ปิดจองแล้วค่ะ
เฉพาะจองทางไปรษณีย์รอบแรก มีของแถมพิเศษให้นะคะ
เป็นbookletการ์ตูนใบ้ เหมียวนพกับคุณไพฯค่ะ


Stair. ขยับรัก ข้ามขั้น (2เล่มจบ)
ราคาชุดละ 470บ. (ไม่แยกขายและยังไม่รวมค่าจัดส่ง)
ที่คั่นที่จะแถมกับตัวหนังสือค่ะ

เรื่องย่อ
“คุณไพฑูรย์คะ น้องที่จะมาสัมภาษณ์งานรอพบอยู่ที่ห้องแล้วค่ะ”
ผมทำงานอยู่ฝ่ายบุคคลของบริษัทมาเป็นสิบๆ ปี
ไม่เคยนึกอยากได้ผู้ช่วยเลยสักครั้ง
แต่เพราะเจ้านายที่เป็นรุ่นพี่ห่วงสุขภาพผมในระยะหลังเป็นพิเศษ
เลยเปิดรับสมัครผู้ช่วยโดยไม่ไถ่ถามผมสักคำ
เอาเถอะ ผมจะยอมรับไว้สักคนแล้วกัน
ถ้าไม่ได้เรื่อง ผมจะไล่ออก
แล้วแจ้งกับรุ่นพี่ของผมว่าอย่าได้เปิดรับสมัครผู้ช่วยให้ผมอีกเลย
เขาเป็นเด็กหนุ่ม รูปร่างหน้าตาหมดจด อายุห่างกับผมคราวลูก...
เด็กขนาดนี้ จะทนไม้ทนมือผมไปได้สักกี่น้ำ... แต่ทว่า....
“คุณไพฑูรย์ชอบดูหนังรึเปล่าครับ? พอดีผมได้ตั๋วฟรีมาสองใบ”
มารู้สึกตัวอีกที..
คนที่เย็นชาและโดดเดี่ยวตัวเองมาตลอดชีวิตอย่างผม
กลับเคยชินกับการมีเขาอยู่ข้างๆ เสียแล้ว.....-----------------------------------------
ตอนพิเศษที่จะลงเฉพาะในรวมเล่ม
** ตอนไปเที่ยวทะเลของนพและคุณไพฑูรย์
** ตอนเสริมในบันทึกของนพ ช่วงเล่นบาสและไปคาราโอเกะ
ถ้ามีเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบค่ะ
***ของแถมพิเศษเฉพาะคนที่สั่งจองรอบแรกทางไปรษณีย์***
Booklet การ์ตูนสั้น เกี่ยวกับแมวนพและคุณไพฯ
-------------------------------------------
รายละเอียดการสั่งจอง

ค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน ชุดละ40บ.
EMS. 70บ.
อีเมลแจ้งแล้ว กรุณาตรวจเช็กรายชื่อ และสถานะการสั่งจอง ตามลิ้งด้านล่างนี้ด้วยนะคะ
http://jumemon.wordpress.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2/ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ^^
--------------------------------------------------
ไพฑูรย์ หัวหน้าแผนกบุคคลผู้ซึ่งเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนทั้งบริษัท เรียกว่าเดินไปทางไหนทุกคนต้องหยุดขยับ หรือเงียบกริบไม่กล้าพูดอะไร ถูกรุ่นพี่ซึ่งเป็นเจ้านายบังคับให้รับสมัครผู้ช่วย เพราะกลัวเจ้าตัวจะเครียดจนมีอันเป็นไปเสียก่อน ไพฑูรย์จึงจำต้องรับนพรัตน์ เด็กหนุ่มคราวลูกมาเป็นผู้ช่วย แล้วผู้ช่วยคนใหม่นี้ก็ได้ทำให้ชีวิตแสนเงียบเหงาของหนุ่มวัยสี่สิบเศษเปลี่ยนไป
------------------------------
*ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นสายชอบคนแก่นะเนี่ย กร๊าส
------------------------------
บันไดขั้นที่1
“คุณไพฑูรย์คะ น้องที่จะมาสัมภาษณ์งานรอพบอยู่ที่ห้องแล้วค่ะ” เสียงใสๆ ของเลขาหน้าห้องสาวสวยทำให้ผมต้องเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่ พอเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเก้าโมงเศษแล้ว ผมพยักหน้าให้เธอ และหยิบกาแฟที่ดื่มค้างอยู่ขึ้นมาจิบ ก่อนจะถอดแว่น และลุกออกไป
-------------------------------------
“สวัสดีครับ” คนที่นั่งรออยู่ยกมือไหว้ทันทีที่ผมเดินเข้าไปในห้อง ผมหรี่ตามองเขาขณะที่นั่งลงตรงโต๊ะสัมภาษณ์งาน เป็นชายหนุ่มหน้าตาหมดจด หวีผมแต่งตัวเรียบร้อย ผมหยิบใบประวัติของเขาขึ้นมาดู และล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อหาแว่นสายตา
“..........................”
ผมชะงักมือ และเปลี่ยนมาถือใบประวัติของเขาให้ออกห่างไปสักหน่อย ให้ตายสิ ตะกี้ถอดแว่นแล้วลืมเอาไว้บนโต๊ะแน่ๆ อาการสายตายาวถามหาผมก่อนจะถึงวัยอันควรเสียอีก ผมเพิ่งอายุแค่สี่สิบสองจะสี่สิบสามเอง
“ชื่อนพรัตน์เหรอ ชื่อเล่นล่ะ?” ผมเงยหน้าขึ้นมาและเหมือนจะเห็นเขายิ้มเล็กๆ นพรัตน์ตอบคำถามด้วยเสียงฉะฉาน “นพครับ”
“อืม” ผมส่งเสียงงึมงำในลำคอ พยายามเพ่งตามองตัวอักษรในประวัติสมัครงานของเขาอย่างยากลำบาก ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงได้พิมพ์ประวัติกันตัวเล็กนัก น่าจะขยายอีกสักหน่อย
“เอ่อ... ไม่ใส่แว่นตาหรือครับ?” ได้ยินเสียงเขาถามขึ้นมา ผมเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบไป
“ไม่เป็นไรหรอก เรียนจบมาจากมหาลัยTใช่ไหม?”
“ครับ” เขาตอบยิ้มๆ ผมเดาจากรูปถ่ายในชุดบัณฑิตที่ติดบัตรของเขา ไอ้ข้อมูลที่กรอกอยู่น่ะ จะว่าไปก็มองไม่ค่อยเห็นหรอก แต่จะให้ลุกไปหยิบแว่นก็ดูจะเสียเวลา แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่คนระดับผมสมควรจะทำต่อหน้าคนที่มาสมัครงานใหม่ด้วย อีกอย่าง นี่เป็นการสัมภาษณ์งาน ผมถามเอาจากปากเขาเลยก็ได้
พอคิดได้ดังนั้น ผมจึงวางเอกสารลง และพิจารณาดูเขาอีกรอบ
“อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ?”
“ยี่สิบสามครับ”
“ก่อนหน้านี้เคยไปทำงานที่ไหนมาบ้าง”
“ช่วยพี่ชายอยู่ที่บริษัทM แล้วก็ทำฟรีแลนซ์กับบริษัทJกับLครับ”
“อ้อ” ผมครางในคอ หลังจากถามประวัติการศึกษาอีกเล็กๆ น้อยๆ ผมก็เข้าประเด็น
“ใครแนะนำให้คุณมาสัมภาษณ์งานที่นี่”
“คุณพชรครับ”
“อ้อ” ผมร้อง และนึกไปถึงชายหนุ่มวัยสามสิบห้าปีที่ดูจะห้าวๆ ชวนปวดหัวอยู่สักหน่อย เหมือนหมอนั่นจะทำงานที่ได้สักปีหนึ่งแล้วลาออกไป “เป็นอะไรกันล่ะ เพื่อนหรือ?”
“ครับ เขาเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังด้วย”
ผมขมวดคิ้ว เกือบจะถามไปแล้วว่านายพชรเล่าอะไรให้ฟังไปบ้าง แต่ก็นึกได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่สมควรถาม เลยมองสำรวจเขาอีกครั้ง “คุณนพ ผมไม่รู้ว่าคุณพชรเล่าเกี่ยวกับการทำงานที่นี่ให้คุณฟังแบบไหน แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่างานที่นี่ค่อนข้างหนัก โดยเฉพาะในตำแหน่งที่คุณระบุมา ผมไม่ได้พูดขู่คุณหรอกนะ ถ้าไม่เชื่อไปถามคุณพชรดูก็ได้”
“ครับ ผมทราบครับ” นพรัตน์ตอบและมองมาด้วยสายตามุ่งมั่นเต็มที่ ก็สมกับเป็นคนที่อยากจะได้งานดี ผมยิ้มหน่อยๆ และพูดต่อ “มีประวัติการทำงานอย่างอื่นให้ดูอีกไหม?”
เขาหยิบแฟ้มบางๆ ส่งให้ผมอีกสองแฟ้ม ผมรับมาเปิดผ่านๆ เพราะมองได้ไม่ชัดมาก ก่อนจะพยักหน้า
“ไว้เดี๋ยวผมจะติดต่อกลับไปแล้วกันนะ”
เขายิ้มและยกมือไหว้ผมก่อนกลับ
“แล้วผมจะรอนะครับ”
------------------------------------------------
งานฝ่ายจัดการทรัพยากรบุคคลไม่ใช่อะไรที่ผมอยากทำเลยสักนิด แต่เพราะจับพลัดจับผลูทำบริษัทนี้มากับรุ่นพี่ที่สนิทกันจนขยายกิจการใหญ่โต หน้าที่นี้เลยกลายเป็นของผมไปโดยปริยาย รู้ตัวอีกทีผมก็กลายเป็นที่ซุบซิบนินทาของพวกพนักงานไปแล้ว เหมือนจะเรียกผมว่าครูใหญ่ หรือจอมเผด็จการ อะไรเทือกนั้นแหละ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ลองมีคนที่คอยจับตาดูการทำงานอยู่แทบจะตลอดเวลา แถมจ้องจับผิดจนน่ารำคาญ ไม่มีใครตั้งฉายาเลยสิแปลก ผมรู้ว่าพนักงานหลายคนไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม แต่มันก็เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำ เพื่อให้บริษัทดำเนินงานไปได้อย่างราบรื่น
“ไง ไพฑูรย์ เด็กที่มาสมัครงานมีถูกใจสักคนรึเปล่า?” คนที่เอ่ยทักผมเป็นหนุ่มใหญ่วัยใกล้ห้าสิบเข้าไปทุกทีแล้ว พงษ์โพยมเป็นชายร่างใหญ่ หน้าตาดูดีในแบบของคนทำงาน ที่สำคัญยังไม่มีอาการสายตายาวถามหาเหมือนผม เขาเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบเขาก็ชวนผมมาทำบริษัท และตอนนี้ก็เป็นเจ้าของที่นี่แหละ
ผมสั่นศีรษะ “ไม่รู้สิ เด็กสมัยนี้ดูง่องๆ แง่งๆ พิกล”
เขายิ้มออกมา ก่อนจะตบไหล่ผมเบาๆ “หาคนช่วยเสียบ้าง พี่กลัวเธอจะเหนื่อยตายก่อน”
ผมหัวเราะ “คนช่วยไม่ได้เรื่องสิน่าปวดหัว”
พงษ์โพยมพยักหน้า มองผมอยู่พักหนึ่ง “ทานข้าวหรือยัง?”
“แล้ว” ผมตอบ “เรื่องที่แผนกจัดส่งผมจัดการให้แล้วนะ”
“อืม รู้แล้วล่ะ ถึงได้รีบเดินตามมาไง ถ้าเหนื่อยจะลาพักบ้างก็ได้ พี่เห็นอยู่ว่าเธอทานข้าวไม่หมดมาหลายวันแล้ว”
“ก็มันเรื่องด่วน” ผมว่า และพูดต่อ “อีกอย่าง กับข้าวกินทุกวันมันก็เบื่อ”
คนได้ฟังผงกศีรษะ มีสีหน้าครุ่นคิด “งั้นให้คนขับรถพาออกไปทานข้างนอกไหม หรือจะให้สั่งเข้ามาดี”
ผมหัวเราะอีก “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่ผมเพิ่งทานข้าวไม่หมดครั้งแรกเสียหน่อย ทำงานกันมาตั้งกี่ปีแล้ว”
เขามองผม จังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดี พงษ์โพยมกดรับ ผมรู้ว่าถึงเวลาจะต้องแยกกันแล้ว
“ไว้คุยกันต่อวันหลัง” เขาว่า ตอนที่ผมเดินปลีกออกมา ผมหันไปยิ้มให้เขา และพยักหน้าพอเป็นพิธี
-------------------------------------------------
ผมกลับมาถึงโต๊ะทำงาน และรู้สึกเพลียขึ้นมา ช่วงนี้ที่ผมเริ่มทานข้าวไม่ลงก็เพราะเสียงซุบซิบกันของพนักงานในบริษัทนั่นแหละ ถึงจะทำงานมานานแล้ว และบอกตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าเสียงพวกนั้นมันไม่มีความหมายอะไร แต่ได้ยินบ่อยๆ มันก็พาลทำให้กินข้าวไม่ลงอยู่เหมือนกัน
เดือนนี้ผมตัดสินใจทำเรื่องไล่พนักงานออกไปสองคน และสั่งปรับเงินเดือนลงอีกแปดคน คงพอจะสร้างเสียงนินทาให้กินข้าวไม่ลงไปอีกพักใหญ่
ผมนึกถึงพงษ์โพยมที่อุตส่าห์เดินตามมาไถ่ถามข่าวคราวผมอย่างเป็นห่วง พอขึ้นตำแหน่งระดับเขาแล้ว เวลาว่างจะคุยกับใครก็น้อยลงไปทุกที ถึงกระนั้นพอมีโอกาสเขาก็แสดงความห่วงใยผมไม่ได้ขาด ที่ผมทำงานให้เขามาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะส่วนดีตรงนี้ของเขาด้วยนี่แหละ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าผมกับเขามีอะไรกันมากกว่าความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง หรือคนร่วมงานนะ ถึงผมจะยังไม่แต่งงาน แต่พงษ์โพยมแต่งงานไปแล้ว แถมลูกสาวของเขาก็กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ปีหน้า วันดีคืนดีก็แวะเข้ามาทักทาย “อาไพฑูรย์” อย่างผมให้ได้ชื่นใจอยู่บ่อยๆ
ผมไม่เคยคิดอะไรกับเขาไปมากกว่ารุ่นพี่และเพื่อนร่วมงาน รวมถึงเจ้านายที่ดีหรอก คนที่ผมเคยคิดเกินเลยน่ะ คือพรายโพยม น้องชายของเขาต่างหาก
พรายโพยมเด็กกว่าพี่ชายอยู่หลายปี เขาอายุน้อยกว่าผมด้วยซ้ำ ช่วงที่ผมเรียนอยู่ปีสาม เขาก็เข้ามาเป็นรุ่นน้องแล้ว ความน่ารักกระตือรือร้นและหัวไวของเขามัดใจผมเอาไว้อยู่หมัด กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็หลงชอบเขาไปแล้ว เราคบกันแบบทีเล่นทีจริงอยู่ราวๆ หนึ่งปี หลังจากที่พรายโพยมไปเรียนต่อที่เยอรมัน และเลิกอาลัยในตัวผม ผมก็เพิ่งรู้สึกตัวว่ารักเขาขนาดไหน
อาการหัวปักหัวปำของผมคงไปสะกิดความสงสารในตัวของพงษ์โพยมซึ่งเป็นพี่ชายเข้า เขาเลยชวนผมไปทำงานด้วย คงอยากจะไถ่โทษแทนน้องชายล่ะมั้ง แต่ผมไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรเขานักหรอก ก็แค่เสียใจและผิดหวังเท่านั้นแหละ พอเวลาผ่านไปมันก็เหมือนดูหนัง นึกย้อนไปแล้วก็ยังขำตัวเองอยู่เลย กระนั้นผมก็ยังทำงานให้เขาอยู่ เพราะซาบซึ้งในความดีงามของเขานั่นเอง
ผมสะดุ้ง และเพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอวูบหลับ ผมกวาดตามองไปรอบๆ และรู้สึกดีที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น ด้วยตำแหน่ง ผมจำเป็นต้องทำตัวเองให้ดูน่าเกรงขาม อย่างน้อยก็ต้องน่าเกรงใจนั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่มีใครเคารพผม ผมกวาดตามองโต๊ะทำงาน เพื่อหาอะไรมาแก้อาการง่วง ก่อนที่จะมีใครผ่านมาเห็นว่าผมแอบหลับ แล้วเอาไปนินทากันให้สนุกปาก สายตาของผมสะดุดเข้ากับกองเอกสารสมัครงานที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งผมไม่เคยคิดจะเปิดอ่านเลย
ถึงผมจะเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของที่นี่ แต่ตำแหน่งผู้ช่วยผม คนเปิดรับสมัครกลับเป็นพงษ์โพยม ท่าทางเขากลัวผมจะทนไม่ไหวและชิงลาออกไปวันใดวันหนึ่ง จึงคะยั้นคะยอให้ผมรับผู้ช่วย จนสุดท้ายเลยเปิดรับสมัครเสียเอง ซึ่งก็ไม่พ้นผมอีกที่ต้องไปนั่งสัมภาษณ์
ผมกวาดตามองกองเอกสาร เท่าที่จำได้ ไม่มีใครในจำนวนนี้เหมาะจะเป็นผู้ช่วยผมสักคน แต่จนใจที่อาการง่วงไม่ยอมหาย และที่เหลือบนโต๊ะนอกจากนี้คือเรื่องร้องเรียนภายใน ซึ่งบางคนพอเห็นชื่อ ผมก็แทบจะโกยไปขายสำนักพิมพ์นิยายน้ำเน่า บางทีก็นึกสงสัยว่าเจ้าพวกนี้ตั้งใจจะเขียนเรื่องร้องเรียนจริงๆ หรือเขียนนิยายน้ำเน่ามาให้ผมอ่านกันแน่
เมื่อสภาพอารมณ์ไม่อำนวยให้อ่านเรื่องร้องเรียนพวกนั้น ผมจึงหันมาให้ความสนใจกับกองเอกสารสมัครงานต่อ อย่างน้อยก็คงไม่มีเรื่องงี่เง่าให้อ่านเท่าไหร่นัก
ผมอ่านใบสมัครกับประวัติงานพวกนั้นไป พลางนึกพยักหน้ากับตัวเอง ไม่มีใครเหมาะเลยจริงๆ นั่นแหละ ผมควรเอาเรื่องพวกนี้ไปคุยกับพงษ์โพยม แล้วให้เขาปิดรับสมัครเสียที
ผมอ่านใบสมัครงานกับประวัติการทำงานพวกนั้นไปแล้วรู้สึกง่วงยิ่งกว่าเก่า ขณะที่ทำท่าจะสัปหงกอีกรอบ ผมก็ต้องขมวดคิ้ว
ไอ้ประวัติงานนี่มันอะไรกัน?
ผมยกมือขึ้นดันแว่น ซึ่งใกล้จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะใส่ให้มองเห็นชัดนักขึ้นมา ก่อนจะเพ่งสายตามองตัวอักษรพวกนั้น มันใหญ่กว่าของคนอื่นพอสมควร เรียกว่าขนาดผมไม่ตั้งใจมอง ก็ยังพอจะอ่านออก
ประสบการณ์การจัดการงานบุคคลในบริษัทM
ผมขมวดคิ้ว บริษัทMที่ว่า ใครๆ ก็รู้ดีว่าเป็นบริษัทใหญ่ คนทำหน้าที่นี้คงต้องเก่งพอตัว ใครกันนะ แล้วนึกไงถึงได้มาสมัครงานที่นี่ ผมนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าใคร เลยต้องรื้อใบสมัครงานขึ้นมาดูอีกรอบ
รูปถ่ายในชุดครุยของมหาวิทยาลัยที่ดูสะดุดตาของชายหนุ่มหวีผมเรียบร้อยหน้าตาหมดจด ปรากฏขึ้น พร้อมกับชื่อเจ้าของ
นพรัตน์
ผมยังคงใช้เวลานึกอยู่พักใหญ่ จึงจะจำได้ว่าเป็นเด็กที่มาสมัครงานเมื่อตอนเช้า ตอนนั้นผมลืมหยิบแว่นไปเลยไม่ได้อ่านชื่อกับนามสกุลเขาให้ดี พออ่านดีๆ แล้วถึงได้รู้ว่าพี่ชายเขาทำงานในตำแหน่งอะไรที่นั่น เรื่องน่าแปลกคือทำไมน้องชายถึงเลือกมาสมัครงานที่นี่
ผมมองดูเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อกลับของเขา แล้วเปิดอ่านเอกสารสมัครงานของคนอื่นๆ จนครบ และสรุปได้ว่าผมน่าจะเลือกคนที่จะมาเป็นผู้ช่วยได้แล้ว เอาเถอะ ถ้าไม่ได้เรื่องล่ะก็ คงจะได้ยกเป็นเรื่องอ้างให้พงษ์โพยมเลิกหาผู้ช่วยให้ผมสักที
สงสัยจะเพราะความเพลียบวกอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมจึงตัดสินใจให้เลขาฯติดต่อกลับไปในวันนั้น เพราะขี้เกียจจะทนสัมภาษณ์งานในวันรุ่งขึ้น ทั้งๆ ที่ปกติผมจะรอสักสองสามวันก่อนแท้ๆ
เอาเถอะ ก็นี่มันตำแหน่งผู้ช่วยผมนี่ ผมจะใช้เวลาพิจารณาเท่าไหร่ก็ได้
----------------------------------------
เย็นวันนั้นผมกลับบ้านด้วยอาการอ่อนล้าสุดๆ แทบจะหลับบนรถแท็กซี่ ความจริงทำงานมาถึงระดับนี้ ผมมีเงินพอจะซื้อรถขับเองได้สบายๆ แต่ผมอยู่ตัวคนเดียว ครอบครัวพี่น้องก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว เกิดวันหนึ่ง ผมเหนื่อยจนขับรถไม่ไหวขึ้นมา หรือเบลอ มันจะกลายเป็นปัญหาเสียเปล่าๆ พงษ์โพยมเคยหาคนขับรถพร้อมรถส่วนตัวมาให้ผม แต่ปัญหาอยู่ที่ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลนี่แหละ ถ้ามีใครสนิทกับผมเกินไป ก็คงกลายเป็นที่ซุบซิบนินทาอีก สุดท้ายผมเลยตัดปัญหา ใช้บริการรถสาธารณะมันเสียเลย ซึ่งก็ดูเข้าท่าที เพราะพงษ์โพยมมีงบค่ารถให้ผมเบิกต่างหาก
บ้านที่ผมอยู่เป็นทาวเฮาส์เล็กๆ สองชั้น กว้างไม่มาก เรียกว่าถึงอยู่คนเดียวก็ไม่รู้สึกเหงาเท่าไหร่ ผมเดินสะโหลสะเหลไปเข้าห้องน้ำ ด้วยอาการอ่อนล้าอย่างสุดๆ พลางคิดว่าควรจะทำอะไรเพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
แต่เรื่องจะให้ไปผับไปบาร์ตัดทิ้งไปได้เลย ผมอายุสี่สิบกว่าแล้ว แถมยังไม่ใช่ผู้ชายปกติ จะให้ไปบาร์เกย์ซาวน์น่าเกย์ ก็คงจะมีคนหาว่าผมไปออฟเด็ก ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็ไม่เคยอยากจะทำแบบนั้นหรอก จะให้ไปที่เที่ยวธรรมดาก็น่าเบื่อ เพราะผมไม่มีเพื่อนสนิทเลยสักคน ตั้งแต่เรียนจบมาและเริ่มทำงาน เพื่อนๆ ก็พากันห่างหายกันไปหมด ต่างคนต่างยุ่งนั่นแหละ ส่วนเพื่อนในบริษัทยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากพงษ์โพยมที่ดูจะสนิทกับผมมากที่สุด ซึ่งเจ้าตัวก็แทบหาเวลาว่างไม่ได้เลย ที่เหลือก็ไม่มีใครแล้ว ดังนั้นการพักผ่อนของผมคือการออกไปกินอาหารในร้านอาหารดีๆ สักร้าน ออกไปดูละครเพลงสักเรื่อง ไม่ก็นั่งฟังดูโทรทัศน์อยู่ในบ้านตัวเอง
ก็เหงานะ แต่ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว ผมชินเสียแล้วล่ะ
ผมก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำ และรู้สึกดีที่ยังไม่เห็นรอยตีนกาของตัวเองในกระจก แต่ใครจะไปรู้ มันอาจจะมีแล้วก็ได้แต่ผมมองไม่เห็น อาการสายตายาวเด่นชัดออกมาจนน่าตกใจสำหรับคนวัยนี้ หมอที่ตรวจตาให้ผมบอกว่ามันสืบเนื่องมาจากกรรมพันธุ์ ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่ามันเป็นกรรมแท้ๆ คนอายุเพิ่งสี่สิบต้นๆ หน้าตายังไม่แก่เท่าไหร่อย่างผม มีอันต้องมาควานหาแว่นสายตาอยู่ร่ำไปนี่ไม่เรียกว่ากรรมก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
ผมมองนาฬิกาติดผนัง และตัดสินใจว่าคืนนี้คงต้องดูโทรทัศน์เงียบๆ เพราะขืนออกไปข้างนอกอาจจะกลับดึก แล้วร้านอาหารดีๆ ที่เปิดตอนกลางคืนก็คนเยอะจนน่ารำคาญ ผมเผชิญคนที่บริษัทมาเยอะแล้ว จะให้ไปเผชิญคนที่ร้านอาหารอีกคงไม่ไหว
ละครโทรทัศน์ของฟรีทีวีรอบค่ำมีแต่ความน้ำเน่า สุดท้ายผมจึงไปจบลงที่ช่องหนังของเคเบิล โชคดีที่มันเป็นหนังตลกที่ทำให้ผมขำออก อารมณ์ของผมจึงดีขึ้นพอสมควร
--------------------------------------------------------
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณไพฑูรย์ คุณนพรัตน์มารออยู่หน้าห้องแล้วค่ะ” เสียงเลขาฯสาวทักผม ขณะที่ผมเดินจ้ำๆ มาที่ห้องทำงาน เธอชื่ออาจารีย์ ทำงานเป็นเลขาหน้าห้องผมมาได้เกือบสองปีแล้ว นับแล้วเธอเป็นคนที่อยู่ทนที่สุด ดูเธอจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีความสุขกับการทำงานร่วมกับผม เธอบอกว่าเพราะผมไม่มีเรื่องชู้สาวหรือสายตากะลิ้มกะเหลี่ยให้เธอเป็นกังวลเหมือนเจ้านายคนก่อนๆ ผมได้แต่ยิ้ม เธอคงรู้แหละว่าผมไม่ใช่ผู้ชายปกติ เอาเถอะ ให้ทำงานเข้ากันได้ก็พอ
ผมพยักหน้าและกล่าวทักทายเธอนิดหน่อย ก่อนจะเดินจ้ำๆ และนึกว่านายนพรัตน์นี่ใครกัน
เมื่อคืนไม่รู้ผมผล็อยหลับไปนอนไหน ตื่นมาอีกทีก็แปดโมงกว่าเข้าไปแล้ว การเผลอหลับบนโซฟาทำให้ผมเกิดอาการหลังยอก ตั้งแต่ลุกขึ้นมาได้ จนมาถึงที่ทำงาน ผมต้องทนกับอาการปวดร้าวพวกนั้นจนทำให้สีหน้าดูถมึงทึงกว่าทุกวัน วัดได้จากอาการเกร็งของยามหน้าบริษัทตอนที่ผมเดินเข้ามา พวกนั้นคงคิดว่าผมกำลังพิจารณาตำแหน่งของใครอยู่อีกแน่ๆ
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มที่หน้าตาไม่คุ้นเลยซึ่งนั่งรออยู่หน้าห้อง รีบลุกขึ้นและยกมือไหว้ทักทายผม ผมตกมือรับไหว้ ขมวดคิ้วมองเขา นึกไม่ออกว่าเด็กคนนี้เป็นใคร
“เธอ...”
“นพรัตน์ครับ ที่มาสัมภาษณ์งานแล้วคุณติดต่อไปเมื่อวานน่ะครับ” เขาอธิบายต่อ สงสัยจะสังเกตจากสีหน้าว่าผมนึกไม่ออก ผมร้องอ้อออกมาทันที “มาเช้าดีนะ”
พูดไปก็อายปาก ปกติผมไม่ค่อยมาสายหรอก แต่เมื่อคืนสงสัยจะเพลียมากไปจริงๆ นั่นแหละ ไม่รู้เจ้าเด็กนี่มารออยู่นานเท่าไหร่แล้ว ผมไม่อยากให้ตัวเองเสียเครดิตกับผู้ช่วยหน้าใหม่ไปมากกว่านี้ จึงพยายามทำตัวเองให้ดูน่าเกรงขาม และอาการหลังยอกก็ช่วยผมได้ดี เพราะมันทำให้ผมหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลา
“ไม่สบายหรือครับ?” เขาเอ่ยทัก ตอนที่ผมนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานแล้ว นี่หน้าตาผมเหยเกจนเหมือนคนเป็นไข้เลยรึ? ผมกวาดตามองเขาซึ่งยืนอยู่อีกรอบ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่มีโต๊ะทำงาน จึงต้องลำบากลุกขึ้นไปบอกอาจารีย์ให้หาโต๊ะทำงานมาเพิ่มอีกตัว พลางนึกอนาถตัวเอง ผมเพิ่งรับคนเข้ามาโดยไม่เตรียมตัวอะไรเลยก็คราวนี้แหละ ท่าทางผมจะล้าเกินไปเสียแล้ว
โต๊ะทำงานถูกยกเข้ามาหลังจากนั้นไม่นาน ผมนั่งมองนพรัตน์เข้าไปช่วยคนงานยกโต๊ะอย่างแข็งขัน เหมือนจะดูมีน้ำใจดี แต่ผมไม่รู้ว่าเพราะอยู่ต่อหน้าผมด้วยรึเปล่า
พอมีโต๊ะทำงานเพิ่มเข้ามาอีกตัว พร้อมด้วยผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง ห้องผมก็ดูเล็กลงไปถนัด แถมยังทำให้รู้สึกแปลกๆ ผมทำงานมาเกือบยี่สิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นมานั่งทำงานด้วย ขนาดเลขาฯส่วนตัวของผม ยังมีห้องแยกออกไปต่างหากเลย
“ผมอ่านประวัติการทำงานของคุณแล้ว ทำไมถึงได้เลือกมาทำที่บริษัทนี้ล่ะ?” ผมเริ่มต้นถามประวัติเขาใหม่ ทั้งๆ ที่ดูจะเป็นทำถามง่ายๆ แท้ๆ แต่ท่าทางเขากลับดูกระมิดกระเมี้ยนจนผมคิดว่าตัวเองถามผิด
“มีปัญหากับพี่ชายหรือ?” ผมถามต่อ เขาสั่นศีรษะ ในที่สุดก็ตอบออกมา “คือ ผมอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ บ้าง”
“ไม่ใช่ว่าพี่ชายส่งมาล้วงความลับหรือไง?” ผมลองแหย่ นพรัตน์รีบสั่นศีรษะ
“ผมไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอกครับ พี่ชายบอกผมว่าเรื่องทรัพยากรบุคคลเป็นความลับสำคัญของแต่ละบริษัท ห้ามแพร่งพรายให้คนอื่นรู้เด็ดขาด”
“อืม..ผมก็แน่ใจอยู่หรอกว่าคุณคงจะไม่ยอมบอกความลับของบริษัทพี่ชายให้ผมฟัง แต่จะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่เอาความลับของบริษัทผมไปบอกเขา”
“ผมไม่แลกอนาคตการทำงานของตัวเองกับเรื่องแบบนั้นหรอกครับ” เขาตอบชัดเจน แต่ผมยังคงกัดไม่ปล่อย
“คำพูดเฉยๆ ยืนยันอะไรไม่ได้หรอกนะ มีอะไรมายืนยันมากกว่านี้รึเปล่า?”
สีหน้าของคนถูกจี้เริ่มปรากฏเลือดฝาดขึ้นมา คงเริ่มโมโหนั่นแหละ แทนที่จะเรียกมาทำงาน ดันเรียกมาสอบสวนแทน แต่ผมทำงานด้านนี้มานานแล้ว จะรับผู้ช่วยทั้งที มันก็ต้องผ่านการทดสอบบ้างล่ะนะ จริงๆ แล้วบริษัทของพี่ชายเขากับบริษัทที่ผมทำอยู่ กิจการแทบจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย เรียกได้ว่าไม่ได้เป็นบริษัทคู่แข่ง ถึงเขาจะรู้เรื่องทรัพยากรบุคคลภายใน แล้วเอาไปบอกพี่ชาย ก็ใช่ว่าจะไดประโยชน์อะไรขึ้นมา ที่ผมอยากเห็นคือวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเขาต่างหาก
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะตรวจโทรศัพท์ผมก็ได้ หรือคุณจะให้ผมย้ายไปอยู่ด้วยก็ได้”
ผมอึ้งไปนิดหน่อยพอได้ยินว่าถึงขั้นจะย้ายมาอยู่ด้วย นพรัตน์รีบพูดต่อ “ผมไม่ได้ประชดนะครับ ผมพูดจริงๆ ผมอยากพิสูจน์ว่าผมจริงใจ”
“เอ่อ..” ผมกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้จะหัวเราะหรือว่าอะไรดี เจ้านี่เลือกวิธีแก้ปัญหาแบบนี้ จะบอกว่าโง่หรือฉลาดดีล่ะ แต่ก็เล่นเอาผมพูดไม่ออกไปเลยเหมือนกัน ผมโบกมือให้เขาหยุดและคิดว่าควรจะพอกับเรื่องนี้ได้แล้ว
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก ผมเตือนคุณไว้ก่อน คงรู้นะว่าถ้าถูกจับได้จะเป็นยังไง”
“ครับ ผมไม่ทำหรอก รับรองได้” นพรัตน์ตอบเสียงแข็งขัน แต่ยังไม่วายหน้าแดงหน่อยๆ เอาเถอะ หมอนี่อายุแค่ยี่สิบกว่าๆ นับแล้วเป็นลูกผมได้ด้วยซ้ำ ถึงจะทำงานเก่งยังไง ก็ยังเป็นเด็กอยู่ดีนั่นแหละ
ผมกวาดตามองเขาอีกรอบ ก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวผมจะพาคุณไปแนะนำให้รู้จักกับคนอื่นๆ “
เขามองผม แล้วกะพริบตาปริบๆ “แล้วคุณ.....”
ผมมองหน้าเขา และนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำตัวเอง “ผม ไพฑูรย์”
“ครับ คุณไพฑูรย์”
ผมยิ้มออกมานิดหน่อย รู้สึกพอใจที่เขาไม่พยายามเติมคำนำหน้าว่าพี่หรืออา หรือน้า เพราะผมรู้สึกขนลุกทุกทีเมื่อลูกน้องที่อายุน้อยกว่ามากๆ เรียกพี่ และถ้าเปลี่ยนเป็นเรียกน้าหรืออาก็รู้สึกว่าตัวเองดูแก่ ดีที่นพรัตน์พอจะรู้เรื่องบ้าง อย่างน้อยก็ไม่เหมือนใครคนหนึ่งที่เข้ามาทำงานวันแรกก็เรียกผมว่าลุง
“อ้อ...คุณเป็นเพื่อนกับคุณพชรสินะ” ผมพูดอย่างนึกได้ ไอ้นายพชรนี่แหละที่เริ่มต้นเรียกผมว่าลุง แล้วก็กลายเป็นชื่อเรียกลับหลังของผมไปทั้งบริษัท ผมยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย ก็แค่สายตายาวก่อนวัย อย่างอื่นผมก็ยังตึงดี ยกเว้นหูนะ นพรัตน์พยักหน้า และยิ้มตอบ
“เขาบอกผมว่าคุณชอบให้เรียกแบบนี้”
“อืม..” ผมคราง นายพชรคงหวังดีกับเพื่อนเหมือนกัน ถ้าแนะนำให้เรียกผมว่าลุงแบบที่ตัวเองเรียก ไม่แน่ว่าผมคงเตะโด่งเจ้านพรัตน์นี่ไปเลยก็ได้ ที่ผมรับนายพชรไว้ตอนนั้นเพราะประวัติงานของเขาตรงกับตำแหน่งที่ขาดพอดี แล้วก็เป็นตำแหน่งจำเป็น ส่วนนายนพรัตน์ ต่อให้ประวัติดีขนาดไหน ถ้าลองทำตัวแบบนายพชรล่ะก็ ผมจะตะเพิดออกไปเลย ก็ตำแหน่งผู้ช่วยผมมันไม่ได้จำเป็นอะไรเท่าไหร่เลยนี่
“ผมจะอธิบายงานของคุณให้ฟังคร่าวๆ ก่อนแล้วกัน เพราะนี่เป็นตำแหน่งใหม่ ผมไม่เคยรับผู้ช่วยมาก่อน”
“ครับ” นพรัตน์พยักหน้า ดูท่าทางเขาจะว่าง่ายกว่าเพื่อนที่ลาออกไปเยอะ ดีเหมือนกัน ผมไม่อยากได้ผู้ช่วยที่คอยขวางมือขวางเท้าตัวเองหรอก
ผมอธิบายงานที่คิดว่าน่าจะให้เขาช่วยได้ในขั้นแรกให้ฟังคร่าวๆ ระหว่างนั้นนพรัตน์พยักหน้าและเอ่ยปากถามบ้างในบางอย่างที่สงสัย ซึ่งก็ไม่ได้ขัดจังหวะการพูดของผม ทำให้ผมรู้สึกพอใจอยู่มากทีเดียว ในที่สุดผมก็ผุดลุกขึ้น เตรียมจะพาเขาไปแนะนำกับพนักงานคนอื่นๆ
“............”
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” นพรัตน์ถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นผมยืนนิ่ง ค้างอยู่ท่าเดิมด้วยใบหน้านิ่วกิ่ว ผมล่ะโมโหเอวกับหลังตัวเองจริงๆ ได้นั่งพักน่าจะดีขึ้น แต่กลายเป็นว่าพอลุกขึ้นกับแสดงอาการประท้วงอย่างออกนอกหน้า ท้ายที่สุดผมก็กลับลงไปนั่งเหมือนเดิม ได้ยินเสียงเขาถามขึ้นอีก
“เมื่อคืนนอนผิดท่าหรือ?”
ผมมองหน้าเขา และเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “เดี๋ยวผมบอกคุณอาจารีย์ให้พาคุณไปก็แล้วกัน”
เขามีท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็พยักหน้าในที่สุด “ได้ครับ”
-------------------------------------------