|[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: |[ series :: รวมเรื่องสั้น ]| จะเก็บมันเอาไว้ไม่ให้มีวันลบเลือน........  (อ่าน 84322 ครั้ง)

~Brand New Beat~

  • บุคคลทั่วไป
Re: [series : รวมเรื่องสั้&#
«ตอบ #30 เมื่อ20-10-2007 01:35:33 »

อ้างถึง
“ส่วนไอ้คนที่มึงรักนักรักหนาและตาบอดมาตั้งนานน่ะ........” ไอ้แม็กเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะส่ายหัว “กูว่ามึงยังไม่อยากรู้เรื่องนั้นตอนนี้หรอก”

เกิดไรขึ้นกับพี่พีซอ่าครับ อ่านแล้วสงสัยมากมาย

แอบชอบตอนนี้โดยเฉพาะตอนจบน่ารักมากมาย

แอบอินด้วยนะเนี้ย ซึ้งเชียว หุหุ

 :m1: :m1: :m1:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
คนที่มันไม่ชอบก็ยากที่จะทำให้ชอบหล่ะนะ
เมื่อเตือนไม่ฟังมันก็พูดยากจริงๆ
 :a3:
แต่เรื่องดูนุจะโหดร้ายและเห็นแก่ตัวมากๆจริงๆ
 :m19:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ก็ยังดีนะที่นุรู้ตัวทัน  ไม่งั้นก็เศร้าแย่เลย ถ้าน้องไวท์ตัดใจหันไปมีแฟนใหม่ละก้อ
แล้วไม่แต่งต่ออีกหน่อยเหรอ อยากรู้เรื่องต่ออีกซักนิดดดดด นึงก็ยังดีอ่า 

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เอาของเก่ามาหากินนิสสส ก่อนเริ่มเรื่องใหม่ อิอิ  :laugh:


รอยยิ้มที่ไม่มีวันลบเลือน




ตั้งแต่เล็กจนโต ผมเติบโตขึ้นมาโดยมีความเหงาอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย พ่อและแม่ของผมต่างก็ทำงานหนักเพื่อให้ผมมีความสุข แต่พวกท่านก็ไม่เคยรู้เลยว่าความสุขที่แท้จริงของผมนั้นถูกพวกท่านพรากมันไปจากผมนานมาแล้ว.......

เมื่อตอนผมยังเด็ก ผมเคยถูกผู้คนหลายคนห้อมล้อมและเอ็นดูเพราะความที่เป็นเด็กน่ารักและช่างพูด ผมเองก็ชอบที่จะส่งยิ้มและหัวเราะไปกับคนอื่นๆเช่นกัน มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นเด็กที่โชคดีที่สุดในโลก ผมมีพ่อแม่ที่รักและมีเวลาให้แก่ผม ผมมีคนอื่นๆมารัก และผมก็รักคนอื่นๆรอบข้างผมมากด้วยเช่นกัน

แต่เมื่อผมโตขึ้นเรื่อยๆ หลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ จนเมื่อผมอยู่ชั้นปอสี่ ผมก็แทบไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะให้กับใครอีกเลย จากเด็กช่างพูดกลายเป็นเด็กเก็บตัว จากคนที่มีผู้คนมาห้อมล้อมก็กลายเป็นคนที่ทำให้เพื่อนๆวัยเดียวกันไม่เล่นด้วยและทำให้ผู้ใหญ่ต่างก็กังวล

พ่อและแม่ของผมต่างก็รักผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีอยู่สองอย่าง นั่นก็คือพวกท่านรักผมในแบบที่ต่างออกไป และพวกท่านไม่รักกันเองอีกแล้ว และสิ่งนั้นไม่ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนที่ถูกรักอีกเลย

พวกท่านคิดว่าการที่เรามีเงินนั้นจะทำให้ผมมีความสุข พวกท่านทั้งสองต่างก็เฝ้าเพียรทำงานหนักเพื่อหาเงินมาให้ผมใช้และเพื่อประโยชน์ของตัวผมเองในอนาคต ทั้งสองคนทำงานหนักมากจนกระทั่งพวกเขาแทบไม่มีเวลาให้กับผมอีกต่อไป และแน่นอน ไม่มีเวลาดูแลความรักของกันและกันอีกเลยด้วย น่าเสียดาย ที่ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะฉลาดเกินวัย และนั่นมันทำให้ผมเรียนรู้บางสิ่งเช่นว่า ต่อให้ครอบครัวของผมมีเงินมากเท่าใด แต่ถ้าพ่อและแม่ไม่เคยใช้เวลาอยู่กับผมเลย นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขจริงๆเลยแม้แต่นิดเดียว และอีกอย่างที่ผมรู้ในเวลาต่อมาเมื่อผมโตมากขึ้นอีกหน่อยนั่นก็คือ ความรักที่ดูเหมือนจะหวานชื่น ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องจบลงอย่างสวยงามตลอดไป

ผมไม่ใช่เด็กเก็บกดหรือเป็นเด็กมีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะถึงผมจะฉลาดแค่ไหนผมก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็กธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ผมยังคงหัวเราะ และมีความสุขกับเพื่อนๆตามประสาเด็กผู้ชายทั่วไป แต่เมื่อผมเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น การเปลี่ยนแปลงจากเด็กชายก็เริ่มพัฒนาไปสู่ชายหนุ่มอย่างช้าๆ ซึ่งรวมกับความที่ผมเป็นคนช่างคิดอยู่แล้วด้วยก็เลยยิ่งทำให้ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวของผมมากขึ้นเรื่อยๆ  อย่างเช่นถ้าภายนอกของผม ผมจะเป็นคนที่ยิ้มยากอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ตอนแรกผมไม่ค่อยจะมีเพื่อนมากนัก และบางครั้ง ต่อให้นานแค่ไหน ผมก็ยังคงไม่มีเพื่อนอยู่ดี แน่นอน ผมหมายถึงเพื่อนที่รักผมจริงๆไม่ใช่แค่ที่เงินทอง และไม่ใช่หมายถึงเพื่อนที่แค่เจอหน้ากันทุกๆวัน แต่ผมหมายถึง “เพื่อนแท้”........  ไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนร่ำรวยแบบมหาเศรษฐีอะไรนักหรอก และผมก็ไม่เคยใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยเลยด้วย เพราะเงินทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นเงินที่พ่อและแม่หามาโดยแลกกับความสุขของลูกของเขา ซึ่งนั่นก็คือความสุขของผมนั่นเอง....... อย่างที่สองที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวผมเองนั่นก็คือ ผมไม่มีความสนใจในเรื่องของความรักเลยสักนิด ผมแทบไม่เชื่อในเรื่องของความรู้สึกที่เรียกว่าความรักเลย แน่นอน ว่าตอนนั้นผมเพิ่งจะอยู่มอหนึ่ง ผมอาจจะยังเด็กเกินไปก็ได้ แต่ว่าในขณะที่เด็กผู้ชายคนอื่นๆเริ่มจะสนใจเพศตรงกันข้ามนั้น ผมกลับเลือกที่จะอยู่กับตัวผมเองคนเดียวแบบนั้นมากกว่า

จนเมื่อผมอยู่ชั้นมอสอง เราทุกคนต้องจับฉลากห้องใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้ทำให้ผมได้พบกับคนๆหนึ่งที่ผมสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเลยว่าเขาเป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดในโลก..... ไม่ว่าจะในช่วงเวลานั้นหรือในปัจจุบันนี้

เขาคนนั้นมีชื่อว่า ภู บ้านของภูมีฐานะปานกลาง เขาไม่ได้มีอะไรโดดเด่นทั้งเรื่องหน้าตา การเรียน และกีฬา แต่อย่างหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดในตัวของเขานั่นก็คือรอยยิ้ม เขาเป็นคนหนึ่งที่มีเพื่อนและมีคนรักมากที่สุดในชั้นเรียน และเขาก็สามารถที่จะเลือกใครมาเป็นเพื่อนหรือสามารถที่จะรวบรวมผู้คนให้มาห้อมล้อมเขาอยู่ได้โดยใช้เพียงอัธยาศัยบวกกับรอยยิ้มของเขาเท่านั้น แต่ทว่าเขากลับเลือกที่จะมาคบกับผม

ภูเป็นคนร่าเริงและยิ้มเก่งจนผมรู้สึกอิจฉาเขาในทุกๆครั้งที่ผมเห็นเขาส่งยิ้มให้คนอื่น เมื่อครั้งแรกที่ผมรู้จักกับเขานั้นผมก็คิดว่าเขาก็แค่ทำความรู้จักกับผมตามมารยาทเท่านั้น เพราะว่าเขาเป็นคนแบบนั้นนั่นเอง เขาเข้ากันได้ดีกับทุกๆคนและทำความรู้จักกับทุกๆคนที่อยู่รอบกายของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมถึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่คบกับผมในฐานะของคนรู้จักอย่างที่ผมคิด ไม่ใช่แม้แต่ในฐานะเพื่อน แต่หากเป็นในฐานะเพื่อนสนิทต่างหาก

หลังจากที่ผมรู้จักกับภูได้ราวๆเกือบสองเดือน วันนั้นเป็นวิชาพละที่พวกเราทุกคนต้องลงไปเรียนกันที่โรงยิม แต่ว่าผมรู้สึกไม่สบายและตัวร้อนมาก อาจารย์จึงอนุญาตให้ผมขึ้นมานอนพักบนห้องได้ เมื่อผมเดินขึ้นมาฟุบอยู่บนโต๊ะคนเดียวได้ราวๆห้านาที ผมก็รู้สึกว่ามีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาหาผม

“เป็นไงมั่ง พี”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงช้าๆ ภูนั่นเอง ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ

“อืมม ก็ดีขึ้นนะ ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมบอกเขา

“ดีขึ้นแล้วทำไมโทรมขนาดนี้วะเนี่ย ไหนมานี่หน่อยซิ” เขายื่นมือออกมาสัมผัสที่หน้าผากของผม “ตัวร้อนจี๋เลย กินยารึยัง”

ผมส่ายหน้า “ว่าแต่ทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ไม่ไปเรียนหรือไง” ผมถามเขา

“ไม่ล่ะ กูขออาจารย์แล้ว และอีกอย่าง วันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรทำมากมายด้วย” เขาตอบแล้วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆผม

“ทำไมมึงต้องทำแบบนี้ด้วยวะ” ผมถามเขา เพราะผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเขาจึงต้องดีกับผมขนาดนี้ หลายครั้งที่ผมเห็นเพื่อนคนอื่นๆไม่สบายหรือได้รับบาดเจ็บ ทุกๆคนจะต้องเข้ามารุมดูแลและถามอาการด้วยความเป็นห่วง แต่มันแทบไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย ถึงแม้ทุกคนจะเป็นห่วงผม แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่ามันแตกต่างกันออกไป แน่นอน ผมรู้อยู่แล้วว่าคงเป็นเพราะผมเอง ผมไม่เคยคิดร้ายอะไรกับใครก่อน แต่ผมก็ไม่เคยที่จะยิ้มหรือแสดงความเป็นมิตรออกมาก่อนเช่นกัน “คนอื่นๆเขายังไม่สนใจกูเลย ทำไมมึงต้องมาดูแลกูแบบนี้ด้วยวะ”

ภูหน้าเสียลงทันที “มึงไม่ชอบให้กูทำแบบนี้เหรอ...... คือ ถ้างั้นกูก็ขอโทษก็แล้วกัน” เขาก้มหน้า

“เปล่าๆ ไม่ใช่” ผมรีบชันตัวขึ้นนั่งตัวตรงทันที “กูขอโทษ ภู กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น........ กูแค่ คือ กูไม่คิดว่าคนอย่างกูจะมีใครมารักมาเอาใจใส่กูแบบนี้เท่านั้นเอง คือ กูไม่เห็นว่าทำไมมึงถึงต้องทำแบบนี้ด้วยในขณะที่คนอื่นเขายังไม่เห็นจะใส่ใจคนขวางโลกอย่างกูเลย” ผมพูด และน้ำตามันก็เริ่มไหลออกมาทีละน้อยโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ

ภูเงยหน้าขึ้น และเมื่อเขาเห็นน้ำตาของผม แทนที่เขาจะปลอบใจผมหรือแสดงความเสียใจไปกับผมด้วย เขากลับทำให้ผมต้องแปลกใจด้วยการส่งยิ้มกว้างออกมา

“ก็เพราะกูเป็นเพื่อนมึงไง กูรักมึง โอเคป่าว” เขายิ้มแล้วก็เอามือมาเช็ดน้ำตาบนแก้มของผมออก “คราวนี้มึงฟังกูให้ดีๆ มึงไม่ใช่คนขวางโลกอย่างที่มึงคิดหรอก มึงแค่เป็นคนยิ้มยากเพราะอาจจะเคยเจออะไรมามากเท่านั้นเอง กูรู้ แต่จริงๆแล้วน่ะ มึงเป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยน ไม่มีใครในห้องสักคนที่เกลียดมึงหรอก ไม่มีจริงๆ มึงเชื่อกูสิ เพียงแต่พวกเขา ‘ยัง’ ไม่เห็นมึงแบบที่กูเห็นเท่านั้นเอง เวลามันจะพิสูจน์ให้มึงรู้เองว่าคนอื่นๆเขาก็รักมึงเหมือนกัน พี”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมาอีก

“ทำไมมึงถึงกล้าพูดได้ขนาดนั้นวะ” ผมถาม

“อืมมม นั่นสินะ” เขาทำท่าคิด จากนั้นก็ยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อได้คำตอบให้แก่ตัวเอง “อ๋อ กูว่านะ มันต้องเป็นเพราะกูรักมึงนั่นแหละ” พีหัวเราะออกมา แต่ผมกลับนั่งนิ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้น ถึงตอนนั้นผมจะแค่อายุสิบสาม แต่ผมก็รู้นะว่าคนที่ชอบผู้ชายหรือที่เรียกว่าเกย์นั้นมันเป็นยังไง และทั้งหมดที่ผมได้ยินอยู่นี้มันมีความหมายว่า ภูเป็นเกย์และชอบผมอย่างนั้นเหรอ

แต่ที่ผมอึ้งนั้นไม่ใช่ความคิดที่ว่าภูเป็นเกย์หรืออะไรหรอก เพราะผมก็รู้ตัวว่าผมเองก็ชอบผู้ชายเช่นเดียวกัน และมันก็คงจะดีมากด้วยถ้าภูนั้นมาชอบผมจริง แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่สุดนั่นก็คือการที่ภูพูดว่า เขารักผม ถึงสองครั้งแล้วต่างหาก

เมื่อเห็นผมเงียบไปนาน ภูก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “คนอื่นๆน่ะ เขาก็แค่ไม่กล้าคุยกับมึงก็เพราะมึงเป็นคนยิ้มยากต่างหาก มึงไม่ค่อยเปิดใจรับใครง่ายๆ แต่จริงๆแล้วมึงนั่นแหละที่เป็นคนรักเพื่อนมากกว่าใครๆ จริงป่าว”

ผมก้มหน้าเพราะความอาย ใบหน้าของผมร้อนผ่าว แน่นอนว่าเป็นเพราะพิษไข้ด้วยส่วนหนึ่ง และตอนนี้มันก็คงจะแดงมากด้วยแล้วเช่นกัน ต้องขอบคุณอาการไข้ของผมที่ช่วยปกปิดความเขินอายของผมได้เป็นอย่างดี

“อะไรๆ อายเหรอวะ” ภูหัวเราะแล้วก้มหน้ามามองผม

“กูเปล่าสักหน่อย หน้ากูมันแดงเพราะพิษไข้ต่างหาก” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา

“กูก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่ามึงหน้าแดง นั่นแน่ มึงเขินจริงๆใช่มั๊ยล่า ไอ้พี” ภูหัวเราะพร้อมๆกับขยี้หัวของผมเบาๆ และคราวนี้ผมก็ยิ้มออกมาด้วยพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำมากขึ้นไปอีก

“นี่ไง เห็นมั๊ย เวลามึงยิ้มแล้วมึงน่ารักจะตาย มีลักยิ้มที่แก้มซ้ายด้วย” ภูพูดแล้วเอานิ้วมาชี้ที่รอยบุ๋มบนแก้มข้างซ้ายของผม “คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆนะ เข้าใจป่าว แล้วเดี๋ยวอะไรๆมันก็จะดีเองนั่นแหละ กูสัญญา และอีกอย่าง........ กูชอบด้วย” คราวนี้ภูหน้าแดงขึ้นบ้างแล้วเหมือนกัน เขาใช้นิ้วชี้เกาแก้มของตัวเองเบาๆและยังคงยิ้มกว้างอยู่เช่นเดิม

บทสนทนาของเราทั้งสองคนจบลงแค่นั้น เพราะหลังจากนั้นภูก็ปล่อยให้ผมได้นอนพักผ่อนไป ส่วนเขาก็นั่งอยู่ข้างๆผมตลอด ตั้งแต่นั้นมา ผมก็รู้แล้วว่าผมมีใจรักเพื่อนของผมคนนี้แบบไหน ผมอยากที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเขาแบบนี้ตลอดไปจริงๆ

และวันนั้นก็เป็นวันแรกและวันเดียวที่เขาพูดว่าเขารักผม

จากนั้นถัดมา ผมกับภูก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ เราสองคนไปไหนมาไหนและทำอะไรด้วยกันตลอดเวลา เพื่อนๆบางคนก็แซวเราบ้างว่าเราตัวติดกันยิ่งกว่าปาท่องโก๋เสียอีก แต่ผมไม่สนใจ เพราะผมถือว่านั่นคือสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นกับผมที่ทำให้เพื่อนๆเริ่มสนิทและหยอกล้อเล่นกับผมมากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะภูช่วยผมเอาไว้แท้ๆ หลังจากนั้นไม่นาน อย่างที่ภูเคยบอกเอาไว้ เวลามันจะพิสูจน์ให้ผมได้รู้เอง ผมเริ่มพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่นมากขึ้น ซึ่งทำให้ผมมีเพื่อนสนิทมากขึ้นตามไปด้วย แน่นอน ว่าผมก็ยังคงเป็นคนพูดน้อยและยิ้มน้อยอยู่อย่างเคย เพียงแต่ว่าเมื่อมีภูอยู่ด้วย ผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าช่วงเวลาไหนๆมากมายในชีวิตทีเดียว

เวลาผ่านไปสองปีจนเราสองคนได้ขึ้นมาอยู่ชั้นมัธยมปลายเป็นครั้งแรก ผมกับภูก็ได้อยู่ห้องเดียวกันอีก ผมกับเขาสนิทกันมากจริงๆ และใครๆก็รู้เรื่องนี้ จากตอนแรกแค่เพื่อนๆในห้องและห้องข้างๆ แต่จนถึงตอนมอสี่นี้ แทบจะทุกคนในระดับชั้นและยังรวมไปถึงอาจารย์หลายๆท่านด้วยที่รู้ว่าผมสองคนเป็น “คู่หู” ที่แทบจะแยกจากกันไม่ออกทีเดียว คนหนึ่งนั้นหัวไม่ดี แต่ร่าเริงและยิ้มเก่ง ใครๆก็รักและรู้จัก ส่วนอีกคน เป็นเด็กหัวดี แต่ขี้อาย และพูดน้อยยิ้มน้อย ทว่าคนสองคนที่แตกต่างกันในแทบจะทุกเรื่องนั้นกลับเป็นเพื่อนที่รักกันและสัญญากันว่าจะรักกันอย่างนี้ไปจนวันตาย

แต่สุดท้าย สัญญานั้นมันก็ไม่เป็นจริง เพราะผมเองนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายผิดสัญญา..........

วันนั้นเป็นวันก่อนวันสอบวันสุดท้ายของเทอมหนึ่งตอนที่เราอยู่ชั้นมอห้า หลังสอบเสร็จผมก็นั่งรอภูอยู่ที่ม้านั่งตัวเดิมพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆเหมือนทุกๆครั้ง แต่เมื่อภูออกมาจากห้องสอบและมาพบกับพวกเราทุกคน เขากลับบอกเพื่อนๆทุกคนว่าเขามีเรื่องอยากจะคุยกับผมแค่สองคน และอยากให้ทุกคนกลับไปก่อน

“มีอะไรเหรอวะ ทำไมต้องให้คนอื่นๆกลับไปก่อนด้วย” ผมถามเขาเมื่อเราอยู่กันสองคนแล้ว

“ก็ ไม่มีอะไรหรอก........” เขายิ้มกว้างในแบบฉบับของเขา ผมสังเกตเขามานานมากแล้วว่าเขาหน้าตาดีขึ้นกว่าเมื่อตอนเด็กๆเยอะเลยทีเดียว อาจจะเรียกว่า “หล่อ” เลยไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนที่หน้าตาใช้ได้ทีเดียว แบบที่ใครๆควงก็ไม่ต้องรู้สึกอายแน่ๆ

และแน่นอนไม่ใช่ว่าเป็นเพราะผมนั้นชอบเขาอยู่แล้วถึงได้พูดแบบนั้นหรอกนะ

“ยิ้มอยู่ได้ ยิ้มทำไม มีอะไรก็พูดมาสิวะ กูล่ะเบื่อรอยยิ้มของมึงจริงๆ เห็นแม่งทุกวัน” ผมพูด แต่จริงๆแล้วผมโกหก ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ง้านนเหรออ มึงเบื่อจริงอ่ะ” เขาฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นอีก แล้วก็เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผมจนผมรู้สึกอายและยิ้มออกมา

“อะไรเล่า” ผมพูด พลางขยับตัวหนี

“แต่กูไม่เคยเบื่อรอยยิ้มมึงเลยนะ พูดจริงๆแล้ว กูโคตรชอบรอยยิ้มแล้วก็ลักยิ้มของมึงเลย” เขาหัวเราะเบาๆ

“พอๆ ตกลงมึงมีอะไรจะบอกกู........” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดง

“ก็ พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้วใช่มั๊ยล่ะ” เขาขยับตัวกลับไปนั่งที่เดิมดีๆ “กูก็เลยอยากชวนมึงไปเที่ยวน่ะ หลังสอบเสร็จอ่ะนะ”

“งั้นเหรอ ไปไหนล่ะ แล้วคนอื่นๆอ่ะ ไม่ไปกับพวกมันเหรอ” ผมถาม

“หลังจากไปกินไปเที่ยวกับพวกมันก่อนก็ได้ กูแค่....... เอ่ออ...... คือกูอยากชวนมึงไปบ้านกูว่ะ” เขาพูดขึ้นแล้วยิ้มอายๆ

“ชวนกูไปบ้านมึงเนี่ยนะ” ผมแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยได้ไปบ้านของภูเลย มีแต่ภูที่เคยมาบ้านของผมบ้างสี่ห้าครั้งเท่านั้นเอง

“ช่ายย กูจะชวนมึงไปนอนค้างที่บ้านกูว่ะ” เขาเกาแก้มแกรกๆด้วยนิ้วชี้ เขามักจะทำแบบนี้เสมอๆเวลาที่เขาอาย ส่วนผมก็ชอบเวลาที่เขาทำแบบนี้มากๆด้วยเช่นกัน

ผมแกล้งทำนิ่วหน้าแบบไม่ไว้ใจ “นี่มึงจะมาไม้ไหน อย่าบอกนะว่าวางแผนจะพรากพรหมจรรย์กู” ผมพูดแล้วยิ้ม

ภูหัวเราะ “โอ๊ยยยยย ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากูจะเอาไอ้นั่นของมึงน่ะนะ กูไม่ต้องวางแผนหรอก กูจะขอดีๆตรงๆเลยด้วยซ้ำ”

ผมหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งทันที เขาเป็นคนชอบพูดจาโผงผาง และตรงไปตรงมาเสมอๆ และที่สำคัญ เขาชอบพูดจาทีเล่นทีจริงแบบนี้มากๆ ทำให้ผมไม่รู้สักทีว่าครั้งไหนที่เขาพูดจริงและครั้งไหนที่เขาพูดเล่น

“นั่นแน่ เขินล่ะสิ คุณปฐพี” ภูยิ้มกว้างที่แกล้งผมได้สำเร็จอีกครั้ง “มึงคิดว่ามึงไปได้มั๊ยล่ะ”

“เอ่ออ.... กูก็ต้องถามที่บ้านดูก่อนว่ะ แต่กูคิดว่าไม่น่าจะมีปัญ..........”

“นายภูมิธร” เสียงๆหนึ่งดังขัดขึ้น

เราสองคนหันไปหาที่มาของเสียงทันที แล้วก็พบกับอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษยืนกวักมือเรียกภูอยู่

“เวรและไง กูจะโดนอะไรวะเนี่ย เอางี้ เอาเป็นว่ามึงตอบตกลงแล้วก็แล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พอมึงไปบ้านกู กูจะบอกอะไรมึงบางอย่าง กูจะพูด.......... คร้าบๆๆ เดี๋ยวครับ อาจารย์ รอแป๊บนึงคร้าบบบบ!!” เขาหันไปตะโกนบอกอาจารย์ จากนั้นก็หันหลับมาหาผมอีกครั้ง “เออๆ ถึงไหนแล้วนะ เออใช่ คือพรุ่งนี้เนี่ย กูอยากจะคุยอะไรกับมึงหน่อย เพราะงั้นมึงต้องไปบ้านกูนะ กูจะบอกสิ่งที่กูไม่ได้บอกมึงมานานหลายปีแล้ว....... ก็ สามปีได้แล้วมั๊ง”

เราสองคนมองตากันนิ่งอยู่ราวๆสองวิ จากนั้นภูก็ชิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“เออๆ กูไปและนะ เจอกันพรุ่งนี้ที่ห้องสอบ” เมื่อพูดจบเขาก็วิ่งออกไปทันที ผมเห็นตอนที่เขาวิ่งไปหาอาจารย์ เขาก้มหน้าวิ่งแล้วก็เอามือเกาแก้มไปด้วย

ผมนั่งอยู่ย่างนั้นอีกราวๆห้านาที คิดถึงสิ่งที่ภูเพิ่งพูดออกมา นี่เขาหมายความว่าอย่างที่ผมคิดรึเปล่านะ เพราะถ้าเขาหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ผมก็คิดที่จะเริ่มต้นเดินก้าวต่อไปด้วยแล้วเหมือนกัน  ไม่สิ ต่อให้เขาไม่พูดในสิ่งที่ผมคิดออกมา ซึ่งถึงแม้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าต้องใช่แน่ ผมค่อนข้างมั่นใจมาตลอดว่าเขาเองก็คิดกับผมแบบเดียวกับที่ผมคิดกับเขา เพียงแต่เราสองคนไม่เคยพูดมันออกมาเลย แต่คราวนี้ผมก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายเริ่มพูดเองบ้างแล้ว ไม่เห็นมันจะมีอะไรเสียหายนี่

ถ้าหากใครสักคนมาขีดข้อกำหนดในเรื่องของความรักให้ผมฟังล่ะก็ ผมก็พร้อมจะตอกหน้าเขากลับไปทันทีเลย เพราะตัวอย่างที่ผมเห็นชัดๆมันก็มีอยู่ตรงหน้าผมนี่แล้วไง ผมและเพื่อนคนนี้รักกันและเราก็รักกันดีมากด้วยมาตลอดระยะเวลาหลายปี ถึงแม้ว่าเราสองคนจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตาม แล้วพ่อและแม่ของผมล่ะ พวกท่านไม่ได้เป็นตัวอย่างของความรักชายหญิงที่ล้มเหลวหรอกเหรอ ข้อจำกัดเรื่องเพศไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาขีดกั้นผมได้เลยตั้งแต่ผมยังเล็กแล้วด้วยซ้ำ ผมเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้เองมาตั้งแต่ผมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมเองนั้นชอบผู้ชาย


ใช่แล้ว......... ความรักของผมนั้นก็คงเป็นเหมือนดั่งผีเสื้อ

มันใช้เวลานานกว่าจะเติบโต มันสวยงาม และน่าทะนุถนอม
แต่สุดท้ายก็ มันจากเราไปอย่างง่ายดาย รวดเร็ว และช่างบอบบางเหลือเกิน..........


ผมรอคอยวันสอบวันสุดท้ายอย่างใจจดใจจ่อ ผมรอแทบไม่ไหวแล้วที่ผมจะได้พูดคำว่า “รัก” ออกไปให้คนที่ผมรักและรู้ว่าเขาก็รักผมเช่นเดียวกันฟัง

แต่สุดท้ายแล้ว ความฝันมันก็ยังคงเป็นแค่ความฝัน เช้าวันรุ่งขึ้นผมได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิตเมื่อมีคนมาบอกทางโรงเรียนว่า นายภูมิธรเกิดประสบอุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เขาซ้อนท้ายเสียหลักและล้มลงในหมู่บ้านของตัวเองและเป็นเหตุให้เขาถึงแก่ชีวิต

หัวใจของผมแตกสลาย ผมนั่งทำข้อสอบอย่างไม่รู้เลยว่าตัวเองกาอะไรลงไปบ้าง น้ำตาของผมมันไหลไม่ยอมหยุด ผู้คนหลายคนทั้งนักเรียนและอาจารย์ต่างก็โศกเศร้าและเสียใจ เขาเป็นที่รักของทุกๆคนจริงๆ หลายคนพยายามเข้ามาปลอบผม แต่ผมก็ไม่ได้ยินอะไรที่พวกเขาพูดเลยสักนิด สิ่งที่ก้องอยู่ในหัวของผมตลอดเวลานั้นมีอยู่แค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเสียงใสๆของเขาตั้งแต่เขายังไม่แตกหนุ่ม ประโยคที่เขาบอกว่า เขารักผม เสียงที่หนักขึ้นทุ้มขึ้นของเขาที่บอกผมว่า เขามีอะไรบางอย่างจะพูดกับผมหลังจากที่เขาไม่ได้พูดมันมานานแล้วถึงสามปี และเสียงของเขาจากประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับผมว่า เขาจะมาเจอผมที่ห้องสอบในเช้าวันนี้...............

แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มา และคงจะไม่มาให้ผมได้พบหน้าอีกต่อไปแล้ว..............

เขาคือคนๆเดียวที่ทำให้โลกของผมสว่างสดใสขึ้น เขาคือคนๆเดียวที่ทำให้ผมประทับใจได้ตั้งแต่รอยยิ้มแรกพบ และเขาคือคนๆเดียวที่สอนให้ผมรู้จักกับคำว่า “เพื่อนแท้” และ “ความรัก”

ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่เคยได้ไปบ้านของเขา แต่ในงานศพ แม่ของเขาได้นำของสิ่งหนึ่งมามอบให้แก่ผม มันคือรูปถ่ายที่ผมถ่ายคู่กับเขาสองคนในห้องเรียนตั้งแต่เรายังอยู่ชั้นมอสอง ในรูปนั้น ใบหน้าที่ผมเกือบจะลืมเลือนมันไปแล้ว ใบหน้าตอนเด็กของเขาที่กำลังยิ้มกว้างอย่างที่เขาชอบทำเป็นประจำและกำลังกอดคอกับผมเองที่ก็กำลังยิ้มอยู่เช่นเดียวกัน ลักยิ้มข้างซ้ายของผมบุ๋มลงไปเล็กน้อย และเสียงของเขาก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง...........

“นี่ไง เห็นมั๊ย เวลามึงยิ้มแล้วมึงน่ารักจะตาย มีลักยิ้มที่แก้มซ้ายด้วย คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆนะ เข้าใจป่าว แล้วเดี๋ยวอะไรๆมันก็จะดีเองนั่นแหละ กูสัญญา และอีกอย่าง........ กูชอบด้วย”

“แต่กูไม่เคยเบื่อรอยยิ้มมึงเลยนะ พูดจริงๆแล้ว กูโคตรชอบรอยยิ้มแล้วก็ลักยิ้มของมึงเลย”


ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง และคราวนี้มันมากกว่าครั้งไหนๆด้วย ผมพลิกดูด้านหลังของรูปช้าๆ และเห็นลายมือของเขาเขียนเอาไว้อยู่สองบรรทัด บรรทัดแรกเป็นลายมือตอนเด็กๆของเขา เขียนเอาไว้ว่า

“กูจะรักมึงอย่างนี้ไปจนวันตาย”

ส่วนอีกบรรทัดเป็นลายมือที่หวัดและเป็นผู้ใหญ่กว่าบรรทัดแรกอย่างเห็นได้ชัด ผมดูจากรอยหมึกแล้วเดาเอาว่าเขาน่าจะเพิ่งเขียนมันเมื่อไม่นานมานี้เอง มันถูกเขียนเอาไว้ว่า

“หนึ่งเดียว อันเป็นที่รัก และจะรักตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยน”

เมื่ออ่านจบผมก็ร้องไห้จนตัวโยน ทั้งแม่ของภูและเพื่อนๆคนอื่นๆก็เข้ามาปลอบผมให้ผมสงบลง แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ ผมห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ในชีวิตของผมทั้งชีวิต ผมไม่เคยได้สัมผัสกับคำว่ารักแบบที่ภูเคยมอบให้ผมมาก่อนเลย การจากไปของเขาทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่สุด ผมรู้สึกราวกับไม่เหลือใครอีกแล้ว เขาเข้ามาในโลกของผมแล้วเปลี่ยนชีวิตผมไป เขามอบความรักให้ผมในแบบที่ผมไม่เคยได้รับจากใคร และไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ผมได้ในแบบที่เขาทำด้วย ผมไม่รู้จริงๆว่าถ้าปราศจากเขาแล้ว ชีวิตของผมต่อจากนี้มันจะเป็นอย่างไร..............

จากนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อมาโดยเฝ้าคิดถึงและเสียใจแต่เพียงเรื่องๆเดียว นั่นก็คือ แม้แต่คำว่ารัก ผมยังไม่เคยได้บอกเขาออกไปเลยสักครั้ง...........

เมื่อขึ้นเทอมใหม่ ผมก็ไปเรียนตามปกติ แต่ผมไม่รู้สึกปกติเลยแม้แต่น้อย ผมเศร้า และหดหู่ ผมกลับเป็นคนที่พูดน้อยและยิ้มน้อยเหมือนเดิม ผมไม่สุงสิงกับใคร และไม่เห็นว่าผมจะต้องทำแบบนั้นไปทำไมถ้าเมื่อผมทำไปแล้วและผมจะต้องเจ็บปวดเพราะการสูญเสียอีกครั้ง ผมใช้ชีวิตอยู่กับการคิดถึงเขาในทุกๆนาทีที่ผมหายใจ ทุกๆวันที่ผมใช้ชีวิต และทุกๆคืนที่ผมหลับตานอน

จนวันหนึ่ง ผมหยิบรูปของภูที่ถ่ายคู่กับผมรูปนั้นออกมาดูแบบที่ผมทำเป็นประจำ รอยยิ้มของเขามันบอกผมว่าผมควรเลิกที่จะเป็นแบบนี้ได้แล้ว ผมรู้ตัวว่าภูไม่ได้ต้องการให้ผมเป็นแบบนี้ เขาชอบรอยยิ้มของผม เขาชอบลักยิ้มของผม แต่ตอนนี้ผมกำลังจะสูญเสียสิ่งเหล่านั้นที่ทำให้ผมกับภูผูกพันกันไปเสียแล้ว......... วันนั้นผมร้องไห้อย่างรุนแรงกับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง แล้วสัญญากับตัวเองว่าผมจะเข้มแข็งขึ้นเพื่อตัวของผมเองและคนที่กำลังหัวเราะมาให้ผมอย่างมีความสุขอยู่ที่โลกนู้น

ผมหยิบรูปถ่ายเดี่ยวล่าสุดของภูเท่าที่ผมมีออกมาดูอีกครั้ง ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของเขาเลยจริงๆ.........

ผมรู้ว่าสิ่งที่เขาปรารถนาดีต่อผมมากที่สุดก็คืออยากให้ผมมีความสุข เพราะฉะนั้นผมก็จะมีความสุข เพื่อที่เขาจะได้ยังคงมอบรอยยิ้มที่แสนประทับใจนั้นให้ผมได้ตลอดไปด้วย ผมบอกขอโทษเขา ว่าผมไม่สามารถรักษาสัญญาที่ผมกับเขาเคยมีให้กันว่าเราจะรักกันอย่างนี้ไปจนวันตายได้แล้ว..............

“ภู กูขอโทษนะ กูรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับมึงไม่ได้แล้ว.......” ผมพูดกับรูปถ่ายของเขาและร้องไห้ออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ “.......เพราะถึงมึงจะจากไปแล้ว แต่กูก็ยังไม่หยุดรักมึง ภู...... กูขอโทษ....... ทั้งๆที่มึงทำตามสัญญาของเราแท้ๆ ทั้งๆที่มึงเองก็รักกูไปจนถึงวันตายของมึง....... แต่กูรักมึงมากจริงๆ และจะยังคงรักมึงไปตลอดกาลด้วย กูไม่สามารถหยุดรักมึงได้แม้ว่าความตายจะพรากมึงไปจากกูแล้ว กูสัญญา....... กูสัญญาว่าแม้แต่ความตาย ก็ไม่อาจพรากความจริงข้อนั้นไปจากเราสองคนได้........ ภูมิธร กูขอสัญญา ว่านับจากนี้ไป.............” แต่ผมไม่สามารถจะจบประโยคได้ ผมร้องไห้และร้องไห้ ร้องจนคิดว่าน้ำตาของตัวเองคงจะเปลี่ยนเป็นสายเลือด ผมร้องจนกระทั่งผมหลับไปทั้งๆที่มีน้ำตาอาบใบหน้า

วันรุ่งขึ้น ผมไปทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนทันที เพราะผมไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับที่ๆเต็มไปด้วยความทรงจำของเขาและผมแบบนี้อีกต่อไปได้ ถ้าผมอยากจะก้าวเดินต่อไป สักวันหนึ่งผมก็ต้องเรียนจบจากที่แห่งนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้นผมก็จะขอก้าวเดินต่อไปตอนนี้เลย และผมสัญญา ว่าผมจะไม่มีวันลืมเพื่อนรักของผมคนนี้เด็ดขาด เขายังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของผม และผมก็ยังคงสามารถเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของเขาได้ในทุกๆครั้งที่ผมหลับตาลง........

ต่อจากนี้ไป ผมจะทำตัวเองให้ดีขึ้นและมีความสุข เพื่อเขาที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในใจของผมด้วยเช่นกัน


ปล. ใครอยากรู้จักเขาคนนี้มากขึ้น อยากรู้ว่าต่อจากนี้เขาเป็นยังไงต่อ ไปอ่านในการเดินทางของศิลากับฟ้าครามนะครับ (ฮา)  :laugh:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2007 19:47:55 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
อ่าน ๆ ไป อ้าวอ่านแล้วนี่หว่า  :a5:  :a5:

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

ก็ว่าอยู่ว่ามันคุ้นๆ  :a6: :a6:


ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอน
 :m15: :m15: :m15:

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป



เมาชิบ  ปวดหมองว่ะ




ผมรู้ว่าพี่รักผม  และผมก็รักพี่  แต่โลกของผม  เข้ามาไม่ได้. . .


ทราบครับ  ทราบดี  ผมเข้าไปไม่ได้  ขอบคุณสำหรับทุก ๆ  อย่างนะครับ

กูรักมึงแหละ  ไอ้น้อง. . . รักมากพอ ๆ กับที่กูรักไอ้เนฯ



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page



เมาชิบ  ปวดหมองว่ะ




ผมรู้ว่าพี่รักผม  และผมก็รักพี่  แต่โลกของผม  เข้ามาไม่ได้. . .


ทราบครับ  ทราบดี  ผมเข้าไปไม่ได้  ขอบคุณสำหรับทุก ๆ  อย่างนะครับ




เด๋วปั๊ดตบชัก รักนะไอ้หมี
ถ้าไม่รักจะพูดเรอะ

จุ๊บๆ

ปล.

อ่าน ๆ ไป อ้าวอ่านแล้วนี่หว่า  :a5:  :a5:

ก็ว่าอยู่ว่ามันคุ้นๆ  :a6: :a6:

5555
เด๋วไม่คุ้นคับ รอโหน่ยยยย เห็นมันเข้าคอนเสป เลยขอแจมนิดนึง


gobgab

  • บุคคลทั่วไป

...........อ่านอีกทีก็เศร้าอยู่ดี........ :o12: :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
บทหนึ่งของชีวิต



ผมอายุยี่สิบปีและกำลังจะเรียนอยู่ปีสามแล้ว แต่ทว่าผมก็ยังคงมองไม่เห็นเป้าหมายในอนาคตของชีวิตของผมเลยแม้แต่น้อย อีกแค่เพียงไม่ถึงสองปีผมก็จะต้องเลือกทางเดินชีวิตเส้นใหม่ของผมอีกครั้งแล้ว แต่มันก็น่าแปลกที่ทั้งๆที่เมื่อสองสามปีก่อนหน้านี้ ผมยังไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาตกอยู่ในที่นั่งลำบากแบบนี้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นทางแยกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมอย่างเช่นทุกวันนี้ กลับกัน ก่อนหน้านี้ผมค่อนข้างจะมั่นใจเสียด้วยซ้ำว่าชีวิตของผมมันจะต้องดำเนินไปอย่างไร.........

แต่ไม่ใช่ ณ ตอนนี้เลยจริงๆ

เมื่อสองปีก่อนหลังจากที่ผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่นาน พ่อกับแม่ของผมก็บอกความจริงที่ถูกปกปิดมานานแล้วว่า พวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป ตอนนั้นผมทั้งช็อคและตกใจมาก ผมคิดว่าทั้งสองคนนั้นคงจะพูดเล่น คิดว่ามันคงเป็นแค่เรื่องล้อเล่น เป็นตลกร้ายที่ไม่น่าจะเป็นความจริงเท่านั้น แต่ทว่าความจริงนั้นมันก็ช่างปวดร้าวนัก เมื่อสุดท้ายแล้วผมก็ต้องมารับรู้ว่าตลอดชีวิตเกือบยี่สิบปีของผมมันเป็นเพียงความหลอกลวงและคำโกหกคำโตของคนที่ผมเรียกว่าพ่อกับแม่เท่านั้น

หลังจากความจริงที่ว่าทั้งสองคนไม่ได้รักกันมานานแล้วถูกเปิดเผยออกมา พ่อกับแม่ของผมก็แยกกันอยู่แบบที่เรียกได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบทีเดียว พ่อของผมกลับบ้านแค่สัปดาห์ละไม่กี่คืน ส่วนนอกเหนือจากนั้นเขาก็จะไปนอนกับแฟนใหม่ของเขา ส่วนแม่ของผมถึงจะยังคงอยู่ที่บ้าน แต่ว่าก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าสักวันเขาจะกลับบ้านของตัวเองที่จังหวัดเพชรบูรณ์

และตอนนี้ สองปีผ่านไปนับจากเหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ในชีวิตของผมทั้งหมด ผมก็กำลังยืนอยู่ ณ ขนส่งเก่าในตัวเมืองของจังหวัดเพชรบูรณ์...........

เมื่อไม่นานมานี้ตาของผมเพิ่งจะลาจากไปด้วยโรคหัวใจ ทำให้แม่ของผมตัดสินใจกลับมายังบ้านของตัวเองทันที และมันยังไม่ใช่เพียงแค่การตัดสินใจของแม่ผมเท่านั้นด้วย มันยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ด้วยว่าผมจะเลือกที่จะอยู่กับแม่ที่นี่หรืออยู่กับพ่อที่กรุงเทพต่อไป

ผมรักทั้งพ่อและแม่ของผมมากเท่าๆกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งสองคนคือบุคคลที่ผมรักและเทิดทูนมากที่สุด แต่แล้วจู่ๆวันหนึ่งความรู้สึกทั้งหลายเหล่านั้นมันก็พังลงไปต่อหน้าต่อตาทันทีราวกับพายุร้ายที่โหมพัดบ้านของเราให้พังทลายกลายเป็นเสี่ยงๆ ผมรู้สึกว่าผมถูกเลี้ยงขึ้นมาด้วยคำโกหกและความหลอกลวง ผมรู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง และผมรู้สึกราวกับชีวิตของผมนั้นมันถูกสร้างขึ้นมาจากพื้นฐานของความลวง ความรักหลอกๆที่มีแต่เปลือกนอกแต่ไร้ซึ่งเนื้อใน

ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม ผมจึงตัดสินใจจะมาเยี่ยมแม่ของผมที่บ้านในตัวเมืองนี่ ไม่ใช่ว่าผมเลือกที่จะมาอยู่กับแม่ในตอนนี้ และไม่ใช่ว่าผมรู้แล้วว่าผมจะทำอะไรต่อไปในอนาคตดี เพียงแต่ว่าผมก็แค่กลับมาเจอหน้าบุพการีคนหนึ่งของผมอีกครั้งเท่านั้นเอง และเมื่อเทอมใหม่เริ่มต้นขึ้น ผมก็ต้องกลับไปอยู่หอที่มหาวิทยาลัยอีกเช่นเคย

ก่อนที่ตาของผมจะเสียได้ไม่นาน เขาได้ซื้ออาคารพาณิชย์ที่มีลักษณะคล้ายๆกับทาวน์เฮาส์เอาไว้สองหลัง และตอนนี้แม่ของผมก็กำลังรอผมอยู่ที่นั่น ส่วนตัวของผมเองผมแทบไม่เคยมาที่จังหวัดนี้เลย โดยเฉพาะบ้านหลังใหม่ที่ผมกำลังจะไปนี่ผมยิ่งไม่เคยรู้เลยว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร และแม่ของผมก็เรียกผมมาที่นี่เพื่อที่จะช่วยเขาในการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์และออกแบบตบแต่งภายในด้วยนั่นเอง

ทันทีที่ผมนั่งรถเข้าไปถึงบ้านหลังใหม่ของแม่ของผม แม่ก็กำลังยืนรอรับผมอยู่ที่หน้าบ้านอยู่แล้ว

“เป็นไง ชอบมั๊ย แม่ว่าแม่จะชวนเก่งไปเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์วันนี้เลยเนี่ย เพราะแม่ให้คนเขามาทำความสะอาดกันไว้หมดแล้ว”

ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังอาคารสามชั้นเบื้องหน้า ดูภายนอกมันก็ดูดีอยู่หรอกนะ และจากที่เห็นด้วยสายตา ส่วนภายในนั้นก็ค่อนข้างจะกว้างขวางและถูกออกแบบมาอย่างดีด้วยเช่นกัน

“แม่จะไม่ถามเก่งหน่อยเหรอครับว่าเหนื่อยรึเปล่า เก่งนั่งรถมาตั้งห้าชั่วโมงนะ” ผมพูด พร้อมกับเดินเข้าไปวางกระเป๋าลงบนพื้นบ้าน “ไปกันเลยมั๊ยครับ จะซื้อเฟอร์นิเจอร์ใส่บ้านใช่มั๊ยล่ะ เค้าจะได้มาส่งให้เราได้ทันใช้นั่งใช้นอนวันนี้ได้เลยไง”

“ไม่ไปนอนที่บ้านคุณตาก่อนเหรอลูก เหนื่อยไม่ใช่เหรอ”

“ไม่อ่ะครับ เก่งไม่อยากไปไหนแล้ว นอนที่นี่แหละ บ้านคุณตาอยู่ไกลจะตาย เก่งขี้เกียจ เอากุญแจมาสิครับ เดี๋ยวเก่งขับรถให้ แม่บอกทางเก่งก็แล้วกัน” ผมยื่นมือขอกุญแจรถจากแม่ของผม

หลังจากนั้นเราสองคนก็ใช้เวลาหมดไปกับการเลือกซื้อเครื่องเรือนและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำเป็นสำหรับอยู่อาศัยอีกราวๆสามชั่วโมง จนกระทั่งเมื่อเรากำลังขับรถกลับไปหาร้านอาหารทานกันตอนเย็น แม่ของผมก็เริ่มหัวข้อสนทนาที่ผมพยายามเลี่ยงที่จะตอบมานานขึ้น

“เก่งคิดว่ายังไงลูก ถ้าให้มาอยู่ที่บ้านหลังนั้น เก่งว่าเก่งอยู่ได้มั๊ย”

“แม่ เก่งบอกแล้วงเก่งยังไม่รู้อะไรทั้งนั้นล่ะครับ ขอเก่งเรียนให้จบก่อนเถอะครับ” ผมถอนหายใจ

“แต่อีกแค่สองปีก็จะเรียนจบแล้วไม่ใช่เหรอ แม่ว่าถ้าเก่งจะหางานทำที่นี่มันก็ไม่ยากหรอกนะ”

“อีกตั้งสองปีครับแม่ ไม่ใช่อีกแค่” ผมแก้ “และที่สำคัญ ถ้าแม่พูดถึงเรื่องงานล่ะก็ ผมเรียนวิศวะอินเตอร์แบบนี้ อยู่กรุงเทพมันจะมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่านะครับ ถ้าให้เก่งมาอยู่ที่นี่ล่ะก็ เก่งคงไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงแน่ๆ”

“แปลว่าเก่งตัดสินใจไว้แล้วว่าอยากจะอยู่กับพ่อสินะ” แม่ของผมพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆนิดๆ

“ใช่ครับ แต่เก่งตัดสินใจไว้ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนนะ ตัดสินใจไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามหาลัยซะอีก แต่ว่านับตั้งแต่วันนั้น เก่งก็ไม่ได้ตัดสินใจอะไรอีกแล้ว เก่งไม่รู้แล้วครับว่าชีวิตเก่งมันควรจะเดินไปทางไหน”

“แต่ถ้าเก่งไม่มาอยู่กับแม่ แม่ก็ต้องอยู่คนเดียวนะลูก”

“และทั้งพ่อและแม่ก็เป็นครอบครัวของเก่งทั้งคู่ด้วยเหมือนกันนะครับ จู่ๆแม่จะให้เก่งเลือกเรื่องอะไรแบบนี้ง่ายๆมันไม่ได้หรอก และที่สำคัญ เก่งไม่อยากจะลือกอะไรทั้งนั้นด้วย........” ผมผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ “เก่งว่าเราเลิกคุยเรื่องนี้กันดีกว่านะครับ”

ตลอดทางจนถึงร้านอาหารและตลอดเวลาที่เราสองคนนั่งทานข้าวด้วยกัน ผมก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย เว้นแต่แม่ของผมที่คอยหาเรื่องชวนผมคุยอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าผมก็ไม่รู้สึกมีความสุขหรืออยู่ในอารมณ์ที่จะคุยเรื่องไร้สาระพวกนั้นได้เลยจริงๆ บทสนทนาสั้นๆบนรถเมื่อครู่นี้มันทำให้ความรู้สึกดีๆที่ยังคงพอมีเหลืออยู่บ้างพังไปหมดแล้ว แต่ที่จริงผมก็แทบไม่เคยรู้สึกมีความสุขอีกเลยนับตั้งแต่วันที่ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผยออกมาวันนั้นแล้ว

เมื่อร้านเฟอร์นิเจอร์โทรมาบอกพวกเราว่าทางร้านกำลังขนส่งทุกอย่างไปให้ที่บ้านแล้ว เราทั้งคู่จึงขับรถกลับมาเพื่อรอรับของ และเมื่อเวลาผ่านไปอีกกว่าสองชั่วโมง บ้านหลังใหม่ที่ผมต้องใช้นอนอีกสองเดือนครึ่งนับจากนี้ก็เสร็จสมบูรณ์พอที่จะเรียกได้ว่าบ้านจริงๆ

คืนนั้นผมกับแม่นั่งคุยกันเรื่องของสิ่งที่แม่คิดจะทำต่อไปในอนาคต แม่บอกว่าแม่คงจะไม่กลับไปกรุงเทพแล้ว ครั้งหน้าที่กลับไปก็คงจะกลับไปเก็บของที่เหลือและจัดการธุระทุกอย่างให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องงาน แม่บอกว่าแม่จะเข้าเป็นหุ้นส่วนกับเพื่อนเปิดสถาบันกวดวิชาที่นี่ ซึ่งนั่นก็วกเข้ามาถึงเรื่องที่ว่าถ้าผมเรียนจบแล้วผมก็สามารถมาเป็นครูสอนให้ที่นี่ได้ด้วยเช่นกัน ทำให้ผมต้องขอตัวแม่ขึ้นห้องไปนอนก่อนโดยอ้างว่าเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวันเต็มทีแล้ว

คืนนั้นทั้งคืนผมนอนแทบไม่หลับเลย ผมรู้สึกสับสนกับอนาคตของตัวเอง แม่ของผมก็อยากให้ผมมาอยู่กับเขาที่นี่ ส่วนพ่อก็คาดหวังให้ผมกลับไปทำงานที่บริษัทของเขา และไหนจะยังเรื่องบ้านของผมที่กรุงเทพที่ผมโตขึ้นมาตลอดเวลายี่สิบปีอีก ตอนนี้แม่ของผมก็มั่นใจแล้วว่าเขาจะไม่กลับไปอยู่ที่นั่นอีก ส่วนพ่อก็ไม่ค่อยจะได้นอนที่นั่นอยู่แล้วเพราะผมยื่นคำขาดว่าต่อให้ผมจะนอนที่หอ แต่ผมก็ยอมรับให้ผู้หญิงคนอื่นเข้ามาอยู่ในบ้านของผมไม่ได้ ผมยอมให้ผู้หญิงแปลกหน้ามานอนในห้องนอนและนอนบนเตียงที่แม่ของผมเคยนอนไม่ได้จริงๆ

ดูเหมือนว่ามันจะเป็นปัญหาที่ผมหาทางออกไม่ได้จริงๆแล้ว ถึงผมจะผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก มากเสียจนไม่อยากจะรับรู้อะไรๆอีกต่อไปเลย แต่ว่าพวกเขาก็เป็นพ่อและแม่ของผมที่เลี้ยงดูผมมา ท้ายที่สุดไม่ว่าผมจะเลือกเส้นทางไหน ผมก็คงจะต้องทำให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องผิดหวังและเสียใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้า ผมขับรถออกจากบ้านเงียบๆพยายามไม่ปลุกให้แม่ตื่นเพื่อไปซื้ออาหารเช้าที่ตลาดไม่ไกลจากบ้านมากนัก แต่เนื่องจากผมยังคงไม่คุ้นทาง ผมจึงต้องขับรถวนอยู่นานพอควรเหมือนกัน ทั้งๆที่มันน่าจะไปถึงได้ในเวลาแค่สิบนาที แต่ผมก็กลับใช้เวลามากกว่านั้นถึงสองเท่า

ผมจอดรถไว้ที่ข้างถนนและเดินเข้าไปซื้ออาหารสำเร็จรูปพร้อมของสดอีกนิดหน่อย จากนั้นก็นั่งดื่มกาแฟกับกินปาท่องโก๋ที่ร้านขายกาแฟโบราณในตลาดแห่งหนึ่ง จนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองตื่นดีแล้วจึงเดินกลับมายังรถของตัวเอง ผมเปิดประตูหลังและวางถุงกับข้าวทั้งหมดลง จากนั้นก็ควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและยกขึ้นมาจุด ผมเริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรกก็เมื่อตอนที่เครียดเรื่องครอบครัวมากๆนั่นล่ะ แต่ปกติแล้วผมจะไม่ค่อยสูบมันมากนักหรอก เพราะแค่สูบตอนที่มีเรื่องเครียดๆนั้นมันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผมสูบได้เกือบจะทุกวัน

ผมยืนหันหลังพิงรถและพ่นควันออกจากปากพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เนื่องจากตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ จึงยังไม่มีทั้งคนและรถมากนัก ผมหันหลังกลับและเปิดประตูรถออกเพื่อที่จะขับรถกลับบ้าน แต่ว่าผมก็ไม่ได้สังเกตเห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่กำลังวิ่งมาจะจอดอยู่ใกล้ๆผมเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้คนขับรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นต้องรีบหักหลบประตูรถของผมอย่างรวดเร็วจนเขาเกือบจะเสียหลักล้มลง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นนั่นก็คือ คนขับคนนั้นไม่ได้มาแค่คนเดียว แต่มีคนซ้อนท้ายและมีเพื่อนพ่วงมาอีกหนึ่งคันสองคนด้วย

“ทำเหี้ยอะไรไม่รู้จักดูทางเลยรึไง!” คนขับรถมอเตอร์ไซค์คันที่เกือบจะชนเข้ากับประตูของผมเข้าโวยวายด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง

ผมยืนมองหน้าของคนทั้งสี่คนนิ่งๆ ดูแล้วพวกเขาก็น่าจะอายุราวๆเด็กมอปลายเท่านั้นเอง

“มองหน้าหาส้นตีนอะไรวะ กูถามไม่ได้ยินรึไง” ไอ้เด็กคนเดิมพูดขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้เขาก็ได้ความสนใจจากผมไปอย่างที่เขาต้องการจริงๆ

“เออ กูขอโทษ กูก็ไม่ได้อยากให้รถกูมันเป็นรอยหรอก แต่มึงก็จู่ๆก็ขี่รถเข้ามาเบียดกูเองเหมือนกันนี่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่ต่างกับที่พวกเขาพูดกับผมเลย ซึ่งนี่ก็คงเป็นนิสัยเสียของผมอีกข้อนึงด้วยนั่นเอง

“อ้าว ไอ้นี่ปากดีนี่หว่า รู้มั๊ยวะว่าที่นี่มันที่ไหน ไม่คุ้นหน้าเลยนี่หว่ามึงน่ะ” ผู้ชายอีกคนหนึ่งพูดขึ้นบ้าง

ผมส่ายหน้า “ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นตลาด และที่สำคัญ กูไม่แคร์ด้วย ไม่ว่าจะที่นี่เป็นที่ไหน หรือพวกมึงเป็นใคร และจำเป็นรึเปล่าที่กูต้องกลัวพวกมึง”

“เฮ้ย ไอ้เหี้ยนี่แม่งปากดีว่ะ”

“พูดจาหาเรื่องแบบนี้กลัวไม่ได้กลับบ้านดีๆรึไงวะ”

“ก็กูพูดไปแล้วว่ากูขอโทษ หรือว่าพวกมึงไม่ได้ยิน” ผมโยนบุหรี่ลงไปบนพื้นตรงหน้าของไอ้คนแรกสุด “กูไม่อยากจะมีเรื่องหรอกนะ แต่ตอนนี้กูก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะยกมือขอโทษแล้วพูดจาหวานๆใส่ใครด้วยเหมือนกัน เพราะงั้น ต่างคนต่างไปเหอะ โตๆกันแล้ว อย่ามาทำเรื่องให้มันเหมือนเด็กๆทะเลาะกันแบบนี้เลย กูว่ามันไร้สาระ”

“ไอ้เหี้ยนี่ ไม่เจ็บตัวไม่รู้เงาหัวซะแล้ว!” ทั้งสี่คนเดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมจะหาเรื่องเต็มที่ ส่วนผมเองก็พร้อมที่จะรับมือทุกอย่างแล้วเหมือนกัน แต่ว่าจู่ๆก็มีเสียงห้าวๆเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆพวกเรา

“เฮ้ย พวกมึงจะทำอะไรวะ!”

พวกเราทุกคนหันไปมองยังที่มาของเสียงทันที รถมอเตอร์ไซค์ตันหนึ่งขับมาจอดอยู่ข้างๆรถของผม และคนที่พูดก็คือเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนละโลกกับไอ้สี่คนตรงหน้าผมนี่เลย โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าที่นี่คือจังหวัดไหน และการได้เห็นวัยรุ่นหน้าตาดีแบบเขาคนนี้ได้นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์สำหรับผมมากเช่นกัน

“แจ๊ค” คนหนึ่งในสี่คนข้างหน้าผมพูดขึ้น

“กูถามว่าพวกมึงจะทำอะไร” เด็กหนุ่มที่ชื่อแจ๊คดับเครื่องลงและเดินลงตรงเข้ามาหาพวกเรา

“ก็ไอ้เหี้ยนี่น่ะสิมันมาหาเรื่องพวกเราก่อน”

“ใช่ แถมมันยังทำรถพวกกูเกือบล้มด้วย แล้วยังมีหน้ามากวนตีนอีกต่างหาก”

แจ๊คหันมามองหน้าผมครู่หนึ่ง ทำให้ผมเห็นหน้าของเขาได้ชัดมากขึ้น โครงหน้ารูปไข่ ผิวสีแทนเนียนใสไม่มีสิวสักเม็ด ผมที่ถูกตัดสั้นเป็นทรงรองหวี และยังคิ้วและดวงตาคู่นั้นอีก..........

“แต่กูไม่สนใจ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบให้พวกมึงมีเรื่องที่นี่ และที่สำคัญไม่ใช่เวลานี้ หรือมึงจะบอกว่ามึงลืมไปแล้วว่ากูเคยบอกพวกมึงไว้ว่ายังไง” แจ๊คหันกลับไปพูดกับเพื่อนๆของเขา ทำให้ทั้งสี่คนมองหน้ากันแบบเกรงๆทันที ดูท่าทางผมจะเจอหัวโจกตัวจริงเข้าให้ซะแล้ว

“แล้วไอ้เหี้ยนี่ล่ะ จะปล่อยมันไปเฉยๆรึไง” ไอ้คนที่เกือบขับรถมาชนรถผมชี้หน้าผมแล้วพูดขึ้น ถึงแม้ตอนนี้น้ำเสียงของเขาจะเริ่มมีความไม่มั่นใจแฝงอยู่ด้วยแล้วก็ตาม

“มันเป็นอุบัติเหตุ และที่สำคัญ เขาพูดคำว่าขอโทษกับพวกมึงรึยัง” แจ๊คถาม

“พูดแล้ว แต่ว่ามันก็.............”

“ไม่มีแต่ทั้งนั้น กูบอกแล้วไง ไม่ใช่ที่นี่และเวลานี้”แจ๊คสวนกลับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “พวกมึงรีบๆไปได้แล้ว จะกลับบ้านหรือไปไหนก็ไป อย่าทำให้กูต้องโมโห เข้าใจรึเปล่า”

และทันทีที่สิ้นเสียงของหัวโจกแจ๊ค นักเลงเด็กทั้งสี่คนก็พากันซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไปทันที และเมื่อเหลือเพียงแค่ผมกับแจ๊ค เขาก็หันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรออกไปดีด้วยเช่นกัน จะให้พูดว่าขอบใจที่มาช่วยเอาไว้ก็คงไม่ใช่ และจะให้พูดขอโทษที่ไปหาเรื่องเพื่อนๆของเขาก็คงไม่ได้อีกเช่นกัน ผมจึงตัดสินใจล้วงหยิบบุหรี่ออกมาอีกครั้ง

“สูบเข้าไป เดี๋ยวก็ตายไวหรอก ไอ้หน้าอ่อน” แจ๊คพูดขึ้น ทำให้ผมชะงักมือลงทันที “คราวหน้าก็หัดระวังตัวไว้ด้วย อย่าพยายามหาเรื่องมากนัก ไอ้เด็กต่างถิ่น........” เขาพูดพร้อมๆกับเดินกลับไปซ้อนรถของเขา และเมื่อเขาสต๊าร์ทเครื่องขึ้น เขาก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง แต่คราวนี้มีรอยยิ้มเล็กๆอยู่บนใบหน้าของเขาด้วย “เพราะครั้งหน้ากูอาจจะมาช่วยมึงไม่ได้แล้วก็ได้นะ ไอ้หน้าหวาน ดูแลตัวเองดีๆหน่อย เข้าใจรึเปล่า”

เมื่อพูดจบเขาก็ขี่รถเลี้ยวเข้าตลาดหายไป ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆอยู่อย่างนั้น นี่ผมเพิ่งเจอหน้าเขาแค่ไม่ถึงหน้านาทีก็ได้ชื่อเล่นใหม่ถึงสามชื่อแล้วอย่างนั้นเหรอ แถมผมยังข้องใจกับชื่อสุดท้ายที่เขาเรียกผมว่า “ไอ้หน้าหวาน” อีกด้วย

จริงอยู่ว่าผมออกจะเป็นคนหน้าเด็กกว่าวัย แถมยังตัดผมสั้นมากอีกต่างหาก ทำให้คนหลายคนคาดเดาอายุผมผิดอยู่บ่อยๆ และบางครั้งยังมีคนคิดว่าผมเป็นเด็กมอปลายอยู่เลยด้วยซ้ำ และถึงผมจะมีคนทักว่าหน้าตาดีและน่ารักอยู่เรื่อยๆ แต่ว่าผมก็ไม่เคยคิดว่าเลยว่าผมนั้น “หน้าหวาน” และไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครเรียกผมแบบนั้น เพราะนิสัยห่ามๆของผมนั้นมันก็ค่อนข้างจะต่างกับหน้าตาของผมอยู่มากพอดูเลยเหมือนกัน

วันนั้นทั้งวันผมแทบจะไม่ได้คิดถึงอะไรอย่างอื่นอีกเลยนอกจากเหตุการณ์เมื่อตอนเช้า และที่สำคัญ ใบหน้าของแจ๊คกับน้ำเสียงและสิ่งที่เขาพูดกับผมมันก็ยังก้องอยู่ในใจของผมอยู่ตลอดเวลา ผมถึงกับคิดไปว่าผมที่ต้องติดอยู่ที่นี่อีกสองเดือนกว่าจะมีโอกาสได้เจอกับเขาอีกรึเปล่านะ

วันถัดมาผมก็ตื่นไปตลาดแต่เช้าอีกเช่นเคย ในใจนั้นก็คาดหวังลึกๆว่าผมจะได้เจอกับแจ๊คอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วจนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ ผมก็ไม่เคยได้เจอกับเขาอีกเลย ผมเริ่มจะรู้สึกผิดหวัง และความเครียดจากการที่ถูกแม่กดดันเรื่องการตัดสินใจของผมแบบอ้อมๆเป็นพักๆ มันก็ทำให้ผมเริ่มจะรู้สึกหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ ยังดีที่ตลอดเวลากว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานี่ผมยังวุ่นเรื่องของการซื้อของเข้าบ้าน และการคุยกับแม่และเพื่อนๆแม่เรื่องการทำธุรกิจที่ว่านั่นด้วย มันจึงทำให้ผมผ่านพ้นช่วงเวลาของผมไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

เช้าวันหนึ่งผมตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปที่ตลาดอีกครั้ง และเช้าวันนี้ผมก็รู้สึกเหนื่อยและเสียอารมณ์มากกว่าวันอื่นๆอีกด้วย เนื่องจากพ่อของผมโทรมาหาผมเมื่อคืนและถามว่าผมอยากจะกลับไปกรุงเทพเพื่อทานข้าวพร้อมๆกับเค้าและแฟนใหม่ของเขาไหม แน่นอนว่าผมต้องปฏิเสธอยู่แล้ว ผมยังไม่พร้อมที่จู่ๆจะมีแม่ใหม่ที่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ไวขนาดนี้หรอก............ ถึงแม้ว่าผมจะพยายามเลี่ยงที่จะเจอเธอคนนั้นมานานกว่าสองปีแล้วก็ตาม

หรือบางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วจริงๆก็ได้

ผมนั่งลงที่ร้านกาแฟร้านเดิมที่ผมเคยนั่งเมื่อวันแรกของผมในตลาดแห่งนี้ และครั้งนั้นก็เป็นครั้งแรกและเพียงครั้งเดียวของผมด้วย เพราะปกติผมไม่ค่อยชอบดื่มกาแฟเข้มๆแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่ว่าวันนี้ผมยังไม่อยากจะรีบกลับบ้านและผมก็รู้สึกอยู่ในอารมณ์อยากจะกินอะไรแรงๆสักทีด้วยเหมือนกัน ผมจึงนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับสั่งกาแฟและปาท่องโก๋ที่ป้าคนขาย ร้านนี้จะมีป้าเป็นคนขายกาแฟ ส่วนปาท่องโก๋นั้นจะมีผู้ชายหน้าจีนคนหนึ่งขายคู่กับแฟนของเขา ขณะที่ผมกำลังจิบกาแฟรอปาท่องโก๋อยู่นั้น ผมก็นั่งคิดไปถึงสถานการณ์ของตัวผมเอง บางทีผมควรจะเลิกวิ่งหนีสักทีได้แล้วก็ได้ แต่ว่ายังไงๆผมก็ยังไม่มั่นใจว่าตัวผมเองพร้อมที่จะทำและนับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆแล้วหรือเปล่า........

ผมควักบุหรี่ขึ้นมาจ่อที่ปากกำลังคิดจะจุดขึ้นสูบอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งคลับคล้ายคลับคลาดังขึ้นจากทางด้านหลังของตัวเอง

“อยากตายไวนักรึไง สูบอยู่ได้ ไอ้แท่งมะเร็งเนี่ย”

ผมหันกลับไปมองยังที่มาของเสียงก็พบกับแจ๊คกำลังยืนอยู่พร้อมกับจานใส่ปาท่องโก๋อยู่ในมือ

“มันมีดีอะไรวะ ไอ้บุหรี่เนี่ย ยอมเสียตังค์เพื่อจะเสียปอด” แจ๊ควางจานปาท่องโก๋ลงบนโต๊ะ พร้อมๆกับดึงบุหรี่ออกไปจากมือของผม หลังจากที่เขาถือและมองดูมันอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็โยนมันทิ้งลงถังขยะทางด้านหลังไป “เอาที่เหลือมาด้วย” เขาหันกลับมาสั่งผม

ผมมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจปนตกใจ เนื่องจากผมไม่ได้คิดว่าจะได้มาเจอเขา และที่สำคัญ ผมไม่ได้คิดว่าจะได้มาเจอเขา “แบบนี้” ด้วย แต่เมื่อเห็นสีหน้าของแจ๊ค ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ผมจึงยื่นซองบุหรี่ที่เหลืออยู่ราวๆครึ่งซองให้แก่เขาทั้งๆที่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำแบบนั้นไปทำไม

“ดี ว่าง่ายๆ จะได้ไม่ต้องต่อปากต่อคำ” เขารับมันไปแล้วก็โยนมันทิ้งลงไปในถังขยะ จากนั้นเขาก็เดินอ้อมมานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของผม เขาหยิบปาท่องโก๋ที่เพิ่งจะวางลงบนโต๊ะตรงหน้าผมขึ้นไปกินหน้าตาเฉย พร้อมๆกับยกแก้วชาร้อนของผมขึ้นดื่มด้วย

“เอ๊า ไม่กินรึไง” เขาถาม ผมจึงเริ่มต้นจิบกาแฟของผมอีกครั้ง แจ๊คนั่งมองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “เป็นใบ้รึไง ไม่เห็นพูดอะไรสักคำ”

“ก็แล้วจะให้พูดอะไร อยู่ๆก็โผล่มาแย่งของกินของคนอื่นไปกินแบบนี้” ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“เริ่มจากชื่อก็ได้ หรืออยากให้กูเรียกว่าไอ้หน้าหวาน” เขาเองก็ยิ้มที่มุมปากออกมาเล็กน้อยด้วยเช่นกัน

“เก่ง” ผมตอบออกไปสั้นๆ พร้อมกับยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง “แล้วทำไมถึงมาอยู่แถวนี้ได้ล่ะ แถมจู่ๆยังมานั่งกินปาท่องโก๋ของคนอื่นอีกต่างหาก”

“ทำไมจะไม่ได้ ก็ถิ่นกู” แจ๊คยักไหล่

“ไอ้แจ๊ค!” เสียงของอาเฮียขายปาท่องโก๋ดังขึ้น “มึงไปนั่งอยู่ที่นั่นได้ยังไง ไหนบอกจะมาช่วยกูขายของ แล้วนี่ยังไปกินของลูกค้าเขาอีก เพื่อนมึงเหรอวะ”

“เปล่าเฮีย เพิ่งรู้จักชื่อเมื่อกี๊นี้แหละ”

“เอ้า แล้วมึงไปนั่งกับเขาได้ยังไง ลงมาช่วยกูเดี๋ยวนี้ ไอ้เด็กเปรตนี่ ไปหาเรื่องคนอื่นเค้าอีกรึไงวะ” เฮียเดินตรงเข้ามาหาเราสองคนพร้อมกับดึงคอเสื้อของแจ๊คขึ้น จากนั้นเขาก็หันมาหาผม “ขอโทษด้วยนะครับ น้องโดนมันหาเรื่องเอารึเปล่า”

“เปล่าครับ เขาแค่มานั่งคุยกับผมเฉยๆ”

“เห็นป่ะเฮีย ก็บอกแล้วไงว่าแจ๊คไม่วิวาทที่ตลาดหรอกน่า” แจ๊คลุกขึ้นยืนก่อนจะหันมายิ้มแบบกวนๆให้ผมก่อนจะเดินกลับไปที่หน้าร้าน

“ต้องขอโทษแทนมันด้วยนะครับ ไอ้แจ๊คมันนักเลงคุมแถวนี้น่ะ ว่าแต่น้องชายเป็นเพื่อนมันเหรอครับ ผมไม่เห็นเคยเห็นหน้าเลย”

“เปล่าหรอกครับ ผมมาจากกรุงเทพ เพิ่งจะรู้จักน้องชายเฮียก็วันนี้แหละ”

“ตายห่า! แล้วทำไมมันทำตัวระรานชาวบ้านแบบนี้วะ สงสัยต้องสั่งสอนมันสักหน่อยแล้วมั๊ง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่าไปว่าเขาเลย เขาแค่เข้ามานั่งคุยกับผมเฉยๆเอง ว่าแต่ตอนนี้ผมคงต้องไปแล้วล่ะครับ เริ่มจะสายแล้ว เฮียกลับไปขายของต่อเถอะ คิดเงินผมเลยด้วยครับ” ผมลุกขึ้นยืนแล้วมองหาแจ๊คที่กำลังเดินยกจานใส่ปาท่องโก๋ไปให้ลูกค้าที่โต๊ะอื่น

“ผมขอแค่ค่ากาแฟของเจ๊แกอย่างเดียวก็แล้วกันครับ ส่วนค่าปาท่องโก๋ผมยกให้ แทนคำขอโทษเรื่องไอ้แจ๊คมัน”

ผมตกลงจ่ายเงินแค่ค่ากาแฟ จากนั้นก็บอกลาเฮียเจ้าของร้าน แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกมา แจ๊คก็เรียกผมเอาไว้

“จะกลับแล้วเหรอ ทำไมรีบกลับนักวะ” เขาเดินตรงเข้ามาหาผม แต่ก็ไม่ลืมที่จะเหลือบไปมองเฮียด้วยว่าเขาเห็นและได้ยินที่เราคุยกันรึเปล่า

“แม่รออยู่ที่บ้าน ต้องรีบกลับ” ผมตอบ

“งั้นพรุ่งนี้มาอีกนะเว้ย ถ้าไม่มามึงโดนแน่ อย่าเพิ่งลืมล่ะว่ามึงยังมีคดีค้างอยู่กับพวกกูน่ะ”

แต่ผมก็ไม่ได้ให้คำตอบหรือรับปากอะไร เพราะเมื่อพูดจบเขาก็หันหลังเดินกลับเข้าร้านไปทันทีแล้ว และน่าแปลกที่ทั้งๆที่คำพูดเมื่อครู่ของเขามันเหมือนเกือบจะเป็นคำขู่หรือบังคับ ซึ่งปกติผมคงจะต้องโมโหและรู้สึกไม่พอใจเอามากๆด้วย แต่ทว่าเมื่อแจ๊คเป็นคนพูด ผมกลับรู้สึกยินดีที่จะทำตามอย่างที่เขาบอกด้วยความเต็มใจเลยทีเดียว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2007 22:28:05 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

เช้าวันต่อมาผมก็ไปนั่งกินกาแฟที่ร้านเดิมเวลาเดิมอีกครั้ง แต่ทว่าวันนี้ผมไม่เจอเขาเหมือนอย่างเมื่อวาน แต่พอผมนั่งจิบกาแฟได้สักสิบนาที ผมก็เห็นแจ๊คขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าร้านพอดี เขาถูกเฮียเม้งใส่นิดหน่อยก่อนที่จะเดินตรงเข้ามาหาผม และอีกครั้ง เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่เดิม พร้อมกับยกแก้วชาร้อนขึ้นจิบและหยิบปาท่องโก๋ตรงหน้าเข้าปากทันที

“รอนานล่ะสิ คิดว่ากูจะไม่มาแล้วใช่มั๊ยล่ะ” เขายิ้มแบบกวนๆอีกครั้ง

“เปล่า กูจะรอทำไม เพิ่งจะมาได้ไม่ถึงห้านาที” ผมโกหก

“ห้านาทีเหรอวะ........” เขายิ้มแล้วมองที่ถ้วยชาที่เขาเพิ่งยกขึ้นจิบ และมันก็คงจะเย็นไปลงไปเยอะแล้วด้วย

“ว่าแต่วันนี้ไม่ทำงานรึไง มาถึงก็นั่งแล้วหยิบเข้าปากแบบนี้เลยเนี่ย” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ไม่อ่ะ ขี้เกียจ” เขาส่ายหน้า และเมื่อเฮียสังเกตเห็นน้องชายของเขากำลังนั่งอยู่กับผม เขาจึงวางมือลงจากแป้งปาท่องโก๋ที่กำลังนวดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเดินเข้ามาหาพวกเราทันที

“ไอ้แจ๊ค ตกลงมึงจะช่วยงานกูรึเปล่าเนี่ย แล้วนี่ไปกินของเขาอีกได้ยังไง”

“ยังไม่ช่วยอ่ะเฮีย วันนี้ยังขี้เกียจอยู่ ขอแจ๊คนั่งกินกับเพื่อนเฉยๆก่อนก็แล้วกัน และพอมันกลับแล้วเดี๋ยวแจ๊คค่อยไปช่วย”

“ถ้ามึงจะกินมึงก็จ่ายตังค์กูมาด้วย ไม่ใช่ไปแย่งแขกกูแดกแบบนี้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับเฮีย แค่นี้เอง ผมไม่ถือ” ผมพูด

“เฮียกลับไปปั้นแป้งต่อได้แล้วไป เดี๋ยวสายๆกว่านี้แล้วจะขายไม่ทันนะ” แจ๊คเงยหน้าขึ้นไปคุยกับเฮียของเขา

เฮียส่งสายตาดุดันให้แจ๊คแว่บหนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไปยืนอยู่หน้าร้านเหมือนเดิม

“เบื่อจริงๆ มีพี่ขี้บ่นเนี่ย เออ แล้ววันนี้ต้องรีบกลับอีกรึเปล่า ไอ้หน้าหวาน”

“เก่ง ไม่ใช้ไอ้หน้าหวาน กูบอกชื่อกูให้มึงฟังไปแล้วเมื่อวาน จำไม่ได้รึไง”

“จำได้ แต่อยากเรียกไอ้หน้าหวานมากกว่า ทำไม มึงไม่ชอบรึไง”

“เออ ไม่ชอบ”

“ดี เพราะกูจะเรียกมึงแบบนั้น”

อ้าว แล้วตกลงมันจะเอายังไงกันแน่วะ

หลังจากนั้นเป็นต้นมากิจวัตรประจำวันของผมทุกๆวันในตอนเช้าก็คือผมต้องออกไปซื้อของที่ตลาดตั้งแต่ตีห้าครึ่ง นั่งกินปาท่องโก๋กับกาแฟที่ร้านของเฮียตี๋ คุยกับแจ๊คราวๆครึ่งชั่วโมง แล้วจึงค่อยขับรถกลับบ้าน ถึงมันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาๆสั้นที่ทำให้วันเวลาอันยาวนานที่เหลือของผมมีความหมายขึ้นอีกมาก ผมจะกลับมาบ้านในตอนเช้าด้วยอารมณ์ที่ดีเป็นพิเศษจนแม่ผมเองก็ยังสังเกตเห็น ส่วนถึงแม้วันไหนที่ผมมีเรื่องให้ไม่สบายใจหรือรู้สึกเบื่อๆ ผมก็แค่ต้องทนเก็บมันเอาไว้แค่คืนเดียว แล้ววันรุ่งขึ้นทุกๆอย่างมันก็จะกลับมาดีได้เหมือนเดิมอีกครั้ง

ที่ผ่านมานั้นเราสองคนก็ไม่ค่อยจะได้คุยอะไรกันจริงๆจังๆสักเท่าไหร่หรอก ต่างคนต่างก็มักจะแค่กวนตีนกันไปกวนตีนกันมา โดยเฉพาะมันที่ชอบกวนตีนผม และผมก็ต้องเป็นฝ่ายคอยยอมแพ้อยู่ทุกครั้งไป เราคุยกันเรื่องไร้สาระมากมายหลายเรื่อง แต่ทั้งผมกับเขาต่างก็ไม่เคยคุยกันถึงชีวิตของกันและกันเลย ผมไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร อายุเท่าไหร่ เรียนอยู่ชั้นไหน พ่อแม่ทำงานอะไร บ้านอยู่ส่วนไหนของเมือง และเขาเองก็ไม่เคยถามผมเรื่องพวกนั้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราสองคนก็เหมือนกับรู้จักกันเพียงแค่ชื่อ เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เจอกันทุกวัน และมันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย แต่ทว่ามันก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากด้วย มันเหมือนกับผมไม่จำเป็นต้องเอาความไม่สบายใจของผมมาบอกเล่าให้เขาฟัง แต่เพียงแค่ได้คุยกับคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยคนนี้ ผมก็รู้สึกดีมากเพียงพอแล้ว

ทุกอย่างดำเนินไปแบบนี้จนกระทั่งถึงเช้าวันหนึ่งของสัปดาห์ที่สามของผมในจังหวัดเพชรบูรณ์ ผมตื่นแต่เช้าแล้วขับรถออกไปตลาดแบบทุกๆวัน และผมก็เจอกับแจ๊คและนั่งคุยกับเขาเหมือนอย่างปกติ แต่วันนี้ดูเขาจะอารมณ์หงุดหงิดเป็นพิเศษ

“เป็นอะไรวะ วันนี้ดูเซ็งๆนะ ไม่ค่อยกวนตีนเหมือนอย่างเคย” ผมถามหลังจากที่เห็นเขาดูเงียบๆไปกว่าทุกวัน ซึ่งนั่นก็แปลว่าเขาคงจะเป็นคนที่ชอบคิดมากพอดูเลยเหมือนกัน และไอ้นิสัยเกเรกวนเมืองนั่นมันก็คงเป็นแค่พียงเปลือกนอกของเขาเท่านั้น

“เปล่า ก็แค่เซ็งๆแม่น่ะ เพราะแม่บอกจะให้ไปเรียนพิเศษเพิ่ม”

“อ้าว ก็ดีแล้วนี่ อยู่ว่างๆไม่ใช่รึไง เห็นบ่นเบื่อบ่อยๆ”

“มันก็ใช่ ไอ้เรื่องเรียนน่ะไม่ว่าหรอก แต่กูไม่อยากไปเรียนกับใครก็ไม่รู้ เห็นแม่บอกเป็นลูกเพื่อนแม่เหี้ยไรเนี่ยแหละจะมาสอน มึงคิดดูดิ่ วันๆนึงต้องนั่งอยู่กับแม่งตั้งสองสามชั่วโมง อึดอัดตายห่า”

“แล้วนั่งอยู่กับกูทุกวันๆนี่ไม่อึดอัดรึไง” ผมถาม

“ไม่อ่ะ มึงมันไม่ค่อยยุ่งเรื่องของกูดี กูชอบ” เขาตอบออกมาหน้าตาเฉยทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเขินนิดๆ จึงต้องรีบกลบเกลื่อนตัวเองก่อนที่เขาจะสังเกตเห็น

“ก็ดีแล้วนี่ ยังเรียนอยู่มอปลายไม่ใช่เหรอ จะได้เอาไปใช้เอ็นทรานซ์ไง”

“มึงพูดเหมือนมึงไม่ได้อยู่มอปลายอย่างนั้นน่ะ” แจ๊คขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “เออ เรื่องนั้นมันก็ใช่ แต่ไม่รู้ดิ่ ถ้ากูอยากเรียนกูก็จะเรียนเองแหละ ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ แถมต้องไปนั่งเรียนกับคนแปลกหน้านี่ต่างหากที่กูไม่ค่อยชอบใจมากที่สุด”

“ตอนแรกเราสองคนก็คนแปลกหน้าไม่ใช่รึไง ลองให้โอกาสเขาดูหน่อยสิแล้วค่อยตัดสิน ถ้าเขาสอนไม่ดีก็ค่อยบอกเลิกเรียน ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ว่าแต่จะเริ่มเรียนเมื่อไหร่วิชาอะไรมั่งเนี่ย”

“กูก็ไม่รู้ แม่กูเค้าก็ยังไม่ชัวร์เลย”

“อ้าว งั้นมึงจะเครียดทำไมวะ...... เออ จะว่าไปถ้ากูถามอะไรมึง มึงจะบอกว่ากูยุ่งเรื่องส่วนตัวของมึงมั๊ยเนี่ย”

“ก็แล้วมึงจะถามอะไรล่ะ”

“กูก็แค่อยากรู้ว่ามึงอยากเข้ามหาลัยอะไร คณะอะไรเท่านั้นแหละ”

แจ๊คนิ่งไปพักหนึ่ง เป็นอาการนิ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่มั่นใจว่าควรจะบอกกับผมยังไงมากกว่านิ่งแบบไม่อยากจะบอกเรื่องส่วนตัวของเขาให้ผมรู้เลย ซึ่งนั่นก็นับว่ายังดี

“กูอยากไปเรียนที่กรุงเทพ.......” เขาตอบออกมาพร้อมกับสายตาที่จับจ้องอยู่ที่แก้วน้ำชาของผมในมือของเขา จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมาถามผม “ว่าแต่มึงเถอะ จบมอปลายแล้วอยากเรียนอะไรวะ”

“อืมมมม นั่นสินะ.........” ผมนึกขำอยู่ในใจ “คงจะเป็นวิศวะมั๊ง แต่กูก็ชอบภาษาอังกฤษนะ อาจจะเรียนอินเตอร์”

“จริงดิ่ จริงๆกูก็อยากเรียนวิศวะเหมือนกันนะ ถ้าเป็นไปได้กูก็อยากจะไปกรุงเทพด้วย” แจ๊คทำตาโตท่าทางตื่นเต้น แต่ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็ดูซึมลงไปทันที “แต่ว่าพ่อกูเค้าไม่อยากให้เรียนว่ะ”

“เฮ้ย อย่าคิดมากเลย ชีวิตมึง อนาคตมึง มึงเลือกเองได้น่า พ่อแม่มึงเค้าคงเข้าใจการตัดสินใจของมึงแหละ” ผมพูดออกไป แต่ทันใดนั้นใจของผมมันก็ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวของตัวเองด้วยเช่นกัน คำพูดของผมมันย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองเข้าให้ซะแล้ว

“ไม่รู้ดิ่ ช่างแม่งเหอะ กูยังไม่อยากคิดเหี้ยอะไรแล้ว แม่งเซ็ง วันนี้ไปขี่รถเล่นดีกว่า เย็นๆค่อยกลับบ้านไปคุยกับแม่อีกที”

“นั่นสินะ............” ผมนิ่งไปพักหนึ่ง

เราสองคนเงียบกันไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แจ๊คจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

“วันนี้บ่ายสอง เจอกูหน้าตลาด ไม่มาเจอเจ็บแน่นะมึง” เขาพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากร้านไป

ตอนแรกผมก็เกือบจะหยุดเขาเอาไว้แล้ว แต่ว่าผมก็ชินกับการกระทำห่ามๆดิบๆเอาแต่ใจของเขาแบบนี้แล้วด้วยเหมือนกัน ผมจึงปล่อยไปเลยตามเลย และรู้ด้วยว่าวันนี้ตอนบ่ายสองผมก็คงจะมาหาเขาตามนัดอีกแน่ๆ เพราะว่าครั้งนี้มันเป็นนัดแรกของเราสองคนนอกจากนั่งกินกาแฟกับปาท่องโก๋ตอนเช้าแบบนี้เลยนี่นา



(ยาวอีกและ แต่เด๋วมีต่อ)

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
มิตรภาพก็เกิดขึ้นได้ทุกทีสำหรับคนดีๆ
 :m18: :m18: :m18:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป

niph

  • บุคคลทั่วไป
 :laugh3:
ถ้าแจ๊ครู้ว่าคนที่จะสอนเป็นคนที่นั่งคุยตรงหน้าจะทำหน้ายังไงฟะนั่น

ตามลุ้นอยู่นะครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
บทหนึ่งของชีวิต (๒)


เมื่อผมกลับบ้าน แม่ของผมก็กำลังนั่งรอผมอยู่ที่โซฟารับแขกอยู่แล้ว

“เก่งมาคุยกับแม่หน่อยซิลูก”

“มีอะไรครับแม่” ผมเดินลงไปนั่งข้างๆแม่พร้อมกับความรู้สึกหวั่นๆ นี่มันต้องไม่ใช้เรื่องดีแน่ๆ

“เมื่อเช้าพ่อของเก่งเค้าโทรมา เค้าบอกแม่ว่าเค้าอยากให้เก่งกลับไปกรุงเทพ แต่เก่งไม่ยอมกลับ เค้าก็เลยหาว่าแม่เป็นคนที่เหนี่ยวรั้งเก่งเอาไว้”

ผมรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยินนิดๆ และก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลยด้วย เพราะถึงทั้งสองคนจะแยกทางกันด้วยดี แต่ว่าจริงๆแล้วทั้งคู่ต่างก็เก็บความรู้สึกตึงๆที่มีให้กันเอาไว้ภายในมาตลอด โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเรื่องของผมที่เป็นตัวกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะผมเป็นคนที่ทั้งคู่ต่างก็พยายามจะชักจูงให้ไปเป็นพวกของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงรู้เลยว่าเรื่องที่แม่กำลังพูดอยู่นี่คงไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆแน่นอน และถึงตอนนี้มันอาจจะยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าปล่อยไปนานๆมันก็กลายสามารถเป็นชนวนให้เกิดเรื่องอื่นๆตามมาในภายหลังแน่......... และใช่แล้ว โดยมีผมเป็นตัวต้นเหตุนั่นเอง.

“แล้วแม่ได้บอกพ่อไปรึเปล่าครับ ว่าเก่งตัดสินใจเอง ไม่ได้เกี่ยวกับแม่เลย”

“บอกแล้ว แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อเค้าชวนเก่งกลับไปตอนไหน แต่เค้าก็ไม่เชื่อแม่นักหรอก”

“โอเคครับ แม่ เรื่องนี้ปล่อยเก่งจัดการเอง เก่งไม่อยากคุยเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เช้าหรอกครับ เก่งรู้ว่าแม่ก็เครียด แต่อย่าคิดมากนะครับ ถ้าเก่งเป็นคนก่อปัญหา เก่งจะเป็นคนจัดการเอง เดี๋ยวเก่งบอกพ่อเองครับว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่เกี่ยวกับแม่เลย พ่อกับแม่ไม่มีผลอะไรกับการตัดสินใจของเก่งทั้งนั้นล่ะครับ” ผมลุกขึ้นยืนแล้วหอมแก้มแม่เบาๆ “อ้อ กับข้าวอยู่ในถุงนะครับ แม่จัดการได้เลยนะ เก่งกินมาแล้ว เก่งขอขึ้นห้องไปนอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน”

แต่เมื่อผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้ว จู่ๆน้ำตามันก็ค่อยๆไหลอออกมาจากตาของผมช้าๆ........ ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เรื่องพวกนี้มันถึงจะจบ นี่ถ้าผมไม่รักหรือไม่แคร์พ่อกับแม่ของผมทั้งคู่ไปเลยมันก็คงจะดีกว่านี้ นี่ถ้าผมไม่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ซะเลยมันจะดีกว่ามั๊ย และทำไม ทำไมทั้งสองคนถึงต้องรักผมมากแบบนี้ด้วย ถ้าทั้งคู่ไม่มีใครต้องการผมเลยสักคนมันคงจะง่ายกว่านี้ มันจะดีกว่ารึเปล่าถ้าเราต่างก็ไม่มีใครอยากจะข้องเกี่ยวกันอีกแล้วต่างคนต่างไป และทำไมผมถึงต้องเป็นต้นเหตุของความยุ่งยากทั้งหมดนี่ด้วย

ทำไม...........

ผมเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ผมลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วลองส่องกระจกดู ถ้าไม่นับโครงหน้าเดิมๆที่ผมเห็นอยู่ทุกวัน ผิวขาวเนียนที่ผมได้รับจากแม่ ตาและคิ้วที่เข้มที่ผมได้มาจากพ่อ นอกจากนั้นแล้วผมก็เห็นเพียงดวงตาที่แดงก่ำจากการร้องไห้ ใบหน้าที่เหนื่อยล้าจากความเครียด และแววตาที่เศร้าหมองมานานหลายปี........ หลายครั้งที่ผมส่องกระจก ผมจะมองเห็นความเจ็บปวดจากบาดแผลลึกในใจที่คนอื่นมองไม่เห็นสะท้อนออกมาอยู่ตลอดเวลา

ผมลงมานั่งคุยกับแม่เรื่องงานของแม่อีกพักหนึ่ง แม่บอกว่าแม่อาจจะให้ผมมาช่วยสอนหนังสือให้แม่ด้วยบางครั้ง ซึ่งผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร และที่สำคัญคืออย่างน้อยๆเวลาที่ผมมาอยู่ที่นี่ผมก็จะได้มีอะไรทำบ้างด้วย พอผมบอกว่าผมจะออกไปข้างนอกตอนบ่าย แม่ก็บอกว่าแม่นัดเพื่อนของแม่เอาไว้พรุ่งนี้ และผมจะต้องอยู่บ้านเพื่อคุยกับเพื่อนแม่คนนี้กับลูกของเขาด้วย ซึ่งผมก็โอเคอีก ถึงตอนแรกผมไม่คิดว่าผมจะต้องทำงานเร็วขนาดนี้ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรทำนั่นแหล่ะนะ

พอเกือบๆจะบ่ายสองผมก็ขับรถไปจอดไว้ที่เดิมหน้าตลาด ผมยืนพิงประตูรถรอแจ๊คอยู่ครู่หนึ่ง มอเตอร์ไซค์คันที่ผมคุ้นเคยก็ค่อยๆชะลอเข้ามาจอดอยู่ที่ข้างรถของผม

“เอ้า ขึ้นมา” แจ๊คสั่ง

ผมเดินขึ้นไปซ้อนท้ายเขาอย่างว่าง่าย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะพาผมไปที่ไหน แต่ก็น่าแปลกที่ผมกลับไม่มีความรู้สึกอยากจะถามเขาเลย

แจ๊คพาผมซ้อนท้ายแล้วขี่วนรอบตัวเมืองไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้ขี่เร็วมากนัก ผมเดาเอาว่ามันคงจะเป็นการพาผมเที่ยวชมตัวเมืองรอบๆในแบบของเขาเองนั่นเอง จนเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง เขาก็พาผมมาหยุดที่หน้าร้านขายข้าวมันไก่แห่งหนึ่ง

“หิวรึเปล่า” เขาถามเมื่อเราสองคนลงจากรถแล้ว

“ไม่อ่ะ” ผมส่ายหัว “ทำไม มึงจะเลี้ยงเหรอวะ”

“ฝันไปเหอะมึง กูก็แค่ถามตามมารยาท”

“อ้าว มึงมีด้วยเหรอวะ มารยาทเนี่ย” ผมแกล้งทำท่าตกใจ “เพราะขนาดปาท่องโก๋กูมึงยังมาขโมยแดกของกูทุกวัน แต่ก็นั่นแหละนะที่ทำให้กูไม่ได้คาดหวังว่ามึงจะเลี้ยงข้าวกู”

“ปากดีนะมึง งั้นมึงมากับกูนี่เลย” แจ๊คยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะเดินนำผมไปในร้าน
 
“ทำไมวะ ตกลงมึงหิวเหรอ”

“เออ ไม่งั้นกูจะมาร้านขายข้าวทำไม” แจ็คเดินนำไปนั่งลงที่โต๊ะ “ลุง ข้าวมันไก่สองจาน”

“เฮ้ย กูไม่หิว” ผมรีบร้องห้าม

“แล้วใครบอกกูสั่งมาให้มึงแดก”

เป็นอันว่าผมก็ต้องหุบปากไป

ระหว่างรออาหาร เราสองคนก็นั่งเงียบไม่พูดไม่จากันอีกตามเคย ผมรู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่ได้มีบรรยากาศแบบนี้กับแจ๊คบ้าง และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์ไหน ผมคิดอยากจะถามเขาว่าเขาสบายใจขึ้นมั่งรึยัง แต่ผมก็ไม่กล้า และที่สำคัญตัวผมเองผมยังเอาไม่รอดเลย แล้วนับประสาอะไรจะไปยุ่งวุ่นวายกับธุระของคนอื่นเขา

“เป็นอะไรวะ ถอนหายใจทำไม” แจ็คถามขึ้นหลังจากที่ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อคิดถึงเรื่องที่แม่บอกผมเมื่อเช้า “ทำไม อยู่กับกูมันน่าเบื่อนักเหรอวะ”

“เปล่าๆ” ผมรีบปฏิเสธจังหวะเดียวกับที่ข้าวมันไก่สองจานถูกวางลงบนโต๊ะพอดี ผมจึงเลื่อนจานไปตรงหน้าแจ๊คทั้งสองใบ

“แดกซะ” เขาพูดพลางผลักจานกลับมาให้ผมใบหนึ่ง และเมื่อเขาเห็นสีหน้าของผมเขาก็เลยพูดต่อ “ไม่ต้องงง ไก่มึงนั่นแหละ ไม่แดกมีเจ็บ”

“ก็กูบอกกูไม่หิว” ผมส่ายหัว “กูก็นึกว่ามึงหิวจัดเลยจะแดกเองทั้งสองจาน แถมตอนแรกมึงยังบอกว่ามึงไม่ได้สั่งมาให้กูแดกด้วยนี่หว่า”

“เออ เมื่อกี๊กูไม่ได้สั่งข้าวมาให้มึงแดก แต่ตอนนี้กูกำลังสั่งให้มึงแดก เข้าใจยัง กูเสียตังค์นะเว้ย อย่ามาโยกโย้ เดี๋ยวพ่อตบคว่ำ”

ผมส่ายหน้าช้าๆก่อนจะยกช้อนขึ้นมาตักข้าวคำแรกเข้าปาก แจ๊คมีสีหน้าพอใจขึ้นมาทันที

“ดีมาก ว่าง่ายๆ มึงนี่มันก็ว่าง่ายดีเนอะ ดี แดกเข้าไปเยอะๆ ไม่ใช่เอาเวลาไปร้องไห้จนโทรมแบบนี้”

ผมเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวของตัวเองทันที “มึงหมายความว่าไง”

“แดกไป ไว้ค่อยคุย” แจ๊คพูดจบบทสนทนาก่อนที่เราสองคนจะจัดการกับข้าวตรงหน้าของพวกเราจนเกลี้ยง......... เฉพาะจานของแจ๊คนะ ส่วนผมเหลือเกือบครึ่งจานเพราะว่าไม่หิวจริงๆ ก็ผมเพิ่งจะกินข้าวก่อนออกมาเจอแจ๊คเมื่อไม่นานมานี้เอง แถมยังไม่ค่อยรู้สึกอยากอาหารอีกด้วย แต่แจ๊คก็จิ้มไก่ของผมไปกินเสียจนเกลี้ยงอย่างไม่รังเกียจ

หลังจากกินเสร็จ เขาก็พาผมไปที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ผมจำได้ว่าที่นี่มันไม่ค่อยไกลจากบ้านผมมากนัก และนอกจากนั้นเวลาตอนนี้ที่สวนนี่ยังไม่ค่อยมีคนอีกด้วย

เมื่อเราสองคนลงจากรถและเดินเล่นกันอยู่เงียบๆสักพัก แจ๊คก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดขึ้น

“ตกลงมึงเป็นอะไร ทำไมวันนี้ซึมๆ แถมยังร้องไห้มาอีกต่างหากวะ”

“มึงเอาที่ไหนมาพูดว่ากูร้องไห้” ผมแย้ง รู้สึกเขินนิดๆที่ดูเหมือนเขาจะรู้และดูผมออก

“ก็มึงเล่นตาแดงตาช้ำซะขนาดนี้ เฮ้ยนี่ นี่กูกำลังถามมึงนะ ไม่ใช่ให้มึงมาถามกู”

“ก็เรื่องครอบครัว........” ผมตอบเลี่ยงๆสั้นๆ และก็ผิดคาดที่แจ๊คไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรผมต่อ ผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นเองหลังจากที่เราเงียบกันไปครู่หนึ่งอีกครั้ง “ว่าแต่เรื่องเรียนว่าไงมั่ง คุยกับแม่รึยัง”

“คุยแล้ว........” เขาตอบพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นหญ้า ผมจึงนั่งตามลงไป “พรุ่งนี้ไปเจอคนสอนก่อน แล้วถ้ากูไม่ชอบก็ค่อยว่ากัน”

“ตกลงอยากเข้าวิศวะใช่มั๊ย” ผมถามเขา

“อืม........” เขาพยักหน้าช้าๆก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หันมาสบตากับผมด้วยสีหน้าและแววตาแบบที่ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย และที่สำคัญผมไม่เคยคิดว่าเขาจะทำหน้าแบบนี้ได้ด้วย มันเป็นสีหน้าอายๆ ไม่มั่นใจในตัวเอง และดูสับสน เป็นอะไรที่ไม่ใช่แจ๊คที่ผมรู้จักเลยจริงๆ “เฮ้ย........ คือ กูไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับใครเลยนะเว้ย......”

“ทำอะไร” ผมแปลกใจและเริ่มคิดไปไกลกว่าที่มันน่าจะเป็นนิดหน่อย

“คือ........” แจ๊คเริ่มมีท่าทีลังเลอีกครั้ง “กูอ่ะไม่มีเพื่อนนะเว้ย ไอ้พวกเหี้ยนั่นกูก็ไม่เคยจะคิดว่ามันเป็นเพื่อนจริงๆกับกูสักคนหรอก กูไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลย คือ แบบว่า ไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับคนอื่นเลยจริงๆนอกจากกับตัวกูเองนะ” เขาพูดตะกุกตะกัก ทำให้ผมเห็นด้านที่น่ารักๆของเขาแบบนี้บ้างจนผมต้องเผลอยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อยและรีบหุบมันกลับอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะเห็นแล้วผมจะโดนด่า “กูว่ามึงมันแปลกดี มึงมันไม่เหมือนคนอื่นๆ กูก็เลย.......... คือ มึงจะฟังกูหน่อยได้เปล่าวะ”

“ได้ดิ่ มึงจะพูดอะไรล่ะ กูจะไม่ถามหรือขอให้มึงพูดหรอก กูจะฟังอย่างเดียวพอ”

“ไม่ๆๆ” เขาส่ายหัว “กูอยากให้มึงฟังกูแล้วก็คุยกับกูด้วย”

ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็พยักหน้าออกไป จากนั้นแจ๊คก็เล่าให้ผมฟังว่าเขาน่ะ ไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อแม่เขาหรอก เขาเป็นลูกบุญธรรมของพ่อ ซึ่งพ่อแม่แท้ๆของเขาคือใครเขาก็ไม่รู้ และเมื่อพ่อบุญธรรมของเขามาแต่งงานกับแม่ของเขาตอนนี้ เขาจึงได้เฮียตี๋ที่เป็นน้องชายของแม่เป็นพี่ชายไปอีกคน และนั่นคือเหตุผลที่ทำไมเขากับเฮียตี๋ถึงได้ไม่มีเค้าโครงหน้าเดียวกันเลยแม้แต่น้อย แถมยังดูอายุห่างกันมากอีกต่างหาก ผมฟังประวัติย่อๆของเขาไปพร้อมกับทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดไปด้วย

“แม่กูน่ะทำร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ส่วนพ่อกูก็เป็นทหาร เพราะงั้นพวกเค้าถึงไม่อยากให้กูเรียนวิศวะไง เขาอยากให้กูกลับมาทำงานที่บ้าน แถมแม่กูเค้าก็ไม่ค่อยชอบกูนักด้วย เขาหาว่ากูเป็นเดกเกเรเหลือขอ เค้าอยากจะดัดสันดานกูก็เลยจะจับกูไปเรียนพิเศษนี่แหละ ส่วนพ่อกูก็ตามใจแม่กูทุกอย่าง และที่สำคัญ กูมันไม่ใช่ลูกในไส้ของเขานี่ เขาจะมาแคร์อะไรกับเด็กเกอย่างกู”

“แต่จริงๆแล้วมึงก็ไม่ได้อยากจะเป็นคนแบบนั้นใช่มั๊ยล่ะ” ผมถามกลับไปเมื่อเขาพูดจบ

แจ๊คมีท่าทางขัดขืนเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจแล้วพยักหน้า “ก็คงงั้นมั๊ง ว่าแต่ทำไมมึงถึงคิดงั้นล่ะ มึงรู้ได้ไง”

“ก็ถ้ามึงมันเหลือขอจริง มึงคงไม่ตัดสินใจอยากมีอนาคตดีๆหรอก แถมที่นี่มันไม่ใช่กรุงเทพ มึงอยากเรียนถึงวิศวะ แถมยังอยากไปกรุงเทพอีกต่างหาก และที่สำคัญการที่มึงคิดมากเรื่องนี้และจากคำพูดของมึงทุกๆอย่างเมื่อเช้าน่ะ มันบอกกูว่าจริงๆแล้วมึงเป็นคนเอาถ่านมากขนาดไหน ไม่ใช่คนอย่างที่แม่มึงพูดหรอก”

“ถ้างั้นกูจะทำไงดีวะ........ กูไม่ได้รังเกียจเรื่องเรียนพิเศษหรอกนะเว้ย พูดไปมึงอาจจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ว่าในโรงเรียนกูก็ทำคะแนนได้ดีนะ แต่กูไม่ชอบใจที่ทำไมพวกเขาต้องมาบังคับกดดันกูนักด้วยวะ”

“ก็ทำอย่างที่มึงอยากทำนั่นแหละ มึงอยากเรียนวิศวะ มึงอยากสอบติดที่กรุงเทพ มึงก็ต้องเรียนเยอะๆ ไม่ต้องไปสนว่าใครเป็นคนอยากให้มึงทำอะไร แต่สนที่ว่าผลออกมาคือมึงได้ความรู้ ส่วนเค้าจะไม่อยากให้มึงเรียนวิศวะก็เรื่องของเขา อนาคตมึงทั้งอนาคตมึงก็เลือกเองเลย คิดซะว่าตอนนี้มีโอกาสได้ตักตวงความรู้แล้ว มึงก็ฉวยโอกาสมันเอาไว้ซะ......... ว่าแต่ตอนนี้มึงอยู่มอไหนวะ”

“ปีหน้ามอหกแล้ว”

“เหลือเวลาอีกปีเดียว สู้ๆเว้ย บอกตามตรงนะ เด็กกรุงเทพน่ะ มันแข่งขันกันสูง แค่เรียนในโรงเรียนมึงมันไม่พอหรอก เนี่ย แม่มึงเค้ารักมึงแหละ เค้าถึงได้อยากให้มึงเรียนพิเศษเพื่อความรู้ของตัวมึงเองน่ะ อย่างน้อยๆมันก็เป็นการดัดสันดานที่เค้ายอมเสียเงินและมึงได้ความรู้นะ”

“หึ ไอ้เรื่องรักไม่รักกูก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะ” แจ๊คพ่นลมหายใจออกทางจมูกพร้อมรอยยิ้มเหยียดๆ “แต่ว่ามึงก็พูดถูกว่ะ กูเลือกทางเดินชีวิตของกูเอง น้ำขึ้นก็รีบตัก แม่งเอ๊ย มึงนี่มันเข้าใจคิดเข้าใจพูดว่ะ” แจ๊คหันมายิ้มกว้างให้ผมก่อนจะตบบ่าผมแรงๆ “ขอบใจเว้ย กูไม่คิดเลยนะเนี่ยว่ากูจะมาคุยอะไรแบบนี้กับคนอื่น เอาล่ะ คราวนี้ตามึงมั่งแล้ว”

ถึงผมจะรู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ผมก็ยังคงแกล้งทำเซ่ออยู่ดี “ตากูเรื่องอะไรวะ”

“เดี๋ยวมึงจะโดนเหนี่ยว มึงคิดว่ากูจะยอมพูดความลับของกูอยู่คนเดียวรึไง”

จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องของผมหรอก เขาเองก็เป็นเพียงคนเดียวที่ผมรู้สึกสบายใจที่อยากจะพูดคุยเรื่องพวกนั้นด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นมันคงเป็นเพราะเราค่อนข้างจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันแต่ในขณะเดียวกันเราก็แทบไม่ต่างจากคนแปลกหน้าเลย นี่เองที่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราสองคนต่างก็รู้สึกวางใจกันและกันมากกว่ากับคนอื่นๆ ปกติถ้าเป็นเพื่อนๆผมคนอื่นนั้นแทบจะไม่มีใครรู้เรื่องปัญหาทางบ้านของผมนี่เลย เพราะปกติแล้วผมเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบคุยเรื่องส่วนตัวกับคนอื่นเท่าไหร่นัก ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนมาถึงเมื่อเช้านี้ให้แจ๊คฟัง เขาเองก็นั่งฟังเงียบๆ เงียบเสียจนผมสงสัยว่าเขายังคงฟังผมอยู่หรือเปล่า

จนเมื่อผมพูดจบ เขาก็ยืนขึ้น แล้วก็ออกเดินไป ทำให้ผมต้องรีบลุกและเดินตามเขาไปติดๆ

“จะไปไหนวะ” ผมถาม

“พามึงไปหาคำตอบ”

ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่ก็ตัดสินใจจะไม่ถามอะไรมากนัก เขาพาผมซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ไปยังริมคลองแห่งหนึ่ง เขาชี้ให้ผมมองลงไปในน้ำแล้วถามว่าผมเห็นอะไร พอผมตอบว่าผมไม่เห็นอะไรเลย เขาก็ด่าว่าผมโง่อีก

“มึงเห็นเงาที่สะท้อนในน้ำมั๊ย ไอ้ควาย เงาของกูกับมึงน่ะ”

“เออๆ เห็นแล้ว”

“เมื่อกี๊มึงให้คำตอบกูว่ายังไง มึงจำได้มั๊ย ถ้ามึงไม่อยากพูดออกมาอีกครั้ง มึงนึกในใจก็ได้ แต่ตอนนึกมึงต้องมองลงไปที่เงาบนน้ำของเราสองคนด้วยนะ แล้วบอกกูทีว่ามึงได้คำตอบรึยัง”

ผมถึงกับอึ้งกับคำพูดของเขา และในขณะเดียวกันก็เข้าใจด้วยว่าสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อนั้นมันคืออะไร และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเงาในลำคลองแห่งนี้ไม่ได้สะท้อนแค่เงาของสองคนด้านบนนี้เท่านั้นด้วย แต่มันยังสะท้อนทั้งความต่างและความเหมือนของคนสองคนนี้ได้อย่างชัดเจนทีเดียว ผมกับเขามีนิสัยบางอย่างคล้ายๆกัน และสถานการณ์ของเราทั้งคู่มันก็ยังคล้ายกันมากด้วยในแง่ที่ว่าเราต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตของเราเหมือนๆกัน แต่มันก็ยังมีความต่างที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผมมันน่าสมเพชขนาดไหนอย่างชัดเจน นั่นก็คือแจ๊คนั้นยอมรับและมุ่งมั่นกับการตัดสินใจของเขามาก เพียงแค่เขาได้รับการชี้นำจากคำพูดเพียงนิดหน่อยของผม เขาก็มั่นใจแล้วว่าเขาควรจะทำยังไงต่อไปในอนาคตดี แต่ในขณะเดียวกัน ผมที่รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าคำตอบของผมมันก็เหมือนกับสิ่งที่ผมเพิ่งพูดกับเขาไป แต่ผมเองกลับยังไม่มั่นใจเลยว่าตัวผมเองจะทำแบบนั้นได้จริง..........

ผมนี่มันช่างอ่อนแอและน่าสมเพชจริงๆ

ดูเหมือนแจ๊คจะรู้ว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ เขาจึงเดินนำผมกลับไปยังรถมอเตอร์ไซค์และขี่พาผมกลับไปหน้าตลาดที่ผมจอดรถแช่เอาไว้ตั้งแต่ตอนบ่าย คืนนั้นผมนอนคิดถึงคำพูดของแจ๊คและปัญหาของตัวเองเกือบทั้งคืน ใจหนึ่งผมก็อยากจะตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่อีกใจผมก็อยากจะได้ยินเสียงของเขาเหลือเกิน แต่ผมก็ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเขา และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าผมควรจะขอเขาเอาไว้รึเปล่า คืนนั้นผมคิดมากจนผมลืมเรื่องที่แม่ผมนัดเจอกับคนที่ผมจะต้องติวหนังสือให้ไปเสียสนิท จนกระทั่งรุ่งเช้า หลังจากกลับจากตลาดและใช้เวลาอยู่กับแจ๊คครู่หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากเหมือนเคย แต่ผมก็ยังไม่กล้าขอเบอร์มือถือของเขาอยู่ดี เมื่อมาถึงบ้าน แม่ของผมก็เตือนผมว่าตอนสายๆเพื่อนของแม่จะพาลูกชายของเขาเข้ามาหา แม่ยังเตือนผมไว้อีกด้วยว่าเวลาสอนน้องคนนี้ให้ใจเย็นๆ เพราะเขาเป็นคนใจร้อน ผมพยักหน้ารับรู้และขึ้นห้องไปนอนพักอีกงีบหนึ่ง จนเวลาสิบโมง แขกของแม่ก็มาถึงพร้อมลูกชายของเขา

“เก่ง นี่คุณยิ้ม เพื่อนแม่เอง เค้าเป็นเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์ที่เราไปซื้อของไง จำได้มั๊ย” แม่ผมแนะนำ และแน่นอนว่าผมก็จำเขาได้เช่นกัน เพียงแต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขามีลูกชาย

“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ “แล้วเห็นว่าลูกชายคุณน้าจะมาด้วยไม่ใช่เหรอครับ”

“เขาไปจอดรถน่ะค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว”

แม่พาคุณยิ้มนั่งลงบนโซฟา ส่วนผมก็เดินเข้าครัวไปรินน้ำเปล่าใส่แก้วออกมาสี่ใบ และเมื่อผมเดินออกมาจากในครัว ผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นคนที่กำลังนั่งอยู่ติดกับคุณยิ้มคือ แจ๊ค

“เก่ง นี่ไงน้องที่คุณยิ้มอยากให้เก่งช่วยดูแลหน่อยน่ะ” แม่ของผมร้องเรียกเมื่อเห็นผมหยุดยืนอยู่หน้าประตูครัว

เมื่อแจ๊คเห็นผมเขาก็มีท่าทีแปลกใจมากเช่นกัน และผมมั่นใจว่าผมเห็นแววตาไม่พอใจของเขาอยู่แวบหนึ่งด้วย แต่มันก็เป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ก่อนที่เขาจะปกปิดอาการทุกอย่างกลับมาเป็นตัวของเขาเองเหมือนเดิม นั่นก็คือทำสีหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์ หรือถ้าพูดให้ชัดก็คือท่าทางขวางโลกนิดๆตลอดเวลานั่นเอง

ทั้งแม่ของผมกับแม่ของแจ๊คต่างก็พูดคุยแนะนำลูกชายของตัวเอง โดยส่วนมากผมกับแจ๊คจะนั่งเงียบๆกันมากกว่า ซึ่งตอนนี้แจ๊คก็รู้ว่าแล้วว่าผมไม่ใช่เด็กมัธยมปลายอย่างที่เขาคิด เมื่อแม่ของผมพูดว่าผมเรียนอยู่คณะอะไรที่ไหน แจ๊คก็มีรอยยิ้มเหยียดๆฉายขึ้นมาบนใบหน้าทันที และเมื่อคุณยิ้มพูดถึงเรื่องเรียนของแจ๊คว่าแจ๊คอยากเรียนอะไรต่อไป ทั้งผมและเขาต่างก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาแทบจะพร้อมๆกัน

“แจ๊คเค้าอยากไปเรียนต่อที่กรุงเทพน่ะค่ะ พี่กับพ่อของเขาอยากให้เขาเรียนบริหาร จะได้กลับมาช่วยดูแลร้านที่บ้านได้” แม่ของแจ๊คพูด

“บริหารเหรอครับ.......” ผมถาม และเมื่อมองหน้าแจ๊คผมก็รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้ “ทำไมไม่ลองถามแจ๊คเค้าดูล่ะครับว่าเขาอยากเรียนอะไร ผมว่าบริหารดูไม่ค่อยเหมาะกับน้องเขาเท่าไหร่เลยนะครับ และที่สำคัญเค้าต้องไปเรียนอีกตั้งสี่ปี มันเป็นอนาคตของเขาทั้งชีวิตเลยนะครับ ถ้าเขาต้องไปเรียนในสิ่งที่ไม่อยากเรียนแล้วเกิดเรียนได้ไม่ดีหรือพาลเกเรไปเลยล่ะก็ คงแย่แน่ๆ อนาคตทั้งอนาคตของเขาก็คงพังไปเลย แถมยังจะพาให้พ่อกับแม่ต้องลำบากไปด้วยอีกต่างหาก ผมว่าคุณยิ้มลองคิดเรื่องนี้ดูดีๆนะครับ เพราะว่าเพื่อนผมที่มาเรียนวิศวะทั้งๆที่ไม่อยากเรียน เพียงเพราะว่าพ่อเขาน่ะจบวิศวะมาและอยากให้ลูกเจริญตามรอยเท้าตัวเอง และสุดท้ายก็เรียนไม่ไหว เลยเสียคนไปเลย แถมยังต้องโดนรีไทร์ออกไปอีกต่างหาก”

เมื่อผมพูดจบทุกคนก็นิ่งเงียบไปทันที และแม้แต่แจ๊คยังดูมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยไปด้วยเลยไม่ได้

“คือผมไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องในครอบครัวของคุณยิ้มนะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด แต่ว่าผมหวังดีน่ะครับ ทั้งกับตัวน้องเขาเองแล้วก็ตัวพ่อกับแม่ด้วย เพราะผมรู้ว่าคุณยิ้มเองก็อยากจะให้เขาเป็นคนดีแล้วก็ได้เรียนดีๆใช่มั๊ยล่ะครับ ถ้าไม่งั้นก็คงไม่ยอมเสียเงินให้เขาได้เรียนหนังสือเพิ่มเติมแบบนี้หรอก เพราะงั้นผมว่าถ้าหวังดีกับตัวเขาจริง ก็ปล่อยให้น้องเขาทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำดีกว่ามั๊ยครับ เขาจะได้มีความสุขแล้วมันก็ไม่ได้เดือดร้อนใครด้วย ว่าไงครับแจ๊ค แจ๊คอยากเรียนอะไรต่อครับ” ผมหันไปหาเขาแล้วยิ้มให้เขาเต็มที่ “พี่ว่าบุคลิกแจ๊คดูเหมาะจะเรียนวิศวะนะ แถมพี่เองก็เรียนวิศวะอยู่ ถ้าให้ติวให้นี่สบายเลย แจ๊คคิดว่าแจ๊คเรียนไหวมั๊ยล่ะครับ”

แจ๊ดยิ้มมุมปากแบบพอใจออกมาเล็กน้อย “ผมอยากเรียนวิศวะครับ พี่เก่ง” เขาเน้นที่คำว่าพี่เล็กน้อย “ถ้าเป็นไปได้ก็อยากสอบให้ได้ และผมก็คิดว่าผมเรียนไหวด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องแล้วแต่พ่อกับแม่นั่นแหละ เพราะเขาเป็นคนส่งผมเรียนนี่” แจ๊คใช้น้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อย ตอนนี้ความกดดันจึงมาตกอยู่ที่คุณยิ้มแม่ของแจ๊คแทน

“ก็........ แล้วแต่แจ๊คก็แล้วกัน แต่ว่าต้องกลับไปคุยกับพ่อดูก่อนนะ ว่าเขาจะว่ายังไง แล้วยังไงตอนนี้ก็เรียนหนังสือไปก่อน ตักตวงเอาความรู้เอาไว้ ส่วนเรื่องเอ็นทรานซ์นั่นก็ค่อยดูปีหน้าก็แล้วกัน ยังมีเวลาให้เปลี่ยนใจได้อีก” คุณยิ้มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจเล็กน้อย ซึ่งก็นับว่าน่าจะเป็นผลดีต่อตัวแจ๊คเอง ถึงแม้ว่าประโยคสุดท้ายนั้นจะยังไม่ชัดเจนว่ามันหมายถึงตัวของคนพูดหรือตัวของแจ๊คก็ตาม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2007 22:29:05 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองคนก็ขอตัวกลับบ้านไป และวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันแรกที่แจ๊คจะมาหาผมที่บ้านนี่อีกครั้งในฐานะของรุ่นน้องหรือลูกศิษย์เพื่อให้ผมสอนหนังสือให้ เมื่อทั้งสองจากไปผมก็เกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมาในใจทันที มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นดีใจแต่ก็แฝงไปด้วยความกังวลนิดๆที่ได้รู้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับเขานั้นกำลังจะพัฒนาไปสู่อีกขั้นหนึ่งแล้ว เช้าวันต่อมาผมตื่นแต่เช้ากว่าปกติและแต่งตัวดูดีมากกว่าเคยนิดหน่อยโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ผมไปถึงที่ร้านของเฮียตี๋และนั่งรอแจ๊คอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง แต่ทว่าเขาก็ไม่มา ผมรู้สึกแปลกใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากและตัดสินใจกลับบ้านเพื่อรอสอนเขาในตอนสิบโมงเช้า

เมื่อแจ๊คมาถึง เราสองคนก็ขึ้นไปบนห้องนอนของผมที่ชั้นสาม และเมื่อประตูห้องถูกปิดลง เขาก็นั่งลงบนเตียงพร้อมหันมายิ้มเหยียดๆให้ผมตามแบบฉบับของเขาทันที

“แล้วไงต่อล่ะครับ พี่เก่ง” เขาเน้นที่คำว่าพี่อีกแล้ว “ยังมีอะไรที่ผมควรจะต้องรู้อีกบ้างมั๊ยครับ”

ผมรู้ดีทีเดียวว่าเขาไม่ได้หมายถึงเรื่องเรียนหนังสือแน่ๆ

“กูขอโทษ กูน่าจะบอกมึงก่อน” ผมตัดสินใจใช้สรรพนามแทนตัวเองแบบเดิม “มึงโกรธกูเหรอวะ เมื่อเช้าก็ไม่ได้ไปที่ร้าน........”

“รอกูอยู่อีกล่ะสิ” แจ๊คยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นรอยยิ้มจริงๆไม่ใช่รอยยิ้มกวนๆแบบเดิมอีกแล้ว “เออ ไม่โกรธแล้วก็ได้วะ เพราะกูก็ไม่เคยถามมึงเองนี่หว่า กูก็แค่คิดไปเองของกูอยู่คนเดียวจริงๆใช่มั๊ยล่ะ ถึงจะหงุดหงิดนิดหน่อยก็เหอะนะ”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายยิ้มออกมาบ้างที่รู้ว่าเขาไม่ได้โกรธผม

“แล้วมีอะไรที่มึงควรจะต้องบอกกูอีกมั๊ย ไอ้หน้าหวาน”

“กูบอกมึงก็ได้ คราวนี้กูจะบอกทุกอย่างเลย แต่มึงเองก็ต้องบอกกูด้วยนะ” ผมนั่งลงข้างๆเขา

สรุปวันนั้นสองชั่วโมงที่ผมควรจะเป็นฝ่ายสอนหนังสือเขา เราก็กลับนั่งคุยกันถึงเรื่องราวของกันและกัน ผมถามเขาถึงเรื่องชีวิตที่นี่ เขาถามผมถึงชีวิตในมหาลัย เป็นการทำความรู้จักกันจริงๆจังๆอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก และเมื่อผมถามเขาว่าถ้ามีผมเป็นครูสอนหนังสือให้แบบนี้ เขาจะยังรู้สึกไม่อยากเรียนและอคติกับคนแปลกหน้าคนนี้อยู่มั๊ย เขาก็ตอบว่าไม่ และเมื่อผมขอให้เขาแทนตัวเองว่าแจ๊คไม่ใช่กูแบบที่เขาใช้พูดกับแม่ได้รึเปล่า เขาก็หัวเราะออกมา

“ฝันไปเหอะ ไอ้หน้าหวาน”

หลังจากนั้นมาเราสองคนก็เจอกันแทบทุกวัน ทุกเช้าที่ร้านปาท่องโก๋ และทุกบ่ายที่บ้านของผม วันไหนที่ไม่มีเรียน เขาก็จะพาผมไปขี่รถเล่นบ้าง พาไปเดินเล่นที่ต่างๆบ้าง และเขาก็เป็นฝ่ายขอเรียนเพิ่มจากวันละสองชั่วโมงเป็นสามชั่วโมงด้วยตัวเองอีกด้วย จนเมื่อเวลาผ่านไปราวๆเดือนนึง ผมก็มีเหตุจำเป็นที่จะต้องกลับไปกรุงเทพก่อนกำหนดอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะว่าพ่อของผมต้องเข้าโรงพยาบาล และผมก็เป็นเพียงคนเดียวที่จะดูแลพ่อและยังดูแลเรื่องที่บ้านพร้อมๆกันไปได้อีกด้วย

เมื่อผมบอกแจ๊คเรื่องนี้ เขาก็ยังคงมีสีหน้านิ่งเฉย ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนอย่างเคยจนผมรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมรู้ตัวแล้วว่าผมนั้นชอบเขามาก มากแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนเลย แต่ผมก็ไม่เคยรู้เลยเช่นกันว่าเขานั้นคิดยังไงกับผมกันแน่ ผมไม่เคยแน่ใจได้เลยด้วยซ้ำว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนทุกวันนี้มันคืออะไร และผมก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงด้วย เพราะประสบการณ์จากพ่อและแม่ของผมมันก็ทำร้ายผมมามากเพียงพอแล้ว

“แล้วตัดสินใจได้รึยัง ว่าจะเอายังไงเรื่องพ่อกับแม่น่ะ” แจ๊คถามขึ้น

ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องของเราเป็นอย่างแรก รู้สึกผิดหวังที่เขาไม่ได้ทักท้วงผมบ้างว่าผมจะกลับมาอีกมั๊ยหรืออะไรเลย แต่ก็อย่างว่า ผมจะไปคาดหวังอะไรได้ล่ะ

“ก็ไม่รู้สิ....... แต่ในใจตอนนี้ก็คิดไว้แล้วว่าอยากจะทำอย่างที่อยากจะทำว่ะ มึงสอนอะไรกูหลายอย่างนะ แจ๊ค มึงเป็นตัวของตัวเอง มึงมีความคิดเป็นของตัวเอง มึงเชื่อมั่นในทางเดินของตัวเอง มึงเป็นอะไรที่กูไม่เคยได้เป็นและเป็นได้เลย ทั้งๆที่มึงอายุน้อยกว่ากูแต่มึงกลับเป็นผู้ใหญ่กว่ากูเยอะมากเลยว่ะ และที่สำคัญ มึงยัง........”

“ยังอะไรวะ”

“ช่างเหอะ........ แต่ว่ามะรืนนี้กูก็ต้องไปแล้ว พรุ่งนี้กูคงสอนไม่ได้นะ”

“เออ มึงเก็บของอะไรให้เรียบร้อยเหอะ ไม่ต้องสอนกูหรอก”

“แล้วเราจะได้เจอกันอีกป่าววะ” ผมเผลอพลั้งปากถามออกไป

“คงจะอยู่ที่ดวงว่ะ”

เย็นนั้นหลังจากเขากลับบ้านไป ผมก็นอนเหงาอยู่คนเดียว ทั้งๆที่ใจก็พะวงเรื่องพ่อและการต้องตัดสินใจของตัวเองมาก แต่อีกใจผมก็คิดถึงแจ๊คมากด้วยเช่นกัน วันรุ่งขึ้นถึงตอนเช้าเราจะเจอกันที่ร้าน แต่เขาก็ไม่ได้มาหาผมที่บ้านตอนบ่ายเพราะเราคุยกันเอาไว้แล้ว วันนั้นผมซึมมากผิดปกติจนแม่ยังสังเกตเห็นได้ และแม่ก็เข้าใจว่าคงเป็นเพราะว่าผมเป็นห่วงอาการป่วยของพ่อ แต่อันที่จริงแล้วพ่อเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้นหรอก

เมื่อถึงวันที่ผมจะต้องกลับกรุงเทพ ผมก็ยังคงตื่นไปที่ร้านของเฮียตี๋เหมือนอย่างเคย แต่ว่าแจ๊คก็ไม่มา ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่เป็นเพียงครั้งที่สามเท่านั้นที่เขาไม่มาเจอกับผมตอนเช้า และนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ผมถามหาเขาผ่านทางเฮียตี๋ เฮียบอกผมว่าเฮียเองก็ไม่รู้ว่าทำไม และเมื่อคืนเขาก็ไม่ได้กลับบ้านแต่ไปนอนค้างที่บ้านเพื่อน ผมรู้สึกเป็นห่วงเขาเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกน้อยใจมากกว่า จนเมื่อใกล้ได้เวลาที่ผมต้องขึ้นรถทัวร์ แจ๊คก็ยังคงไม่มาหาผม แต่ก็ผมเองนั่นแหละที่คาดหวังเอาไว้ว่าเขาอาจจะมาส่งโดยที่ลืมคิดไปว่าจริงๆแล้วแจ๊คน่าจะมีนิสัยอย่างไร และผมกับเขานั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปมากกว่าคำว่า “คนแปลกหน้าที่คุ้นเคย”

ตลอดเวลาห้าชั่วโมงกว่าบนรถทัวร์ผมเอาแต่คิดถึงช่วงเวลาเดือนกว่าๆที่ผ่านมาของผมในบ้านหลังใหม่ของผมที่จังหวัดแห่งความทรงจำของผมนั้น ตลอดเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมาผมเคยไปยังจังหวัดนั้นแค่ไม่ถึงสิบครั้ง แต่ว่าการไปเยือนเพียงครั้งนั้นครั้งเดียวของผมมันก็สอนและให้อะไรแก่ผมมากกว่าที่ผมเคยคิดว่าผมจะได้รับเยอะมากทีเดียว ผมได้เรียนรู้ตัวของผมเองมากขึ้น ได้ถูกสอนทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เผชิญหน้ากับปัญหาและความจริง ได้รู้จักคนใหม่ๆ ได้ทำสิ่งที่ผมไม่เคยได้ทำ และที่สำคัญ......... ได้รู้จักเพื่อน ครู ลูกศิษย์ รุ่นน้อง และคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่มีชื่อว่า แจ๊ค

เมื่อผมกลับถึงกรุงเทพผมก็ได้เผชิญหน้ากับแฟนของพ่อเป็นครั้งแรกด้วยการตัดสินใจของผมเอง จนเมื่อพ่อของผมออกจากโรงพยาบาล ผมจึงตัดสินใจบอกแม่ให้ลงมาหาที่กรุงเทพ โดยบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับทุกคนแบบพร้อมหน้าในฐานะครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย

ผมบอกพ่อและแม่ว่าผมจะตัดสินใจแล้วว่าไม่เลือกใครทั้งนั้นนอกจากอนาคตของตัวเอง ผมบอกทั้งคู่ว่าทั้งสองคนคงจะเสียใจแต่ผมเองก็เสียใจไม่แพ้กัน ผมไม่สามารถเลือกเพียงหนึ่งในคนที่ผมรักสองคนได้ เพราะฉะนั้นถ้าพ่อและแม่ยังบังคับให้ผมต้องเลือก ผมก็จะขอไม่เลือกใครเลยนอกจากตัวผมเอง ถึงยังไงสักวันหนึ่งไม่ช้าไม่นานผมก็จะต้องมีทางเดินเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงขอใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวและทำความเคยชินกับมันซะตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า ยังไงๆทั้งสองคนก็ยังเป็นพ่อกับแม่ของผมอยู่ดี และยังไงๆผมก็จะยังคงรักทั้งคู่ตลอดไป แต่ผมต้องทนทรมานกับการอยู่กึ่งกลางแบบนี้มานานมากพอแล้ว นับจากตอนนี้ไปผมจะขอเลือกทางเดินของตัวเองบ้าง และถ้าพ่อกับแม่ไม่อยากให้ผมทำแบบนี้ก็อย่าบังคับให้ผมต้องมาจมอยู่กึ่งกลางทางเลือกในสถานการณ์ที่ผมไม่ต้องการแบบนี้อีกเลย

โชคดีที่ทั้งพ่อและแม่ของผมเข้าใจและยอมรับการตัดสินใจของผม ถึงตอนแรกทั้งคู่จะยังไม่ค่อยแน่ใจมากนัก แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปแรงกดดันทั้งหลายก็ค่อยๆหายไปทีละน้อยๆ พ่อเลิกบังคับและกดดันให้ผมต้องไปทำงานที่บริษัทของเขา ส่วนแม่ก็เลิกตื้อตามให้ผมไปอยู่กับเขาที่จังหวัดเพชรบูรณ์ด้วยเช่นกัน ถึงแม้บางครั้งผมจะลังเลและไม่มั่นใจเพราะว่าอยากจะเจอหน้าแจ๊คอีกสักครั้ง แต่นั่นก็จะเป็นการตัดสินใจที่มีแจ๊คเป็นพื้นฐาน ไม่ใช่การตัดสินใจที่มาจากตัวของผมเอง

ตลอดเกือบหนึ่งปีต่อมาหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้คุยและไม่ได้เจอแจ๊คอีกเลย น่าแปลกที่ทั้งๆที่ตอนนั้นเราก็เจอกันทุกวันและนับว่าค่อนข้างสนิทกันพอสมควร แต่ผมก็ไม่เคยมีเบอร์มือถือของเขาเลยอยู่ดี มันช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดสำหรับผมจริงๆ เขานั้นเป็นดั่งพายุที่พัดเข้ามาหาผมอย่างกะทันหัน แต่แล้วก็จากไปเงียบๆโดยแทบที่ผมไม่รู้สึกตัว แต่พายุลูกไหนๆก็ย่อมทิ้งความเสียหายที่รุนแรงเอาไว้เบื้องหลังทุกลูก ไม่ต่างกันกับเขาที่ทิ้งความหลังอันยิ่งใหญ่ที่ผมไม่มีวันลืมเลือนเอาไว้ ถึงจะไม่ใช่ความเสียหายหรือความทรงจำอันเลวร้ายดั่งสิ่งที่พายุจริงๆทำ แต่มันก็เป็นความทรงจำที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม เป็นพายุที่ผมรักมากที่สุดเท่าที่ชั่วชีวิตของผมได้เจอมาเลยทีเดียว

เวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ผมไม่มีวันลืม เป็นความสวยงามของความทรงจำที่ผมไม่อาจจับต้องได้ ทั้งใบหน้า น้ำเสียง ท่าทางของเขา ทั้งความนึกคิด มิตรภาพ และความผูกพันของคนแปลกหน้าสองคนที่บังเอิญมาเจอกัน ความรักที่ผมมีให้แก่เขาและเขาอาจจะไม่เคยได้รับรู้ ความห่วงใยที่เขามีให้ผมที่ผมได้รับรู้แต่ไม่เคยมั่นใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเหมือนกับความฝัน เป็นความฝันที่อบอุ่นแต่ก็แสนเศร้า การจากลาที่ไม่เคยได้บอกลา ความรักและความรู้สึกๆดีที่ไม่เคยได้พูดออกไป หลายต่อหลายคืนที่ผมนั่งเหงาอยู่คนเดียวและร้องไห้น้ำตาออกมาหยดเล็กๆให้กับความทรงจำที่อบอุ่นแต่ก็เจ็บปวดเหล่านั้น.........

วันนี้ผมนั่งอยู่คนเดียวที่ริมบ่อน้ำในหมู่บ้าน หวนนึกถึงความหลังเมื่อหนึ่งปีก่อนของตัวเอง ความทรงจำสวยงามที่ไม่มีวันย้อนมาแต่ก็จะไม่มีวันจางหายไปจากใจของผมด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทว่าผมไม่มีน้ำตาอีกแล้ว ตอนนี้ผมมีเพียงรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าเพื่อมอบให้แก่ช่วงเวลาดีๆเหล่านั้นเท่านั้นเอง

“มานั่งยิ้มทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว หือ ไอ้หน้าหวาน”

ผมหันกลับไปมองที่มาของเสียงที่ผมคุ้นเคย ใบหน้าหล่อๆพร้อมรอยยิ้มกวนๆนั่นก็ยังคงมีอยู่แบบเดิมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถ้ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปล่ะก็คงมีเพียงการที่เขาสอบติดที่มหาวิทยาลัยเดียวกับผม เป็นรุ่นน้องในคณะของผม อาศัยอยู่บ้านเดียวกับผม และความสัมพันธ์ของเราสองคนที่พัฒนาขึ้นไปจากเมื่อปีก่อนนี้มากนั่นเอง

“นั่งนึกเรื่องเก่าๆเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมหันไปยิ้มให้แก่เขา

“อะไรวะ ยังไม่แก่เลยทำมารำลึกความหลังเป็นคนแก่ไปได้” เขายื่นมามาให้ผมจับ “ไปเหอะ ไปนั่งกินปาท่องโก๋กัน”

ผมจับมือของเขาแล้วดึงตัวเองขึ้น แจ๊คหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่ามีคนอยู่ใกล้ๆรึเปล่า แต่ว่าตอนนี้ยังคงเช้าอยู่มากจึงไม่มีใครอยู่ในระยะสายตาของเราเลย เขารีบชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมไวๆก่อนที่เราสองคนจะเดินไปนั่งร้านปาท่องโก๋ร้านประจำร้านใหม่ของเรา ถึงร้านนี้จะไม่อร่อยและให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนร้านของเฮียตี๋ แต่ว่าอย่างน้อยๆมันก็เป็นสถานที่จุดเริ่มต้นที่ช่วยเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเราเข้าไว้ด้วยกัน

ความทรงจำที่ไม่มีวันลืมเลือน กับความรักที่จะไม่มีวันจืดจาง...................



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
จบแล้วใช่มะ  :m3:  :m3:  :m3: ชอบมั่ก ๆ น้องแจ๊คน่าร๊าก   :m1:  :m1:  :m1:
เรื่องนี้ก็ซึ้งอีกแล้ว เถื่อนนิด ๆ หุหุ ชอบมากกกกกกกกกกกกกก  :m4:  :m4:  :m4:
รออ่านเรื่องต่อไปจ้า  :a2:  :a2:

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป




โดนเรียกตัวด่วน . . .  ที่กระบี่ยุ่งมากเลยวุ้ย

ไว้ . . . ตอนมาส่งงานอาจารย์  จะแวะไปหาไรกินด้วย


ไว้เจอกันเมื่อชาติต้องการ . . .


ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
สุดท้ายเราก็ต้องมีชีวิตของเราเอง
มันเป็นชีวิตของเราทั้งชีวิตนี่เนอะ
 :m18: :m18: :m18: :m18:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






gobgab

  • บุคคลทั่วไป

...........ความทรงจำ........

..........มันทำหั้ยเรายิ้มและร้องไห้ได้ในเวลาเดียวกัน......... :undecided: :undecided:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
ลงชื่อไว้ก่อง ๆ ยางม่ะอ่านหรอกพี่ชาย  :m14: :m14:

ลป.  จัยร้ายมากเรยนะ ไปกินฟูจิม่ายชวนกานอ้ะ   :m26:
       น้องชายจะตายเพราะสอบแคลฯ แร้วหล่ะ  :m8:
       โกดแร้น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ  :m16: :m16:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ลงชื่อไว้ก่อง ๆ ยางม่ะอ่านหรอกพี่ชาย  :m14: :m14:

ลป.  จัยร้ายมากเรยนะ ไปกินฟูจิม่ายชวนกานอ้ะ   :m26:
       น้องชายจะตายเพราะสอบแคลฯ แร้วหล่ะ  :m8:
       โกดแร้น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ  :m16: :m16:

เมิงไปวันนั้นกรูยังโดนรุมด่า ขืนลากไปอีกกรูมิโดนเสยรึ  :a6:

สอบไปเหอะ ไว้สอบเสดค่อยแรดอีกที

 :laugh:


three

  • บุคคลทั่วไป
เพราะชีวิตคือชีวิตเมื่อมีเข้ามาก็ต้องมีเลิกไปมีสุขสมหวังมีทุกข์โศกยังไงก็สู้ๆนะครับ(เป็นนิยายที่ยาวได้ใจเลยจริงๆ :m3:)

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1


เมิงไปวันนั้นกรูยังโดนรุมด่า ขืนลากไปอีกกรูมิโดนเสยรึ  :a6:

สอบไปเหอะ ไว้สอบเสดค่อยแรดอีกที

 :laugh:



สอบเสดแร้วเด้ะ ๆๆ  :m17:
แต่ว่า กลับบ้านอ่ะ  :m23:
กลับไป ม.อีกที ก้อ 8 นู่นแน่ะ  :m17: :m17:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
เพิ่งมีเวลามาอ่านน่ะพี่ชาย  :m17:

กระทู้ตกไปไกลเหมือนกันนะเนี่ย  :เฮ้อ:

ปล. ไวท์ ... หุหุหุ  :m12: :m12: :m12:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
แว่บมาช่วยดัน ไม่ได้อ่านมาสักพัก

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกซ์ ชอบแจ๊ค :m1: น่ารักดี

มาต่ออีกเรื่องเร็วนะครับ ต้น

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เรื่องนี้เป็น "เรื่องแปล" นะครับ เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่ผมประทับใจมาก
เรื่องเกี่ยวกับทหารหนุ่มๆครับ (เอิ๊กๆๆ น้ำลายหก)  :laugh:
ผมแปลเอาไว้สักพักใหญ่ๆแล้วล่ะ ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเอามาลงดีมั๊ย
และสุดท้ายก็คิดว่าเอามาให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆได้อ่านได้สัมผัสกับความอรู้สึกเหมือนๆกับที่ผมเคยได้สัมผัสก็น่าจะดีครับ
และที่สำคัญ....... มันมีส่วนสำคัญในการเขียนเรื่องของผมเองด้วย เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอย่างดีเลย
ถ้าเจออะไรคุ้นๆก็ไม่ต้องแปลกใจไปหนาาา
 :impress:


บัดดี้


ผมรู้ว่าคนที่นอนอยู่ในถุงห่อศพนั้นคือบัดดี้ ผมเห็นทหารคนอื่นเป็นคนวางเขาลงไปเอง แต่ทำไมกัน ทำไมผมถึงไม่ใช่คนที่ไปนอนอยู่ข้างๆเขา ผมมองไปยังบัดดี้จากนั้นก็ก้มลงมองดูขาของผมเอง....... แต่มันไม่อยู่แล้ว ดูไม่มีร่องรอยว่าเคยมีขาอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ เมื่อผมเห็นดังนั้น ความทรงจำของเรื่องราวที่เพิ่งผ่านมาก็วิ่งเข้ามาชนผมเข้าอย่างจัง ผมตะโกนร้องเรียกความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ทันที แต่เขากลับบอกผมว่าเขาไม่สามารถช่วยผมให้ทุเลาจากอาการเจ็บปวดลงได้

“เอายาเหี้ยอะไรก็ได้มาให้ผมเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นก็เอาปืนมา แล้วผมจะช่วยให้ตัวเองหายเจ็บเอง” ผมพูดใส่หน้าเขา

เขามองหน้าผม จากนั้นก็ฉีดมอร์ฟีนให้ผมอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก หลังจากนั้นไม่นานสมองของผมก็เริ่มจะจมดิ่งไป...........

.
.
.

เพิ่งจะเมื่อคืนนี้เอง ที่ผมกับบัดดี้กำลังมีอะไรกัน เขาคือผู้ชายคนแรกของผมที่ผมเคยใช้ปากด้วย และตอนนี้ผมก็ทำแบบนั้นให้เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ครั้งแรกที่เราใช้ปากให้แก่กันนั้น บัดดี้เป็นคนเริ่มทำให้กับผมก่อน ส่วนผมก็ใช้นิ้วลูบไล้ไปบนเส้นผมสั้นเกรียนของเขาช้าๆจนกระทั่งผมหลั่งในปากของเขา เมื่อเขากลืนทุกหยอดลงคอไปหมดแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วก็พูดว่า “ขอบใจ”

ผมคว้าตัวของเขาขึ้นมา ลูบไล้ไปบนส่วนต่างๆของร่างกายของเขาจนกระทั่งเจอเข้ากับน้องชายที่แข็งราวกับท่อนไม้ของเขา ผมก้มต่ำลงไปใช้ปากให้กับเขา ตอนแรกมันก็ทุลักทุเลพอสมควร แต่เมื่อบัดดี้เริ่มส่งเสียงครางออกมาอย่างพอใจ ผมก็เร่งเครื่องเต็มที่ ผมทำทุกๆอย่างจนกระทั่งเขาฉีดน้ำของเขาลงไปในคอของผมเช่นเดียวกัน

เมื่อผมลุกขึ้นยืน เขาก็มองหน้าของผม “ตอนนี้มึงเป็นของกูแล้วนะ”

“มึงเองก็เหมือนกัน” ผมยิ้มกว้าง

เขายิ้มกว้างแล้วก็พยักหน้า “มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว”

.
.
.

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในโรงพยาบาล รู้สึกถึงความเจ็บปวดและความแสบร้อนจากทั่วทั้งด้านข้างของร่างกายของผม และขาของผมก็เป็นเพียงความทรงจำไปแล้ว พยาบาลที่กำลังดูแลผมอยู่บอกผมว่าพวกเขาจับผมใส่เครื่องบินแล้วส่งผมมายังที่แห่งนี้ ผมพยักหน้ารับ จากนั้นความคิดถึงและความทรงจำเกี่ยวกับบัดดี้ก็วิ่งเข้ามาจนเต็มจิตใจของผม และมันก็ทำให้ผมเริ่มต้นร้องไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้เหล่าพยาบาลต้องเข้ามาช่วยกันฉีดยาให้แก่ผม แล้วหลังจากนั้นผมก็ผล็อยหลับไป

ผมอายุสิบเก้าและสูงเกือบๆร้อยแปดสิบเซนติเมตร ผมมีผมสีบลอนด์ ตาสีน้ำตาล และมีผิวสีแทนอ่อนๆ ผมไม่เคยสังเกตหน้าตาของตัวเองมาก่อนเลยจนกระทั่งผมได้พบกับบัดดี้ และเขาก็ย้ำเตือนพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าผมมันน่ารักเป็นบ้าเลย และเมื่อผมมองไปที่บัดดี้ ผมก็เห็นสิ่งๆเดียวกันนั้นในตัวเขาเช่นเดียวกัน เขากับผมมีขนาดร่างกายพอๆกัน เพียงแต่ว่าเขามีผมสีดำหนา และทุกครั้งที่ผมได้ใช้นิ้วไล้ไปบนเส้นผมของเขานั้น มันก็ทำให้ผมรู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมาได้เสมอๆ และมีอยู่ครั้งหนึ่งด้วยที่แค่ผมได้ลูบไล้ผมของเขา ผมก็ถึงกับหลั่งออกมาได้โดยที่ไม่ต้องแตะต้องตัวเองเลย บัดดี้หัวเราะชอบใจและบอกกับผมว่า เขาดีใจมากที่ไม่ต้องไปห่วงว่าผมจะไปวุ่นวายกับคนอื่นเลย เพราะไม่มีใครในค่ายที่มีเส้นผมแบบเขาอีกแล้ว

ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสิ่งที่ผมกับบัดดี้ทำนั้นเป็นเรื่องของพวกรักร่วมเพศ เราสองคนนอนอยู่ด้วยกันในความมืด จูบปากแลกลิ้นกัน และใช้ปากอมให้แก่กันและกัน และผมก็ไม่เห็นและไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะผิดตรงไหน เมื่อผมถามบัดดี้เรื่องนี้ เขาก็ยิ้มตอบกลับมา

“ช่างหัวพวกแม่งเหอะ กูไม่แคร์ว่าคนอื่นมันจะคิดยังไง แต่กูแคร์แค่มึงเพียงคนเดียว ถ้าสิ่งที่เราทำมันจะเป็นเรื่องเกย์ๆก็ช่างแม่ง กูก็จะเป็นเกย์เพื่อมึงและจะเป็นตลอดไปด้วย”

บัดดี้ได้กลายมาเป็นโลกทั้งใบของผมไปแล้ว เมื่อตอนที่เราเข้าฐานทัพ เขาก็ได้อยู่หน่วยเดียวกับผม เมื่อเราสองคนถูกสั่งให้นอนแบบหัวชนเท้า ซึ่งก็คือผมต้องนอนเอาหัวไปไว้ที่ปลายเท้าของเขาและเขาก็ต้องนอนโดยมีเท้าของผมวางอยู่ตรงหน้าของเขา ทุกๆครั้งที่ผมมองลงไปที่เท้าของตัวเอง ผมก็จะเห็นเขากำลังมองผมอยู่เช่นกัน

ช่วงระหว่างประจำการ พวกเราต่างก็คอยระวังและดูแลกันและกันมากกว่าใครคนอื่นๆ ไม่ว่าจะยามที่ผมต้องเจอกับภาวะยากลำบากขนาดไหน เขาก็จะคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือผมอยู่ตลอดเวลา

เราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีครอบครัว เพราะฉะนั้นเมื่อวันจบการศึกษาและออกจากฐาน พวกเราจึงเปิดห้องโรงแรมห้องหนึ่งไว้ พวกเราสั่งอาหารขึ้นมากินกัน จากนั้นเราก็ถอดเสื้อยูนิฟอร์มออก แล้วบัดดี้ก็เริ่มต้นใช้ปากให้กับผมทันที และเมื่อผมเสร็จผมก็ทำคืนให้กับเขาบ้างเช่นกัน แต่แล้วจู่ๆ ผมก็คิดอยากทำอย่างอื่นที่มากกว่านั้น ผมจับบัดดี้ให้นอนคว่ำลงแล้วผมก็จ่ออาวุธของผมเข้าไปที่ปากทางเข้าของเขา เขาคอยบอกผมอยู่ตลอดเวลาว่าอย่าทำให้เขาเจ็บ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ความอยากมันเข้าครอบงำจิตใจของผมไปหมดแล้ว ผมอัดกระแทกเจ้าน้องชายยาวแปดนิ้วของผมเข้าไปจนสุดลำ บัดดี้ร้องออกมาเสียงดังเพราะความเจ็บปวด จากนั้นเขาก็บอกผมว่าห้ามเคลื่อนไหวเด็ดขาด ผมจึงแช่เอาไว้อยู่อย่างนั้น จนเมื่อเขาเริ่มรู้สึกสบายตัวขึ้นมานิดหน่อยแล้วเขาก็ดึงตัวเองออกช้าๆแล้วก็หันมาเผชิญหน้ากับผม และใบหน้าของเขาก็บ่งบอกความรู้สึกออกมาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

“ทิม เมื่อกี๊มันเจ็บชิบหายเลย มึงรู้มั๊ย กูอยากจะสนุกกับมึง ไม่ใช่อยากจะทำให้ก้นของกูฉีกออกแบบนั้น มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงขึ้นมาเนี่ย เราสมควรที่จะเป็นเพื่อนกัน เป็นพี่น้องกันไม่ใช่รึไง” เขาหยุดพูดแล้วก็ใช้มือปาดน้ำตาออก “กูรักมึงเหี้ยๆ แต่มึงกลับทำแบบนี้กับกู มึงกลับกล้าทำร้ายกู”

ผมรีบกระโดดลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้าไปหาเขา บัดดี้กำหมัดแน่นเหมือนกับเขาพร้อมจะต่อยผมได้ทุกเมื่อ “ชกกูเลย บัดดี้ ถ้ามึงต้องการแบบนั้น กูจะยอมรับมันทุกอย่าง แต่ว่ากูไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายมึงจริงๆ มึงก็รู้ ไอ้เหี้ยเอ๊ย มึงก็รู้ว่ากูไม่มีวันทำร้ายมึง” ผมรู้สึกว่าเสียงของผมกำลังสั่นเครือ “ยกโทษให้กูเถอะนะ บัดดี้ กูขอร้อง”

บัดดี้โอบรอบคอของผมแล้วดึงตัวผมเข้าไปแนบกับหน้าอกของเขา เขาจูบลงบนหน้าผากของผม “กูยกโทษให้มึง...... เพราะว่ามึงเป็นคนของกู”

ผมโอบกอดรอบเอวของเขาเอาไว้ “กูเสียใจ บัดดี้”

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ “กูก็ขอโทษมึง ทิม กูไม่มีทางที่จะชกมึงได้หรอก กูสาบาน”

พวกเรากลับลงไปนอนลงบนเตียงแล้วก็ใช้ปากให้กันและกันอีกครั้ง บัดดี้วางหัวลงบนแขนของผมแล้วฝังหน้าลงบนรักแร้ของผม พอผมบอกเขาว่าเวลาเขาทำแบบนี้แล้วมันทำให้ผมเกิดอารมณ์เขาก็หัวเราะแล้วบอกว่าให้ผมเอาเขาได้แล้ว ตอนนี้เขาต้องการผมแล้ว และครั้งนี้ผมก็ค่อยๆทำมันช้าๆเพื่อให้เขามีความสุขที่สุด

เราสองคนกลายเป็นคู่หูที่แยกจากกันไม่ได้ ไม่มีใครและไม่มีอะไรมาขวางระหว่างเราสองคนได้เลย พวกเรายังเด็ก แต่พวกเราก็เป็นทหาร พวกเราไม่เกรงกลัวอะไรอื่นนอกเสียจากกลัวจะต้องสูญเสียซึ่งกันและกันไป และนั่นก็ไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่เรามักคุยกันด้วย ที่ค่ายฝึกนั้นบางทีก็เป็นเหมือนกับสนามเด็กเล่น และบางทีมันก็สามารถโหดร้ายได้ราวกับนรกเลยทีเดียว แต่พวกเราทุกคนก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆสิ่งจากที่นี่เยอะมาก หลายๆสิ่งที่ทำให้เราเป็นทหารที่ฉลาดขึ้นและแข็งแกร่งมากขึ้นก่อนจะถูกส่งไปประจำการที่อิรัก

ขณะที่พวกเรานั่งกันอยู่บนเครื่องบินพร้อมๆกับทหารหนุ่มอีกหลายคน เราต่างก็หยอกล้อและพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ รวมถึงเรื่องผู้หญิงด้วย จากที่มองๆดูแล้ว คนหรือสองคนในหมู่พวกเรานั้นเคยมีประสบการณ์เรื่องนั้นมาแล้ว แต่ที่เหลือนั้นคงยังไม่เคยเลย ส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะผมมีบัดดี้อยู่แล้ว บัดดี้เริ่มบอกคนอื่นๆว่าเราสองคนเป็นพี่น้องต่างพ่อกัน ซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะผมก็แค่รักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน

เมื่อเรามาถึงที่อิรัก นอกจากสัมภาระที่พวกเราติดตัวมา ที่นั่นก็มีความร้อน ทราย และแสงแดดรอรับเราพร้อมอยู่แล้ว พวกเราตั้งเต็นท์กันแต่เช้าตรู่ ผมกับบัดดี้เลือกที่นอนติดกันตรงมุมเต็นท์ ขณะที่ผมกำลังจัดของอยู่นั้น บัดดี้ก็เดินเข้ามาหาผมแล้วบอกว่าเขาหาที่ๆสำหรับเราสองคนส่วนตัวที่นี่ได้แล้ว และเมื่อผมพยักหน้ารับ เขาก็ส่งยิ้มแบบนั้นกลับมาให้ผม รอยยิ้มที่สามารถละลายน้ำแข็งได้ และเขาก็ยังใช้มันละลายหัวใจของผมด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเราเริ่มคุ้นเคยกับกิจวัตรประจำวันของที่นี่ ผมกับบัดดี้ก็แทบไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวกันเลย แต่เราก็ยังคงได้อยู่ใกล้ๆกันแทบจะตลอดเวลาอยู่ดี ซึ่งนั่นก็มีความหมายสำหรับผมมากที่สุดแล้ว

การได้อยู่กันตามลำพังสองคนที่แนวสังเกตการณ์นั้นเป็นช่วงเวลาวิเศษสุด ไม่มีใครจากภายนอกจะมองเห็นพวกเราได้ และถ้ายังไม่ถึงเวลาเฝ้ายาม พวกเราก็จะมีเวลาได้ทำอะไรๆกันโดยที่ไม่ต้องกังวลจนกว่าจะถึงกะของเราอีกครั้ง เราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นกะของผมหรือกะของเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่บัดดี้นอนหนุนตักของผมเหมือนกับหลายๆครั้ง แล้วถามว่าเราสองคนควรจะอยู่กับกองทัพไปตลอดชีวิตหรือจะออกไปทำอย่างอื่นด้วยกันดี ผมถามเขากลับว่าถ้าเราออกไปแล้วเราจะออกไปทำอะไรกันดี บัดดี้หัวเราะแล้วก็ตอบกลับมาว่า

“หางานทำ หาที่อยู่ ก็เหมือนกับคนอื่นๆในโลกไง”

“พูดจริงรึเปล่า” ผมไม่เคยละสายตาออกไปจากใบหนาของเขาเลย

“แหงสิ” เขาพยักหน้า “กูไม่อยากจะไปอยู่ที่ไหนโดยไม่มีมึงเด็ดขาด”

ผมแน่ใจว่าเขามองเห็นสายตาแห่งความกังวลของผมเพราะว่าผมไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อนเลย ผมมันก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกธรรมดาๆ ผมอยากจะอยู่กับบัดดี้ แต่ผมก็กลัวว่าผมจะไม่มีเงินพอสำหรับใช้ชีวิต แล้วหลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็คงต้องแยกจากกัน ยิ่งผมมองใบหน้าของเขามากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งอยากจะให้เขาได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น และยิ่งทำให้ผมรู้ตัวว่าผมคงจะให้อะไรเขาไม่ได้ถ้าหากผมไม่มีเงินมากพอ เขามองผมตอบกลับมาด้วยสีหน้าแบบเดิมๆที่ช่วยคลายกังวลให้แก่ผมมาตลอด

“ทิม มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะนอนที่ไหนหรือทำงานอะไร ตราบเท่าที่เรามีกันและกัน ทุกๆอย่างนอกเหนือจากนั้นมันก็จะลงตัวเองนั่นแหละ กูสาบาน”

น้ำเสียงและคำพูดของเขาช่วยปลอบใจผมและทำให้ผมเห็นความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ผมมองไปรอบๆตัวว่ามีใครอยู่แถวนั้นรึเปล่าจากนั้นก็ก้มลงจูบเขา พวกเราเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ และเราก็รู้มันดีด้วย

หกเดือนต่อมาขณะที่เราอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง ผมบอกบัดดี้ว่าผมรักเขา เขาจ้องตาผมกลับมาด้วยแววตาเป็นประกายภายใต้แสงจันทร์ ผมเห็นสีหน้าหวั่นไหวของเขา จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงอันหวั่นไหว

“ห้ามมึงพูดประโยคนั้นออกมาอีกเด็ดขาดนะ ทิม มึงเข้าใจมั๊ย”

ปกติแล้วผมมักจะเห็นด้วยกับบัดดี้ทุกๆอย่างนะ แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ “ช่างมึงสิ ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูไม่สนหรอกนะว่ามึงจะว่ายังไง กูรักมึง และจะรักตลอดไปด้วย ถ้ามึงไม่ชอบที่กูพูดแบบนั้น ก็เอาปืนที่มึงสะพายบ่าอยู่มาจ่อหัวกูแล้วก็ยิงกูให้ตายแม่งไปเลยก็แล้วกัน”

“มึงจะบ้ารึไง ไอ้เหี๊ยเอ๊ย.........” บัดดี้ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น “กูรักมึง รักมานานแล้วด้วย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันด้วยซ้ำ มึงก็รู้นี่ การได้รักมึงมันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่กูปรารถนาแล้ว แต่นี่มึงมารักกูด้วย มันทำให้กูกลัว กลัวว่ากูจะไม่สามารถปกป้องมึงได้.........” เขามองหน้าผมอีกครั้งจากนั้นก็หันหน้าหนีไปทางอื่น “ช่างมันเถอะ กูก็แค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง..........”

บัดดี้นิ่งเงียบไปอีกราวๆสองชั่วโมง ผมเผลอผล็อยหลับไปหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งบัดดี้ปลุกผมขึ้นมา

“ทิม ตื่นก่อน กูคิดมากเรื่องนี้จนจะบ้าตายอยู่แล้วนะ”

ผมลืมตาขึ้นมามองหน้าเขา ใบหน้าของเขาด้านหนึ่งมีรอยดินเปื้อนอยู่ ผมอยากจะดึงตัวเขาเข้ามากอดและจูบเขาเหลือเกิน แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะเขามีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยกับผม และเขาก็ต้องการให้ผมตั้งใจฟังเขา

“ทิม กูรักมึงมากกว่าที่กูเคยรักใครๆซะอีก กูรู้สึกเหมือนกับในที่สุดกูก็ได้มีครอบครัวกับเขาบ้าง แต่ในขณะเดียวกันกูก็กลัวที่จะเสียมึงไปด้วย ถ้าเกิดทางกองทัพจะปลดพวกเราออกเพราะว่าเราเป็นเกย์ กูก็ยังโอเคกับมันนะ กูรู้ว่ากูดูแลมึงได้ และมึงก็จะมีความสุขด้วย.......” บัดดี้สูดลมหายใจเข้าช้าๆ และเสียงของเขาก็เริ่มสั่นเครือ “แต่ว่าถ้าเกิดมึงตายที่นี่ขึ้นมา กูก็จะยิงตัวตายตามมึงไปด้วย กูไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยปราศจากมึงได้จริงๆ และแค่การที่กูคิดว่ากูไปสัมผัสตัวกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่มึง มันก็ทำกูรู้สึกอยากจะอ้วกแล้ว ทิม กูรู้สึกแบบนั้นจริงๆ กูไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่กูเป็นเลย และสิ่งที่กูต้องการมากที่สุดก็คือมึงกับกูสองคน นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว เราสองคนสามารถร่วมกันทำและฝ่าฟันมันไปเองทีหลังได้ ใช่มั๊ย”

ผมมองหน้าบัดดี้จากนั้นก็เริ่มต้นร้องไห้ออกมา ผมไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าใครมาก่อนเลย ผมยอมตายดีกว่าที่จะร้องไห้ให้ใครเห็น แต่ที่นี่ เวลานี้ ตอนนี้ ทหารคนหนึ่งกำลังทำให้ผมร้องไห้ราวกับตัวเองเป็นเด็กอายุสองขวบ บัดดี้ดึงตัวของผมขึ้นไปกอดอย่างแนบแน่น เขาจูบทางด้านข้างของหัวของผมและบอกผมว่าทุกๆสิ่งมันจะต้องไม่เป็นอะไร ทุกๆอย่างจะต้องโอเค เขาบอกว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของผม เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน

เขาใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาของผมออก “มึงโอเคขึ้นรึยัง”

ผมเอื้อมมือออกไปเช็ดคราบดินออกจากหน้าของเขา “บัดดี้ มึงสาบานกับกูเดี๋ยวนี้ได้มั๊ย ว่าระหว่างเราจะต้องไม่เกิดเหี้ยอะไรขึ้นเด็ดขาด สาบานกับกูสิ”

เขาเอื้อมมือมาวางลงบนหลังคอของผม “พวกเราจะต้องไม่เป็นอะไร กูสาบาน”

ผมพยายามจะยิ้ม แต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมกุมมือของเขาเอาไว้จากนั้นก็มองตาเขา “บัดดี้ มันไม่สำคัญสำหรับกูเลยจริงๆนะว่าเราจะทำอะไรกันตราบเท่าที่เรามีกันและกัน กูกลัว...... กูกลัวจริงๆ กลัวว่ากูจะเสียมึงไป ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับมึงล่ะก็ กูอยากให้มึงรู้ไว้นะว่าชีวิตของกูก็จบสิ้นลงด้วยเหมือนกัน”

ผมเห็นว่าเขากำลังเริ่มจะร้องไห้ ผมจึงจูบลงบนแก้มของเขา จากนั้นก็รีบยืนขึ้นเมื่อได้ยินเสียงจ่ากำลังเดินมา

คืนนั้นทั้งคืนผมคิดถึงแต่บัดดี้ ความตายจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมต้องการถ้าหากผมต้องอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้โดยปราศจากเขา ผมรู้สึกว่าผมสามารถตายไปตั้งแต่ตอนนี้โดยรู้สึกโอเคกับมันเลยด้วยซ้ำ หลายวันต่อมาเมื่อผมมีโอกาส ผมก็ไปทำพินัยกรรมเรื่องยกทรัพย์สินและเงินเดือนทั้งหมดของผมให้กับบัดดี้ ผมไม่มีครอบครัวและใครอื่นดังนั้นผมจึงสามารถยกมันให้กับใครก็ได้ที่ผมต้องการ แต่ผมไม่เคยบอกบัดดี้ในเรื่องนี้เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงต้องโกรธผมแน่

สองเดือนถัดมาเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมาก ยุทโธปกรณ์ของเราก็เริ่มร่อยหรอลง และในเมื่อไม่มีทหารชุดใหม่ถูกส่งมาเร็วๆนี้เราจึงต่างก็ต้องทำงานกันหนักมาก ทุกคนต่างก็เหนื่อยอ่อน และมันก็ต่างกันเพียงแค่นิดเดียวที่จะฆ่าคนอื่นหรือถูกฆ่าเอาได้ง่ายๆ แต่ทว่าพวกเราก็ได้รับมอบหมายภารกิจมา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถปริปากบ่นได้ ผมรู้สึกเป็นห่วงบัดดี้ขึ้นมาทันที ผมอยู่ในช่วงที่รู้สึกไม่สบายทุกๆครั้งที่อาหารเข้าไปในปาก ผมอยากจะอ้วกอยู่ตลอดเวลา และผมรู้ตัวว่ามันเกิดมาจากความเครียดนั่นเอง

สามเดือนครึ่งผ่านไปจนเราได้หนึ่งสัปดาห์ให้พักในพื้นที่ปลอดภัย ทั้งค่ายทหารต่างก็มีน้ำอุ่นให้อาบ มีอาหารดีๆ และชุดยูนิฟอร์มของเราก็ได้รับการซักรีด บัดดี้กับผมได้ตัดผมใหม่ แล้วก็ใช้เวลาชั่วโมงนึงในการเลือกซื้อวีดีโอเกม แต่เราก็ไม่ได้ซื้ออะไรมากไปกว่าโค้กสองกระป๋องและมันฝรั่งถุงใหญ่หนึ่งถุง พวกเราได้นั่งในห้องแอร์ดูหนังกันตามลำพังสองคนซึ่งมันเป็นอะไรที่วิเศษมาก ตอนกลางคืน เราสองคนก็เจอสถานที่เงียบๆและเป็นส่วนตัวที่หนึ่ง พวกเราสองคนนั่งลงและคุยกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งบัดดี้เป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องหนึ่งขึ้นมา

“ทิม กูเปลี่ยนสัญญาแล้วก็ไอ้พวกมรดก ทรัพย์สิน เงินเดือนเหี้ยอะไรพวกนั้นไปให้มึงหมดแล้วนะ กูจะไม่มีวันรักใครมากเท่ากับมึงแน่นอน เราสองคนจะไม่เป็นอะไร มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในเมื่อเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว กูก็เลยแค่รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่กูต้องทำ มึงเข้าใจกูมั๊ย”

“บัดดี้ กูเองก็ทำแบบนั้นไปแล้วเมื่อสองสามเดือนก่อนเหมือนกัน ก็เหมือนกับที่มึงพูดนั่นแหละ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่นะ”

คืนนั้นมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับบัดดี้ เขาดูกระวนกระวายใจและดูอ่อนไหวมาก ผมนั่งอยู่ข้างๆเขา เอามือวางบนขาของเขาและลูบขึ้นลูบลงช้าๆ รอจนกว่าเขาพร้อมที่จะพูดมันออกมา จนในที่สุดเขาก็มองไปรอบตัวแล้วก็ยืนขึ้น

“ตามกูมา” เขาบอกผม

ผมเดินตามเขาไปในเทรลเลอร์ที่ใช้เก็บผ้าปูที่นอนและผ้าห่ม เมื่อเราสองคนอยู่ข้างในแล้วเขาก็ล็อคประตู จากนั้นก็คลานพาผมเข้าไปตรงกลาง บัดดี้ปิดไฟฉายลงจากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าตัวเองออก ผมเองก็ถอดของตัวเองออกเช่นกัน เราสองคนจูบปากกันอย่างดูดดื่ม และนอนลงบนผ้าปูผืนหนึ่ง บัดดี้กุมมือของผมเอาไว้และวางหัวลงบนต้นแขนของผม ผมจูบที่ใบหูของเขาแล้วก็บอกเขาว่าเขาสามารถบอกผมได้ทุกเรื่อง เขานอนตะแคงข้างแล้วก็ขอร้องให้ผมกอดเขาแน่นๆ ผมทำตามที่เขาบอกและเขาก็เริ่มต้นร้องไห้และพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเขา สิ่งที่เขารู้สึกไม่สบายใจทั้งหมดออกมา เมื่อเขาเงียบลงแล้ว ผมก็ค่อยๆยกประคองด้านข้างของหน้าของเขาให้หันมาหาผม จากนั้นเราสองคนก็นอนกอดกันจนหลับไป จนกระทั่งนาฬิกาข้อมือของผมปลุกผมให้ตื่นขึ้นตอนตีสี่ ผมปลุกบัดดี้อย่างอ่อนโยน เขายิ้มให้ผมแล้วก็บอกผมว่าเขารักผม จากนั้นเราสองคนก็ร่วมรักกันก่อนที่ผมจะต้องไปเข้าเวร


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

ทุกคนในค่ายเริ่มรู้สึกตื่นเต้นกันมากขึ้นเมื่อการมาประจำการที่อิรักของเรากำลังจะจบลง พวกเราทุกคนล้วนอยากจะกลับไปยังประเทศของเรา แต่ในขณะเดียวกันความกังวลก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย เพราะมันดูเหมือนกับว่าเวลาที่ทหารกำลังจะถูกส่งกลับนั้น เป็นช่วงเวลาที่จะมีการเสียเลือดเสียเนื้อและเสียชีวิตมากที่สุดด้วย พวกเราทุกคนต่างก็รู้กันถึงเรื่องนี้แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากอะไร ก่อนที่เราจะเก็บของกันนั้นก็เป็นการตรวจตราครั้งสุดท้ายสำหรับพวกเรา พวกเราแพ็คของและขนมันขึ้นรถ แต่เราไม่รู้เลยว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น มีผู้ชายชาวอิรักแก่ๆคนหนึ่งก้มๆเงยๆร้องขอเงินและอาหารอยู่ที่หน้าประตูตอนเวลาราวๆตีสอง บัดดี้รู้สึกสงสารเขาจึงมอบเงินให้ไปนิดหน่อย ผู้ชายคนอื่นๆก็ยื่นสิ่งของให้แก่เขา ตอนนั้นมีคนอยู่แถวนั้นราวๆห้าหกคนได้ แต่เพียงไม่กี่วินาทีถัดมาชายแก่คนนั้นก็ระเบิดตัวเอง พวกเราทุกคนต่างก็ปลิวกระเด็นถอยหลังออกมาเพราะแรงระเบิดราวกับตุ๊กตาผ้า ผมได้ยินเสียงคนกรีดร้องตะโกน ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมไม่สามารถขยับตัวได้อย่างที่ใจต้องการแม้แต่นิดเดียว ผมหันไปเห็นบัดดี้กำลังนอนตะแคงอยู่บนถนน ขาของดูราวกับถูกใครสักคนหักพับครึ่งไปทางด้านหลัง ผมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้มากไปกว่านั้นจนกระทั่งมีคนสาดแสงมาที่เขา ใบหน้าของเขาซีกหนึ่งหายไปแล้ว ทหารพยาบาลคนหนึ่งวางนิ้วลงบนต้นคอของบัดดี้เพื่อจับหาชีพจรแล้วก็ส่ายหัว เมื่อเขาตรงเข้ามาหาผมเขาก็รัดสายห้ามเลือดที่ขาของผมก่อนที่จะเลื่อนไปที่แผลที่บ่าของผมต่อ ห้านาทีถัดมาทั่วทั้งบริเวณก็ถูกห้อมลอบไปด้วยตำรวจอิรักและเหล่านาวิกโยธินสหรัฐ รถพยาบาลจอดกันอยู่เต็มสองฟากถนน ผมมองตามร่างของบัดดี้ที่ถูกวางลงในถุงห่อศพด้วยหัวใจที่แตกสลาย คืนนั้นมีคนสามคนต้องตาย และสิ่งเดียวที่ผมจำได้ก็คือบัดดี้ตายไปแล้ว ผมรู้สึกหายใจไม่ออกและเรียกร้องตะโกนให้คนช่วย เขาบอกว่าเขาไม่สามารถช่วยระงับการเจ็บปวดของผมได้ ผมจึงบอกให้เขายิงผมทิ้งซะ จากนั้นเขาจึงยอมฉีดมอร์ฟีนให้แก่ผม............

.
.
.

ผมอยู่ในศูนย์พักฟื้นเป็นเวลากว่าสามเดือน ผมไม่ใช่ทหารเพียงคนเดียวที่นี่ ทุกคนล้วนต่างก็เป็นทหารที่บาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะเช่นกัน ผมเสียขาหนึ่งข้างและนิ้วมืออีกสองนิ้ว ผมมีแผลเป็นทั่วทั้งตัวจากสะเก็ดระเบิด แต่บาดแผลที่ไม่มีใครมองเห็นนั้นก็คือบาดแผลจากการสูญเสียบัดดี้ เท่าที่ผ่านมาผมถูกรักษาและดูแลอยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่มีเวลาได้คิดเรื่องอะไรเลย แต่ตอนนี้เขาเริ่มหยุดให้ยาผมแล้ว มันจึงทำให้ผมคิดถึงบัดดี้ทุกๆนาทีที่ผมหายใจ และสิ่งๆเดียวที่ผมต้องการก็คือความตาย ผมไม่ได้กินอะไรเลยมาเกือบสองสัปดาห์ และหมอก็คงจะบังคับให้ผมต้องกินเร็วๆนี้ แต่มันก็ไม่สำคัญสำหรับผมอีกแล้ว ผมจะดึงสายออกเอง มันถึงเวลาที่ผมควรจะตายสักที เมื่อไม่มีบัดดี้แล้ว ผมก็ไม่เหลืออะไรอีกต่อไป ถึงจิตแพทย์จะพอช่วยผมได้บ้าง แต่ผมก็บอกเขาเรื่องบัดดี้ไม่ได้อยู่ดี เขาบอกผมว่าผมกำลังอยู่ในช่วงหดหู่และความเครียดจากการที่เห็นเพื่อนถูกฆ่าพอๆกับการที่ได้รับบาดเจ็บด้วยตัวเอง ผมเห็นด้วยกับเขาแล้วก็ปล่อยให้เรื่องมันจบลงแค่ที่ตรงนั้น ผมเริ่มกินอาหารมากพอที่จะทำให้ผมมีแรงและทำให้ผมสามารพบกับจิตแพทย์ได้อีกเรื่อยๆ

สมาชิกของเหล่านาวิกโยธินมาเยี่ยมผมแล้วก็จากไป ผมพยายามจะทำตัวเป็นมิตรแต่ก็ทำไม่ได้ จิตใจของผมมันเต็มไปด้วยความสูญเสียและความปรารถนาที่จะตาย ในระหว่างเดือนที่ห้าในศูนย์บำบัด ผมก็สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนด้วยตัวได้เพราะอวัยวะเทียม ตอนนี้ผมสามารถเดินออกจากเตียงโดยไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากคนอื่นได้แล้ว ผมจึงสามารถที่จะกลับมาคิดถึงเรื่องแผนการของผมได้อีกครั้ง ผมตั้งใจจะเดินออกจากโรงพยาบาล หาห้องในโรงแรมสักห้องหนึ่ง แล้วก็ใช้ปืนยิงสมองของตัวเองตาย

คืนวันเสาร์เป็นเวลาที่รอบบริเวณนี้จะเงียบและปลอดคนมากที่สุด ผมค่อยๆเดินออกจากห้องและเดินลงบันไดไปโดยพยายามไม่ให้คนเห็น เมื่อมาถึงชั้นล่างสุดผมก็ต้องยืนพักหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินต่อออกไปนอกตึกได้ ความหนาวเย็นของลมต้นฤดูหนาวสัมผัสเข้ากับผิวของผมเข้าอย่างจัง ผมยืนตัวสั่นอยู่สองสามนาทีก่อนจะออกเดินต่อ ผมเดินข้ามถนนไปยังสวนสาธารณะเล็กๆและเดินไปยังม้านั่งเพื่อจะหยุดพักอีกครั้ง ตรงนั้นเองที่ผมเห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวในชุดเดียวกับที่ผมใส่อยู่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวนั้น เขาดูมีอายรุราวๆปลายๆยี่สิบ ยิ่งผมเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเขาชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น หัวใจของผมแตกสลายลงทันทีที่ผมได้ยินเสียงร้องของเขา มันทำให้ผมคิดถึงบัดดี้มากจริงๆ ผมนั่งลงข้างๆเขาโดยไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วก็เอ่ยขอโทษ ผมมองหน้าเขาแล้วบอกเขาว่าผมจะไปในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว

“คุณจะไปไหนล่ะ” เขาถามผม

ผมยิ้มตอบเขา “ชีวิตของผมมันจบแล้วครับ ผมกำลังจะไปฆ่าตัวตายคืนนี้”

เขาพยักหน้า “ผมก็มาอยู่ที่นี่ตอนนี้เพราะเหตุผลเดียวกับคุณเหมือนกัน ชีวิตของผมมันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”

เขาเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าแล้วก็เริ่มเล่าถึงเหตุเพลิงไหม้และการระเบิดที่ทำให้เขาต้องเสียขาทั้งสองข้างของเขาไป

“แต่เท่าที่ดูนี่มันดูไม่ออกเลยนะครับว่าคุณมีขาเทียมน่ะ ผมว่าคุณยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้มากกว่าที่คุณคิดนะ” ผมพูดออกไปโดยไม่ทันได้คิด

“คุณจะมารู้อะไร” เขาส่ายหน้า “เมียผม ลูกชายผม........ ทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนที่เขากำลังจะมาเยี่ยมผมที่นี่ ตอนนี้ผมสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว”

ผมพึมพำคำว่าขอโทษแล้วก็ลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะเดินจากไป

“กลับมาก่อน ผมเสียใจ...... ผมขอโทษ” เขาร้องห้ามผมไว้

ผมหยุดยืนและไม่ได้เคลื่อนไหวอีกราวๆสองสามนาที จากนั้นก็เดินกลับมานั่งลงที่เดิม

“ผมดาริน แล้วคุณล่ะ ชื่ออะไร” เขายื่นมือออกมา

ผมยื่นมือออกไปแล้วจับมือกับเขา “ทิม”

เขาถามผมว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมเล่าให้เขาฟังหมดทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องความรักของผมกับบัดดี้ ตอนที่ผมต้องสูญเสียขา และท้ายที่สุด คือตอนที่เห็นถุงห่อศพที่บรรจุร่างกายของบัดดี้นั้นถูกเคลื่อนย้ายออกไปด้วย

ดารินมองตาของผมตลอดเวลาที่ผมเล่าเรื่อง “ผมรู้ว่ามีคนบางคนในกองทัพที่เป็นเกย์นะ แต่ผมไม่เคยรู้จักใครที่เป็นแบบนั้นเลย คือ ผมไม่ได้ตั้งใจหมายความแบบนั้นนะครับ แต่ผมหมายถึงว่าผมกับเมียก็มีเพื่อนที่เป็นเกย์หลายคนเหมือนกัน แต่ผมไม่เคยเจอใครที่เป็นเกย์และอยู่ในกองทัพมาก่อน เท่าที่ดูนี่ผมก็คงไม่มีทางคิดว่าคุณเป็นเกย์แน่ๆ”

ผมมองตาเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกสงบลง “ถ้าคุณต้องการให้ผมเดินจากไป ผมก็จะไป ผมไม่ต้องการให้ใครมาตัดสินเรื่องการใช้ชีวิตของผม ผมรักทหารอีกคนหนึ่ง เขาตายไปแล้ว และผมก็คิดถึงเขามากเท่าๆกับที่คุณคิดถึงครอบครัวของคุณนั่นแหละ”

ดารินก้มหน้าลงทันที “ผมเข้าใจ เชื่อผมเถอะ ผมขอโทษ”

ผมพยายามจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยการขอให้เขาโชว์ขาของเขาให้ผมดู หลังจากนั้นเราก็คุยกันเรื่องที่พวกเราผ่านกันมาในอิรักและต้องมาจบลงอย่างเดียวดายที่สถานฟื้นฟูนี่ ดารินถามผมว่าผมรู้หรือเปล่าว่าอีกไม่กี่เดือนผมก็ต้องรีไทร์ออกจากการเป็นทหารเนื่องจากความทุพลภาพหลังจากที่การฟื้นฟูของเราจบลงแล้ว

เขาคงมองเห็นความหวาดกลัวอยู่ในสายตาของผมแน่ เขาจึงรีบอธิบายว่าผมยังคงสามารถเก็บบัตรประจำตัวทหารไว้ได้ ได้เงินสงเคราะห์ค่ารักษาพยาบาล และยังคงได้รับเงินเดือนเต็มโดยไม่ต้องหักภาษีอีกด้วย เขายังบอกผมอีกด้วยว่าผมจะได้เงินสงเคราะห์ทางด้านการศึกษาอีกด้วย

ผมพยักหน้า “แต่มันก็ไม่สำคัญสำหรับผมหรอก ผมไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะอยู่ต่อนานถึงขนาดนั้น”

เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ เราคุยกันอีกพักหนึ่ง จากนั้นดารินก็มองหน้าผม “เรามาทำข้อตกลงกันดีมั๊ย ลองมาดูกันว่าถ้าเรายังไม่สามารถหาอะไรหรือเหตุผลใดสำหรับการมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จากนั้นเราก็รอจนกว่าจะถึงการปลดออก แล้วค่อยไปหาห้องเพื่อฆ่าตัวตายพร้อมๆกัน”

เราสองคนต่างก็รู้กันว่าเราจะไม่มีวันผิดคำสัญญา

ดารินกับผมกลายมาเป็นเพื่อนที่จมอยู่ในความเศร้าและความหดหู่ร่วมกัน พวกเราต่างก็เสียใจและเดียวดาย แต่อย่างน้อยเมื่อเราอยู่ด้วยกัน เราก็มีคนที่จะคอยรับฟังถึงความสูญเสียที่เราต่างก็มีได้ พวกเราไม่เคยเบื่อที่จะร้องไห้ให้กับคนที่พวกเรารักและจากไปเลย หลายเดือนผ่านไป เราสองคนก็เรียนรู้ที่จะใช้ขาเทียมของเราได้ดีขึ้น ผมเริ่มกลับมามีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อผมกับดารินใช้เวลากินข้าวด้วยกัน

ครั้งแรกที่ผมเห็นเขาในชุดของนาวิกโยธินเต็มยศ เขาทำให้ผมรู้สึกทึ่งไปเลย เขาสวมยศร้อยเอกและยืนยิ้มให้แก่ผมอยู่

“ผมจะออกจากการอยู่ในกองทัพวันนี้แล้วนะ แต่ผมก็จะยังคงอยู่พักฟื้นที่นี่อีกประมาณสองสัปดาห์ล่ะนะ”

ผมพยักหน้าแล้วเขาก็ทำความเคารพให้กับผมจากนั้นก็เดินออกจากห้องโถงไป หลังจากที่เห็นเขาเดินปิดประตูหายไป ผมก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอยู่อีกราวๆหนึ่งชั่วโมง เมื่อเขากลับเข้ามา ผมเห็นได้อย่างชัดเจนทีเดียวว่าเขากำลังมีท่าทางไม่ค่อยสบายใจ ผมทำเหมือนผมกำลังอ่านหนังสืออยู่จนกระทั่งเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“ทิม มากับผมหน่อย”

ผมเดินตามเขาไปในห้องของเขา เขาปิดประตูลงและยื่นบรรดาใบรับรองและแฟ้มเอกสารทางการแพทย์ให้แก่ผม

“ในอีกราวๆสองสัปดาห์หน้านี้เดี๋ยวคุณก็จะได้เอกสารแบบนี้เหมือนกันแล้ว”

ผมอ่านทุกอย่างผ่านๆจากนั้นก็วางมันลงบนโต๊ะ เมื่อผมมองไปยังดารินก็เห็นเขากำลังถอดยูนิฟอร์มออกเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว ผมมองไปยังร่างกายของเขาก็เห็นแผลเป็นมากมายแบบเดียวกับที่ผมมี และผมยังเพิ่งสังเกตเห็นอีกด้วยว่าเขาเองก็เป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ผมรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ ผมไม่เคยคิดแบบนี้กับคนอื่นเลยนอกจากบัดดี้ แต่ตอนนี้ผมกลับกำลังคิดแบบนั้นกับดารินอยู่ ใบหน้าของผมแดงขึ้นมาทันทีและดารินก็สังเกตเห็นมันด้วย

“เป็นอะไรรึเปล่า” เขาถาม

ผมส่ายหน้า เขานั่งลงข้างๆผมและถอดขาเทียมทั้งสองข้างออกวางไว้บนเตียงของเขา จากนั้นก็เอาผ้าห่มมาคลุมตัวเองเอาไว้ ผมกำลังจะลุกขึ้นยืนแต่เขาก็ห้ามเอาไว้เสียก่อน ผมหันกลับมามองเขา และเขาก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน ผมรู้สึกเหมือนผมต้องพูดอะไรสักอย่างออกไป

“ดาริน ผมรู้สึกดีที่ได้มีคุณเป็นเพื่อนจริงๆนะ ผมเชื่อใจและพึ่งพาคุณมากมาตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมา คุณช่วยให้ผมผ่านพ้นวันเหล่านั้นมาได้ ดาริน คุณยังมีโลกทั้งใบรอคุณอยู่ ผมรู้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลกที่ผมพูดแบบนี้ แต่คุณเป็นคนที่ดูดีมากจริงๆ ผมไม่ได้อยากจะทำตัวเป็นเกย์กับคุณหรอกนะ ที่ผมอยากจะบอกก็คือ คุณยังสามารถมีเมีย มีลูก มีครอบครัวได้อีกครั้ง เพียงแค่ถ้าคุณให้โอกาสกับตัวเองอีกสักหน.........”

ดารินยกแขนขึ้นมาปิดตาของตัวเอง “ทิม ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง ผมเข้าใจที่คุณพูดดี ผมขอบคุณเรื่องนั้นมากจริงๆ เพราะว่าเราเป็นเพื่อนกัน ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมาผมมองคุณเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ตอนนั้นคุณยังอายุไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ แต่คุณกลับรู้สึกอยากตายแล้ว บางคืนที่ผมนอนอยู่ตรงนี้แล้วคิดถึงการที่คุณจะฆ่าตัวตาย มันทำให้ผมต้องรีบแต่งตัวและเดินออกไปเช็คที่ห้องของคุณดูก่อน จากนั้นผมถึงจะกลับมานอนหลับลงได้.......” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดต่อ “ทิม ผมไม่สามารถปล่อยให้คุณฆ่าตัวตายได้อีกแล้ว สาบานกับผมด้วยเกียรติของคุณนะว่าคุณจะยังคงรักษาสัญญาของเราเอาไว้ให้นานต่อไปอีกสักหน่อย ถ้าหากเราจะต้องตาย มันก็ต้องเป็นแบบที่เราวางแผนกันเอาไว้ด้วยกันเท่านั้น”

ผมพูดตอบกลับไปด้วยเสียงอันสั่นเทา “ได้ครับ ผมขอสาบานด้วยเกียรติของผมเอง”



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
(2)


ดารินออกจากสถานบำบัดในอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ถัดมา เขาบอกกับผมว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมผมอีก และให้ผมสาบานที่จะทำตามคำสัญญาของเราสองคนอีกครั้ง ดารินแต่งตัวด้วยเสื้อโปโลและกางเกงขายาว และผมก็ไม่สามารถบอกได้เลยจริงๆว่าเขามีขาเทียม

เขาก้มลงมาจับมือกับผมจากนั้นก็วางมือของเขาลงบนบ่าของผม ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถสบตากับเขาได้ ผมจึงพยักหน้าเบาๆ ผมรู้ว่าผมจะต้องคิดถึงเขามาก ผมรู้สึกสบายใจที่อยู่กับเขา และผมยังเคยชินกับการที่มีเขาอยู่ใกล้ๆมากด้วย พวกเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ

หลังจากวันที่เขาเดินออกจากประตูกระจกนั่นไปก็ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน ผมคิดว่าเขาคงจะไปได้ด้วยดีกับชีวิตใหม่ของเขา เขาเป็นคนดี ยังหนุ่ม และหน้าตาดีมากด้วย อีกอย่าง ผมรู้ว่าเขามีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ต้องทำ เขาเพิ่งจะสูญเสียครอบครัวของเขาไป และผมก็ไม่โทษเขาในเรื่องนั้นด้วย ผมรู้สึกดีใจสำหรับเขา เพราะเขาสมควรที่จะได้รับความสุขอีกครั้งในชีวิตจริงๆ

การผ่าตัดและการฟื้นฟูของผมในครั้งต่อๆมาทำให้ผมเริ่มพร้อมสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งเมื่อไหร่ก็ได้ ผมไม่ใช่พวกยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่ผมสัญญากับบัดดี้เอาไว้แล้ว และผมก็คิดถึงเขาในทุกๆนาทีของทุกๆวันจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนกับชีวิตของผมเริ่มต้นที่บัดดี้ และมันก็จบลงเมื่อผมสูญเสียเขาไป แต่ผมจะยังไม่ทำอะไรลงไปตอนนี้หรอก ผมจะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับดารินด้วย อย่างไรก็ตาม ผมรู้ว่าชีวิตของผมจะต้องจบลงในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว แต่ผมก็ยังคงแสดงออกกับคนอื่นๆด้วยทัศนคติที่ดีอยู่ การบำบัดของผมก็ไปได้ด้วยดีมาก ผมสามารถใส่กางเกงขายาวและเดินไปไหนมาไหนโดยที่ไม่มีใครสามารถบอกได้แล้วว่าผมมีขาจริงเพียงข้างเดียว รอยแผลไฟไหม้ที่ครอบคลุมไปทั่วร่างกายของผมกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์นั้นก็เริ่มจะฟื้นตัวดีมาก ผมไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเวลาขยับตัวเท่าไหร่แล้ว แต่แผลเป็นมันก็จะยังคงอยู่อยู่ดี ผมเหลือการผ่าตัดอีกแค่สองครั้ง จากนั้นทุกๆอย่างก็จะเสร็จสมบูรณ์

การผ่าตัดครั้งต่อไปของผมจะมีขึ้นในวันศุกร์เวลาบ่ายสองโมงครึ่งและใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง ผมถามตัวเองหลายครั้งว่ามันจะมีประโยชน์อะไรกัน ผมอายุยี่สิบปี มีขาข้างเดียว และร่างกายท่อนบนก็พังยับเยิน ความรู้สึกเหงาและความจริงที่ว่าผมไม่เหลือใครอีกแล้ววิ่งเข้ามากระแทกผมอีกครั้ง ร่างกายของผมมันไม่เหลือดีแล้ว และผมก็คงไม่สามารถหาใครจะมาเป็นห่วงเป็นใยผม และมองผมด้วยสายตาที่ไม่สงสารและสมเพชได้อีกต่อไป บัดดี้ตายจากไปและทิ้งผมเอาไว้เพียงคนเดียว ผมต้องการเขามากขึ้นทุกๆวัน และในแต่ละวันที่ผมต้องทนผ่านพ้นไปนั้นมันก็ยิ่งยากลำบากมากขึ้นทุกทีๆ ผมรู้ว่าความตายกำลังร้องเรียกผม และผมก็ไม่กลัวมันด้วย

นานๆทีผมก็มีแขกมาเยี่ยมบ้าง หลวงพ่อในค่ายทหารมาหาผมราวๆสัปดาห์ละครั้งและตามโอกาสเท่าที่ท่านจะมาได้ คนจากในค่ายคนอื่นๆอีกสองสามคนก็แวะมาเวลาที่เขาต้องมาธุระแถวนี้ ส่วนนอกเหนือจากนั้นแล้วผมก็ไม่มีใครมาเยี่ยมอีก เวลาส่วนใหญ่ของผมหมดไปกับการอ่านหนังสือ  ทำกายภาพบำบัด และฝันกลางวันถึงชีวิตที่ผมเคยอยากจะมี ในวันศุกร์ขณะที่ผมกำลังเตรียมตัวสำหรับการผ่าตัดนั้น เสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้น และเมื่อผมหันไปมองก็พบดารินกำลังยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ผมต้องหันไปมองเขาถึงสองครั้งเพราะเขาดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ ผมของเขายาวขึ้นเล็กน้อย เขาดูเด็กลงและหล่อขึ้นมาก ผมยิ้มให้กับเขาและรีบสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปซะ ผมบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องของการผ่าตัด เขาบอกขอโทษที่หายไปนาน เขานั่งลงและเล่าให้ผมฟังเรื่องการทำความสะอาดบ้าน เก็บของที่เคยเป็นของลูกชายและเมียของเขาออกไปซะ เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องยากก็จริง แต่เขาก็ต้องทำมัน เขาบอกว่าตอนนี้บ้านของเขาพร้อมสำหรับอนาคตอีกครั้งแล้ว เขาบอกเขามีเวลาเหลือเฟือที่จะรอจนกว่าผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังการผ่าตัด

“ขอบคุณมากครับ ดาริน ที่คุณแคร์ผมมากพอที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง”

เขายิ้มตอบให้กับผม “ผมจะไม่ทิ้งคุณเด็ดขาด เราสัญญากันเอาไว้แล้วนี่”

ขณะที่ผมถูกเข็นออกไป ดารินก็ยังคงนั่งบนเก้าอี้ของเขาอยู่ ผมหันกลับไปมองเขาก็เห็นเขากำลังมองผมอยู่แล้ว

“ทิม คุณรู้ใช่มั๊ยว่าถ้าคุณกลับมาจากการผ่าตัดแล้วดูเด็กลงกว่านี้อีกล่ะก็ เขาต้องจับคุณใส่ผ้าอ้อมแน่ๆนะ”

ผมหัวเราะออกมา “ขอบคุณมากนะครับ พ่อทหารหาญ”

ผมได้ยินเสียงหัวเราะของเขาขณะที่พวกเขาเข็นผมออกไปยังทางเดิน ก่อนที่ผมจะถูกวางยาสลบ ผมสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้าว่าอย่าให้ผมทำลายมิตรภาพของผมกับดารินลงโดยพยายามทำให้มันกลายเป็นอย่างอื่นที่มากกว่าความเป็นเพื่อนเลย

เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งมันก็เป็นเวลาเช้าของวันใหม่แล้ว ผมรู้สึกลำคอของผมแห้งผาก เมื่อดารินได้ยินเสียงผมตื่นขึ้น เขาก็ค่อยๆยกหัวผมขึ้นและช่วยให้ผมจิบน้ำเย็นช้าๆ เขาหยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดริมฝีปากของผมแล้วค่อยๆเอนผมลงนอนเหมือนเดิม เขาค่อยๆใช้นิ้วลูบไปบนเส้นผมของผมช้าๆและคุยกับผมด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน

“รู้สึกยังไงบ้าง ทิม”

ผมมองเขาและพยายามจะปรับสายตาให้ชัดเจน “ดาริน ไอ้เหี้ยนี่มันเจ็บเป็นบ้าเลย ผมแค่อยากให้มันจบๆลงไปสักทีแล้ว มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ผมต้องทนความเจ็บปวดเหี้ยห่าอะไรทั้งหมดนี่ ในเมื่อยังไงๆสุดท้ายผมก็ต้องตายอยู่ดี........” ผมรู้ว่ามันเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้ผมรู้สึกหดหู่มากขนาดนี้ และเมื่อผมเริ่มต้นร้องไห้ออกมามันก็คงทำให้ดารินรู้สึกกังวลมาก

เขาลูบแก้มของผมช้าๆและรอจนผมเริ่มสงบลง จากนั้นเขาจึงเลื่อนมือมาวางบนหน้าผากของผม “ไม่จริงหรอก คุณจะยังไม่ตาย เราสองคนจะยังไม่ตายเร็วๆนี้ ไม่จนกว่าจะอีกนานเลย และเมื่อคุณออกจากที่นี่แล้ว คุณก็จะกลับบ้าน ผมเองก็ใช้เวลาอยู่นานเหมือนกันกว่าจะผ่านช่วงเวลายากลำบากนั้นมาได้ แต่ผมก็ผ่านมันมาแล้ว คุณจะมีห้องส่วนตัวของคุณเอง และถ้าหากว่าเราทำได้เราก็จะลองเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเราด้วยกัน”

“ผมทนไอ้ความเจ็บปวดเหี้ยนี่ไม่ไหวแล้ว ไม่อีกต่อไปแล้ว ได้โปรดเถอะ ช่วยผมที ผมเจ็บเหลือเกินจริงๆ ผมอยากตาย ขอร้องล่ะ ดาริน ปล่อยให้ผมตายเถอะนะ” ผมเริ่มคร่ำครวญอีกครั้ง

ดารินตัดสินใจกดปุ่มเรียกพยาบาล และไม่ถึงหนึ่งอีกนาทีถัดมา พยาบาลคนหนึ่งก็เข้ามาถามว่าต้องการอะไร ดารินบอกว่าผมเจ็บปวดมาก เธอไม่ได้ทำคัวสุภาพกับดารินมากนัก และถามเขาว่าเขาคิดว่าตัวเขาเป็นใคร เขามองไปที่เธอแล้วตอบว่าเขาเป็นครอบครัวของผม และถามเธอว่าเธอมีปัญหาอะไรกับเรื่องนั้นมั๊ย เธอส่ายหน้าแล้วฉีดยาให้แก่ผม ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันถัดไป เมื่อผมมองไปรอบๆตัวผมก็เห็นดารินกำลังหลับอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงของผม ผมยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างแผ่วเบา เขาลืมตาขึ้นมาแล้วก็ส่งยิ้มให้กับผม

“อรุณสวัสดิ์ พ่อคนเก่ง”

“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณไม่จำเป็นต้องมานอนเฝ้าผมที่นี่ก็ได้นี่ ผมเสียใจจริงๆนะสำหรับเรื่องเมื่อคืนนี้ คุณจะยกโทษให้ผมได้มั๊ย”

เขายืนขึ้นแล้วหาว “ผมรู้แต่ว่าผมต้องการอยู่ที่นี่เพื่อตัวผมเอง แบบนั้นมันจะเป็นอะไรมั๊ยล่ะ”

ผมส่ายหน้า

“วันนี้ผมจะเริ่มต้นเก็บข้าวของของคุณกลับบ้านเลยนะ” เขามองไปรอบๆห้อง “แบบนั้นพอคุณถูกปล่อยให้กลับบ้านได้....... คงราวๆเดือนหน้ามั๊ง คุณจะได้ไม่ต้องจ้างบริษัทขนย้ายไง” ดารินเริ่มต้นสำรวจและรวบรวมของรอบห้อง เขาถามผมทุกๆอย่างที่เขาจับว่าเขาจะทำยังไงกับมันและสามารถเคลื่อนย้ายมันได้มั๊ย เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลงเขาก็หันมายิ้มให้ผมกับ “มันก็ไม่เลวนี่น่ะ ใช่มั๊ย”

สายตาของผมไม่สามารถละไปจากใบหน้าของเขาได้เลย “ดาริน ทำไมคุณถึงต้องทำเพื่อผมถึงขนาดนี้ด้วย ถึงขนาดให้ผมไปอยู่กับคุณ........”

เขามองผมตอบกลับมาด้วยความรู้สึกแบบเดิมไม่เคยเปลี่ยน “เพราะผมอยากทำ และคุณก็ต้องการมันด้วยไง”

เราทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ก่อนมื้อค่ำ ดารินบอกราตรีสวัสดิ์กับผมก่อนจะขอตัวกลับบ้านไป ผมนอนลืมตานึกเสียใจและอับอายถึงสิ่งที่ผมทำให้ดารินต้องรู้สึกไม่ดี ผมโทรเข้าเบอร์ของเขาทั้งๆที่รู้ว่าคงยังกลับไม่ถึงบ้าน ผมจึงทิ้งข้อความเอาไว้ในเครื่องตอบรับอัตโนมัติ

“ดาริน ผมขอโทษที่ทำตัวงี่เง่าลงไป คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมจริงๆ แต่ผมจำเป็นต้องเตือนคุณบางอย่าง...... ยิ่งคุณทำดีกับผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งต้องการคุณมากขึ้นเท่านั้น ผมขอร้องล่ะ อย่าทำตัวดีกับผมมากนักเลย ผมกำลังเหงาและก็สามารถเปลี่ยนความดีของคุณให้กลายเป็นอย่างอื่นได้มากกว่านั้นนะ....... มากกว่าเยอะเลยด้วย ผมก็แค่อยากให้คุณรู้ไว้นะครับ ดาริน........ ผมหวังว่าคุณจะกลับมาเยี่ยมผมอีกนะ”

เมื่อผมวางสายลงผมก็รู้สึกโง่งี่เง่าขึ้นมาทันที และจากนั้นผมก็เตือนตัวเองว่าผมยังคงเป็นนาวิกโยธินอยู่ และผมต้องไม่โกหก ไม่แม้แต่โกหกเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองด้วย

ดารินกลับมาเยี่ยมผมอีกครั้งในบ่ายวันถัดมา เขายิ้มให้แก่ผมเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้อง “ผมได้ข้อความของคุณเมื่อคืนแล้ว และผมก็จะขอพูดเรื่องนี้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นนะ........ เราสองคนก็มีกันแค่นี้ และตอนนี้ผมก็มีเพียงแค่คุณเพียงคนเดียวเท่านั้นด้วย” เขานั่งลงและถามผมถึงขาของผมเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราเลย นางพยาบาลเดินเข้ามาเช็คดูผ้าพันแผลของผม และดารินก็ยืนดูอยู่ตรงนั้น ขณะที่พยาบาลแกะผ้าพันแผลของผมออก เมื่อเขาเห็นรอยแผลที่ทอดยาวตั้งแต่หัวไหล่ลงไปจนถึงขาอ่อน เขาก็พยักหน้าออกมา “คราวนี้ผมก็รู้แล้วว่าทำไมคุณถึงได้เจ็บมากนัก”

“ดาริน คุณว่าผมดูน่าเกลียดมากมั๊ยเพราะไอ้แผลไหม้ไปทั้งตัวแบบนี้”

ดารินยิ้มให้กับผม “งั้นก็ขอผมพูดแบบนี้ก็แล้วกัน...... คุณน่ะ หล่อมากพอที่จะทำให้ใครๆต้องหันกลับมามองซ้ำเลยด้วยซ้ำ”

“ขอบคุณครับ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แล้วยื่นซองจดหมายที่ผมได้รับจากกองทัพให้แก่เขา

เขาอ่านมันแล้วก็เงยหน้ากลับขึ้นมามองผม “ทิม นี่มันจดหมายยืนยันความทุพลภาพของคุณจากหน่วยงานบริการทหารผ่านศึกนี่ คุณจะได้รับเงินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จากการสูญเสียขาและบาดแผลไฟไหม้บนร่างกาย และอีกสิบเปอร์เซ็นต์จะมาจากการปลดออกจากราชการทหารเหมือนๆกับผม และคุณก็กำลังจะปลดออกในอีกประมาณสองสัปดาห์นี้แล้ว”

ผมมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ผมรู้สึกทำอะไรไม่ถูกและหวาดกลัวอย่างที่สุด เพราะการเป็นทหารมันเป็นเพียงอย่างเดียวที่ผมรู้จัก

ดวงตาของดารินไม่ได้ละไปจากสายตาของผมเลย “ผมรู้ว่าคุณกลัว แต่ผมอยากจะบอกคุณว่าผมจะอยู่ใกล้ๆกับคุณเสมอ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ผมจะช่วยให้คุณผ่านพ้นมันไปเอง แบบที่คุณช่วยผมผ่านมันมาได้ไง”

“แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือคุณเลยนะ” เสียงของผมแตกพร่า

เขาหัวเราะ “สิ่งที่คุณทำน่ะช่วยชีวิตผมเอาไว้นะ คุณรักแล้วก็แคร์ผมมาก และผมก็รู้ว่าคุณก็ยังคงรู้สึกแบบนั้นอยู่ด้วย”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็ร้องไห้ออกมาทันที ดารินไม่ได้แก่กว่าผมมากนัก เขายืนอยู่ตรงเตียงของผมแล้วก็ใช้แขนโอบรอบผมเอาไว้

“ช่วงนี้มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมรู้ แต่คุณไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวนะ ผมสัญญาด้วยเกียรติของผมไปแล้ว”

ผมพยักหน้าลงบนบ่าของเขา เขานั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งแล้วยื่นกระดาษทิชชู่มาให้ผมใช้ซับน้ำตา ผมมองไปในตาของเขาแล้วเห็นดวงตาของเขาเป็นประกาย ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร เขารีบเบือนหน้าหนีมองออกไปยังนอกหน้าต่าง และเมื่อเขาหันกลับมา สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง

เราสองคนนั่งดูทีวีกันอยู่สักพักก่อนที่ดารินจะลุกขึ้นยืน “ผมว่าผมจะไปซื้ออะไรมากินกับคุณสักหน่อย แต่คุณต้องเลี้ยงนะ”

คำพูดของเขาทำให้ผมต้องยิ้มกว้าง “ส่งกระเป๋าตังค์ของผมมาเลย”

เขาหลิ่วตาให้ผมก่อนจะเดินออกไปและตะโกนกลับมา “ผมจ่ายให้เอง แต่เท่ากับคุณเป็นหนี้ผมแล้วนะ เดี๋ยวอีกประมาณสองชั่วโมงผมกลับมา”

ผมมองตามเขาเดินออกจากประตูไปจากนั้นก็พลิกตัวแล้วร้องไห้อีกครั้ง และครั้งนี้มันเป็นเพราะความเหงา...... ผมคิดถึงบัดดี้มากจริงๆ และผมก็รู้ด้วยว่าผมกำลังตกหลุมรักดาริน มันเป็นอะไรที่เราทั้งสองคนต่างก็ไม่ต้องการในช่วงเวลาแบบนี้ เราสองคนต่างก็มีเรื่องให้ต้องคิดให้หวั่นไหวกันมากพออยู่แล้ว ผมไม่อยากจะรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ

ดารินกลับมาตอนเวลาประมาณห้าโมงเย็น พร้อมกับถุงแม็คโดนัลด์ถุงใหญ่ และถุงจากร้านหนังสือถุงหนึ่ง เขาลากโต๊ะและเก้าอี้มาวางไว้ติดกับข้างเตียงแล้วก็วางถุงลง ผมเปิดแต่ละถุงออกแล้วหยิบอาหารออกมาวางไว้ข้างนอก เรานั่งกินข้าวแล้วก็พูดคุยกัน หลังจากนั้นผมก็เริ่มอ่านหนังสือและก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าดารินนั้นผล็อยหลับไปโดยเอาหัวเกยอยู่บนเตียงข้างๆผม ผมค่อยๆใช้นิ้วลูบไล้ไปบนเส้นผมของเขาอย่างช้าๆและแผ่วเบา ผมใช้มือสัมผัสใบหน้าของเขาแล้วลูบมันช้าๆ เขาช่างดูงดงามจริงๆ ผมขยับปลายนิ้วไปมาจนกระทั่งเขาลืมตาตื่นขึ้นมา

“ผมชอบการได้มาอยู่ที่นี่กับคุณนะ” เขาพูดออกมาขณะที่มองตาของผมไปด้วย “มันทำให้ชีวิตของผมมีความหมายขึ้นมาอีกครั้ง ผมซื้อหนังสือมาเป็นของขวัญมาให้คุณด้วยนะ ผมคิดว่ามันอาจจะช่วยให้คุณคลายกังวลและรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้างจนกว่าจะถึงสัปดาห์หน้าที่เราจะกลับบ้านกัน”

ผมพยักหน้า “ดาริน ขอบคุณมากครับสำหรับทุกๆอย่าง แต่คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนจ่ายเงินทุกๆอย่างแบบนี้หรอก ให้ผมเป็นคนช่วยออกเงินบ้างเถอะ”

เขาส่ายหน้า “ผมมีเงินมากพอหรอก ถ้าผมจำเป็นต้องใช้เงินหรือต้องขอยืมคุณ ผมจะบอกคุณเอง โอเคมั๊ย”

หลังจากมื้อเย็น ผมยื่นมือออกไปจะให้เขาจับ แต่เขากลับคว้ามือของผมไปเพื่อดึงตัวผมเข้าไปกอดแล้วกล่าวคำว่าราตรีสวัสดิ์ก่อนจะเดินออกไป

ข้างในถุงหนังสือที่เขาบอกมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อว่า “ไทรแองเกิ้ล ออฟ ไลท์” เป็นเรื่องราวของเกย์หนุ่มสองคน และมันก็สนุกมากจนผมวางไม่ลงจริงๆ เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อดารินมาเยี่ยม ผมก็ยิ้มให้เขาและบอกเขาว่าหนังสือสนุกมาก

“ขอบคุณสำหรับหนังสือนะครับ มันช่วยได้มากจริงๆ ผมไม่รู้สึกเหงามากเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ต้องมาที่นี่ทุกวันอยู่ดี”

ดารินหัวเราะหึๆในลำคอ “ก็ลองห้ามผมดูสิ”

เราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด