[เรื่องเบาๆ]Stair.ขยับรัก ข้ามขั้น : จบ P22 6/07/2554(รุ่นพ่อ?vsรุ่นลูก?)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเบาๆ]Stair.ขยับรัก ข้ามขั้น : จบ P22 6/07/2554(รุ่นพ่อ?vsรุ่นลูก?)  (อ่าน 384226 ครั้ง)

ออฟไลน์ ต่ายน้อย

  • กระต่ายน้อยลอยคอ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 816
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-3
    • http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27719.0
คุณไพฑูรณ์ค้า ถีบไหวเหรอ ฮุฮุ :laugh:
แอ๊ก! :z6:

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
 :o8: :o8: :o8:
มาสมัคร ชมรม รักคนแก่ค่ะ   :กอด1:

ppgf

  • บุคคลทั่วไป
อยากโดนเด็กกินมั่งอ่ะ

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ค่อยใกล้ชิดกันไปอีกนิดแล้วนะ ^^

ออฟไลน์ aorpp

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +250/-3
มา +1 ให้ค่ะ  :กอด1:
สนุกมากกกค่ะ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ลุงฑูรย์น่ารักอะ ชอบๆๆๆ  :o8:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บันไดขั้นที่4
   ผมคือคุณไพฑูรย์ อายุปาไปค่อนครึ่งศตวรรษแล้ว ทำงานที่บริษัทนี้มาตั้งแต่เพิ่งก่อร่างสร้างตัว เรียกว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งเลยก็ว่าได้ ผ่านอะไรมามากต่อมาก ไม่ว่าเรื่องอะไร ผมจะจัดการให้มันสำเร็จลุล่วงหรือคลี่คลายไปได้เสมอ
   เพราะอย่างนี้แหละ ผมถึงได้นั่งวางท่ารอเจ้านพรัตน์มารับมาส่งได้เกือบสี่เดือนแล้ว
   “ไปกันเถอะครับ” นพรัตน์พูด พลางช่วยผมถือกระเป๋า ราคาจ่ายเท่าแท็กซี่ แต่บริการดีกว่าเป็นไหนๆ ในเมื่อเขาอยากทำ ผมก็ไม่มีสิทธิ์จะห้าม ดูซิว่าจะทนทำไปได้อีกกี่น้ำ
   “เย็นนี้จะทำอะไรทานกันดีครับ” เขาถามหลังจากที่ผมขึ้นรถแล้ว ผมนิ่งนึก ขณะที่รถแล่นออกไป
   “ยังนึกไม่ออก ไว้ไปตลาดแล้วค่อยว่ากันอีกที”
   หลังๆ เราเริ่มเบื่อการออกไปทานอาหารนอกบ้าน เขาเลยเสนอว่าควรจะทำอะไรง่ายๆ ทานกันเอง สี่เดือนผ่านไป หมอนี่เข้าออกบ้านผมราวกับบ้านตัวเองแล้ว ผมอนุญาตเองแหละ ไหนๆ เขาก็เวียนมาหาผมทุกวัน จนคิดว่าหมอนี่คงนอนไม่หลับ ถ้าไม่เห็นหลังคาบ้านผม ผมเองก็อยู่คนเดียว พอมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนบ้าง ชีวิตก็มีสีสันขึ้นมาเยอะ
   ดังนั้น นายนพรัตน์จึงถือกุญแจบ้านบางดอกของผมเป็นที่เรียบร้อย
   “คืนนี้ผมมาค้างบ้านคุณได้รึเปล่า?”
   แน่ะ มุขนี้อีกแล้ว เดือนที่แล้วก็เพิ่งมาค้างไปสองวันไม่ใช่หรือไง?
   “จะมาค้างทำไมน่ะ อย่าบอกนะว่าพี่ชายพี่สาวออกไปเที่ยวอีก”
   นพรัตน์หัวเราะเขินๆ เออ สี่เดือนแล้ว หมอนี่ยังทำท่าเขินแบบนี้ได้อยู่อีก เชื่อเขาเลย อายุเท่าไหร่กันแน่นะ
   “ผมอยากมาค้าง ไม่ได้หรือ? พรุ่งนี้ก็วันเสาร์ เดี๋ยวเช่าหนังมาดูด้วยกันก็ได้ จะได้ไม่เบื่อ”
   ผมยกมือลูบคางอย่างใช้ความคิด พอนึกเหตุผลปฏิเสธไม่ออก ก็ได้แต่ส่งเสียงงึมงำในคอ เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เริ่มจ้อถึงหนังที่อยากดูขณะขับรถไปที่ทำงาน โดยมีผมเป็นลูกคู่คอยสนับสนุนและคัดค้านในบางเรื่อง
--------------------------------------------
   สัปดาห์นี้เรื่องวุ่นวายน้อยมากจนผมแทบทำป้ายประกาศ พลางนึกสงสัยว่านี่จะเป็นลางร้ายล่วงหน้ารึเปล่า ไม่ใช่ว่าเปิดมาสัปดาห์หน้าจะมีเรื่องมากองเป็นโขยงๆ อีกนะ นพรัตน์จัดเอกสารในห้องไปตามเรื่อง ขณะที่ผมนั่งจิบกาแฟ และอ่านหนังสือพิมพ์อย่างที่ทำเป็นประจำทุกเช้า ขณะที่กำลังคิดว่าหนังสือพิมพ์ตัวเล็กเกินไป หรือสายตาผมยาวเพิ่มกันแน่ เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงเปิดประตู
   “ธุระอะไรครับ?” นพรัตน์พูดตามหน้าที่ ผมเงยหน้าขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่วินาที
   !?
   “พี่ไพฑูรย์ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
   ผมอึ้งสนิท แทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่ากำลังยกมือขึ้นขยับแว่นอยู่ ที่เปิดประตูเข้ามาเป็นหนุ่มร่างใหญ่ ใส่เสื้อเชิ้ตสบายๆ อายุคงราวๆ สักสามสิบปลายๆ เกือบๆ สี่สิ ไม่สิ ปีนี้เขาอายุสามสิบเก้า ผมจำได้ ผมดำขลับตัดสั้นนั้นยังคงเป็นเงาสลวยเหมือนเดิม
   “พราย..” ผมได้ยินเสียงตัวเองเรียกออกไป ด้วยอารมณ์ไหนบอกไม่ถูก “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
   พรายโพยมคลี่ยิ้ม รอยยิ้มของเขาดูสุขุมขึ้น นุ่มขึ้น ไม่เหมือนเด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ ที่คอยตามผมเหมือนเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนอีกแล้ว เขากลายเป็นหนุ่มใหญ่ ตัวก็สูงขึ้น หน้าตาคมคายเหมือนเดิมแต่ก็มีเค้าเจนโลกอย่างเห็นได้ชัด เขาเปลี่ยนไปมากพอสมควร แต่ผมก็ยังจำเขาได้ตั้งแต่แรกเห็น
   เพราะผมเคยชอบเขาเอามากๆ ล่ะมั้ง
   “กลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เช้านี้เลยแวะมาเยี่ยม พี่สายตาสั้นแล้วเหรอเนี่ย?” เขาถามอย่างแปลกใจ ผมเลยขี้เกียจจะบอกว่าสายตายาวต่างหาก
“เอาเถอะ ถึงไงพี่ก็แทบเหมือนเดิมเป๊ะเลย กี่ปีๆ ก็ดูดีไม่มีเปลี่ยน”
   “พูดเอาใจกันก็ไม่เลี้ยงข้าวหรอกนะ” ผมว่า พลางพูดต่อ “พี่อายุตั้งสี่สิบกว่าแล้ว จะไปดูดีเหมือนตอนอายุยี่สิบได้ยังไง”
   เขาหัวเราะ ถึงจะมีอายุแล้ว แต่เสน่ห์ในตัวของเขาก็ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
   “พี่ก็ชอบถล่มตัวเองอยู่เรื่อย ผมยังไม่เคยเห็นใครดูสมาร์ทเท่าพี่เลยนะ ขอบอก”
   ผมยกมือ บอกให้เขาเพลาๆ ลง “จะยอกันก็ให้มันน้อยๆ หน่อย อายเด็กมันบ้าง”
   เขามองไปทางนพรัตน์ที่นั่งอยู่ และยิ้ม “ผู้ช่วยของพี่หรือ? เด็กอยู่เลยนะ พี่พงษ์เล่าให้ผมฟังเหมือนกันว่าพี่ทำงานหนักน่าดู”
   “อืม” ผมส่งเสียงตามประสา ก่อนจะถามบ้าง “แล้วนี่กลับมาทำไมน่ะ จะย้ายมานี่แล้วหรือ?”
   “อ๋อเปล่า ผมมาธุระน่ะ แต่คงอยู่หลายวันหน่อย จริงสิ เย็นนี้ออกไปทานอาหารด้วยกันไหม ไม่เจอกันจะยี่สิบปีแล้ว ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่หลายเรื่องเลยล่ะ”
   ผมรู้ว่าพรายโพยมไปเป็นวิศวกรอยู่อเมริกาเกือบยี่สิบปีแล้ว สำเนียงของเขาจึงแปร่งไปบ้าง เพราะดีใจที่ไม่ได้เจอเขามานาน ผมเลยตอบรับไปทันที “เอาสิ”
   “โอเค งั้นเดี๋ยวตอนเย็นผมให้คนขับรถมารับแล้วกันนะ ขอตัวไปธุระก่อน” เขาว่า และกลับออกไป ผมพยักหน้า นึกแปลกใจระคนดีใจที่ในที่สุดก็ได้เจอเขาสักที แม้จะดูกะทันหันไปหน่อยก็เถอะ ขณะที่ผมกลับมาตั้งใจกับการอ่านหนังสือพิมพ์ เสียงของนพรัตน์ก็ดังขึ้น
   “แล้วมื้อเย็นของเราล่ะครับ?”
   ผมหันมองเขา แล้วเพิ่งนึกได้ “อืม... เอาไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้ติดธุระแล้ว”
   นพรัตน์กะพริบตาปริบๆ และเงียบไปพักใหญ่ สักพักถึงได้ถามต่อ “เมื่อกี้ใครน่ะครับ”
   “อ๋อ” ผมพูดอย่างนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำเขาให้รู้จักเลย “น้องชายคุณพงษ์โพยม ชื่อคุณพรายโพยม เขาไปทำงานอยู่อเมริกาเกือบจะยี่สิบปีแล้วน่ะ”
   “แฟนเก่าคุณเหรอ?”
   ผมเกือบพ่นกาแฟที่เพิ่งดื่มเข้าไปออกมา “ว่าไงนะ?”
   “เปล่าครับ” นพรัตน์พูด ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า เหมือนเสียงเขาดูห้วนๆ ผมเลยหันไปมอง แต่เห็นเขาทำหน้าอย่างกับรูปปั้น
   “เดี๋ยวผมขอตัวไปแผนกไอทีหน่อยนะ” เขาพูด และผุดลุกขึ้น ผมมองตามอย่างแปลกใจ “ไปทำไมน่ะ”
   “ธุระครับ” นพรัตน์ตอบ เจอคำตอบแบบนี้ผมเลยไม่มีเหตุให้ถามอีก เอาเถอะ ปกติเขาก็ไม่ค่อยจะทำธุระส่วนตัวในเวลางานเท่าไหร่ วันนี้ก็งานไม่ค่อยเยอะ ปล่อยไปก็แล้วกัน
   ผมพยักหน้า ก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ และได้ยินเขาเปิดประตูออกไป
-----------------------------------------------
   นพรัตน์หายออกไปจนถึงเวลาพักเที่ยง ผมเลยต้องออกมาทานข้าวคนเดียว พอผมเยี่ยมหน้าเข้าไปในโรงอาหาร มนุษย์ทุกคนก็เงียบกริบเช่นเคย ผมรู้สึกพอใจเล็กๆ ไม่ต้องมีเด็กๆ เดินตามหลังเสริมบารมี ผมก็ยังเป็นที่ขยาดเหมือนเดิมนั่นแหละ ผมกวาดตามองไปรอบๆ อย่างเคยชิน แล้วสะดุดเข้ากับโต๊ะหนึ่ง ที่แท้นายนพรัตน์มาทานข้าวอยู่กับพวกนายพัชระนี่เอง นพรัตน์เงยขึ้นมองผมในจังหวะนั้นเหมือนกัน แล้วก็หลบสายตาวูบ ผมแค่นลมหายใจออกทางจมูก และเดินปราดๆ ไปหาโต๊ะนั่ง
   จะนินทาอะไรไม่ว่าหรอก อย่าให้ผมได้ยินก็แล้วกัน
   โรงอาหารเงียบอย่างกับป่าช้า แต่ผมไม่สนใจ ยังคงนั่งทานข้าวออกแนวจะอ้อยอิ่งด้วยซ้ำ ดูซิ ระหว่างผมกับไอ้พวกนี้ ใครมันจะสติแตกก่อน นั่งทานไปได้พักหนึ่ง ก็ได้รู้สึกเหมือนมีใครเดินเข้ามาหา แวบแรกผมคิดว่าเป็นนายนพรัตน์ แต่วินาทีต่อมาก็ต้องบอกตัวเองว่าคิดผิด
   “พี่ไพฑูรย์ มาทานข้าวเร็วจัง ผมว่าจะแวะรับพี่ออกไปสักหน่อย”
   คนเดินมากลับเป็นพรายโพยม ด้านหลังเป็นฝรั่งในชุดสูทสากลอีกสองสามคน ผมมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
   “คนนี้เป็นหัวหน้างานผม อีกคนเป็นเพื่อนร่วมงาน เขาฟังพี่พงษ์เล่าเรื่องพี่แล้วเลยอยากคุยกับพี่น่ะ”
   พรายโพยมอธิบาย ผมมองฝรั่งหัวแดงสองคนที่ถูกแนะนำ อีกคนคงอายุสักสามสิบกว่าๆ ส่วนอีกคนที่บอกว่าเป็นเจ้านายอายุคงใกล้ห้าสิบเต็มที่ หรืออาจจะน้อยกว่านี้ก็ได้มั้ง เห็นว่าฝรั่งหน้าแก่ก่อนวัย
   ผมเหลือบมองโต๊ะนายนพรัตน์ และเห็นเจ้าตัวทำท่าจะลุกขึ้น หึ...คิดว่าผมต้องการผู้ช่วยอย่างเขาในการพูดกับฝรั่งหรือไง ผมมีพรายโพยมเป็นล่ามอยู่แล้ว อีกอย่างทักษะภาษาอังกฤษของผมก็ไม่ใช่ระดับเบสิก แค่ไม่ได้ทำงานฝ่ายต่างประเทศเท่านั้นเอง
   “ผมบอกแล้วว่าพี่สมาร์ทสุดๆ “ พรายโพยมพูดขึ้นหลังจากที่ผมถกปัญหาการบริหารคนอย่างหน้าดำหน้าแดงกับเจ้าฝรั่งสองคนนั่นจนหมดเวลาพักเที่ยง โรงอาหารที่เงียบเลยมีเสียงภาษาต่างประเทศดังขึ้นแทน ผมมองเขา ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ “พี่ก็เป็นของพี่แบบนี้แหละ”
   พรายโพยมหัวเราะ “อืม เพราะงี้แหละพี่ถึงดูสมาร์ท หมดเวลาพักแล้วนี่นะ พี่จะกลับไปทำงานเลยรึเปล่า?”
   “อืม” ผมพยักหน้า ถึงงานจะมีไม่ค่อยเยอะ แต่ใครจะรับประกันล่ะว่ามันจะไม่เข้ามาถล่มในช่วงบ่ายก่อนวันสุดสัปดาห์ พรายโพยมผงกศีรษะอย่างเข้าใจ หันไปคุยอะไรกับฝรั่งพวกนั้นสองสามคำ แล้วหันมาพูดกับผมต่อ “งั้นเย็นนี้ เจอกันนะ”
   “อืม” ผมตอบ และเดินออกไปพร้อมพวกเขา
-----------------------------------------------
   ผมไม่เงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำตอนที่นพรัตน์เปิดประตูเข้ามา แต่แน่นอนว่าผมดูนาฬิกา เขาหายไปสี่ชั่วโมงกับอีกสามสิบสองนาที ผมจะคิดบัญชีเรื่องนี้กับเขาวันหลัง ตอนนี้เพื่อความสบายใจ ผมจะปล่อยผ่านไปก่อน
   “คุณไพฑูรย์” นพรัตน์พูดเสียงค่อย ผมเห็นเขายืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่หน้าโต๊ะผมตั้งแต่เดินเข้ามาล่ะ แต่ผมไม่เงยหน้าขึ้นมองเขาหรอก ยังคงตั้งหน้าตั้งตาสนใจกับหนังสือร้องเรียนในมือต่อไป
   “ผมขอโทษ”
   ขอโทษเรื่องอะไรล่ะ หายไปสี่ชั่วโมงครึ่งกับเศษอีกสองนาที คำขอโทษมันช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ
   “อืม” ผมส่งเสียง ตายังคงไล่อ่านตัวหนังสือหวัดยิบๆ ในมือต่อ นพรัตน์ยังคงยืนอ้ำๆ อึ้งๆ
   “งานการไม่มีให้ทำหรือไง มายืนอยู่ได้” ผมว่า เมื่อเห็นเขายังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น นพรัตน์ขยับตัวอย่างอึดอัด แต่ก็ยอมเดินไปนั่งที่โต๊ะ ผมขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด สงสัยจะต้องทำแบบฟอร์มหนังสือร้องเรียนให้ ระบุให้เขียนตัวบรรจงและใหญ่กว่านี้ แล้วถ้าเรื่องมันเยอะมาก จะเขียนหลายแผ่นก็ได้ ไม่เข้าใจพวกเขียนหนังสือตัวเล็กๆ จริงๆ กะอีแค่ปากกาด้ามละไม่กี่บาท กระดาษก็ไม่ได้หายาก จะประหยัดอะไรกันนักกันหนา
   “คุณไพฑูรย์ คุณโกรธผมเหรอ?” นพรัตน์ที่นั่งเงียบไปได้พักหนึ่งถามขึ้นมาอีก ผมที่กำลังหงุดหงิดอยู่กับตัวหนังสือเบียดๆ พวกนั้น พยายามข่มใจตัวเองเต็มที่ “ไม่ได้โกรธ งานมีก็ทำๆ ไป หยุดถามได้แล้ว”
   เขาเงียบไปได้อึดใจหนึ่ง แล้วพูดออกมาอีก “คุณไพฑูรย์ หนังสือในมือคุณน่ะ ผมช่วยอ่านให้ไหม?”
   คราวนี้ผมหมดความอดทนจริงๆ วางหนังสือร้องเรียนลงบนโต๊ะเสียงดับตึ๊บ เงยหน้าขึ้นมองเขา เตรียมจะเทศนาค่าที่ทิ้งงานไปสี่ชั่วโมงกว่า แต่พอสบเข้ากับดวงตาสีดำอย่างกับลูกแมวที่มองตรงมา ผมก็เพิ่งจะยอมรับนี่แหละว่าโกรธเขาอยู่ แล้วไอ้ความโกรธนั่นมันก็วูบไปครึ่งหนึ่งทันทีที่เงยไปเห็นหน้า
   เอาเถอะ เดิมทีผมตั้งใจจะคิดบัญชีเรื่องนี้วันหลังอยู่แล้ว ปล่อยไปสักวันแล้วกัน อีกอย่าง ตัวหนังสือพวกนี้ก็อ่านลำบาก จ้องมาตั้งนานจนเริ่มปวดตาแล้ว
   “อืม” ผมยอมลงให้เขาในที่สุด และเสือกหนังสือฉบับนั้นไปด้านหน้า นพรัตน์รีบเดินเข้ามา ยิ้มแทบหุบไม่ลง
   เออ ผมโกรธเขาทำไมนะ....
   แล้วเขาก็เริ่มอ่านหนังสือร้องเรียนนั้นให้ผมฟัง กว่าจะอ่านจบผมก็แทบหอบ ไม่ใช่ว่าเขาอ่านไม่คล่อง เสียงไม่ดีอะไรหรอก แต่เพราะมันเป็นเรื่องเดิมๆ อีกแล้ว เชื่อเลยว่าผมนั่งทนแกะตัวหนังสือเบียดๆ นั่น แล้วได้เรื่องงี่เง่าแบบนี้มา
   ผมว่าถ้าผมเลิกทำงานที่นี่ ผมน่าจะไปเป็นกองบก.นิตยาสารนิยายน้ำเน่าได้
   “เอาล่ะ พอๆ ขอบใจมาก” ผมพูด ขี้เกียจให้เขาเปลืองน้ำลายอ่านต่อ เพราะพอจะเดาตอนจบได้ นพรัตน์มองหน้าผม และส่งหนังสือคืนแต่โดยดี ก่อนจะกลับไปนั่งที่โต๊ะ คงกลัวว่าขืนยืนอ้อยอิ่งอยู่จะสะกิดต่อมหงุดหงิดของผมขึ้นมาอีก
   “คุณไพฑูรย์ เย็นนี้จะไปทานข้าวที่ไหนหรือครับ ให้ผมไปส่งนะ” นพรัตน์ถามผมตอนอีกสิบนาทีจะได้เวลาเลิกงาน ผมมองเขา และสั่นศีรษะ
   “ไม่ต้องหรอก วันนี้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนกับฝูงเถอะ ทำงานนานๆ มันเครียด เดี๋ยวผมคงนั่งรถไปกับคุณพรายเลย”
   เขาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้า ผมเลยพูดต่อ
   “คุณนพ คุณยังหนุ่มอยู่นะ ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเสียบ้าง ไปทำอะไรผ่อนคลาย คุณไม่ต้องตามดูแลผมตลอดหรอก ผมยังไม่แก่ขนาดนั้น”
   “ครับ..ผมรู้” เขาพูด และเงียบไปอีก ผมมองนาฬิกา
   “ถ้าทำงานเสร็จแล้วก็กลับเถอะ เดี๋ยวผมจะอยู่รอคุณพรายที่นี่แหละ”
   นพรัตน์ทำท่าละล้าละลังอยู่อีกพัก แต่ในที่สุดก็ยอมกลับไป
   “เจอกันนะครับ ดูแลตัวเองด้วยนะ” เขาพูด ตอนที่เปิดประตูออกไป ผมนึกขำนิดๆ เมื่อนึกว่าเขาที่อายุคราวลูกมาพูดราวกับผมเป็นเด็กๆ ผมถอนหายใจ มองดูนาฬิกา
   พรายโพยม....
   เกือบยี่สิบปีที่ไม่ได้เจอเขา จะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว เหมือนช่วงจากกันใหม่ๆ ผมมีอะไรอยากพูดกับเขามากมาย พอห่างไปสักพัก ผมก็คิดถึงเขาแทบทนไม่ไหว แต่หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เหมือนภาพฝัน บางทีผมก็นึกถึงเรื่องระหว่างเขากับผมได้แจ่มชัด บางทีก็เลือนลางเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริง
   จะยี่สิบปีแล้ว....
-----------------------------------------------
   ผมอึ้งนิดหน่อย เมื่อพบว่าในรถนอกจากคนขับแล้ว ยังมีเพื่อนฝรั่งของพรายโพยมอีกสองคน เอาเถอะ เขาคงอยากคุยเรื่องงานกับผมนั่นแหละ ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะหวังอะไรได้มากกว่านี้ ดีหน่อยที่พรายโพยมให้ผมนั่งด้านหน้า เลยไม่ต้องทนเบียดกับฝรั่งตัวใหญ่ๆ พวกนั้น
   “เดี๋ยวผมขอแวะไปส่งเพื่อนก่อนนะ” เขาพูด ผมพยักหน้าอย่างไม่ทันคิดอะไร พลางนึกว่าจะรับมือกับฝรั่งพวกนั้นอย่างไรดี จนกระทั่งสองคนนั่นลงจากรถ หายเข้าโรงแรมไปนั่นแหละ
   “พราย..” ผมเรียกชื่อเขา และหันกลับมามอง พอเห็นหน้า เสียงผมก็หายไปแค่นั้น
   “อยากทานอะไรล่ะครับพี่” เขาถาม พร้อมกับยิ้มอ่อนโยน ผมพูดไม่ออกเลยจริงๆ
   แว้บนั้นผมรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองอีกครั้ง

   พรายโพยมพาผมมาทานอาหารในโรงแรมที่อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ใช่ว่าผมไม่มีปัญหาจะจ่ายเงินเข้ามาทานอาหารในโรงแรมหรูแบบนี้ เพียงแต่รู้สึกว่าบรรยากาศมันอึดอัดไปสักหน่อยเท่านั้นเอง เขาสั่งอาหาร แน่นอนว่าเป็นของชอบผมทั้งนั้น ผมรู้สึกตื้นตันอยู่ลึกๆ ที่เขายังจำรายละเอียดเกี่ยวกับผมได้
   “งานที่อเมริกาเป็นไงบ้าง” ผมเป็นฝ่ายเริ่มต้นการสนทนาก่อน เขายิ้ม และตอบคำถามผม “ก็งั้นๆ แหละ เคี่ยวกันไปคนละอย่างกับเมืองไทย ดีตรงค่าแรงเยอะกว่าล่ะมั้ง”
   ผมพยักหน้า พลางมองหน้าเขา พรายโพยมยังคงหล่อเหลาคมคายเหมือนเดิม ยิ่งพอโตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์
   “โตขึ้นเยอะเลยนะ เหมือนไม่เห็นกันแค่แว้บเดียวเอง” ผมว่า เขาหัวเราะ “จะบอกว่าผมแก่ขึ้นหรือครับ? ผมว่าพี่สิไม่เปลี่ยนไปเลย อย่างกับถูกจับสตาฟไว้”
   ผมหัวเราะบ้าง “พี่แก่แล้ว ยิ่งพออายุขึ้นเลขสี่นี่ยิ่งชัดเลยล่ะ คนเราพอแก่ตัวไปก็ทำอะไรๆ ได้ไม่เท่าเมื่อก่อนแล้ว สู้คนหนุ่มๆ ก็ไม่ได้”
   “โห อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ เดี๋ยวผมก็ขึ้นเลขสี่ตามพี่แล้วนะ” เขาว่าและทำตาโต ผมหัวเราะอีก “ตามไงก็ไม่ทันหรอก”
   เขาหัวเราะขึ้นบ้าง เหมือนนานแล้วที่เขากับผมไม่ได้พูดคุยแล้วหัวเราะกันแบบนี้ อืม.. ก็มันตั้งเกือบยี่สิบปีแล้วนี่นา
   “แล้วงานพี่ล่ะเป็นไง พี่พงษ์ใช้งานโหดเกิดไปมั้ย?”
   ผมสั่นศีรษะ “ก็ธรรมดาแหละ มีเครียดบ้างบางเวลา”
   “อืม ก็งานจัดการทรัพยากรมนุษย์นี่นะ ผมล่ะโคตรนับถือเลย พี่ทำเข้าไปได้ไง เป็นผมนะ คงสติแตกก่อนแล้วล่ะ”
   ผมตอบยิ้มๆ “จะทำมันก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ”
   เขายกมือชูนิ้วโป้ง “นี่แหละ ผมถึงมองว่าพี่สมาร์ท เพอร์เฟกต์สุดๆ ผมไม่เสียดายเวลาเลยนะ ที่ได้คบกับพี่ พี่เป็นผู้ชายที่สุดยอดมาก ผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว พี่ยังสุดยอดอยู่เลย”
   ผมอึ้งไปถนัด นี่เขากำลังจะพูดถึงสมัยที่เราคบกันอยู่หรือ เขายังจำช่วงเวลานั้นได้หรือ?
   เขาขยับตัว มองผมด้วยสายตาเหมือนเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน ไม่น่าเชื่อเลยว่าผ่านมาถึงตอนนี้แล้ว เขายังมีแววตาแบบนี้ให้ผมได้อยู่
   “ผมรู้ พี่จำไม่ได้หรอก พี่คบผมเพราะความเคยชิน ผมไม่โกรธพี่หรอกนะ ก็พี่สมาร์ทออกขนาดนี้ อย่างผมก็แค่เด็กกะโปโลคนหนึ่งเท่านั้นแหละ ตอนนั้นผมตั้งใจแค่จะขู่พี่ว่าผมจะไปเรียนต่อ เผื่อพี่จะแสดงว่ามองผมอยู่บ้าง แต่ว่า... พี่ก็ปล่อยผมไป ผมถึงได้รู้ พี่ไม่ได้มองผม ไม่ได้รู้สึกกับผมแบบนั้นเลย”
   ผมอ้าปากค้าง จะพูด แต่ก็ไม่มีเสียง
   ผมปล่อยเขาไป...?!
   “ขอโทษนะพี่” เขาพูดเหมือนนึกได้ “ผมเอาเรื่องตัวเองมาพูดแบบนี้ แต่ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่จริงๆ นั่นแหละ พอเจอพี่เมิน ผมเลยประชดไปไม่กลับมันเสียเลย มานึกได้ตอนหลังว่าผมก็เกินไปเหมือนกัน ถึงพี่ไม่คิดอะไรแต่ผมน่าจะติดต่อพี่กลับบ้าง แต่กว่าจะคิดได้มันก็หลายปีแล้ว สุดท้ายก็เลยคิดว่ายังไงคงต้องหาโอกาสมาเจอพี่สักครั้ง อยากจะขอโทษพี่ที่ผมหายหน้าไปนานขนาดนี้”
   ผมรู้สึกคอแห้ง ในหัวตื้อไปหมด หน้าเขาก็ดูจะพร่าไปเสียเฉยๆ
   ผมปล่อยผู้ชายคนนี้ไปเอง?....
   พราย....
   
   “พี่ไพฑูรย์ ผมจะไปเรียนต่ออเมริกาล่ะ” วันนั้นพรายโพยมวิ่งมาบอกผมด้วยสีหน้าระรื่นใจ ผมมองหน้าเขา แล้วพูดยิ้มๆ “เอาสิ มีโอกาสแล้วนี่”
   ผมไม่รู้เลยว่าที่หน้าเขาซีดลงตอนนั้นเพราะคำพูดของผมเอง
   ผมไม่เคยนึกเลย ผมไม่เคยรู้สึกเลย...
   ผม..............
   
   “เดือนหน้าผมจะแต่งงานแล้ว ผู้ชายอายุสามเก้าแต่งงาน พี่ว่าไม่แก่หรอกเนอะ ผมเอาการ์ดมาให้พี่ด้วย ถ้าพี่จะไป เดี๋ยวผมซื้อตั๋วไว้ให้เลย”
   ผมหูอื้อ ตาพร่า หัวใจที่ต่อให้มีเรื่องน่าหงุดหงิดขนาดไหนก็ไม่เคยเต้นแรง ตอนนี้เต้นจนปวดไปหมด
   “พี่ไพฑูรย์” ได้ยินเสียงพรายโพยมเรียกชื่อผมอย่างตกใจ “พี่ร้องไห้?”
   “อื้อ” ผมพยักหน้า “แหม...ก็ใครจะคิดล่ะว่าเด็กกะโปโลตอนนั้นจะมาพูดอะไรเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ พี่ซึ้งจนน้ำตาไหลเลยเนี่ย”
   “เอ่อ...แหม.... พี่อึ้งผมขนาดนี้เลยหรือนี่ ผมอายเหมือนกันนะ” เขาว่า และยิ้ม ผมยิ้ม ใช่ล่ะ ผมคือไพฑูรย์ ผู้ชายอายุสี่สิบสองจะสี่สิบสาม ผมผ่านอะไรมามากแล้ว ผมจัดการปัญหาทุกอย่างได้ ขอแค่ผมอยากทำ ขอแค่ผมตั้งใจ อะไรๆ ผมก็จัดการได้ทั้งนั้น....
   ผมอยู่ทานข้าวกับเขาจนดึก คุยนั่นคุยนี่ตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน ผมรู้ว่าเขายังเหมือนเดิม และผมเองก็ยังเหมือนเดิม เราทั้งคู่เหมือนเดิม ทุกอย่างถูกกำหนดให้เป็นไปแต่แรกอยู่แล้ว เราสองคนแค่พลาด ที่ต่างฝ่ายต่างไม่เปลี่ยนไปเลย ถ้าผมรู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้อีกนิด ถ้าเขากล้าพูดกับผมตรงๆ กว่านั้นอีกหน่อย
   แต่....มันคงเป็นไปไมได้อีกแล้ว....
   ผมเดินคู่ออกมากับเขา อาหารน่าจะอร่อย แต่ที่ผมรู้สึกคือรสชาติขมเฝื่อนในปาก พรายโพยมเรียกรถ ขณะที่ผมกำลังจะขยับเข้าไปนั่ง สายตาก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่ง
   “คุณไพฑูรย์” เขาเรียกผมก่อนที่ผมจะทันทักเขาเสียอีก ผมเงยหน้าจากรถ มองดูเด็กหนุ่มอายุยี่สิบกว่าๆ ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา
   “คุณนพ” ผมทักเขา รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ได้เห็นเขาที่นี่ นพรัตน์ยังอยู่ในชุดเดิมกับที่ทำงาน เขามองผม ขณะที่พรายโพยมชะโงกหน้าออกมา “อ้าว น้องที่ทำงานอยู่ที่ห้องพี่นี่”
   ผมพยักหน้า แต่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้ยินเสียงนพรัตน์พูดขึ้น “พอดีผมบังเอิญผ่านมาน่ะ”
   ไม่รู้พรายโพยมคิดไง แต่สำหรับผม ผมว่าข้อแก้ตัวของเขาฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย ผมหันไปยิ้มกับพรายโพยมที่นั่งทำหน้างงอยู่บนรถ ก่อนจะหันมามองเขา และถอนหายใจ
   “พราย พี่กลับกับน้องเขาแล้วกัน พอดีบ้านเขาอยู่ใกล้บ้านพี่ นี่ก็ดึกแล้ว พรายจะได้กลับไปพักผ่อน”
   “เอางั้นก็ได้” พรายโพยมยอมตกลงหลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง เขาปิดประตูรถ ขณะที่ผมหันไปมองนพรัตน์ “เอารถมารึเปล่าน่ะ ถ้าไม่เอามาจะได้เรียกแท็กซี่”
   บนหน้าของนพรัตน์ค่อยมีรอยยิ้มขึ้นมา สุดท้ายก็ยิ้มแก้มแทบปริเหมือนเดิม
   “เอามาครับ”
---------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ผมนั่งเงียบมาตลอดทาง เจ้านพรัตน์ก็รู้หน้าที่ดีอีกเช่นเคย พอเห็นผมเงียบ ก็หาเพลงบรรเลงที่ผมชอบมาเปิดเบาๆ แล้วก็ขับรถไปเงียบๆ
   ผมเอนหลังพิงเบาะ มองดูแสงไฟตามถนนที่วูบวาบเข้ามา สมองเบลอๆ ไปหมด ไม่รู้ว่าจะคิดต่อไปในทางไหน ภาพรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพรายโพยมปรากฏขึ้นในห้วงความคิด ทั้งภาพเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน และภาพที่เพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน
   หัวใจผมปวดแปลบ แต่ไม่ถึงขนาดตอนที่เขาจากไปอีกแล้ว เขาแค่กลับมา พูดความในใจของตัวเอง ทำให้คนอย่างผมเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ทำให้คนอย่างผมรู้ตัวเองมากขึ้น
   เกือบยี่สิบปีแล้ว เยื่อใยของผมที่มีต่อเขามันก็ขาดไปเยอะแล้วเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไม น้ำตามันถึงได้ไหลออกมาในตอนนั้น
   คงเป็นสายใยสุดท้ายที่ผมยังเหลืออยู่ล่ะมั้ง…..
---------------------------------------------------
   ผมสะดุ้ง ตอนที่นพรัตน์เรียกชื่อ “คุณไพฑูรย์ครับ ถึงแล้ว”
   ผมลืมตาขึ้นมองเขา เห็นเขามองลงมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง “เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
   ผมสั่นศีรษะ ยันตัวลุกขึ้น และยุดมือที่เขายื่นเข้ามาก่อนจะขยับตัวออกไปยืนนอกรถ พอเห็นผมเซหน่อยเดียว เขาก็แสดงอาการเป็นห่วงจนออกนอกหน้า
   “ไหวรึเปล่าครับ?”
   “อืม” ผมส่งเสียง และก้าวเดินออกไปตามปกติ แต่ทำไมขามันถึงสั่นนักก็ไม่รู้ ผมบังคับมืออยู่นาน กว่าจะสอดกุญแจเข้าไปไขประตูบ้านได้ นพรัตน์ยืนอยู่ที่หน้าประตู เหมือนจะรอให้แน่ใจว่าผมคงไม่ล้มลงไประหว่างนี้ ผมหันไปมองเขา มองตาซื่อๆ คู่นั้น แล้วพูดออกไป
   “คืนนี้จะค้างรึเปล่า?”
   เขาเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจพอสมควร แต่ก็พยักหน้า “ครับ”
   “นอนโซฟาเหมือนเดิมแล้วกัน” ผมพูด พลางดึงเนกไทออก หัวใจผมไม่ทำงานหนักขนาดนี้มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ถ้าหากพรุ่งนี้มันเกิดหนีงานไปดื้อๆ จะได้มีคนโทรบอกให้วัดมารับไปทัน
   ผมก็แค่เผื่อเอาไว้ เท่านั้นเอง....
--------------------------------------------------
   ผมทิ้งตัวนอนบนเตียงอย่างคนสิ้นเรี่ยวสิ้นแรง ในหัวมีแต่ภาพของพรายโพยมเต็มไปหมด ได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อผม
   พี่ไพฑูรย์
   เขาอยู่ตรงหน้าผม เรียกชื่อผม สารภาพความในใจกับผม บอกผมว่าชอบ บอกว่ารู้สึกดีกับผม ผมคิดเหมือนเขาทุกอย่าง แต่ผมพูดตอบเขาไปไม่ออกเลยสักคำ
   ราวกับคำพูดพวกนั้นกลายเป็นด้ายร้อยเย็บปากของผมเอาไว้
   ผมรู้สึกตัวช้าเกินไป เขามาพูดกับผมช้าเกินไป เราทั้งคู่ต่างสายป่านขาดกันแล้ว แต่ทำไมถึงมีแต่ผมที่ยังเจ็บอกแปลบๆ
   เพราะเขาได้พูดความในใจที่เก็บมาเป็นสิบปีนั้นแล้ว แต่ผมกลับไม่ได้พูดออกไปเลย มันเลยไหลย้อนให้ผมเจ็บร้าวอยู่ในตอนนี้
   ผมจะพูดออกไปได้อย่างไร ในเมื่อเขากำลังจะมีชีวิตใหม่ เราเดินห่างกันมาไกลเกินจะย้อนกลับแล้ว
   ถึงจะรู้อย่างนั้น หัวใจของผมยังคงเจ็บแปลบๆ เจ็บซ้ำที่เดิมเหมือนเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ราวกับแผลใจถูกแหวะฉีกออกมาอีกครั้ง
   พราย....
   ผมรู้สึกเหมือนตัวเองละเมอเรียกชื่อเขา จากนั้นก็เหมือนได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อผม
   คุณไพฑูรย์
   ผมไม่รู้ว่าใคร ผมนึกอะไรไม่ออก เสียงนั้นคุ้นหู แต่ใครกัน? อกผมปวดแทบระเบิด ตัวสั่นกึกๆ เหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ใครคนนั้นกอดผมเอาไว้ ลูบตัวผมอย่างอ่อนโยน กระซิบปลอบผมเบาๆ
   ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะครับ
   เสียงนั้นคุ้นหู แต่ผมนึกไม่ออกเอาเสียเลยว่าเป็นเสียงใคร ถึงอย่างนั้นผมก็กอดตอบเขา เพราะตัวเขาอุ่นเหลือเกิน อุ่นจนผมคิดว่าคงพอทำให้ตัวของผมที่สั่นอยู่หายสั่นลงไปได้ อ้อมกอดของเขาอ่อนโยน คงจะพอปลอบประโลมหัวใจที่เต้นราวกับจะหลุดออกมาของผมลงได้
   ผมกอดใครคนนั้นเอาไว้เหมือนคนเรือแตกที่คว้าอะไรได้ก็รีบคว้า
   ในสภาวะแบบนี้ ผมวางมาดต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
------------------------------------------------
   ผมตื่นมาด้วยอาการเบลอๆ ในเช้าวันรุ่งขึ้น และรู้สึกเหมือนมีใครนอนอยู่ข้างๆ ผมรู้สึกตัวตื่นเต็มที่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที
   นพรัตน์นอนหลับซุกหมอนอยู่ ใส่ชุดนอนเรียบร้อย ตัวผมเองก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงตัดเรื่องอย่างนั้นทิ้งไปได้เลย
   ผมนึกทบทวน เมื่อวานผมถูกพรายโพยมคุ้ยแผลเก่าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมเจ็บอกจนหน้ามืด เลยชวนนพรัตน์มาค้างด้วย เพราะกลัวจะหัวใจวายตาย เจ้าหมอนี่คงขึ้นมาดูผมตามประสาพวกขี้เป็นห่วง แล้วท่าทางจะเห็นผมละเมอ ก็เลยมานอนเป็นเพื่อนล่ะมั้ง
   ผมพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวเมื่อคืนอย่างจำได้บ้างไม่ได้บ้าง และนึกอนาถตัวเอง นี่สินะ ที่เขาเรียกว่าขาดสติ ผมทำอย่างกับว่าจะขาดใจตายเสียให้ได้ กับแค่ได้รู้ความในใจของพรายโพยมช้าไปเกือบยี่สิบปี....
   เรื่องเมื่อวานทำเอาผมช็อก แต่ก็ได้แค่นั้นแหละ วันนี้หัวใจผมกลับมาเต้นเป็นปกติ กลับเป็นไพฑูรย์คนเดิมแล้ว ปัญหาคือ จะทำยังไงกับเจ้าเด็กนี่ดี......
   ผมว่านพรัตน์รู้เรื่องผมมากไปแล้ว หมอนี่เห็นสภาพทุเรศทุรังของผมหลายอย่าง นับเป็นมนุษย์คนแรกในโลกที่ได้เห็นคนอย่างผมครบทุกสภาพแบบนี้ นึกแล้วก็อยากบีบคอปิดปากเสียตอนนี้เลย ติดแต่หน้าตอนนอนของหมอนี่ไร้เดียงสาเสียไม่มี ไม่รู้เลยหรือไงว่านอนเตียงคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่
   แล้วจะว่าไป หมอนี่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักอย่าง....
   ผมนึกสงสัยว่านพรัตน์เข้าหาผมเพราะหวังอะไรกันแน่ เหมือนเขาจะจีบผม แต่อายุห่างกันขนาดนี้ ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอก ถึงจะมีเรื่องอาจารย์ที่เขาเล่าก็เถอะ ใครจะไปรู้ว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า หมอนี่คิดอะไรอยู่กันแน่นะ ผมไม่เข้าใจจริงๆ
   ถ้าเขาบอกผมว่าชอบ แล้วผมจะตอบเขาไปว่าอย่างไรนะ...
   ผมมองหน้านพรัตน์ที่นอนหลับอยู่ และบอกตัวเองว่าหยุดฟุ้งซ่านเสียที เขาจะทำเพราะอะไรก็ช่าง ผมก็ต้องเป็นผมนี่แหละ ความรู้สึกของเด็กอายุแค่ยี่สิบกว่า มันจะมั่นคงได้อย่างไรกัน เพราะฉะนั้น คนอายุสี่สิบกว่าแบบผม จึงสมควรที่สุดที่จะรักษาจุดยืนของตัวเองเอาไว้ให้มั่น
   อย่าให้หลุดเหมือนเมื่อวานนี้อีก
-----------------------------------------
   “อือ...อืม...หืม.. อรุณสวัสดิ์ครับ” นพรัตน์พูดอย่างรู้สึกตัวและแทบจะกระโดดลงจากเตียงตอนที่ลืมตาขึ้นมาเห็นผมยืนท้าวสะเอวอยู่
   “อืม ไง นอนหลับสบายไหม?” ผมถาม พยายามทำท่าทางไม่ให้เหมือนประชด เพราะผมนึกคำพูดที่ดีกว่านี้ไม่ออกเหมือนกัน
   “อ้อ...ครับ” เขาพยักหน้า และหน้าแดงวาบ เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นบาง เวลาเห็นเขาทำแบบนี้ ผมล่ะอยากจะเดินไปถีบจริงๆ อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังจะทำท่าอายเหมือนเด็กๆ อยู่อีก
   แต่แน่นอนว่าคนอย่างผมไม่ทำอะไรป่าเถื่อนแบบนั้น ดังนั้นผมจึงยืนมองเขา รอให้เขาเป็นฝ่ายพูดบ้าง เผื่อผมจะพอนึกคำพูดต่อออก
   นพรัตน์ยังคงทำท่าอายม้วนต่อ เชื่อเลย เขาเขินอย่างกับว่าถูกผมจับปล้ำเมื่อวานงั้นแหละ ทำเอาหนังหน้าคนอายุสี่สิบกว่าๆ อย่างผมพลอยร้อนไปด้วย เด็กบ้านี่ น่าถีบจริงๆ
   “คุณนพ เรื่องเมื่อวานน่ะ คุณอย่าเก็บเอามาคิดมากเลยนะ” ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายพูดออกไปก่อน เพราะท่าทางปล่อยไป เขาคงได้ม้วนตัวเข้าไปในที่นอนแน่ๆ นพรัตน์หยุดเขิน เงยหน้าขึ้นมองผมทันที ผมไม่ปล่อยโอกาสได้เขาได้พูดอะไร เพราะถ้ามันจี้ใจดำผมขึ้นมา ผมคงแย่
   “คุณพรายโพยมกับผมมีเรื่องกันนิดหน่อย แต่เข้าใจกันแล้ว เมื่อวานผมแค่ตกใจ คุณเข้าใจนะ”
   เขาพยักหน้าหงึกๆ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจ หรืออาจจะเข้าใจดีเกินกว่าที่ผมอยากให้เป็นนะ
   “แล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ” เขาถามออกมาบ้าง ผมสั่นศีรษะ “ผมสบายดีแล้ว หายแล้วล่ะ บอกแล้วว่าผมตกใจเฉยๆ “
   “อือ ผมรู้”
   รู้อะไรของนายน่ะ ผมนึกในใจ แล้วพูดต่อ “ถ้าเจอคุณพราย ไม่ต้องทำหน้าอะไรใส่เขานะ ทำเฉยๆ เหมือนปกตินั่นแหละ รู้แล้วใช่ไหมว่าเขาเป็นน้องคุณพงษ์โพยม”
   “คุณรู้ได้ไงว่าผมจะทำหน้าอะไรใส่เขา” นพรัตน์ถาม ผมว่าตอนนี้เขาทำหน้าแกล้งซื่อแน่ๆ ผมขมวดคิ้ว ทำหน้าจริงจัง พูดด้วยเสียงดุๆ “เอาว่าผมรู้แล้วกัน สัญญาสิว่าจะทำหน้าตาปกติ”
   นพรัตน์เม้มปาก ยิ้มจนเห็นลักยิ้มบนแก้ม ผมว่าเขาคงเกรงใจผมมั้ง ไม่งั้นคงยิ้มจนเห็นเขี้ยวแล้วล่ะ
   “ครับ ผมสัญญา”
---------------------------------------------------------
   สุดท้ายนายนพรัตน์ก็ได้ทั้งนอนค้างและทำกับข้าวทานกับผมเหมือนที่ได้ตกลงกันเอาไว้ตอนแรก ถึงจะเปลี่ยนจากเมื่อเย็นวานมาเป็นเช้าอีกวันแทนก็เถอะ ตอนนี้ผมกับเขากำลังเดินซื้อของไปทำมื้อเที่ยงกันในห้างฯ เพราะเราตื่นสายโด่งจนตลาดวายหมดแล้ว
   เขาชวนผมซื้อนั่นซื้อนี่ด้วยอาการของคนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ปกติหมอนี่ก็อารมณ์ดีอยู่แล้ว แต่วันนี้เหมือนจะยิ่งดีกว่าวันอื่น วัดได้จากอัตราการยิ้ม ที่แทบจะไม่หุบเลยทีเดียว ผมมองๆ แล้วสงสัยว่าชาติก่อนเขาคงเคยประกวดได้นางสาวไทย
   “ถามจริงเถอะ มาค้างกับผมแบบนี้ ที่บ้านไม่ว่าอะไรเหรอ?” ผมถามเขาตอนที่เรากลับขึ้นรถแล้ว เขาสั่นศีรษะ
   “พี่ชายผมแต่งงานแล้วนะ พี่สาวก็ด้วย แต่เขาแวะมาเยี่ยมผมบ่อยก็เท่านั้นแหละ พ่อแม่ก็เสียแล้ว ความจริงผมก็เกือบจะเหลืออยู่ที่บ้านคนเดียวแล้วล่ะ”
   “อ้าว แล้วนี่ไม่วางแผนแต่งงานบ้างหรือไง หรือเก็บเงินอยู่” ผมแซว เขาหันมามอง ทำหน้ามุ่ย
   “ผมบอกแล้วว่ายังไม่มีแฟน รออยู่เหมือนกัน ไม่รู้จะได้รึเปล่า”
   “ถ้าอายุเยอะกว่ามากๆ ผมว่าไม่ไหวหรอก เชื่อสิ”
   “คุณไม่เคยชอบคนอายุมากกว่า คุณจะรู้ได้ไง” เขาเถียง ทำหน้าไม่เชื่อสุดๆ ผมเลยปั้นหน้าทรงภูมิเต็มที่ “รู้สิ อย่างน้อยผมก็อายุมาก....”
   พูดไปก็กระดากตัวเอง ผมกำลังเล่นอะไรกับเขากันแน่เนี่ย ได้ยินเสียงนพรัตน์พูดต่ออย่างร้อนรน “งั้นไม่ต้องบอกผมนะ ผมไม่อยากรู้”
   “ทำไมล่ะ”
   “ผมกลัวอกหัก”
   เหลือเชื่อจริงๆ คำนี้ของเขาเล่นเอาผมพูดต่อไม่ออก นพรัตน์นิ่งไปอีกพักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมายิ้มจนเห็นเขี้ยว
   ผมล่ะนึกอยากถีบเขาขึ้นมาตะหงิดๆ
----------------------------------------------------
   ก่อนถึงบ้าน นพรัตน์ยังชวนผมแวะเช่าหนังอีกสองเรื่อง กะว่าจะเอาให้ครบตามคำพูดที่พูดกันวันนั้นเลยทีเดียว เอาเถอะ วันเสาร์ก็ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ขณะที่กำลังเลือกว่าจะดูเรื่องอะไร ผมก็มีโทรศัพท์เข้ามา
   “สวัสดีครับ อ้อ...พรายเหรอ?” ผมพูดโทรศัพท์อย่างไม่ทันนึก หันไปมองอีกทีก็เห็นนพรัตน์จ้องเขม็ง สงสัยจะได้ยินว่าผมเรียกชื่อใคร
   “พี่ไพฑูรย์ วันนี้ว่างรึเปล่า ผมจะออกไปซื้อของฝากแฟน ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
   ผมมองนพรัตน์ แล้วกะพริบตาปริบๆ “พี่ไม่ว่างหรอก ติดธุระอยู่ โทษทีนะ”
   “อ๋อ งั้นไม่เป็นไร ไว้เจอกันนะ” เขาว่าและวางสายไป ผมเงยหน้าอีกทีก็เห็นเจ้าเด็กนั่นยิ้มแก้มแทบปริ เอ่อ... ผมแค่ไม่อยากไปซื้อของฝากแฟนคนอื่น ก็แค่นั้นเอง เจ้านี่เข้าใจไปถึงไหนเนี่ย
   ผมขี้เกียจอธิบายเหตุผล เพราะไม่รู้จะอธิบายไปเพื่ออะไร นพรัตน์ดูอารมณ์ดีสุดๆ ชนิดแทบจะอุ้มผมลงจากรถตอนที่กลับถึงบ้าน ผมเลยรีบยัดถุงข้าวของใส่มือของเขาแทน
   เที่ยงนั้นเราทำข้าวผัดแฮมกินกัน ฝีมือทำครัวเขายังคงไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม ช่วยได้แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างต้มน้ำ ล้างผัก แล้วก็ล้างชามเท่านั้นแหละ จากนั้นเราก็ทอดข้าวเกรียบเพื่อจะเอาไปนั่งทานกันตอนดูหนังแผ่นหน้าจอทีวี ปรากฏว่าเขาก็ยังทอดไหม้อีก ผมล่ะแทบจะจับเขาเข้าคอร์สเรียนทำครัวจริงๆ พอผมบ่นๆ มากๆ นพรัตน์ก็จะทำหน้าเจื่อนๆ แล้วช้อนตามองผมเหมือนไอ้ตุ๊กตาแมวที่เขาซื้อฝาก ซึ่งผมยังไม่มีเวลาเอามาหาที่วางข้างล่าง มันเลยยังสถิตอยู่บนหัวเตียงของผม
   เจอแบบนี้ผมเลยคร้านจะบ่นต่อ ปากท้องใครปากท้องมัน เอาไว้เขาพึ่งมือผมไม่ได้ก่อน คงนึกถึงสิ่งที่ผมพร่ำสอนไปบ้างนั่นแหละ
   ดูหนังจบไปเรื่อง พอกับข้าวเกรียบที่ทานเข้าไปอืดได้ที่ ผมเลยชวนเขาออกไปเดินเล่นย่อยอาหาร ดูนกดูคนจูงหมาเดินรอบหมู่บ้านในยามเย็น เพื่อนบ้านหลายคนทักอย่างสงสัย เพราะไม่เคยเห็นผมมีญาติมาเยี่ยมกับเขาสักที ผมเลยเนียนไปว่าเป็นลูกของพี่ชายซึ่งเป็นลูกของป้า นพรัตน์ทำหน้ามุ่ยๆ แล้วบ่นอุบอิบอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ชัด
   เราเดินคุยนั่นคุยนี่ แวะทักเพื่อนบ้าน หยอกเด็กเล่นมาจนถึงสระว่ายน้ำ นพรัตน์เลยได้แผนการใหม่ของสัปดาห์หน้าทันที
   “เสาร์หน้าผมมาว่ายน้ำกับคุณดีกว่า ว่ายคนเดียวเบื่อแล้ว” เขาว่า ผมทำหน้าขึงขัง “ผมตื่นไปว่ายน้ำแต่เช้านะ จะมาทันเหรอ?”
   “ผมก็มาค้างตั้งแต่วันศุกร์ไง” เขาตอบ 
นั่น...รอบคอบเสียไม่มี
ผมชักสงสัยว่าท่าทางเขาจะได้ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับผมวันใดวันหนึ่ง ดูจากการรุกคืบที่เป็นๆ อยู่ ผมมองหน้าเขา และคิดว่าถ้าเป็นงั้นจริงผมจะทำอย่างไรต่อดี
ซื้อเตียงใหม่สักหลัง หรือซื้อโซฟาแบบปรับเอนได้ดีนะ
ผมนึกขำกับความคิดตัวเอง ท่าทางผมจะเข้าสู่วัยกลางคนเต็มที่แล้ว เลยนึกอยากมีลูกๆ หลานๆ มาอยู่เป็นเพื่อนบ้าง
เจ้าหลานได้ฟรีคนนี้ก็น่ารักพอสมควร เสียแต่ว่าจะทนอยู่กับผมได้กี่น้ำเชียว
“นี่ คุณนพ” ผมเรียกเขา ซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากร้านขายไอศกรีม
“ครับ?”
“ถ้าคุณจะลาออก บอกผมสักเดือนสองเดือนนะ ผมจะได้หาคนมาแทน”
นพรัตน์กะพริบตาปริบๆ ค้างมือที่แกะห่อไอศกรีมไว้อย่างนั้น
“ผมไม่ให้ใครมาแทนที่ผมหรอก”
เขายังเด็ก อายุเพิ่งยี่สิบต้นๆ เรียกว่ารุ่นลูกรุ่นหลานผมแล้ว ถึงอย่างนั้น ผมกลับได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงอีก
แต่ก็เท่านั้นแหละ
เพราะผมจะไม่สั่นคลอนอีกเป็นครั้งที่สอง
-----------------------------------------------------

