปนั่งทานอะไรกันก่อนดีกว่า แล้วผมค่อยไปส่งคุณก็ได้” คาร์ลพูดต่อ ฟ่งยกมือลูบหน้า เขายังไม่รู้เลยว่าจะกลับบ้านทางไหน
“ผมเดินไปหาเขาดีกว่า” ฟ่งว่า และหมุดตัวกลับ แต่แล้วก็ต้องตกใจที่ถูกรั้งมือไว้
“เดี๋ยวสิ” ทางนั้นว่า  ฟ่งพยายามสลัดมือออกและถอยมาอย่างแตกตื่น เขารู้สึกตกใจกับการที่ถูกคนแปลกหน้าจับมือ แถมยังเป็นผู้ชายด้วย ร่างบางสะดุดเมื่อชนกับใครคนหนึ่ง
“Sorry!!” ฟ่งโพล่งออกมา แต่ยังไม่ทันหันหลังไปมอง วงแขนแข็งแรงก็รวบตัวของเขาเอาไว้
“รูฟัส!!” ร่างผอมบางอุทานชื่อนั้นออกมา ได้ยินเสียงอืมจากผู้ที่อยู่ด้านหลัง พอเงยหน้าขึ้นไปก็สบเข้ากับนัยน์ตาสองสีนั้นทันที รูฟัสพยักหน้าและยิ้มให้เขาหน่อยหนึ่ง ก่อนจะมองไปยังหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงข้าม  และพูดอะไรบางอย่างที่ฟ่งไม่เข้าใจ อาจจะเป็นภาษาฮังการี  ไม่นานนักผู้ชายคนนั้นก็เดินจากไป
“ไม่เป็นไรอะไรนะครับ” รูฟัสถาม หลังจากที่คาร์ลเดินหายไปแล้ว ฟ่งสั่นศีรษะ
“คุณรู้จักกับเขาเหรอ?”
“ไม่เชิง..” รูฟัสตอบ และยกมือขึ้นปัดปอยผมสีน้ำตาลของฟ่งที่ปรกใบหน้าออก
“แล้วคุยอะไรกัน?” ฟ่งถาม เงยมองหน้ารูฟัสอย่างสงสัย หนุ่มตาสองสียักไหล่
“ก็บอกว่า คุณเป็นของผม อย่ามายุ่ง แค่นั้นแหละ”
“คะ.... ใครเป็นของคุณกัน!!” ฟ่งว่า และเริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาอีก รูฟัสถอนหายใจ และยกมือขึ้นลูบศีรษะของอีกฝ่าย
“ก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดนักหรอกครับ แต่ว่าเจ้าหมอนั่นมาทำตัวรุ่มร่ามกับคุณนี่”
“ยังไง?”
รูฟัสยิ้มให้ฟ่งอย่างเอ็นดู และยอมปล่อยมือออกเมื่ออีกฝ่ายพยายามดิ้นขลุกขลัก
“รู้สิครับ เห็นแค่สายตาที่มองมาก็รู้แล้ว ว่าเขาอยากได้ตัวคุณ”
   “ห๊ะ!!” ฟ่งร้องอย่างไม่เชื่อ ก่อนจะหันหลังกลับไปมองคนด้านหลัง
   “หมอนั่นดูพอใจคุณนะ ถ้าผมมาไม่ทัน บางทีคุณอาจจะโดนลากไปไหนแล้วก็ได้ เมื่อกี้ก็ถูกฉุดมือไว้ไม่ใช่เหรอ?”
   ฟ่งขมวดคิ้วทันที “ก็เพราะคุณนั่นแหละ คุณยืนคุยกับสาวๆ แล้วทิ้งผมเอาไว้”
   “ก็คุณเล่นเดินหนีไปนี่ครับ แต่ช่างเถอะ” รูฟัสเปลี่ยนท่าทีเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย
   “ผมขอโทษแล้วกันครับ รู้แล้วว่าคุณหึง แต่ว่าวันหลังอย่าเดินหนีไปแบบนี้อีกนะครับ มันอันตราย”
   “ก็คุณไม่ยอมเดินตามมา” ฟ่งยังไม่ยอมแพ้  รูฟัสถอนใจ
   “คุณเดินหนีผมไป แล้วจะให้ผมตามไปยังไงล่ะครับ”
   “คุณคุยอยู่กับผู้หญิงคนอื่น” ฟ่งว่า ทำหน้าบูด รูฟัสไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี ฟ่งกำลังหึงแน่ๆ
   “ถ้าเป็นคุณ คุณจะเดินผ่าพวกเธอออกมาหรือไงครับ”
   “คุณก็แก้ตัว” ร่างบางเถียงเสียงแข็ง เหมือนจะตั้งใจเอาโทษเสียให้ได้
   “ครับ ผมผิดไปแล้ว เพราะฉะนั้นวันหลังอย่าเดินหนีผมไปอีกนะครับ” รูฟัสสรุป ฟ่งขมวดคิว นัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาเหมือนไม่พยายามจะเข้าใจ หนุ่มร่างสูงถอนหายใจเฮือก 
หรือว่าเขาควรจะเก็บฟ่งเอาไว้กับบ้านดี เกิดพามาเดินเล่นแล้วหนีเตลิดไปโดนใครต่อใครฉุดไปจะเป็นยังไงนะ?
“กลับกันเถอะครับ” หนุ่มตาสองสีเอ่ยขึ้นต่อ หลังจากเห็นอีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่ ผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลหันมามองอย่างแปลกใจ
   “คุณพาผมมาเดินที่นี่ทำไมเนี่ย?”
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า
   “ผมว่า เราไปหาที่นั่งคุยกันตรงโน้นดีกว่า” เขาว่า และจูงมืออีกฝ่ายเดินออกไป
   “ตกลงว่าจะกลับรึเปล่า?”
   ฟ่งเอ่ยถาม ขณะที่เดินมาถึงเก้าอี้ยาวริมทะเลสาบ รูฟัสถอนหายใจ และดึงมือฟ่งให้นั่งลงด้วยกัน
   “นี่คุณจงใจจะแกล้งผมรึเปล่า?” รูฟัสเริ่มต้นบทสนทนาด้วยคำถามแทนที่จะเป็นคำตอบ  หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้วทันที
   “ผมแกล้งคุณตรงไหนกัน”
   “ก็ที่คุณงอนแล้ววิ่งหนีไป แล้วก็มาโมโหผมอีก” หนุ่มตาสองสีว่า มองดูคิ้วคู่งามที่ขมวดยุ่งของอีกฝ่าย
   “เพราะคุณนั่นแหละ พาผมออกมาเดินที่นี่ทำไม”
   “ผมแค่อยากมีเวลาส่วนตัวกับคุณ”
   “เมื่อคืนก็อยู่ด้วยกันแล้วนะ” ฟ่งแย้ง  รูฟัสกะพริบตาปริบๆ
   ตกลงนี่ฟ่งแกล้งเขา หรือแกล้งโง่ หรือว่าอะไรกันแน่เนี่ย
   “ไม่อยากอยู่ใกล้กับผมขนาดนี้เลยเหรอ?” หนุ่มตาสองสีถามต่อ ฟ่งหยุดไปแวบหนึ่ง และสั่นศีรษะ
   “เปล่า”
   “งั้นเดินเล่นกับผม คล้องแขนกันไม่ได้หรือครับ?”
   “มันน่าอายนี่” ฟ่งโพล่งออกมาทันที  ทำเอาอีกฝ่ายต้องยกมือขึ้นเกาศีรษะอีกครั้ง  จริงอยู่ว่าเขาชอบให้ฟ่งอาย แต่ถ้าอายแบบนี้สงสัยจะแย่แน่ๆ
   “ต้องทำยังไงคุณถึงจะไม่อายล่ะ”
   ผู้ถูกถามนิ่งนึกไปพักหนึ่ง เขามองหน้ารูฟัสด้วยสายตาไม่ค่อยจะไว้ใจนัก  ก่อนจะพูดตอบ
   “อย่าทำแบบตะกี้อีก เดินด้วยกันเฉยๆ เหมือนคนปกติก็พอ”
   แววตาที่มองมาทำให้เขาระลึกขึ้นได้ว่าคงฝืนใจฟ่งอีกแล้ว  ชายหนุ่มหลับตาและนึกตำหนิตัวเอง
   “ครับ” รูฟัสรับปาก และพยายามส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ฟ่งเหลือบตาขึ้นมองเขาเหมือนยังรู้สึกไม่เชื่อใจอยู่
   “By my honest, my lord.” หนุ่มตาสองสีกล่าว  และคว้ามือของฟ่งขึ้นมา ก่อนจะจูบลงไปด้านหลัง คนถูกจูบมือกะพริบตาปริบๆ  ใจหนึ่งอยากจะพูดว่าทำแบบนี้ก็ไม่เอา แต่พอมาคิดดูแล้ว มันก็ดูจะหักหาญน้ำใจของรูฟัสมากเกินไป จริงๆ แล้วเขาเองก็อาจจะมีส่วนผิดอยู่บ้างเหมือนกันที่งี่เง่าเดินหนีไป แต่จะจะฝืนใจทำเรื่องน่าอายแบบนั้นมันก็ไม่ไหว
   “คุณจะอยู่ที่นี่นานรึเปล่า?” ร่างบางเอ่ยถาม มองดูดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำลงไปทุกที  ผู้มีนัยน์ตาสองสีเงยหน้าขึ้น และหันไปมองดวงอาทิตย์บ้าง

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “อยากกลับแล้วเหรอครับ?”
   “ก็ไม่เชิง ออกมาข้างนอกบ้างก็ดีเหมือนกัน” ฟ่งว่า และถอนหายใจยาว
   “นี่รูฟัส ผมน่ะบางทีก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ ก่อนหน้าจะพบคุณผมก็แค่ผู้ชายหนีรักคนหนึ่ง แต่ว่าหลังจากนั้น ผมกลายเป็นคนที่ทำงานให้กับมาเฟีย ถูกไล่ล่า แล้วก็ถูกลักพาตัว”
   ผู้ถูกพาดพิงยิ้มแห้งๆ นี่ฟ่งกำลังจะกล่าวโทษเขารึเปล่านะ รูฟัสยอมรับว่าเขามีส่วนในความเดือดร้อนของฟ่งอยู่มากมายจริงๆ
   “แต่ผมไม่ได้โทษคุณหรอกนะ คุณคงไม่ได้ไปเจาะจงให้คนพวกนั้นมาเลือกผมไปทำงาน  ความจริงผมอาจจะต้องขอบคุณคุณด้วยซ้ำ  ถ้าไม่มีคุณมาเกี่ยวข้อง ผมอาจจะไม่รอดก็ได้”
   รูฟัสเกาศีรษะอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
   “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาพูด รู้สึกตัวเองช่างดูงี่เง่าไปถนัด เหตุการณ์ทุกอย่างแทบจะเกิดต่อหน้าแท้ๆ แต่ตัวเขาเองกลับไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งเมื่อเช้านี้
   “มันก็เหมือนคุณทำโดยไม่รู้ตัวนั่นแหละ จะว่าไปมันก็บังเอิญอย่างซับซ้อนเหมือนจงใจเลยนะ  เฟิงปิงลักพาตัวผมในวันที่ผมคิดว่าตัวเองจะถูกฆ่าพอดี คืนนั้นผมคิดว่าคนที่นั่งรออยู่คือคุณเสียอีก”
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า ยิ่งพูดเหมือนยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเซ่อซ่า
   “ผมรู้ว่าเฟิงปิงจะไปพบคุณก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที” หนุ่มตาสองสีเริ่มเล่า  ฟ่งหันมามองเขาอย่างสนใจ
   “ผมพบกับลูกน้องของเขา ผมเลยรีบกลับไปหาคุณ แต่ผมไม่รู้เลยว่าคุณถูกตามฆ่าด้วย”
   ฟ่งถอนหายใจอีกครั้ง “ผมกลัวจริงๆ วันนั้นเป็นวันที่ผมส่งงานชิ้นสุดท้าย ผมไปงานเลี้ยงรุ่น เกาะแจอยู่กับเพื่อน และขอให้คุณมารับตอนที่กลับ ตอนที่มาถึงผมยังนึกกลัวๆ อยู่ว่า ถ้าคุณยังไม่มาจะเกิดอะไรขึ้นกับผม แต่กลายเป็นว่าผมถูกมาเฟียฮ่องกงลักพาตัวมาแทน”
   หนุ่มนัยน์ตาสองสีกลืนน้ำลาย ถ้าเว่ยเฟิงปิงไปช้ากว่านั้น ฟ่งจะเป็นยังไงบ้างนะ หรือว่าเจ้าหนูตางูนั่นรู้อะไรอยู่ แต่ดูจากท่าทีของเว่ยเฟิงปิงแล้ว เหมือนจะไม่รู้ว่าฟ่งเกี่ยวข้องกับแผนการลับสุดยอดนั่น เพราะถ้าคนอย่างเจ้าเด็กนั่นรู้ คงไม่ปล่อยกลับมาง่ายๆ แบบนี้แน่  อย่างนั้นทั้งหมดเป็นความบังเอิญอย่างเหลือเชื่องั้นหรือ
   “มันบังเอิญอย่างน่าตกใจใช่ไหมล่ะ” ฟ่งว่า เขามองหน้ารูฟัสและพูดต่อ
   “แล้วคุณก็ตามไปช่วยผม พาผมมาที่นี่ ผมเกือบจะกลับเมืองไทยไปแล้ว แต่ว่าก็ยังอยู่ที่นี่ต่อ แล้วพอเมื่อเช้าผมก็ได้รู้ว่าผมกลายเป็นส่วนหนึ่งในงานของคุณด้วย นี่รูฟัส ถ้าคุณรู้ว่าผมเป็นคนทำแปลนนั่นแต่แรก คุณจะทำยังไงกับผม?”
   ร่างแกร่งถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมองผู้ถาม และคลี่ยิ้ม
   “ผมคงไม่รู้หรอกครับฟ่ง หรือจะพูดให้ตรงกว่านั้น ถ้าคุณไม่เดินมาบอกผม ถึงจะเขียนมันต่อหน้า ผมก็ยังไม่อยากจะรับรู้อยู่ดี ผมไม่อยากให้คุณมายุ่งกับเรื่องแบบนี้เลย”
   “แต่ผมยุ่งไปแล้วนี่” ฟ่งว่า  และผุดลุกขึ้น
   “ผมน่ะ งี่เง่าและเอาแต่ใจมากเลยนะ บางทีอาจจะทำอะไรบ้าๆ บอๆ ลงไป  ผมไม่ค่อยจะได้คิดหรอกว่าจะทำให้ใครเขาเสียใจแค่ไหน จนเวลาผ่านไปนั่นแหละ”
   “อา..” รูฟัสคราง และลุกขึ้นบ้าง เขาเดินเข้าไปใกล้ฟ่ง ชายหนุ่มสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมามองเขาแวบหนึ่ง
   “ขอบคุณที่ช่วยผมเอาไว้นะ” ร่างบางกล่าว และเขย่งตัว แตะริมฝีปากเบาๆ ลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย  รูฟัสยกมือขึ้นลูบริมฝีปากของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ เขามองหน้าฟ่งที่ก้มลงหลบสายตา
   “กลับกันเถอะ” อีกฝ่ายว่า และก้าวเท้าออกไป
------------------------------------
   “พวกแกไปฮันนี่มูนกันที่บาลาตอนหรือไง”
   นั่นเป็นประโยคแรกที่ราฟาแอลเอ่ยขึ้นเมื่อรูฟัสโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน  ผู้มีนัยน์ตาสองสีขมวดคิ้ว และเสือกโต๊ะไฟใส่หน้าเพื่อนร่วมงาน
   “เฮ้ๆ ระวังหน่อยสิ” ราฟาแอลบ่น รูฟัสวางโต๊ะไฟลงกับพื้น โดยมีฟ่งยกเก้าอี้เดินตามมาติดๆ
   “คุณน่าจะช่วยบ้าง แทนที่จะมาพูดจากระแนะกระแหนแบบนี้” รูฟัสกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก หนุ่มผมสีบลอนด์ยักไหล่
   “ไม่ได้กระแนะกระแหนเสียหน่อย” ราฟาแอลว่า แต่ก็เดินไปรับเก้าอี้จากฟ่ง หนุ่มสวมแว่นกล่าวขอบคุณออกมาหลายครั้ง และเขาก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นชายอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากในครัว
   “How about you? Enjoin with him?”
   ฟ่งอ้าปากด้วยความแปลกใจ  เขาหันหน้าไปมองรูฟัสที่กำลังย่นคิ้วอย่างไม่พอใจ
   “ตกลงคุณรู้จักกันจริงๆ ?” ร่างบางเอ่ยถาม  หนุ่มตาสองสีพยักหน้า ฟ่งมองกลับไปยังชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่เขาเจอที่ทะเลสาบ ซึ่งตอนนี้กำลังฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดี
   “Well, Just like I think, you’re here.”  รูฟัสเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ  หนุ่มผมสีน้ำตาลยักไหล่
   “นายเล่นพ่นภาษาฮังกาเรียนใส่ฉันไม่ยั้งตอนที่อยู่ทะเลสาบ คิดบ้างไหมว่าฉันจะถูกคนอื่นมองยังไง”
“ก็คิดแบบนั้นถึงได้พูดออกไปไง” รูฟัสตอบ และพูดต่อ
   “ทำไมถึงโผล่มาไวนัก ฉันคิดว่านายจะทำงานอยู่ที่ฐานเสียอีก”
   ผู้ถูกถามยักไหล่ และหันไปมองราฟาแอลที่ทำหน้าเหมือนบอกบุญไม่รับ
   “ฉันก็แค่มาเดินเล่น” เขาว่า รูฟัสทำหน้าแบบเดียวกับราฟาแอล
   “นายคงไม่มาเดินเล่นที่บาลาตอนแล้วเจอฟ่งโดยบังเอิญหรอก” ผู้มีนัยน์ตาสองสีตั้งข้อสังเกต ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหัวเราะ
   “ฉันอยากเจอเด็กนาย” เขาว่า ฟ่งมองหน้าคนทั้งหมดอย่างงุนงง เขาฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ที่แน่ๆ บทสนทนามีบางส่วนพาดพิงถึงเขาอยู่
   “คนนี้เป็นใครหรือ?” ฟ่งหันไปถามราฟาแอล เพราะคิดว่าถ้าถามรูฟัสอาจจะไม่ได้รับคำตอบที่ตรงนัก หนุ่มผมสีบลอนด์ยักไหล่
   “หมอนี่เป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของเรา ชื่อรัสเลอร์”
   “ฉันบอกเขาไปว่าชื่อคาร์ล” รัสเลอร์ว่า  และยิ้มให้ฟ่ง “ดีใจที่ได้พบคุณอีกนะครับ”
ฟ่งยิ้มตอบแห้งๆ นึกสงสัยว่าคนพวกนี้จะต้องโกหกแม้กระทั่งชื่อตัวเองอยู่ตลอดเวลาหรือไง ในขณะที่รูฟัสมีสีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
   “นายน่าจะใช้ชื่อว่ารัสตี้ (สนิม) มากกว่านะ” รูฟัสว่า ได้ยินเสียงอีกฝ่ายครางออกมา
   “โถ พ่อรูฟัส มีแฟนแล้วปากคอยิ่งโหดร้ายขึ้นเหรอเนี่ย” รัสเลอร์ว่า  และแสร้งทำหน้าหวาดกลัว ราฟาแอลกะพริบตาปริบๆ พลางนึกว่าทำไมบ้านของเขาถึงต้องมีไอ้บ้าหลายตัวมาอยู่รวมกันด้วย รูฟัสถอนหายใจ
   “นายโผล่หัวมาที่นี่ทำไม ไหนว่าตีความแปลนไม่ออกไง”
   “อืม  ตีไม่ออก เขียนได้สุดยอดมาก เรียกว่าผลงานที่ลอดสายตาพระเจ้ามาเลยก็ยังได้W รัสเลอร์ตอบ และหันไปมองฟ่ง
   “ไม่คิดเลยว่าคนเขียนจะเป็นหนุ่มเอเชียน่ารักๆ แบบนี้”
   รูฟัสทำหน้ายุ่ง ในขณะที่ราฟาแอลก็ทำหน้ายุ่งด้วย
   “นายเป็นพวกรสนิยมวิปริตด้วยหรือไง” ราฟาแอลว่า รัสเลอร์เลิกคิ้ว
   “ไม่หรอก แต่ตอนนี้ฉันเริ่มหันมาสนใจแล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะคนเอเชียแบบนี้”
   หนุ่มผมสีบลอนด์ย่นคิ้วทันที ในขณะที่รูฟัสก้าวมาบังตัวของฟ่งเอาไว้
   “ไม่ต้องหึงขนาดนั้น ฉันแค่หยอกเล่นน่า” รัสเลอร์ว่า เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมงาน รูฟัสมองอย่างไม่ไว้ใจ
   “นายเพิ่งรู้ว่าเรามีตัวคนเขียนแปลนเมื่อเช้า แล้วนายโผล่หัวมาอยู่ที่นี่ได้ไงในตอนบ่าย” หนุ่มตาสองสียังคงตั้งข้อสังเกตต่อ
   “อ้อ... ก็เพราะว่าฉันอยู่แถวนี้อยู่แล้วน่ะสิ  จริงๆ คือฉันกะจะมาช่วยพวกนายงม แต่ว่าตอนนี้เจอตัวคนเขียนแล้วนี่”
   “งั้นนายก็กลับไปได้แล้ว” ราฟาแอลว่า รัสเลอร์หันไปมองเขาด้วยสายตาเสียใจอย่างสุดซึ้ง
   “พอไม่มีประโยชน์ก็เฉดหัวทิ้งเลยเหรอ ฉันอุตส่าห์มาช่วยพวกนายด้วยจิตใจบริสุทธิ์แท้ๆ “ เขาคราง  หนุ่มผมสีบลอนด์ยกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “แต่ฉันยังกลับไม่ได้หรอก มีสองหัวดีกว่ามีหัวเดียวใช่ม๊า ได้ยินว่าต้องใช้เวลาแยกและทำความเข้าใจนานด้วยนี่ ให้ฉันช่วยสิ” รัสเลอร์ยื่นข้อเสนอ รูฟัสหันไปมองหน้าราฟาแอล
   “นี่คุณเล่าทั้งหมดให้หมอนี่ฟัง?”
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด “ฉันคิดว่ามันอาจจะเร็วขึ้น แต่ก็นั่นแหละมันเป็นความคิดที่ผิดอย่างที่สุด” หนุ่มผมสีบลอนด์ว่า และคนฟังก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที
   “เอาล่ะครับ คุณรัสเลอร์  เรามีคนตีความแบบแปลนแล้ว และงานของคุณก็คงจะยุ่งมาก  ดังนั้น.... คุณกลับไปทำงานดีกว่า”
   “ไม่เลย ฉันไม่ยุ่งสักนิด” รัสเลอร์ตอบ ทำหน้าสำราญใจเต็มที่ “เบื้องบนอนุญาตแล้ว ให้ฉันมาช่วยพวกนายได้เต็มที่ อย่างต่ำๆ ก็สามวัน”
   “สามวัน!!” รูฟัสและราฟาแอลร้องพร้อมกัน  รัสเลอร์ขมวดคิ้วอย่างสงสัย
   “น้อยไปหรือไง?” เขาว่า  ทั้งคู่สั่นศีรษะ
   “มากไปต่างหาก!”
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มทำหน้ามุ่ย และหันไปพูดกับฟ่ง
   “ไปคุยกันข้างบนดีไหมครับ ผมเองเป็นสถาปนิกเหมือนกัน” เขาว่า และยกโต๊ะไฟขึ้นโดยไม่เอ่ยปากถามอะไรอีก ฟ่งทำหน้าเลิกลั่ก หันกลับไปมองรูฟัส และหันไปมองรัสเลอร์ที่เดินถือโต๊ะไฟขึ้นไปด้านบน ก่อนจะตัดสินใจยกเก้าอี้เดินตามขึ้นไป
   “แฟนนายว่าง่ายดีนะ” ราฟาแอลว่า รูฟัสทำหน้าย่น
   “ใจดีหรือว่าซื่อเกินไปล่ะมั้ง” หนุ่มนัยน์ตาสองสีตั้งข้อสังเกตและหันไปมองเพื่อนร่วมงาน
   “ทำไมไอ้หมอนั่นถึงโผล่มาในตอนนี้ได้”
   ราฟาแอลยักไหล่ “ไม่รู้ ไอ้พูดว่ามาช่วยเราก็อาจจะจริงครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งอาจจะเพราะคำสั่งลับของ”เบื้องบน”ก็ได้  ถ้ามองให้แย่คือ”เบื้องบน”ของเจ้านั่นอาจจะไม่รู้สึกไว้ใจเราเกี่ยวกับเรื่องนี้นัก”
   “ให้ตายสิ  ผมว่าเราทำงานให้”เบื้องบน”ของเจ้านั่นมาหลายงานแล้วนะ ทำไมถึงไม่เชื่อใจกันบ้าง ผมว่าเพราะไอ้หมอนี่แหละที่จะทำให้เรารู้สึกไม่น่าไว้ใจ”
   ราฟาแอลพยักหน้า “ฉันก็ว่างั้น แต่ทำไงได้  สองหัวดีกว่าหัวเดียวน่ะ  อีกอย่างแค่สามวัน...”
   “แค่สามวัน” รูฟัสย้อน และเริ่มมีสีหน้าประสาทเสีย “คราวที่แล้ววันเดียวงานเราก็แทบจะเละไม่เป็นท่า ไม่เข้าใจเลยว่า”เบื้องบน”คิดอะไรอยู่  ไม่เคยรู้เลยหรือไงว่างานภาคปฏิบัติของไอ้หมอนี่มันห่วยแตก”
   ราฟาแอลมีสีหน้าประสาทเสียตามอย่างเห็นได้ชัด
   “แกกำลังทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่ไม่อยากจะนึก แล้วจะทำไงดี?”
   รูฟัสหันไปมองบันได และนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
   “คงต้องทนสามวัน แต่จะปล่อยไอ้บ้านั่นไว้กับฟ่งนานๆ ไม่ได้แน่”
   “เห็นท่าแล้วฉันไม่อยากเชื่อว่ามันตั้งใจมาทำงานเลย” ราฟาแอลแสดงความเห็นด้วย  แล้วทั้งคู่ก็เดินตามขึ้นไปด้านบน
-----------------------------------
   “คุณเป็นเพื่อนกับรูฟัสหรอ?” ฟ่งถามขณะช่วยรัสเลอร์กางโต๊ะ  เขาไม่แน่ใจนักว่าการเดินตามขึ้นมาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ว่าจะให้คนแปลกหน้าแบกโต๊ะไฟของตัวเองขึ้นไปให้เฉยๆ คงไม่เหมาะควรนัก รัสเลอร์พยักหน้า
   “จะเรียกว่าแบบนั้นก็ได้ บางทีก็เหมือนผู้ตรวจการ” เขาตอบ  และหันไปมองหน้าฟ่ง
   “แล้วคุณล่ะ เป็นแฟนกับหมอนั่นจริงๆ เหรอ?”
   ฟ่งเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจ  ผู้ถามโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
   “ช่างเถอะ ที่ทะเลสาบผมก็เห็นกับตาอยู่ จริงๆ ตอนแรกที่รู้ว่ารูฟัสหนีงานตามผู้ชายไป ผมยังคิดว่าเด็กที่ทำให้เจ้านั่นเป็นบ้าคงต้องน่ารักขนาดเห็นแล้วตายกันไปคนละข้าง”
   “ขอโทษที่เป็นผมนะ” ฟ่งว่า และรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา รัสเลอร์จุ๊ปาก
   “ไม่ได้พูดสักหน่อยว่าคุณไม่น่ารัก แค่ผิดอิมเมจไปนิด ปกติหมอนั่นจะชอบแบบตัวเล็กๆ ขาวๆ หน้าตาจิ้มลิ้มหน่อยๆ แต่เอาเถอะ ใช่ว่าสเปกคนเราจะเหมือนเดิมไปเสียทุกครั้งนี่นา”
   ฟ่งย่นคิ้ว ตกลงเจ้านี่คิดจะด่าเขาทางอ้อมหรือเปล่านะ
   “ถ้าผมทำให้คุณไม่พอใจก็ขอโทษทีนะ  ถึงจะผิดอิมเมจที่วาดไว้ก็เถอะ แต่ว่าคุณก็ถูกสเปกผมนะ” รัสเลอร์พูดอย่างร่าเริง ขณะที่ฟ่งทำหน้าไม่ถูก
   “ผมลงไปข้างล่างล่ะ” หนุ่มสวมแว่นว่า และทำท่าจะเดินออกไป  อีกฝ่ายรีบรั้งมือของเขาไว้
   “เดี๋ยวสิ ยังคุยกันไม่จบเลย”
   ฟ่งหันกลับมาและดึงมือออกทันที  รัสเลอร์ยักไหล่
   “คุณเป็นคนเขียนแปลนนี่สินะ” เขาว่า และล้วงเอาก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ มาวางบนโต๊ะ  และกดลงไปเบาๆ ลำแสงสีต่างๆ ฉายภาพแบบแปลนขึ้นไปโดยใช้อากาศเป็นฉาก ฟ่งเบิ่งตากว้าง เป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสเห็นเทคโนโลยีภาพโฮโลแกรมของจริง และก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเครื่องฉายโฮโลแกรมขนาดเล็กแบบนี้
   “ผมคิดว่ามีอยู่แต่ในหนังเสียอีก” ชายหนุ่มพูดขึ้น และมองดูมันอย่างพิศวง
   “ของเก่าเก็บแล้ว ไม่ค่อยมีใครอยากใช้หรอก” รัสเลอร์ว่า  และกดมือลงไปอีกครั้ง แล้วเอามันเก็บใส่กระเป๋าเหมือนเดิม
   “ภาพมันขยายไม่ได้  น่าจะมีงบอีกสักหน่อยเพื่อทำเลนส์เพิ่ม” เขาบ่น ฟ่งเกาศีรษะ แล้วตกลงหมอนี่จะเอาเจ้าเครื่องนั่นขึ้นมาทำไมกันนะ
   “มาว่าเรื่องแปลนต่อดีกว่า คุณมีตัวก๊อปปี้ติดมารึเปล่า?”
   ฟ่งสั่นศีรษะ
   “รูฟัสมี” เขาว่า รัสเลอร์ยิ้มอย่างร่าเริง
   “งั้นเราไปหารูฟัสกัน”
   “อยู่นี่แล้ว” ผู้ถูกเอ่ยถึงส่งเสียง ฟ่งหันกลับไปมองอย่างดีใจ และพบว่าอีกฝ่ายหน้าบูดเป็นตูด แต่ในมือยังถือแปลนก๊อปปี้อยู่
   “เอาไปแหกตาดูได้เลย ฉันขอตัวฟ่งสักประเดี๋ยว” เขาว่าและโยนแปลนลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะจูงมือฟ่งออกมา
   “มีอะไรเหรอครับ?” ฟ่งถามอย่างสงสัย รูฟัสทำหน้าปั้นยาก
   “คือต้องขอโทษจริงๆ ผมไม่คิดว่าเขาจะมาปักหลักแบบนี้”
   ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะ คุณพูดเหมือนเขาแย่มาก”
   “ก็แย่อยู่” รูฟัสกล่าวออกไปตรงๆ ฟ่งทำหน้าสงสัย
   “ยังไงหรือ?”
   คราวนี้หนุ่มตาสองสีหันหน้ามามองเขาด้วยความแปลกใจบ้าง
   “คุณไม่รู้สึกเลยรึ?”
   ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง เอียงคออย่างใช้ความคิด และพูดตอบ
   “เขาก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนี่.. แต่อาจจเป็นคนแปลกๆ สักหน่อย”
   รูฟัสถอนหายใจ “เอาเถอะครับ ถ้าคุณรับได้ก็ดี เพราะว่าคุณอาจจะต้องวุ่นวายกับเขาสักสองสามวัน”
   “เฮ้ๆ นินทาฉันอยู่ใช่ไหม?” รัสเลอร์เปิดประตูและตะโกนข้ามมา พลางโบกแบบแปลนในมือ
   “ฟ่ง มาหาผมหน่อยสิ ผมอยากรู้ตรงนี้”
   ฟ่งหันหน้ากลับมามองรูฟัส  และเห็นราฟาแอลเดินมาด้านหลัง
   “ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้ซวย” ราฟาแอลพูดขึ้นบ้าง เสียงรัสเลอร์ดังขึ้นขึ้นอีก  สองหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง
   “คุณไปเถอะ” รูฟัสว่า เขามองหน้าฟ่งอย่างตั้งใจ และพูดต่อ
   “แต่ถ้าคุณรู้สึกทนไม่ไหว ให้ชกหน้าหมอนั่นแล้วออกมาเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจพวกผม”
   ฟ่งทำหน้าแปลกกับคำแนะนำที่ได้รับทันที ราฟาแอลถอนหายใจ
   “ทำอย่างที่เธออยากทำ  แต่ฉันแนะนำว่าให้ต่อยปาก”
   ร่างบางขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ด้วยไม่คิดว่าคำแนะนำแบบสองภาษาจะมาใกล้เคียงกันได้อย่างน่าตกใจ
-----------------------------------------

ออฟไลน์ love2y

  • (′~‵)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2059
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-11
Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องũ
«ตอบ #95 เมื่อ11-06-2011 16:35:34 »

กรี๊ดดดดดดดดดดด เห็นมีแค่ 4 หน้า กะจะเข้ามาอ่านชิลๆซะหน่อย
โฮกกกกกกกกกกก มันยาวมาก!!! ขออนุญาตเก็บเอาไว้ในใจก่อน เดี๋ยวมาตามอ่านเรื่อยๆค่ะ


+ และ :กอด1:

ออฟไลน์ Maria_safe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มาเร็วถูกใจเหมือนเดิมเลย
แอบฮาคำแนะนำของรูฟัสกับราฟี่ ไปนัดกันมารึเปล่าเนี่ย
แสดงว่ารัสเลอร์นี่ท่าทางจะแสบน่าดู
รอตอนต่อไปค่ะ

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
มีตัวป่วนมาเพิ่มอีกหนึ่ง  :z1:
แต่อ่านแล้วยิ่งทึ่งกับความเมพของฟ่ง ตอนนี้เลยทั้งลุ้น ทั้งตื่นเต้นเลยค่ะ  o13

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่37 คำสัญญา
   “อรุณสวัสดิ์ครับคุณชาย” เสียงทุ้มๆ เอ่ยทักเมื่อเว่ยเฟิงปิงลืมตาตื่นขึ้น ร่างบางส่งเสียงครางอย่างงัวเงียและซุกตัวลงไปให้ผ้าห่มต่อเมื่อเจอะกับแสงแดดที่ส่องลอดม่านหน้าต่างเข้ามา
   จางซื่อเยี่ยนทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง มองดูผู้เป็นเจ้านาย และยกมือขึ้นปัดปอยผมสีดำที่ปรกอยู่บนหน้าออก ได้ยินเสียงคนที่นอนอยู่พึมพำ
   “ทำตัวแบบคนปกติก็ได้นี่นา”
   ชายหนุ่มกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้านายจะพูดต่อ
   “นี่ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงเรียกชื่อลูกน้อง และลืมตาขึ้นมอง
   “ฉันน่ะ ไม่เคยไว้ใจนายเลยนะ แม้แต่ตอนที่นายเอาตัวมาบังฉันไว้”
   “ครับ พอทราบอยู่”
   ร่างบางถอนใจ “แต่พอเห็นนายล้มลง แล้วถูกหามส่งโรงพยาบาลน่ะ ฉันก็เริ่มคิดนะว่านายก็คงมีความรู้สึกเหมือนกัน”
   จางซื่อเยี่ยนกะพริบตาปริบๆ อีกหน
   “เพราะนายทำตัวเหมือนเครื่องจักรนั่นแหละ สั่งอะไรก็ทำ จะด่าจะไล่ยังไงก็ไม่ไป ตรงตามหน้าที่ตลอด ฉันมองไม่เห็นความรู้สึกอะไรสักอย่างในแววตาของนายเลย”
   ผู้เป็นลูกน้องหลับตา ก่อนจะลืมขึ้นและก้มลงจูบหน้าผากของผู้เป็นนาย
   “แล้วอาซิงก็มาเล่าให้ฉันฟังเรื่องที่นายช่วยฉัน ฉันก็ไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่านายทำอย่างนั้นเพราะความต้องการส่วนตัว”
   “แล้วตอนนี้เชื่อรึเปล่าครับ?” จางซื่อเยี่ยนถาม เว่ยเฟิงปิงนิ่งไปพักหนึ่ง
   “นั่นนายจะต้องพิสูจน์เองต่อจากนี้แหละ”
   หนุ่มร่างสูงพยักหน้า เว่ยเฟิงปิงมองใบหน้านั้นและย่นคิ้ว
   “นายมาชอบอะไรฉัน ทั้งๆ ที่ฉันเป็นคนที่ถูกไล่ออกจากแก๊ง ถึงจะเป็นลูกชายของหัวหน้าก็เถอะ แต่ของถูกทิ้งอย่างฉันมันดูให้ความหวังกับหน้าที่การงานของนายหรือไง?”
   “ผมไม่เคยหวังอะไรจากคุณเลยครับ คุณชาย” จางซื่อเยี่ยนว่า เขารู้สึกสบายใจขึ้นมากที่ได้คุยกับเว่ยเฟิงปิงแบบนี้ ตลอดเวลาเขาคอยหลบเลี่ยงมาโดยตลอด จนกระทั่งทางนั้นเอ่ยปากว่าต้องการเขา คงไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังต่อไปอีกแล้ว
   “ผมชอบคุณ อยากช่วยคุณ แต่ว่าผมเองก็มีหน้าที่ ความชอบกับการทำหน้าที่เป็นอะไรที่ต้องแยกกันนะครับ”
   “อืม...นายก็ดูจะแยกกันได้ดีนี่” เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงเหมือนประชด จางซื่อเยี่ยนทำได้แต่เพียงฝืนยิ้มขืนๆ
   “ฉันกลัวนะซื่อเยี่ยน กลัวที่จะรักใคร ฉันเคยรักและไขว่คว้าอย่างบ้าคลั่ง ฉันคลั่งไคล้ ฉันต้องการ แต่ว่า... มันก็แค่ตัวฉันที่บ้าไปเอง”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า  เขาเองก็เคยมีความรักที่ดูไม่มีทางจะเป็นไปได้  และก็เข้าใจถึงความคลั่งไคล้ของเว่ยเฟิงปิงเป็นอย่างดี
   “ฉันอยากจะรัก และอยากถูกรักโดยใครสักคน แต่ว่ามันไม่เคยมีใครเลย จนตอนที่อาซิงพูดเรื่องนายกับฉัน  ฉันกลัว  กลัวว่ามันจะเป็นแค่เรื่องโกหก เรื่องหลอกลวง ก็นายน่ะทำทุกอย่างเหมือนตั้งโปรแกรม นายไม่เคยแสดงความรู้สึกให้ฉันเห็นเลย”
   “ขอโทษนะครับ” จางซื่อเยี่ยนว่าและยกมือของผู้เป็นนายขึ้นมาจูบ เว่ยเฟิงปิงขยับตัวอย่างเง้างอน
   “ทำแบบนี้แต่แรกก็ไม่ต้องวุ่นวายแล้ว” ร่างบางว่า อีกฝ่ายได้แต่ขืนยิ้ม
   “ขนาดฉันเสนอร่างกายให้นายแล้ว นายยังทำตัวงี่เง่าอยู่เลย”
   คราวนี้จางซื่อเยี่ยนพยักหน้ายอมรับตัวเอง “ผมไม่หวังอยากได้ตัวคุณนี่ครับ และท่าทางคุณเหมือนมีอะไรซ่อนไว้ตลอดเวลา”
   “เอาเข้าจริงนายก็ไม่ไว้ใจฉันเหมือนกันล่ะสิ”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “จะพูดแบบนั้นเลยก็ไม่ถูกหรอกนะครับ  ผมน่ะชอบคุณ ไว้ใจคุณที่เป็นเจ้านาย แต่จู่ๆ คุณที่เกลียดผมนักหนา กลับมายอมให้ผมแตะต้อง  มันก็ดูผิดสังเกตไม่ใช่หรอครับ ผมไม่ได้ต้องการคุณแค่ร่างกายนี่ครับ”
   “อืม ตอนนั้นฉันก็คิดว่าคงซื้อตัวนายด้วยร่างกายได้ แต่พอเอาเข้าจริงมันก็เหลว มาคิดแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดนะ ครั้งแรกของฉันทำไมต้องมาให้กับคนที่ฉันเกลียดด้วย”
   จางซื่อเยี่ยนหน้าแดงวาบเมื่อได้ยินคำว่าครั้งแรก เว่ยเฟิงปิงนิ่วหน้า
   “ยังจะมาทำหน้าแบบนั้นอีก ถึงได้บอกว่านายโง่ไงล่ะ นายคิดว่าฉันยอมเปลืองตัวให้นายเพี่ออะไรกัน!”
   “อา..” จางซื่อเยี่ยนคราง และก้มลงจูบเจ้านายของเขาอีกครั้ง
   “ขออภัยจริงๆ ครับ” เขากล่าว เว่ยเฟิงปิงผลักใบหน้านั้นออก
   “ไม่ต้องมาขออภัย ทั้งๆ ที่ฉันทำขนาดนั้นแล้วแท้ๆ แต่นายก็ยังกล้ามาโกหกอีก”
   ชายหนุ่มขมวดคิ้วทันที
   “ทำไมนายถึงไม่บอกฉันเรื่องกระเช้าของจินหยิน!”
   “เรื่องนั้น..” จางซื่อเยี่ยนนึกขึ้นได้ทันที เขาก้มลงมองผู้เป็นเจ้านาย และคิดใคร่ครวญอยู่พักใหญ่
   “นายไม่ไว้ใจฉันหรือ?”
   “เปล่าครับ”
   “แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอก”
   “ก็ผมไม่อยากให้มันเป็นเรื่อง”
   “มันก็เป็นเรื่องแล้วไง ตกลงจะบอกหรือไม่บอก”
   จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจ “ครับ คุณชายรองบอกผมเรื่องเครื่องดักฟังในกระเป๋าผม ผมเลยคิดว่าเงียบๆ ไว้จะดีกว่า”
   “นึกแล้ว!!” เว่ยเฟิงปิงพูดอย่างผู้มีชัย เขาผุดลุกขึ้นนั่งทันที
   “รู้ถึงขนาดนั้นแล้วยังกล้าพูดว่าไว้ใจฉันอีกหรือไง”
   หนุ่มผมยาวพยักหน้า “เจ้านายของผมยังไงก็คือคุณ ไม่ว่าคุณจะใช้ผมแบบไหน ผมทำให้ทั้งนั้น ไม่มีเรื่องไม่ไว้ใจหรอกครับ มีแต่คุณ..”
   “มีแต่ฉันที่ไม่ยอมไว้ใจนายสินะ” เว่ยเฟิงปิงช่วยพูดต่อ จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า ร่างบางขยับตัวเข้าไปใกล้ ใช้มือเรียวยาวสัมผัสใบหน้าได้รูปนั้น
   “งั้นทำให้ฉันไว้ใจสิ บอกฉันในทุกอย่างที่นายรู้ บอกฉันในทุกเรื่องที่นายทำ ฉันอยากรู้ทุกอย่างของนาย ทุกสิ่งทุกอย่าง”
   นัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นฉายแววเย็นยะเยียบเหมือนคมดาบ จางซื่อเยี่ยนเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมพรางจังเบ้อเร่อ
--------------------------------------
   แสงตะวันสุดท้ายสาดย้อมอาคารสิ่งปลูกสร้างจนเป็นสีแดงฉาน สายลมเอื่อยๆ พัดผ่านแมกไม้ในย่านเงียบสงบของบาลาตอนฟูเรส บรรยากาศช่างเหมาะแก่การออกมาเดินเล่นผ่อนคลาย แต่ทว่าผู้ที่เพิ่งได้มาเหยียบที่นี่ครั้งแรกอย่างฟ่งมิได้มีโอกาสทำเช่นนั้น
   ชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษกำลังนั่งประจันหน้าอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขนาดบางเฉียบ ที่ผู้เป็นเจ้าของเรียกขานมันว่า เดลต้าทู
   เขานั่งทนฟังรัสเลอร์สาธยายคุณประโยชน์ของเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้อย่างรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง จนเวลาผ่านไปกว่าสิบนาที ในที่สุดฟ่งจึงยอมที่จะใช้เจ้าเครื่องที่ว่านี้ เพื่อแลกกับการให้อีกฝ่ายหยุดพูด เขาพอเข้าใจแล้วว่าทำไมรูฟัสและราฟาแอลจึงแนะนำแบบนั้น
   ดูเหมือนรัสเลอร์จะใช้เครื่องนี้ถอดแปลนเจ้าปัญหานี้มาก่อน เพราะยังมีไฟล์ต้นแบบที่ขโมยมาค้างอยู่ในเครื่อง และมีห้องบางส่วนที่ถูกถอดแปลนและแยกออกมาแล้ว ไม่นานนักรัสเลอร์ก็ยืนยันในเรื่องนี้โดยการเปิดไฟล์ที่เขาทำค้างเอาไว้ออกมาให้ดู
   “ก็แก้ออกมาถูกนี่ครับ” ฟ่งพูด ขณะคลิกดูรายละเอียดของแผนผัง เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนใจ และเริ่มอธิบายสิ่งที่เป็นปัญหา
   “ไอ้แก้ได้มันก็แก้ได้หรอกครับ แต่ที่ผมแก้ได้มีแค่นี้ ที่เหลือผมยังงงๆ อยู่เลยว่ามันทำงานอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะไอ้พวกทางเดินระเบียงซับซ้อน กับห้องรูปทรงแปลกๆ ที่ตั้งอยู่ในใยแมงมุมพวกนั้น คุณคิดอะไรอยู่ตอนเขียนพวกมันน่ะ?”
   “อ้อ เรื่องนั้น คือมันเป็นอย่างนี้ครับ” ฟ่งพูดและนึกสงสัยว่ารัสเลอร์โมโหเขาอยู่หรือเปล่า ร่างบางหันมาหยิบแปลนกระดาษที่รูฟัสทิ้งเอาไว้ คลี่มันลงบนโต๊ะ รัสเลอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนี้ถึงได้เลือกที่จะอธิบายในกระดาษ แทนที่จะอธิบายในคอมพิวเตอร์ แต่เขาก็ยอมที่จะนั่งลงเพื่อดูการอธิบายนั้น
   แบบแปลนเอศูนย์ใช้พื้นที่เต็มขนาดของโต๊ะไฟ ประกอบด้วยราวระเบียงซับซ้อนพาดกันไปมาเหมือนเส้นตรงยุ่งๆ ลดหลั่นซับซ้อนอย่างดูผิดธรรมชาติ บางส่วนคำยันอยู่กับโครงสร้างที่เกาะยึดพื้นผิวของตัวอาคารไว้ และห้องจำนวนมาก ทั้งที่เป็นรูปทรงที่เข้าใจได้ และรูปทรงที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเรียกว่าห้อง ฟ่งหยิบดินสอสีขึ้นมาจากกล่องและเริ่มลากไปตามเส้น
   “ผมออกแบบตัวอาคารนี้ให้แบ่งเป็นโซนๆ ครับ คุณรู้แล้วใช่ไหมว่ามันถูกสร้างไว้ใต้ดิน”
   รัสเลอร์พยักหน้า อีกฝ่ายจึงอธิบายต่อ
   “ที่คุณเห็นยุ่งๆ ตรงนี้คือส่วนโครงสร้างที่ใช้คำยันผิวดินด้านนอก ผมเขียนส่วนนี้แยกเอาไว้ต่างหากอีกชุดหนึ่ง ถ้าคุณได้มาด้วยจะเข้าใจทันทีเลยว่าเส้นยุ่งๆ พวกนี้จริงๆ แล้วเป็นแค่โครงค้ำที่จะถูกหุ้มด้วยวัสดุทำผนังอีกที”
   “เดี๋ยวๆ “ รัสเลอร์พูดขัดจังหวะ “คุณจะบอกว่า ไอ้เส้นๆ ยุ่งๆ ที่ซ้อนทับกันรอบๆ พวกนี้คือโครงค้ำยันหรือ?”
   “ครับ” ฟ่งพยักหน้า และพูดต่อ “คุณคงสงสัยว่าทำไมผมถึงเขียนไว้เป็นเส้นๆ โครงพวกนี้บางมากครับ น้ำหนักก็เบา แต่แข็งแรงน่าดู ผมขอตัวอย่างเขากลับมาดูที่ห้องอันหนึ่งด้วย”
   “แล้วเอามาที่นี่หรือเปล่า?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ “ผมโดนลักพาตัวมานี่ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องมาทำเรื่องพวกนี้ด้วยเสียหน่อย”
   รัสเลอร์ผงกศีรษะอย่างยอมรับสภาพ และหันไปมองแบบแปลนต่อ ส่วนที่เป็นผนังกั้นถูกฟ่งขีดด้วยเส้นสีฟ้า คราวนี้เขาเริ่มมองเห็นอะไรขึ้นมาบ้างนิดหน่อย
   “คุณออกแบบมันให้เป็นทรงปิรามิดกลับหัวสินะ?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดต่อ ฟ่งพยักหน้า
   “เกือบใช่ครับ แต่จริงๆ มันเป็นทรงกรวยกลับหัวล่ะ ผมว่าเป็นเหลี่ยมมันกินพื้นที่มากไป อ้อใช่ นี่มันอยู่ในกระดาษนี่นา เดี๋ยวผมจะเปิดไฟล์สามมิติให้คุณดูอีกที...อืม..... คุณราฟาแอลได้ไฟล์ตัวไหนมาบ้างก็ไม่รู้ ผมอธิบายให้คุณฟังในนี้ก่อนดีกว่า” ฟ่งว่า รัสเลอร์นึกฉุนราฟาแอล แต่อีกใจก็พอจะเข้าใจว่าคนที่ไม่มีความรู้เรื่องแปลนเท่าไหร่ คงนึกไม่ถึงหรอกว่ามันจะมีไฟล์แยกย่อยมากมายขนาดนี้ กระทั่งเขาเองยังนึกไม่ถึงเลย
   “ผมจะอธิบายด้านบนก่อน เขาบอกว่ามันจะเชื่อมต่อกับอาคารอะไรซักอย่าง ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ต้องเผื่อทางเข้าออกฉุกเฉินไว้ด้วย คุณจะเห็นว่าด้านบนสุดยังไม่ติดกับผิวดินโดยตรง มันอยู่ลึกลงมาอีกและเชื่อมกับผิวดินด้วยทางเดินและลิฟต์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม ตรงนี้เป็นลิฟต์ตัวที่ใช้สำหรับพนักงานก่อสร้าง และใช้ขนวัสดุ ส่วนตรงนี้เป็นลิฟต์สำหรับพนักงานทั่วไป ตรงนี้เป็นลิฟต์สำหรับแขก และทางเดินนี่มีไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน ซึ่งจะเปิดเมื่อได้รับอนุญาตจากศูนย์ควบคุมหลัก หรือไม่ก็ในกรณีที่เกิดความเสียหายอย่างหนักกับตัวอาคาร”
   รัสเลอร์พยักหน้า ขณะมองตามมือของฟ่งที่ใช้ดินสอสีเหลือขีดเส้นลงไปในบริเวณที่กำลังอธิบายอยู่
   “ส่วนตรงนี้คือทางออกฉุกเฉินจริงๆ ซึ่งจะเชื่อมตรงกับผิวดิน ทำงานโดยระบบลิฟต์แบบตุ้มถ่วง ต่อให้กระแสไฟฟ้าถูกตัด ตัวลิฟต์ก็ยังจะถูกดึงขึ้นสู่ผิวดินได้ โดยอาศัยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สำรอง”
   “คุณเรียนด้านวิศวกรรมมาด้วยเหรอ?” รัสเลอร์ถามแทรกขึ้นมาอย่างสงสัย ฟ่งสั่นศีรษะ
   “ผมมีความรู้เรื่องนี้นิดหน่อย เอาล่ะ คุณจะเห็นว่าทางออกฉุกเฉินนี้เชื่อมกับห้องประชุมใหญ่”
   รัสเลอร์มองตามมือของฟ่งที่ชี้ไป พลางนึกสงสัยว่าไอ้นิดหน่อยของฟ่งนี่แบบไหน แล้วไอ้เส้นยุ่งๆ นั่นคือห้องประชุมใหญ่รึ?...
   “คุณคงดูไม่ออก” ฟ่งสรุปเมื่อเห็นสีหน้าของผู้ฟัง เขาหยุดพักหายใจและลำดับความคิดพักหนึ่งจึงพูดต่อ
   “คุณเห็นราวระเบียงพวกนี้ไหม? อืม..เส้นๆ พวกนี้แหละ ผมจะใช้สีขีดให้มองชัดๆ”
   ฟ่งเริ่มลากดินสอสีไปตามแนวเส้นยุ่งๆ พวกนั้น สักพักรัสเลอร์จึงพูดออกมาอย่างพิศวง
   “คุณสร้างทางเดินลวง?”
   “ใช่ครับ” ฟ่งตอบ และลากดินสอสีจนเสร็จ “จริงๆ มันจะมีไฟล์อีกตัวหนึ่งที่ผมเดินเส้นเป็นสีเอาไว้ แต่พวกเขาคงจะเก็บแยกไว้อีกต่างหาก ถ้าได้ไฟล์นั้นมาก็จะอธิบายได้ง่ายขึ้น แต่นี่ผมขีดเส้นให้คุณดูคร่าวๆ ก่อน”
   รัสเลอร์ขยับปากพูดขึ้นทันที “ผมว่าตามสองคนนั่นเข้ามาฟังด้วยดีกว่า”
--------------------------------------
   “แกคิดยังไงกับรัสเลอร์?” ราฟาแอลถามขึ้นมาลอยๆ  ขณะที่สองหนุ่มกำลังนั่งทอดหุ่ยอยู่บนเก้าอี้สนามหน้าบ้านราวกับกำลังชมความงามของบรรยากาศยามเย็น โดยปล่อยให้คนในบ้านเผชิญหน้าอยู่กับภาระหนักหน่วง
   “ผมก็คงหึงบ้างนิดหน่อย ถ้าเขามาเกาะแกะฟ่งมาก” รูฟัสว่า  นัยน์ตายังคงเหม่อหมองออกไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย
   “ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ฉันหมายความว่า แกคิดว่าการมาของรัสเลอร์ครั้งนี้มีความหมายอะไรพิเศษรึเปล่า?”
   “เรื่องนั้น....” รูฟัสดึงตัวเองกลับจากภวังค์ เขากำลังคิดเรื่อยเปื่อยไปถึงอนาคต ถ้าเขาต้องกลับไปที่ไทยเพื่อทำภารกิจต่อ เขาควรจะฝากฟ่งไว้กับใครดี
   “ผมกำลังคิดอยู่  “เบื้องบน” คงไม่ส่งหมอนั่นออกมาแค่เพื่อมาจัดการเรื่องแปลนให้เราหรอก ก็เห็นๆ อยู่ว่าแปลนนั่นไม่มีใครแก้ได้ แม้แต่ตัวรัสเลอร์เองก็เถอะ”
   “แกคิดว่า”เบื้องบน”กำลังไม่ไว้ใจเรารึเปล่า?” ราฟาแอลตั้งข้อสังเกต  ดูเหมือนเขากำลังตกอยู่ในภวังค์เช่นกัน  รูฟัสคิดว่าเพื่อนร่วมงานกำลังวิตกกังวลเรื่อง”เบื้องบน”ที่ว่า
   “ผมว่า”เบื้องบน”ไม่เคยจะไว้ใจพวกเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ จริงๆ แล้วพวกเขาคงไม่ไว้ใจใครเลยมากกว่า แต่ทำไมถึงชอบเรียกใช้เรานักก็ไม่รู้สิ”
   “เพราะฉันเก่งล่ะมั้ง” ราฟาแอลพูดติดตลก แต่แววตายังบ่งบอกถึงความวิตกกังวล
   “ฉันคิดว่าบางที”เบื้องบน”คงคิดว่าเราอาจจะแอบยักยอกข้อมูลหรืออะไรเกี่ยวกับเรื่องคราวนี้เอาไว้ล่ะมั้ง”
   “อืม ถ้ากลัวแบบนั้นก็ทำเองเลยสิ เอาเรื่องลอยลมมาโยนให้เราทำ พอได้ข้อมูลมากๆ ก็หวงก้างเสียอย่างนั้น เอาเปรียบกันไปหน่อยมั้งผมว่า” หนุ่มนัยน์ตาสองสีพูดขึ้น และขยับตัวจากท่ากึ่งนอนมาอยู่ในท่านั่ง  ราฟาแอลพยักหน้าพลางถอนหายใจ
   “ก็นั่นแหละ ตอนแรกน่ะฉันยังสงสัยอยู่ว่าทำไม“เบื้องบน” ถึงได้ให้ความสำคัญกับเรื่องลมๆ แล้งๆ แบบนี้นัก แต่ตอนนี้ฉันเริ่มคิดแล้วว่าบางทีเรื่องนี้มันอันตรายกว่าที่คิดเอาไว้  พวกนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก แล้วทำไมถึงยังจงใจใช้พวกเราต่อล่ะ”
   “คงรู้สึกว่าทำงานเกินค้าจ้างดีมั้ง” รูฟัสพูดเชิงประชด และได้ยินเสียงราฟาแอลถอนหายใจอีก
   “แกคิดว่า”เบื้องบน”วางแผนจะกำจัดพวกเราหรือเปล่า?”
   “หวาดระแวงมากไปมั้ง ถ้าเบื้องบนคิดจะกำจัดเราจริงๆ คงไม่ส่งรัสเลอร์มาหรอก เขาอาจจะไม่ไว้ใจเราเรื่องข้อมูล แต่ถ้าคิดจะกำจัดเรา ก็ไม่น่าจะส่งคนแบบหมอนั่นมา”
   “นั่นสิ ฉันอาจจะระแวงไปเองก็ได้ พอต้องทำงานกับ”เบื้องบน”แล้ว มันก็อดคิดแบบนี้ไม่ได้ทุกที”
   รูฟัสถอนหายใจ มองไปทางเพื่อนร่วมงานที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้สนาม เขาเข้าใจดีว่าทำไมราฟาแอลถึงมีความรู้สึกแบบนี้ ลองถ้าเคยถูก “เบื้องบน” ที่ว่าหักหลังมาก่อนแล้วล่ะก็ คงห้ามไม่ให้ระแวงไม่ได้หรอก
   “จะว่าไปเรื่องที่ทำให้เราถูกสงสัยแกก็มีส่วนด้วย ถ้าแกไม่ทะลึ่งเข้าฐานข้อมูลไปเอาข้อมูลของริเวิล พวกนั้นคงจะไม่ขยับกันหรอก ก็รู้อยู่ว่าคนดูแลฐานไม่ได้มีแค่คนเดียว แล้วก็ไม่ได้เป็นพวกเราไปทั้งหมดด้วย”
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า  ราฟาแอลกำลังจะลำเลิกเรื่องนั้นขึ้นมาอีกแล้ว
   “ไม่เอาน่าราฟี่  เรื่องมันผ่านมาแล้ว ก็เพราะผมไม่ใช่เหรอ เราถึงได้ตัวคนเขียนแปลนมาน่ะ”
   “ฉันไม่เห็นว่ามันเป็นผลงานของแกเลยสักนิด ถ้าไม่เพราะบังเอิญ แถมแกยังทำท่าจะไม่ยอมบอกอีกว่าเด็กแกเขียนแปลนนั่น”
   “ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนเขียนเหมือนกันแหละ” รูฟัสแย้ง ในส่วนนี้ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
   “ฉันคิดว่าจะเป็นคนมีอายุมากกว่านี้เสียอีก” หนุ่มผมสีบลอนด์พูดขึ้น พลางนึกถึงใบหน้าของฟ่ง และก็ต้องขมวดคิ้ว ดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเขียนของแบบนั้นออกมาได้
   “ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะทำงานให้มาเฟีย ให้ตายเหอะ เขาเขียนแปลนนั่นตอนที่ผมอยู่ด้วยซ้ำ”
   “สรุปว่าแกตาถั่วมาโดยตลอดสินะ” เพื่อนร่วมงานค่อนแคะ จนทำให้รูฟัสต้องย่นคิ้วอย่างไม่พอใจนัก แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะมีปากเสียงกันจนเป็นเรื่องเป็นราว เสียงของคลาวเดียก็ดังขึ้น
   “รัสเลอร์อยากให้พวกเธอสองคนขึ้นไปดูอะไรหน่อย”
   “เจ้านั่นเกิดบรรลุขึ้นมาหรือไง” ราฟาแอลว่า  คลาวเดียยักไหล่  หนุ่มผมบลอนด์เลยไม่พูดอะไรต่อ  เขาเดินกลับเข้าบ้านโดยมีรูฟัสเดินตามไปติดๆ
---------------------------------------
   “ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ ไอ้เส้นๆ ทั้งหมดนี่จริงๆ เป็นทางเดินลวง” รัสเลอร์ว่า ขณะที่รูฟัสกับราฟาแอลทำหน้าเหมือนเห็นยานอวกาศ หลังจากฟังฟ่งอธิบายเรื่องแปลนแบบคร่าวๆ จบ
   “สรุปว่าเรากำลังจะไปเผชิญกับเขาวงกต แปลว่าใครที่อยู่ในนี้ต้องมีแผนที่งั้นสิ?” ราฟาแอลตั้งคำถาม ฟ่งสั่นศีรษะ
   “ไม่ต้องครับ แต่ละส่วนจะถูกเชื่อมด้วยประตูที่มีระบบตรวจสอบอัตโนมัติ อนุญาตเฉพาะผู้มีสิทธิ์ผ่านได้เท่านั้น สรุปคือถ้าคุณเป็นพนักงานที่นั่น คุณไม่หลงทางหรอก เพราะจะไปได้ตามทางที่กำหนดไว้ให้เท่านั้น”
   ราฟาแอลและรูฟัสมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองรัสเลอร์ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มทำหน้าเหวอ “เฮ้ย ฉันเปล่าเข้าไปวางระบบอะไรในห้องนี้นะ”
   “ฉันยังไม่ได้พูดอะไร” ราฟาแอลว่า หันกลับมามองฟ่ง และพูดต่อ
   “แล้วเราจะเข้าไปได้ยังไง  หมายถึงพวกฉันจะเข้าไปทางไหนได้บ้าง ที่ไม่ใช่ทางเข้าปกติ ไม่ต้องผ่านระบบรักษาความปลอดภัย”
   “ไม่มีครับ” ฟ่งตอบ และรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสีหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของคนถาม
   “จะแฝงตัวเข้าไปก็ไม่ทัน ไอ้เจ้ารูฟัสมันสายป่านขาดนานเกินกว่าจะทำแบบนั้นแล้ว”
   รูฟัสนิ่วหน้า อ้าปากจะเถียง แต่ก็เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย
   “ถึงจะแฝงเข้าไปได้ก็ใช่ว่าจะออกมาได้ง่ายๆ น่า” รัสเลอร์ช่วยแก้ตัวแทนให้ ฟ่งมีสีหน้าลังเลเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง จนรูฟัสต้องถาม
   “ฟ่งครับ มีอะไรหรือครับ?”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองคนถาม พูดอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก “ความจริงผมคิดว่าอาจจะมีทางเข้าที่ไม่ผ่านทางเข้าหลัก แต่...มันอาจจะไม่มีก็ได้”
   ราฟาแอลนิ่วหน้าทันที “เด็กนั่นว่าไง?” เขาหันไปถามรูฟัส เพราะไม่เข้าใจภาษาที่ฟ่งพูด รูฟัสทำหน้าปั้นยาก และหันไปคุยกับฟ่งต่อ
   “หมายความว่าไงหรือครับ?”
   “ผมยังไม่แน่ใจ คงต้องขอดูแปลนกับไฟล์ที่ได้มาอีกรอบหนึ่งน่ะ”
   ฟ่งว่า และหันไปหยิบแปลนที่วางอยู่มา ทำท่าจะกางออก แต่ถูกรัสเลอร์ห้ามไว้
   “ใช้นี่ดีกว่า” เขาว่า และล้วงเอาของอย่างหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋า มันดูคล้ายเครื่องโปรเจคเตอร์ที่มีเลนส์ขยายอยู่ด้านบน  รัสเลอร์วางมันลงบนโต๊ะและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ  รูฟัสรีบผุดลุกขึ้น เดินไปหยิบแบบแปลนจากมือฟ่ง
   “ตะกี้คุณจะเปิดมันใช่รึเปล่า” เขาถามและไม่รอให้ฟ่งตอบ แบบแปลนถูกคลี่ทับอุปกรณ์ที่รัสเลอร์เพิ่งนำขึ้นมาทันที หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มปัดกระดาษออกอย่างไม่พอใจ
   “นายช่วยสนใจของที่ฉันจะนำเสนอหน่อยสิ”
   คราวนี้รูฟัสเป็นฝ่ายนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจบ้าง ราฟาแอลจึงช่วยพูดเสริม
   “ฟ่งอยากจะอธิบายกับแปลนกระดาษก็ปล่อยเขาอธิบายไปสิ  นายก็เก็บของของนายไปโชว์วันอื่นก็ได้”
   “ฉันไม่ได้ยินฟ่งพูดสักคำว่าจะใช้แปลนกระดาษ ใช่ไหมครับฟ่ง?”
   รัสเลอร์หันไปหาฟ่งพอเป็นพิธีโดยไม่ได้ให้ความสนใจว่าฟ่งจะพยักหน้าหรือสั่นศีรษะ  ก่อนจะหันกลับมาพูดต่อ ขณะที่ฟ่งได้แต่ยืนอ้าปากค้างตอนที่รัสเลอร์อธิบายสรรพคุณอุปกรณ์ตัวเอง
   “นี่เป็นเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมตัวใหม่ที่ฉันพัฒนาขึ้น พวกนายจะได้สัมผัสถึงความเป็นจริงมากกว่าเครื่องโฮโลแกรมรุ่นไหนๆ”
   “มันเรียกสาวๆ ออกมาได้หรือไง” ราฟาแอลพูดขัดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ดูเหมือนรัสเลอร์จะไม่ได้สังเกตหรืออาจจะไม่ใส่ใจ เขาตั้งหน้าตั้งตาอธิบายสรรพคุณของเจ้าเครื่องนั้นต่อ
   “แน่นอน แล้วนายจะรู้สึกเหมือนมีน้องหนูมาอยู่ข้างๆ เลยล่ะ” รัสเลอร์ว่า และกดปุ่มเล็กๆ ที่ฐานเพื่อเปิดเครื่อง ไม่วายได้ยินเสียงราฟาแอลค่อนแคะว่าเหมือนของเด็กเล่น
   “เดี๋ยวนายรู้” รัสเลอร์พูด ขณะที่แสงไฟสว่างวาบออกมาจากเลนส์ขยาย หญิงสาวผมบลอนด์นางหนึ่งผุดขึ้นมาบนอากาศ และทำท่าส่งจูบไปทางสองคนที่นั่งอยู่อย่างเซ็กซี่ ฟ่งหน้าแดงเล็กน้อย เพราะสาวเจ้าใส่แค่บิกินี่ตัวเดียว หน้าอกหน้าใจอล่างฉ่างเต็มที่
   “แม่โว้ย นี่แกไปหาถ่ายมาจากไหน” ราฟาแอลโพล่งออกมาอย่างลืมตัว เขาหันไปเค้นคำตอบกับรัสเลอร์ซึ่งทำหน้าเซ็งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   “แทนที่นายจะถามฉันว่าทำยังไง กลับถามว่าถ่ายมายังไงเนี่ยนะ”
   “ฉันเห็นมันก็เหมือนเครื่องเก่าที่นายเคยเอามาโชว์นั่นแหละ แต่ว่าคราวนี้ตัวทดลองหุ่นเช้งวับกว่าเยอะ ฉันว่านายน่าจะไปเอาดีด้านทำของพวกนี้นะ”
   “ราฟี่ หัวสมองนายนี่นะ…..” รัสเลอร์บ่นอุบอิบ ขณะนี้น้องนางยังคงโพสท่ายั่วยวนไปเรื่อยๆ
   “ถ้าจับได้ล่ะแจ่มเลย” ราฟาแอลเปรย ดูเหมือนเขาจะให้ความสนใจกับภาพหญิงสาวมากกว่าจะสนใจการทำงานของเครื่อง รูฟัสพยายามนั่งนิ่งๆ บังคับสายตาของตัวเองไม่ให้ซุกซน  เพราะเกรงกว่าจะทำให้ฟ่งที่อยู่อีกฟากหนึ่งเกิดไม่พอใจขึ้นมา แต่คำถามว่าถ่ายมาได้อย่างไร ก็ดูจะน่าสนใจกว่าทำอย่างไรจริงๆ นั่นแหละ
   “ก็ลองจับเธอหมุนดูสิ” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มผู้เป็นเจ้าของเครื่องแนะนำ ราฟาแอลเดินเข้าไปใกล้ และทำท่าจะหมุนเครื่องฉาย ทำเอาเจ้าตัวรีบร้องห้ามเสียงหลง
   “ไม่ใช่!! ฉันหมายถึงหมุนภาพต่างหาก”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างรักษามาด และลองใช้มือหมุนร่างสาวน้อยที่ลอยอยู่บนอากาศดู  คราวนี้เธอเลยหันหน้าไปยั่วอีกทางหนึ่ง
   “โอ้  พัฒนา”
   หนุ่มผมสีบลอนด์ร้อง ไม่รู้ว่าหมายถึงสัดส่วนของนางแบบที่พัฒนา หรือเทคโนโลยีที่รัสเลอร์ประดิษฐ์ขึ้นกันแน่
   “ขยายได้ด้วยนะ แค่นายกวาดนิ้ว” รัสเลอร์แนะนำเพิ่มเติม และราฟาแอลก็ทดลองทำทันที แย่หน่อยที่ราฟาแอลดันขยายส่วนที่เป็นปั้นท้าย ฟ่งที่นั่งอยู่ฝั่งนั้นจึงต้องกระแอมไอออกมา เพราะเพิ่งเห็นว่าจีสติงตัวนั้นบางเฉียบขนาดไหน
   “ผมว่าเราเข้าเรื่องแผนที่กันดีกว่า” หนุ่มสวมแว่นกล่าว พลางดันแว่นให้เข้าที่อยู่หลายรอบ รัสเลอร์ทำท่าเหมือนสำนึกตัวได้ แต่ก็ไม่วายจะเอ่ยปากแซว
   “คนเอเชียนี่ขี้อายแบบนี้หมดเลยเหรอเนี่ย”
   ฟ่งขมวดคิ้วยุ่ง  ก็เล่นขยายเสียใหญ่ขนาดนั้นเป็นใครก็น่าจะอายทั้งนั้นแหละ เขาไม่ใช่คนตายด้านทางเพศเสียหน่อย แถมยังเป็นผู้ชาย รูฟัสจึงส่งเสียงแทรกขึ้น
   “เข้าเรื่องสักทีเถอะน่ารัสเลอร์ ไอ้นี่ไว้ค่อยเล่นตอนหลังก็ได้”
   รัสเลอร์หัวเราะชอบใจ แต่ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนภาพ
   “บอกแล้วว่าพวกนายจะต้องตะลึง”
   รูฟัสและราฟาแอลรีบพยักหน้า ด้วยหวังว่าเจ้าบ้านี่จะรีบเข้าสู่ประเด็นได้บ้างไม่ช้าก็เร็ว
   “คุณรัสเลอร์ เอาแปลนขึ้นเครื่องฉายนี่ก็ได้ครับ” ฟ่งเอ่ยอย่างจำยอมออกมาในที่สุด  หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยิ้มอย่างผู้มีชัย และล้วงเอาอุปกรณ์คล้ายๆ แฮนดี้ไดรฟ์ออกมา
   “ขอเชื่อมพอร์ตก่อนนะ” เขาว่า และก้มๆ เงยๆ อยู่กับเครื่องนั้นอีกราวๆ ห้านาที รูฟัสกับราฟาแอลมองอย่างระอา
   “ใช้กระดาษแต่แรกก็สิ้นเรื่อง” ราฟาแอลบ่น เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่น่าไปหลงเห็นดีเห็นงามกับเจ้านี่เลย แต่ว่าไอ้ภาพเมื่อกี้มันก็ดีจริงๆ นั่นแหละ
   “ใจเย็นๆ น่า เดี๋ยวก็ได้แล้ว” รัสเลอร์ว่า และใช้เวลาอีกสิบนาที รูปแปลนถึงปรากฏออกมา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากอุปกรณ์ที่ว่า
   “เสร็จล่ะ  ระบบไร้สายมีปัญหานิดหน่อย” เขาว่าและต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นราฟาแอลกับรูฟัสนั่งกินน้ำชาและของว่าง โดยมีฟ่งร่วมวงด้วย
   “เสร็จแล้วก็ดี จะได้เริ่มอธิบาย” ราฟาแอลพูด ทั้งๆ ที่ยังมีขนมปังอยู่เต็มปาก และสะกิดฟ่ง หนุ่มสวมแว่นพยักหน้าอย่างงงๆ  เดินไปทั้งๆ ที่มือยังถือขนมปังอยู่นั่นแหละ รูฟัสหันมาเขม่นราฟาแอล แต่เจ้าตัวทำเป็นไม่สนใจ
   “พวกนายกินไม่ชวนฉัน” รัสเลอร์ประท้วง  พลางทำท่าจะเดินไปร่วมโต๊ะด้วย แต่ถูกราฟาแอลไล่ออกมา
   “นายอยู่ดูแลอุปกรณ์ก่อน เดี๋ยวมีปัญหาอีก”
   รัสเลอร์จึงต้องถอยกลับมาอย่างจำนน  ขณะที่ฟ่งยืนมองภาพที่ฉายอยู่ในอากาศ
   “คุณรัสเลอร์ ยังมีไฟล์อื่นอยู่อีกรึเปล่าครับ แล้วเปิดยังไงน่ะ?”
   รัสเลอร์ชี้ไปที่กรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่เบียดกันอยู่ด้านบนเหนือศีรษะของฟ่ง และพูดตอบ
   “อยู่ตรงนั้นแหละครับ คุณอยากดูไฟล์ไหนก็กดเลย”
   ฟ่งเอื้อมมือขึ้นไปกดภาพที่ว่า และนึกสงสัยว่าเพราะส่วนสูงของเขาไม่ได้มาตรฐาน หรือเพราะพวกผู้ชายชาวยุโรปพวกนี้สูงเกินไปกันแน่
   ไฟล์ต่างๆ ถูกเลือกออกมาดู ขณะที่อีกสามคนนั่งคอยฟังคำอธิบายอย่างใจจดใจจ่อ
   ฟ่งยังคงมองไฟล์พวกนั้นสลับกันไปมาอีกหลายรอบ จนราฟาแอลอดไม่ได้ต้องพูดขึ้น “ว่าไงบ้าง?”
   คนถูกถามไม่ตอบ แต่ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ราฟาแอลหันไปมองเพื่อนร่วมงานด้วยสีหน้าวิตกจริต
   คิ้วของฟ่งมุ่นเข้าหากันแน่น ตอนที่ขยายภาพภาพหนึ่งขึ้นมาดู ซึ่งไม่มีใครเข้าใจว่ามันคือส่วนไหน และทำหน้าที่อะไร หลังจากนั้นก็เปิดภาพอื่นขึ้นมาดูอีกหลายรอบ ก่อนจะโพล่งออกมา
   “ผมเจอแล้ว”
   “เจออะไร?!” สามคนถามขึ้นพร้อมกัน ฟ่งหันมามองด้วยสีหน้างงๆ ก่อนจะหัวเราะแหะๆ “เจอรอยแก้น่ะ”
   “รอยแก้” รูฟัสและราฟาแอลทวนคำ ก่อนที่หนุ่มผมบลอนด์จะพูดขึ้นต่อ “เธอจะหารอยแก้ไปทำไม?”
   “อะ....เอ้อ...” ฟ่งมีสีหน้ากระดากขึ้นมาทันที “จริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่รู้สึกว่ามันมีรอยแก้ ก็เลยหาดู คือ...เขาไม่ควรแก้ไขงานโดยไม่แจ้งผมก่อน”
   ราฟาแอลมีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่รูฟัสครางออกมา “ฟ่งครับ เขาคงฆ่าคุณก่อนที่จะบอกคุณว่าเขาจะแก้ตรงไหนบ้าง”
   ฟ่งนิ่วหน้า “ก็ผมไม่ชอบให้ใครมาแก้งานของผมนี่ คุณรัสเลอร์คงเข้าใจนะครับ คุณก็เป็นนักออกแบบเหมือนกัน”
   รัสเลอร์รีบพยักหน้าหงึกหงักทันที และหันมายิ้มเยาะรูฟัส หนุ่มตาสองสีขมวดคิ้วบ้าง
   “ผมเข้าใจก็ได้ครับ แต่กรุณาอย่าเอาตัวเองไปเทียบกับไอ้บ้านี่เลยครับ คุณกับมันต่างกันเยอะ”
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ ขณะที่รัสเลอร์โวยวายขึ้นมา “ต่างกันตรงไหน ตรงที่ฉันฉลาดเวอร์เกินไปสินะ โถ...พ่อคุณ แฟนตัวเองก็ฉลาดไม่เบาเหมือนกันนะ ให้เกียรติเขาหน่อยสิ”
   รูฟัสนิ่วหน้าต่อ รู้สึกอยากเงื้อเท้าขึ้นถีบผู้ชายตรงหน้าจริงๆ ราฟาแอลพูดขึ้นบ้าง
   “สรุปว่าเสียเวลาเปล่า เอาล่ะ ในเมื่อผ่านทางไหนไม่ได้ ถ้าเราจะสร้างทางขึ้นมาเองล่ะ?”
   “ยังไง?” สามคนที่เหลือถามขึ้นพร้อมกัน หนุ่มผลบลอนด์ยักไหล่ “สร้างสถานการณ์แบบที่เคยทำ ถล่มตึกด้านบนสักสองสามตึก ไม่ก็อะไรที่มันอึกทึกครึกโครมขนาดนั้น รับรองว่าพวกนั้นต้องเปิดช่องบ้างแน่ๆ “
   “เออ แต่สิ่งที่เราอยากได้ก็คงถูกซ่อนไว้อย่างดีเหมือนกันนั่นแหละ คุณคิดหรือว่าพอเกิดเรื่องแบบนั้นแล้วเขาจะเอามันไว้ที่เดิมน่ะ?”
   รูฟัสย้อน ราฟาแอลหน้านิ่ว “แล้วแกรู้หรือไงว่าปกติเขาเอาไว้ตรงไหน?”
   “ไม่รู้” รูฟัสว่า อีกฝ่ายย้อนทันที “เออ แล้วจะเดือดร้อนทำไม”
   “แต่มิสเตอร์ดีเอ็นแอลรู้ และเขาจะบอกเราตอนที่เราเข้าไปได้ ถ้าเราทำเรื่องเอิกเริก แล้วเขาจะมีโอกาสได้บอกเราไหมล่ะ?”
   “แล้วจะเอายังไง?” ราฟาแอลถาม และพูดสืบต่อ “จะวิธีไหนก็ไม่ได้ จะเข้าไปยังไง บอกเลิกงานกลางคันก็ไม่ทันแล้ว”
   เขาเงียบไปพักหนึ่ง แล้วหันไปทางฟ่ง “งั้นเธอแยกส่วนมันออกมาให้พวกฉันดูออกก็พอ ส่วนวิธีเข้าไป พวกฉันจะคิดกันเอง”
   “คือ....มันอาจจะพอมีทางอยู่” ฟ่งพูดขึ้นอีก พอเห็นสายตาสามคู่ที่มองมาอย่างตั้งความหวังอีกครั้งจึงจำต้องพูดต่อ
   “ที่คุณบอกว่าจะสร้างสถานการณ์ตะกี้น่ะ ทางออกฉุกเฉินจะเปิดต่อเมื่อเกิดภาวะวิกฤติ แต่ผมว่าเขาน่าจะทดสอบระบบของมันก่อนวันใช้จริง พวกคุณ...น่าจะเข้าไปทางนั้นได้”
   “โอ้...ฟังดูเข้าท่า ไหนล่ะทางออกฉุกเฉินที่ว่า” ราฟาแอลร้องและมีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัดทันที ฟ่งดึงแปลนชิ้นหนึ่งขึ้นมาขยาย
   “มันอยู่ตรงนี้ครับ ถ้าคุณได้ไฟล์อีกชุดที่เป็นสีจะดูง่ายกว่านี้ ผมอธิบายในกระดาษดีกว่า” ฟ่งว่า และหันไปหยิบแปลนขึ้นมา รูฟัสหันไปหัวเราะใส่รัสเลอร์
   “คุณเห็นตรงนี้ไหมครับ นี่คือทางเปิดเชื่อมตรงกับพื้นดินด้านบน ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นลานโล่งๆ คงไม่อยู่ในตึก หรือถ้าเป็นตึกก็คงมีทางให้หนีมากพอสมควร ตรงลงมาจากปล่องลิฟต์นี้ จะต่อกับห้องประชุมใหญ่โดยตรง แต่มีทางแยกไปส่วนอื่นอีก ถ้าคุณสามารถผ่านประตูกั้นได้ จะลงไปถึงส่วนที่เป็นพื้นที่เก็บขยะ และส่วนของพนักงานชั้นล่าง ซึ่งน่าจะมีที่ซ่อนตัวเยอะอยู่ เพราะมีทั้งของ ทั้งห้องพักพนักงาน ห้องเสื้อผ้า ห้องเตรียมอาหาร อืม..หลายห้องล่ะ เขาคงวางของไว้เต็มห้องพวกนั้น”
   รูฟัสกับราฟาแอลพยักหน้าหงึกหงัก รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันใด
   “เป็นตัวเลือกที่เข้าท่าดีมาก งั้นรบกวนเธอช่วยจัดการแยกส่วนมันให้พวกฉันดูออก ว่าควรจะไปทางไหนยังไง ฉันถือว่าเธอเป็นผู้ร่วมงานคนหนึ่งแล้ว”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ รูฟัสฝืนยิ้ม และอธิบายต่อ “ตามที่เขาว่านั่นแหละครับ ตอนนี้คุณเป็นทีมเดียวกับผมแล้ว ฝากด้วยนะครับ”
   “เอางั้นก็ได้” ฟ่งกล่าว พลางนึกตกใจว่าเขากลายเป็นทีมเดียวกับรูฟัสแล้วหรือ ได้ยินเสียงรัสเลอร์พูดขึ้นบ้าง
   “ยินดีต้อนรับนะ พ่อหนุ่มกระรอก” ฟ่งขมวดคิ้วทันที  ขณะที่รูฟัสพูดแทรกขึ้น
   “ไอ้หนุ่มกระรอกนี่อะไรของนาย รัสเลอร์?”
   “ก็ฟ่งเหมือนกระรอกออก ผมสีน้ำตาลฟูๆ แล้วใส่แว่น เวลานั่งก็เหมือนกระรอกตัวเล็กๆ น่ารักจะตาย”
   ฟ่งมีสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด แต่รูฟัสกลับพยักหน้า จะว่าไปฟ่งก็คล้ายๆ กับพวกหนูแฮมสเตอร์หรือกระรอกจริงๆ นั่นแหละ ตัวเล็กๆ กัดเจ็บ แต่น่ารัก
   “เอาล่ะ หนุ่มๆ ฉันไม่ได้อยากจะขัดจังหวะการคุยหรอกนะ แต่พวกคุณคิดจะทานมื้อเย็นกันรึเปล่า” เสียงของคลาวเดียดังลอดผ่านประตูเข้ามา  ราฟาแอลตะโกนกลับไปทันที
   “ขอมื้อใหญ่เลยนะ จะต้อนรับเด็กใหม่”
------------------------------------------
   หลังจากผ่านมือเย็นอันแสนอร่อยจากฝีมือคลาวเดีย ที่ดูจะกินเวลามากกว่าทุกวัน เพราะรัสเลอร์พยายามจะพล่ามเรื่องเครื่องมือทำอาหารชิ้นใหม่ของเขาให้คลาวเดียฟัง และถูกราฟาแอลแทรกกลางคัน เพราะคราวที่แล้วเจ้าเครื่องที่ว่าทำให้เขาต้องซ่อมครัวใหม่เกือบทั้งหมด  โชคดีที่เจ้าหนุ่มนักประดิษฐ์ดูจะถูกสั่งให้เดินทางมาอย่างกระทันหัน เลยไม่ได้หยิบอุปกรณ์พิสดารเหล่านั้นมาด้วย  ราฟาแอลจึงมีสีหน้าโล่งใจอยู่มาก อย่างไรก็ตามรัสเลอร์ยังไม่ยอมแพ้ เขายังคงสาธยายสิ่งประดิษฐ์ประหลาดของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งราฟาแอลและรูฟัสพากันลุกขึ้น โดยลากฟ่งออกมาด้วย
   “ทิ้งคุณรัสเลอร์ไว้แบบนั้นจะดีเหรอครับ” ฟ่งถามขณะเดินตามรูฟัสออกมานอกตัวบ้าน และนึกสงสัยว่าคนคนนี้จะออกไปไหนอีก
   “อย่าไปคิดมากเรื่องหมอนั่นเลยครับ พอไม่มีใครฟังก็เงียบไปเองแหละ คุณคงไม่อยากทนนั่งฟังเขาพล่ามใช่ไหมล่ะ”
   ใจหนึ่งฟ่งรู้สึกเห็นด้วย แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารไม่ได้
   “ที่จริงคุณรัสเลอร์ก็ช่วยได้เยอะนะ เรื่องงาน”
   “อืม.. คุณคิดแบบนั้นก็ดีครับ แต่สำหรับผม ไม่มาเลยน่าจะดีกว่า” รูฟัสสรุป และหันกลับมามองฟ่งด้วยสายตาสำนึกผิด
   “ขอโทษนะครับฟ่ง ผมไม่ได้ตั้งใจให้คุณมาทำเรื่องแบบนี้”
   ประโยคนี้ทำเอาผู้ฟังถึงกับอึ้งไปทันที ฟ่งมองรูฟัสด้วยสายตาแปลกใจระคนตกใจ นี่รูฟัสกำลังขอโทษเขาเรื่องที่เขาถูกลักพาตัวมารึ?
   “ผมไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดคุณหรอก คุณอุตส่าห์ตามไปช่วยผมกลับมานี่”
   “ไม่ใช่ครับ คือเรื่องแผนที่ ผมไม่อยากให้คุณมายุ่งเลย”
   “อ้อ เรื่องนั้น” ฟ่งพูดและยิ้มออกมา
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็ผมเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเอง”
   รูฟัสปั้นหน้าไม่ถูก  ได้แต่ยกมือขึ้นลูบดั้งจมูก
   “ขอบคุณนะ”
ฟ่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง รูฟัสมองดูใบหน้านั้นด้วยสายตาซาบซึ้ง บางทีฟ่งอาจจะไม่รู้ตัวเลยว่า ได้กลายเป็นแสงสว่างในชีวิตเขาขึ้นมาจริงๆ
   รูฟัสโน้มหน้าเข้าไปหาใบหน้าของอีกฝ่ายช้าๆ และมอบจูบแสนละมุนให้แทนคำขอบคุณไม่รู้จบ ฟ่งผลักเขาออกอย่างอายๆ
   “นี่มันนอกบ้านนะครับ ถ้ามีใครมาเห็นเข้า.....”
   รูฟัสยิ้มกริ่ม มองดูพวงแก้มที่เริ่มเป็นสีแดงระเรื่อเพราะความเขินอาย พลางนึกจินตนาการไปถึงเรื่องที่สัญญากันเอาไว้เมื่อเช้า
   “รูฟัส?!”
   ผู้ถูกเรียกชื่อสะดุ้งนิดหน่อย  ฟ่งกำลังมองมาด้วยสายตาสงสัย นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองผ่านแว่นทำให้นึกถึงกระรอกแบบที่รัสเลอร์พูดจริงๆ
   “คิดอะไรอยู่หรือครับ?”
   หนุ่มตาสองสีหัวเราะอย่างกระดากทันที ขืนบอกออกไปว่าคิดอะไรอยู่ฟ่งอาจจะแก้มแดงแล้วเดินหนีไปเลยก็ได้
   “ไม่มีอะไรหรอกครับ” รูฟัสตอบออกไป แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อคำพูดนัก
   “จริงหรือครับ ตามใจคุณแล้วกัน” ฟ่งว่าและทำท่าจะเดินแยกออกไป ทำให้รูฟัสต้องรีบรั้งตัวเอาไว้ นี่ฟ่งงอนเขาอีกแล้วหรือ
   "อยากรู้จริงๆ หรือครับ?” ฟ่งพยักหน้า และพูดเสริมต่อ
   “คุณมีอะไรก็น่าจะบอกผมบ้าง ผมไม่อยากคิดว่าคุณมีอะไรปิดบังผมอีก”
   รูฟัสหัวเราะเขินๆ ความจริงฟ่งน่าจะปล่อยเรื่องบางเรื่องให้เป็นความลับเสียบ้าง
   “ผมกำลังคิดถึงสัญญาที่คุณบอกเอาไว้เมื่อเช้า?”
   “เมื่อเช้า?” ฟ่งทวนคำอย่างแปลกใจ และนึกย้อนกลับไป เมื่อเช้าเขาไปสัญญาอะไรกับรูฟัสไว้ด้วยเหรอ?
   และแล้วพวงแก้มที่เพิ่งหายจากอาการเขินอายเมื่อครู่ก็แดงซ่านขึ้นมาอีกครั้ง  พร้อมกับคำพูดที่โพล่งออกมา “ลามก!!”
   รูฟัสอมยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขากำลังคิดว่าควรจะยอมรับคำว่าลามกที่ฟ่งพูดออกมาหรือเปล่า แต่ว่าทางนั้นให้สัญญาเอาไว้เองนี่นา
   “ผมจะเข้าบ้าน!!” ฟ่งพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก และผลุนผลันกลับเข้าบ้านไป รูฟันยืนเกาศีรษะ ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจจริงๆ หรือแสร้งทำกลบความเขินอาย แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าฟ่งจะตั้งใจหรือเปล่า การเดินกลับเข้าไปแบบนี้ก็เหมือนเชิญชวนกันเลยทีเดียว
----------------------------------
   ฟ่งเดินก้มหน้างุดๆ กลับเข้ามาในบ้าน พลางนึกโมโหตัวเองที่ไปสัญญาอะไรบ้าๆ แบบนั้น แค่เพราะเขากลัวว่าจะโดนทำอีกจึงตัดสินใจสัญญาออกไป ไม่คิดว่ารูฟัสจะจำได้แม่นยำแบบนี้ ราฟาแอลกับคลาวเดียนั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ ชายหนุ่มจึงเลี่ยงขึ้นไปชั้นบน
   แล้วทำไมเขาต้องเดินกลับมาที่ห้องด้วยล่ะ?!
   คำถามผุดขึ้นขณะที่ฟ่งกำลังจะบิดลูกบิดประตู ร่างบางชะงักค้าง แบบนี้ก็เท่ากับว่าเขาเดินเข้าสู่สถานที่พิพากษาด้วยตัวเองน่ะสิ ฟ่งตัดสินใจว่าเขาควรจะไปที่อื่น เพื่อรักษาสวัสดิ์ภาพของร่างกายเอาไว้ แต่ก็ดูจะช้าไปเสียแล้ว เมื่อรูฟัสเดินตามขึ้นมา
   หนุ่มตาสองสียิ้มกริ่ม รอยยิ้มนั้นดูเจ้าเล่ห์แสนกลจนฟ่งอดคิดไม่ได้ว่าคนคนนี้ท่าทางจะลามกจริงๆ รูฟัสกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ ถึงได้ยิ้มแบบนั้น
   รูฟัสคิดว่าตัวเองแสดงอาการมากไปหน่อย แต่ว่าพอเห็นแก้มที่ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ ของอีกฝ่ายแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ฟ่งคงไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองกำลังกลายเป็นลูกมะเขือเทศที่น่าทานอย่างบอกไม่ถูก
   ฟ่งถอยหลังจนชิดประตูเมื่อรูฟัสเดินรุกเข้ามาใกล้ด้วยแววตาไม่น่าไว้วางใจอย่างที่สุด  ร่างแกร่งโน้มหน้าลง สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากเลื่อนลงจนเกือบจะแนบชิดกัน
   “ผมว่าจะลงไปข้างล่าง” ฟ่งโพล่งขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างจะดังจนรูฟัสผงะห่างออกมาหน่อยหนึ่ง
   “จะไปไหนหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีถามอย่างแปลกใจ  ฟ่งอึกๆ อักๆ  พยายามจะหลบนัยน์ตาทรงเสน่ห์ที่มองตรงลงมา
   “ดะ..ดูโทรทัศน์” ฟ่งว่า และพยายามจะผลักรูฟัสออก
   “ราฟี่ปิดโทรทัศน์แล้วครับ  เห็นว่าจะเข้านอนแล้ว” รูฟัสตอบและยันแขนเข้ากับบานประตูที่ฟ่งพิงอยู่ เป็นการแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมให้ผ่านไป
   “ไม่อยากจะมีอะไรกับผมขนาดนั้นเลยหรือครับ”
   รูฟัสเอ่ยประโยคคำถามจี้ใจดำ ฟ่งกลืนน้ำลายลงคอและพยักหน้าหน่อยๆ ไม่กล้าเงยขึ้นสบตากับคนตรงหน้า ได้ยินเสียงรูฟัสถอนหายใจ
   “แล้วทำไมถึงสัญญาล่ะครับ” ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดถาม และขยับตัวเข้าไปใกล้อีก  ฟ่งอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรดี
   “คุณทำให้ผมมีความหวัง รู้รึเปล่าครับว่าผมพยายามจะห้ามตัวเองขนาดไหนตอนที่อยู่ใกล้คุณ”
   “ผะ..ผมขอโทษ” ฟ่งว่า และเบือนหน้าไปทางอื่น “ผมไม่ได้ตั้งใจ  ผมกลัวว่าคุณจะทำอะไรผมอีก”
   “ถ้ารังเกียจก็น่าจะบอกกันตั้งแต่ตอนแรกสิครับ”
   “ก็มันเจ็บ” ฟ่งโพล่งออกมาและหน้าแดงกว่าเดิม สีหน้าของรูฟัสแสดงความแปลกใจ
   “คุณไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บขนาดไหน” ฟ่งพูดต่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทนพูดเรื่องน่าอายแบบนี้กับรูฟัสด้วย ทางนั้นน่าจะเข้าใจอะไรเองได้บ้างสิ
   “ขอโทษครับ” รูฟัสพูดขึ้น หลังจากนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ไม่ยักจะรู้มาก่อนว่าฟ่งจะกลัวเรื่องนี้ หรือว่าเพราะสองครั้งที่ผ่านมาเขาทำรุนแรงเกินไป มันก็น่าจะเป็นไปได้อยู่
   “ถ้าไม่เจ็บก็เป็นอันว่าตกลงใช่ไหมครับ” ร่างแกร่งยังไม่ยอมแพ้ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองทันที  ผู้ชายคนนี้ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ  ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บแล้วมันจะยอมกันง่ายๆ เสียหน่อย
   “ว่าไงล่ะครับ” รูฟัสโน้มหน้ามาใกล้ เขาคิดว่าฟ่งอาจจะไม่ได้กลัวแค่เรื่องเจ็บอย่างเดียว มันต้องมีเหตุผลอื่นด้วยแน่ๆ ร่างบางสั่นศีรษะ ขบริมฝีปากเบาๆ
   “ไม่เอา ผม...ผมอาย”
   รูฟัสถอนหายใจและยิ้มให้ฟ่งอย่างเอ็นดู
   “อายแหละครับ ดีแล้ว” ร่างสูงกล่าว และถือโอกาสจูบริมฝีปากนั้นเบาๆ ฟ่งรีบยกมือขึ้นปัดป้อง แต่ก็ไม่อาจจะต้านทานแรงปรารถนาของอีกฝ่ายได้ ไม่นานนักร่างผอมบางนั้นก็อ่อนระทวยลงเพราะรสจูบ
   “ไปต่อกันข้างในนะครับ” ชายหนุ่มกระซิบและปิดประตูเข้าไป  ฟ่งพยายามจะขัดขืน 
ประตูถูกเปิดออก พร้อมกับร่างสองร่างที่หนึ่งโอบกอด อีกหนึ่งผลักไสอย่างไม่ค่อยได้ผลนัก แต่แล้วรูฟัสก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่ารัสเลอร์ปูที่นอนอย่างดิบดีตรงข้างเตียงของเขาพอดี แถมดูเหมือนจะกำลังหลับอย่างสบายอารมณ์อีกด้วย ดีกรีความโมโหพุ่งปรี๊ดทันที รูฟัสก้าวอาดๆ เข้าไปหาเจ้าตัวที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่
   “เดี๋ยว รูฟัส คุณจะทำอะไร?” ฟ่งถามเสียงหลงทันที เมื่อเห็นปฏิกิริยาของรูฟัส
   “ก็จะจับเจ้านี่โยนออกไปไงครับ” หนุ่มตาสองสีตอบ ความจริงเขาอยากจะเตะเจ้านี่สักเปรี้ยงหนึ่งก่อนด้วยซ้ำ
   “ใจร้าย ก็เขาหลับอยู่” ฟ่งว่า และคิดว่าเขาจะรู้สึกโมโหมากถ้ารูฟัสทำลงไปจริงๆ ดูเหมือนรูฟัสจะชะงักตัวลงเมื่อได้ยินประโยคนั้น
   “ถ้าคุณว่าแบบนั้น ก็ตามใจครับ ผมไม่อยากเป็นคนใจร้าย”
   “ขอบคุณครับ” ฟ่งตอบพร้อมกับยิ้มอย่างดีใจ โดยไม่ทันคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร
   นี่ฟ่งเป็นห่วงความรู้สึกของเจ้าบ้านี่มากกว่าเขาอีกเหรอ?
   รูฟัสคิด มองดูร่างบางที่ล้มตัวนอนลงบนเตียง และขยับที่ให้เขา ร่างแกร่งทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ในขณะที่อีกฝ่ายบอกราตรีสวัสดิ์
   “ฝันดีนะครับ” ฟ่งว่าและคว้าหมอนข้างมากอด รูฟัสถอนหายใจยาวและล้มตัวลงนอนบ้าง
   คืนนี้เป็นคืนที่ฟ่งน่าจะกอดเขามากกว่าหมอนข้างแท้ๆ
   ------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ยาวสะใจมากกกกกก  และก็สนุกมาก ๆ ด้วย  ที่บอกว่าเคยรวมเล่มยังมีเหลืออีกหรือเปล่าคะ
ตอนนี้ยังอ่านถึงแค่ตอนที่ 18 เอง  แต่อยากได้หนังสือมาครองแล้วล่ะ

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
ดูแล้วฟ่งกับรูฟัสยังต้องปรับตัวหากันอีกเยอะมาก  :z1:
พอจะเข้าใจนิดๆแล้วว่าทำไมนู๋ฟ่งต้องเลิกกับแฟน
รูฟัสสู้!!! :a2:

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
อุตส่าห์รอมาแต่เช้า  เจอมารผจญซะได้  :m20:

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องũ
«ตอบ #103 เมื่อ13-06-2011 05:20:28 »

แวะมารายงานตัวอีก  :กอด1:
ยังอ่านไม่ทันเลยค่ะ :laugh:

ปล.เห็นในเว็บร้านแดทวายบอกว่า 9เล่มจบใช่มะคะ?  ตอนนี้แต่งจบรึยังอ่ะจ๊ะ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-06-2011 05:22:14 โดย ❃indy❣zaka❃ »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องũ
«ตอบ #104 เมื่อ13-06-2011 06:02:46 »

แวะมารายงานตัวอีก  :กอด1:
ยังอ่านไม่ทันเลยค่ะ :laugh:

ปล.เห็นในเว็บร้านแดทวายบอกว่า 9เล่มจบใช่มะคะ?  ตอนนี้แต่งจบรึยังอ่ะจ๊ะ?

จริงๆ เนื้อหาหลักจบแล้วค่ะ เหลือแต่ช่วงพิเศษ คิดว่าอีกสองสามตอนจะจบบริบูรณ์ค่ะ

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
พึ่งอ่านจบตอนตี2 เลยขอไปนอนก่อนมาเม้นท์

ตอนแรกเห็นเลขตอนก็งง ถึงตอนที่ 37 จริงหรือพิมพ์ผิด เลยลองแว่บเข้ามาอ่าน
มันส์มาก ฮาฟ่งสุดๆ ดีที่รู้กันก่อนว่าฟ่งเป็นคนเขียนแปลนถ้ากลับไปทั้งๆ ไม่รู้
ชีวิตฟ่งคงอันตรายกว่านี้ นิสัยพระเอกสองคน เงอะๆ งะๆ ต่อหน้านายเอก
ทั้งคู่รูฟัสและคู่ซื่อเหยียน คู่หลังก็เหมือนวุ่นไม่น้อย มาลุ้นเรื่องการหาทางเข้ากันต่อ
เพราะตอนคิดอุตส่าห์คิดแบบให้เทวดาเข้าไปไม่ได้ แล้วคู่หูรูฟัสราฟาแอลจะ
ทำได้สำเร็จรึเปล่า อุตส่าห์มีคนเขียนแบบมานั่งอยู่ด้วยแล้ว

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่38  การมาเยือนของพญามังกร
   ฟ่งพบตัวเองยืนอยู่ในพื้นที่ขาวโพลน เขากะพริบตาซ้ำๆ และนึกขึ้นได้ว่าลืมถอดแว่น 
อย่างนี้ก็แปลว่าเขานอนหลับไปทั้งแว่นตาน่ะสิ
ชายหนุ่มคิดพลางยกมือขึ้นตรวจสอบแว่น และมองไปรอบๆ พื้นที่สีขาวที่ว่าค่อยๆ มีรูปร่างชัดเจนขึ้น  ไม่นานนักฟ่งก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในชุดฟอร์มสำหรับงานภาคสนาม เขายกหมวกกันกระแทกขึ้นสวม และเงยมองขึ้นไปด้านบน
วัสดุค้ำยันแบบพิเศษจำนวนมากกำลังถูกประกอบเข้ากับผิวดินเพื่อคำยันโครงสร้างด้านนอกโดยเหล่าคนงานที่สวมชุดสีขาวปลอด มันก่อรูปร่างอย่างรวดเร็วในความฝัน ไม่นานนักเขาก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนลานระเบียงทางเดินวงกต ที่มองตรงไปเป็นประตูลิฟต์ของทางออกฉุกเฉิน
ใครคนหนึ่งวิ่งผ่านเขาไปยังประตูลิฟต์นั้น รูปร่างสูงใหญ่และเรือนผมสีดำนั้นดูคุ้นตาเสียเหลือเกิน ฟ่งเอื้อมมือ พยายามจะคว้าจับร่างนั้นเอาไว้ แต่ก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่า
   ประตูลิฟต์เปิดออก พร้อมกันกับที่เจ้าของร่างสูงใหญ่นั้นก้าวเข้าไป ฟ่งรู้สึกว่าตัวเองก้าวเท้าตามไป แต่ยังไม่ทันถึง ประตูลิฟต์ก็ปิดลง และค่อยๆ เคลื่อนขึ้นไป
   แรงสั่นสะเทือนมหาศาลเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ฟ่งเซถลาไปจนชนกำแพงด้านหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานด้านบน นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งกว้าง โครงสร้างทั้งหมดยุบตัวลงมาราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นกดลงจากด้านบน ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลงอย่างรวดเร็วรวมถึงลิฟต์ตัวนั้น
   
“รูฟัส!” ร่างบางอุทานและลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เขาเห็นคือดวงตาสีแปลกที่จ้องมองมาอย่างงุนงง ก่อนจะตามด้วยอ้อมกอดที่ทำให้หัวใจเต้นแรง
“รูฟัส?” ฟ่งเรียกชื่อผู้ที่กอดเขาไว้อีกครั้ง รูฟัสลูบมือลงบนเรือนผมสีน้ำตาลนั้นเบาๆ
“ฝันร้ายหรือครับ?” เขาว่า และหยิบแว่นส่งให้ ฟ่งรับไปใส่ทันที ตอนนี้เขามองเห็นหน้าของรูฟัสชัดขึ้น
“เมื่อคืนผมลืมถอดแว่น?!!” ฟ่งโพล่งขึ้นและนึกได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะพูดเสียหน่อย รูฟัสพยักหน้าและหอมแก้มของเขาเบาๆ
“คุณหลับไวมาก” ผู้มีนัยน์ตาสองสีช่วยอธิบายให้ ฟ่งพยักหน้า และพยายามนึกว่าเขาอยากพูดเรื่องอะไรกันแน่
“ผมฝันร้าย ฝันว่าลิฟต์... เออ ลิฟต์!!” ฟ่งอุทานอย่างนึกได้และพรวดพราดลุกขึ้นทันที เขากระโดดลงจากเตียงและสะดุดรัสเลอร์ที่กำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ เล่นเอาหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ เกือบสามสิบเด้งตัวผลึงขึ้นมาจากที่นอนราวกับถูกดีด
“เกิดอะไรขึ้น!! ศัตรูบุกหรือไง!!” รัสเลอร์มองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นตระหนกและหยิบเอาปืนรูปร่างแปลกๆ ขึ้นมาจากกระเป๋าที่อยู่ข้างตัว  รูฟัสรีบดึงเจ้าตัวให้กลับลงไปนั่ง
“ไม่มีใครบุกทั้งนั้นแหละ นายเก็บไอ้ของประหลาดนั่นไปได้แล้ว” หนุ่มตาสองสีว่า พลางมองดูปืนรูปร่างประหลาดนั้นอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก รัสเลอร์มองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง เมื่อพบว่าไม่มีอะไร จึงยอมเก็บปืน
“ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่” รัสเลอร์ถามด้วยความงุนงง รูฟัสโบ้ยหน้าไปทางฟ่งซึ่งยืนกางแบบแปลนอยู่หน้าโต๊ะไฟ พร้อมกับเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษเปล่าที่วางอยู่
“ใช่แบบนี้จริงๆ ด้วย” ฟ่งอุทานออกมาหลังจากเขียนอะไรลงไปได้พักหนึ่ง  สองหนุ่มเดินเข้ามาดูด้วยความสงสัย
“ใช่อะไรหรือครับ?” รูฟัสถามอย่างสงสัย ฟ่งพูดทั้งที่ตายังจ้องกระดาษอยู่
“แบบแปลนมันผิด ไม่ใช่สิ เขาแทนค่าผิด คุณดูสิ”
เขาขยับแบบแปลนที่ดูยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนใยแมงมุม และชี้ให้คนทั้งคู่ดูส่วนเพดานที่ขีดเอาไว้ด้วยเส้นสีฟ้าๆ
“จำที่ผมพูดเมื่อวานได้ไหมว่าเขาไม่ควรแก้แปลนโดยไม่บอกผม” หนุ่มสวมแว่นว่า รูฟัสพยักหน้า ขณะที่รัสเลอร์ยังงงไม่หาย
“พูดภาษาอังกฤษที” เขาว่า ฟ่งมองหน้าหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งยังคงมีสีหน้ากึ่งหลับกึ่งตื่นและกึ่งตกใจ ก่อนจะพูดภาษาอังกฤษออกมา
“ผมบอกว่า พวกคุณจำเรื่องที่ผมพูดว่าเขาไม่ควรแก้ไขแปลนโดยไม่บอกผมได้ไหม?”
“อ้อ” รัสเลอร์ร้องและพยักหน้าทันที “ใช่ๆ ผมเองก็ไม่ชอบให้ใครมาแก้ไขอะไรที่ตัวเองเขียนเหมือนกัน”
รูฟัสเหยียบเท้ารัสเลอร์ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดอะไรออกมามากกว่านั้น ฟ่งพูดต่อ “ตรงนี้คือส่วนที่เขาแก้ไข โอ๊ย บ้าจริง เขาให้ใครมาแก้นะ ผมคำนวณองศาของวัสดุค้ำยันแล้วก็น้ำหนักของมันเอาไว้ดีแล้วแท้ๆ “
“เอ่อ....ช่วยอธิบายให้เข้าใจกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ?” รูฟัสพูดแทรกขึ้น เมื่อเห็นว่าฟ่งเริ่มมีอารมณ์กับเรื่องดังกล่าวโดยที่พวกเขายังไม่ทันได้เข้าใจอะไรเลย ฟ่งหันหน้ากลับมามองเขาอย่างงงๆ ก่อนจะพูดอย่างนึกขึ้นได้
“ผมจะบอกพวกคุณว่า ไอ้ลิฟต์นี่มันอาจจะถล่มลงมาก็ได้”
“ลิฟต์ไหน?” สองคนถามพร้อมกันทันที ฟ่งทำหน้ายุ่ง “ลิฟต์ตัวที่ผมอธิบายให้พวกคุณฟังไปเมื่อวานไงครับ”
รูฟัสและรัสเลอร์หันไปมองหน้ากัน เมื่อวานฟ่งพูดถึงลิฟต์กี่ตัวกันนะ ฟ่งมองดูสองคนตรงหน้าอย่างค่อนข้างหงุดหงิด ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
“ลิฟต์ตัวที่ผมบอกว่าเป็นทางออกฉุกเฉินแล้วแนะนำให้คุณเข้าไปน่ะ” หนุ่มสวมแว่นกล่าว และนึกว่าถ้าจำที่เขาพูดไม่ได้ขนาดนี้ ทำไมตอนแรกถึงได้พยักหน้ากันนะ
“อ๋อ” รูฟัสและรัสเลอร์ร้องขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะโพล่งออกมา “ว่าไงนะ ถล่ม!?”
ฟ่งไม่รู้จะขำหรืออะไรดีกับอาการของทั้งคู่ เขาได้แต่พยักหน้า และพูดซ้ำ
“อืม...มันมีโอกาสถล่ม เขาแก้ไขแปลนของผม”
ทั้งรูฟัสและรัสเลอร์นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่หนุ่มตาสองสีจะพูดออกมา
“ผมต้องเรียกราฟี่มาฟังเรื่องนี้
-------------------------------------------------------
ไม่นานนักราฟาแอลก็เดินเข้ามาทั้งๆ ที่หัวยุ่ง  ทำเอารัสเลอร์หัวเราะก๊าก  หนุ่มนัยน์ตาสีเขียวขมวดคิ้วยุ่ง และสบถเป็นภาษาฮังการีออกมาสองสามคำ
“เอาล่ะ ตกลงมันยังไง เข้าไปได้หรือไม่ได้กันแน่”
หนุ่มผมสีบลอนด์ส่งเสียงถามอย่างง่วงงุน ท่าทางเหมือนเพิ่งถูกปลุก ฟ่งอธิบายซ้ำอีกครั้ง และนั่นดูจะทำให้ราฟาแอลตื่นขึ้นมาได้บ้าง
“ฉันคิดว่าแผนที่จะเข้าไปตรงทางออกฉุกเฉินมันดูเข้าท่า แต่เธอก็มาบอกว่ามันอาจจะถล่มลงมา งั้นถ้าไม่เข้าทางนี้แล้วจะเข้าไปทางไหนได้อีก?”
ฟ่งเกาหัวแกร่ก และหยิบแบบแปลนกระดาษขึ้นมาดู ทุกคนรอฟังอย่างตั้งใจ เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ หนุ่มสวมแว่นวางแปลนลง และถอนหายใจ
“ผมยังนึกไม่ออก..”
“พระเจ้า!!” ทั้งสามอุทานขึ้นพร้อมกัน
“หาทางอื่นไม่ได้เลยหรือไง เธอเป็นคนเขียนมันนะ!” ราฟาแอลพูดต่ออย่างอารมณ์เสีย  รูฟัสทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขณะที่รัสเลอร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ก็เขาบอกให้ผมสร้างห้องแบบที่เทวดาก็ผ่านเข้ามาไม่ได้นี่” ฟ่งเถียง สีหน้าดูหงุดหงิดขึ้นมาเหมือนกัน รูฟัสถอนหายใจ และยกมือลูบหัวฟ่งเป็นเชิงปลอบ
“คุณไม่ได้ทำผิดอะไรหรอกครับ” เขาว่า และพยายามยิ้มให้ฟ่ง หนุ่มสวมแว่นกะพริบตาปริบๆ และคิดว่ารูฟัสคงไม่ได้หมายความอย่างที่พูดจริงๆ หรอก ทางนั้นต้องโกรธเขาอยู่บ้างแน่ๆ ที่สร้างของแบบนี้ออกมา แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเรื่องมันจะมาลงเอยแบบนี้
ราฟาแอลเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด ขณะที่ห้องทั้งห้องเงียบกริบ กระทั่งรัสเลอร์เองยังไม่กล้าเอ่ยปากอะไรออกมา สักพักหนุ่มผมสีบลอนด์จึงถอนหายใจออกมา
“เอาเถอะๆ ไปจัดการตัวเอง กินอาหารเช้าแล้วค่อยมาว่ากันต่อแล้วกัน” ราฟาแอลตัดบท และเดินออกไปจากห้อง ทั้งหมดจึงต้องเดินตามออกไป
------------------------
เสียงโทรศัพท์สายในดังขึ้นขัดจังหวะการพูดคุย เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย และเดินไปรับสาย
“สวัสดี”
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณชาย คือว่าคุณท่านมาเยี่ยมน่ะครับ”
“คุณพ่อน่ะรึ?” เว่ยเฟิงปิงกรอกเสียงลงไปอย่างไม่เชื่อ และนิ่งไปพักใหญ่
“อืม แล้วฉันจะรีบลงไป” เขาว่า และวางสาย ก่อนจะหมุนตัวกลับไป
“คุณพ่อมา  อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วตามฉันลงไป” เว่ยเฟิงปิงสั่ง นัยน์ตาสีฟ้ามองมาอย่างต้องการการพิสูจน์ จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย

เหล่าบรรดาพนักงานและผู้ที่ทำงานอยู่ในตึกLe mirror ที่รู้ข่าวเรื่องการมาของเว่ยชิงต่างพากันออกมาเสนอหน้ายืนต้อนรับ ไม่ว่าใครก็อยากจะชมบารมีของหัวหน้าแก๊งผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ พนักงานบางคนตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยพบตัวจริงของเว่ยชิงมาก่อน ดังนั้นการต้อนรับจึงดูคับคั่งเป็นพิเศษ
ผู้เป็นเจ้านายใหญ่แห่งกลุ่มธุรกิจตระกูลเว่ยก้าวลงจากรถเมอเซเดสเบนส์สีดำคันงาม พร้อมด้วยบอดีการ์ดอีกราวเจ็ดแปดคน เว่ยชิงเป็นชายรูปร่างสันทัด สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบ  ผมตัดสั้นเริ่มมีสีดอกเลาแซมบ้างเล็กน้อย ดวงหน้าเคร่งขรึมที่มีริ้วรอยตามวัย ชายชราก้าวเท้าด้วยร่างกายเหยียดตรงราวคันทวน แข็งแรงกระฉับกระเฉงผิดกับวัยที่เลยหกสิบเศษเข้าไปเลย ชายเสื้อคลุมแพรดำปักลายสีทองแบบจีนพลิ้วสะบัดตามจังหวะก้าวเดิน ยังความน่าเกรงขามให้กับชายชราผู้นี้อีกหลายส่วน
นี่คือชายผู้ครอบงำธุรกิจและวงการมาเฟียในฮ่องกงมาเป็นเวลายาวนานกว่าสี่สิบปี
เว่ยเฟิงปิงลงมาต้อนรับผู้เป็นบิดาด้วยชุดคลุมสีแดงสดปักเลื่อมสีดำ เขาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “อรุณสวัสดิ์ครับคุณพ่อ”
เว่ยชิงพยักหน้า  และโบกมือเป็นเชิงให้ทุกคนไม่ต้องก้มหัวต้อนรับเป็นพิธีการเท่าไรนัก  ก่อนจะมองบุตรชายคนสุดท้องด้วยดวงตาสีดำที่เหมือนกับน้ำครำ
“อยากจะมาเยี่ยมสักหน่อย ได้ยินว่าเพิ่งเจอกับผู้ชายคนนั้นมาหรือ”
เว่ยเฟิงปิงหัวเราะ นัยน์ตาสีฟ้าใสหรี่เล็กลงอย่างเจ้าเล่ห์
“เชิญคุณพ่อเข้ามานั่งคุยด้านในดีกว่าครับ” เขาเอ่ย และเดินนำเข้าไป

“พี่จินหยินไม่มาด้วยหรือครับ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากถามหลังจากน้ำชาถูกยกมาแล้ว สองพ่อลูกนั่งอยู่ในห้องรับแขกภายในตัวตึก Le mirror โดยมีบอดีการ์ดของทั้งสองฝ่ายขนาบซ้ายขวา ดูไม่เหมือนการพบกันของพ่อลูกเลยสักนิด เว่ยชิงสั่นศีรษะ เขาใช้ช้อนเงินที่พกมาด้วยคนชาเพื่อตรวจสอบสารพิษ
“ผมไม่วางยาคุณพ่อต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้หรอกครับ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย เว่ยชิงช้อนตาสีดำราวกับน้ำครำขึ้นมองบุตรชาย แล้วหัวเราะ
“มันชินเสียแล้วน่ะ ไม่ได้แวะมาเยี่ยมนาน คนเพิ่มขึ้นนะ” ชายชราเอ่ยและกวาดสายตาคมกริบไปรอบๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านหลังบุตรชาย
“เป็นไง ซื่อเยี่ยน ทำงานที่นี่สบายดีไหม?”
“สบายดีครับท่าน” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยตอบ เว่ยชิงจิบชาและวางแก้วลง ก่อนจะออกคำสั่ง
“ฉันอยากคุยกับลูกเป็นการส่วนตัว พวกเธอช่วยออกไปก่อน”
บรรดาบอดีการ์ดที่ติดตามมาต่างโค้งให้และเดินหลบออกไปด้านนอกอย่างเงียบกริบ เว่ยเฟิงปิงสั่งให้คนของเขาออกไปเช่นกัน แต่ถูกเว่ยชิงยกมือห้าม
“ซื่อเยี่ยนน่ะไม่ต้อง ให้อยู่ที่นี่ก่อน”
จางซื่อเยี่ยนชะงักฝีเท้า และเดินกลับเข้ามาใหม่ รู้สึกหัวใจเต้นตุบๆ เว่ยชิงไม่เคยรั้งตัวลูกน้องเอาไว้ในสถานการณ์แบบนี้ นอกจากมีเรื่องสำคัญมาก หรือว่าจะรู้เรื่องเขากับเว่ยเฟิงปิงแล้ว ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่เบื้องหลังผู้เป็นเจ้านาย
“จับสายลับนั่นไม่ได้รึ?” เว่ยชิงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยเรื่องราววิกฤตที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน เว่ยเฟิงปิงส่ายหน้า และล้วงเอาแฮนดี้ไดรฟ์อันหนึ่งวางลงบนโต๊ะ
“แต่ผมได้สิ่งนี้มา คิดว่าน่าจะถูกใจคุณพ่ออยู่บ้างครับ”
เว่ยชิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่ยื่นมือลงแตะแฮนดี้ไดรฟ์นั้นแม้แต่น้อย ชายชรามองขึ้นไปทางจางซื่อเยี่ยน
“ซื่อเยี่ยน เก็บไว้ให้ทีสิ” จางซื่อเยี่ยนเดินมาหยิบของตามคำสั่ง สีหน้าของเว่ยเฟิงปิงแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คุณพ่อคิดอะไรอยู่หรือครับ?”
“ลูกเป็นคนฉลาดนะ เฟิงปิง” เว่ยชิงเอ่ยชมผู้เป็นลูกชาย แต่เว่ยเฟิงปิงไม่เชื่อว่านั่นเป็นคำชม คงตั้งใจกระแนะกระแหนกันเสียมากกว่า
“พ่อกำลังคิดว่าจะให้ซื่อเยี่ยนกลับมาช่วยงานเสียหน่อย  บอดีการ์ดของพ่อคนหนึ่งเพิ่งถูกฆ่าตาย”
“ได้ข่าวแล้วล่ะครับ” เว่ยเฟิงปิงว่า และพูดต่อ
“แต่ทำไมต้องเป็นซื่อเยี่ยนด้วยล่ะครับ”
“ไม่คิดว่าลูกจะถามแบบนี้ เห็นเมื่อก่อนอยากจะส่งซื่อเยี่ยนกลับอยู่ตลอดเลยไม่ใช่หรือ?”
เว่ยเฟิงปิงพยายามฝืนยิ้ม “จู่ๆ จะมาย้ายไปก็ต้องถามเหตุผลกันหน่อยสิครับ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็เป็นพนักงานของผม”
“ไม่มีอะไรมากนักหรอก ซื่อเยี่ยนเป็นคนฝีมือดี แล้วก็เคยทำงานกับพวกที่เป็นบอดีการ์ดของพ่อมาก่อน ก็เลยคิดว่าน่าจะเหมาะสมกับหน้าที่นี้ เธอเองก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมล่ะ ซื่อเยี่ยน?”
จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งเล็กน้อย พยายามกลืนน้ำลายลงคอ “แล้วแต่วิจารณญาณของคุณท่านครับ”
เว่ยชิงหัวเราะชอบใจ “ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ ปีนี้เธออายุเท่าไหร่แล้ว? ยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้า?”
“ยี่สิบห้าครับท่าน”
“เบญเพสแล้วสินะ มีติดใจผู้หญิงคนไหน อยากแต่งงานหรืออยากมีครอบครัวบ้างรึเปล่า”
“ไม่ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบออกไปตามความจริง เขารู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมาเต็มแผ่นหลัง เว่ยชิงคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงจะย้ายเขากลับ ซ้ำยังมาถามอะไรแบบนี้อีก ซึ่งไม่ใช่วิสัยปกติของเจ้าตัวเลย
“งั้นก็เหมาะเลย เธอมาทำงานแทนคนของฉัน”
“แล้วคุณพ่อจะให้ใครมาแทนตำแหน่งที่ว่างในสำนักงานผมล่ะครับ?” เว่ยเฟิงปิงตั้งคำถาม ทำหน้าเหมือนเด็กอยากแลกของ เว่ยชิงยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“อยากได้ใครมาแทนเลือกเอาได้เลย พ่อจะย้ายมาให้”
“คนของพี่จินหยินก็ได้หรือครับ” เว่ยเฟิงปิงถามต่อ คราวนี้ผู้เป็นบิดาหัวเราะเสียงดัง
“ลูกหมายถึงใครล่ะ ไมเคิล หรือโจ?”
เว่ยเฟิงปิงสั่นศีรษะ “ผมหมายถึงคนเก่าคนแก่ของพี่จินหยินน่ะครับ”
“เถียนซานรึ?” เว่ยชิงเอ่ย ก่อนจะหัวเราะออกมา “ลูกไม่รู้หรือว่าอาซานเป็นบุคคลสาธารณะ เขาไม่ใช่คนของจินหยินหรอก พ่อคงให้ไม่ได้”
“ไหนคุณพ่อบอกว่าใครก็ได้ไงครับ แบบนี้ก็ถือว่าพูดไม่จริงนี่ครับ” บุตรชายค้านเสียงแข็ง เว่ยชิงโบกมือเป็นเชิงขออภัย
“ยกเว้นคนนี้ไว้สักคนแล้วกัน”
“งั้นก็ยกเว้นซื่อเยี่ยนไว้สักคนสิครับ”
ประโยคนี้เล่นเอาผู้ฟังเงียบไปพักหนึ่ง เขามองดูเว่ยเฟิงปิงอย่างสำรวจตรวจตรา และเงยหน้าขึ้นมองจางซื่อเยี่ยนที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่
“แสดงว่าข่าวที่จินหยินเล่ามาเป็นจริงสินะ” เว่ยชิงเปรย และถอนใจ
“ตอบหน่อยสิซื่อเยี่ยน นายนอนกับลูกชายฉันแล้วจริงๆ รึ?”
นัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงไหววูบ เว่ยจินหยินกล้ารายงานไปแบบนี้จริงๆ รึ เจ้าบ้านั่นคิดจะแยกจางซื่อเยี่ยนออกจากเขาจริงๆ ล่ะสิ
“พี่จินหยินเล่าให้ฟังหรือครับ บางทีอาจจะเป็นการเข้าใจผิดก็ได้”
“พ่อกำลังถามซื่อเยี่ยนอยู่” เว่ยชิงตอบกลับมาเสียงเรียบๆ แต่ก็ทำให้เว่ยเฟิงปิงต้องถอยทัพคำพูดออกไปทันที ผู้ถูกถามยืนเงียบอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
เขาเคยคิดจินตนาการถึงความเป็นไปได้นี้หลายครั้ง หลังจากแตะต้องบุคคลที่แสนล้ำค่าผู้นี้แล้ว สักวันมันคงเกิดขึ้น แต่สิ่งที่จินตนาการเอาไว้กับความเป็นจริงนั้นช่างแตกต่างกันนัก  ความเจ็บปวดและความกล้ำกลืนนั้นเทียบกันไม่ได้เลย
“จริงครับ” ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ซึ่งไม่ใช่น้ำเสียงที่เขาแสดงออกบ่อยนัก จางซื่อเยี่ยนไม่เลือกที่จะโกหก เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าอย่างไรทางนั้นก็ต้องรับรู้สักวันอยู่ดี สู้เอ่ยความจริงออกไปเลยจะดีกว่า
แม้ว่าผลลัพธ์นั้นจะทำให้เจ็บปวดมากเพียงใด มันก็ดีกว่าการต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อปกปิดความลับนั้นเอาไว้
“คิดอะไรถึงทำแบบนี้ลงไปน่ะ หืม?” น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาที่ถามออกมา เหมือนคมมีดที่กรีดแทงลงไปในหัวใจ จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย เขากลัวมาโดยตลอด กลัวว่าทุกอย่างจะถูกเปิดเผย กลัวที่จะถูกถาม กลัวจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่ง จนน้ำเสียงเดิมเอ่ยต่อ “ซื่อเยี่ยน เธอไม่รู้หรือว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ”
“ผมทราบครับท่าน” จางซื่อเยี่ยนตอบ แม้พยายามจะรักษาความรู้สึกเพียงใด น้ำเสียงที่เปล่งออกไปก็ยังสั่นพร่าอยู่ดี
เว่ยชิงทอดตาสีน้ำครำมองดูคนตรงหน้า และทอดถอนใจ
“แล้วทำไมถึงทำล่ะ ตอบฉันสิ”
จางซื่อเยี่ยนได้แต่ก้มหน้านิ่ง เพราะไม่อาจหาคำพูดใดตอบคำถามนี้ได้ จะให้เขาตอบว่าอย่างไร...ตอบว่าเพราะเขารักเว่ยเฟิงปิงอย่างนั้นรึ?
“ผมเสนอตัวให้เขาเอง” เว่ยเฟิงปิงพูดแทรกขึ้น ผู้เป็นพ่อเหลือบตามองลูกชายหน่อยหนึ่ง ก่อนจะโบกมือห้ามอีกครั้ง
“พ่อกำลังพูดกับซื่อเยี่ยนอยู่ ลูกได้ยินไม่ใช่หรือ?”
เว่ยเฟิงปิงกล้ำกลืนคำพูดลงในคออีกครั้ง เขาเหลือบไปมองจางซื่อเยี่ยน ซึ่งยังคงยืนก้มหน้าอยู่

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“ซื่อเยี่ยน ถึงฉันจะยอมรับลูกชายคนนี้กลับเข้ามาในบ้าน และไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะพอใจหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอกนะ โดยเฉพาะเธอที่ทำงานมานานก็ควรจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง หรือเธอวางแผนอย่างอื่นเอาไว้?”
จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะทันที “ผมเปล่าครับ”
เว่ยชิงกวาดตามองอดีตเด็กที่ตนเคยเก็บมาชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่อยู่พักหนึ่ง จึงเอ่ยคำพูดต่อ
“เอาเถอะ เห็นแก่เธอที่ทำงานให้ฉันมาก็เยอะ แล้วอายุก็ยังน้อยอยู่ ฉันจะยกโทษให้สักครั้งแล้วกัน กลับมาทำงานให้ฉันเสีย ซื่อเยี่ยน”
เว่ยชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ วินาทีนั้นเว่ยเฟิงปิงรู้สึกอ้างว้างและหดหู่ขึ้นมาทันที  นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบขึ้นมองผู้เป็นลูกน้องที่ยืนนิ่งเงียบอยู่
ครั้งหนึ่งเขาไม่เคยแม้แต่จะเหลือบมองผู้ชายคนนี้แม้แต่ปลายผม ผู้ชายที่แสนจะเกะกะน่ารำคาญ คนที่ผู้เป็นบิดาซึ่งเขาแสนจะเกลียดชังส่งมา
ผู้ชายที่ไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าตัวหมากซึ่งส่งมาให้เขายืมใช้เท่านั้น
แต่ว่าตอนนี้เขากลับอยากให้ชายคนนี้อยู่เคียงข้างเขา ไม่ใช่เพียงเพราะอยากรู้ข้อมูลภายในของผู้เป็นบิดาจากปากคำของจางซื่อเยี่ยนเท่านั้น ณ เวลานี้ เขาอยากจะรู้จักผู้ชายคนนี้ให้มากยิ่งขึ้น อยากรู้ถึงก้นบึ้งของหัวใจของผู้ชายที่พูดกับเขาว่าสำคัญ
อยากรู้ว่าการได้กลายเป็นคนสำคัญของคนคนหนึ่งจะให้ความรู้สึกอย่างไร
เว่ยเฟิงปิงเหลือบตาขึ้นมองผู้เป็นลูกน้องอีกหน นัยน์ตาสีอีกาคู่นั้นสั่นระริก จางซื่อเยี่ยนกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ กำลังเลือกระหว่างเขากับเว่ยชิงรึเปล่า? จางซื่อเยี่ยนจะใช้อะไรตัดสินเรื่องนี้ ความภัคดี? กตัญญู? บุญคุณ? หรือว่าความรัก?
จางซื่อเยี่ยนเคยบอกรักเขา แต่ก็เคารพบิดาของเขามากด้วย
ในภาวะเช่นนี้ ฝ่ายนั้นจะเลือกใครกัน

ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสามเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดเว่ยเฟิงปิงก็เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
   “ไปเถอะ  ไปอยู่กับคุณพ่อ”
   น้ำเสียงช่างเย็นชาสิ้นดี จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากไล่เขาอีกแล้ว คำพูดที่พูดกับเขาในรถวันนั้น กับความรู้สึกตอนนี้ เว่ยเฟิงปิงคิดอะไรอยู่กันแน่ ในเวลาแบบนี้  หากแสดงว่าต้องการเขาอยู่สักนิด....

   เว่ยเฟิงปิงหลับตา เขาไม่อยากรอฟังคำตัดสินจากปากของคนอื่นอีก ถ้าลังเลนักล่ะก็  เขานี่แหละจะเป็นฝ่ายเลือกเอง
   ไปซะ ซื่อเยี่ยน ถ้านายไม่อยากพูดว่าจะอยู่กับฉัน ก็จงไปเถอะ
   คำพูดราวกับสิ้นเยื่อใยนั้นดังก้องอยู่ในหัว แต่ทำไมหัวใจถึงได้เจ็บปวดนัก หยดน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาสีฟ้าคู่งามนั้น แม้เพียงหยดเดียว ก็แทบคำพูดหลายล้านคำ
   ได้โปรด ต้องการฉันสักนิด….

   จางซื่อเยี่ยนยังคงนิ่งเงียบ แต่นัยน์ตาสีอีกากลับสั่นระริก เขามองเห็นหยดน้ำล้ำค่าบนใบหน้าเรียวยาวราวพญางูใหญ่นั้น หยดน้ำตาเพียงหนึ่งหยดที่หลั่งออกมาเพื่อเขา  สิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเขา
   ชายหนุ่มทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างเงียบๆ  มันเคยเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ของเขาว่าหากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เว่ยเฟิงปิงอาจจะมีน้ำตาให้เขาบ้าง ผู้ที่เขารักดั่งดวงใจ  ผู้ที่เขาอยากจะมอบชีวิตให้  แต่เขามีชีวิตมาได้เพราะบุรุษสูงอายุผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามผู้นี้  ผู้ซึ่งเอื้อมมือเข้ามาโอบอุ้มชีวิตน้อยๆ ของเขาเอาไว้ และทำให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นผู้เป็นคน
   เว่ยชิงนั้นมีพระคุณยิ่งกว่าบิดาและมารดาแท้ๆ ซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้า
   บุรุษผู้ทรงพลังและอำนาจ  ผู้ซึ่งมอบชีวิตให้กับเขา
   หากต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความรู้สึกของการทรยศต่อผู้ให้ชีวิตแล้ว ชีวิตนั้นจะมีค่าอันใดกันเล่า
   แต่หากต้องใช้ชีวิตอยู่โดยทรยศผู้เป็นที่รักแล้วล่ะก็ เขาจะอยู่ไปเพื่ออันใดกัน
   นัยน์ตาสีอีกาเหลือบมองใบหน้าเรียวยาวของเว่ยเฟิงปิงอีกครั้ง บางทีนี่อาจจะเป็นการมองครั้งสุดท้าย เขาหันกลับไปมองเว่ยชิงผู้ซึ่งมีพระคุณล้นเหลือในชีวิตของเขา ที่กำลังมองลงมาด้วยสายตาสีน้ำครำที่ยากจะคาดเดาได้
   “ผมไม่อาจทำตามคำสั่งของท่านได้  กรุณาลงโทษผมเถอะครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าวออกมา ก่อนจะขบกรามจนเป็นสันนูน ได้ยินเสียงเว่ยชิงถอนหายใจและเอ่ยขึ้น
   “ทำไมล่ะ ซื่อเยี่ยน” น้ำเสียงนั้นแม้เด็ดขาดแต่ก็แฝงความอ่อนโยนอย่างที่เขาเคยได้ยิน มือของจางซื่อเยี่ยนกำแน่น หัวใจของเขาปวดแปลบ
   “เฟิงปิงอนุญาตแล้ว ทำไมเธอถึงไม่ยอมกลับมา เธอรู้รึเปล่าว่าตัวเองจะโดนโทษมากแค่ไหน?”
   “ทราบครับ” ผู้ถูกถามยอมรับ และกล่าวสืบต่อ “แต่ผมทิ้งคุณชายไปไม่ได้ กรุณาลงโทษตามสมควรด้วยเถอะครับ”
   นัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงสั่นระริก เจ้าหมอนั่นรู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกไป การขอรับการลงโทษจากเว่ยชิงเป็นเรื่องโง่มาก ขนาดลูกในไส้ คนคนนี้ยังลงมือได้โดยไม่ต้องกะพริบตา นับประสาอะไรกับคนที่ไม่ได้เกี่ยวโยงอะไรกันเลยแบบนี้เล่า
   เว่ยชิงถอนหายใจยาว มองไปยังชายหนุ่มผู้ซึ่งตนชุบเลี้ยงมา นัยน์ตาสีน้ำครำยังคงนิ่งสนิท ยากจะคาดเดาได้เช่นเดิม มองอยู่อย่างนั้นสักครู่หนึ่ง เว่ยชิงจึงผุดลุกขึ้นอย่างเงียบๆ เดินตรงไปยังชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ ก่อนจะค่อยๆ ล้วงเอาของอย่างหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
   นัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงเบิ่งค้าง ไม่อยากจะเชื่อสายตา เขาเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่าบางครั้งผู้เป็นบิดาก็ลงมือสังหารคนทรยศด้วยตัวเอง เว่ยเฟิงปิงเชื่อว่าบิดาของตนอำมหิตพอจะทำเช่นนั้น แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้มาเห็นกับตาตนเอง ซ้ำยัง............
   ด้ามกระบี่สีเงินปรากฏออกมาให้เห็นแก่สายตา ตามด้วยใบกระบี่เรียวยาวสีเงินยวงสะท้อนกับแสงไฟในห้อง ความคมกริบของมันคงไม่ต้องอธิบาย
   ไม่!!
   คำนั้นดังก้องอยู่ในหัวสมองของเว่ยเฟิงปิง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือเขาทำได้เพียงอ้าปากค้าง ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกไปได้เลย นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งมองปลายกระบี่สีเงินตวัดขึ้นอย่างใจเย็นเหนือศีรษะของผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ ก่อนจะตวัดใส่ศีรษะนั้นอย่างชำนาญ หมดจด เรียบร้อย อำมหิต
   !!!
   ซื่อเยี่ยน!!
---------------------------------------------   
   ตลอดชีวิตของชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนนั้น หลายครั้งที่เขาคิดถึงความตาย ไม่ใช่ในแง่มุมที่น่าหวาดกลัว แต่เป็นในแง่ของความสงบ  บางครั้งการตายอาจเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดก็ได้ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เขาต้องเป็นห่วง ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือครอบครัว จากการถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กทำให้ชายหนุ่มเข้าใจดีว่า แม้เขาจะตายไป ก็จะมีคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนเขาทันที เหมือนกับอะไหล่ของเครื่องจักรที่มีสำรองเอาไว้ตลอดเวลา การตายของเขาจึงไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ หรือสลักสำคัญอะไร เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
   ชีวิตที่มีไว้เพื่อถูกใช้ไปเหมือนตัวหมาก ชีวิตที่มีไว้เพื่อแทนที่
   ชีวิตที่ไม่มีใครสำคัญไปมากกว่าใคร
   หากวันนี้เขาต้องจากโลกไป พรุ่งนี้คนอื่นก็จะมาทำงานแทนที่เขา ด้วยศักยภาพที่เท่าเทียมกัน หรือยอดเยี่ยมกว่า
   เว่ยเฟิงปิงจะได้ตัวเลือกใหม่ ได้หมากตัวใหม่ ไม่นานก็จะลืมเลือนเขาไป
   มีเพียงเรื่องเดียวที่น่าเสียดาย
   เสียดายที่ตัวเขาเองมีโอกาสได้รับใช้คนคนนี้น้อยเหลือเกิน

   !!!!!
   นัยน์ตาสีอีกาเบิ่งโพล่ง มองเห็นเส้นผมของตัวเองกระจายลงบนพื้น เว่ยชิงที่สอดกระบี่กลับเข้าฝักและเก็บมันอย่างเงียบๆ นัยน์ตาคมวาวสีดำราวกับน้ำครำสะท้อนประกายในแสงไฟ
   “ซื่อเยี่ยน ฉันถือว่าเธอคนเดิมที่ฉันเคยเลี้ยงดูได้ตายจากไปแล้ว ต่อแต่นี้เธอไม่ใช่คนของฉันอีกต่อไป”
   จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายใหญ่ของตนด้วยนัยน์ตาสั่น ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความรู้สึกที่ยากจะกล่าว
   “ขอบพระคุณมากครับคุณท่าน”
   เว่ยชิงมองอดีตลูกน้องของเขา และยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก
   “ดูแลลูกชายฉันด้วย”
   เว่ยเฟิงปิงขยับปากอย่างไม่มีเสียงเพราะความตกตะลึงอยู่นาน ในที่สุดก็พูดออกมาได้
   “ผมไม่ได้อยากให้คุณพ่อทำแบบนี้”
   “ลูกอยากให้พ่อฆ่าเขาหรือ?”
   นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ลงทันที ก่อนจะเบือนหน้าออกไปทางอื่น
   “เปล่า” ผู้เป็นบุตรชายตอบ รู้สึกหงุดหงิดใจที่ผู้เป็นบิดาแสดงออกมาว่าการไว้ชีวิตของจางซื่อเยี่ยนนั้นเป็นการหวังดีกับเขา แต่ก็ต้องกล้ำกลืนคำพูดแดกดันเอาไว้ เขาไม่อยากสูญเสียผู้ชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนไปเพียงเพราะความเอาแต่ใจของตัวเอง
   เว่ยชิงมองดูบุตรชายของตนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะระบายรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ได้อีกหน และกลับไปนั่งบนโซฟาเช่นเดิม
   “จริงๆ ที่พ่อมาวันนี้เพื่อจะนัดลูกไปทานอาหารที่สำนักงานใหญ่สักมื้อหนึ่ง ครอบครัวเราไม่ได้พบหน้าพร้อมกันนานแล้ว”
   ใบหน้าเรียวได้รูปเชิดขึ้นมองผู้เป็นบิดาด้วยความแปลกใจ นัยน์ตาสีฟ้าไหววูบอยู่หลายหน
นัดทานอาหาร?!
ปกติเว่ยชิงไม่เคยอยากพบหน้าลูกคนไหนด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเรื่องธุรกิจภายในตระกูล การนัดทานอาหารครั้งนี้คงมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ และคงเป็นเรื่องใหญ่มากด้วย
   “เมื่อไหร่หรือครับ”
   เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะกดข่มไว้เต็มที่  เขาไม่อยากแสดงความตื่นเต้นให้ผู้เป็นบิดาเห็นมากนัก
   “เสาร์ที่จะถึงนี้ ห้าโมงเย็น พ่อคิดว่าลูกน่าจะไปได้”
   “ครับ” ผู้เป็นบุตรเอ่ยเสียงหนักแน่น ชายชรายิ้มและปรบมือเป็นจังหวะสองครั้ง  เหล่าบอดีการ์ดต่างค่อยทยอยเดินกลับเข้ามาในห้อง
   “ซื่อเยี่ยน ส่งของที่ฉันฝากไว้ให้หวังหมิง”
   จางซื่อเยี่ยนทำตามคำสั่งของอดีตเจ้านายอย่างว่าง่าย เขาส่งแฮนดี้ไดรฟ์ให้กับบอดีการ์ดของเว่ยชิงที่เดินเข้ามาซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำงานร่วมกัน ทันทีที่สบสายตา จางซื่อเยี่ยนรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงรู้แล้วว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่เอ่ยปากถามเท่านั้น และก็คงไม่มีใครกล้าถาม  เพราะทุกคนทราบดีว่าการกระทำเยี่ยงนี้เป็นสิทธิ์ขาดของผู้นำสูงสุดของพวกเขา  การเอ่ยถามหรือซักไซ้ข้อมูลถือเป็นการไม่ให้เกียรติท่านอย่างที่สุด
   “พ่อจะกลับล่ะ” เว่ยชิงเอ่ยขึ้น และเดินนำออกไป โดยมีเว่ยเฟิงปิงเดินตามไปส่ง
---------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงเมื่อเดินกลับมายังห้องรับรองเมื่อครู่ เขามองกองเส้นผมสีดำยาวที่กระจายอยู่ตามพื้น ซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยอยู่บนศีรษะของผู้ที่กำลังเดินตามหลังมา
   “ฉันจะอธิบายเรื่องผมนายว่ายังไงดี?” ร่างบางเอ่ยถามความเห็นจากเจ้าของเส้นผม  จางซื่อเยี่ยนมองหน้าเขาและตอบออกมา
   “เดี๋ยวผมเก็บกวาดเองก็ได้ครับ”
   “ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น” ผู้เป็นเจ้านายพูดด้วยความเหนื่อยใจ และหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า
   “ฉันจะอธิบายเหตุผลกับคนอื่นยังไง ในเมื่อจู่ๆ ผมนายแหว่งไปแบบนี้”
   จางซื่อเยี่ยนยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก “ไม่ต้องอธิบายอะไรหรอกครับ ทุกคนน่าจะเข้าใจได้เอง”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก เขากวาดตาดูจางซื่อเยี่ยนขึ้นๆ ลงๆ
   “นายไปตัดผมใหม่ให้เสร็จแล้วค่อยมาพูดกันดีกว่า”
   ผู้เป็นลูกน้องกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้เป็นเจ้านายของเขาติดใจเรื่องทรงผมมากขนาดนี้
   “ถ้าคุณว่าแบบนั้น ก็ตกลงครับ”
---------------------------------------
   ฝีมือทำอาหารเช้าของคลาวเดียไม่ถือว่าแย่ จัดอยู่ในเกณฑ์อร่อยชนิดที่สมควรเปิดร้านอาหารด้วยซ้ำ แต่ผู้ร่วมโต๊ะกลับมีสภาพราวกับพยายามจะกล้ำกลืนอาหารมื้อนี้ลงไปอย่างไม่ค่อยจะเกรงใจคนทำนัก โดยเฉพาะฟ่งซึ่งดูจะทานได้เชื่องช้าจนหน้าตกใจ แน่นอนว่าสมองยังคงวนเวียนคิดเกี่ยวกับเรื่องแบบแปลนที่ตนเองเขียนขึ้น พร้อมด้วยคำถามว่าจะเข้าไปอย่างไร
   รูฟัสที่โดยปกติจะเจริญอาหาร ก็ทานเพียงแค่ชามเดียว เขามองดูฟ่งอย่างเป็นห่วง  ตั้งแต่เช้าเขายังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับคนรักเป็นการส่วนตัวเลย
   รัสเลอร์นั่งแทะช้อนอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องแปลน หรือคิดเครื่องมือทำอาหารบ้าๆ บอๆ อยู่กันแน่ อย่างไรก็ตามดูเหมือนราฟาแอลจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด  เขาเพิ่งทานชามที่สองไปและกวาดตามองคนทั้งสามอย่างหงุดหงิด
   “พวกแกเป็นอะไรกัน ทำหน้าอย่างกับเป็นวันโลกแตก”
   ทุกคนหันมามองราฟาแอลด้วยสายตามึนๆ งงๆ ราวกับนัดกันไว้ คิ้วสีบลอนด์ขมวดยุ่ง  เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าเขาเริ่มไม่ค่อยจะพอใจคนรอบข้างขึ้นมาแล้ว
   “คลาวเดียอุตส่าห์ทำอาหารให้พวกแกกินโดยไม่ต้องเสียเงินแท้ๆแท้ๆ ทำไมทำหน้าเซ็งแบบนั้น ฉันว่าอาหารของคลาวเดียอร่อยจะตาย”
   “เอาน่า ราฟี่  พวกนั้นอาจจะมีเรื่องให้ต้องคิดก็ได้” คลาวเดียพูดแก้ตัวให้สามคนที่เหลือ  แฟนหนุ่มหันมามองหน้าหล่อนอย่างขอความเห็นใจ
   “นี่ผมกำลังโมโหเพื่อคุณนะเนี่ย”
   หญิงสาวหัวเราะ “ดีใจจังที่คุณโมโหเพื่อฉัน แต่ว่าพวกหนุ่มๆ คงมีเหตุผลที่ต้องแสดงกิริยาแบบนี้”
   “พวกแกมีเรื่องอะไรกัน?” ราฟาแอลถามอีกครั้ง และนึกแปลกใจ เพราะตอนลงมาก็เห็นยังดีๆ กันอยู่
   “ฉันกำลังคิดถึงไม้นวดแป้ง มันคงจะดีมากถ้ามันสามารถนวดแป้งได้โดยที่เจ้าไม่ต้องจับหรือเฝ้าดู” รัสเลอร์เอ่ยขึ้น ราฟาแอลรีบพูดสวนทันที
   “พอเลยกับไอ้เครื่องมือบ้าๆ นั่น ฉันคิดว่านายจะคิดอะไรที่มันได้เรื่องได้ราวกว่านี้เสียอีก”
   รัสเลอร์แบะปากอย่างไม่พอใจ และก้มลงทานอาหารต่อ หนุ่มผมบลอนด์หันหน้าไปทางเพื่อนร่วมงานที่อยู่กันมานาน
   “แล้วแก รูฟัส มีเรื่องอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
   “ผมก็ว่าผมทำหน้าปกตินะ” รูฟัสตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ราฟาแอลเลิกคิ้ว และคิดว่าป่วยการจะเค้นถามอะไรจากเจ้าบ้ากวนประสาทนี่
   “เธอล่ะ ฟ่ง?”
   ฟ่งสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อถูกเรียก เขาหันหน้ากลับมาและพบว่าทุกคนกำลังจ้องเขาอยู่  หนุ่มสวมแว่นยกมือขึ้นเกาดั้งจมูกที่ถูกแว่นกดทับ
   “มีอะไรหรือ?” เขาพูดเหมือนกับไม่ได้ยินคำถาม ผู้ถามจึงถามออกไปอีกครั้งอย่างอดทน
   “เธอเป็นอะไร?”
   “เปล่านี่” ชายหนุ่มตอบอย่างงงๆ  ราฟาแอลถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
   “ถ้าเปล่าแล้วทำไมทำหน้าเซ็งโลกแบบนั้น? อาหารฝีมือคลาวเดียแย่มากหรือไง?”
   รูฟัสภาวนาไม่ให้ฟ่งพูดออกไปว่าใช่ เพราะคงจะโดนราฟาแอลเอ็ดตะโรอีกพักใหญ่แน่ๆ  เผลอๆ ทางนั้นจะเอาปืนขึ้นมาเล่นอีก ฟ่งทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ และยิ้มแห้งๆ
   “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ อาหารอร่อยมาก เพียงแต่ผมมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย”
   “เรื่องอะไรล่ะ?” ราฟาแอลยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะรู้เรื่องในหัวสมองของคนอื่น  ฟ่งมีสีหน้าลังเล แต่ในที่สุดก็ยอมพูดออกมา
   “ผมยังคิดเรื่องทางเข้าไม่ออก..”
   “อ้อ เรื่องนั้น” ราฟาแอลร้องออกมาราวกับมันเป็นแค่เรื่องเล็ก
   “เธอไม่ต้องไปคิดให้วุ่นวาย ฉันได้ความคิดใหม่แล้ว เธอแค่ต้องคำนวณหาโอกาสที่มันจะถล่มลงมาก็พอ”
   “เอ๋?” ฟ่งร้องอย่างแปลกใจ  หนุ่มผมสีบลอนด์พูดต่อ
   “ไม่ต้องงง ทานข้าวให้สบายใจซะ เดี๋ยวฉันจะอธิบายแผนตอนหลัง”
   แม้จะรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง แต่ในที่สุดหนุ่มสวมแว่นก็ยอมที่จะทานอาหารที่เหลือโดยไม่เหม่อลอยอีก
-----------------------------------------

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เป็น พ่อ ที่โหดได้ใจดีจริงๆๆๆ  o22  ดีนะที่ตัดแค่ผมนะ ไม่งั้นไม่อยากจะคิดเลยอะ  :a5:  :a5:

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
อืมมม มันเหมือนภาวะอึมครึมก่อนจะเกิดเรื่องใหญ่เลย ช่างกดดันซะนี่กระไร :z10:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
นึกว่าอาซื่อจะต้องไปพบกับเจ้าแม่กวนอิมซะแล้ววววว 

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
ท่าทางจะวุ่นวายทั่วโลกมาเฟีย ภายในฮ่องกงก็กำลังจะปะทะกัน เลือดฟุ่งแน่
แล้วไหนจะยาเสพติดตัวใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตาทั่วโลก ให้เดาความคิดของ
ราฟาเอลคงจะให้คำนวณว่า ถ้าถล่มมีเวลาเหลือเท่าไร ให้ปฏิบัติการได้แน่เลย
เสี่ยงแน่ๆ แถมมีโอกาสแค่ครั้งเดียวด้วย

ออฟไลน์ akiko

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
เออ อยากจะบอกว่า
เรื่องนี้สนุกซับซ้อนมากอะ ชอบ แปลกดี
อ่านแล้วลุ้นน่าติดตามทุกคู่

อ่านแล้วอยากอุดหนุนหนังสือนะเนี้ย
จองซักชุดละำกัน
อุดหนุนเพื่อนหน่อย 5555
 o13 o13 o13

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่39  คำง่ายๆ ที่ยากจะเอ่ย
   “เฮ้ ราฟี่  ไอ้ความคิดใหม่ของนายเกี่ยวกับเรื่องทางเข้าออกนั่นน่ะ ยังไงหรือ?” รัสเลอร์ที่เพิ่งเดินตามเข้ามาเอ่ยถามราฟาแอลซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ผู้ถูกถามเลิกคิ้วสีบลอนด์ขึ้นอย่างแปลกใจ
   “ฉันคิดว่าคนแรกที่จะถามเรื่องนี้จะเป็นเจ้ารูฟัสเสียอีก”
   รัสเลอร์ยักไหล่ ทำปากแบะ “ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ฉันเพิ่งถูกมันไล่ออกมาเนี่ย”
   “ไปก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ” หนุ่มผมบลอนด์พูด อีกฝ่ายเกาศีรษะอย่างนึกไม่ออก
   “ไม่รู้ คงหึงเด็กมั้ง”
   “อ้อ” ราฟาแอลร้องครางเสียงยาว พยักหน้าอย่างเข้าใจ
   “เมื่อคืนแกนอนที่ห้องรูฟัสนี่นะ”
   เขาว่า และไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้รัสเลอร์เกาศีรษะอีกครั้งอย่างงุนงง

   รูฟัสยืนรอฟ่งช่วยคลาวเดียจัดการครัวอย่างอดทน ไม่ใช่ว่าแล้งน้ำใจไม่เข้าไปช่วย แต่เขาเพิ่งโดนคลาวเดียไล่ออกมาพร้อมกับรัสเลอร์  ผู้ซึ่งพยายามที่จะทำลายล้างมากกว่าล้างจาน  และเขาก็เพิ่งไล่เจ้านั่นออกไปเมื่อครู่นี้เอง
   “เสร็จแล้วใช่ไหมครับ?” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ยถามทันทีที่เห็นผู้ที่ตนรออยู่เดินออกมาจากครัว ฟ่งพยักหน้าและมองหน้ารูฟัสอย่างงงๆ
   “มีอะไรเหรอ?”
   “ไปกับผมแป๊บหนึ่งสิครับ” รูฟัสว่า และฉวยมือจูงฟ่งออกไปทันที
   “เรื่องแผนที่?” ฟ่งถามอีกครั้งเมื่อทั้งคู่เดินผ่านห้องรับแขก ซึ่งมีรัสเลอร์กับราฟาแอลนั่งอยู่ รูฟัสไม่ตอบ แต่เดินผ่านห้องนั้นไปเงียบๆ ฟ่งเห็นสองคนที่นั่งอยู่มองมาทางเขา
   “จะพาผมไปไหน?”
   รูฟัสยังคงเงียบ เขาจูงฟ่งมาถึงมุมหนึ่งของบ้าน ซึ่งมีประตูเปิดเข้าไปสู่สวน เป็นส่วนที่ฟ่งไม่เคยเข้ามาก่อน
   “ขอโทษนะครับ ผมแค่อยากจะมีเวลาส่วนตัวกับคุณสักหน่อย” ชายหนุ่มตาสองสีพูดออกมาในที่สุด อีกฝ่ายมองเขาอย่างแปลกใจ
   “มีเรื่องอะไรหรือครับ?” ฟ่งถาม พลางคิดว่ารูฟัสอาจจะต้องการพูดเรื่องสำคัญมากอยู่ก็ได้ ผู้ถูกถามจ้องหน้าเขาเหมือนกำลังค้นหาคำพูดจากใบหน้า และถอนหายใจยาว
   “ไม่มีอะไรหรอกครับ”
   ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง
   “คุณไม่มีอะไรจะพูดกับผมบ้างหรือครับ” ชายหนุ่มถาม ฟ่งรู้สึกถึงแรงบีบเล็กน้อยจากมือของรูฟัสที่กุมมือเขาอยู่ หนุ่มสวมแว่นสั่นศีรษะ เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะพูดอะไรกับผู้ชายคนนี้  ถ้าจะพูด ก็คงเรื่องแผนที่ล่ะมั้ง
   “ผมยังคิดทางเข้าให้คุณไม่ออก”
   รูฟัสถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะดึงมือของฟ่งขึ้นมาจูบอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  ฟ่งขยับตัวด้วยความตกใจ
   “ผมรักคุณมากนะครับ” รูฟัสว่า พลางช้อนนัยน์ตาสองสีขึ้นมองฟ่งอีกครั้ง  ร่างบางมีท่าทีอึกอัก ด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองการกระทำนี้อย่างไรดี
   “กลับไปข้างในก่อนดีไหม ผมว่าคุณราฟาแอลกับคุณรัสเลอร์อาจจะรออยู่” ฟ่งพยายามจะเปลี่ยนประเด็น เขาทำตัวไม่ถูกจริงๆ เวลาที่รูฟัสมีพฤติกรรมแบบนี้  นัยน์ตาสองสีนั้นมองมาทางเขาอีกครั้ง หากไม่คิดไปเอง เหมือนมันจะฉายแววผิดหวังหน่อยๆ
   “ครับ” ร่างแกร่งพูดออกมาในที่สุด และจูงมือเขาเดินออกไป
-------------------------------------------------
   “ตกลงกันเสร็จหรือยัง?” ราฟาแอลเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นรูฟัสโผล่หน้ากลับเข้ามาในห้องรับแขก  ผู้ถูกถามตอบด้วยสีหน้าที่มึนตึงอย่างเห็นได้ชัด
   “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
   ราฟาแอลขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย และตัดสินใจว่าไม่ควรจะซักถามต่อ
   “นั่งลงสิ ฉันจะคุยเรื่องแผนที่”
   รูฟัสนั่งปุลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ทำให้ฟ่งต้องนั่งลงไปด้วย รัสเลอร์มองทั้งสองคนอย่างแปลกใจ
   “พวกนายไปไหนกันมา?”
   ราฟาแอลกระทุ้งศอกใส่หนุ่มปากมากทีหนึ่ง และเริ่มต้นบทสนทนาใหม่
   “ที่ฉันบอกว่าไม่ต้องคิดมากเรื่องทางเข้าน่ะ เพราะว่ายังไงเราก็จะเข้าไปทางนั้นแหละ”
   ฟ่งและรัสเลอร์มีสีหน้าที่แสดงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัดทันที ราฟาแอลจึงอธิบายต่อ
   “เธอบอกว่า ห้องนั้นมีโอกาสถล่ม ก็หมายความว่ามีโอกาสที่มันจะไม่ถล่มเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
   “ก็อย่างนั้นแหละครับ แต่มันอันตราย” ฟ่งแย้งอย่างรู้สึกเป็นห่วง ราฟาแอลยักไหล่
   “เพราะมันอันตรายนั่นแหละเราถึงได้ถูกจ้างยังไงล่ะ  ใช่ไหม?” ราฟาแอลตอบ  และหันไปทางรูฟัสซึ่งมีทีท่าเหม่อลอยเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟังในสิ่งที่ทุกคนกำลังพูด
   “อืม” หนุ่มตาสองสีส่งเสียงตอบอย่างเสียไม่ได้ เขาไม่ได้ตั้งใจฟังเรื่องที่กำลังพูดกันมากนัก รูฟัสกำลังรู้สึกหงุดหงิดและสับสน ตอนที่ฟ่งกลับมาหาเขาด้วยเหตุผลที่ว่าเลือกเขาแทนที่จะกลับบ้านนั้น รูฟัสคิดว่าฟ่งจะยอมรับตัวเองและเข้าใจจิตใจของเขามากขึ้น แต่หลังจากเวลาผ่านไป ชายหนุ่มพบว่าอีกฝ่ายยังคงเย็นชากับเขาอยู่ ถึงเป็นพฤติกรรมโดยปกติก็เถอะ มันทำให้เขาอดน้อยใจไม่ได้  ทำไมฟ่งถึงทำเหมือนกับว่าทุกคนสำคัญไปหมดยกเว้นเขา ทั้งๆ ที่บางเวลาก็แสดงออกมาว่าอยากจะมีเวลาส่วนตัวกับเขา แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็บ่ายๆ เบี่ยงๆ  อ้างโน่นอ้างนี่  เขาพยายามจะทำความเข้าใจว่าฟ่งคงเขินอายที่จะต้องแสดงความรู้สึกออกมาต่อหน้าผู้อื่น แต่ถ้าความเขินอายกลายเป็นความเย็นชาขนาดนี้ก็คงทำใจลำบากเหมือนกัน รูฟัสชักสงสัยว่าฟ่งรักเขาแบบไหนกันแน่
   “นี่แกฟังบ้างรึเปล่า?” ราฟาแอลส่งเสียงขึ้นอย่างเริ่มมีโมโห เมื่อสังเกตว่าเพื่อนร่วมงานดูจะอยู่ในโลกส่วนตัวมากกว่า รูฟัสยักไหล่
   “เอาไงล่ะ งานเสี่ยงนี่ของถนัดผมอยู่แล้ว คุณว่าไงผมก็ว่างั้น”
   “เล่นกันง่ายๆ เลยนะ” รัสเลอร์ว่าและหัวเราะ  ราฟาแอลย่นคิ้ว
   “สรุปว่าแกจะไม่เสนอความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติม?”
   “ก็ตามคุณว่านั่นแหละ”
   “แกรู้เหรอว่าฉันว่าอะไร?” หนุ่มผมบลอนด์ยังไม่ยอมแพ้ จ้องจะจับผิดเพื่อนร่วมงานให้จงได้
   “คุณจะใช้โอกาสเสี่ยงตอนที่ทดสอบระบบลอบเข้าไปใช่ไหมล่ะ ถ้ามันไม่ถล่มก็ดี แต่ถ้ามันเกิดถล่มขึ้นมาก็ยังดีอยู่ เพราะด้านล่างต้องวุ่นวายมากแน่ๆ ถึงตอนนั้นเราถือโอกาสแอบปลอมเป็นพนักงานคนใดคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาเลยยังได้ ผมพูดถูกไหม?”
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างยอมรับ แม้เขาจะมั่นใจว่ารูฟัสไม่ได้ตั้งใจฟังแน่ๆ แต่ก็ต้องนับถือหัวสมองของเจ้าหมอนี่ที่ปะติดปะต่อเรื่องราวเข้ากันได้อย่างชำนิชำนาญ
   “ที่เราก็ต้องการก็คือ หากห้องมันเกิดถล่ม มันจะเสียหายในระดับไหน เพื่อที่เราจะได้หาทางป้องกันตัวเอง แค่นั้นแหละ” รูฟัสกล่าวเสริม ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าได้รูปนั้นแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่น้ำเสียงของรูฟัสดูเย็นชาๆ พิกล และไม่ยอมมองมาทางเขาg]p
   “ตกลงเอาตามที่ว่านั่นแหละ” ราฟาแอลสรุป  ฟ่งพยักหน้า
   “ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ได้ครับ”
----------------------------------------------
   “ฉันว่า นายตัดผมสั้นก็ดีนะ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย ขณะยกแขนขึ้นโอบคอของจางซื่อเยี่ยนซึ่งนอนอยู่ข้างๆ บนเตียงในห้องส่วนตัวของเขา หนุ่มวัยยี่สิบเศษผู้มีนัยน์ตาสีอีกาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
   “ก็ปกติผมนายชอบทิ่มหน้าฉัน” ผู้เป็นเจ้านายอธิบายความต่อ และดึงใบหน้าของอีกฝ่ายเข้ามาจูบ
   “คราวนี้ก็ทำแบบนี้ได้โดยไม่รำคาญล่ะ” ร่างบางว่าและหัวเราะคิกคัก เมื่อเห็นสีหน้าอ้ำอึ้งของฝ่ายตรงข้าม
   “ถ้าคุณรำคาญก็น่าจะบอกผมนะครับ” จางซื่อเยี่ยนว่า เขาไม่คิดมาก่อนว่าเว่ยเฟิงปิงจะนึกรำคาญผมของเขา เอาเข้าจริงๆ คือเขาคิดว่าเว่ยเฟิงปิงรำคาญเขาไปเสียทุกอย่างนั่นแหละ
   “ถ้าขืนบอก คุณพ่อคงได้ตัดอย่างอื่นของนายแทนผมน่ะสิ”
   จางซื่อเยี่ยนหลับตาอย่างสยดสยอง และไม่พยายามนึกต่อไปว่าเว่ยชิงจะตัดอะไรแทนผม  เว่ยเฟิงปิงหัวเราะชอบใจ
   “ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยเหรอ?” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยต่อ จางซื่อเยี่ยนกะพริบตาปริบๆ
   “อยากให้ทำอะไรล่ะครับ” เขาถามและโดนเว่ยเฟิงปิงต่อยหน้าอกเบาๆ ทีหนึ่ง จางซื่อเยี่ยนจึงรวบร่างนั้นเข้ามากอด ก่อนจะซุกไซ้ลงไปบนซอกคอขาวๆ นั้นอย่างนิ่มนวล เว่ยเฟิงปิงขยับตัวหนีหน่อยหนึ่งและใช้มือดึงใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนขึ้นมา
   “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายเป็นของฉันแล้ว” ร่างบางว่า และพิศมองใบหน้านั้นอยู่พักใหญ่
“ฉันอยากจับนายใส่ปลอกคอ”
   ผู้เป็นลูกน้องกะพริบตาปริบๆ มองดูผู้เป็นเจ้านายด้วยแววตาไม่ค่อยเข้าใจนัก
   “คงไม่ดีมั้งครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว พลางคิดว่าเว่ยเฟิงปิงขยับฐานะเขาจากบางสิ่งบางอย่างที่อยู่นอกสายตามาเป็นสัตว์เลี้ยงหรือไงกันกันนะ ผู้เป็นเจ้านายหัวเราะอย่างมีความสุข
   “ล้อเล่นน่ะ แต่ถ้านายยอมฉันจะซื้อมาใส่ให้เลย”
   จางซื่อเยี่ยนตัดสินใจว่าเขาควรจะเปลี่ยนเรื่อง
“วันเสาร์นี้จะไปทานข้าวกับคุณท่านรึเปล่าครับ”
   “ไปสิ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว มองหน้าผู้เป็นลูกน้องอย่างแปลกใจ
   “นายยังไม่เคลียร์หมายกำหนดการให้ฉันเหรอ?”
   “ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะไปหรือเปล่า”
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาว “ฉันต้องไป คุณพ่อลงทุนถ่อมาหาฉันถึงนี่ คงไม่ใช่แค่ไปทานอาหารธรรมดาแน่ๆ  นายก็รู้ว่านัดทานอาหารของคุณพ่อทุกครั้งมีแต่เรื่องสำคัญทั้งนั้น ถ้าฉันพลาด จินหยินก็คงคาบไปกิน”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า เขารู้ดีว่าการนัดทานอาหารของเว่ยชิงนั้นคือการนัดเพื่อคุยเรื่องสำคัญในตระกูล บรรดาลูกๆ ทั้งหมดที่คุมกิจการในด้านต่างๆ จะมารวมตัวกัน ถือเป็นการพบปะที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยนัก และน้อยหนที่เจ้าตัวจะลงทุนมาเชิญด้วยตนเองแบบนี้ แสดงว่าเรื่องในคราวนี้คงต้องสำคัญมาก และเพราะอย่างนี้นี่แหละถึงทำให้เขาอดห่วงผู้เป็นเจ้านายไม่ได้
   “ทำไมล่ะ ไม่อยากให้ฉันไปเหรอ?”
   “เปล่าครับ ผมจะเลื่อนนัดคุณเฉินกับคุณฟาเรลออกไปก่อนแล้วกัน”
   “อืม ตามนั้นแหละ แต่ไม่ต้องบอกหรอกนะว่าฉันติดธุระทานอาหารกับคุณพ่อ ฉันคิดว่าคุณพ่อคงไม่อยากให้เอิกเริก”
   “ครับ”
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะช้อนนัยน์ตาสีฟ้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่าย
   “จูบราตรีสวัสดิ์ฉันหน่อยสิ”
-----------------------------------------
   “ทำไมคุณพ่อถึงต้องไปหาเฟิงปิงด้วยตัวเอง?” จู่ๆ เว่ยจินหยินก็เอ่ยประโยคคำถามขึ้นมาลอยๆ อย่างที่ชอบทำทุกครั้งเวลามีเรื่องไม่สบายใจหรือกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่  เถียนซานคลี่ยิ้มบางๆ บนใบหน้าอย่างเข้าใจ มองดูชายหนุ่มวัยสามสิบเศษ ผู้ซึ่งอยู่ในชุดนอนแพรสีเขียวสดใส เขากำลังนั่งอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของอดีตเจ้านาย
   “คุณท่านคงมีเรื่องสำคัญ”
   “อืม” อีกฝ่ายส่งเสียงอย่างเห็นด้วย และยกแว่นที่เพิ่งเช็ดเสร็จขึ้นมาสวม
   “แต่ฉันคิดว่าคุณพ่อไปเพราะเรื่องของซื่อเยี่ยนด้วย ได้ข่าวมาว่าคุณพ่อตัดผมของเจ้านั่นไป”
   “ซื่อเยี่ยนน่ะหรือครับ”
   “อืม” คนถามพยักหน้า “เห็นว่าคุณพ่อไล่ทุกคนออกไปหมด เลยไม่รู้ว่าเพราะอะไร นายคิดว่าเพราะเรื่องที่ฉันเล่ารึเปล่า?”
   “เรื่องที่คุณชายเจ็ดคิดจะรั้งซื่อเยี่ยนไว้ด้วยร่างกายน่ะหรือครับ?”
   “อืม”
   “อาจจะใช่ หรือไม่ใช่ก็ได้ครับ แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยเรื่องที่คุณเล่าคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณท่านตัดสินใจไปที่นั่น”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า และพูดต่อ “คุณพ่อคงเชื่อฉันอยู่สักนิดนั่นแหละ แล้วที่ตัดผมของซื่อเยี่ยนทิ้ง ก็คงเพราะทางนั้นยอมรับ แต่...ทำไมคุณพ่อถึงได้ตัดแค่ผมล่ะ?”
   “อยากให้ตัดอย่างอื่นหรือครับ” เถียนซานกล่าว เว่ยจินหยินมองคนตรงหน้าอีกครั้ง และหัวเราะ
   “เอ้อ... นั่นสินะ ฉันก็แค่สงสัย คิดว่าคุณพ่อน่าจะโกรธหรือลงโทษอะไรมากกว่านี้เท่านั้นเอง”
   “บางทีคุณท่านอาจจะไม่ได้โกรธอย่างที่คุณคาดหวังก็ได้นะครับ” เถียนซานว่า เว่ยจินหยินพยักหน้า
   “นั่นสิ ท่าทางหมากตานี้ฉันคงประเมินพลาดไป เอาเถอะ บางทีนี่อาจจะเป็นตาหมากซ้อนหมากที่คุณพ่อวางไว้ดักเด็กนั่นก็ได้”
   เถียนซานเพียงแต่พยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เว่ยจินหยินนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จึงพูดขึ้นอีก
   “คุณพ่อเชิญเด็กนั่นมาทานอาหารด้วย นายคงรู้แล้วสินะ”
   “ครับ”
   “นายว่าคุณพ่อจะมอบงานสำคัญอะไรให้เด็กนั่นรึเปล่า รู้ๆ กันอยู่ว่าปกติคุณพ่อไม่ค่อยชอบขี้หน้าเด็กนั่น จะเรียกตัวมาหาก็ยากเต็มที คราวนี้นึกอะไรถึงได้เรียกมาทานอาหารกันนะ”
   เว่ยจินหยินตั้งข้อสังเกต เถียนซานนิ่งนึกไปพักหนึ่ง
   “ไม่รู้เหมือนกันสิครับ แต่ผมคิดว่าคุณท่านคงไม่ทำเหมือนคราวที่ผ่านมา”
   บนใบหน้าของเว่ยจินหยินปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
   “คุณพ่อคงรู้ว่าควรจะทำอะไรเวลานี้ ถึงเฟิงปิงจะไม่ใช่ตัวหมากดีเลิศอะไร แต่ก็ไม่ใช่หมากชั้นเลว คุณพ่อคงไม่เดินทิ้งขว้างหรอก”
   เถียนซานพยักหน้าอีกครั้ง เว่ยจินหยินนิ่งไปอีกพักหนึ่ง จึงกล่าวขึ้นต่อ
   “นี่อาซาน นายน่ะถึงห่างกับอาซิงหลายปีแต่ก็ยังสนิทกันใช่ไหมล่ะ แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกแบบนั้นกับพี่น้องของฉันบ้างเลยนะ”
   “คงเพราะไม่ได้โตด้วยกันน่ะครับ” เถียนซานตอบ เว่ยจินหยินพยัพหน้าหน่อยหนึ่ง นัยน์ตาดำวาวราวสุนัขจิ้งจอกมองผ่านเลนส์แว่นออกไปในที่ที่ไม่มีใครรู้ สักพักจึงกล่าวสืบต่อ
   “พรุ่งนี้มีธุระไปไหนตอนเช้าหรือเปล่า?”
   เถียนซานสั่นศีรษะ
   “งั้นอยู่ทานอาหารด้วยกันก่อนสิ”
   “ได้ครับ” เถียนซานกล่าว และผุดลุกขึ้น เขาทราบดีว่าผู้เป็นเจ้านายจบเรื่องสนทนาแล้ว และก็คงถึงเวลาพักผ่อน เว่ยจินหยินโบกมือเป็นเชิงอำลา ขณะที่เถียนซานเดินออกจากห้องไป
---------------------------------------------
   ฟ่งเดินลงมาด้านล่าง หลังจากนั่งคำนวณโอกาสความเป็นไปได้ของการถล่มและอัตราความเสียหายของลิฟต์อยู่กับรัสเลอร์เป็นเวลากว่าสามชั่วโมงเศษ ฟ่งยอมรับว่ารัสเลอร์เป็นคนฉลาด และช่วยได้มากในเรื่องนี้ แต่ตัวเขาเองกลับไม่ค่อยจะมีสมาธิกับงานที่ทำอยู่เท่าไรนัก สาเหตุหลักคงจะมาจากน้ำเสียงของรูฟัสในตอนท้ายๆ ที่ทำให้เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง  และเขาก็ไม่เห็นรูฟัสเดินขึ้นมาดูเลยตอนที่ทำงาน ทั้งๆ ที่ปกติมักเฝ้าวนเวียนอยู่ไม่เคยห่างแท้ๆ ฟ่งพยายามคิดว่ารูฟัสคงคุยกับราฟาแอลอยู่ แต่ท้ายที่สุดก็ทนความว้าวุ่นใจไม่ได้
   เขาอยากเจอรูฟัส
   อยากบอกว่าเป็นห่วง
   ฟ่งไม่อยากให้รูฟัสเสี่ยงกับเรื่องนี้ ถึงเจ้าตัวจะพูดว่าเรื่องเสี่ยงเป็นงานถนัดก็เถอะ นั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจเลยสักนิด
   รูฟัสพูดออกมาโดยคิดถึงความรู้สึกของเขาบ้างรึเปล่า ถ้าเขาเกิดต้องสูญเสียรูฟัสไปในคราวนี้ล่ะ?
   ฟ่งรู้สึกปวดแปลบที่หน้าอก อยากจะคุยกับหนุ่มตาสองสีคนนั้นเดี๋ยวนี้ แต่ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในห้องรับแขก รวมทั้งราฟาแอลและคลาวเดียด้วย ทั้งสามคนอาจจะออกไปข้างนอก  เพราะรถก็ไม่อยู่ในที่จอดรถ ชายหนุ่มสวมแว่นถอนหายใจอย่างผิดหวัง
   นี่รูฟัสคิดอะไรอยู่ก่อนหน้านี้รึเปล่านะ ถึงได้ถามแบบนั้นออกมา
   ฟ่งบีบมืออย่างลืมตัว  เขายังรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากมือของรูฟัสในตอนที่จูงมือเดินไปที่ประตูบานนั้น เพียงแต่ตอนนั้นเขายังคิดไม่ถึง ฟ่งยอมรับว่าเวลาอยู่กับรูฟัสสองต่อสอง เขารู้สึกขัดเขินจนทำอะไรไม่ถูก อย่างไรก็ดี พอทางนั้นไม่อยู่ใกล้ๆ กลับรู้สึกคิดถึงจนแทบทนไม่ไหว
   ร่างบางเดินไปตรงหน้าต่าง มองออกไปด้านนอกอย่างเลื่อนลอย แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องทาบทาต้นไม้ใบหญ้าในสวน แม้จะเพิ่งเลยตอนเที่ยง แต่อากาศยังคงหนาวเย็นอยู่สำหรับเขา ฟ่งยกมือขึ้นกอดอก  พลางนึกถึงเรื่องที่เขาอยากจะพูดโดยไม่ได้รู้สึกถึงอีกคนหนึ่งที่เดินเข้ามา
   
รูฟัสเพิ่งเดินขึ้นมาจากห้องใต้ดินซึ่งเป็นสถานที่ให้ซ้อมยิงปืน เขายอมรับกับตัวเองนิดหน่อยว่าการยิงปืนทำให้อารมณ์เย็นขึ้นอย่างที่ราฟาแอลว่าจริง รูฟัสรู้สึกหงุดหงิดเรื่องฟ่ง  ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้เย็นชากับเขานัก อย่างนั้นถ้าเขาลองเย็นชากลับบ้างล่ะ มันจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวหรือเปล่า? 
หนุ่มนัยน์ตาสองสีคิดว่าตัวเองเสนอหน้ามากไป จนอาจจะทำให้ทางนั้นไม่เห็นค่าก็ได้  ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะลองอยู่ห่างจากฟ่งสักพัก
แต่พอได้พบร่างที่แสนจะคุ้นตายืนหันหลังอยู่ตรงหน้า เจตนารมณ์ที่วางเอาไว้ก็สั่นคลอนทันที
   ฟ่งที่ยืนคนเดียวอยู่ตรงหน้าต่างและมีแสงแดดอ่อนๆ สาดต้องผิวให้ความรู้สึกเหมือนภาพวาดมากกว่าของจริง  รูฟัสชักนึกสงสัยว่าฟ่งนั้นเป็นความจริงหรือความฝันของเขากันแน่ 
ชายหนุ่มค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ ใจหนึ่งอยากที่จะรวบตัวอีกฝ่ายเอาไว้และกอดจูบให้เต็มอิ่ม แต่อีกใจก็รู้ดีว่าหลังจากที่ทำแบบนั้นลงไปแล้วคงมีเรื่องน่าปวดหัวตามมาอีกเป็นขบวน
   ดังนั้นรูฟัสจึงชะงักเท้าเอาไว้
   “อ๊ะ!” ฟ่งหันหลังกลับมาและคลี่ยิ้มด้วยความยินดี รูฟัสกลืนน้ำลายอย่างลืมตัว รอยยิ้มนั้นแทบจะทำให้เลิกล้มความคิดเดิมในตอนแรก ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ หัวใจแทบจะละลายไปกับรอยยิ้มนั้น
   ก้อนน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก ยามเมื่อจะละลายกลับร้อนรุ่มยิ่งกว่าเปลวไฟเสียอีก
   รูฟัสชะงักเท้าอย่างได้สติ เขากลัวที่จะถูกแช่แข็งอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องแช่แข็งตัวเองก่อน
   “ไม่ทำงานหรือครับ” รูฟัสเอ่ยถามออกไปโดยพยายามรักษาเสียงให้ราบเรียบมากที่สุด ฟ่งหัวเราะเขินๆ
   “ผมอู้น่ะ” หนุ่มสวมแว่นว่า พยายามเค้นเอาคำพูดที่นึกไว้เมื่อครู่ให้ออกจากปาก น่าแปลก พอได้เจอกับรูฟัสจริงๆ เขากลับพูดคำที่คิดไว้ไม่ออกสักคำ
   “อืม” รูฟัสส่งเสียงอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาพยายามบังคับสายตาให้มองไปทางอื่น เพราะกลัวว่าฟ่งจะรู้ถึงความรู้สึกที่เขามีอยู่ รูฟัสพบว่าการพยายามเย็นชากับฟ่งนั้น ช่างทรมานเขาสิ้นดี แค่เห็นผิวขาวๆ หัวใจก็เต้นแรงแล้ว
   ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ รูฟัสดูเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฟ่งมั่นใจว่าเขาคงไม่ได้คิดไปเองเสียแล้ว ทางนั้นคงไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ
   “โกรธผมหรือ?” ร่างบางเอ่ยถาม รูฟัสมองดูคนตรงหน้า พลางนึกย้อนกลับไปในวันที่ตัวเองหลบไปนอนตรงมุมห้อง ตอนนั้นฟ่งก็ถามเขาแบบนี้เหมือนกัน
   คราวนี้ก็จะให้ความหวังลมๆ แล้งๆ แบบนั้นอีกหรือ?
   ฟ่งถอนหายใจ รูฟัสต้องโกรธอะไรเขาอยู่แน่ๆ แต่ไม่ยอมบอก
   “ผมขอโทษถ้าทำอะไรให้คุณไม่พอใจ”
   “คุณไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก” รูฟัสตอบ แต่ในใจนั้นอยากจะบอกออกไปตรงๆ ว่าเขากำลังไม่พอใจเรื่องอะไร ฟ่งทำคิ้วย่น
   “ถ้าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมคุณถึงโกรธผม?”
   “ผมไมได้โกรธคุณ” รูฟัสว่า และหันหน้าไปมองทางอื่นเสีย ฟ่งกะพริบตาปริบๆ
   “ถ้าคุณไม่บอก ก็ตามใจคุณแล้วกัน” หนุ่มสวมแว่นว่า เริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เขาหันหน้าหนี และหมุนตัวเดินออกไปทันที
   “เดี๋ยวครับ” รูฟัสโพล่งออกมาและฉวยข้อมือนั้นไว้อย่างลืมตัว  ให้ตายสิ แทนที่เขาจะเป็นฝ่ายถูกง้อ ดันกลับเป็นฝ่ายมาง้อแทนเสียอย่างนั้น ฟ่งหันมามองด้วยสีหน้าบึ้งตึง
   “มีอะไร?”
   “คือ..” ชายหนุ่มพูดค้างและถอนหายใจเฮือกใหญ่   “คุณน่าจะง้อผมแท้ๆ แต่สุดท้ายผมดันต้องมาง้อคุณ”
   “อ้อ” ฟ่งร้องเสียงดัง หันตัวกลับมาจ้องหน้ารูฟัสอย่างจริงจัง
   “คุณโกรธผมจริงๆ ด้วย แต่คุณไม่ยอมบอก”
   “ผมขี้เกียจจะบอกแล้วล่ะครับ” รูฟัสพูดอย่างหมดท่า คิ้วสีน้ำตาลคู่งามขมวดเข้าหากันอีก
   “ถ้าคุณไม่บอกแล้วผมจะรู้ได้ยังไงล่ะ ผมพยายามง้อคุณแล้วนะ”
   “ง้อผม?”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างค่อนข้างจะหงุดหงิด “ผมน่ะลงมาเพราะอยากพบคุณ  แต่คุณดันมาทำแบบนี้ใส่ผม”
   “คุณลงมาหาผมเหรอ?” รูฟัสถามอย่างแปลกใจ ร่างบางพยักหน้าอีกครั้ง
   “ผมคิดว่าคุณออกไปข้างนอก เห็นไม่มีใครอยู่ รถก็ไม่มี”
   “ผมซ้อมยิงปืนอยู่ชั้นใต้ดิน” รูฟัสตอบ และนึกสงสัยว่าทำไมเขาต้องมาอธิบายเรื่องพวกนี้ด้วย ก็ฟ่งไม่ใช่หรือที่ทำให้เขาต้องทำแบบนี้
   “ยิงปืน?” ฟ่งทำตาโต ทำให้รูฟัสคิดว่าเขาพูดในสิ่งที่ไม่สมควรออกไปหรือเปล่า ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง
   “คุณลงมาหาผมทำไม?”
   “ผม...” ผู้ถูกถามอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง เขาจะบอกรูฟัสว่าอย่างไรดี บอกว่าเป็นห่วงจะดูตลกไปรึเปล่า แต่มันจริงนี่นา
   “ผม..ผมเป็นห่วงคุณ”
   “ห่วงผม? เรื่องอะไรหรือครับ?” รูฟัสถามอย่างแปลกใจ ลืมเรื่องไม่พอใจไปเสียสนิท  ฟ่งมองหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ในที่สุดก็พูดต่อ
   “เรื่องที่คุณจะพยายามเข้าไปในห้องนั่น ผมไม่อยากให้คุณเสี่ยงเลย”
   “เรื่องนั้น..” หนุ่มตาสองสีคลี่ยิ้มอย่างยินดี  ฟ่งกำลังเป็นห่วงชีวิตเขา ดูท่าจะห่วงมากเสียด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดออกมาแบบนี้
   “ห่วงผมขนาดนั้นเลยหรือครับ” รูฟัสว่า พลางเดินเข้ามาใกล้ จนฟ่งเผลอถอยหลังไปนิดหนึ่งและคิดว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
   “ห่วงสิ” เจ้าตัวตอบ และหลบสายตาที่มองมาอย่างลืมตัว รูฟัสแทบจะห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาเกือบจะดึงร่างนั้นเข้ามากอดให้ชื่นใจกับคำพูดเมื่อครู่นี้ แต่ว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้ไล่ต้อนให้อีกฝ่ายพูดความในใจออกมาให้มากขึ้นอีก
   “ห่วงขนาดไหนหรือครับ บอกผมได้รึเปล่า?” รูฟัสกล่าว ขณะยันสองแขนเข้ากับกรอบหน้าต่าง ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองและรู้สึกว่าหลังของตนชนกับบานกระจกหน้าต่างด้านหลัง
   “ก็ห่วง….” ร่างบางตอบเสียงค่อย รูฟัสคลี่ยิ้มบางๆ
   “ดีใจจังที่คุณเป็นห่วงผม”
   “คุณ..” ฟ่งพูดค้าง เมื่อประสบกับสายตาหวานซึ้งของรูฟัสที่มองลงมา รู้สึกราวกับตนเองถูกมนต์สะกด
   “จูบได้ไหมครับ”
   แววตาสีน้ำตาลสั่นระริกอย่างอ่อนไหว ก่อนจะเผยอริมฝีปากและหลับตาลงแทนคำตอบ  รูฟัสค่อยๆ โน้มหน้าลงไปใกล้ ใช้ริมฝีปากของตนสัมผัสกับริมฝีปากสีชมพูที่เผยอรออยู่อย่างแผ่วเบา ค่อยๆ ดูดดื่มรสชาติหวานหอมบนริมฝีปากนุ่มๆ นั้น ฟ่งหลับตาพริ้ม  ยกมือขึ้นเกาะแขนรูฟัสอย่างลืมตัว รสจูบนั้นอบอุ่นจนอยากจะหยุดเวลาเอาไว้
   เวลาที่ไม่มีความคลางแคลงใจหลงเหลืออยู่
   เวลาที่หัวใจสื่อถึงกันมากที่สุด
   “ฟ่ง!?”
   ผู้ถูกเรียกลืมตาขึ้นมาทันที รัสเลอร์เดินลงมาจากบันได และเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง ชายหนุ่มทำหน้าเหวอ และรีบส่งเสียงต่อ “อ๊ะ ขอโทษ”
   รูฟัสถอนจูบออกจากริมฝีปากที่แสนหวงแหนนั้น แต่ไม่วายดูดเบาๆ ก่อนจะผละออก  เขาหันไปมองเพื่อนร่วมงานเจ้าปัญหาด้วยแววตาแสดงความไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด
   “เฮ้ย ไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะนะ” รัสเลอร์ปฏิเสธ และรีบพูดต่อ “ฉันเห็นว่าฟ่งลงมานานเกินไป เลยคิดว่าเกิดมีเรื่องอะไรรึเปล่า”
   “เอ้อ..ผม” ฟ่งพูดอย่างนึกขึ้นได้ เขาบอกรัสเลอร์ว่าจะลงมาพักสักครู่หนึ่ง แต่นี่คงกินเวลาไปนานโข ร่างบางเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด เขาไม่อยากให้ใครพบตอนที่ทำแบบนี้อยู่ รูฟัสถลึงตาใส่รัสเลอร์อย่างประสงค์ร้าย
   “เอาล่ะๆ ฉันไปทำงานต่อดีกว่า” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มรีบเอ่ย ก่อนจะวิ่งกลับขึ้นชั้นบนไป ฟ่งมองดูรูฟัสที่ถอนหายใจยาว
   “ผมบอกเขาว่าจะลงมาแป๊บเดียว”
   “ไม่เป็นไรครับ” หนุ่มตาสองสีเอ่ย  มองดูใบหน้าของคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน
   “คืนนี้อยู่กับผมได้รึเปล่า แค่สองคนน่ะ”
   ฟ่งหน้าแดงขึ้นมาทันที ใช่แล้ว เมื่อคืนเขาปฏิเสธคำขอของรูฟัสโดยใช้รัสเลอร์เป็นข้ออ้าง นี่เองสินะที่ทำให้รูฟัสโกรธ
   “อือ” ร่างบางรับคำสั้นๆ รูฟัสใช้มือเชยใบหน้านั้นขึ้นมา มองลงไปอีกครั้งหนึ่งราวกับจะถามย้ำด้วยสายตาว่าพูดจริงหรือเปล่า ฟ่งพยักหน้า และแตะริมฝีปากของตนเข้ากับอีกฝ่ายเบาๆ แทนคำตอบ นัยน์ตาสองสีเบิ่งกว้าง ก่อนจะเอื้อมมือรั้งร่างนั้นเข้ามากอด จูบตอบอย่างอ่อนโยน ทีแรกฟ่งเกือบจะใช้มือผลักรูฟัสออกไปแล้ว แต่ก็คิดได้ว่าการทำแบบนั้นอาจจะเป็นการทำลายน้ำใจของอีกฝ่ายมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้รูฟัสจูบจนเต็มอิ่ม
   รูฟัสดูดดึงริมฝีปากได้รูปจนแดงก่ำ ก่อนจะผละออกอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไรนัก คำว่าคืนนี้ดูจะนานไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับความยั่วยวนที่อยู่ตรงหน้า  เขาแทบจะกดร่างนี้เข้ากับผนัง เปลื้องเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มอยู่ออก ลูบไล้เรือนร่างขาวเนียน สัมผัสจุดซ่อนเร้นที่แสนจะอ่อนไหวนั้น และแสดงความปรารถนาที่แทบจะระเบิดออกมาให้อีกฝ่ายได้รู้ซึ้ง แต่ในใจนั้นรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นลงไปบทสรุปก็คงจบลงเหมือนที่ผ่านๆ มา เขาคงไม่มีโอกาสเห็นใบหน้าที่แสดงความพอใจของฟ่งในเช้าของวันรุ่งขึ้น
   หากได้สัมผัสคนคนนี้ด้วยความเต็มใจล่ะก็ รอถึงคืนนี้อีกคืนก็ไม่น่าจะเกินความอดทนเท่าไหร่
   “คืนนี้ ห้ามเบี้ยวนะครับ” รูฟัสกระซิบ ก่อนจะปล่อยให้ฟ่งกลับไปทำงาน
--------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   คำว่าคืนนี้ของรูฟัสนั้นช่างมาถึงอย่างรวดเร็วเหลือเกินสำหรับฟ่ง ผ่านไปไม่ทันไรฟ้าก็มืดเสียแล้ว แถมในช่วงมื้อค่ำ สายตาของรูฟัสที่ส่งมานั้นก็ดูชัดเจนเหลือเกินว่าเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้  ฟ่งถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะมองดูจอคอมพิวเตอร์อย่างเหม่อลอย พลางนึกถามตัวเองว่าทำไมถึงได้สัญญาไปแบบนั้น
   เพราะเขากลัวว่าจะถูกฝ่ายนั้นใช้กำลังบังคับอีกงั้นหรือ?
   ฟ่งยอมรับว่าสองครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้นั้น รูฟัสใช้กำลังบังคับจนเรียกได้ว่าขืนใจเขา  แต่ถึงจะอย่างนั้นส่วนลึกในร่างกายกลับแสดงอาการร้อนรุ่มออกมาทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้น
   ใช่แล้ว เพราะส่วนลึกในจิตใจของเขาโหยหารสสัมผัสลึกซึ้งที่อีกฝ่ายมอบให้ ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
   ปลายนิ้วที่ไล้ไปตามเรือนร่าง เสียงกระซิบพร่ำพรอดคำรักไม่รู้กี่ครั้ง นัยน์ตาที่มองมาอย่างปรารถนา  อ้อมกอดและรสจูบอันร้อนแรง  เพียงแค่นึกถึงก็แทบจะทำให้หัวใจหลอมละลายได้แล้ว แต่ความรู้สึกขัดแย้งทำให้เขาบ่ายเบี่ยงความต้องการนี้
   การมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติเลย
   ฟ่งถอนหายใจยาวอีกครั้ง  นึกไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลายเป็นพวกวิปริตผิดเพศ  ก่อนหน้านี้เขาเคยนึกสงสารพงษ์หรือพัช เพื่อนเกลอที่กายเป็นชายใจเป็นหญิง ซึ่งเคยมีปัญหาเรื่องเข้าสังคมอยู่พักใหญ่ ตอนนี้กลายเป็นตัวเขาเองที่กำลังจะเผชิญกับเรื่องแบบนั้น ฟ่งยังค่อนข้างจะมั่นใจว่าตัวเขาเองไม่น่าจะเป็นพวกรักร่วมเพศ เขาไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์เมื่อเห็นผู้ชายด้วยกัน ยกเว้นเสียแต่รูฟัส
   เฉพาะแค่รูฟัสคนเดียวเท่านั้น
   “ฟ่ง!?”
   เสียงของรัสเลอร์ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นจากภวังค์ และเมื่อหันไปก็เห็นสายตาแสดงความสงสัย “คุณเป็นอะไรน่ะ ทำไมดูเหม่อๆ”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ และรีบสั่นศีรษะ คงบอกให้รัสเลอร์รู้ไม่ได้ในเรื่องที่เขากำลังคิดอยู่
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มขมวดคิ้วและมองลงมาอย่างไม่ค่อยจะสบายใจนัก ฟ่งแทบจะทำงานไม่คืบหน้าเลยหลังจากพบกับรูฟัส
หลังจากทำงานกับฟ่งมาได้สองวัน รัสเลอร์พบว่าฟ่งมีระบบการทำงานแสนจะเป็นเอกเทศ กล่าวคือ ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว รู้เรื่องอยู่คนเดียว เขาต้องคอยพยายามบอกให้ฟ่งแบ่งนั่นแบ่งนี่มาช่วยกันทำ ด้วยเกรงว่าหนุ่มชาวเอเชียที่ดูบอบบางคนนี้จะลาไปเฝ้าพระเจ้าเสียก่อนที่จะทำงานเสร็จ แต่เอาเถอะ ลองเขียนของแบบนี้ออกมาได้ คงมีลูกบ้าอยู่พอตัวนั่นแหละ อย่างไรก็ดีรัสเลอร์ไม่เชื่อว่าฟ่งไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่เจ้าตัวพยายามจะบอกในตอนนี้ อย่างน้อยเขาก็พอจะเดาได้ว่าฟ่งมีเรื่องให้ต้องคิด
   คงเป็นเรื่องของรูฟัส
   รัสเลอร์ถอนใจ นั่งปุลงข้างๆ และยึดเอาเมาส์และคีย์บอร์ดมาเงียบๆ
   “ผมช่วยคุณจัดการตรงไหนได้บ้าง?” หนุ่มวัยเกือบสามสิบกล่าว พลางเหลือบไปมองผู้ที่นั่งอยู่ และสะดุดเข้ากับริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่กำลังเผยขึ้นอย่างใช้ความคิด
   จู่ๆ ฉากจูบเมื่อช่วงกลางวันก็ผุดขึ้นมาในสมอง
   โดยปกติแล้วรัสเลอร์ไม่เคยสนใจอะไรกับเรื่องแบบนี้  ก็แค่คนจูบกัน ไม่ใช่ของหาดูยากเย็นอะไร มีให้เห็นบ่อยๆ ตามท้องถนน หรือแม้แต่ที่ทำงานก็เถอะ ถึงจะเป็นผู้ชายจูบกันสำหรับเขาแล้วก็คงไม่แปลก แต่ที่ติดใจก็คงเพราะเป็นฟ่งนี่แหละ
   เขารู้มาก่อนหน้านี้ว่ารูฟัสมีปัญหาเรื่องงานเพราะติดหนุ่มเอเชีย ยังนึกสงสัยอยู่เลยว่า ผู้ชายแบบไหนกันที่ทำให้เจ้ารูฟัสจริงจังได้ขนาดนั้น  จนกระทั่งมาเจอที่ทะเลสาบนั่นแหละ  ตอนแรกเขารู้สึกผิดหวังหน่อยๆ เพราะคิดว่าคนที่ทำให้รูฟัสเป็นบ้าขนาดยอมทิ้งงานได้ ควรจะดูน่ารักบอบบางมากกว่านี้  แต่พอสังเกตไปสักพักก็เริ่มรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีส่วนน่ารักอยู่มากเหมือนกัน  แค่ถูกแหย่นิดหน่อยก็หน้าแดง  แถมทำท่ายึกยักเล่นตัวได้น่ารักอย่างบอกไม่ถูก  คุยแล้วก็รู้สึกว่าน่าแกล้งดี  พอเข้าใจแล้วว่าทำไมรูฟัสถึงได้หลงนัก
   ตอนนี้เขาเองก็อาจจะกำลังหลงอยู่เหมือนกันก็ได้

   ฟ่งอธิบายงานของเขาให้รัสเลอร์ฟังโดยไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีกะใจกับเรื่องที่เขากำลังพูดอยู่สักนิด นัยน์ตาสีฟ้านั่นจับจ้องริมฝีปากของผู้พูดอย่างไม่วางตา
   ริมฝีปากคู่นี้จะหวานขนาดไหนกันนะ
   “คุณรัสเลอร์ คุณฟังผมอยู่หรือเปล่า?”
   ผู้ถูกเรียกสะดุ้ง และหัวเราะเขินๆ  ฟ่งขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะพูดต่อ
   “ผมว่าคืนนี้พอแค่นี้แล้วกัน” ชายหนุ่มสรุป รัสเลอร์ดูเหมือนจะไม่มีสมาธิ และเขาเองก็เช่นกัน ดังนั้นวันนี้ก็น่าจะพอแค่นี้ก่อนดีกว่า
   “ไม่เป็นไรหรอก ยังไหวอยู่” รัสเลอร์ตอบ แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ ประตูก็ถูกเปิดผลัวะออก รูฟัสก้าวเข้ามาในห้อง
   “ฟ่งบอกว่าพอก็พอสิ” หนุ่มตาสองสีว่า คราวนี้รัสเลอร์ขมวดคิ้วบ้าง
   “นี่นายแอบนั่งฟังอยู่ข้างนอก?”
   ผู้ถูกถามยักไหล่แทนคำตอบ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาหนุ่มสวมแว่นซึ่งสีหน้ากึ่งแปลกใจกึ่งตกใจ
   “ไปรอข้างนอกสักครู่นะครับ” รูฟัสว่า ฟ่งอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่เมื่อเห็นสายตาสองสีของรูฟัสที่มองลงมา จึงจำต้องเดินออกไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้รูฟัสกับรัสเลอร์เผชิญหน้ากันสองคน
   “ไอ้นิสัยแอบฟังแบบพวกสายลับนี่ต้องใช้กับเพื่อนร่วมงานด้วยหรือไง?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเริ่มต้นบทสนทนาหลังจากที่ฟ่งปิดประตูแล้ว ผู้ถูกถามยักไหล่อีก
   “ฉันไม่ไว้ใจ เมื่อคืนนายจงใจจะนอนในห้องนี้ คิดอะไร?”
   “ฉันง่วง ปกติมาทีไรฉันก็นอนห้องนี้ประจำอยู่แล้วนี่” รัสเลอร์พูด พลางทำหน้าราวกับว่ามันเป็นเรื่องแปลกเสียเต็มประดาที่รูฟัสมาถามเขาแบบนี้ คนฟังขมวดคิ้วคู่งามเข้าหากัน มองดูเพื่อนร่วมงานอย่างอารมณ์เสีย
   “นั่นมันเมื่อก่อน คืนนี้นายต้องลงไปนอนข้างล่าง”
   “ทำไมฉันจะต้องลงไปนอนข้างล่างด้วยล่ะ?”
   ผู้ถูกไล่ตีหน้าซื่อถามต่อ จนรูฟัสนึกอยากใช้ฝ่าเท้าลูบหน้าแทนคำตอบ เขาสูดลมหายใจอย่างอดทน
   “เพราะนี่เป็นห้องของฉัน ฉันมีสิทธิ์จะให้ใครนอน หรือไม่ให้ใครนอนก็ได้”
   “งก!!” รัสเลอร์ทำเสียงสูง รูฟัสมองหน้าคนพูด พลางกล่าวสืบต่อ
   “เลิกเล่นลิ้นได้แล้ว นายจงใจจะไม่ให้ฉันอยู่ใกล้ฟ่งใช่ไหม”
   “รู้ก็ดีแล้วนี่” อีกฝ่ายกล่าว ก่อนจะลุกขึ้นมาเผชิญหน้า
   “รูฟัส ความจริงฉันก็ไม่ได้อิจฉาหรืออะไรกับนายหรอกนะ ว่าจะมีแฟนเป็นใครอะไรที่ไหน แต่สำหรับกรณีฟ่ง ฉันว่านายปล่อยเขาไปจะดีกว่า”
   “อย่าแส่ไม่เข้าเรื่องน่ะ” รูฟัสคำรามอย่างไม่พอใจ นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่มีคนพูดกับเขาแบบนี้ รัสเลอร์จุ๊ปาก
   “ใจเย็นๆ ฉันรู้ว่ามันทนฟังลำบาก จริงๆ ถ้าไม่ใช่ฟ่งฉันก็คงไม่พูดแบบนี้ เด็กนั่นฉลาด หัวดี ตั้งใจทำงาน ถ้าได้มาเป็นคนในหน่วยก็คงดี แต่ว่าไม่เหมาะกับนายหรอกนะรูฟัส ไม่ใช่สิ  นายไม่เหมาะกับเขาหรอก  ฟ่งมีอนาคตที่ดีกว่าการมาหมกตัวกับนายที่ไม่รู้ว่าจะเดี้ยงจะตายเอาวันไหน  แถมนายเองก็ไม่มีปัญญาจะรับผิดชอบ ทางที่ดีนายน่าจะพาเขากลับไปในที่ที่ควรอยู่จะดีกว่า”
   “ที่ที่ควรอยู่?” รูฟัสกล่าวและแค่นหัวเราะ “ฟ่งน่ะ โดนไล่ล่าเพราะเรื่องแผนที่บ้าๆ นี่จนกลับไปไม่ได้แล้วล่ะ”
   “อ้อ มิน่าล่ะถึงได้ทนอยู่กับนาย” รัสเลอร์กล่าวและพูดต่อโดยไม่สนใจสายตาอาฆาตของฝ่ายตรงข้าม
   “ความจริงให้ฟ่งมาอยู่ที่หน่วยกลางก็ได้ ไหนๆ ก็กลับบ้านไม่ได้แล้วนี่ แปลกจริง หน้าตาซื่อๆ แบบนั้นไม่น่าจะทำงานสกปรกแบบนี้เลยนี่”
   “ถูกข่มขู่ให้ทำต่างหาก” รูฟัสช่วยแก้ให้ รัสเลอร์พยักหน้า
   “อย่างนั้นรึ? แย่จัง แล้วนายวางแผนยังไง เสร็จงานนี้แล้วจะพาเขาไปไหน กลับบ้านหรือทิ้งไว้ที่นี่?”
   “ยังไม่ได้คิด” รูฟัสยอมรับออกมา  และย่นคิ้วอย่างอ่อนใจ
   “เขาอยากให้ฉันทำงานเหมือนคนปกติ แต่ใครก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
   “เข้าใจเลยล่ะ” รัสเลอร์กล่าวอย่างเห็นด้วย เขานึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่ารูฟัสจะทำงานแบบปกติธรรมดาได้ที่ไหน คงไม่วายโดนตามล่าตัวอยู่ดี
   “เพราะฉะนั้นนายควรจะเลือกหนทางที่ง่ายและเป็นไปได้กว่า คือหยุดเอาไว้เสียแต่ตอนนี้ อย่าให้มันถลำลึกไปมาก ฉันรู้ว่ามันทนได้ยาก ถึงต้องมีคนช่วยแบบฉันไง”
   รูฟัสถอนหายใจยาว เขามองหน้าเพื่อนร่วมงาน อย่างไม่รู้ว่าควรจะซาบซึ้งกับความหวังดีแบบนี้หรือเปล่า
   “ถามหน่อยเถอะ ถ้านายเป็นฉัน จะเลือกอย่างที่ว่ารึเปล่า”
   ผู้ถูกถามถอนหายใจแล้วยิ้มออกมา
   “กะแล้วว่าจะต้องพูดแบบนี้ ฉันตอบไม่ได้ เพราะฉันไม่ใช่นาย และฉันก็ไม่ได้สนใจความรู้สึกนายขนาดนั้น ฉันห่วงความรู้สึกฟ่ง เด็กนั่นควรจะมีตัวเลือกมากกว่านี้”
   “นายคิดจะพูดอะไรกันแน่” รูฟัสว่า น้ำเสียงเริ่มแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
   “ฉันชอบฟ่ง” รัสเลอร์ประกาศออกมา
   “ถึงนายจะบอกว่าเป็นแฟนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นของนายไปตลอดชีวิตเสียหน่อย ฉันมั่นใจว่าดูแลฟ่งได้ดีกว่านาย ความรู้สึกคนเราน่ะ มันเปลี่ยนกันได้นะรูฟัส”
   “มีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่ไหม”
------------------------------------------
   “ทะเลาะกันเหรอ?” ฟ่งถามเมื่อเห็นรูฟัสเปิดประตูออกมา หลังจากที่รัสเลอร์เดินลงบันไดไปก่อนแล้ว เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เหมือนถูกต่อยมา ประกอบกับเสียงโครมครามที่ได้ยินก่อนหน้านี้ 
   “นิดหน่อยครับ” รูฟัสตอบ ก่อนจะเดินมาโอบไหล่ของคนถาม ฟ่งมองหน้าเขาด้วยแววตาไม่ค่อยสบายใจนัก
   “ผมเป็นต้นเหตุรึเปล่า?”
   รูฟัสสั่นศีรษะและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พลางก้าวเท้ากลับเข้าไปในห้อง
   “ถ้ามีปัญหามาก พรุ่งนี้ผมไปนอนที่โรงแรมก็ได้” ฟ่งกล่าวออกมาหลังจากปิดประตูห้องแล้ว ร่างแกร่งถอนหายใจอีก
   “นี่มันห้องของผมนะครับ ผมมีสิทธิ์ที่จะให้ใครนอนก็ได้”
   “แต่ว่าคุณสองคนทะเลาะกันนี่” ฟ่งพูดอย่างรู้สึกผิด รูฟัสรั้งตัวเขาเข้ามาใกล้
   “ทำไมคุณถึงให้ความสนใจกับความรู้สึกคนอื่นมากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันแท้ๆ แล้วผมล่ะครับ คุณเคยนึกถึงความรู้สึกบ้างรึเปล่า?”
    ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “ผะ..ผมขอโทษ”
   รูฟัสระบายลมหายใจเฮือก ก่อนจะพูดสืบต่อ “ผมรักคุณ รักคุณมากจนเผลอทำอะไรบ้าๆ ลงไปหลายครั้ง คุณทำให้ผมคลั่ง บางครั้งคุณเหมือนจะสนใจผมมาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็เหมือนว่าคุณสนใจคนอื่นมากกว่า ก่อนหน้านี้ผมก็นึกเข้าข้างตัวเองมาโดยตลอดว่าคุณสนใจผมจนคุณหนีไป แล้วคุณก็กลับมาอีก จากนั้นก็เป็นเหมือนเดิม คุณเหมือนไม่สนใจผมเลย”
   รูฟัสหยุดหายใจครู่หนึ่ง นัยน์ตาสองสีมองมาอย่างปวดร้าว
   “มันเหมือนผมกำลังบ้าอยู่คนเดียว ผมไม่มีปัญญาหนีหลุดออกจากสายใยบางๆ ที่คุณผูกมัดผมเอาไว้ แต่ผมก็กลัว กลัวว่าสายใยบางๆ นั้นจะรั้งคุณไว้ไม่ได้ ได้โปรดตอบรักผมบ้าง สักครึ่งหนึ่งของที่ผมบอกกับคุณ ให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้คิดไปเองอีก”
   “ผม...” ฟ่งพูดค้าง รู้สึกอื้อไปทั้งหัว หน้าอกปวดแน่น
   รัก....
   เขาไม่เคยคิดจริงจังเรื่องนี้กับรูฟัสมาก่อนเลย จนถึงตอนนี้
   รัก...?
   คำที่รูฟัสบอกกับเขานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวในทุกครั้ง แม้บางคราวจะไม่แน่ใจว่านั่นเป็นคำพูดจากความรู้สึกที่แท้จริงของอีกฝ่ายรึเปล่า แต่...ความรู้สึกที่แท้จริงของเขาล่ะ?
   “ผมกลัวจะเสียคุณไป” ฟ่งโพล่งออกมา เขาบีบมือของรูฟัสที่กุมเอาไว้แน่น  ปวดหน้าอกจนแทบจะร้องไห้
   “ผม..ผมเห็นแก่ตัว  ผมกลัวจะเสียคุณให้คนอื่น กลัวว่าคุณจะรักคนอื่น กลัวว่าคุณจะจากไป แต่ผมไม่กล้า...ไม่กล้ารักคุณ”
   “ทำไมล่ะครับ?!!” รูฟัสร้องออกมาด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ เขารู้สึกถึงแรงบีบที่มือ ไม่กล้ารักงั้นหรือ? ที่ผ่านๆ มาเป็นแค่เพียงความหวั่นไหวอย่างนั้นหรือ  ที่จูบที่กอดเขาที่เป็นห่วงเขาก็แค่ความหวั่นไหวหรอกหรือ?
   “ผมไม่มีปัญญาจะรักใครได้หรอก”
   “ทำไมล่ะ!! ทั้งๆ ที่ผมรักคุณมากมายขนาดนี้แท้ๆ !!”
   หนุ่มตาสองสีโพล่งออกมา และจับไหล่ของฟ่งเขย่าอย่างลืมตัว และพบว่าอีกฝ่ายน้ำตานองหน้า
   “ผมรับมันไม่ไหว รูฟัส ยิ่งคุณแสดงว่ารักผมมากเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกอึดอัด เพราะผมกลัว  กลัวว่าผมจะเรียกร้องเอาจากคุณมากเข้าไปอีก กลัวว่าจะถลำลึกมากไปกว่านี้ กลัวว่าสักวันหนึ่งคุณจะทนผมไม่ไหวและทิ้งผมไป”
   “แล้วทำไมถึงกลับมาล่ะ คุณกลับมาหาผมทำไม ถ้าคุณกลับไปในตอนนั้น ผมคง...ผมคง...” รูฟัสกล่าวค้างเอาไว้ เขาพูดไม่ออกจริงๆว่าจะทำใจได้  ความรู้สึกตอนนั้นช่างเลวร้ายเสียจนไม่อยากกลับไปนึกถึงอีก
   “ผมขอโทษ” ฟ่งพูดเสียงเครือด้วยนึกคำอื่นไม่ออกอีก เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าได้รูปซึ่งตอนนี้กำลังบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่มาจากส่วนลึกในหัวใจ มันทำให้น้ำตาของเขายิ่งไหลเอ่อ
   “ผมตัดขาดจากคุณไม่ได้ แต่ผมก็ไม่มีแรงพอจะหนีจากคุณไปได้ ผมได้แต่รอ รออย่างหวาดกลัวว่าสักวันหนึ่งคุณจะทิ้งผม ขอร้องล่ะ บอกเลิกผมที  ผมน่ะอ่อนแอเกินกว่าจะจบเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเองอีกแล้ว” ฟ่งกล่าวเสียงพร่า รูฟัสได้ยินเสียงเหมือนหัวใจถูกขยี้จนแหลกสลายไปอีกรอบ เขามองดูใบหน้าชุ่มน้ำตาที่อยู่ตรงหน้า ค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นเบาๆ
   “จะรักผมสักนิดหนึ่งก็ไม่ได้เลยหรือครับ” เขากล่าวเสียงแหบแห้ง ไล้มือผ่านก้านแว่นไปตามใบหน้าที่เคยสัมผัสใกล้ชิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แตะปลายนิ้วลงบนริมฝีปากสีชมพูเรื่อที่สั่นสะท้านนั้นเบาๆ
   “ต้องทำยังไงคุณถึงจะรักผม สักเสี้ยวหนึ่งของหัวใจก็ยังดี ได้โปรดเถอะครับ บอกผมเรื่องนี้ อย่าบอกเรื่องอื่น บอกแค่ว่าต้องทำยังไงคุณถึงจะรักผมได้ก็พอ”
   “รูฟัส..” ฟ่งเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงขาดห้วง ปวดแปลบไปทั้งหน้าอก รูฟัสยกมือเขาขึ้นมาจูบเบาๆ
   “ถ้าคุณไปจากผมไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปหรอกครับ ผมไม่คิดจะให้คุณไปไหน ผมจะรั้งคุณเอาไว้ จนคุณยอมรักผม”
   “รูฟัส...” ฟ่งเรียกชื่อนั้นซ้ำอีกรอบ กะพริบดวงตาสีน้ำตาลที่เปียกชุ่ม ก่อนจะบรรจงจูบลงไปบนริมฝีปากของอีกฝ่าย รูฟัสรั้งร่างบางเข้ามากอดแน่น เป็นครั้งที่สามแล้วที่ฟ่งจูบเขาก่อน และเป็นครั้งแรกที่เป็นการจูบแบบลึกซึ้ง
   “รูฟัส...” ฟ่งเรียกชื่อเขาอีกครั้ง และตามด้วยเสียงคราง เมื่อซอกคอถูกโลมไล้อย่างนุ่มนวล รูฟัสดันตัวของอีกฝ่ายเข้ากับผนัง เริ่มลูบไล้ไปตามส่วนต่างๆ วงแขนผมบางเกาะเกี่ยวกับร่างแกร่ง จิกกดลงไปทุกครั้งที่ร่างกายถูกสัมผัส
   “ผมรักคุณนะครับฟ่ง” รูฟัสกระซิบเบาๆ ฟ่งส่งเสียงอืม ก่อนจะดึงใบหน้าของอีกฝ่ายเข้ามาจูบ รูฟัสดูดดึ่มริมฝีปากนั้นอยู่พักหนึ่งและปล่อยให้ฟ่งได้หายใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาทางเขาอย่างอ่อนไหว พร้อมกับริมฝีปากที่เผยอออกอีกครั้ง
   “รูฟัส...”
   เสียงเรียกชื่อนั้นราวกับว่าจะตอบรับความรักที่อีกฝ่ายมอบให้ แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่รูฟัสค่อนข้างจะมั่นใจว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของผลลัพธ์ในการค้นหาหัวใจของฟ่ง เขาจูบลงไปอีกครั้ง  ดึงเสื้อที่หล่นมากองอยู่ที่ข้อศอกของอีกฝ่ายออก  ร่างกายของฟ่งร้อนผ่าว สั่นสะท้านทุกครั้งที่สัมผัส
   ฟ่งค่อยๆ เลื่อนมือที่เกาะเกี่ยวอยู่มาปลดเสื้อของรูฟัสออก รูฟัสจับมือฟ่งเข้ามาจูบและช่วยเปลื้องเสื้อ ฟ่งกอดร่างที่เปลือยท่อนบนนั้นและรู้สึกถึงอ้อมกอดของอีกฝ่ายเช่นกัน
   รูฟัสจูบไล้ไปตามใบหน้านั้นอย่างรักใคร่ ขบใบหูแดงก่ำนั้นเบาๆ ขณะที่มือลูบต่ำลงไปยังสะโพก สัมผัสปลายนิ้วเข้ากับจุดอ่อนไหวด้านหลัง ฟ่งสะดุ้งเฮือก เมื่ออีกฝ่ายสอดปลายนิ้วเข้ามา
   “Hurt?” รูฟัสกระซิบที่ข้างหู ร่างบางสั่นศีรษะและดึงใบหน้าของอีกฝ่ายเข้ามาจูบ ฟ่งจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำให้เขาหลงรักมากกว่าเดิม ร่างแกร่งล้วงเอาขวดเจลหล่อลื่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง และราดมันลงบนสะโพกของอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆ ลูบไล้อีกครั้ง
   ฟ่งบีบไหล่รูฟัสแน่น รู้สึกถึงปลายนิ้วที่สอดใส่เข้ามาพร้อมกับของเหลวลื่นๆ อาจจะเป็นเพราะยืนอยู่ การควานหาจุดสวาทจึงดูขลุกขลักอยู่บ้าง แต่ไม่นานนักรูฟัสก็ประสบความสำเร็จในการทำให้ฟ่งร้องครางออกมาอีกครั้ง
   “ไม่ไหวแล้ว” ร่างบางครางเสียงสั่น แทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่กับสัมผัสวาบหวามที่อีกฝ่ายมอบให้ เรียวขาขาวอ่อนยวบลงจนหลังพิงกับผนัง รูฟัสเชยพวงแก้มแดงปลั่งนั้นขึ้นมาจูบอย่างรักใคร่ ก่อนจะดึงนิ้วออก
   “อ๊า!” ฟ่งส่งเสียงอย่างตกใจเมื่อร่างถูกยกจนลอยจากพื้น เขากอดรูฟัสไว้แน่น กระหวัดขาเข้ากับท่อนเอวของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว เป็นจังหวะเดียวกับที่ทางนั้นสอดใส่เข้ามา
   ร่างบางยกมือขึ้นปิดปาก ขณะที่รูฟัสกระแทกตัวเขาเข้ากับผนังเบาๆ เสียงครางฮือดังลอดออกมา พร้อมกับหยดน้ำตาหยดเล็กๆ ที่ไหลซึมร่องแก้ม ขณะที่ความอุ่นร้อนเบียดแทรกเข้าไปในช่องเปิดด้านหลัง
“Я вас люблю”
   ถ้อยคำที่ไม่อาจจะเข้าใจได้นั้นถูกกระซิบให้ได้ยินอีกครั้ง ฟ่งขมวดคิ้วแน่น จิกเล็บลงไปบนไหล่ของรูฟัส ระหว่างที่ร่างกายถูกกระแทกจนหลังชนกับผนัง เสียงครางสั่นพร่าดังลอดออกมาจากริมฝีปากแดงก่ำ ริมฝีปากอุ่นจัดของอีกฝ่ายเคล้าเคลียอยู่ที่พวงแก้ม จนได้ยินเสียงหายใจรุนแรง
   ฟ่งตัวสั่น สัมผัสร้อนแรงทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว สองแขนตะกายกอดร่างสูงใหญ่เอาไว้แน่น การกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระตุ้นอารมณ์ให้พุ่งสูง ร่างผอมบางร้องครางอย่างไม่อาจสะกดกั้นความรู้สึก ก่อนจะกัดลงไปบนหัวไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแรง จังหวะกับของเหลวสีขาวขุ่นที่พุ่งทะลักออกมา
   เสียงรูฟัสผ่อนลมหายใจยาว โอบประคองร่างที่อ่อนปวกเปียกในอ้อมกอดเดินไปยังเตียงนอน ฟ่งยังคงตัวสั่นไปตามจังหวะการเคลื่อนไหว และโอบกอดเขาไว้แน่น
   “รูฟัส” ร่างผอมบางกระซิบเสียงแผ่วอีกครั้ง ก่อนจะดึงใบหน้าของเขาเข้าไปจูบ รูฟัสกดแนบร่างนั้นลงไปบนเตียง ขยับตัวเพื่อประสานส่วนที่เชื่อมกันอยู่ในแนบแน่นเข้าไปอีก ก่อนจะดึงแว่นตาที่เอียงกะเท่เร่ออก ฟ่งยกมือขึ้นปิดปากด้วยความเขินอาย ก่อนจะค่อยๆ แอ่นตะโพกขึ้นตอบสนองจังหวะที่อีกฝ่ายมอบให้
   หัวใจของรูฟัสเต้นถี่ ประคองใบหน้าแดงจัดนั้นขึ้นมาจูบด้วยความตื้นตัน จูบร้อนแรงถูกตอบสนองเป็นอย่างดีด้วยเรียวลิ้นที่กระหวัดเกี่ยวกันอย่างซ่านกระสัน
   “ฟ่ง” รูฟัสกระซิบเรียกชื่อนั้นตอบหลังจากถอนริมฝีปากออกมาแล้ว ร่างผอมบางในอ้อมกอดไม่ได้ตอบอะไรอีก เพียงโอบแขนขึ้นมา โน้มใบหน้าของเขาเข้าไปจูบอีกรอบ การเคลื่อนไหวร้อนแรงขึ้นอีกเป็นทวีคุณ
   รูฟัสหอบหายใจถี่หนัก รู้สึกถึงอ้อมกอดที่โอบรัดเขาไว้แน่นระหว่างจังหวะอันเร่าร้อน ฟ่งครางเสียงสั่น ตะกายแขนกอดรัดร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ราวกับว่ากลัวจะสูญเสียไปจริงๆ
----------------------------------------------

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ฟ่ง  ถ้ามันยากนัก  ก็หลับตาลงแล้วคิดซะว่ารูฟัสไม่ได้อยู่ตรงนั้น
บอกกับหัวใจตัวเองว่า "รัก" หรือเปล่า  ก็พอแล้วล่ะ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ใครเป็น ฟ่ง ก็ต้องจิตตกละนะ เจอมาแต่ละอย่าง เสี่ยงตายแทบทั้งนั้น

ว่าแต่ เถียนซานกับจินหยิน นี่ก็น่าสนใจเหมือนกันนะ  :z1:

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
หวังว่าฟ่งกับรูฟัสจะผ่านวิกฤติในเรื่องนี้ไปได้ เพราะยังมีเรื่องยากๆรออยู่อีกเยอะเลย
ส่วนฝั่งคุณชาย ตอนนี้น่ารักดี แต่ก้อน่าลุ้นว่ากำลังจะต้องเจอกับอะไรอีก
รอติดตามค่ะ

butterfly_bee

  • บุคคลทั่วไป
อ่านกันแบบมาราธอนเลยทีเดียว
ลงให้อ่านแบบจุใจมาก
สนุกมากๆเลยค่ะ  o13

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
คงเพราะรักครั้งก่อนทำให้ฟ่งไม่กล้าพูดว่ารัก เห็นทีรูฟัสคงต้องรออีกนาน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด