เอาของเก่ามาหากินนิสสส ก่อนเริ่มเรื่องใหม่ อิอิ
รอยยิ้มที่ไม่มีวันลบเลือนตั้งแต่เล็กจนโต ผมเติบโตขึ้นมาโดยมีความเหงาอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย พ่อและแม่ของผมต่างก็ทำงานหนักเพื่อให้ผมมีความสุข แต่พวกท่านก็ไม่เคยรู้เลยว่าความสุขที่แท้จริงของผมนั้นถูกพวกท่านพรากมันไปจากผมนานมาแล้ว.......
เมื่อตอนผมยังเด็ก ผมเคยถูกผู้คนหลายคนห้อมล้อมและเอ็นดูเพราะความที่เป็นเด็กน่ารักและช่างพูด ผมเองก็ชอบที่จะส่งยิ้มและหัวเราะไปกับคนอื่นๆเช่นกัน มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นเด็กที่โชคดีที่สุดในโลก ผมมีพ่อแม่ที่รักและมีเวลาให้แก่ผม ผมมีคนอื่นๆมารัก และผมก็รักคนอื่นๆรอบข้างผมมากด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อผมโตขึ้นเรื่อยๆ หลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ จนเมื่อผมอยู่ชั้นปอสี่ ผมก็แทบไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะให้กับใครอีกเลย จากเด็กช่างพูดกลายเป็นเด็กเก็บตัว จากคนที่มีผู้คนมาห้อมล้อมก็กลายเป็นคนที่ทำให้เพื่อนๆวัยเดียวกันไม่เล่นด้วยและทำให้ผู้ใหญ่ต่างก็กังวล
พ่อและแม่ของผมต่างก็รักผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีอยู่สองอย่าง นั่นก็คือพวกท่านรักผมในแบบที่ต่างออกไป และพวกท่านไม่รักกันเองอีกแล้ว และสิ่งนั้นไม่ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนที่ถูกรักอีกเลย
พวกท่านคิดว่าการที่เรามีเงินนั้นจะทำให้ผมมีความสุข พวกท่านทั้งสองต่างก็เฝ้าเพียรทำงานหนักเพื่อหาเงินมาให้ผมใช้และเพื่อประโยชน์ของตัวผมเองในอนาคต ทั้งสองคนทำงานหนักมากจนกระทั่งพวกเขาแทบไม่มีเวลาให้กับผมอีกต่อไป และแน่นอน ไม่มีเวลาดูแลความรักของกันและกันอีกเลยด้วย น่าเสียดาย ที่ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะฉลาดเกินวัย และนั่นมันทำให้ผมเรียนรู้บางสิ่งเช่นว่า ต่อให้ครอบครัวของผมมีเงินมากเท่าใด แต่ถ้าพ่อและแม่ไม่เคยใช้เวลาอยู่กับผมเลย นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขจริงๆเลยแม้แต่นิดเดียว และอีกอย่างที่ผมรู้ในเวลาต่อมาเมื่อผมโตมากขึ้นอีกหน่อยนั่นก็คือ ความรักที่ดูเหมือนจะหวานชื่น ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องจบลงอย่างสวยงามตลอดไป
ผมไม่ใช่เด็กเก็บกดหรือเป็นเด็กมีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะถึงผมจะฉลาดแค่ไหนผมก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็กธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ผมยังคงหัวเราะ และมีความสุขกับเพื่อนๆตามประสาเด็กผู้ชายทั่วไป แต่เมื่อผมเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น การเปลี่ยนแปลงจากเด็กชายก็เริ่มพัฒนาไปสู่ชายหนุ่มอย่างช้าๆ ซึ่งรวมกับความที่ผมเป็นคนช่างคิดอยู่แล้วด้วยก็เลยยิ่งทำให้ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวของผมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นถ้าภายนอกของผม ผมจะเป็นคนที่ยิ้มยากอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ตอนแรกผมไม่ค่อยจะมีเพื่อนมากนัก และบางครั้ง ต่อให้นานแค่ไหน ผมก็ยังคงไม่มีเพื่อนอยู่ดี แน่นอน ผมหมายถึงเพื่อนที่รักผมจริงๆไม่ใช่แค่ที่เงินทอง และไม่ใช่หมายถึงเพื่อนที่แค่เจอหน้ากันทุกๆวัน แต่ผมหมายถึง “เพื่อนแท้”........ ไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนร่ำรวยแบบมหาเศรษฐีอะไรนักหรอก และผมก็ไม่เคยใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยเลยด้วย เพราะเงินทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นเงินที่พ่อและแม่หามาโดยแลกกับความสุขของลูกของเขา ซึ่งนั่นก็คือความสุขของผมนั่นเอง....... อย่างที่สองที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวผมเองนั่นก็คือ ผมไม่มีความสนใจในเรื่องของความรักเลยสักนิด ผมแทบไม่เชื่อในเรื่องของความรู้สึกที่เรียกว่าความรักเลย แน่นอน ว่าตอนนั้นผมเพิ่งจะอยู่มอหนึ่ง ผมอาจจะยังเด็กเกินไปก็ได้ แต่ว่าในขณะที่เด็กผู้ชายคนอื่นๆเริ่มจะสนใจเพศตรงกันข้ามนั้น ผมกลับเลือกที่จะอยู่กับตัวผมเองคนเดียวแบบนั้นมากกว่า
จนเมื่อผมอยู่ชั้นมอสอง เราทุกคนต้องจับฉลากห้องใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้ทำให้ผมได้พบกับคนๆหนึ่งที่ผมสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเลยว่าเขาเป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดในโลก..... ไม่ว่าจะในช่วงเวลานั้นหรือในปัจจุบันนี้
เขาคนนั้นมีชื่อว่า ภู บ้านของภูมีฐานะปานกลาง เขาไม่ได้มีอะไรโดดเด่นทั้งเรื่องหน้าตา การเรียน และกีฬา แต่อย่างหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดในตัวของเขานั่นก็คือรอยยิ้ม เขาเป็นคนหนึ่งที่มีเพื่อนและมีคนรักมากที่สุดในชั้นเรียน และเขาก็สามารถที่จะเลือกใครมาเป็นเพื่อนหรือสามารถที่จะรวบรวมผู้คนให้มาห้อมล้อมเขาอยู่ได้โดยใช้เพียงอัธยาศัยบวกกับรอยยิ้มของเขาเท่านั้น แต่ทว่าเขากลับเลือกที่จะมาคบกับผม
ภูเป็นคนร่าเริงและยิ้มเก่งจนผมรู้สึกอิจฉาเขาในทุกๆครั้งที่ผมเห็นเขาส่งยิ้มให้คนอื่น เมื่อครั้งแรกที่ผมรู้จักกับเขานั้นผมก็คิดว่าเขาก็แค่ทำความรู้จักกับผมตามมารยาทเท่านั้น เพราะว่าเขาเป็นคนแบบนั้นนั่นเอง เขาเข้ากันได้ดีกับทุกๆคนและทำความรู้จักกับทุกๆคนที่อยู่รอบกายของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมถึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่คบกับผมในฐานะของคนรู้จักอย่างที่ผมคิด ไม่ใช่แม้แต่ในฐานะเพื่อน แต่หากเป็นในฐานะเพื่อนสนิทต่างหาก
หลังจากที่ผมรู้จักกับภูได้ราวๆเกือบสองเดือน วันนั้นเป็นวิชาพละที่พวกเราทุกคนต้องลงไปเรียนกันที่โรงยิม แต่ว่าผมรู้สึกไม่สบายและตัวร้อนมาก อาจารย์จึงอนุญาตให้ผมขึ้นมานอนพักบนห้องได้ เมื่อผมเดินขึ้นมาฟุบอยู่บนโต๊ะคนเดียวได้ราวๆห้านาที ผมก็รู้สึกว่ามีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาหาผม
“เป็นไงมั่ง พี”
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงช้าๆ ภูนั่นเอง ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ
“อืมม ก็ดีขึ้นนะ ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมบอกเขา
“ดีขึ้นแล้วทำไมโทรมขนาดนี้วะเนี่ย ไหนมานี่หน่อยซิ” เขายื่นมือออกมาสัมผัสที่หน้าผากของผม “ตัวร้อนจี๋เลย กินยารึยัง”
ผมส่ายหน้า “ว่าแต่ทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ไม่ไปเรียนหรือไง” ผมถามเขา
“ไม่ล่ะ กูขออาจารย์แล้ว และอีกอย่าง วันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรทำมากมายด้วย” เขาตอบแล้วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆผม
“ทำไมมึงต้องทำแบบนี้ด้วยวะ” ผมถามเขา เพราะผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเขาจึงต้องดีกับผมขนาดนี้ หลายครั้งที่ผมเห็นเพื่อนคนอื่นๆไม่สบายหรือได้รับบาดเจ็บ ทุกๆคนจะต้องเข้ามารุมดูแลและถามอาการด้วยความเป็นห่วง แต่มันแทบไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย ถึงแม้ทุกคนจะเป็นห่วงผม แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่ามันแตกต่างกันออกไป แน่นอน ผมรู้อยู่แล้วว่าคงเป็นเพราะผมเอง ผมไม่เคยคิดร้ายอะไรกับใครก่อน แต่ผมก็ไม่เคยที่จะยิ้มหรือแสดงความเป็นมิตรออกมาก่อนเช่นกัน “คนอื่นๆเขายังไม่สนใจกูเลย ทำไมมึงต้องมาดูแลกูแบบนี้ด้วยวะ”
ภูหน้าเสียลงทันที “มึงไม่ชอบให้กูทำแบบนี้เหรอ...... คือ ถ้างั้นกูก็ขอโทษก็แล้วกัน” เขาก้มหน้า
“เปล่าๆ ไม่ใช่” ผมรีบชันตัวขึ้นนั่งตัวตรงทันที “กูขอโทษ ภู กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น........ กูแค่ คือ กูไม่คิดว่าคนอย่างกูจะมีใครมารักมาเอาใจใส่กูแบบนี้เท่านั้นเอง คือ กูไม่เห็นว่าทำไมมึงถึงต้องทำแบบนี้ด้วยในขณะที่คนอื่นเขายังไม่เห็นจะใส่ใจคนขวางโลกอย่างกูเลย” ผมพูด และน้ำตามันก็เริ่มไหลออกมาทีละน้อยโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ
ภูเงยหน้าขึ้น และเมื่อเขาเห็นน้ำตาของผม แทนที่เขาจะปลอบใจผมหรือแสดงความเสียใจไปกับผมด้วย เขากลับทำให้ผมต้องแปลกใจด้วยการส่งยิ้มกว้างออกมา
“ก็เพราะกูเป็นเพื่อนมึงไง กูรักมึง โอเคป่าว” เขายิ้มแล้วก็เอามือมาเช็ดน้ำตาบนแก้มของผมออก “คราวนี้มึงฟังกูให้ดีๆ มึงไม่ใช่คนขวางโลกอย่างที่มึงคิดหรอก มึงแค่เป็นคนยิ้มยากเพราะอาจจะเคยเจออะไรมามากเท่านั้นเอง กูรู้ แต่จริงๆแล้วน่ะ มึงเป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยน ไม่มีใครในห้องสักคนที่เกลียดมึงหรอก ไม่มีจริงๆ มึงเชื่อกูสิ เพียงแต่พวกเขา ‘ยัง’ ไม่เห็นมึงแบบที่กูเห็นเท่านั้นเอง เวลามันจะพิสูจน์ให้มึงรู้เองว่าคนอื่นๆเขาก็รักมึงเหมือนกัน พี”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมาอีก
“ทำไมมึงถึงกล้าพูดได้ขนาดนั้นวะ” ผมถาม
“อืมมม นั่นสินะ” เขาทำท่าคิด จากนั้นก็ยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อได้คำตอบให้แก่ตัวเอง “อ๋อ กูว่านะ มันต้องเป็นเพราะกูรักมึงนั่นแหละ” พีหัวเราะออกมา แต่ผมกลับนั่งนิ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้น ถึงตอนนั้นผมจะแค่อายุสิบสาม แต่ผมก็รู้นะว่าคนที่ชอบผู้ชายหรือที่เรียกว่าเกย์นั้นมันเป็นยังไง และทั้งหมดที่ผมได้ยินอยู่นี้มันมีความหมายว่า ภูเป็นเกย์และชอบผมอย่างนั้นเหรอ
แต่ที่ผมอึ้งนั้นไม่ใช่ความคิดที่ว่าภูเป็นเกย์หรืออะไรหรอก เพราะผมก็รู้ตัวว่าผมเองก็ชอบผู้ชายเช่นเดียวกัน และมันก็คงจะดีมากด้วยถ้าภูนั้นมาชอบผมจริง แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่สุดนั่นก็คือการที่ภูพูดว่า เขารักผม ถึงสองครั้งแล้วต่างหาก
เมื่อเห็นผมเงียบไปนาน ภูก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “คนอื่นๆน่ะ เขาก็แค่ไม่กล้าคุยกับมึงก็เพราะมึงเป็นคนยิ้มยากต่างหาก มึงไม่ค่อยเปิดใจรับใครง่ายๆ แต่จริงๆแล้วมึงนั่นแหละที่เป็นคนรักเพื่อนมากกว่าใครๆ จริงป่าว”
ผมก้มหน้าเพราะความอาย ใบหน้าของผมร้อนผ่าว แน่นอนว่าเป็นเพราะพิษไข้ด้วยส่วนหนึ่ง และตอนนี้มันก็คงจะแดงมากด้วยแล้วเช่นกัน ต้องขอบคุณอาการไข้ของผมที่ช่วยปกปิดความเขินอายของผมได้เป็นอย่างดี
“อะไรๆ อายเหรอวะ” ภูหัวเราะแล้วก้มหน้ามามองผม
“กูเปล่าสักหน่อย หน้ากูมันแดงเพราะพิษไข้ต่างหาก” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
“กูก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่ามึงหน้าแดง นั่นแน่ มึงเขินจริงๆใช่มั๊ยล่า ไอ้พี” ภูหัวเราะพร้อมๆกับขยี้หัวของผมเบาๆ และคราวนี้ผมก็ยิ้มออกมาด้วยพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำมากขึ้นไปอีก
“นี่ไง เห็นมั๊ย เวลามึงยิ้มแล้วมึงน่ารักจะตาย มีลักยิ้มที่แก้มซ้ายด้วย” ภูพูดแล้วเอานิ้วมาชี้ที่รอยบุ๋มบนแก้มข้างซ้ายของผม “คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆนะ เข้าใจป่าว แล้วเดี๋ยวอะไรๆมันก็จะดีเองนั่นแหละ กูสัญญา และอีกอย่าง........ กูชอบด้วย” คราวนี้ภูหน้าแดงขึ้นบ้างแล้วเหมือนกัน เขาใช้นิ้วชี้เกาแก้มของตัวเองเบาๆและยังคงยิ้มกว้างอยู่เช่นเดิม
บทสนทนาของเราทั้งสองคนจบลงแค่นั้น เพราะหลังจากนั้นภูก็ปล่อยให้ผมได้นอนพักผ่อนไป ส่วนเขาก็นั่งอยู่ข้างๆผมตลอด ตั้งแต่นั้นมา ผมก็รู้แล้วว่าผมมีใจรักเพื่อนของผมคนนี้แบบไหน ผมอยากที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเขาแบบนี้ตลอดไปจริงๆ
และวันนั้นก็เป็นวันแรกและวันเดียวที่เขาพูดว่าเขารักผม
จากนั้นถัดมา ผมกับภูก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ เราสองคนไปไหนมาไหนและทำอะไรด้วยกันตลอดเวลา เพื่อนๆบางคนก็แซวเราบ้างว่าเราตัวติดกันยิ่งกว่าปาท่องโก๋เสียอีก แต่ผมไม่สนใจ เพราะผมถือว่านั่นคือสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นกับผมที่ทำให้เพื่อนๆเริ่มสนิทและหยอกล้อเล่นกับผมมากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะภูช่วยผมเอาไว้แท้ๆ หลังจากนั้นไม่นาน อย่างที่ภูเคยบอกเอาไว้ เวลามันจะพิสูจน์ให้ผมได้รู้เอง ผมเริ่มพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่นมากขึ้น ซึ่งทำให้ผมมีเพื่อนสนิทมากขึ้นตามไปด้วย แน่นอน ว่าผมก็ยังคงเป็นคนพูดน้อยและยิ้มน้อยอยู่อย่างเคย เพียงแต่ว่าเมื่อมีภูอยู่ด้วย ผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าช่วงเวลาไหนๆมากมายในชีวิตทีเดียว
เวลาผ่านไปสองปีจนเราสองคนได้ขึ้นมาอยู่ชั้นมัธยมปลายเป็นครั้งแรก ผมกับภูก็ได้อยู่ห้องเดียวกันอีก ผมกับเขาสนิทกันมากจริงๆ และใครๆก็รู้เรื่องนี้ จากตอนแรกแค่เพื่อนๆในห้องและห้องข้างๆ แต่จนถึงตอนมอสี่นี้ แทบจะทุกคนในระดับชั้นและยังรวมไปถึงอาจารย์หลายๆท่านด้วยที่รู้ว่าผมสองคนเป็น “คู่หู” ที่แทบจะแยกจากกันไม่ออกทีเดียว คนหนึ่งนั้นหัวไม่ดี แต่ร่าเริงและยิ้มเก่ง ใครๆก็รักและรู้จัก ส่วนอีกคน เป็นเด็กหัวดี แต่ขี้อาย และพูดน้อยยิ้มน้อย ทว่าคนสองคนที่แตกต่างกันในแทบจะทุกเรื่องนั้นกลับเป็นเพื่อนที่รักกันและสัญญากันว่าจะรักกันอย่างนี้ไปจนวันตาย
แต่สุดท้าย สัญญานั้นมันก็ไม่เป็นจริง เพราะผมเองนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายผิดสัญญา..........
วันนั้นเป็นวันก่อนวันสอบวันสุดท้ายของเทอมหนึ่งตอนที่เราอยู่ชั้นมอห้า หลังสอบเสร็จผมก็นั่งรอภูอยู่ที่ม้านั่งตัวเดิมพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆเหมือนทุกๆครั้ง แต่เมื่อภูออกมาจากห้องสอบและมาพบกับพวกเราทุกคน เขากลับบอกเพื่อนๆทุกคนว่าเขามีเรื่องอยากจะคุยกับผมแค่สองคน และอยากให้ทุกคนกลับไปก่อน
“มีอะไรเหรอวะ ทำไมต้องให้คนอื่นๆกลับไปก่อนด้วย” ผมถามเขาเมื่อเราอยู่กันสองคนแล้ว
“ก็ ไม่มีอะไรหรอก........” เขายิ้มกว้างในแบบฉบับของเขา ผมสังเกตเขามานานมากแล้วว่าเขาหน้าตาดีขึ้นกว่าเมื่อตอนเด็กๆเยอะเลยทีเดียว อาจจะเรียกว่า “หล่อ” เลยไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนที่หน้าตาใช้ได้ทีเดียว แบบที่ใครๆควงก็ไม่ต้องรู้สึกอายแน่ๆ
และแน่นอนไม่ใช่ว่าเป็นเพราะผมนั้นชอบเขาอยู่แล้วถึงได้พูดแบบนั้นหรอกนะ
“ยิ้มอยู่ได้ ยิ้มทำไม มีอะไรก็พูดมาสิวะ กูล่ะเบื่อรอยยิ้มของมึงจริงๆ เห็นแม่งทุกวัน” ผมพูด แต่จริงๆแล้วผมโกหก ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ง้านนเหรออ มึงเบื่อจริงอ่ะ” เขาฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นอีก แล้วก็เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผมจนผมรู้สึกอายและยิ้มออกมา
“อะไรเล่า” ผมพูด พลางขยับตัวหนี
“แต่กูไม่เคยเบื่อรอยยิ้มมึงเลยนะ พูดจริงๆแล้ว กูโคตรชอบรอยยิ้มแล้วก็ลักยิ้มของมึงเลย” เขาหัวเราะเบาๆ
“พอๆ ตกลงมึงมีอะไรจะบอกกู........” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดง
“ก็ พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้วใช่มั๊ยล่ะ” เขาขยับตัวกลับไปนั่งที่เดิมดีๆ “กูก็เลยอยากชวนมึงไปเที่ยวน่ะ หลังสอบเสร็จอ่ะนะ”
“งั้นเหรอ ไปไหนล่ะ แล้วคนอื่นๆอ่ะ ไม่ไปกับพวกมันเหรอ” ผมถาม
“หลังจากไปกินไปเที่ยวกับพวกมันก่อนก็ได้ กูแค่....... เอ่ออ...... คือกูอยากชวนมึงไปบ้านกูว่ะ” เขาพูดขึ้นแล้วยิ้มอายๆ
“ชวนกูไปบ้านมึงเนี่ยนะ” ผมแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยได้ไปบ้านของภูเลย มีแต่ภูที่เคยมาบ้านของผมบ้างสี่ห้าครั้งเท่านั้นเอง
“ช่ายย กูจะชวนมึงไปนอนค้างที่บ้านกูว่ะ” เขาเกาแก้มแกรกๆด้วยนิ้วชี้ เขามักจะทำแบบนี้เสมอๆเวลาที่เขาอาย ส่วนผมก็ชอบเวลาที่เขาทำแบบนี้มากๆด้วยเช่นกัน
ผมแกล้งทำนิ่วหน้าแบบไม่ไว้ใจ “นี่มึงจะมาไม้ไหน อย่าบอกนะว่าวางแผนจะพรากพรหมจรรย์กู” ผมพูดแล้วยิ้ม
ภูหัวเราะ “โอ๊ยยยยย ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากูจะเอาไอ้นั่นของมึงน่ะนะ กูไม่ต้องวางแผนหรอก กูจะขอดีๆตรงๆเลยด้วยซ้ำ”
ผมหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งทันที เขาเป็นคนชอบพูดจาโผงผาง และตรงไปตรงมาเสมอๆ และที่สำคัญ เขาชอบพูดจาทีเล่นทีจริงแบบนี้มากๆ ทำให้ผมไม่รู้สักทีว่าครั้งไหนที่เขาพูดจริงและครั้งไหนที่เขาพูดเล่น
“นั่นแน่ เขินล่ะสิ คุณปฐพี” ภูยิ้มกว้างที่แกล้งผมได้สำเร็จอีกครั้ง “มึงคิดว่ามึงไปได้มั๊ยล่ะ”
“เอ่ออ.... กูก็ต้องถามที่บ้านดูก่อนว่ะ แต่กูคิดว่าไม่น่าจะมีปัญ..........”
“นายภูมิธร” เสียงๆหนึ่งดังขัดขึ้น
เราสองคนหันไปหาที่มาของเสียงทันที แล้วก็พบกับอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษยืนกวักมือเรียกภูอยู่
“เวรและไง กูจะโดนอะไรวะเนี่ย เอางี้ เอาเป็นว่ามึงตอบตกลงแล้วก็แล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พอมึงไปบ้านกู กูจะบอกอะไรมึงบางอย่าง กูจะพูด.......... คร้าบๆๆ เดี๋ยวครับ อาจารย์ รอแป๊บนึงคร้าบบบบ!!” เขาหันไปตะโกนบอกอาจารย์ จากนั้นก็หันหลับมาหาผมอีกครั้ง “เออๆ ถึงไหนแล้วนะ เออใช่ คือพรุ่งนี้เนี่ย กูอยากจะคุยอะไรกับมึงหน่อย เพราะงั้นมึงต้องไปบ้านกูนะ กูจะบอกสิ่งที่กูไม่ได้บอกมึงมานานหลายปีแล้ว....... ก็ สามปีได้แล้วมั๊ง”
เราสองคนมองตากันนิ่งอยู่ราวๆสองวิ จากนั้นภูก็ชิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เออๆ กูไปและนะ เจอกันพรุ่งนี้ที่ห้องสอบ” เมื่อพูดจบเขาก็วิ่งออกไปทันที ผมเห็นตอนที่เขาวิ่งไปหาอาจารย์ เขาก้มหน้าวิ่งแล้วก็เอามือเกาแก้มไปด้วย
ผมนั่งอยู่ย่างนั้นอีกราวๆห้านาที คิดถึงสิ่งที่ภูเพิ่งพูดออกมา นี่เขาหมายความว่าอย่างที่ผมคิดรึเปล่านะ เพราะถ้าเขาหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ผมก็คิดที่จะเริ่มต้นเดินก้าวต่อไปด้วยแล้วเหมือนกัน ไม่สิ ต่อให้เขาไม่พูดในสิ่งที่ผมคิดออกมา ซึ่งถึงแม้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าต้องใช่แน่ ผมค่อนข้างมั่นใจมาตลอดว่าเขาเองก็คิดกับผมแบบเดียวกับที่ผมคิดกับเขา เพียงแต่เราสองคนไม่เคยพูดมันออกมาเลย แต่คราวนี้ผมก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายเริ่มพูดเองบ้างแล้ว ไม่เห็นมันจะมีอะไรเสียหายนี่
ถ้าหากใครสักคนมาขีดข้อกำหนดในเรื่องของความรักให้ผมฟังล่ะก็ ผมก็พร้อมจะตอกหน้าเขากลับไปทันทีเลย เพราะตัวอย่างที่ผมเห็นชัดๆมันก็มีอยู่ตรงหน้าผมนี่แล้วไง ผมและเพื่อนคนนี้รักกันและเราก็รักกันดีมากด้วยมาตลอดระยะเวลาหลายปี ถึงแม้ว่าเราสองคนจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตาม แล้วพ่อและแม่ของผมล่ะ พวกท่านไม่ได้เป็นตัวอย่างของความรักชายหญิงที่ล้มเหลวหรอกเหรอ ข้อจำกัดเรื่องเพศไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาขีดกั้นผมได้เลยตั้งแต่ผมยังเล็กแล้วด้วยซ้ำ ผมเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้เองมาตั้งแต่ผมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมเองนั้นชอบผู้ชาย
ใช่แล้ว......... ความรักของผมนั้นก็คงเป็นเหมือนดั่งผีเสื้อ
มันใช้เวลานานกว่าจะเติบโต มันสวยงาม และน่าทะนุถนอม
แต่สุดท้ายก็ มันจากเราไปอย่างง่ายดาย รวดเร็ว และช่างบอบบางเหลือเกิน..........
ผมรอคอยวันสอบวันสุดท้ายอย่างใจจดใจจ่อ ผมรอแทบไม่ไหวแล้วที่ผมจะได้พูดคำว่า “รัก” ออกไปให้คนที่ผมรักและรู้ว่าเขาก็รักผมเช่นเดียวกันฟัง
แต่สุดท้ายแล้ว ความฝันมันก็ยังคงเป็นแค่ความฝัน เช้าวันรุ่งขึ้นผมได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิตเมื่อมีคนมาบอกทางโรงเรียนว่า นายภูมิธรเกิดประสบอุบัติเหตุ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เขาซ้อนท้ายเสียหลักและล้มลงในหมู่บ้านของตัวเองและเป็นเหตุให้เขาถึงแก่ชีวิต
หัวใจของผมแตกสลาย ผมนั่งทำข้อสอบอย่างไม่รู้เลยว่าตัวเองกาอะไรลงไปบ้าง น้ำตาของผมมันไหลไม่ยอมหยุด ผู้คนหลายคนทั้งนักเรียนและอาจารย์ต่างก็โศกเศร้าและเสียใจ เขาเป็นที่รักของทุกๆคนจริงๆ หลายคนพยายามเข้ามาปลอบผม แต่ผมก็ไม่ได้ยินอะไรที่พวกเขาพูดเลยสักนิด สิ่งที่ก้องอยู่ในหัวของผมตลอดเวลานั้นมีอยู่แค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเสียงใสๆของเขาตั้งแต่เขายังไม่แตกหนุ่ม ประโยคที่เขาบอกว่า เขารักผม เสียงที่หนักขึ้นทุ้มขึ้นของเขาที่บอกผมว่า เขามีอะไรบางอย่างจะพูดกับผมหลังจากที่เขาไม่ได้พูดมันมานานแล้วถึงสามปี และเสียงของเขาจากประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับผมว่า เขาจะมาเจอผมที่ห้องสอบในเช้าวันนี้...............
แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มา และคงจะไม่มาให้ผมได้พบหน้าอีกต่อไปแล้ว..............
เขาคือคนๆเดียวที่ทำให้โลกของผมสว่างสดใสขึ้น เขาคือคนๆเดียวที่ทำให้ผมประทับใจได้ตั้งแต่รอยยิ้มแรกพบ และเขาคือคนๆเดียวที่สอนให้ผมรู้จักกับคำว่า “เพื่อนแท้” และ “ความรัก”
ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่เคยได้ไปบ้านของเขา แต่ในงานศพ แม่ของเขาได้นำของสิ่งหนึ่งมามอบให้แก่ผม มันคือรูปถ่ายที่ผมถ่ายคู่กับเขาสองคนในห้องเรียนตั้งแต่เรายังอยู่ชั้นมอสอง ในรูปนั้น ใบหน้าที่ผมเกือบจะลืมเลือนมันไปแล้ว ใบหน้าตอนเด็กของเขาที่กำลังยิ้มกว้างอย่างที่เขาชอบทำเป็นประจำและกำลังกอดคอกับผมเองที่ก็กำลังยิ้มอยู่เช่นเดียวกัน ลักยิ้มข้างซ้ายของผมบุ๋มลงไปเล็กน้อย และเสียงของเขาก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง...........
“นี่ไง เห็นมั๊ย เวลามึงยิ้มแล้วมึงน่ารักจะตาย มีลักยิ้มที่แก้มซ้ายด้วย คราวหลังก็ยิ้มบ่อยๆนะ เข้าใจป่าว แล้วเดี๋ยวอะไรๆมันก็จะดีเองนั่นแหละ กูสัญญา และอีกอย่าง........ กูชอบด้วย”
“แต่กูไม่เคยเบื่อรอยยิ้มมึงเลยนะ พูดจริงๆแล้ว กูโคตรชอบรอยยิ้มแล้วก็ลักยิ้มของมึงเลย”ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง และคราวนี้มันมากกว่าครั้งไหนๆด้วย ผมพลิกดูด้านหลังของรูปช้าๆ และเห็นลายมือของเขาเขียนเอาไว้อยู่สองบรรทัด บรรทัดแรกเป็นลายมือตอนเด็กๆของเขา เขียนเอาไว้ว่า
“กูจะรักมึงอย่างนี้ไปจนวันตาย”ส่วนอีกบรรทัดเป็นลายมือที่หวัดและเป็นผู้ใหญ่กว่าบรรทัดแรกอย่างเห็นได้ชัด ผมดูจากรอยหมึกแล้วเดาเอาว่าเขาน่าจะเพิ่งเขียนมันเมื่อไม่นานมานี้เอง มันถูกเขียนเอาไว้ว่า
“หนึ่งเดียว อันเป็นที่รัก และจะรักตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยน”เมื่ออ่านจบผมก็ร้องไห้จนตัวโยน ทั้งแม่ของภูและเพื่อนๆคนอื่นๆก็เข้ามาปลอบผมให้ผมสงบลง แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ ผมห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ในชีวิตของผมทั้งชีวิต ผมไม่เคยได้สัมผัสกับคำว่ารักแบบที่ภูเคยมอบให้ผมมาก่อนเลย การจากไปของเขาทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่สุด ผมรู้สึกราวกับไม่เหลือใครอีกแล้ว เขาเข้ามาในโลกของผมแล้วเปลี่ยนชีวิตผมไป เขามอบความรักให้ผมในแบบที่ผมไม่เคยได้รับจากใคร และไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ผมได้ในแบบที่เขาทำด้วย ผมไม่รู้จริงๆว่าถ้าปราศจากเขาแล้ว ชีวิตของผมต่อจากนี้มันจะเป็นอย่างไร..............
จากนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อมาโดยเฝ้าคิดถึงและเสียใจแต่เพียงเรื่องๆเดียว นั่นก็คือ แม้แต่คำว่ารัก ผมยังไม่เคยได้บอกเขาออกไปเลยสักครั้ง...........
เมื่อขึ้นเทอมใหม่ ผมก็ไปเรียนตามปกติ แต่ผมไม่รู้สึกปกติเลยแม้แต่น้อย ผมเศร้า และหดหู่ ผมกลับเป็นคนที่พูดน้อยและยิ้มน้อยเหมือนเดิม ผมไม่สุงสิงกับใคร และไม่เห็นว่าผมจะต้องทำแบบนั้นไปทำไมถ้าเมื่อผมทำไปแล้วและผมจะต้องเจ็บปวดเพราะการสูญเสียอีกครั้ง ผมใช้ชีวิตอยู่กับการคิดถึงเขาในทุกๆนาทีที่ผมหายใจ ทุกๆวันที่ผมใช้ชีวิต และทุกๆคืนที่ผมหลับตานอน
จนวันหนึ่ง ผมหยิบรูปของภูที่ถ่ายคู่กับผมรูปนั้นออกมาดูแบบที่ผมทำเป็นประจำ รอยยิ้มของเขามันบอกผมว่าผมควรเลิกที่จะเป็นแบบนี้ได้แล้ว ผมรู้ตัวว่าภูไม่ได้ต้องการให้ผมเป็นแบบนี้ เขาชอบรอยยิ้มของผม เขาชอบลักยิ้มของผม แต่ตอนนี้ผมกำลังจะสูญเสียสิ่งเหล่านั้นที่ทำให้ผมกับภูผูกพันกันไปเสียแล้ว......... วันนั้นผมร้องไห้อย่างรุนแรงกับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง แล้วสัญญากับตัวเองว่าผมจะเข้มแข็งขึ้นเพื่อตัวของผมเองและคนที่กำลังหัวเราะมาให้ผมอย่างมีความสุขอยู่ที่โลกนู้น
ผมหยิบรูปถ่ายเดี่ยวล่าสุดของภูเท่าที่ผมมีออกมาดูอีกครั้ง ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของเขาเลยจริงๆ.........
ผมรู้ว่าสิ่งที่เขาปรารถนาดีต่อผมมากที่สุดก็คืออยากให้ผมมีความสุข เพราะฉะนั้นผมก็จะมีความสุข เพื่อที่เขาจะได้ยังคงมอบรอยยิ้มที่แสนประทับใจนั้นให้ผมได้ตลอดไปด้วย ผมบอกขอโทษเขา ว่าผมไม่สามารถรักษาสัญญาที่ผมกับเขาเคยมีให้กันว่าเราจะรักกันอย่างนี้ไปจนวันตายได้แล้ว..............
“ภู กูขอโทษนะ กูรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับมึงไม่ได้แล้ว.......” ผมพูดกับรูปถ่ายของเขาและร้องไห้ออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ “.......เพราะถึงมึงจะจากไปแล้ว แต่กูก็ยังไม่หยุดรักมึง ภู...... กูขอโทษ....... ทั้งๆที่มึงทำตามสัญญาของเราแท้ๆ ทั้งๆที่มึงเองก็รักกูไปจนถึงวันตายของมึง....... แต่กูรักมึงมากจริงๆ และจะยังคงรักมึงไปตลอดกาลด้วย กูไม่สามารถหยุดรักมึงได้แม้ว่าความตายจะพรากมึงไปจากกูแล้ว กูสัญญา....... กูสัญญาว่าแม้แต่ความตาย ก็ไม่อาจพรากความจริงข้อนั้นไปจากเราสองคนได้........ ภูมิธร กูขอสัญญา ว่านับจากนี้ไป.............” แต่ผมไม่สามารถจะจบประโยคได้ ผมร้องไห้และร้องไห้ ร้องจนคิดว่าน้ำตาของตัวเองคงจะเปลี่ยนเป็นสายเลือด ผมร้องจนกระทั่งผมหลับไปทั้งๆที่มีน้ำตาอาบใบหน้า
วันรุ่งขึ้น ผมไปทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนทันที เพราะผมไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับที่ๆเต็มไปด้วยความทรงจำของเขาและผมแบบนี้อีกต่อไปได้ ถ้าผมอยากจะก้าวเดินต่อไป สักวันหนึ่งผมก็ต้องเรียนจบจากที่แห่งนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้นผมก็จะขอก้าวเดินต่อไปตอนนี้เลย และผมสัญญา ว่าผมจะไม่มีวันลืมเพื่อนรักของผมคนนี้เด็ดขาด เขายังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของผม และผมก็ยังคงสามารถเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของเขาได้ในทุกๆครั้งที่ผมหลับตาลง........
ต่อจากนี้ไป ผมจะทำตัวเองให้ดีขึ้นและมีความสุข เพื่อเขาที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในใจของผมด้วยเช่นกัน
ปล. ใครอยากรู้จักเขาคนนี้มากขึ้น อยากรู้ว่าต่อจากนี้เขาเป็นยังไงต่อ ไปอ่านในการเดินทางของศิลากับฟ้าครามนะครับ (ฮา)