ออฟไลน์ Piaanie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
สร้างกำแพงเต็มที่เลยไพฑูรย์ แต่อีกฝ่ายก็บุกเต็มที่เหมือนกัน เฮ่อสงสารนพอ่ะ อย่าแกล้งนพเยอะสิคุณjuon  :sad4:

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2
สงสารนพเหมือนกันนะเนี่ย
ท่าทางจะเหนื่อยอีกนาน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ love2y

  • (′~‵)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2059
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-11
นพช้าอ่ะ บอกเลยซิ บอกเลย รุกเข้าไปเยอะๆเลย >_<

ปล. ปลาบปลื้มกับนิยายคุณ juon มากมาย แต่ละตอนยาวววววววววววววได้ใจมากเลยค่า ^^

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก พยายามเข้านะนพ
เค้าก็หลงรักลุงเหมือนนพล่ะ
รักคนอายุมากกว่าการ์ดก็แข็งงี้แหละสู้เค้า

ออฟไลน์ อิสระ

  • ถ้า add ให้กอด,ถ้า give five ให้จุ๊บ,ถ้า ment ให้เบอร์ คิคิ
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-8
    • https://www.facebook.com/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-1433707443445407/?modal=admin_todo_tour
 :o8:ปลื้มพี่ไพ(เรียกพี่นี่แหละใกล้เคียงสถานะตอนนี้ของเราแล้ว555)
เชียร์นพเพราะก็ชอบเด็ก :impress2:
ว่าแต่เด็กจะกินผู้ใหญ่ทั้งทีต้องค่อยเป็นค่อยไปชะมะ

ที่สุดคือปลื้อผู้เขียน เขียนเรื่องนี้ได้โดนใจและแต่ล่ะตอนยาวได้ใจมากกกกกกก
+1

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
เชียร์นพสุดใจเลย ตอนแรกก็งงอยู่ว่าใครจะกดใครน๊อ

แต่ตอนนี้รู้แหละ คริ ๆ

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
น่ารักมากค่ะ
40 ยังแจ๋วนะค๊ะ
เชียร์คุณพี่ไพกับหลานนพค่ะ

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
น้องนพต้องหมั่นเอาแคลเซี่ยมให้คุณไพฑูรย์ททานทุกวันนะคะ
ไม่งั้นนานไปจะลำบากน้องนพ เล่นท่าไม่ได้  :laugh: :laugh:

แต่ตอนนี้ต้องจีบให้ติดก่อนชิมิ เอ้า น้องนพสู้ๆ :110011: :z7:

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
เชิญร่วมกันบริจาค เพื่อซื้อบันได
ให้นพ จะได้ใช้ข้ามกำแพง คุณอาแก ได้ :m20:

ออฟไลน์ ทิวลิปสีส้ม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
เชื่อเลยว่าถ้าคุณไพฑูรย์ถีบนพอย่างที่คิดทุกครั้งนพคงช้ำระบมอ่ะ  :laugh:
สงสารนพนะ คุณไพฑูรย์ก็กั้นกำแพงซะหนาเลยอ่ะ ให้มันบางๆ ลงบ้างนะคะนพจะได้ทะลุเข้าไปง่ายๆ แต่แหมนพเขาก็ยอมซะที่ไหนรุกเอารุกเอา มีวางแผนวางโปรแกรมไว้ล่วงหน้าอีก  :-[ แบบนี้เชียร์ขาดใจ แถมดูท่าว่าคุณไพฑูรย์ชอบอะไรคุณนพรู้ใจหมด (สงสัยคงตามสืบมาหมดละ o18)
ชอบมากมาย แต่ละตอนยาวสะใจจริงค่ะ o13
รอตอนต่อไปนะคะ ^^

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ดีใจจังได้ตามอ่านทุกวัน
และก็ยาวด้วย
จะจีบคนแก่ต้องใจเย็นๆ
บวกหนึ่งค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MimicClub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 323
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-3
 :-[    นพสู้ๆ เชียร์ นพสูดใจ  บุกโลด   :laugh:

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
เอะอะก้ออยากจะถีบเค้า ถามจริง ไหวหรอคะคุณไพฑูรย์  :laugh:

แต่อ่านตอนที่คุยกับอดีต(ไม่อยากเรียกชื่อเฉยๆ มันหลอน ) ก้อแอบใจหายแปลกๆเหมือนกันค่ะ :เฮ้อ:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งเข้ามาอ่านทั้งหมดวันนี้เองค่ะ  บอกได้คำเดียวว่า ชอบบบบบบบ
เข้าใจคุณไพทูรย์นะ เพราะอายุ เพราะตำแหน่งหน้าที่ เพราะสถานภาพ-บทบาท
จึงต้องคิดมาก ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง(ทั้งๆแอบคิดไปแล้ว) และทำให้ต้องสร้างกำแพง

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5

ออฟไลน์ kazhiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-2
คุณไพฑูรณ์ไม่เปิดช่องบ้างเลย เด็กมันก็สู้นะ แต่คุณไพฑูรณ์ไม่ให้ความร่วมมือเลย
เห้อ เมื่อไหร่จะรู้ใจกันละเนี่ย
ขอบคุณมากค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ NY_JK

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 639
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
 :L1: +1 เป็นกำลังใจ&เชียร์นพให้เข้าไปในใจคุณไพฑูรย์ได้เร็วๆ

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
โหว
ตัวเองอะแก่แล้วนะ
อย่าปิดกั้นตัวเองนักสิ เดี๋ยวก็ขึ้นคานหรอก

ออฟไลน์ heaven13

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 569
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เชิญร่วมกันบริจาค เพื่อซื้อบันได
ให้นพ จะได้ใช้ข้ามกำแพง คุณอาแก ได้ :m20:

บริจาคด้วยคนค่ะ ฮ่าๆ <<โดนคนอ่านไล่ตื๊บ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด