[เรื่องเบาๆ]Stair.ขยับรัก ข้ามขั้น : จบ P22 6/07/2554(รุ่นพ่อ?vsรุ่นลูก?)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเบาๆ]Stair.ขยับรัก ข้ามขั้น : จบ P22 6/07/2554(รุ่นพ่อ?vsรุ่นลูก?)  (อ่าน 384363 ครั้ง)

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
คุณไพฑูรย์น่ะจริงๆแล้วเป็นคนมีอารมณ์ขันนะ ดูเวลาที่เค้าเขินซีคะ เค้าเขินแล้วน่ารักจัง
เค้าทำให้คนอ่านได้ยิ้ม ได้หัวเราะ อารมณ์ดี รู้สึกชื่นมื่นไปกับเค้าด้วยแหละ(ยกเว้นลูกน้องเค้าจ้ะ 555)
เอาล่ะ นพมีโอกาสแน่ๆ ใจเย็นๆ คนวัยนี้ และก็อัพกว่านี้ เค้าคิดเยอะ เค้ารอบคอบ เพราะเค้าไม่อยากประมาทกับชีวิตน่ะ
(แต่เด็กรุ่นใหม่มักค่อนขอดว่าเชื่องช้า เรื่องมาก คิดมากไม่เข้าท่า ใช่ปะคะ)
 ก็แหม...ถ้าพลาดพลั้งไปในวัยนี้ มันเสียหายมากนะ ทั้งทางรูปธรรมนามธรรม (ในความรู้สึกของคุณไพฑูรย์เค้าน่ะ)

ฝากผ่านรีพลายนี้ถึงคุณyeyong ค่ะคงวัยเดียวกันถ้า คุณไพฑูรย์เรียกคุณyeyongว่าพี่ อิ อิ อิ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ลุงก็หยุดรอเด็กหน่อยสิ  :oni3:  เด็กมันจะได้รีบปีนขึ้นไปหา ยิ่งขึ้นไปสูงยิ่งหนาวนะ หาคนแก้หนาวเดินไปด้วยกันดีกว่านะลุง  :จุ๊บๆ:

ขอชมคนแต่งว่า ดำเนินเรื่องได้ดี ไม่เยิ่นเย้อ ไม่ค่อยมีคำผิด และลงเรื่องได้ยาวแถมสม่ำเสมอด้วย (ลงเรื่องแบบนี้คนแต่งคงเหนื่อยมาก)  ขอบคุณมากค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ kazhiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-2
คุณไพฑูรณ์ถ้าไม่หยุดรอ ก็เดินช้าๆลงหน่อย หรือ ช่วยนำทางคุณนพบ้างก็เห็นจะดีนะคะ
คุณนพเดินขึ้นบันไดมาเรื่อยๆก็อยากจะได้การนำทางบ้าง หรือ อยากรู้ว่ามีปลายทางสำหรับเขาอยู่จริง
เดินไปบนบันไดร่วมกันก็น่าจะดีนะคะ

ขอบคุณคนแต่งมากๆ คุณแต่งได้เก่งมากๆๆ  เนื้อหาดี วางเรื่องดี ภาษาดี ลงตัวทุกอย่าง ขอบคุณมากจริงๆค่ะ :pig4:

fOnfOn :D

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
จูบกันแล้ววววววววววววววว

คุณไพฑูรย์ก็ดูใจอ่อนลงเยอะแล้ว

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ อิสระ

  • ถ้า add ให้กอด,ถ้า give five ให้จุ๊บ,ถ้า ment ให้เบอร์ คิคิ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-8
    • https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-1433707443445407/?modal=admin_todo_tour
เข้าใจพี่ไพ :เฮ้อ:เรื่องของสัจธรรมเรื่องเวลานี่หลีกไม่พ้นจริงๆ
แต่ก็เชีร์ยน้องนพให้ก้าวบันไดตามพี่ไพให้ทัน
หรือไม่ก็สร้างบันไดตีคู่กันไปเลย :mc4:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
อัพยาวได้ใจมาก ๆ ค่ะ อ่านช่วงท้ายตอนแล้วแอบเครียด
อายุห่างกันมากเลย จนเราแอบกลัวมาม่าค่ะ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
อ่านตอนนี้แล้วรุ้สึกสะเทือนใจกับความรู้สึกของคุณไพฑูรย์
ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่ความไม่มั่นคงเพราะความต่างมันก็ยากจะหาอะไรมาเชื่อมต่อได้


แต่เค้ารักคุณไพฑูรย์มากๆ อยากให้มีคนคอยพยุง หนุนแล้วเดินตามไปจริงๆ ;___;

ออฟไลน์ mink2538

  • เว็บสำหรับคนพันธุ์ Y
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
สนุกมากค่า
มาต่อไวๆนะคะ
^^

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
เฮ้อ! ยี่สิบปีไม่น้อยเลย
คุณไพฑูรย์จะกล้าก้าวผ่านมันไปได้หรือเปล่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
นพรัตน์ตั้งใจแน่วแน่จริงๆ

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
 :-[


จูบกันแล้วววว


แต่มาจ๋อยเอาตอนหลังนี้แหล่ะ

เปิดใจเถอะๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
ดูเหมือนทุกคน/ทุกอย่างจะเป็นใจให้นพดีนะเนี่ย  :eiei1:
หวังแต่ว่าคุณลุงจะตัดสินใจดีๆนะ

dog

  • บุคคลทั่วไป
คุณไพฑูรย์บันไดแคบก็จริงแต่ว่า
เด็กน้อยเค้าแรงดีนะคะ เบียดไม่ได้ก็ให้เค้าอุ้มเดินไปด้วยกันเลยซิคะ
เค้าเต็มใจอุ้มคุณอยู่แล้วละ
หุหุ

Narutear

  • บุคคลทั่วไป
ละลาย...

คุณไพจะน่ารักไปไหนค่ะ? เริ่มอยากลงไปแย่งบ้าง

นพ อดและทนต่อไปนะ คุณไพอย่ายอมง่ายๆเด็ดขาด เดี๋ยวเด็กมันขาดประสบการณ์(ตี้อครั้งสุดท้ายใน)ชีวิต  o18

เพราะถ้าจีบติดคราวนี้ คงได้จอดไม่มีแจวต่อแล้ว หุๆๆ  :laugh:

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
ตอนท้าย อ่านแล้วเครียดเลย  o22

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
เพราะ น้องนพ เเกใช้ บันไดเลื่อนค่า

เลยตามมาเร็ว มาเเรง ได้ใจเต็มๆ

คริๆ

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
บันได ยิ่งสูงยิ่งแคบ  เข้าใจ  วัยต่างกัน 

โอกาศของน้องก็ยังมีอยู่เยอะ


ปล. ของคุณรุ่นพ่อ เป็น รุก ได้ไหมคะ  อิอิ

ออฟไลน์ milky way

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
นพทั้งน่ารัก น่าสงสาร
ทั้งเพื่อนๆ พี่ ก็สนับสนันทั้งนั้น
คุณไพทูรย์ ใจอ่อนเร็วๆเถอะ

LadyOneStar

  • บุคคลทั่วไป
ก็เข้าใจนะค่ะ ว่าอาจจะกลัวเพราะตัวเลขมันห่างเกินไป
แต่...ก็ขอให้เชื่อใจคุนนพบ้าง
แสดงออกขนาดนั้น...คงไม่โกหกหรอกค่ะ
นพ สู้ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
สวัสดีค่ะ

มาลงชื่อว่าเพิ่งได้อ่าน (เพิ่งเห็นอ่ะค่ะ)

เขียนได้ละเอียดและละเมียดมากๆ แถมยาวจุใจอีก ชอบนพรัตน์จัง น่ารัก และรักจริง ทำไมคุณไพฑูรย์ไม่ใจอ่อนซักทีน้า  :o12:

มุมมองของคุณไพฑูรย์เราก็เข้าใจนะ ตามประสาคนใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและจริงจัง

แต่ถ้าคุณไพฑูรย์จะละวางแล้วหันมาใช้ชีวิตให้คุ้มบ้าง

ก็จะพบว่าชีวิตนี้แสนสั้น อะไรที่เป็นความสุขได้ก็ควรรีบเก็บเกี่ยว

ชอบฉากที่คุณไพฑูรย์ช็อคตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนปล่อยมือพรายพโยมไป เพราะความรู้ตัวช้า

นึกถึงหนังเรื่อง my best friend wedding ตอนที่นางเอกรู้ว่าเพื่อนที่ตัวเองสนิทมาก แท้จริงคือคนที่ตัวเองรัก พอเค้าโทรมาบอกว่าจะแต่งงาน ถึงขั้นตกใจจนล้มทั้งยืนเลย จนเป็นที่มาของ quote ท้ายเรื่องที่เราประทับใจมาก

if you love someone you say it, you say it right then, out loud. Otherwise the moment just... pass you by

แต่คุณไพฑูรย์คงไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยใช่มั้ยจ๊ะ  o18 อีกอย่างพ่อนพรัตน์ก็ดูเอาจริง สู้ไม่ถอย คนอ่านก็ช่วยลุ้นด้วย

http://www.youtube.com/v/xaVLbk_3UeU


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บันไดขั้นที่8
   วันสิ้นปีใกล้มาแล้ว สำหรับผมหมายถึงช่วงวันอันยาวนานเพราะต้องตรวจสอบรายชื่อพนักงานและผลงานที่เสนอเข้ามาเพื่อขอรับโบนัสในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
   พงษ์โพยมมีนโยบายจ่ายโบนัสพนักงานทุกไตรมาส แต่ไตรมาสสุดท้ายจะจ่ายเยอะเป็นพิเศษ หน้าที่ของผมคือคัดกรองว่าใครเหมาะสมจะได้โบนัสก้อนใหญ่นี้กันคนละเท่าไหร่ ดังนั้นช่วงนี้ของทุกปี ผมถึงต้องนั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับกองหนังสือประเมินพฤติกรรม และกองหนังสือร้องเรียน ซึ่งเข้ามาทุกวี่ทุกวันเหมือนจะแข่งกันว่าใครกองใหญ่กว่า
   ปีนี้ดีหน่อยที่มีนพรัตน์เข้ามาช่วย ปีก่อนๆ ผมกับอาจารีย์ทำงานกันจบแทบจะขนหมอนขนที่นอนมาค้างที่บริษัท แต่อย่างว่า บริษัทเปิดมานาน ขยายกิจการตลอดเวลา จำนวนพนักงานก็เพิ่มขึ้นเหมือนเงาตามตัว
   ถึงปีนี้มีคนช่วยเพิ่มมาอีกคน ก็ยังแทบจะต้องหอบผ้าหอบผ่อนมานอนค้างหน้าโต๊ะทำงานอยู่ดี
   “ออกไปพักหน่อยดีไหมครับ?” นพรัตน์ที่เดินถือถ้วยกาแฟเข้ามาให้ผมทักขึ้น ผมนั่งงมอ่านกองหนังสือรายงานพฤติกรรมพวกนี้มาตั้งแต่ช่วงบ่าย อาหารเย็นยังต้องยกมาทานที่โต๊ะ หัวหน้าแผนกบางคนก็เขียนมาแถเสียไม่มี ผมว่าก่อนพิจารณาโบนัสลูกน้อง ผมจะพิจารณาตัดเงินเดือนหัวหน้าแผนกก่อนเลย
   ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ สี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ผมให้อาจารีย์กลับไปก่อน เพราะผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ มันอันตราย ตอนนี้เลยมีแต่ผมกับเจ้านพรัตน์อยู่โยงเฝ้ากองเอกสารกันสองคน
   “ขอตรวจแผนกนี้ให้เสร็จก่อนแล้วกัน” ผมว่า เขาพยักหน้า และขยับเก้าอี้มาช่วยจัดแยกกองจดหมายพวกนั้นออกเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ผมอ่านง่าย แล้วก็อ่านคัดกรองบางส่วนก่อน เราทำงานกันเงียบๆ ได้ยินแต่เสียงพลิกกระดาษ เสียงแก้วกาแฟกระทบกับจานรอง บางครั้งเงยหน้าขึ้นมาเพราะล้าจากการนั่งอ่านเอกสารติดกันนานๆ ก็เห็นเจ้านพรัตน์กำลังมองผมอยู่ พอเห็นผมเงยหน้า หมอนั่นก็ยิ้มออกมา ผมเลยต้องยิ้มตอบ
   งานน่ะเครียด เอกสารแต่ละหน้าไม่ใช่ว่าอ่านผ่านๆ แล้วเซ็นอนุมัติได้ ผมผจญกับกองเอกสารพวกนี้มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่ละปีเครียดพอๆ กัน พนักงานเปลี่ยนหน้าไปแต่พฤติกรรมวนเวียนซ้ำซาก เรียกว่าหน้าเปลี่ยน แต่พฤติกรรมแบบเดิมเป๊ะจริงๆ พงษ์โพยมรู้ดีกว่าใครๆ ว่างานผมโหดแค่ไหน ดังนั้นพอจบช่วงนี้ เขาจะให้ผมลาพักร้อนยาวจนถึงปีใหม่ เรียกว่าให้พักผ่อนกันเต็มที่หลังฝ่าศึกมานับสัปดาห์เลยทีเดียว
   แต่ที่ผมเร่งทำงานไม่ได้หวังจะได้วันหยุด ผมทำเพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ยังไงก็ต้องทำให้เสร็จตามกำหนด
   ทุกปีผมจะหน้านิ่วคิ้วขมวด นั่งอ่านเอกสารเงียบๆ ให้บรรยากาศเหมือนภูเขาไฟใกล้ระเบิด ขนาดอาจารีย์ที่ไม่ต้องมาทนนั่งแยกเอกสารในห้องให้ผม ยังไม่อยากจะแวะเข้ามาเท่าไหร่เลย แต่ปีนี้ดูจะแปลกไปสักหน่อย ผมนั่งเงียบๆ ตรวจเอกสารหน้าดำคร่ำเครียดเหมือนเดิม กระนั้นบรรยากาศกลับไม่ตึงเครียดเท่าไหร่เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ
   คงเพราะไอ้พวกของประดับทั้งนำตกเทียมทั้งต้นกระบองเพชรแถมแมวอีกสองคู่ ที่ตั้งอยู่พอให้ผมได้คลายสายตาพวกนี้ล่ะมั้ง แล้วก็....
   “คุณไพฑูรย์ ผ้าเย็นไหมครับ” นพรัตน์เอ่ยถาม ผมพยักหน้า เพราะเริ่มตื้อไปทุกทีๆ กาแฟก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก เขาเดินออกไปจากห้อง สักพักก็กลับมาพร้อมผ้าขนหนูห่อน้ำแข็ง จากนั้นก็ค่อยๆ เช็ดต้นคอของผม
   พอมีเขาอยู่ด้วยแล้ว ถึงงานจะเท่าเดิม แต่ผมรู้สึกเครียดน้อยกว่าปีที่ผ่านๆ มาเยอะเลย
   คงเพราะมีเขาอยู่ใกล้ๆ คอยเป็นเพื่อน คอยถามนั่นถามนี่ แล้วก็คอยยิ้มให้กำลังใจผมตลอดเวลา
   เขาเป็นเด็กดีจริงๆ
   สุดท้ายผมก็ไม่ได้ออกไปพัก พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที นาฬิกาก็กลายเป็นเลขศูนย์แล้ว นพรัตน์นั่งอยู่ข้างๆ ผม ตาเริ่มแดงเพราะอยู่ดึกมาหลายวัน ผมเองก็ปวดกระบอกตาเต็มที หลังจากกวาดตามองกองเอกสาร นั่งประเมินเงียบๆ อยู่สักพัก ผมก็ชวนเขากลับ
----------------------------------------------
   นพรัตน์พยายามชวนผมคุยแบบมึนๆ งงๆ ผมก็ตอบเขาไปอย่างงงๆ ง่วงๆ เหมือนกัน ถึงอย่างนั้นเราก็ยังหัวเราะกันออกระหว่างอยู่ในรถ กลับมาถึงบ้านก็เกือบตีหนึ่ง ผมถอดเข็มขัดนิรภัย แล้วหันไปหานพรัตน์
   “คุณนพ ถ้าขับรถกลับไม่ไหวน่ะ คืนนี้นอนที่นี่ก่อนก็ได้นะ”
   เพราะเขาขับรถไปรับไปส่งผมดึกแบบนี้มาได้ครึ่งสัปดาห์แล้ว ผมไม่รู้บ้านเขาอยู่ไกลจากบ้านผมมากรึเปล่า แต่ดึกขนาดนี้แถมหน้าตาก็ดูง่วงจนเห็นได้ชัด ไม่ควรจะปล่อยให้ขับรถกลับคนเดียว นพรัตน์มองหน้าผมงงๆ แต่ก็พยักหน้า ผมเลยให้เขาเอารถเข้ามาจอดในบ้าน อาบน้ำล้างตัว แต่เขาไม่ได้เตรียมชุดนอนมาค้าง ผมเลยต้องหาเสื้อตัวใหญ่แล้วก็กางเกงขาสั้นที่เป็นยางยืดให้เขาใส่ ใส่แล้วเหมือนผู้ใหญ่ใส่เสื้อเด็กไม่มีผิด นี่ขนาดเป็นเสื้อกับกางเกงตัวใหญ่ที่สุดในบ้านที่ผมมีแล้วนะ
   “สงสัยผมต้องเอาเสื้อผ้ามาทิ้งไว้ที่บ้านคุณบ้าง” เขาว่า หลังจากพยายามขยับเสื้อผ้าอย่างเคอะๆ เขินๆ เพราะมันก็ดูตลกจริงๆ ผมพยักหน้า
   “เอามาทิ้งไว้บ้างก็ได้ เผื่อฉุกเฉิน”
   “อือ เผื่อมีใครมาบ้านคุณ จะได้รู้ว่ามีผมอยู่ด้วย”
   ผมเลยดีดมือเขาไปทีหนึ่ง นพรัตน์หัวเราะ จากนั้นก็เดินไปเตรียมที่นอนตรงโซฟา ผมยืนมองเขาเตรียมที่นอนอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เอ่ยปากขึ้น
   “คุณนพ คุณไปนอนเตียงข้างบนก็ได้ พรุ่งนี้จะได้ไม่ตื่นสาย”
   ผมรู้ว่าโซฟานอนไม่สบายหรอก ถึงจะเป็นแบบปรับเป็นเตียงได้ก็เถอะ มันก็แคบอยู่ดีสำหรับคนตัวขนาดเขา ปกติที่เขานอนมันเป็นช่วงวันศุกร์เสาร์ แล้วก็ไม่ได้กลับดึกขนาดนี้
   นพรัตน์มองหน้าผม แล้วหน้าแดงขึ้นมา นี่ขนาดง่วงๆ นะนี่
   “นอนเฉยๆ นะคุณนพ ผมไม่ให้ทำอะไรมากกว่านั้น แค่นอนอย่างเดียว” ผมขู่ นพรัตน์รีบพยักหน้า แล้วหอบหมอนเดินตามผมขึ้นชั้นบน
   เจ้านพรัตน์เดินเข้ามาในห้องนอนผมแล้วจู่ๆ ก็ยิ้ม ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างงงๆ เขาเลยพูดออกมา “ตุ๊กตาแมวน่ารักรึเปล่าครับ”
   นั่นแหละผมถึงได้รู้ว่าเขากำลังมองตุ๊กตาเรซิ่นแมวที่ให้ผมไว้เมื่อตอนเข้ามาทำงานแรกๆ ซึ่งตั้งอยู่บนหัวเตียง ผมพยักหน้า “น่ารักดี แต่ผมยังไม่มีเวลาจัดตู้โชว์ข้างล่างเลย จะได้เอาไปวางอวดคนอื่น”
   “ไม่ต้องหรอก ไว้ตรงนี้แหละครับดีแล้ว ผมอยากให้คุณมองแค่คนเดียว”
   ผมเกิดสำลักน้ำลายขึ้นมากะทันหัน เลยรีบบอกให้เขานอน เพราะดึกมากแล้ว เจ้านพรัตน์เดินอย่างว่าง่ายไปที่อีกฟากหนึ่งของเตียง วางหมอนปุลงไป รู้ด้วยนะว่าควรจะนอนให้ชิดริม จะได้ไม่มาเบียดผม
   “ราตรีสวัสดิ์นะครับ” เขาว่า ขณะล้มตัวลงนอน ผมพยักหน้า ปิดไฟในห้อง แล้วเดินมาที่เตียง นั่งอยู่พักหนึ่ง แล้วถึงได้ล้มตัวลงนอนบ้าง
   “คุณนพ..”
   “ครับ?”
   “ขยับมาอีกก็ได้นะ เดี๋ยวจะตกเตียง”
   เตียงผมจริงๆ จะว่ากว้างก็ไม่กว้างหรอก แต่ก็พอนอนสองคนได้ เจ้านพรัตน์ขยับเข้า ผมเองก็กลัวจะตกเตียง เลยขยับเข้าไปบ้าง ไหล่ของเรากระทบกันเบาๆ ผมเลยขยับมือออกไปหน่อยหนึ่ง จะได้นอนสบายขึ้น แต่บังเอิญไปแตะกับมือเจ้านพรัตน์พอดี หมอนั่นก็เลยจับมือผมไว้หลวมๆ แหม... ไม่ได้ไปเดินที่ไหนสักหน่อย ไม่ต้องกลัวผมหลงทางกระทั่งในฝันหรอก
   แต่แปลก คืนนั้นผมไม่ฝันอะไรเลย
   ผมหลับสนิท โดยมีเขานอนจับมืออยู่ข้างๆ
------------------------------------------------------------
   หนึ่งสัปดาห์แห่งการพิจารณาโบนัสผ่านไปอย่างทรมาทรกรรมสิ้นดี ผมคิดว่าตัวเองคงใกล้ได้ย้ายไปที่สวนสัตว์เชียงใหม่ เผื่อรัฐบาลจีนขอตัวหมีแพนด้าคืนก่อนกำหนด คงจะพอเอาผมไปทดแทนได้บ้างล่ะมั้ง
   ไม่ได้ทดแทนตรงความน่ารักนะ ทดแทนเรื่องเบ้าตาดำๆ ต่างหาก
   วันนี้ผมงดดื่มกาแฟ เพราะกลัวคาเฟอีนเกินในกระแสเลือดจนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบปีที่แล้ว ดังนั้น พอตกบ่ายก็แทบจะเอาหัวโหม่งโต๊ะ เพราะง่วงสิ้นดี
   เอาน่า อย่างน้อยผมก็พิจารณาเรื่องโบนัสพวกนี้เสร็จทันกำหนดล่ะ
   ผมเค้นพลังเฮือกสุดท้ายเขียนหนังสือพิจารณาโบนัสให้กับอาจารีย์และนพรัตน์ แต่ทำงานกับผม อย่าคิดว่าจะได้โบนัสกันง่ายๆ ผมนั่งเขียนรายงานความประพฤติของอาจารีย์ ก่อนจะเขียนจำนวนเงินโบนัสไว้ด้านหลัง แน่นอนว่าผมทำสำเนาหนังสือพวกนี้เอาไว้ด้วย ถ้าไม่พอใจก็เอาไปดูได้เลย จะได้รู้ว่าพฤติกรรมที่ผ่านมามันสมควรจะได้เท่าไหร่กันแน่
   เอาล่ะ สามเดือนนี้อาจารีย์ทำงานดีพอสมควร ถึงจะพลาดมากกว่าไตรมาสที่แล้วอยู่สักหน่อย แต่รวมๆ ในรอบปีที่ผ่านมาก็ถือว่าดีกว่าปีที่แล้ว ผมให้โบนัสเพิ่มก็แล้วกัน
   ผมเขียนจบก็เกือบสัปหงก จนเจ้านพรัตน์ที่นั่งจัดกองหนังสือขอโบนัสที่ผ่านการพิจารณาแล้วเพื่อส่งให้คณะผู้บริหารอ่านกันอีกรอบหนึ่งหันมาทักผม
   “ไหวรึเปล่าครับ?”
   “อือ” ผมส่งเสียงงึมงำ พยายามจะทำว่ากำลังตื่นเต็มที่ แต่หนังตาจะปิดอยู่มะรอมมะร่อ พอแก่ตัวแล้วให้อดตาหลับขับตานอนแบบนี้นานๆ ร่างกายมันก็ไม่สู้เสียแล้ว สมัยก่อนตอนเปิดบริษัทใหม่ๆ ผมไม่นอนสามวันยังไม่ออกอาการขนาดนี้เลย นี่ขนาดนอนก็นอนแล้ว ผู้ช่วยก็มีแล้ว ตายังจะปิดเสียให้ได้
   เวลานี่มันทำร้ายคนจริงๆ
   แต่ผมยังเหลือต้องพิจารณาโบนัสเจ้านพรัตน์อยู่ ผมนั่งเอาปากกาจิ้มๆ กระดาษ พยายามนึกว่าเขามีอะไรควรจะพิจารณาเพื่อให้โบนัสบ้าง แต่นึกไปไม่เท่าไหร่ หัวก็จะหล่นไปโขกกับโต๊ะทุกที ท่าทางของผมคงทุเรศทุรังเต็มที เจ้านพรัตน์เลยต้องเดินมาถาม “ไม่ไหวก็พักก่อนเถอะครับ”
   ผมสั่นศีรษะ พยายามจะสู้รบกับหนังตาที่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่อย่างสุดกำลังความสามารถ พอเห็นว่าถ้าไม่ใช้ตัวช่วยคงไม่ไหว เลยหันไปถามหาผ้าเย็นกับเขา นพรัตน์กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปหาผ้าเย็นนอกห้อง ขณะที่ผมต้องเอายาดมมานวดขมับ ปลุกปลอบตัวเองให้ทนเขียนหนังสือจ่ายโบนัสฉบับสุดท้ายให้เสร็จก่อนจะจอดเพราะอาการง่วง
   พอได้ผ้าเย็นมาช่วย ผมเลยพอมีแรงเขียนพฤติกรรมของเจ้านพรัตน์ต่อ ตัดเรื่องส่วนตัวที่ไปรับไปส่งผมบวกเรื่องอื่นๆ ออกไปก่อนเลย เหลือแต่เรื่องที่ทำงาน อืม... เขาก็ทำงานพอใช้ได้ ถ้าเทียบกับคนวัยเดียวกัน แต่ผมไม่คิดว่าอายุจะเป็นข้ออ้างได้ การทำงานควรจะมีมาตรฐานเท่าๆ กันหมด ดังนั้นโบนัสของเขาก็ปกติทั่วไป ไม่พิเศษไปกว่าคนอื่น
   “คุณไพฑูรย์ครับ พักก่อนเถอะครับ” นพรัตน์พูดขึ้นอีก โถ...ผมใกล้จะเขียนหนังสือขอโบนัสให้เขาเสร็จแล้วเชียว แต่ด้วยอาการง่วงอย่างหนัก ผมพูดไม่ออกหรอก ได้แต่โบกมือให้เขาเลิกถามเสียที ถามมากๆ เดี๋ยวก็ตัดโบนัสเสียหรอก
   กว่าจะเขียนจบ ผมว่านายนพรัตน์ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะคงลุ้นจนเหนื่อย ว่าหัวผมจะโขกโต๊ะก่อน หรือผมจะเขียนหนังสือจบก่อน ผมเขียนจบก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แทบจะหลับไปทั้งอย่างนั้น
   “ผมไปส่งที่บ้านนะครับ” นพรัตน์เดินเข้ามา ผมพยักหน้า แล้วคว้ามือของเขาที่ยื่นมาให้เพื่อทรงตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินสะลึมสะลือเกาะไหล่เจ้านพรัตน์ไปที่รถ พอขึ้นรถแล้วผมก็หลับน็อกไปเลย มารู้สึกตัวอีกทีตอนถึงบ้านนั่นแหละ
   “คุณไพฑูรย์ เข้าบ้านก่อนนะครับ”
   ผมลืมตาขึ้นมองเขาแบบยากลำบากเต็มที ก่อนจะพยักหน้า แต่ขยับตัวไม่ไหวเอาเสียเลย ความง่วงจู่โจมร่างกายผมอย่างหนัก ผมเลยพยายามจะยกมือขึ้น บอกให้เขาช่วยเอาผมออกไปที นพรัตน์หัวไวอยู่แล้ว พอผมทำท่าแบบนั้นก็รีบเข้ามาประคองผมออกไปจากรถ เออ แบบนี้ค่อยคุ้มกับที่จ้างมาเป็นผู้ช่วยหน่อย
   นพรัตน์ประคองผมขึ้นไปถึงเตียงนอนที่อยู่ชั้นบน ตอนแรกเหมือนเขาอยากจะให้ผมอาบน้ำอาบท่าก่อน แต่ร่างกายผมย่ำแย่เต็มที พอถึงเตียงนอนก็ไม่อยากจะลุกแล้ว เขาเลยต้องถอดเสื้อนอกให้ผม ดึงเนกไทออก ปลดกระดุมเสื้อออกบางส่วน แล้วก็เอาเข็มขัดไปให้พ้นเอวผมเสียที
   เฮ้อ แบบนี้ค่อยสบายตัวหน่อย
   แล้วผมก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ขนาดง่วงจนแทบหลับกลางอากาศ ผมยังอุตส่าห์ฝันอีก ฝันว่าใครบางคนก้มลงเหนือตัวผม จูบหน้าผาก จูบปลายจมูก จูบแก้มผมเบาๆ จากนั้นก็ผละออกไป เออ ฝันแปลกดีแท้ หลังจากนั้นผมก็หลับสนิท จำอะไรไม่ได้อีกเลย
--------------------------------------
   ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าด้านนอกสว่างจ้าแล้ว ลุกขึ้นมานั่งสะลึมสะลืออยู่ได้สักพักถึงเห็นว่ายังสวมชุดเดิมอยู่ จากนั้นผมถึงได้นึกจะหันไปมองนาฬิกา สิบเอ็ดโมงเข้าไปแล้ว จำได้ว่าเมื่อวานออกจากบริษัทสักสามสี่โมงเห็นจะได้ นี่ผมหลับลืมโลกไปเป็นสิบชั่วโมงเลยหรือนี่ เอาน่ะ ยังดีกว่าปีที่แล้วที่พอจัดการงานจบก็เข้าโรงพยาบาลล่ะ
   ผมตื่นขึ้นมาก็หิวท้องกิ่ว นึกสงสัยว่าตอนนอนใช้พลังงานอะไรนักหนา เลยลุกออกจากเตียงไปอาบน้ำแปรงฟัน กะว่าเดี๋ยวจะออกไปหาอะไรรองท้องเสียหน่อย
   ขณะที่กำลังสวมชั้นใน ประตูก็ถูกเปิดเข้ามา
   “?!”
   ผมหันไปจ้องเขม็ง เจ้านพรัตน์พอเห็นว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ก็หน้าแดงวาบ แล้วรีบปิดประตูทันที เออ จะเปิดก็เปิดเข้ามา ไม่รู้จักเคาะอีกแล้ว เกิดเป็นตากุ้งยิงล่ะผมไม่รับผิดชอบหรอกนะ
   ผมสวมเสื้อผ้าเสร็จ ก็ค่อยออกมาเปิดประตู เห็นเจ้านพรัตน์ยืนหน้าแดงเป็นแตงโมอยู่หน้าห้อง พอเห็นหน้าผมก็รีบแก้ตัวเป็นพัลวัน
   “ผมคิดว่าคุณหลับอยู่ ก็เลย...”
   “ก็เลยไม่เคาะประตู”
   “ครับ”
   เชื่อเลย ผมน่ะควรจะอายหน้าแดงที่ถูกมองตอนกำลังใส่ชั้นในแท้ๆ แต่หมอนี่ดันทำอย่างกับว่าตัวเองกำลังแก้ผ้าอยู่ แล้วผมเปิดเข้าไปเจองั้นแหละ อะไรของเขานะ
   “แล้วจะขึ้นมาทำไม” ผมถามต่อ
   “ก็ว่าจะมาเรียกคุณลงไปทานข้าว เห็นว่าใกล้เที่ยงแล้วน่ะครับ”
   “อ้อ” ผมค่อยมานึกได้ว่าเมื่อวานให้เจ้านพรัตน์มาส่งที่บ้าน เจ้านี่ก็บริการดีส่งถึงหน้าเตียง แถมเช้ามาอุตส่าห์ปลุกผมทานข้าวอีก บริการดีเกินหน้าที่สมควรได้รับคำชมจริงๆ แต่ผมดันเป็นพวกที่นึกคำติได้ก่อนคำชมน่ะสิ
   “นี่กลับบ้านไปรอบหนึ่งแล้ว หรือว่าค้าง?” พอนึกไม่ออกว่าจะชมอะไร ผมเลยตั้งคำถามกับเขาต่อ
   “เมื่อคืนค้างครับ แต่เมื่อเช้าแวะกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อ”
   “อ้อ...” ผมพยายามไม่คิดว่าเมื่อคืนเขานอนที่ไหน คงจะโซฟาด้านล่างนั่นแหละ “แล้วทานอะไรรึยัง”
   “ข้าวเช้าทานแล้วครับ”
   “อืม... งั้นเดี๋ยวออกไปหาข้าวเที่ยงทาน” ผมว่า รู้สึกท้องไส้โครกครากเต็มที นพรัตน์สั่นศีรษะ “ไม่ต้องออกไปหรอกครับ แดดร้อน ผมเตรียมอาหารเที่ยงไว้แล้วล่ะ?”
   ผมเลิกคิ้ว มองเขาอย่างงงๆ นพรัตน์มองผมแล้วยิ้ม “ลงไปทานกันเถอะครับ กำลังร้อนๆ เลย”
--------------------------------------
   บนโต๊ะมีกับข้าวอยู่สามอย่าง ผัดผักรวม ต้มจืด แล้วก็ปลาทอด กำลังร้อนๆ กลิ่นงี้ฉุยมาเชียว พอได้กลิ่นแล้วกระเพาะผมก็แทบเต้นระบำได้ นพรัตน์จัดแจงตักข้าวสวยในหม้อให้ผม ที่ยังมีควันกรุ่นๆ ท่าทางผมจะหิวจัดเพราะใช้พลังงานไปกับการนอนจริงๆ พอเห็นกับข้าวตรงหน้า กับข้าวสวยร้อนๆ ตรงหน้า ก็ก้มหน้าก้มตาทานโดยลืมจุกจิกเรื่องร้านที่ไปซื้อเสียสนิท
   นพรัตน์ทานไป นั่งมองผมไป ราวกับว่ากระเพาะติดกันกับผม แต่ผมกำลังหิวหน้ามืด ไม่มีเวลาตั้งคำถามแขวะเขาหรอก รอจนทานหมดจานนั่นแหละ ถึงได้หันไปถาม
   “คุณนพ ซื้อกับข้าวที่ไหนน่ะ?”
   “อร่อยรึเปล่าล่ะครับ”
   “อือ”
   “ผมทำเอง”
   “?”
   “ผมพูดจริงๆ นะ คุณอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
   สงสัยผมคงทำหน้าเหมือนเห็นฮิปโปกินไดโนเสาร์อยู่ล่ะมั้ง “ทำเองจริงๆ รึ?”
   “หลักฐานมีนะครับ กองเต็มครัวยังไม่ได้ล้างเลย” เจ้านพรัตน์ว่า คราวนี้ผมยอมเชื่อ เพราะขี้เกียจเดินเข้าไปดูสภาพครัว กลัวจะเป็นลมก่อน
   ผมอึ้งไปสักพัก อาจจะเพราะหิวเลยหน้ามืดกินอาหารฝีมือเขาเข้าไปได้ แต่กับข้าวเมื่อครู่ก็คงอร่อยจริงๆ นั่นแหละ เพราะคนอย่างผม ต่อให้หิวหน้ามืดขนาดไหน ก็ไม่มีทางชมอาหารที่ไม่ถูกปากออกมาเด็ดขาด ให้นกออกลูกเป็นกิ้งก่ายังง่ายว่าให้ผมชมใครเลย
   “ไปหัดมาจากไหนล่ะ?” ผมถามต่อ เจ้านพรัตน์ที่ไม่เอาอ่าวสุดๆ เรื่องทำอาหาร จู่ๆ ก็มาทำกับข้าวให้ผมที่สุดแสนจะเรื่องมากแทบจะหาตัวจับยากสุดๆ ทั้งโลกมนุษย์ สวรรค์ บาดาลทาน มันน่าแปลกใจน้อยเสียเมื่อไหร่ เขาเอาเวลาที่ไหนไปเรียนกันนะ
   “ดูมาจากคุณนั่นแหละครับ” นพรัตน์ตอบยิ้มๆ “คุณขยันสอนผม แต่ผมก็ยังไม่เคยลองทำให้คุณทานสักที วันนี้เลยลองดู ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะอร่อยขนาดนี้หรอก”
   ผมชักนึกหวั่นใจ อีกสองชั่วโมงท้องผมจะเสียไหมนี่ นพรัตน์ยิ้มกระมิดกระเมี้ยน เอาอีกล่ะ ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักแอะ ทำท่าแบบนี้อีกแล้ว อยากถูกถีบมากนักหรือไงนี่
   “ผมเข้าใจความรู้สึกคุณล่ะ เวลาทำอาหารให้ผมทาน คุณก็มีความสุขเหมือนกันสินะ”
   ผมปวดหัวเพราะความไม่เอาอ่าวเวลาช่วยงานครัวของเขาต่างหากเล่า! แต่เห็นว่ารอบนี้เขาพยายามได้ดี ผมจะชมเขาสักหน่อยแล้วกัน
   “ทำอาหารได้แบบนี้ รับรองหาแฟนไม่ยาก เชื่อผม”
   “จริงเหรอ?”
   เอาล่ะสิ ผมพูดไม่คิดอีกแล้ว แต่อย่าหวังว่ารอบนี้จะได้ตอกผม ผมมั่นใจว่าอ้าปากได้เร็วกว่าเขาแน่นอน
 “เออ แต่คนแก่กว่าเขาทำอาหารเก่งอยู่แล้ว อย่าไปหวังเสียให้ยากเลย”
   พูดไปอยากจะสำลักน้ำลายตัวเอง ผมเหลือบมองนายนพรัตน์ คิดว่าเขาคงจะสำนึกตัวบ้าง แต่ก็เปล่าเลย หมอนี่ยิ้มอีกแล้ว ชอบขบปากแล้วยิ้มจริงๆ ให้ตายสิ
   “อือ คุณทำอาหารอร่อย ผมชอบทานอาหารฝีมือคุณนะ เย็นนี้ไปซื้อมาทำกันเถอะ”
   ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องจริงๆ ผมนั่งขบฟันกึกๆ หาจังหวะตอบโต้ เพิ่งพ้นมรสุมงานมา ก็ต้องมาเค้นสมองสู้รบกับเจ้าเด็กรุ่นลูกนี่อีกแล้ว มีไอ้เรื่องพวกนี้มากระตุ้นสมองได้แทบตลอดเวลา คนอย่างผมคงบอกลาโรคอัลไซเมอร์ได้ ผมควรภูมิใจนะเนี่ย
   “คุณนพ คุณทำอะไรในครัวผมพังบ้างรึเปล่า?” ผมว่าสู้กับเขาเรื่องเดิมมันเสียเปรียบ ผมเปิดเวทีใหม่ที่ผมได้เปรียบดีกว่า นพรัตน์รีบสั่นศีรษะ “ไม่มีนะ ไม่เชื่อไปดูเลยครับ”
   คิดจะท้าผมยังเร็วไปอีกสิบปี ผมมันสุดยอดนักจับผิด มาท้ากันแบบนี้ขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ ผมหมายหมั้นปั้นมือจะเอาคืนเขามานานแล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้น เดินไปที่ครัวทันที
   โอ้แม่จ้าว บอกผมที นี่ครัวหรือสนามรบ!!
   ผมลมแทบจับ เข่าอ่อนกะทันหันจนต้องเอามือจับกรอบประตู เจ้านพรัตน์ทำอะไรกับบ้านผมเนี่ย ทั้งหม้อ จาน เขียง มีด เศษผัก สารพัดจะเลอะเทอะ ผมหันกลับมามองเจ้าของเรื่องที่ตอนนี้ยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างๆ
   “ไม่มีอะไรเสียจริงๆ นะครับ ผมกะว่าทานให้เสร็จก่อน แล้วค่อยล้างทีเดียวพร้อมจาน”
   ผมหันกลับไปมองครัวอีกรอบ ไอ้ตรงที่เป็นอ่างล้างจานมันยังมีที่ว่างพอจะวางอย่างอื่นลงไปเพิ่มโดยไม่ถล่มลงมาได้อีกหรือ
   “คุณไพฑูรย์ไปนั่งเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการให้” นพรัตน์ว่าและรีบดึงตัวผมกลับเข้าไปในบ้าน สงสัยจะกลัวผมตวาดแว๊ดออกมา ไม่ก็กลัวผมเส้นเลือดแตกเพราะความตกใจ
   ผมหันมามองเขา ไอ้ตกใจก็ตกใจ อึ้งก็อึ้งอยู่หรอก แต่จะโกรธเลยก็ใช่ที่ เขาอุตส่าห์พยายามทำกับข้าวให้ผมทาน ผมก็รู้อยู่แล้วว่านายนพรัตน์ไม่เอาอ่าวเรื่องนี้ ผมว่าเขาทำอาหารออกมาให้ผมกินได้ก็มหัศจรรย์มากแล้วล่ะ ส่วนเรื่องครัว.....
   เอาน่ะ ค่อยๆ ล้างเดี๋ยวก็สวยสะอาดเหมือนเดิม
   “ไม่เป็นไร ช่วยกันล้างดีกว่า” ผมบอกเขาก่อนเขาจะอุ้มผมมานั่ง นพรัตน์ทำหน้าเกรงอกเกรงใจเช่นเคย “ไม่เป็นไรหรอกครับ ลำบากคุณเปล่าๆ “
   “ผมช่วยน่ะถูกแล้ว คุณจะได้ไม่แอบทำลายหลักฐานว่าทำอะไรพังบ้าง”
   นพรัตน์หัวเราะแหะๆ ผมเลยเดินเข้าไปในครัว มองหาไม้กวาดเพื่อจัดการกับพวกเศษผักที่ร่วงอยู่ตามพื้น ขณะที่นพรัตน์ไปหยิบถุงมือยางมาใส่ เตรียมจะล้างใหญ่อ่างล้างจาน
   การลงมือถล่มครัวของนพรัตน์ทำได้ผมมีโอกาสได้ล้างครัวใหม่ หลังจากไม่ได้ล้างใหญ่มานานแล้วเหมือนกัน เราง่วนกันอยู่จนเกือบบ่าย ทุกอย่างถึงกลับมาสะอาดเอี่ยม
   ผมยืนชื่นชมครัวที่เหมือนได้ใหม่อยู่พักหนึ่ง แล้วถึงเดินมาล้างหน้าล้างตา พอหันมาอีกทีก็เห็นเจ้านพรัตน์ยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่
   “มีอะไรอีกล่ะ?” ผมถาม ระแวงว่าเขาจะยิงคำพูดที่ทำให้ผมอ้าปากไม่ออกอีกรึเปล่า
   “ขอปลาสเตอร์หน่อยได้ไหมครับ?”
   “โดนจานบาดหรือไง”
   “เปล่าครับ โดนมีดบาด”
   “ตอนไหนเนี่ย?”
   “ตอนทำกับข้าวน่ะครับ”
   “แล้วทำไมไม่รีบบอก” ผมล่ะปวดหัวจริงๆ สรุปว่าเขาโดนมีดบาด แล้วทนทำกับข้าวจนเสร็จ จากนั้นช่วยผมล้างนั่นล้างนี่ แล้วเพิ่งมาขอปลาสเตอร์ เชื่อเลยคนเรา ผมเดินเข้าไปหาเขา
   “ไหน ขอผมดูหน่อย”
   นพรัตน์ยื่นมือซ้ายออกมา ผมเห็นเลือดซึมๆ อยู่ที่นิ้วชี้ เลยจับเขาเข้าห้องน้ำ ล้างทั้งแผลล้างทั้งมือ ฟอกสบู่จนสะอาด แล้วเดินไปหยิบกล่องยาที่อยู่ในตู้ใกล้ประตูครัวออกมา
   “เอาล่ะ นั่งๆ เดี๋ยวผมทำแผลให้”
   นพรัตน์นั่งลงตรงเก้าอี้โต๊ะทานข้าว ยื่นมือมาให้ผม โชคดีที่มีดคม แผลเลยเรียบ ผมว่าสักวันสองวันก็น่าจะหาย ไม่ลึกไม่ยาวเท่าไหร่ ผมหยอดยาให้เขาแล้วปิดพลาสเตอร์ จากนั้นก็ตบเบาๆ “หายซะนะ เพี้ยง”
   นพรัตน์หัวเราะ แหม... ผมรึก็อยากทำตัวเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ว่ามนต์ให้เด็กๆ มันบ้าง ทำมาหัวเราะอีก เห็นเป็นเรื่องตลกไปได้
   “คุณไพฑูรย์..”
   เออ เขาน่ะคนโดนมีดบาด ส่วนผมน่ะคนทำแผล ทำเสร็จแล้วไอ้คนโดนมีดบาดดันยุดมือคนทำแผลเอาไว้ คิดจะให้ผมติดปลาสเตอร์เป็นเพื่อนหรือไง คนอย่างผมไม่ซุ่มซ่ามขนาดทำมีดบาดมือตัวเองหรอกนะ
   “ผมอยากได้โบนัส”
   แน่ะ ทำมาขอโบนัส ทำหน้าอ้อนกว่านี้ก็ไม่ขึ้นให้แล้วล่ะ ผลงานแค่ไหนให้แค่นั้น ตามมาดูแลถึงบ้านก็ไม่ช่วยหรอกนะ
   “ผมทำเรื่องไปแล้ว คุณได้พอสมควรแล้วล่ะ” ผมตอบ เขาสั่นศีรษะ
   “เปล่า ผมไม่ได้หมายถึงโบนัสที่บริษัท ผมหมายถึงโบนัสที่คุณจะให้ผมน่ะ”
   เฮ้ย นี่ผมต้องให้โบนัสเขาด้วยหรือ ผมเป็นเจ้านายเขาจริง แต่ไม่ใช่นายจ้างเขานะ
   “ผมไม่เคยบอกว่าจะให้โบนัสส่วนตัวกับคุณนะ” ผมว่า แต่จริงๆ ผมก็คิดว่าน่าจะให้เขาบ้าง เล็กๆ น้อยๆ กับการที่เขาช่วยเหลือดูแลผมอย่างดีมาหลายเดือน แต่ขอผมหาคำพูดดีๆ ที่มันดูไม่น่าเกลียดให้ได้ก่อน

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “คุณไม่ได้พูดหรอก แต่ผมอยากขอ”
   อ่อ... แล้วก็ไม่บอกแต่แรก ปล่อยให้ผมนึกสงสัยอยู่ได้ว่าเคยพูดเอาไว้ตอนไหน
   “จะเอาเท่าไหร่ล่ะ?” ถึงเวลาผมทำตัวเป็นเจ้าสัวใจป้ำ เขาดูแลผมนอกเวลางานมานาน สมควรที่ผมจะเอาเงินส่วนตัวจ่ายเป็นโบนัสให้กับเขา แบบนี้ยุติธรรมดี รับรองไม่มีใครกล้าติผมแน่
   เจ้านพรัตน์ทำท่ากระมิดกระเมี้ยน หน้าแดงขบปากอีกตามเคย แน่ะ อ้าปากขอเองแท้ๆ พอถามว่าจะเอาเท่าไหร่ดันทำมาเหนียม จะขอให้ผมยกทรัพย์สมบัติให้หรือไง เวลาห้าหกเดือนคิดจะมาเป็นทายาทสมบัติผมยังเร็วไป ผมยังไม่พร้อมยกหม้อไหจานชามพวกนี้ให้ใครหรอกนะ เพราะมั่นใจว่าตัวเองน่าจะอยู่อีกนาน
   คนอย่างผมมันอายุยืน ตายยากอยู่แล้ว อย่ามาหวังสมบัติเสียให้ยากเลย
   “ผมไม่เอาเงินหรอกนะ”
   “จะเอาของ?”
   “ไม่เอาเหมือนกัน”
   “แล้วจะเอาอะไร?”
   “คุณ”
   “.........................”
   “ผมอยากใช้เวลาช่วงวันหยุดยาวนี้กับคุณ นะครับ”
   เออ ถ้าพูดต่อช้ากว่านี้อีกสามวินาทีนะ ผมคงได้ยกเท้าถีบยอดอกเขาไปแล้ว ริอาจเล่นของสูง เดี๋ยวก็ได้ถูกถีบกระเด็นออกนอกบ้านหรอก นพรัตน์เงยหน้าขึ้นมองผม ช้อนตาแบบอ้อนเต็มที่ เหอะ นึกว่าจะขออะไรที่ยากกว่านี้เสียอีก ปกติหมอนี่ก็ไปไหนมาไหนกับผมแทบจะตลอดอยู่แล้ว จะขอทำไมกัน
   “อืม” ผมแค่ส่งเสียงงืมงำไปแบบนั้นแหละ แต่นพรัตน์ดันยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว เห็นเขายิ้มแบบนี้ทีไร ผมจะเป็นโรคหัวใจทุกที ว่างๆ คงต้องไปให้หมอตรวจบ้างแล้ว ว่าทำไมมันถึงชอบเต้นแรงนัก
   “ขอบคุณนะครับ” เขาว่า ผมยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไรเขาก็ดึงมือผมเข้าไปจูบดังจุ๊บอีกแล้ว ผมล่ะกลัวตัวเองเป็นโรคหัวใจจริงเชียว
   เด็กสมัยนี้นี่นะ.. ทำอะไรไม่ห่วงใจผู้ใหญ่แบบผมบ้างเลย
-----------------------------------------------------------
   บ่ายนั้นเรานั่งๆ นอนๆ ดูโทรทัศน์อยู่ในบ้านเพราะอากาศร้อน ผมได้วันหยุดหลังพ้นช่วงสัปดาห์วิกฤตยาวจนถึงปีใหม่ เรียกว่าหยุดยาวกันเป็นสัปดาห์ อาจารีย์กับนพรัตน์ที่เป็นลูกน้องผม อดตาหลับขับตานอนมาพอๆ กันก็พลอยได้อานิสงฆ์ไปด้วย เรียกว่าปิดแผนกไปช่วยคราวเลยก็ว่าได้ ผมว่าหยุดยาวขนาดนี้ ถ้าเจ้านพรัตน์คิดจะย้ายมาอยู่กับผม สงสัยคงต้องขนกระเป๋าเดินทางมาล่ะ พอกำลังจะอ้าปากถามก็เหลือบไปเห็นว่าวางอยู่ใกล้ๆ โซฟาพอดี โอ้โห... เรียกว่าวางแผนมานานหรือคาดไว้แล้วกันแน่เนี่ย
   ผมเมื่อยๆ เลยเอนตัวนอน พอดีว่าโซฟามันสั้น จะไล่เจ้านพรัตน์ลงไปนั่งพื้นก็ใช่ที่ ผมเลยจำต้องหนุนตักเขาแทนหมอน แต่แหม แข็งโป๊กอย่างนี้ ผมขอหมอนมาเสริมด้วยดีกว่า
   นพรัตน์ดูดีอกดีใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นหมอนให้ผม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แถมเอามือจับปอยผมผมเล่นอีกต่างหาก หัดเคารพผู้ใหญ่บ้างก็ดี ผมเพิ่งย้อมผม ไม่มีหงอกให้หาหรอกนะ
   “คุณนพ ถามจริงๆ เถอะ คบผู้ใหญ่มันสนุกตรงไหน?” ผมถามเขา เมื่อเห็นว่ารายกายโทรทัศน์ดูจะน่าเบื่อเกินไปแล้ว นพรัตน์ก้มลงมองผม ตอบยิ้มๆ
   “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมชอบ”
   “อกหักแล้วก็ยังไม่เข็ดอีกรึ?”
   “เข็ดนะครับ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ผมชอบของผมแบบนี้นี่”
   “แปลกคนจริง”
   เขาไม่ตอบอะไรผม ได้แต่ยิ้ม เราเงียบกันไปสักพัก ผมเลยเอื้อมมือไปหยิบรีโมทฯมาปิดโทรทัศน์ เพราะเริ่มรำคาญเสียงแล้ว ด้านนอกพอมีลมพัดบ้างหรอก เลยได้ยินเสียงกระดิ่มลมดังกริ๊งๆ ผมไม่ชอบเปิดแอร์ เพราะมันอึดอัด ตอนนี้ข้างโซฟาเลยมีพัดลมทำงานหนักอยู่สองตัว
   “คุณไพฑูรย์ อยู่คนเดียวไม่เหงาหรือครับ?”
   “เหงา แต่ชินแล้ว” ผมว่า มองดูปอยผมสีดำของนพรัตน์ที่ร่วงลงมาปรกหน้า “ตอนอายุรุ่นๆ คุณผมก็เคยอยากหาคนอยู่ข้างๆ อยากมีคนอยู่ใกล้ๆ แต่พอมาถึงตอนนี้ ผมชินแล้วล่ะ”
   “ไม่กลัวตอนอายุมากๆ ไม่มีคนดูแลหรือครับ” เขาแหย่ ผมสั่นศีรษะ “ไม่กลัวหรอก สถานสงเคราะห์คนชรามีเยอะแยะ เก็บเงินไว้สักก้อน เดี๋ยวก็มีคนคอยดูแลเองแหละ”
   “แบบนั้นผมว่ามันไม่ค่อยจริงใจนะครับ”
   “อือ ผมรู้ แต่ทำไงได้ล่ะ คนเราแก่ตัวไปจะหวังพึ่งใครได้”
   “ไม่อยากมีคนอยู่ข้างๆ ไปจนแก่หรือครับ?”
   ผมหัวเราะหึๆ “พูดตอนนี้น่ะมันง่ายคุณนพ คนเราแก่ตัวแล้วอะไรๆ มันก็ไม่ดี ไม่ฟิตเหมือนตอนหนุ่มๆ ดูอย่างผมสิ อายุสี่สิบก็สายตายาวแล้ว”
   “อือ”
   “แก่ตัวไปผมก็หงอก หนังก็เหี่ยว ข้อดีด้านร่างกายก็ไม่เหลือ แต่นิสัยเสียเหมือนเดิม ใครมันจะทน ผมรู้ตัวผมนะว่าผมเป็นยังไง ผมไม่หวังใครมาจริงใจด้วยหรอก”
   “แต่ถ้ามีก็ดีไม่ใช่หรือครับ?”
   ผมมองหน้าเขา แล้วยิ้ม “คุณนพ คุณยังเด็กอยู่เลยนะ เด็กมาก”
   นพรัตน์พยักหน้า “อือ ผมเด็ก ทำยังไงก็แก่ไม่ทันคุณหรอก”
   ผมหัวเราะออกมา ได้ยินเขาพูดต่อ “แต่ความจริงใจไม่ได้วัดกันที่อายุหรอกนะครับ”
   ผมยิ้มให้เขา รู้สึกเอ็นดูเขามากจริงๆ ตาของเขาเหมือนแมว ยิ้มของเขาน่ารัก เขาเป็นเด็กดี ถ้าเขาอายุเยอะกว่านี้สักสิบห้าปี หรือผมอายุน้อยกว่านี้สักสิบยี่สิบปี ผมคง....
   แต่ความจริงคือผมอายุสี่สิบสองจะสี่สิบสามแล้ว เขาเพิ่งอายุยี่สิบสาม ผมรู้ว่าเขาจริงใจ ผมรู้ว่าเขาไม่โกหก แต่เขากับผมห่างกันมากเกินไป ผมไม่กล้าหวังอะไรอีกแล้ว
   สี่สิบปีที่ผ่านมา ผมรู้ดีว่าเวลาคือสิ่งที่เปลี่ยนคนได้มากที่สุด
   ผมห้ามคนอื่นไม่ให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ผมห้ามใจตัวเองได้
   ถึงอย่างนั้น บางเวลาผมก็ยังรู้สึกหวั่นไหวอยู่ดี
----------------------------------------
   ในที่สุด ตู้เสื้อผ้าในห้องนอนผมก็มีคนมาช่วยใช้ ผมแบ่งซีกตู้ครึ่งหนึ่งให้นายนพรัตน์แขวนเสื้อ แล้วก็ถือโอกาสจัดเสื้อผ้าของตัวเองไปด้วยเลย จากนั้นถึงได้รู้ว่า สมควรได้เวลาซื้อเสื้อผ้าใหม่แล้ว ดังนั้นวันนี้ผมจึงชวนนายนพรัตน์ออกไปเดินซื้อเสื้อผ้าตั้งแต่ห้างฯเพิ่งเปิด
   ผมใส่เสื้อมียี่ห้อ ไม่ใช่ว่าติดหรูหรืออะไร แต่เสื้อพวกนี้เนื้อผ้ามันดีกว่า ทนกว่า ซื้อไปครั้งเดียวใช้ได้นานหลายปี ไม่เปื่อยง่ายขาดง่ายต้องกลับมาซื้อใหม่บ่อยๆ นับเป็นโชคดีที่ที่ห้างฯกำลังจัดลดราคาเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายอยู่พอดี ผมกับนพรัตน์เลยเลือกกันสนุกมือ
   “คุณไพฑูรย์ ผมว่าตัวนี้ก็ดีนะครับ” นพรัตน์ชูเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนพาดลายสีขาวเล็กๆ ให้ผมดู ผมทำหน้ายู่
   “คุณนพ คุณเลือกเสื้อให้เหมาะกับคนวัยผมหน่อยสิ แบบนั้นคุณใส่เองเถอะ”
   นพรัตน์หัวเราะชอบใจ “มันไม่มีไซต์ผมน่ะครับ มีแต่เบอร์S สงสัยหุ่นผมมาตรฐานเกินไป ไม่เหลือมาเซลเลย”
   “ตัวคุณใหญ่ไปต่างหาก เขากลัวเปลืองผ้า เลยไม่ทำออกมาขาย” ผมค่อนแคะ ทั้งๆ ที่ ก็รู้อยู่หรอกว่าหุ่นเขาน่ะมาตรฐาน แต่ผมสิ ตัวเล็กไปหน่อย เอาน่ะ อย่างน้อยก็มีเบอร์ให้ใส่ล่ะ ก็นี่มันเสื้อไซต์ฝรั่ง จะเอามาเทียบกับคนเอเชียรุ่นดั้งเดิมแบบผมได้ยังไง
   “คุณไพฑูรย์ ตัวนี้ล่ะ?”
   ผมหันไปมอง คราวนี้สีม่วงอ่อน ผมล่ะปวดหัวกับเขาจริงๆ “คุณนพ คุณเลือกเสื้อสีลูกกวาดให้ผมใส่ไปงานวันเด็กกับคุณหรือไง”
   นพรัตน์หัวเราะจนเห็นฟันเขี้ยว ผมเห็นนะว่าพนักงานผู้หญิงที่ยืนอยู่แอบมองแล้วยิ้มให้เขาด้วย แหม... ผู้ช่วยผมน่ารักขนาดนี้ เป็นใครใครก็ชอบมอง ผมยังชอบมองเลย แต่มองเวลาเขาไม่ได้มองผมนะ เดี๋ยวโดนจับไต๋ได้
   “งานวันเด็กผมก็ไปนะ ถ้าคุณพาไป” เขาว่า ผมที่เลือกเสื้ออยู่อดไม่ได้ต้องตอกกลับ “ผมไม่พาคุณไปหรอก เด็กตัวใหญ่ขนาดนี้ไม่มีใครเขาให้ของขวัญแล้ว”
   เจ้านพรัตน์หัวเราะโชว์ฟันเขี้ยวเช่นเดิม ดูจะชอบใจที่ได้แหย่ผมจริงๆ แต่ผมไม่สนใจหรอก แหย่ก็แหย่สิ ผมเลือกเสื้อต่อดีกว่า
   “คุณไพฑูร์ สีนี้ๆ “
   คราวนี้สีส้ม ผมล่ะอยากเอากองเสื้อที่เลือกไว้ตีหัวเขาจริงๆ “คุณนพ คุณจะให้ผมแต่งสีรุ้งกินน้ำเลยมั้ย?”
   เขาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดี “สีรุ้งก็มีนะครับ” เขาว่า และหยิบให้ผมดู ผมรีบพูดทันที “วางเลยนะคุณนพ หยุดซนได้แล้ว”
   นพรัตน์วางเสื้อสีอย่างกับนกแก้วลงตามคำสั่งผม แล้วทำหน้างอนๆ “ผมแค่อยากให้คุณใส่อะไรที่มันดูสดใสหน่อย”
   “เอาไว้ให้รุ่นคุณใส่แล้วกัน ผมน่ะเลยวัยแล้ว” ผมว่า และจัดแจงหอบเสื้อผ้าที่เลือกไว้เตรียมจะไปจ่ายเงิน นพรัตน์เดินเข้ามา
   “มีแต่สีทึมๆ ทั้งนั้นเลย มาๆ เอาที่ผมเลือกไปสักตัวนะ ไว้ใส่ไปเที่ยวด้วยกัน เดี๋ยวผมซื้อให้”
   แล้วเขาก็หยิบกองเสื้อพวกนั้นจากมือผม จากนั้นก็หยิบเสื้อที่เลือกเอาไว้ยัดเข้าไป แล้วเดินไปที่แคชเชียร์ ไม่รอถามผมสักคำ เห็นนะว่าเป็นเสื้อสีชมพู
   “คุณนพ ผมว่าคุณเสียเงินฟรีแน่” ผมค่อนแคะ ตอนที่เขาหยิบเงินมาจ่ายในส่วนของเสื้อตัวนั้นให้ผม นพรัตน์ตอบยิ้มๆ
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรู้ว่าคุณใส่แน่”
   “เหอะ” ผมแค่นเสียงอย่างไร้ความหมาย ขณะเอาบัตรเครดิตให้พนักงาน
   เลือกเสื้อเสร็จผมตั้งใจจะไปซื้อรองเท้าต่อ ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว ซื้อทีเดียวให้ครบไปเลย ตอนเดินเลี้ยวผ่านล็อกขายเสื้อผ้าผู้ชายล็อกหนึ่ง ผมก็สะดุดตากับเสื้อที่อยู่บนหุ่นโชว์
   “คุณนพ ทำไมคุณไม่แต่งแบบนี้บ้าง”
   นายนพรัตน์มองหุ่นโชว์แล้วกะพริบตาปริบๆ จากนั้นหันมามองผม “แบบนี้น่ะใส่ไปเที่ยวพอได้ครับ แต่ใส่ไปทำงานไม่ไหวหรอก”
   ผมพยักหน้าเห็นด้วยเพราะมันเป็นเสื้อแนวแฟชั่น ผมน่ะรู้สึกมานานแล้วว่าเสื้อผ้าเวลาใส่บนหุ่นมันสวย แต่พอเอามาใส่กับคนจริงมันดูไม่ได้ทุกที แต่พอเห็นชุดนี้ ผมว่านายนพรัตน์น่าจะใส่แล้วดูดีกว่าหุ่น
   “คุณชอบรึเปล่า?”
   นพรัตน์ทำหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ “ผมไม่รู้จะใส่ไปไหนนี่...”
   “ใส่ไปเที่ยวก็ได้”
   “จะดีหรือครับ มันดูวัยรุ่นไปนะผมว่า” เขาตอบ ผมล่ะอยากจะเขกกะโหลกเขาจริงๆ
   “วัยรุ่นน่ะแหละถูกแล้ว คุณจะรีบทำตัวแก่ไปไหน”
   เขาทำหน้ายู่ “ผมไม่ได้ทำตัวแก่นะ ผมเป็นของผมแบบนี้อยู่แล้ว ใส่เสื้อแบบนี้เดี๋ยวคุณไม่ไปเที่ยวกับผม”
   “ผมยังไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย” ผมตอบ นพรัตน์หันมาทำตาโต ขบริมฝีปากอย่างคนกลั้นยิ้มเต็มที่
   “งั้นผมใส่”
   ผมอดยิ้มให้เขาไม่ได้ สุดท้ายผมก็ซื้อเสื้อผ้าชุดนั้นให้ แลกกับที่เขาซื้อเสื้อสีชมพูให้ผม เราจะได้เจ๊ากันไป นพรัตน์เดินหิ้วถุงเสื้อ ทำท่ากระมิดกระเมี้ยนตามเคย
   “คุณไพฑูรย์ มะรืนไปเที่ยวสวนสนุกกันนะ ผมจะได้ใส่ชุดนี้ เดี๋ยวคุณใส่เสื้อที่ผมเลือกให้ ไปเล่นรถไฟเหาะกัน”
   ผมตีเขาไปทีหนึ่ง “คุณนพ คุณจะฆ่าผมหรือไง อายุปูนผมเล่นรถไฟเหาะไม่ไหวแล้ว”
   “งั้นบ้านผีสิง”
   “ของหลอกเด็กแบบนั้นผมไม่เข้าหรอก”
   “งั้น...ม้าหมุน”
   ผมตีเขาอีกที “จะบ้าเหรอ ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”
   นพรัตน์หัวเราะคิกคัก ก่อนจะพูดต่อ “งั้นไปเล่นไอซ์สเก็ตกัน ผมมีบัตรฟรี”
   “บัตรฟรีอีกแล้ว หยุดเลยนะ คนอายุรุ่นผมใครเขาจะไปเล่นของแบบนั้น”
   “แหม คุณแข็งแรงจะตาย เล่นไม่เป็นเดี๋ยวผมสอน จับมือสอนแป๊บเดียวเดี๋ยวก็เป็นแล้ว”
   “ผมไม่เชื่อคุณหรอก เกิดลื่นล้มไปแข้งขาหักผมก็ลำบากสิ”
   “ไม่มีใครขาหักในลานไอซ์สเกตหรอกนะครับ”
   “ไม่ล่ะ ผมไม่ชอบที่เย็นๆ “ ผมตัดบท นพรัตน์ทำหน้ายู่ๆ อย่างขัดใจเต็มที เขานิ่งไปพักหนึ่งระหว่างที่เราเดินไปซื้อรองเท้า สักพักก็หาที่มาเสนอต่อ
   “งั้นไปปั่นเรือเป็ดกันที่สวนสัตว์”
   ผมอดไม่ได้ต้องขำออกมา “คุณนพ คุณจะรีบไปไหน ค่อยๆ คิดก็ได้ ผมว่ามีที่เที่ยวอีกตั้งเยอะนะ”
   “ก็ผมอยากได้โปรแกรมเลยนี่ครับ อยากใส่เสื้อที่คุณซื้อให้ อยากเห็นคุณใส่เสื้อที่ผมซื้อให้ อยากไปเที่ยวกับคุณน่ะ”
   ผมถอนหายใจออกมา เด็กหนอเด็ก เขายังเด็กอยู่จริงๆ เลย
   “งั้นผมซื้อรองเท้าก่อนแล้วกัน”
---------------------------------------
   เราแวะทานอาหารเที่ยงกันในห้าง จากนั้นก็ขับรถออกมา ตอนแรกผมตั้งใจจะกลับบ้าน แต่เจ้านพรัตน์ขับรถผ่านป้ายโฆษณาแล้วก็เสนอขึ้นมา
   “คุณไพฑูรย์ ไปงานเฟอร์นิเจอร์กันมั้ย?”
   ผมมองตามเขา แล้วพยักหน้า “อืม กลับไปก็ไม่มีอะไรทำ ไปเดินเล่นก็ได้ เผื่อจะซื้ออะไรเข้าบ้าน”
   “อือ” นพรัตน์ส่งเสียง แล้วขับรถต่อไปทันที

   งานเฟอร์นิเจอร์ที่อิมแพคยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ นี่ถ้าบ้านผมมีที่ ผมก็อยากจะซื้อพวกตู้เข้าไปเพิ่มหรอกนะ แต่ละแบบสวยๆ แถมราคาไม่แพง มีให้เลือกเยอะจนตาลายไปหมด เดินไปเรื่อยๆ ผมถึงได้เห็นว่ามันมีงานจิวเวลรี่เข้ามาพ่วงด้วย ดีนะที่ผมไม่มีภรรยา ไม่งั้นกระเป๋าฉีกแน่ เจ้านพรัตน์ดูจะสนใจร้านที่ขายแหวนทองคำขาวเป็นพิเศษ พอผมเห็นราคาแล้วก็ต้องรีบดึงเขากลับ
   “จะซื้อไปทำอะไรน่ะ?”
   นพรัตน์หัวเราะ แก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศอีกเช่นเคย ผมไม่รอให้เขาพูดต่อ รีบเอ็ดซ้ำลงไป “อย่าคิดจะซื้อมาทำอะไรแปลกๆ นะ ผมไม่ใส่แหวน”
   “นิ้วคุณสวยออก ไม่สนจะใส่สักวงหรือครับ”
   นั่นแนะ เข้าร้านแป๊บเดียว หัดทำตัวเป็นนายหน้าค้าเครื่องประดับเสียแล้ว แต่ผมไม่ใช่ผู้หญิง ไม่สนใจเรื่องแบบนี้หรอก
   “ไม่ใส่ นิ้วผมเกลี้ยงๆ แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
   “แต่ผมอยากใส่ให้นี่”
   “ไม่ใส่”
   “คุณไพฑูรย์...”
   “บอกแล้วไงว่าไม่ใส่”
   “วงเดียวก็ไม่ได้หรือ?”
   “ไม่ได้”
   “งั้นผมใส่เป็นเพื่อน”
   “......................” ผมว่าต้องมีใครใส่น้ำหอมแบบที่ผมแพ้อีกแน่ๆ จมูกมันเลยคันยิบๆ ทำท่าจะจามอีกแล้ว นพรัตน์ยิ้มแต้ ขณะที่ผมยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก
   ชักจะกล้าหาญเข้าไปทุกวันแล้วนะ เด็กคนนี้
   ผมขี้เกียจเห็นเขาถูกล่อไปซื้อแหวนราคาแพงหูฉี่ เลยลากออกมาจากตรงนั้น เดินเลยออกมาหน่อยถึงได้รู้ว่ามีงานเวดดิ้งแฟร์จัดควบกันด้วย
   จัดทีเดียวสามงานนี่เอง หมั้น แต่งงาน เฟอร์นิเจอร์ ครบสูตรเลย เป็นแผนการตลาดที่เยี่ยมจริงๆ
   นายนพรัตน์ท่าทางคิดตกว่าตัวเองควรจะหาเจ้าสาวเป็นตัวเป็นตนได้แล้ว เลยจูงผมตระเวนดูราวกับผมสามารถให้ความเห็นแทนเจ้าสาวได้
   “คุณไพฑูรย์ แพกเกจถ่ายรูปร้านนี้ถูกมากเลยล่ะ ซื้อมั้ย?”
   ผมมองหน้าเขา “หาเจ้าสาวได้แล้วหรือไง”
   เขาไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มเขินๆ ผมเลยตั้งข้อสังเกต “เจ้านี้อย่าซื้อเลย แต่งรูปไม่ค่อยสวย แต่งเสียหลอก ไม่รู้ตัวจริงจะหน้าตาดีอย่างนี้รึเปล่า?”
   “ที่ไหนเขาก็แต่งรูปกันทั้งนั้นแหละครับ แต่ผมว่าสวยดีนะ”
   ผมสั่นศีรษะ “ไม่เอาหรอก หน้าผมดีอยู่แล้ว ไม่ต้องแต่งก็ดูดี” เออ ผมพูดไปยังอายปากตัวเองไปเลยนะ แต่นายนพรัตน์รีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที ไม่อายแทนผม อายตัวเองหน่อยก็ได้
   “หน้าคุณดูดีตลอดอยู่แล้วล่ะ งั้นเอาร้านไหนดีครับ เอาเป็นแพกเกจใหญ่หรือแพกเกจเล็กดี มีแบบถ่ายในสตูอย่างเดียว แล้วก็ถ่ายนอกสถานที่ด้วยนะ”
   ผมชักนึกสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ ว่านายนพรัตน์เคยทำงานเป็นเซลขายอะไรพวกนี้มาก่อนรึเปล่า หรือรับค่านายหน้ามากันแน่
   “จะไปถ่ายให้เปลืองเงินทำไม อยากถ่ายกล้องก็มี ถ่ายกันเองก็ได้”
   “แหม..ก็อยากจะได้ใส่กรอบใหญ่ๆ ไปติดที่บ้านนี่ครับ”
   “นี่... รูปผมช่วยกันขโมยไม่ได้หรอกนะ”
   เจ้านพรัตน์หัวเราะจนแก้มแดง ผมเลยรีบดึงมือของเขาออกมา เพราะเดี๋ยวจะเสนอขายแพกเกจถ่ายรูปกับผมอีก เผลอๆ จะเสนอขายแพกเกจแต่งงานให้ผมเลยรึเปล่าก็ไม่รู้
   ถึงเขาไม่อาย แต่ผมอายเป็นเหมือนกันนะ
   สุดท้ายผมกลับไปเดินกลับตรงที่ขายเฟอร์นิเจอร์อีกรอบ และได้ตู้ใส่รองเท้ามาใบหนึ่งแทนตู้อันเก่าที่เริ่มผุพังตามกาลเวลา จากนั้นเราก็แวะออกมาหาเครื่องดื่มเย็นๆ ดื่มกันนิดหน่อย แล้วขับรถกลับมาแวะทานอาหารตรงร้านประจำแถวบ้าน
   “คุณไพฑูรย์ ผมรู้แล้วล่ะว่ามะรืนจะไปเที่ยวไหนกันดี” นพรัตน์พูดตอนที่ช่วยผมขนของเข้ามาในบ้าน ตู้ใส่รองเท้าเดี๋ยวอีกสองสามวันเขาจะให้ช่างเอาเข้ามาติดให้
   “จะไปไหนอีกล่ะ” ผมถาม เที่ยวทุกวันมันเหนื่อยเกินไป ผมเลยบอกเขาแต่แรกแล้วว่ายังไงก็ต้องพักผ่อนอยู่บ้านบ้าง นพรัตน์ยิ้มกว้าง “ไปล่องเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยากัน ผมมีบัตรฟรี”
   “เอาล่ะๆ อยากไปล่องเรือก็บอก ไม่ต้องบอกว่าบัตรฟรีหรอก ผมรู้คุณซื้อเอาทุกที”
   นพรัตน์หัวเราะเขินๆ “ก็ผมกลัวคุณไม่ไป...”
   “ไม่ฟรีผมก็ไป” ผมตอบ เขาเงยหน้าขึ้นมองผม จากนั้นก็...
   จุ๊บ
   เขาไม่ได้จุ๊บปากผมนะ แค่จุ๊บแก้ม แต่ก็เสียงดังชื่นใจดีเชียวล่ะ แหม..เด็กสมัยนี้นี่ เผลอไม่ได้เลยเชียว
   “คุณไพฑูรย์” เรียกอีกล่ะ คราวนี้จะพูดอะไรอีก
   นพรัตน์ยืนขบริมฝีปาก ช้อนตาขึ้นมองผม แก้มก็แดง ทำตัวอย่างกับเด็กหญิงอายุสิบขวบ ตกลงหมอนี่อายุเท่าไหร่กันแน่นะนี่ ผมล่ะเหนื่อยใจแทนพี่ชายพี่สาวเขาจริงๆ ยืนอ้ำๆ อึ้งๆ พักหนึ่ง พอทำท่าจะพูด เสียงโทรศัพท์ก็ดังแทรกขึ้นมา
   ท่าจะเป็นโชคของนายนพรัตน์ เพราะผมเตรียมจะถีบเขาอยู่แล้ว ถ้าเกิดเขาพูดอะไรน่าอายออกมา
   นพรัตน์รับโทรศัพท์ทั้งที่ยังหน้าแดงไม่หาย แต่พอคุยไปได้สักพัก หน้าเขาก็เริ่มซีดลงจนผมอดตกใจไปด้วยไม่ได้
   “จริงหรือครับ...อือ....อืม...ครับ... ได้ครับ ครับ เดี๋ยวผมไป” เขาพูดโทรศัพท์จบก็เงยหน้าขึ้นมองผม ผมไม่เคยเห็นหน้าเขาซีดขนาดนี้มาก่อน ตาเขาเหมือนคนจะร้องไห้
   “คุณไพฑูรย์” เขาเรียกชื่อผม เสียงแห้งจนน่ากตกใจ
   “มีอะไรหรือ?”
   “พี่สาวผมที่อยู่แคนนาดาป่วยหนัก หมอบอกว่าโอกาสรอดห้าสิบๆ “
   ผมยืนอึ้ง พลอยสะเทือนใจกับเขาไปด้วย นพรัตน์เม้มปาก ผมว่าเขาเองก็ตกใจจนไม่รู้จะเริ่มยังไงเหมือนกัน
   “พี่ชายผมจองตั๋วไว้แล้ว ผมต้องบินไปกับเขาคืนนี้”
   “.........”
   “คุณไพฑูรย์”
   “รีบไปเถอะ” ผมพูด และพบว่าเสียงตัวเองแหบพร่าแทบไม่ได้ยิน นพรัตน์มองผม ขบริมฝีปากแน่น
   “พรุ่งนี้ผมคงขับรถมารับคุณไม่ได้แล้ว”
   “ไม่เป็นไรหรอก...”
   “ผมอยากไปเที่ยวกับคุณ”
   “ไม่เป็นไร วันหลังก็ได้...”
   “คุณไพฑูรย์...”
   “จะเข้าไปเอาเสื้อผ้าก่อนไหม?”
   เขาสั่นศีรษะ ตาแดงเรื่อ ผมรู้ว่าเขาสะเทือนใจ เขายังเด็ก ยังเด็กอยู่มากจริงๆ
   ผมไม่เคยเป็นฝ่ายกอดใครมาก่อน แม้กระทั่งหลานตัวเอง ผมไม่ชอบการถูกสัมผัส แต่.... ผมทนเห็นเขาทำตาแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
   “ไม่เป็นไรนะคุณนพ พี่สาวของคุณไม่เป็นอะไรแน่ เชื่อผมเถอะ” ผมดึงตัวเขาเข้ามากอด พยายามพูดปลอบเท่าที่สมองจะนึกออกได้ในตอนนั้น นพรัตน์ซุกหน้าเข้ากับอกผม กอดแน่น
   “คุณไพฑูรย์” เสียงเขาพร่าจนผมใจหาย
   “ไม่เอาน่า คุณนพ โตป่านนี้แล้ว ร้องไห้เป็นเด็กๆ ไปได้”
   ได้ยินเสียงเขาสูดหายใจอยู่หลายที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมยกมือขึ้นเช็ดหน้าให้เขา แก้มของเขาเปียก ผมรู้สึกสะท้อนใจจริงๆ นพรัตน์ปล่อยให้ผมเช็ดหน้าสักพัก ก็จับมือผมเอาไว้
   “คุณไพฑูรย์ ผมจะรีบกลับมานะ เราจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน”
   ผมพยักหน้า “ไม่เป็นไรหรอก ไปดูแลพี่สาวเถอะ”
   เขายกมือผมแนบแก้ม เรายืนนิ่งกันอยู่พักหนึ่ง สักพักเขาก็ขยับออก
   “ผมจะเอาเสื้อที่คุณซื้อให้ไปด้วย จะได้ใส่ตอนกลับมา”
   ผมได้แต่พยักหน้า จากนั้นเขาก็เข้ามากอดผมอีกรอบ ก่อนจะพูดต่อ
   “ผมไปก่อนนะ แล้วผมจะโทรมา”
   “โชคดี เดินทางปลอดภัยนะ...”
   ผมมองดูเขาเดินออกไปขึ้นรถ ขับออกไป ยืนอยู่จนไม่ได้ยินเสียงรถอีก ถึงเดินเข้าไปบ้าน
   บ้านผมเหมือนเดิมทุกอย่าง ตู้รองเท้าที่ซื้อมาใหม่ก็ยังไม่ได้มาติด จะมีแปลกไปก็คงเป็นกองถุงเสื้อผ้าที่ผมเพิ่งซื้อมา แค่นั้นเอง แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม...
   ผมไม่เคยรู้ว่าบ้านตัวเองเงียบขนาดนี้
   เงียบกระทั่งได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น
   ผม..............
------------------------------------------------------

ออฟไลน์ kazhiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-2
ง่า  :monkeysad:  หลังๆแอบซึ้งอะ
หวังว่าห่างกันคราวนี้จะทำให้คุณไพฑูรณ์รู้ใจตัวเองมากขึ้นนะคะ
ขอบคุณคนแต่งมาก  :pig4:
+1 จ้ะ

ออฟไลน์ อิสระ

  • ถ้า add ให้กอด,ถ้า give five ให้จุ๊บ,ถ้า ment ให้เบอร์ คิคิ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-8
    • https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-1433707443445407/?modal=admin_todo_tour
โถ่ กำลังซึ้งๆ :sad11:
หวังว่าต่อจากนี้จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ
รู้สึกจะมีลางอะไรแปลกๆก็ไม่รู้
+1ให้คนเขียน
อัพยาวและถี่ได้ใจมาก

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
 :m15:
รีบไปรีบกลับนะคะน้องนพ แต่ไปไกลแบบนี้ คนใจแข็งอาจจะหวั่นไหวก็ได้เน๊อะ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
รีบกลับมานะค๊ะ และต้องปลอดภัยกลับมาด้วยล่ะ
คราวนี้คุณไพรู้ใจตัวเองแน่เลย :L2:

dog

  • บุคคลทั่วไป
ใจอ่อนซักทีน๊าลุง
เด็กนอยน่ารักขนาดนั้นหาไม่ได้ง่ายๆนะค๊า

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ความจริงคุณไพฑูรย์น่ะรู้ใจตัวเองมาได้ระยะนึงแล้วละ
แล้วก็รู้สึกด้วยว่าด้วยว่าช่วงนี้ชีวิตตัวเองมีสีสันกว่า และไม่โหวงๆเหมือนเดิม 
แต่ด้วยความคิดมากตามประสาคนที่ระมัดระวังการใช้ชีวิต เลยไม่อยากยอมรับความรู้สึกนั้น
คราวนี้แหละ คงเป็นคราวที่คุณไพฑูรย์ต้องยอมแพ้ใจและยอมรับความรู้สึกจริงๆซะที
แอบอิจฉาคุณไพฑูรย์อีกแหละดิฉัน หึ หึ หึ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
แต่ละตอน ยอดเยี่ยมทั้งคุณภาพและปริมาณ
แถมคนเขียนยังขยันอีก
เรื่องนี้ทำให้มุมมองของเราที่มีต่อพี่ๆ ซีเนี่ยร์ในที่ทำงานเปลี่ยนไป
แต่ก่อนมองแค่ชื่นชมว่าใครเก่งใครขยัน แต่เดี๋ยวมีแอบหื่นปนเล็กน้อย 5555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด