The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)  (อ่าน 108279 ครั้ง)

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
Re: The Eden School.... Special #2 : Festival (28 มิ.ย. 54)
«ตอบ #60 เมื่อ28-06-2011 23:03:55 »

คงไม่ใช่จิมมี่ใช่มั้ย  :-[

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: The Eden School.... Special #2 : Festival (28 มิ.ย. 54)
«ตอบ #61 เมื่อ29-06-2011 00:16:32 »

อ่า... แล้วคนสำคัญของเคธี่เป็นไผล่ะ

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
Re: The Eden School.... Special #2 : Festival (28 มิ.ย. 54)
«ตอบ #62 เมื่อ29-06-2011 00:51:55 »

เหอะๆ เรื่องนี้มีแต่การกินเด็กอ่านะ

ว่าแต่น่ารักดีเนอะคู่นี้ พอหวานก็ไม่มียั้งเลย อิๆ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #63 เมื่อ29-06-2011 12:01:27 »

Special #3 : The Diary


...
..
ผมชื่อมิเชล ลูอิส ย้ายมาอยู่ที่อีเดนนี่ตั้งแต่ ม.4 เพราะทางสถาบันเขาบอกว่า ผมมีพรสวรรค์ด้านการแสดง อันที่จริงผมก็พอจะรู้ตัวเองอยู่เหมือนกัน และก็เพราะแบบนั้น ผมเลยรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากเด็ก ๆ คนอื่นอยู่เสมอ จนกระทั่งมาอยู่ที่อีเดนนี่ล่ะ

     สถาบันแห่งนี้เป็นสถาบันที่แปลกประหลาดกว่าที่อื่น ๆ มันเป็นแหล่งรวบรวมเด็กอัจฉริยะในด้านต่าง ๆ จากทั่วโลก ผมไม่แปลกใจเลยว่าตัวเองจะดูเป็นเด็กธรรมดาเป็นครั้งแรก เมื่อได้มาอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น

     ผมถูกจัดให้อยู่ห้อง Z ที่นั่นผมพบเพื่อน ๆ ร่วมชั้นอีก 14 คน พวกเขาเก่งกันไปคนละด้าน และแต่ละคนก็มีมนุษยสัมพันธ์ดีกันทั้งนั้น ผมเองก็พูดคุยและเข้ากับคนพวกนั้นได้ทุกคนนะ แต่ก็ไม่ได้มีเพื่อนสนิทคนไหนเป็นพิเศษ จนกระทั่ง มีไอ้บ้าคนหนึ่งมาพูดกับผมว่า ให้ผมหัดมีความจริงใจต่อคนอื่นเขาบ้างนั่นล่ะ

     ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมโกรธมาก หมอนั่นมีสิทธิอะไรมาพูดกับผมแบบนั้น แต่ที่ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ผมรู้สึกเสียหน้า มันเหมือนกับว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายอ่านออก ทั้ง ๆ ที่ผมเองก็มั่นใจในฝีมือการแสดงของผมมาก

     ใช่แล้ว…ถ้าจะเรียกสิ่งที่ผมแสดงต่อคนอื่นว่าความไม่จริงใจ ผมก็ยอมรับ ก็ผมไม่คิดว่าคำว่ามิตรภาพมันจะสำคัญอะไรขนาดนั้น ไหน ๆ เวลาเรียนจบ เราก็ต่างคนต่างไปกันอยู่แล้ว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปแคร์อะไรในเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเขาด้วย ใช่! ผมคิดแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่งเพราะคำพูดของไอ้บ้าคนนั้น นั่นล่ะที่ทำให้ความคิดของผมมันเริ่มเปลี่ยนแปลง และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องต่าง ๆ ระหว่างผมกับหมอนั่นที่เกิดขึ้นตามมาอีกภายหลัง …



     ราฟาเอลรีบปิดสมุดบันทึกลงทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูแกรก เขาหันกลับมาปั้นสีหน้ายิ้มแย้มให้เด็กหนุ่มเจ้าของห้อง ที่เพิ่งเข้ามา แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่เป็นผล เมื่ออยู่ต่อหน้าของคนที่มากพรสวรรค์ทางด้านการแสดงอย่างมิเชล ลูอิส

     “นายกำลังปิดบังอะไรบางอย่างกับฉันหรือเปล่า ราฟาเอล!” ถามออกไปด้วยเสียงดุ ๆ พลางจ้องจับผิดอีกฝ่ายเต็มที่

     “มะ…ไม่มีนี่ นายคิดมากไปแล้วมิเชล ฉันจะไปมีอะไรปิดบังนายล่ะ”

     เด็กหนุ่มบอกออกไปกุกกักอย่างอัตโนมัติ เพราะขืนหากปล่อยให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขาแอบอ่านสมุดบันทึกของเจ้าตัวแล้วล่ะก็ มีหวังโดนฆ่าทิ้งแน่ ๆ

     “หือ? แล้วทำอะไรอยู่ที่โต๊ะของฉัน”

     มิเชลถามพลางชะโงกหน้าไปดู โดยที่ราฟาเอล รีบใช้ร่างสูงของตัวเองขยับบังสายตาไม่ให้เด็กหนุ่มเห็นของที่อยู่บนโต๊ะทันที

     “ราฟาเอล! ถอยไป!”

     “มะ…ไม่” ให้ตายก็ไม่ถอย เพราะขืนถอยก็ตายอยู่ดี คิดได้ดังนั้น ราฟาเอลก็เลยยืนบังอยู่แบบนั้น จนมิเชลชักจะขัดใจ

     “เชอะ! ไม่ให้ดูก็ไม่เห็นอยากรู้เลย!”

     เด็กหนุ่มประชดใส่ พลางเดินไปนั่งที่เตียง ถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออก เหลือแต่เสื้อยืดตัวบางข้างในเท่านั้น เล่นเอาราฟาเอลเผลอกลืนน้ำลายลงคอทันทีอย่างลืมตัว

     “มะ…มิเชล นายไม่หนาวหรือไง นี่มันกลางเดือนธันวาคมนะ ถอดเสื้อแบบนั้นเดี๋ยวเป็นหวัดหรอก”

     ราฟาเอลบอกอีกฝ่ายด้วยเสียงตะกุกตะกัก มิเชลซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ก่อนจะแกล้งถอดเสื้อตัวในโยนทิ้งไว้ข้าง ๆ อวดหน้าอกเปลือยเปล่าขาวเนียนน่าสัมผัสให้อีกฝ่ายได้เห็นถนัดตา

     “ไม่นี่ ….ฉันว่า อากาศวันนี้มันร้อนออกจะตายไป ร้อนจนอยากจะแก้ให้มันหมดเลยด้วยซ้ำ” พูดแล้วก็ส่งสายตายั่วยวนคนตรงหน้า ที่ความอดทนใกล้จะถึงขีดสุดแล้วในยามนี้

     เมื่อเห็นอาการอดกลั้นของคนรักมิเชลก็เหยียดยิ้มนิด ๆ อย่างเป็นต่อ จากนั้นจึงแกล้งเอนกายลงนอนบนเตียง ช้อนตามองราฟาเอล มือบางไล้เล่นที่ผิวเนียนนุ่มของตน พลางส่งเสียงครางน้อย ๆ

     “…อืม…อา…..”

     เท่านั้นเอง ความอดทนทั้งหมดของราฟาเอลก็ขาดสะบั้น เด็กหนุ่มเดินปรี่เข้ามาหา แล้วกดร่างบางที่ยั่วเย้าบนเตียง ไว้ใต้ร่างของเขาทันที

     “…นายยั่วฉันเองนะมิเชล”

     เด็กหนุ่มบอกแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าสายตาของมิเชลไม่ได้จับจ้องที่ตัวเขา แต่กำลังจับจ้องเจ้าสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเองอยู่แทน

     “นายอ่านไดอารี่ของฉัน…”

     น้ำเสียงนั้นเยียบเย็นจับใจจนราฟาเอลถึงกับขนลุกซู่ด้วยความสยดสยอง

     “อะ..เอ่อ มิเชล ใจเย็น ๆ นะ ฟังฉันอธิบายก่อน”

     มิเชลค่อย ๆ หน้าแดงขึ้นทีละนิด จนกลายเป็นแดงก่ำ ทั้งอาย ทั้งโมโห เด็กหนุ่มผลักคนตัวโตกว่าบนร่างออกไป พลางวิ่งไปหยิบไดอารี่มากอดไว้อย่างหวงแหน ปากก็ตวาดใส่เสียงดังลั่นอย่างโกรธสุดขีด

     “นายอ่านไปแค่ไหน!”

     “เอ่อ…คือ” ราฟาเอลตอบตะกุกตะกัก ซึ่งนั่งก็ทำให้เสียงตวาดดังขึ้นมาอีกครั้ง

     “ฉันถามว่านายอ่านไปแค่ไหน บอกมาสิ!!”

     “หน้าแรก ๆ แค่หน้าแรก ๆ เท่านั้น!!”

     ราฟาเอลรีบตอบกลับทันที เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะโมโหไปมากกว่านั้น

     “หน้าแรก ๆ …. แรก ๆ แค่ไหน!”

     มิเชลยังตะคอกถามต่อไปอีก แต่ก็รู้สึกโล่งใจนิด ๆ หากว่าราฟาเอลอ่านแค่หน้าแรก ๆ อย่างที่บอกไว้จริง

     “กะ...ก็ถึงตอนที่ ฉันเคยว่านายเรื่องให้คบคนอื่นด้วยความจริงใจเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ได้อ่านต่ออีก” อธิบาย พลางปาดเหงื่อไปด้วย ราวกับว่าอุณหภูมิภายในห้องจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ เช่นนั้น

     “แค่นั้น?” มิเชลย้อนถามเสียงสูง ซึ่งราฟาเอลก็รีบพยักหน้ารับคำทันที

     “ใช่แค่นั้น ไม่ได้มากกว่านั้น คือ...ง่า ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ กะว่าจะหาหนังสืออ่านรอนาย แต่มันดันกลายมาเป็นไดอารี่ เสียได้”

     มิเชลกอดอก มองคนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ราฟาเอลถึงกับแทบสะอึก

     “ถ้าขืนนายทำแบบนี้อีก พวกเราสองคนจบกัน!”

     “ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวเหรอมิเชล!” เด็กหนุ่มร่างสูงครางประท้วง แต่เมื่อสบกับสายตาเย็นชา คมกริบที่จ้องมองมาก็ทำให้เขาหุบปากเงียบสนิทไม่กล้าพูดอะไรต่อไปอีก

     “การกระทำของนายมันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายกาจที่สุด รู้บ้างไหม!”

     มิเชลพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ยังคงโกรธไม่หายที่ถูกแอบอ่านไดอารี่ของตนเอง

     “ฉันบอกแล้วไม่ตั้งใจ ถ้าเป็นของคนอื่นฉันก็ไม่คิดจะอ่านหรอก”

     คำแก้ตัวที่ทำให้คนฟังทะแม่งหู ก่อนจะตวาดใส่ ด้วยความโมโห

     “แล้วถ้าเป็นของฉันก็อ่านได้งั้นเรอะ!!”

     “โธ่! มิเชล ฉันรู้ว่าฉันเสียมารยาทมากที่แอบอ่านไดอารี่ของนาย แต่ฉันก็แค่อยากจะรู้จักนายให้มากกว่านี้ ก็นายน่ะชอบปิดกั้นตัวเองจะตายไป นึกอะไร คิดอะไร ไม่เคยจะยอมให้ใครรู้ ขนาดเราก็คบกันมาเกือบ 2 ปีแล้ว นายยังไม่ยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฉันฟังบ้างเลย ในฐานะคนรัก ฉันก็อยากรู้จักตัวนายในทุก ๆ ด้านบ้างสิ”

     น้ำเสียง สีหน้า และคำพูดที่ออดอ้อนให้ใจอ่อน ทำให้มิเชลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้านั่นเป็นการแสดงเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด เขาก็คงสามารถมองออกได้ทันที แต่สิ่งที่ ราฟาเอล กระทำออกมาทั้งหมด หาใช่การแสดงไม่ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันออกมาจากใจจริงของเด็กหนุ่มทั้งสิ้น

     “ยังไงก็เถอะ ... ฉันไม่ชอบ อย่าทำอีกก็แล้วกัน”

     น้ำเสียงอ่อนลงมามาก จนทำให้ราฟาเอล ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก และก็ต้องอมยิ้มนิด ๆ เมื่ออีกฝ่ายจามกันติด ๆ หลายที

     “ก็บอกแล้วว่าอากาศข้างนอกมันหนาว เล่นถอดเสื้อแบบนี้เดี๋ยวหวัดก็กินหรอก”

     ราฟาเอลพูดกลั้วหัวเราะ พลางหยิบเสื้อของเจ้าตัวส่งให้ ทว่า มิเชลกลับไม่ยอมรับมาใส่ หากกลับจ้องหน้าของเด็กหนุ่มเขม็งแทน

     “ถ้าอย่างนั้น นายก็ช่วยทำให้ฉันอุ่นแทนสิ”

     น้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังนั้น ทำให้ราฟาเอลอ้าปากค้างอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบถามเด็กหนุ่มกลับทันที

     “มะ...มิเชล นี่นายพูดจริง หรือพูดเล่นน่ะ”

     มิเชลเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่เริ่มห้วนขึ้น

     “ฉันดูเหมือนคนล้อเล่นงั้นเหรอ! ให้ตายสิ! ไม่อยากทำก็อย่าทำ เอาเสื้อมา!”

     มือบางเตรียมจะคว้าเสื้อของตัวเองกลับคืนมา หากแต่ร่างสูงกว่า โยนเสื้อในมือทิ้งไปอีกทาง พลางรวบร่างบางเข้าหาอ้อมกอดตัวเองทันที

     “ขอโทษ ... อย่าโกรธนะ ใครว่าฉันไม่อยากทำล่ะ ฉันอยากทำกับนายทุกวัน ทุกคืนเลยรู้ไหม"

     มิเชลค้อนขวับ ก่อนจะดันร่างสูงให้ถอยไปติดเตียง และผลักให้ล้มลงบนนั้น จากนั้นตัวเขาเองก็เป็นฝ่ายขึ้นไปนั่งคร่อมบนร่างของอีกฝ่าย

     “มะ...มิเชล” ราฟาเอลเรียกชื่อคนรักเสียงแหบพร่า เพราะว่ามิเชลกำลังลากลิ้นอุ่นชื้น ไปบนหน้าอกเปลือยของเขา ซึ่งถูกอีกฝ่ายถอดเสื้อทิ้งไปแล้วก่อนหน้านั้น

     มิเชลมองคนรักของตน ก่อนจะเหยียดยิ้มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้น เขาจึงเริ่มเคลื่อนกายลงสู่เบื้องต่ำของราฟาเอล ปลดเปลื้องกางเกง และชั้นใน เบื้องล่างของเจ้าตัวออก เผยให้เห็นความต้องการของเด็กหนุ่ม ที่ตั้งตระหง่านต่อหน้า

     “อืม...อา มิเชล ...วิเศษมาก...” ราฟาเอล ครางออกมาอย่างลืมตัว เมื่อคนรักครอบครองความเป็นชายของเขาทั้งหมดไว้ในปากเล็ก ๆ นั่น เด็กหนุ่มรู้สึกสะท้านไปทั้งกาย จนต้องใช้ มือทั้งสองขยี้ ที่ศีรษะของอีกฝ่าย จนเส้นผมสีทองสลวยนั้นยุ่งเหยิง แต่เมื่อมิเชลมอบความสุขให้กับเขา จนเกือบจะถึงที่สุดแล้ว ... อยู่ดี ๆ เจ้าตัวก็ถอนศีรษะออกมา และเหยียดยิ้มมองร่างที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเจ้าเล่ห์

     มิเชลเช็ดริมฝีปากของตน พลางลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อที่ถูกโยนทิ้งไว้ที่พื้นมาใส่ และเดินไปที่ประตู ในขณะที่ราฟาเอลนอนมองตาค้าง

     “มิเชล นายจะทำอะไรกันแน่...”

     ราฟาเอลถาม พลางกลืนน้ำลายลงคอ เพราะความทรมานที่ ถูกทิ้งไว้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เช่นนี้

     “ฉันไม่มีอารมณ์แล้ว จะไปนั่งคุยกับพวกยูยะข้างล่างดีกว่า”

     มิเชลบอกหน้าตาเฉย ทำเอาราฟาเอลลุกขึ้นมาประท้วงดังลั่น

     “นายจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะมิเชล! มาเล่นปลุกอารมณ์คนอื่นเขาแบบนี้ แล้วจะปล่อยทิ้งไว้ ไม่ยอมต่อให้เสร็จได้ยังไงล่ะ!!”

     “นายก็ช่วยตัวเองแทนไปก่อนสิ!”

     เด็กหนุ่มบอกสวนกลับ พลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แต่ก่อนที่จะก้าวออกไป ก็ทำท่าเหมือนนึกได้ และรีบวิ่งไปหยิบไดอารี่ของตัวเองติดมือมาด้วย

     “เกือบลืม ทิ้งไว้ให้กับคนชอบสอดรู้สอดเห็นอย่างนายไม่ปลอดภัยแน่!”

     มิเชลบอกพร้อมแลบลิ้นใส่ และรีบแวบออกไปทันที ก่อนที่จะถูกราฟาเอลรวบตัวเอาไว้ได้

     “เดี๋ยวมิเชลอย่าหนีนะ!!” เด็กหนุ่มตะโกนตามไปข้างหน้าห้อง แต่ก็วิ่งตามไปไม่ได้ เพราะทั้งเสื้อทั้งกางเกง ถูกคนรักถอดทิ้งไว้ทั้งหมด จึงจำต้องกลับเข้าไปในห้อง และช่วยตัวเองให้มันเสร็จ ๆ ไป อย่างเซ็ง ๆ

     “คนอะไรไม่รู้ เจ้าเล่ห์ชะมัด”

     เด็กหนุ่มบ่นกับตัวเองด้วยความหงุดหงิด และขู่คาดโทษเอาไว้กับคนรักที่แสนเจ้าเล่ห์ แต่น่ารักของเขา

     “มิเชลนะ มิเชล คราวหน้าจะเอาคืน ให้ลุกไม่ขึ้นไปสัก 2 – 3 วันเลย คอยดูเถอะ!
     


+++ End +++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2011 12:07:06 โดย Xenon »

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #64 เมื่อ29-06-2011 13:13:36 »

เด็กน้อยของเคธี คิดว่าน่าจะเป็น จิมมี่ 

 :L2: :L2:

+1  จ้า

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #65 เมื่อ29-06-2011 13:59:08 »

คู่นี้ร้อนแรงอ่ะ...อย่าเพิ่งหมดแค่นี้นะคะ
อยากรู้ว่าทั้งสองคนเริ่มคบกันได้ยังไงอ่ะ ทั้งที่ตอนแรกมิเชลน่าจะไม่ชอบหน้าราฟาเอลเท่าไหร่แท้ ๆ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #66 เมื่อ29-06-2011 14:29:14 »

อ้างถึง
คู่นี้ร้อนแรงอ่ะ...อย่าเพิ่งหมดแค่นี้นะคะ
อยากรู้ว่าทั้งสองคนเริ่มคบกันได้ยังไงอ่ะ ทั้งที่ตอนแรกมิเชลน่าจะไม่ชอบหน้าราฟาเอลเท่าไหร่แท้ ๆ

ว่าจะ ๆ เขียนก็ยังไม่ได้เขียนเต็ม ๆ สักที แหะ ๆ เอาเป็นว่าจะพยายามเขียนของคู่นี้ ตอนเจอกันแรก ๆ ให้ได้นะคะ ^ ^"

ตอนหน้าอ่านของเคธี่กับแฟนหนุ่มไปก่อนเน้อ ^ ^ ถึงไม่วายแต่ก็น่ารักนะคะ หุๆ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #67 เมื่อ29-06-2011 18:06:41 »

ไม่คิดว่า มิเชล จะแสบเหมือนกันนะเนี่ย   :laugh:

LadyOneStar

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #68 เมื่อ29-06-2011 19:52:35 »

มิเชลน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย ^^

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #69 เมื่อ29-06-2011 20:05:23 »

ราฟาเอลตามมิเชลไม่ทันแน่ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
« ตอบ #69 เมื่อ: 29-06-2011 20:05:23 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #70 เมื่อ29-06-2011 21:41:18 »

มิเชลแสบซ่าจิงๆ หุๆ

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #71 เมื่อ29-06-2011 23:02:40 »

 :o8:

ออฟไลน์ jaymaza

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #72 เมื่อ30-06-2011 00:33:28 »

แสบจริงๆเรย

มิเชลลลล,,,ราฟาเอลตามไม่ทัน ๕๕๕

อยากอ่านจิมมี่บ้างงงง

,,, :]

ออฟไลน์ Yunatsu

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-5
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #73 เมื่อ30-06-2011 00:55:08 »

คบกันมา2ปี

ไม่มีใครรู้ สุดยอดมากจิงๆ

darkeyes1

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #74 เมื่อ30-06-2011 04:43:41 »

...... ง่า...... ถึงเป็นของส่วนตัว  แต่เป็นผม  ผมก็คงเผลออ่านอะ

เหอๆ  แต่มายั่วแล้วทิ้งไปนี่....  เจ็บนะเนี้ย

ออฟไลน์ EunJin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
«ตอบ #75 เมื่อ30-06-2011 14:56:19 »

ไม่บอกไม่รู้เลยนะคะเนี่ย ว่ามิเชลคบกับราฟาเอลมาตั้งเป็นปีๆแล้วววว

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
«ตอบ #76 เมื่อ30-06-2011 21:53:05 »

มาแล้วค่าตอนพิเศษ 4 กับ 5  ตอน 4 เป็นของเจ๊เคธี่ ส่วนตอน 5 นี่เป็นญาติตัวป่วนของยูยะคุงค่า สองตอนนี้สาว ๆ ขอเป็นตัวหลักบ้างนะคะ ไว้ตอนหน้าุเป็นเรื่องหวาน ๆ ของคู่หลักเราีเหมือนเดิมค่ะ (คู่อื่น ๆ คงต้องรอคิวค่ะ เพราะของเก่าที่เขียนจบไปหมด ส่วนใหญ่จะเน้นคู่หลักค่ะ ^ ^")

---------------------------------------------------------

Special #4 : Boyfriend



     “อาจารย์... ผมไปก่อนนะครับ มีประชุมกรรมการนักเรียนในตอนเช้า”

     ร่างสูงของเด็กหนุ่มชะโงกหน้ามากระซิบข้าง ๆ หูร่างบาง ที่ยังคงนอนแช่อยู่บนเตียง ด้วยความเกียจคร้าน

     “อืม...มอร์นิ่งคิสล่ะ...” เสียงพึมพำทั้งหลับตาแบบนั้น ทำให้เด็กหนุ่มถอนหายใจค่อย ๆ ก่อนจะก้มลงจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากอวบอิ่มนั่น

     “...แล้วตอนพักกลางวัน แวะมาหาฉันที่ห้องพยาบาลด้วยนะ”

     หญิงสาวออกคำสั่งตามหลังไปด้วยความงัวเงีย ทำให้คนถูกสั่งสั่นศีรษะอย่างระอา แต่ก็ยังอดยิ้มออกมาไม่ได้ด้วยความเอ็นดูในตัวหญิงสาวคนรัก ที่แม้จะอายุมากกว่า แต่เจ้าตัวก็ยังคงน่ารักเหมือนเด็ก ๆ อยู่เสมอในสายตาของเขา

     “ครับ แล้วผมจะแวะไป”

     เด็กหนุ่มร่างสูงกล่าวทิ้งทาย ก่อนจะปิดประตูห้องค่อย ๆ ทิ้งให้ร่างบางนอนพักผ่อนต่อภายในห้องเช่นนั้น



     เคธี่ กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่ห้องพยาบาลอย่างอารมณ์เสีย เพราะเธอนอนเพลินไปหน่อย ทำให้มาทำงานสาย แต่จะว่าไปแล้ว ก็คงเป็นเพราะเด็กหนุ่มคนรักนั่นล่ะ ที่ไม่ยอมปลุกให้เธอตื่น

     หญิงสาวคิดอย่างพาล ๆ แล้วก็เหยียดยิ้มนิด ๆ ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ นึกถึงแผนการลงโทษมากมายในคืนนี้ ที่ยังไงก็จะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายรอดมือไปได้แน่ ๆ

     “ทำหน้าตาชั่วร้ายเชียวเคธี่ คิดอะไรอยู่งั้นเหรอ”

     เสียงร่าเริงของชายหนุ่มคนหนึ่งทักขึ้น เคธี่มองไปข้างหน้าก็พบว่าชางยืนคอยเธออยู่ที่หน้าประตูห้องพยาบาล

     “อ้าวชาง มารออยู่นานแล้วหรือคะ”

     ชางยักไหล่นิด ๆ พลางตอบกลับยิ้ม ๆ

     “มาได้สักพักแล้วล่ะ ว่าจะแวะมาหาน้ำชากับขนมทานในตอนเช้าสักหน่อย แต่เจ้าของห้องกลับไม่อยู่เสียนี่”

     เคธี่หัวเราะเบา ๆ เดินมาไขกุญแจประตูห้องพยาบาล พลางหันมาเชิญให้ชายหนุ่มเข้าไป

     “เชิญค่ะ น่ากลัววันหลังต้องเก็บค่าน้ำชา จากแผนกวิจัยฯ เสียแล้วสินะ”

     หญิงสาวหยอกอย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก และเมื่อชางเดินผ่านหญิงสาวเข้ามาเขาก็ชะงัก เมื่อสายตาคมกริบดันเหลือบไปเห็นรอยอะไรบางอย่างที่ซอกคอ

     “หืม...ที่บ้านพักคุณคงยุงชุมสินะ เคธี่ ถึงโดนกัดเป็นรอยแดงจ้ำซะอย่างนั้น”

     ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายยิ้ม ๆ ด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ เล่นเอาเคธี่สะดุ้งโหยง รีบตะปบมือปิดรอยนั้นทันที แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายไปเสียแล้ว

     “ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะชาง”

     เคธี่พยายามแก้ตัว แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล เพราะคนตรงหน้ากำลังแย้มรอยยิ้ม เหมือนกับว่ากำลังได้พบของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจ

     “....เฮ่อ...โอเคก็ได้ ๆ อย่างที่คุณคิดนั่นล่ะ ถูกแล้ว!” เคธี่ถอนหายใจ และยักไหล่อย่างยอมแพ้ เพราะเจ้าหลักฐานที่ติดตัวอยู่นี่มันบ่งบอกอะไรชัดเจนได้ดีจนปฏิเสธไม่ขึ้น

     “ใครกัน? ผมรู้จักหรือเปล่า?”

     “ถามเหมือนมอร์เฟียซเชียวนะ แต่สำหรับคุณฉันคิดว่าอาจจะรู้ หรือไม่รู้จักเขาก็ได้”

     ชาง ทำท่าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเคธี่พูดถึงชื่อมอร์เฟียซ คาเตอร์ออกมา ก่อนจะโวยใส่เพื่อนสาวด้วยความไม่พอใจ

     “ฮ้า! มอร์เฟียซก็รู้ด้วยเหรอ ให้ตายเถอะเคธี่ บอกมอร์เฟียซได้ ทำไมไม่บอกผมด้วย”

     “ใครว่ามอร์เฟียซรู้” เคธี่รีบสวนกลับทันที ก่อนที่ชางจะพาลไปมากกว่านี้

     “เขาก็รู้แค่ฉันมีคนรัก เป็นเด็กนักเรียนในอีเดนนี่เท่านั้น ส่วนจะเป็นใคร คนไหน เขาก็ไม่รู้หรอก เพราะฉันไม่อยากบอกนี่!”

     หญิงสาวพูดไปแล้วก็ต้องชะงัก พลางเหลือบสายตามองมาทางเพื่อนชาย  ซึ่งยืนอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้นสักพัก ก่อนจะตั้งสติได้ และรีบยิงคำถามใส่เธอด้วยความสนใจยิ่งกว่าเดิม

     “นักเรียนงั้นเหรอ ใครกัน อยู่ชั้นไหน อายุเท่ากับยูยะหรือเปล่า ให้ตายเถอะเคธี่ คุณกับมอร์เฟียซนี่รสนิยมเดียวกันจริง ๆ ด้วยสิ!”

     เคธี่เงยหน้ามองเพดาน ก่อนจะทอดถอนหายใจอย่างนึกปลง  ชาง ต่างกับมอร์เฟียซอยู่อย่าง ที่ว่า ถ้าหากสนใจ หรืออยากรู้คำตอบเรื่องไหนแล้วล่ะก็ จะคอยตามขุดคุ้ยไม่เลิกจนกว่าจะทราบคำตอบ และที่สำคัญเป็นพวกกัดไม่ปล่อยอีกต่างหาก

     “ถ้าอยากเจอ...กลางวันนี้ก็อยู่รอพบเองแล้วกัน”

     เคธี่บอกออกไปอย่างเซ็ง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางพลาด เห็นได้จากการยอมลงทุนนั่งเฝ้าอยู่ในห้องพยาบาลกับเธอไม่ยอมไปไหน ตั้งแต่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ




     “อาจารย์ครับ ขออนุญาตเข้าไปนะครับ”

     เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มร่างสูง ผมดำ นัยน์ตาสีเขียว ‘เควิน ไลเนอร์’ ประธานนักเรียนระดับมัธยมปลาย ของสถาบันอีเดน

     ชาง อ้าปากค้างด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา นี่เคธี่กล้าควงเด็กหนุ่มอัจฉริยะในทุกด้าน อย่างเควิน ไลเนอร์ เชียวงั้นหรือ... คนที่แม้แต่เขาก็เตรียมจองตัวไว้ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มยังเรียนไม่จบ เพื่อหวังจะให้เป็นผู้สืบทอดในแผนกวิจัยและค้นคว้า ต่อจากเขาในอนาคต

     เควิน มองคนทั้งสองด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของเคธี่ และสีหน้าตกตะลึงของดอกเตอร์หนุ่ม สมองของเขาก็ประมวลเหตุการณ์เบื้องหน้าที่เกิดขึ้นได้ทันที

     “สวัสดีครับดอกเตอร์ลี” เควินกล่าวทักทายกับชางอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินอ้อมไปข้างหลังเคธี่ วางมือบนไหล่ของร่างบางอย่างถือสิทธิ และจูบเบา ๆ ที่เส้นผมอ่อนนุ่มนั้นเป็นการทักทาย ทำเอาชางกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว

     “เควิน...เลิกเล่นเถิดน่า!”

     เคธี่บ่นใส่ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนรัก ทำเหมือนว่าการที่เรื่องของพวกเขาถูกเปิดเผย เป็นเรื่องธรรมดาไปเสียอย่างนั้น

     “ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ อย่างดอกเตอร์คงไม่เอาเรื่องของเราไปพูดให้ใครฟังอยู่แล้ว ใช่ไหมครับ”

     เพราะรู้ดีว่าชาง เป็นเพื่อนสนิทของคนรักตัวเอง ทำให้เควินมั่นใจว่า คนตรงหน้า คงไม่หักหลัง และทำให้เคธี่ต้องเสื่อมเสียอย่างแน่นอน

     “ก็ไม่คิดจะพูดให้ใครฟังอยู่แล้ว....ง่า แต่ขอบอกต่อแค่คนเดียวได้ไหม”

     เคธี่ถอนหายใจยาวกับข้อต่อรองนั้น ไม่บอกก็รู้ว่าชายหนุ่มคิดจะบอกใคร

     “ถ้าเป็นมอร์เฟียซ ก็ไม่เป็นไร เพราะเขาเป็นคนที่รู้ว่าอะไรควรพูด หรือไม่ควรพูด”

     ชาง ฉีกยิ้มรับ โดยที่เคธี่ได้แต่เอนกายพิงลงบนอกกว้างของเควิน พลางเอามือก่ายหน้าผากอย่างเซ็ง ๆ

     “ไม่น่าเลย! ฉันไม่อยากบอกเรื่องนี้กับพวกคุณเลยนะ โดยเฉพาะมอร์เฟียซ เพราะตอนเขาฉันทั้งล้อ ทั้งแกล้งเขาไว้เยอะ ไม่รู้ว่าคราวตัวเองจะโดนอะไรบ้าง”

     ชายหนุ่มเผลอหลุดคิกออกมาอย่างลืมตัว ในขณะที่เควินเองก็แอบอมยิ้ม เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หากแต่เคธี่ รีบตวัดสายตาขวับไปยังเพื่อนชายทันที

     “อย่ามาทำเป็นหัวเราะฉันนะ คอยดูเถอะชาง ถ้าคุณมีคนรักขึ้นมาเมื่อไหร่ คุณนั่นล่ะจะโดนหนักที่สุด เคยทำอะไรกับมอร์เฟียซ กับฉันไว้บ้าง จะคืนให้เป็นเท่าตัวเลยล่ะ!”

     ชางสะดุ้งโหยงกับคำขู่อาฆาตนั้น แม้แต่เควินยังแอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความสยองอย่างลืมตัว

     “เดี๋ยวก่อนสิ เคธี่ ผมยังไม่ได้มายุ่มย่ามอะไรกับพวกคุณเลยนะ อย่าขู่กันแบบนั้นสิ!”

     เคธี่ค้อนขวับ ก่อนกล่าวเสียงห้วนใส่ “ไม่รู้ล่ะ! บอกเอาไว้ก่อน เพราะถ้าคิดจะมาป่วนจริง ๆ จะได้รู้ว่าจะเจออะไรภายหลังยังไงล่ะ!”

     “จ้า ๆ แม่คุณ ไม่คิดจะยุ่งด้วยเลยจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญใช้เวลาภาษาคู่รักตามสบายนะ ผมว่าผมไปหามอร์เฟียซก่อนดีกว่า!”

     ชายหนุ่มกล่าวลาแล้วก็รีบแผ่นแนบ เพราะบทจะเอาเรื่องขึ้นมา นางฟ้า ก็กลายเป็นนางมารได้เอาดื้อ ๆ เหมือนกัน

     ชางไปแล้วก็เหลือแต่เควินกับเคธี่สองต่อสอง ซึ่งเด็กหนุ่มก็เริ่มใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าหญิงสาวคนรักกำลังอยู่ในอารมณ์เช่นใด

     “เควิน!”

     เสียงห้วน ๆ เรียกชื่อเขา ทำให้เควินรีบขานรับทันที “ครับ!”

     เคธี่หันกลับมาหาเด็กหนุ่ม พลางจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาดุ ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มออกมาในที่สุด

     “กลัวเหรอ” น้ำเสียงถามกลั้วหัวเราะ ทำเอาเควินรับรู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังถูกอีกฝ่ายล้อเล่นเอาอยู่

     “ก็กลัวสิครับ คุณน่ะน่ากลัวออก”  เด็กหนุ่มบอกออกไปเล่น ๆ พลางดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้า ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่คิด หญิงสาวชักสีหน้าบึ้งตึง พลางค้อนขวับใส่เขาทันที

     “ใช่สิ! ฉันมันน่ากลัวนี่นา ไหนจะอายุมากกว่า ใครจะไปน่ารักเหมือนพวกเด็กสาว ๆ เพื่อน ๆ ของเธอล่ะ”

     เคธี่ประชดใส่ด้วยความไม่พอใจ ทำให้เควินสั่นศีรษะน้อย ๆ ด้วยความระอา ก่อนจะเอื้อมมือไปจับคางบังคับให้หญิงสาวหันมาสบตากับเขา

     “บอกตั้งกี่ครั้งแล้วครับ ว่าอย่าเอาเรื่องอายุมาพูดกันอีก ผมรักคุณที่เป็นตัวคุณ ไม่ได้รักที่อายุ หรืออะไรแบบนั้นสักหน่อย จะว่าไปแล้วคนที่ควรกังวลเรื่องอายุน่ะ น่าจะเป็นผมมากกว่านะ”

     น้ำเสียงที่เศร้าลงทำให้เคธี่เริ่มคลายความไม่พอใจลง มือบางลูบไล้ใบหน้าคมเข้มของคนรักเล่นเบา ๆ

     “ทำไมล่ะ เธอมีอะไรต้องกังวลด้วยงั้นเหรอ”

     เควินจับมือบางนั้นขึ้นมาจูบเบา ๆ พลางยิ้มให้กับหญิงสาว

     “มีสิครับ เพราะคุณทั้งสวย ทั้งน่ารักแบบนี้ และรอบข้างคุณก็มีคนเท่ ๆ ดี ๆ และก็เป็นผู้ใหญ่กว่า พึ่งพาได้ดีกว่า อย่างดอกเตอร์ลี อย่างอาจารย์คาเตอร์เต็มไปหมด แล้วเด็กอย่างผมจะไปสู้คนพวกนั้นได้ยังไงกัน”

     เคธี่ชะโงกหน้าไปจูบเบา ๆ ที่ปากของเด็กหนุ่มอย่างเอาใจ เมื่อรับรู้ถึงความกังวลของอีกฝ่าย

     “ฉันไม่สนใจใคร นอกจากเธอ พอใจหรือยัง”

     “ยังครับ …ยังไม่พอใจ”

     เด็กหนุ่มกระซิบเบา ๆ พร้อมกับดึงร่างบางเข้าหาตัว และจูบหนัก ๆ ที่กลีบปากนุ่มนั้นเนิ่นนาน จนเคธี่แทบขาดใจ

     “อื้ม….อืม…”

     หญิงสาวรวบรวมแรงผลักที่อกกว้างของอีกฝ่าย ดันกายออกมา หายใจหอบ ๆ

     “บ้า! จะฆ่ากันหรือยังไง”

     เควินยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ และชะโงกหน้าไปจูบแถมท้ายอีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นเคธี่เผลอ

     “เควิน!”

     เคธี่โวยใส่อีกฝ่าย ที่ชอบทำตัวฉวยโอกาสกับเธออยู่เสมอ แต่เด็กหนุ่มกับหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างชอบใจ

     “จะหมดเวลาพักแล้ว ผมว่าผมขอตัวก่อนดีกว่า ยังไงวันนี้ก็ได้กำไรไปแล้ว”

     เควินบอกยิ้ม ๆ พลางเดินฮัมเพลงออกไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้เคธี่ยืนหงุดหงิดอยู่ตามลำพังที่เอาคืนอีกฝ่ายไม่ได้

     “ให้ถึงคืนนี้ก่อนแล้วกัน! จะไม่ให้ได้นอนเลยคอยดู!”

     หญิงสาวตะโกนไล่หลังตามไป ในขณะที่คนซึ่งถูกคาดโทษก็โบกมือรับเหมือนดังไม่ใส่ใจเสียอย่างนั้น ….



+++ END +++


ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
«ตอบ #77 เมื่อ30-06-2011 21:53:58 »



Special #5 : My sassy woman


  “หืม…นี่น่ะเหรอ สถาบันอีเดนที่เขาล่ำลือกัน …ก็น่าอยู่ไม่เลวนะ”

     ร่างสูงเพรียวบางของสตรีหน้าตาสะสวยในชุดเดินทางคนหนึ่ง กำลังยืนเท้าเอวมองไปรอบ ๆ ด้านของหล่อน ก่อนจะหันมาหยุดชะงักที่กลุ่มของเด็กผู้ชายสี่คน ที่กำลังเดินคุยกันมาอย่างสนุกสนาน

     “ยูยะคุง!”

     เสียงหวาน ๆ ที่ตะโกนเรียกชื่อเขาทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียงก็พบกับร่างของหญิงสาวหน้าตาคุ้นเคยกำลังวิ่งตรงมาหาเขา

     “พะ…พี่ เรนะ มาได้ยัง…อุ๊บ…”

     คำถามทั้งหมดถูกกลืนลงลำคอ เมื่อหญิงสาวผู้นั้นวิ่งเข้ามากอดและประกบริมฝีปากกับเด็กหนุ่มด้วยความรวดเร็ว

     “เฮ้ย!! พี่เรนะ!! ผมบอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าจูบทักทายแบบนี้!!”

     ยูยะผลักร่างบางออกจากตัวเขาเบา ๆ ซึ่งหญิงสาวที่ชื่อเรนะ ก็อมยิ้ม ก่อนจะทำเป็นเฉไฉ ไม่ใส่ใจ ในขณะที่เพื่อนทั้งสามที่เดินมาด้วยกัน กำลังอยู่ในอาการอ้าปากค้างกันถ้วนหน้า

     “พี่มาที่นี่ได้ยังไงกัน ที่อีเดนนี่เขาไม่ให้คนนอกเข้ามาไม่ใช่หรือไง”

     ยูยะถามเสียงห้วน ๆ ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ค่อยยินดีเท่าไรนักที่เห็นหน้าของหญิงสาวอีกครั้ง

     “อะไรกัน..ยูยะ…เราไม่ได้เจอหน้ากันตั้งเกือบ 3 ปี แต่เธอกลับทำท่าทางรังเกียจพี่ถึงขนาดนี้ พะ…พี่ เสียใจเหลือเกิน”

     เรนะ สะอื้น น้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสารในสายตาของคนอื่น ๆ ที่มองมา หากแต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงมองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา

     “หยุดเลยพี่เรนะ ไม่ต้องมาทำเป็นบีบน้ำตาเรียกร้องความเห็นใจเลย ให้ตายเถอะ คราวนี้พี่จะมาหาเรื่องกลุ้มใจอะไรให้กับผมอีกล่ะเนี่ย!”

     เพื่อน ๆ อีกสามคนต่างหันมามองหน้าของยูยะด้วยความแปลกใจ ปกติแล้ว เด็กหนุ่มจะเป็นคนที่สุภาพ อ่อนโยน เรียบร้อย โดยเฉพาะกับเพศตรงข้ามด้วยแล้ว เด็กหนุ่มจะดีด้วยเป็นพิเศษทีเดียว

     “นาโอกิ ยูยะ! นี่เธอกล้าขึ้นเสียงกับฉันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหา!!”

     เรนะเปลี่ยนท่าทางเป็นขึงขัง น้ำเสียงและแววตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

     “กะ ก็พี่..” ยูยะตั้งท่าจะเถียง หากแต่เสียงตวาดแว๊ด ก็ดังสวนขึ้นมาทันที

     “หนอย! เจ้าเด็กไม่รักดี ลืมแล้วหรือว่า เมื่อตอนห้าขวบ ใครกันที่เปลี่ยนกางเกงให้ตอนเธอฉี่ราด และตอนสิบขวบใครกันที่ไปช่วยเธอไว้ ตอนกำลังโดนเด็กผู้ชายในห้องแกล้งจับถอดเสื้อผ้า แล้วตอน….”

     “พอแล้วพี่!! ผมผิดเอง ผมขอโทษ ผมจะไม่ขึ้นเสียง ไม่เถียงพี่อีกแล้ว!!” ยูยะรีบตะโกนห้ามทันที ก่อนที่อดีตที่แสนจะน่าอายของเขาจะถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนมากยิ่งขึ้นกว่านี้

     “หึ! ก็แค่นั้น” หญิงสาวหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเชิดหน้าอย่างคนที่เหนือกว่า ในขณะที่เพื่อน ๆ ของยูยะ ซึ่งได้แก่ ราฟาเอล มิเชล จิมมี่ ยืนตกตะลึงตาค้างกันเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ เมื่อเห็นสภาพของสาวสวยผู้น่าสงสาร กลับกลายเป็นนางมารร้าย ต่อหน้าต่อตาแบบนี้

     “เอ๋? นี่เพื่อน ๆ ของเธอหรือยูยะ น่ารักกันทั้งนั้นเลยนะ ช่วยแนะนำหน่อยสิ…”

     ยูยะยิ้มแห้ง ๆ ไม่อยากจะทำตามคำขอนั้นเท่าไรนัก แต่ก็ขัดไม่ได้ จึงจำต้องแนะนำเพื่อนรักของเขาต่อหญิงสาวอย่างจำใจ

     “ทุกคน นี่ คาโต้ เรนะ เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน อายุมากกว่าพวกเรา สิบ… โอ๊ย!!”

     ยูยะเอามือกุมหัวตัวเองทันที เมื่อมะเหงกจากหญิงสาวเขกให้เข้าที่กลางศีรษะของเขา

     “ไม่ต้องบอกอายุก็ได้ย่ะ!” เจ้าตัวค้อนขวับแถมให้ ซึ่งยูยะก็หันไปบ่นอุบอิบอีกทางก่อนจะทำการแนะนำตัวคนอื่น ๆ ต่อ

     “เอ่อ คนนี้ชื่อคามิโอ ราฟาเอลครับ เป็นเพื่อนของผมมาจากอิตาลี ส่วนนี่ก็ลูอิส มิเชล มาจากฝรั่งเศส แล้วก็จิมมี่ ชไนเดอร์ มาจากอเมริกา”

     เรนะ ยิ้มหวานให้ทั้งสามหนุ่ม ก่อนจะชะโงกหน้าไปจูบแก้มของพวกเขาคนละที ทำเอาหนุ่มน้อยทั้งสามหน้าแดงขึ้นมาพร้อมกันอย่างช่วยไม่ได้

     “สวัสดีจ้ะ ทุกคน อย่างที่ยูยะบอกไปแล้ว ฉันคาโต้ เรนะ จะมาประจำอยู่ที่แผนกวิจัยและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันอีเดนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฝากตัวด้วยนะจ๊ะ”

     นาโอกิ ยูยะ รู้สึกราวกับแผ่นดินตรงหน้ากำลังถล่ม เขาเอ่ยปากถามอีกฝ่ายเสียงสั่น

     “อะ…อะไรนะครับ พะ …พี่ จะมาอยู่ที่ อีเดนนี่นะเหรอ…โกหกใช่ไหม..”

     เรนะเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะจับคางของเด็กหนุ่มร่างเล็กเชยขึ้น

     “เสียใจด้วยนะจ๊ะ ที่ต้องบอกว่ามันเป็นความจริง … จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่มีเธออยู่ที่นี่ด้วยล่ะก็ ฉันก็คงไม่ตอบตกลงมาหรอกนะ”

     เมื่อเห็นแววตาหวาดหวั่นของร่างเล็ก ๆ ตรงหน้า มันทำให้เรนะเริ่มรู้สึกมันเขี้ยวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หญิงสาวขบกัดที่ปลายจมูกที่เชิดขึ้นนิด ๆ นั้นเล่นแรง ๆ ก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ

     “ฉันไปอเมริกาแค่ 3 ปี กลับมาญี่ปุ่นก็รู้จากคุณลุง คุณป้า ว่าเธอมาเรียนอยู่ที่นี่ได้ 2 ปีแล้ว ฉันก็เลยรีบตามมาทันที ลำบากแทบแย่ กว่าจะติดต่อกลับมาที่นี่ได้อีกครั้ง”

     “หมายความว่ายังไง ที่ว่าติดต่อกลับมาอีกครั้ง”

     ยูยะซึ่งกระเถิบถอยหนีออกไปยืนห่าง ๆ ถามขึ้นด้วยความสงสัย

     “อ้าว! เธอจำไม่ได้หรือยูยะ ที่ฉันเคยเล่าว่ามีสถาบันอะไรชื่อแปลก ๆ ไม่รู้ ส่งบัตรเชิญฉันให้เข้าร่วมทำงานภายในสถาบัน แต่ตอนนั้นฉันบังเอิญตอบรับการค้นคว้าวิจัยกับทางสถาบันของอเมริกาไปแล้ว ก็เลยตอบปฏิเสธไป มารู้ตอนหลังว่าใช่ที่เดียวกับที่ ๆ เธอไปเรียนก็เลยติดต่อกลับมาอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่มีปัญหา คนอย่างฉันไปที่ไหนใครก็อ้าแขนรับอยู่แล้ว”

     ยูยะรู้สึกหมั่นไส้ กับความหลงตัวเองของหญิงสาว หากเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ผู้หญิงอย่างคาโต้ เรนะ เป็นอัจฉริยะตัวจริง

     หญิงสาวเรียนจบปริญญาเอกตั้งแต่อายุเพียงแค่ 22 ปี และทำงานอยู่ในสถาบันวิจัยชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่นเรื่อยมา ก่อนที่ทางอเมริกาจะทำการขอเชิญตัวให้เธอไปร่วมค้นคว้ากับสถาบันทางนั้น ในฐานะตัวแทนแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ

     “ยูยะคุง…” น้ำเสียงหวาน ๆ หากแต่ว่าเยือกเย็นเรียกชื่อของเด็กหนุ่มขึ้น ซึ่งยูยะรู้ตัวดีว่า หากเรนะใช้น้ำเสียงนั้นเมื่อไหร่ นั้นหมายถึงอันตรายกำลังจะเกิดขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

     “ยังไม่ได้คบกับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษใช่ไหมจ๊ะ”

     ยูยะกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอ ก่อนจะพยักหน้ารับเสียงสั่น ๆ

     “ครับ..ยังไม่ได้คบกับ ‘ผู้หญิง’ คนไหนเลยครับ”

     “หืม…งั้นเหรอ” เรนะพยายามจ้องมองนัยน์ตาสีดำคู่นั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ ในที่สุด

     “อืม…ดีแล้วล่ะ ผู้หญิงสำหรับยูยะ ต้องให้ฉันเป็นคนเลือกสิ ยูยะเป็นคนน่ารัก สุภาพ หากโดนผู้หญิงไม่ดีที่ไหนหลอกเข้าจะว่ายังไง อย่างยูยะต้องได้คนที่น่ารักอ่อนหวาน เอาอกเอาใจเก่ง และใจเย็นยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น มาเป็นแฟน มันถึงจะเหมาะสมกับเธอหน่อย”

     ยูยะกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว …น่ารักอ่อนหวาน เอาอกเอาใจเก่ง และใจเย็นยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น …ทำไมหนอ มันช่างห่างไกลจากบุคลิกของคนที่เขากำลังคบอยู่ด้วยตอนนี้ลิบลับเสียเหลือเกิน

     ส่วนเพื่อน ๆ ที่เหลือต่างหันมามองตากันปริบ ๆ ถ้าเจ๊คนสวยจอมโหดนี่เกิดรู้ขึ้นมาว่า ยูยะกำลังคบกับใครอยู่ตอนนี้ มีหวังแม่คุณคงอาละวาดจนอีเดนวุ่นวายเป็นแน่

     “เฮ่อ…ฉันต้องไปรายงานตัวกับหัวหน้าของฉันเสียก่อนนะ แล้วจะมาหาเธอใหม่ อ้อ! ฟังจากคุณลุง คุณป้า เรื่องดนตรีแล้ว ฉันยังไม่เคยมีโอกาสได้ฟังเธอเล่นดนตรีเลย มาที่นี่ฉันต้องหาโอกาสสักครั้งแน่ ไว้เจอกันนะยูยะ”

     เรนะก้มลงจูบปากของเด็กหนุ่มโดยเร็ว ชนิดที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว หากแต่คราวนี้ กลับสะดุดเข้ากับสายตาของคนที่บังเอิญผ่านมาเห็นเข้าจัง ๆ

     “ไปล่ะนะจ๊ะ ดาร์ลิง ไว้ฉันจะมาหาเธอใหม่นะ ยูยะ!”

     เรนะจากไปแล้ว แต่ทิ้งให้นาโอกิ ยูยะ เผชิญหน้ากับ ภัยอันตรายจากคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาลสุดขีด ที่ตรงรี่เข้ามาหาเขาแทบทันทีหลังจากที่พ้นร่างหญิงสาว

     “ใครกัน นาโอกิ!”

     “อะ…เอ่อ …ลูกพี่ลูกน้องครับ”

     “ลูกพี่ลูกน้อง?” มอร์เฟียซทวนคำเสียงสูง อย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไรนัก

     “ญาติ ๆ ของเธอ เขาคิส ทักทายกันดูดดื่ม แบบนั้นเสมอเหรอ?”

     ยูยะหน้าซีด เรนะทำพิษเขาอีกจนได้ นี่แค่หล่อนโผล่มาวันแรก ก็หาเรื่องเดือดร้อนมาให้เขาเสียแล้ว

     “ปะ..เปล่า ครับ แต่พี่เรนะ…ชอบทำกับผมแบบนี้ประจำ…เอ่อ..ไม่สิ คือ พี่เขาชอบล้อเล่นน่ะครับ”

     “ล้อเล่น?” มอร์เฟียซทวนคำอีกครั้ง ซึ่งยูยะบอกได้เลยว่าชายหนุ่มไม่เชื่อคำพูดของเขาเลยสักนิด

     “อะ..เอ่อ อาจารย์ครับ คือ พวกผมสี่คนได้รับคำสั่งจากอาจารย์วิลเลียม ให้ไปพบที่ห้องพักครูน่ะครับ อาจารย์อยากให้พวกเราช่วยจัดนิทรรศการเกี่ยวกับละครภาษาอังกฤษ ที่จะมีในอาทิตย์หน้านี้น่ะครับ”

     เหตุการณ์ตรงหน้าคงจะตึงเครียดมากไปกว่านี้ หากเพื่อนทั้งสามซึ่งยืนอยู่ด้วยกันจะไม่ช่วยหาเหตุผลดึงตัวยูยะออกมาเสียก่อน อาจารย์หนุ่มพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ก่อนจะเดินจากไปด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดเต็มพิกัด



     “ซวยแล้วไง…งานนี้ฉันต้องแย่แน่ ๆ” ยูยะบ่นพึมพำด้วยความหวาดวิตกสุดขีด

     “เฮ่ย! คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกน่า คาเตอร์ก็คงแค่โกรธนิด ๆ หน่อย ๆ เอ่อ..แบบว่า หึง อะไรทำนองนี้ล่ะ” ราฟาเอลรีบเอ่ยปากปลอบใจเด็กหนุ่ม ทว่า ระหว่างพูดใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย

     “..ก็ เพราะหึงน่ะสิ ถึงว่าซวยน่ะ …พวกนายไม่รู้หรอกว่าเวลามอร์เฟียซหึงแล้ว ส่วนมากเขาจะชอบ…” ยูยะชะงัก ก่อนจะรีบกลืนคำพูดลงไปในลำคอ ใบหน้าแดงนิด ๆ ขึ้นมาทันที ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้น มิเชลก็ถอนหายใจเบา ๆ ในขณะที่ราฟาเอลใบหน้าแดงระเรื่อ รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น มีแต่จิมมี่ ซึ่งยังคงทำหน้าเหรอหราด้วยความไม่เข้าใจ

     “ทำไม? คาเตอร์ชอบทำอะไรงั้นหรือ?”

     อีกสามคนเงียบกริบทันที โดยเฉพาะยูยะบัดนี้ใบหน้าของเขาแดงก่ำจนทั่ว

     “มานี่จิมมี่ มันก็คือ…”

     มิเชลซึ่งทนรำคาญความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มผมแดงไม่ไหว ก็กระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบอะไรเบา ๆ ที่ข้างหูของอีกฝ่าย สักพัก ใบหน้าของจิมมี่ก็แดงเข้มขึ้นจนแทบจะเหมือนกับสีผมของเขาเลยทีเดียว

     “อะ…..เอ่อ…..กะ…..ก็” จิมมี่เริ่มพูดไม่เป็นภาษา ซึ่งอาการเช่นนั้นก็ทำให้คนอื่น ๆ ที่เหลือหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งยูยะเองก็ตาม

     “อืม…เรื่องนั้นช่างมันเถอะจิมมี่ แต่ว่าฉันขอเตือนอะไรพวกนายอย่างหนึ่งนะ!”

     อยู่ดี ๆ ยูยะก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นเคร่งเครียดทันที

     “อะไรเหรอ?” ทั้งสามคนเอ่ยถามขึ้นแทบพร้อมกัน

     “อย่าพยายามให้ความสนิทสนมกับพี่เรนะเกินคนรู้จักธรรมดาเด็ดขาด ถ้าพวกนายไม่อยากให้เขาต้องมาวุ่นวาย วอแว กับเรื่องส่วนตัวตลอดอย่างฉันล่ะก็”

     “นายพูดเหมือนพี่นายเป็นพวกที่ไม่ควรคบอย่างนั้นล่ะ” มิเชลเอ่ยท้วงติง ๆ ซึ่งยูยะก็รีบปฏิเสธทันที

     “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น … ฉันยอมรับว่าพี่เรนะเป็นห่วงเป็นใยฉันมาตั้งแต่เด็ก แต่ความเป็นห่วงถ้ามากเกินไป มันก็ทำให้เรารู้สึกอึดอัดใจได้นะ ความสัมพันธ์ของฉันกับพี่เรนะก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ …ฉันไม่ได้เกลียดเขานะ แต่พวกนายก็ต้องเข้าใจคือฉัน…”

     “โอเค ๆ พวกฉันเข้าใจ” ราฟาเอลสรุป ก่อนจะตบบ่ามิเชลที่ทำท่าจะแย้งเบา ๆ ส่วนจิมมี่ก็พยักหน้ารับค่อย ๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไป

     “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ เดี๋ยวอาจารย์วิลเลียมจะรอนาน”

     ราฟาเอลตัดบท จากนั้นทั้งสี่คนจึงมุ่งตรงไปยังห้องพักของอาจารย์ อลัน วิลเลียม อันเป็นเป้าหมายเดิมต่อไป



     “ยังไงฉันก็คิดว่ายูยะทำไม่ถูกอยู่ดี คุณเรนะ เขาอาจแสดงออกเว่อร์ไปนิด แต่ฉันก็เห็นว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยยูยะจากใจจริงนะ”

     มิเชลบ่นขึ้น หลังจากที่กลับมาห้องพักที่หอของตนแล้ว

     “ฉันรู้ว่านายไม่พอใจ แต่นายอย่าลืมสิมิเชล ยังไงนายกับยูยะก็เป็นคนละคนกัน พื้นเพครอบครัว นิสัยใจคอ ความคิด ก็ต่างกัน บางทีถ้านายเป็นยูยะ นายอาจจะไม่พูดแบบนี้ก็ได้”

     ราฟาเอลที่แวะเข้ามานั่งเล่นในห้องของเด็กหนุ่มเอ่ยท้วงขึ้น ซึ่งมิเชลก็ค้อนใส่อีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา

     “หึ ๆ ฉันอยากให้ยูยะ กับจิมมี่มาเห็นสีหน้างอน ๆ ของนายตอนนี้จัง หน้ากากเฉยชาที่นายมักชอบใส่ในเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นน่ะ หายไปไหนหมดเสียแล้วล่ะ”

     เด็กหนุ่มหน้าสวยหันขวับมาทันที และก่อนที่เขาจะเตรียมอ้าปากโวยวายต่อว่าคนข้างหน้า ร่างสูงกว่าก็ก้าวพรวดเข้ามาประชิดกายเขา พร้อมกับประกบริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากบางน่าจูบนั้นอย่างรวดเร็ว

     “อืม…”

     มือที่ทำท่าจะผลักดันร่างสูงออกไป เปลี่ยนเป็นเอื้อมมาโอบคล้องคออีกฝ่ายแทนทันที ก่อนจะเบียดชิดกายของตนเข้าไปอีก

     “ราฟาเอล…เจ้าคนบ้า…ชอบฉวยโอกาส” มิเชลเอ่ยต่อว่าหอบ ๆ ก่อนจะผลักร่างสูงออกห่าง ริมฝีปากบางบวมแดงขึ้น จากการที่ถูกบดเคล้าอย่างหนัก

     “หึ ๆ ก็นายอยากน่ารัก น่ากิน เองทำไมล่ะ มิเชล ฉันก็อดใจไม่ไหวน่ะสิ” เด็กหนุ่มผมดำ นัยน์ตาสีเขียวเอ่ยขึ้น พลางแย้มยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งก็ทำให้นัยน์ตาสีฟ้าที่สบมองมา ต้องเมินหลบด้วยความเขินอาย

     …เจ้าบ้า ราฟาเอล ทำไมนะอยู่กับหมอนี่ตามลำพังทีไร ทำให้เขาลืมหน้ากากนักแสดงที่ตัวเองมักใช้ต่อหน้าคนอื่นประจำ และเผลอแสดงความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองออกไปทุกทีสิน่า …

     และราฟาเอลก็เหมือนจะรู้ เด็กหนุ่มเขยิบเข้ามาใกล้มิเชล พร้อมกับจับร่างบางลงนั่งบนเตียงพร้อมกับเขา ก่อนจะกดร่างนั้นให้นอนราบลงไปบนเตียง โดยที่มีร่างของเขาเองทาบทับไปติด ๆ

     “เรื่องของยูยะ เราเก็บไว้ก่อน…ตอนนี้มาสนใจเรื่องของพวกเราเองดีกว่านะมิเชล”

     ราฟาเอลเอ่ยพร้อมเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ มิเชลพูดว่าบ้า ได้คำเดียว ก็ถูกอีกฝ่ายจัดการปิดปากโดยริมฝีปากนุ่ม และสัมผัสที่ชวนเคลิบเคลิ้มจากฝ่ามือทั้งสอง จนเด็กหนุ่มหลงลืมเหตุการณ์อื่นไปชั่วคราว ได้แต่เพลิดเพลินกับสัมผัสอันน่าหลงไหลที่ราฟาเอลมอบให้เพียงเท่านั้น
..
..

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
«ตอบ #78 เมื่อ30-06-2011 21:55:10 »

     มอร์เฟียซ คาเตอร์ เดินตรงไปยังห้องพยาบาลด้วยอารมณ์อันหงุดหงิด ซึ่งเมื่อเคธี่ได้เห็นสีหน้าแบบนั้นของเพื่อนชาย ก็ทำให้เธอละงานเอกสารที่กำลังทำอยู่ พลางเอ่ยทักขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

     “เป็นอะไรหรือมอร์เฟียซ ทำไมทำหน้าบึ้งแบบนั้นล่ะ”

     “ฮึ! ลองคุณเห็นแฟนตัวเองไปจูบกับคนอื่น ต่อหน้า ต่อตาแบบนั้น คุณก็ต้องทำหน้าแบบผมเหมือนกันนั่นล่ะ เคธี่!”

     คำตอบของชายหนุ่ม ทำเอา หญิงสาวตาลุกวาวด้วยความสนใจ ก่อนจะรีบป้อนคำถามรัวทันทีด้วยความตื่นเต้น

     “ต๊าย! ยูยะน่ะเหรอ ไปจูบกับคนอื่น กรี๊ด! อยากเห็นจัง เอ๊ย! ไม่ใช่ เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันเหรอมอร์เฟียซ เล่าให้ฟังหน่อยสิ!”

     มอร์เฟียซยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะถามตัวเองว่าคิดผิดหรือเปล่า ที่นำเรื่องมาระบายให้หญิงสาวฟังในครั้งนี้

     “คือว่า…” แล้วชายหนุ่มก็เล่าให้ฟังตามที่ตาเห็น รวมไปถึงคำพูดแก้ตัวของยูยะ ซึ่งหากไม่มีคนอื่นอยู่ในที่นั้น เขาคงจะลงโทษเด็กหนุ่ม ในแบบฉบับของตนเองไปนานแล้ว

     “ก็แค่ญาติไม่ใช่เหรอ” เคธี่สรุปหลังฟังจบ

     “ญาติที่ไหนเขาคิสดูดดื่มกันแบบนั้น หา!” มอร์เฟียซเริ่มฉุนขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้เพราะอะไร หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับ นาโอกิ ยูยะ เขามักจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ทุกที

     “ก็คุณหึงอยู่นี่นา เลยมองภาพตรงหน้ามันเกินจริงไปก็ได้” เคธี่พูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะเดินไปรินน้ำชาของตนเอง และเผื่อให้ชายหนุ่มด้วย

     “ดื่มนี่ก่อน แล้วใจเย็นหน่อยดีกว่ามอร์เฟียซ”

     “คุณไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็พูดได้นี่นาเคธี่” ชายหนุ่มบ่น ก่อนจะรับถ้วยน้ำชาที่หญิงสาวยื่นให้มาดื่ม เพื่อดับอารมณ์หงุดหงิดของตนเสีย

     “ฉันก็อยากเห็นนะ ไว้ให้พวกเขาลองทำให้ดูใหม่สิ ฉันจะได้สรุปว่า มันเป็นคิสทักทาย หรือคิสที่แอบแฝง” หญิงสาวพูดยั่ว ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มทำเสียงในลำคออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไป

     “แล้วคุณจะทำยังไงต่อล่ะมอร์เฟียซ” เคธี่ถาม เมื่อเห็นมอร์เฟียซดื่มน้ำชาเสร็จเรียบร้อย และกำลังจะเดินกลับไปห้องพักของตนเอง

     “บ่ายนี้ จะเรียกนาโอกิมาอธิบาย ถ้าเหตุผลฟังขึ้น ก็จะปล่อยกลับหอตามปกติ แต่ถ้าฟังไม่ขึ้น ก็จะกักตัวไว้จนถึงตอนเช้า” ชายหนุ่มบอกพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ซึ่งหญิงสาวก็ส่ายหน้านิด ๆ ด้วยความระอาใจ ก่อนจะอดสงสารเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นไม่ได้ งานนี้ ดูเหมือน ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ยูยะก็ต้องรับไปเต็ม ๆ คนเดียวอยู่ดี

     “เฮ่อ….ดูท่าคงจะมีเรื่องวุ่น ๆ ตามมาอีกเยอะเลยมั้ง งานนี้” หญิงสาวบ่นเบา ๆ กับตัวเอง หลังจากลับร่างชายหนุ่มแล้ว จากนั้นจึงกลับไปยังโต๊ะทำงานของเธอ เพื่อจัดการเอกสารที่ค้างอยู่ต่อไป



     “คุณเป็นญาติกับนาโอกิ ยูยะ จริง ๆ อย่างนั้นหรือเรนะ!”

     น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยถาม หลังจากที่คุยกันด้วยความถูกคอมาได้สักพัก จนเรนะเผลอหลุดชื่อของยูยะออกไป

     “หัวหน้ารู้จัก ยูยะด้วยงั้นหรือคะ?”

     หญิงสาวถามขึ้นด้วยความแปลกใจ ที่หัวหน้าแผนกวิจัยและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันอีเดน อย่าง ลี ชาง มารู้จักมักจี่ กับ เด็กม.ปลายธรรมดา อย่างยูยะ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ

     “โธ่เอ๊ย! ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ ก็ยูยะน่ะเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทของผมเองนี่นา!”

     เจ้าตัวเผลอโพล่งออกไปอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบตะครุบปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน หากแต่ก็สายไปเสียแล้ว….

     “ยูยะนี่นะมีแฟนแล้ว! แถมแฟนของยูยะยังเป็นเพื่อนสนิทของหัวหน้าอีกนี่นะคะ!”

     สีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงถึงความตกใจ ปนแปลกใจนั่น ทำให้ชาง ยิ้มแหย ๆ ในขณะที่สมองพยายามหาข้อแก้ตัวสุดฤทธิ์

     “ใครคะ!?” น้ำเสียงสงสัยแกมคาดคั้นถามขึ้น ชางเกาศีรษะแกรก ๆ ด้วยความยุ่งยากใจ ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริงออกไป เพราะเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวและการตัดสินใจของยูยะ และคิดว่าเรนะ คงจะรับได้ หากแต่ชายหนุ่มดูเหมือนจะคิดผิดไปเสียแล้ว

     “แฟนของยูยะเป็นผู้ชาย …แถมยังเป็นอาจารย์นี่นะ” เรนะพึมพำแผ่วเบาในลำคอ ก่อนที่นัยน์ตาจะวาววับขึ้นมาอย่างน่ากลัว

     “เป็นไปไม่ได้ …ยูยะนี่นะ จะชอบ …ผู้ชายด้วยกัน”

     “เอ่อ…เรื่องของความรักไม่มีพรมแดน ไม่มีเหตุผล หรือความผิดถูกหรอกนะ” ชางพยายามให้เหตุผล แต่ดูเหมือนเรนะจะฟังอะไรไม่เข้าหูเสียแล้ว

     “หัวหน้าคะ บ่ายนี้ไม่มีงานใช่ไหมคะ ฉันขอตัวเข้าไปในสถาบันหน่อยนะคะ มีเรื่องอยากจะคุยอะไรกับอาจารย์ มอร์เฟียซ  คาเตอร์เสียหน่อย”

     ชางกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอด้วยความลำบากใจ หากเขาก็ทำได้แต่เพียงพยักหน้าอนุญาตเท่านั้นเอง

     “โทษทีว่ะ มอร์เฟียซ ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะกลายมาเป็นแบบนี้เข้าได้” ชางพึมพำกับตนเองด้วยความสำนึกผิด หลังจากที่ลับร่างของหญิงสาวไปแล้ว



     มอร์เฟียซ  คาเตอร์ ซึ่งกำลังนั่งรอให้ยูยะเข้ามาพบเขาภายในห้อง หลังจากที่โทรศัพท์ไปตามที่หอได้สักพัก ยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

     “นาโอกิเหรอ? เข้ามาสิ” เสียงเคาะประตูเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะมีเสียงหวานที่ไม่คุ้นเคยตอบกลับมา

     “คาโต้  เรนะ เจ้าหน้าที่คนใหม่จากแผนกวิจัยและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันอีเดนค่ะ”

     “เอ๋?” ชายหนุ่มอุทานด้วยความแปลกใจ ก่อนที่ประตูจะเปิดออก และเผยให้เห็นร่างของสาวสวย คนเดียวกับที่ทำให้เขาหงุดหงิดเมื่อเช้านี้

     “คุณ! … ลูกพี่ลูกน้องนาโอกิสินะ” มอร์เฟียซ พยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดซึ่งปะทุขึ้นมาอีกระลอก ขณะที่เรนะเดินเข้ามาตรงหน้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่มด้วยท่าทางสงบนิ่ง ไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น

     “เชิญ!” ชายหนุ่มเชิญอีกฝ่ายนั่งด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ซึ่งเรนะก็เลิกคิ้วมองคนตรงหน้านิดหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทางเชิดใส่ ไม่แพ้อีกฝ่าย

     “คุณมีธุระอะไร” มอร์เฟียซ ยิงคำถามตรงประเด็น จากเหตุการณ์เมื่อเช้า ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบผู้หญิงตรงหน้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หรืออาจจะเป็นเพราะเขากำลังหึงยูยะ อย่างที่เคธี่บอกไว้ก็ได้

     “อยากให้คุณเลิกยุ่งกับยูยะ!” คำตอบที่ออกมาจากปากของอีกฝ่าย ทำให้ชายหนุ่มชะงักกึกไปชั่วครู่ …หล่อนรู้ความสัมพันธ์ของเขากับยูยะ …ใช่หล่อนรู้ ดูจากสีหน้า คำพูดและแววตานั่นก็บอกได้ชัดเจนแล้ว

     “คุณมีสิทธิ์อะไรไม่ทราบ” ชายหนุ่มย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่นัยน์ตาสีเขียวนั้นวาวโรจน์อย่างน่ากลัว

     “สิทธิ์ที่ฉันเป็นญาติ และเป็นพี่สาวของยูยะยังไงล่ะ คุณกำลังล่อลวงน้องชายของฉันให้หลงผิด ฉันจะไม่ช่วยเหลือได้หรือไรล่ะ!” หญิงสาวโต้ตอบอย่างไม่ยอมลดละ ซึ่งมอร์เฟียซเมื่อได้ฟัง ก็รู้สึกฉุนขึ้นมาทันที

     “ใครล่อลวงใครกัน! ผมกับนาโอกิใจตรงกันทั้งคู่ต่างหาก!”

     “แต่ทั้งคุณทั้งยูยะเป็นผู้ชายทั้งคู่! สังคมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก!” เรนะยังคงไม่ยอมแพ้ และเถียงใส่ ด้วยน้ำเสียงที่เพิ่มความดุเดือดขึ้นทุกทีเช่นกัน

     “ใครจะมอง จะคิดยังไงผมไม่แคร์ ผมรู้แต่ว่า ผมรักนาโอกิ และนาโอกิก็รักผม แค่นั้น!!”

     “คุณ!!”

     เรนะค้างไว้แค่นั้น เมื่อเสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของคนกลางของเรื่องครั้งนี้

     “นาโอกิ!!”   “ยูยะ!!” ทั้งมอร์เฟียซ และเรนะ ทักขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อเห็นสีหน้าตะลึงปนตกใจของเด็กหนุ่มที่ยืนอ้าปากค้างอยู่หน้าประตูห้อง

     “…พะ…พี่เรนะ ….มอร์เฟียซ …”

     “มาก็ดีแล้วนาโอกิ! มายืนยันให้พี่สาวของเธอรับรู้เสียที ว่าเธอกับฉันเป็นอะไรกัน และเธอคิดยังไงกับฉัน!” มอร์เฟียซออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ซึ่งก็ทำให้เรนะหันขวับมาทางชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจ

     “เผด็จการชัด ๆ  ยูยะไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่ด้วยทั้งคน จะไม่ยอมให้ใครมาบังคับฝืนใจเธอเด็ดขาด อยากพูดอะไรก็พูดออกไปเลย!”

     “ผะ…ผม” ยูยะยังคงยืนขาแข็งอยู่หน้าประตู ไม่คิดว่าจะต้องมาพบกับเรื่องแบบนี้แท้ ๆ แต่ก็เจอจนได้ แล้วนี่เขาจะบอกความจริงกับเรนะให้ทราบดีไหม แต่ถ้าเผื่อเรนะไปเล่าให้พ่อกับแม่ของเขาฟังล่ะ เขาจะทำยังไงดี

     “นาโอกิ!! บอกออกไปเลยสิ!”

     “ยูยะ!! มีอะไรอยากพูดก็พูดเร็วเข้า!!”

     จอมบงการทั้งสองคาดคั้นหนักขึ้น ซึ่งยูยะก็มองทางซ้ายที ขวาที แล้วก็กลับหลังหัน วิ่งหนีออกไปจากห้องเฉย ๆ เสียอย่างนั้น ทำเอาคนทั้งคู่ที่เหลือ อึ้งเงียบ ด้วยความคาดไม่ถึง ไปพักใหญ่

     “เด็กบ้า! พอตัดสินใจอะไรไม่ได้ก็วิ่งหนีทุกที นิสัยนี้เมื่อไหร่จะแก้หายนะ!” เรนะบ่นอุบ ซึ่งมอร์เฟียซ ก็หันมามองทางหญิงสาว ด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก ที่เห็นเรนะรู้เรื่องเกี่ยวกับยูยะมากกว่าเขา

     “หึ! ยูยะกับฉันน่ะสนิทกันมากเลยรู้ไหม หากเขาไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องนะ ฉันคง…”

     หญิงสาวที่อ่านสายตาอีกฝ่ายออก แกล้งพูดทิ้งค้างไว้ให้คิด ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

     “อ๊ะ! จริงสิ ฉันขออนุญาตหัวหน้าลี ออกมาแค่ไม่นาน เดี๋ยวคงต้องกลับแล้วล่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”

     ในขณะที่เรนะกำลังจะออกพ้นจากห้อง หญิงสาวก็หันกลับมาทางมอร์เฟียซอีกครั้ง

     “แต่เรื่องของยูยะฉันยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ ฉันไม่ยอมให้น้องชายที่แสนน่ารักของฉัน หลงเดินทางผิดไปตลอดชีวิตแน่!”

     พูดจบก็สะบัดหน้าเดินจากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งกัดฟันกรอดด้วยความโมโหตามลำพัง

     “ยัยตัวแสบ!! เจ้าพวกแผนกวิจัยนี่มีแต่พวกกวนประสาท ชอบหาเรื่องปวดหัวให้ชาวบ้านทุกคนหรือเปล่านะ!!”

     หงุดหงิดหนักเข้าชายหนุ่มก็พาลใส่ไปถึงแผนกวิจัยฯ อีกคน ซึ่งกำลังนั่งจามอย่างหนัก เพราะถูกบ่นถึงนั่นเอง



     “โอ๊ย! กลุ้ม!! จะทำยังไงดีนะ!!”

     ยูยะกลับมาถึงหอก็วิ่งขึ้นห้อง พลางเดินบ่นไปมาเบา ๆ พอหนัก ๆ เข้าก็โวยลั่นทั่วห้อง และก็เงียบไปอีก จน คนที่อยู่ห้องอื่น ๆ พากันแปลกใจไปตาม ๆ กัน ยกเว้นเพื่อนทั้งสามคน ซึ่งตามเด็กหนุ่มเข้ามาภายในห้องด้วยกัน

     “ก็อธิบายให้เจ๊แกเคลียร์ซะสิ จะได้ไม่ต้องปวดหัวแบบนี้” จิมมี่เสนอความเห็น โดยที่ ราฟาเอลนั่งฟังเฉย ๆ ส่วนมิเชลยักไหล่นิด ๆ ในขณะที่ยูยะถอนหายใจเฮือกใหญ่

     “ถ้าพี่เรนะ เป็นพวกฟังความเห็นชาวบ้าน ฉันก็คงไม่มานั่งกลุ้มแบบนี้หรอก เขาเป็นพวกถ้าลองเชื่อมั่น หรือตั้งใจอะไรแล้ว จะไม่ยอมเปลี่ยนความคิดเด็ดขาด แม้ว่าตัวเองจะผิดก็ตามน่ะสิ!”

     “แต่ถ้านายลองให้เหตุผลดี ๆ คุณเรนะเขาอาจจะยอมฟังก็ได้นะยูยะ” มิเชลเอ่ยขึ้นมาบ้าง ซึ่งราฟาเอลก็อมยิ้มนิด ๆ เพราะเห็นว่ามิเชล ยังมีใจเข้าข้างเรนะอยู่เหมือนเดิม

     “พันเปอร์เซ็นต์ ไม่ยอมฟังชัวร์! ให้ตายเถอะ! ไม่รู้ใครกันที่เป็นคนบอกเรื่องของฉันกับมอร์เฟียซให้เขาฟัง … ถ้ารู้ตัวนะ!” ท้ายประโยคเด็กหนุ่มเน้นเสียงหนักอย่างน่ากลัว ขนาดที่เพื่อน ๆ ที่นั่งฟังอยู่ฟังแล้วถึงกับหวาดเสียวแทนคนผู้นั้นเลยทีเดียว

     “…คนอะไรก็ไม่รู้ เอาแต่ใจ ถือความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ จอมเผด็จการ วางอำนาจ ไม่ยอมฟังความเห็นของคนอื่น!!” ยูยะยังคงบ่นอุบไปอีก ด้วยสีหน้าหงุดหงิดสุด ๆ แต่หากเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้อง ฟังแล้ว กลับหวนคิดถึงคนอีกคนอย่างน่าประหลาด

     “เดี๋ยวก่อน….ที่พูดมาน่ะ หมายถึงคุณเรนะอย่างงั้นหรือ” มิเชลลองถามดู ซึ่งยูยะก็หันมามองเขา ก่อนจะกระแทกเสียงใส่ด้วยความหงุดหงิด

     “ก็ทั้งคู่นั่นล่ะ!!”

     เพื่อนทั้งสามถอนหายใจขึ้นมาพร้อมกัน จะว่าไปแล้ว ก็ถูกอย่างที่ยูยะบ่นมาแทบทุกประการ มอร์เฟียซ คาเตอร์ และ คาโต้ เรนะ เป็นคนประเภทเดียวกันจริง ๆ นั่นล่ะ!

     “ไม่รู้แล้ว! อยากจะทะเลาะอะไรกันก็เชิญ แต่อย่ามายุ่งกับฉันแล้วกัน ไม่อยากจะยุ่งกับทั้งคู่นั่นล่ะ!!”

     ยูยะโวยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะกระโดดขึ้นที่นอนคลุมโปงไม่สนใจรอบด้าน ทำเอาเพื่อน ๆ อีกสามคนที่เหลือมองตากันปริบ ๆ

     “ดูท่าจะเครียดจริง ๆ นั่นล่ะนะ” ราฟาเอลพูดขึ้นมาเบา ๆ กับคนอื่น ๆ

     “สติแตกไปแล้วล่ะแบบนี้!” จิมมี่เอ่ยขึ้นบ้าง ซึ่งคำพูดของเด็กหนุ่มผมแดง ก็ทำให้ร่างที่คลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม ลุกขึ้นพรวดมาทันที

     “ฉันยังปกติดีอยู่!” ยูยะเน้นเสียงเข้ม ซึ่งจิมมี่ก็หัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะถูกมิเชลและราฟาเอล ดึงตัวออกไปนอกห้อง เพราะเกรงว่าปากไม่มีหูรูดของเด็กหนุ่มผมแดง จะก่อเรื่องให้คนที่เครียดอยู่แล้ว เครียดหนักยิ่งขึ้นไปอีก



     “ง่า…ยูยะปวดหัว ปวดท้อง ลงมาพบใครไม่ได้ครับ” จิมมี่รับหน้าหญิงสาวที่มาขอพบยูยะ เป็นการส่วนตัว ซึ่งเจ้าตัวที่ถูกขอพบฝากคำพูดลงมาว่า หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่อยากเจอหน้า แต่จะให้เขาพูดแบบนั้นได้ยังไง ดังนั้น เด็กหนุ่มผมแดง จึงจำต้องโกหกสด ๆ ด้วยความจำเป็น

     “เขาไม่อยากเจอหน้าฉันล่ะสิ!” เรนะดักคออย่างรู้ทัน ซึ่งก็ทำให้จิมมี่ถึงกับลอบกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอ …ทำไมนะ เวลาแบบนี้ มิเชล กับ ราฟาเอล ดันหายไปไหนก็ไม่รู้!

     “ปะ…เปล่า นะครับ” จิมมี่แก้ตัวอึกอัก เรนะทำเสียงฮึในลำคอ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะกลับไป จิมมี่ก็เรียกเธอไว้เสียก่อน

     “เอ่อ…คุณเรนะครับ”

     “หือ มีอะไรเหรอจิมมี่” หญิงสาวหันกลับมา ซึ่งก็เห็นจิมมี่ทำสีหน้าเหมือนลำบากใจ และเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด

     “…ผมพูดไม่ค่อยเก่ง แต่…คือ…ยูยะ เขาลำบากใจนะครับ …เขาชอบอาจารย์คาเตอร์ และก็ไม่ได้เกลียดคุณเรนะด้วย คือ เขาไม่อยากให้คุณทั้งคู่ทะเลาะกันน่ะครับ …”

     จิมมี่พยายามอธิบายอย่างอึกอัก แต่แววตาที่จริงใจนั้น ก็ทำให้หญิงสาวสนใจฟังขึ้นมาได้

     “หมายความว่าเธอก็ยอมรับเรื่องที่ผู้ชายชอบผู้ชายอย่างนั้นหรือไง” เรนะถามขึ้นมาบ้าง หลังจากเงียบฟังจิมมี่ยกเหตุผล ที่ตัวเขาเองคิดว่าน่าจะดี มาให้หญิงสาวฟังจนหมดสิ้น

     “ผะ…ผม” จิมมี่หน้าแดงก่ำทันที ก่อนจะตะกุกตะกักตอบ

     “ผมไม่ได้ชอบ หรือ รังเกียจอะไรหรอกครับ …ตะ แต่ผมคิดว่า ถ้าเขารักกันจริง …มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือครับ …ผมหมายความว่า ความรัก ไม่ว่ามันจะเกิดในรูปแบบไหน มันก็เป็นสิ่งที่ดี และน่ายอมรับน่ะครับ”

     เรนะเลิกคิ้วนิด ๆ อย่างสนใจในคำพูดนั้น ก่อนจะย้อนถามกลับไปอีกประโยค

     “แต่สังคมส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับในเรื่องนี้นะ เธอคิดว่ายูยะจะทนได้หรือไง หากสังคมรับรู้เรื่องนี้เข้า เด็กคนนั้นต้องทนไม่ได้แน่”

     “ยูยะเข้มแข็งกว่าที่คุณคิดนะครับ!” จิมมี่เถียงกลับทันทีอย่างลืมตัว ก่อนจะเอ่ยขอโทษเบา ๆ เพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่าเขาหลายปี

     “…ที่สำคัญ ถึงสังคมจะไม่ยอมรับ แต่ยูยะก็ยังมีพวกผมอยู่ทั้งคน … และ ยูยะที่ขาดมอร์เฟียซ คาเตอร์ ก็เป็นแค่เพียงคนที่มีชีวิต แต่ไร้จิตใจนั่นล่ะครับ ที่สำคัญ ถ้าทั้งคู่ต้องเลิกรากันจริง ๆ ผมกลัวว่ายูยะจะ …”

     จิมมี่เงียบไปเฉย ๆ จนทำให้เรนะซึ่งกำลังตั้งใจฟังขัดใจ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
«ตอบ #79 เมื่อ30-06-2011 21:55:58 »

   “ยูยะจะอะไร พูดต่อสิ!”

     “คือ…” จิมมี่เงียบ คิดทบทวนว่าจะเล่าเรื่องเมื่อก่อนให้คนตรงหน้าฟังดีหรือไม่ … เมื่อก่อน เพียงแค่เข้าใจผิดว่า มอร์เฟียซ คาเตอร์ไม่มีใจให้ ก็ทำให้ยูยะเพี้ยนไป จนถึงขนาดลงมือทำร้ายตัวเองมาแล้วด้วยซ้ำ

     “โอเค! ผมจะเล่า ถ้านั่นมันจะทำให้คุณได้คิดว่า ยูยะจำเป็นต้องมีมอร์เฟียซ คาเตอร์ เหมือนกับที่มอร์เฟียซ คาเตอร์ จำเป็นต้องมียูยะ นั่นล่ะ!”

     แล้วจิมมี่ ก็ตัดสินใจเล่าให้หญิงสาวฟังในส่วนที่เขารับรู้ทั้งหมด ซึ่งเรนะก็ได้แต่นิ่งเงียบฟังโดยดี มีบางครั้งที่เธอทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป และก็นิ่งฟังจนกระทั่งเด็กหนุ่มเล่าจบ

     “เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ” จิมมี่บอก พลางสังเกตท่าที ของเรนะ แต่ก็จับความรู้สึกของหญิงสาวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

     “ยูยะมีเพื่อนที่ดีจริง ๆ” เรนะเอ่ยออกมาในที่สุด หลังจากที่เงียบมานาน

     “ถ้ายูยะเป็นคนมาเล่าเอง ฉันจะไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย เพราะฉันคิดว่าเขาคงจะหลงหมอนั่นจนลืมหู ลืมตาไม่ขึ้น และกุเรื่องขึ้นมาหลอกฉัน… แต่พอฟังเธอเล่าแล้ว….ฉันเชื่อ”

     หญิงสาวส่งยิ้มให้ ซึ่งก็ทำให้จิมมี่รู้สึกดีใจที่ทำให้คนตรงหน้าเริ่มคล้อยตามได้ในที่สุด

     “แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันก็ยังยอมรับไม่ได้อยู่ดีนั่นล่ะ”

     ประโยคถัดมาทำให้จิมมี่ ซึ่งกำลังดีใจ ห่อเหี่ยวลงทันที และขณะที่กำลังผิดหวังกับการที่เจรจาไม่สำเร็จ เรนะก็พูดต่อขึ้นมาอีกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

     “จนกว่าจะมีการพิสูจน์ความรักของคนทั้งคู่เกิดขึ้นให้ฉันเห็นกับตา ฉันถึงจะยอมเชื่อ”

     “เอ๋? พิสูจน์งั้นหรือครับ!” จิมมี่ทวนคำด้วยความแปลกใจ

     “ใช่! แล้วเธอก็ต้องช่วยร่วมมือกับฉันด้วย จะได้ไหมล่ะ!”

     เรนะยื่นข้อเสนอ ซึ่งจิมมี่ก็มองหญิงสาวอย่างชั่งใจ สักพัก ก่อนจะตอบรับเสียงอ่อย ๆ

     “ถ้าจะช่วยให้คุณเข้าใจยูยะได้ …ผมก็ยินดี”

     “ดีมาก! เธอเป็นเด็กดีจริง ๆ จิมมี่!” เรนะก้มลงจูบที่ปากของเด็กหนุ่มผมแดงเบา ๆ ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายตกใจ กระโดดถอยหลังหนีออกมาตั้งหลักอย่างรวดเร็ว

     “อะ…เอ่อ..” เด็กหนุ่มพูดตะกุกตะกัก ใบหน้าแดงก่ำ ซึ่งเรนะเห็นแล้วก็รู้สึกชอบใจขึ้นมาทันที และก่อนที่หญิงสาวจะกลับ ก็สั่งกำชับไว้เสียก่อน

     “ไว้เดี๋ยวฉันจะบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ตอนนี้เธอก็ทำตัวปกติ เหมือนว่าไม่เคยคุยอะไรเรื่องนี้กับฉันมาก่อนก็แล้วกันนะ”

     “คะ…ครับ” จิมมี่ตอบรับเบา ๆ ใบหน้ายังไม่หายแดง เรนะยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไป ด้วยอารมณ์ที่ดีกว่าขามา ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจเหมือนกันที่ยอมรับอะไรได้ง่าย ๆ แบบนี้ สาเหตุหลักคงเป็นเพราะแววตาซื่อ ๆ จริงใจ ของเด็กหนุ่มผมแดง ตลอดเวลาที่คุยกับเธอ คนนั้นด้วยกระมัง



     เหตุการณ์มันช่างดูราบรื่น เสียจนน่าแปลกใจ …

     จากที่เคยคิดว่าจะโดนลูกตื๊อของลูกพี่ลูกน้องสาวของเขา ทุกวัน กลับกลายเป็นว่า เจ้าหล่อนหายเงียบไปเลยหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ

     มันก็น่าจะดีอยู่หรอก ที่เป็นแบบนี้ แต่มันผิดปกติไปจากนิสัยของเรนะที่เขาเคยรู้จัก

     …มันต้องมีอะไร ผิดปกติแน่ ๆ!!…

     “ก็ดีแล้วนี่ เขาอาจจะเข้าใจนายแล้วก็ได้” จิมมี่พูดโดยไม่ยอมมองหน้า เด็กหนุ่มก็เป็นอีกคนที่ผิดปกติไป เพราะหลังจากออกไปรับหน้าเรนะเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว จิมมี่ก็แทบจะไม่ค่อยเข้าหน้าเขาเสียเท่าไรนัก เวลาคุยกันก็มักจะหลบตาเสมอ ๆ อย่างน่าสงสัย จนวันนี้ ที่เขากึ่งขอร้อง กึ่งบังคับ เจ้าตัว จึงยอมมานั่งคุยด้วยกันจนได้

     “จิมมี่ …ถามจริงเถอะ นายกำลังปิดบังอะไรบางอย่างฉันอยู่ได้ไหม”

     เพราะคบกันมา 2 ปีแล้ว แถมยังสนิทกันขนาดนั้น อีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ เขาจะไม่รู้สึกเชียวงั้นหรือ

     “ปะ…เปล่า สักหน่อย” เจ้าตัวอึกอัก พยายามแสร้งมองไปทางอื่น หากอาการเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้ยูยะสงสัยหนักเข้าไปอีก

     “จิมมี่ … รู้ตัวไหมว่านายน่ะเป็นคนโกหกใครไม่เป็น ดังนั้นเวลามีอะไร มันเลยปิดพิรุธไม่ค่อยอยู่น่ะ” ยูยะพูดเสียงเรียบ หากแต่นัยน์ตาจ้องเพื่อนของเขาเขม็ง เหมือนดังกำลังจะคาดคั้นเอาความจริงให้ได้

     “มะ...ไม่มีสักหน่อย นายคิดมากไปเองต่างหาก”

     “แน่ใจเหรอ?”

     “อะ….อืม”

     “นายโกหก!” ยูยะเน้นเสียงเข้ม และก่อนที่เขาจะรุกอีกฝ่ายให้ยอมเปิดเผยความจริง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา

     “ก๊อก ๆ”

     “ใคร!” ยูยะถามเสียงห้วน เพราะกำลังหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ หากแต่จิมมี่ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก

     “ฉันเอง…” เสียงตอบพร้อมกับประตูห้องที่ถูกเปิดออก

     “มิเชล เองเหรอ มีธุระอะไร!”

     ฟังดูก็รู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังหงุดหงิด หากแต่มิเชลก็ไม่ได้ใส่ใจ กับอาการเช่นนั้น

     “มีคนต้องการพบนายน่ะ เขารออยู่ข้างล่าง”

     “ใคร?” ยูยะถามด้วยความสงสัย แต่เมื่อมิเชลบอกชื่อของคนที่ต้องการพบเขา เด็กหนุ่มก็รีบวิ่งพรวดพราดลงไปข้างล่างทันที

     “หึ ๆ” มิเชลหัวเราะตามหลังไปเบา ๆ ขณะที่จิมมี่ เดินเข้ามาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม

     “เขา มาจริง ๆ น่ะเหรอ”

     “อืม...” มิเชลตอบสั้น ๆ ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายได้ฟัง ก็ยิ้มออกอย่างโล่งใจ ดูท่าคราวนี้ เพื่อนรักของเขา คงจะหายหงุดหงิดได้สักทีสินะ



     ยูยะ รีบวิ่งลงบันได อย่างรวดเร็ว จนเกือบจะเสียหลักล้มกลิ้งลงมา โชคดี ที่เขาคว้าราวบันไดไว้ได้ ก่อนจะพยายามตั้งสติ และลงมาอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิม

     …ร่างสูงที่ยืนหันหลังให้เขา ภายในห้องนั่งเล่นรวม ทำให้ยูยะแทบจะกลั้นสะอื้นไว้ไม่อยู่ เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้ว ที่เขาไม่ได้พบกับมอร์เฟียซ คาเตอร์ แม้กระทั่งในชั่วโมงเรียน ชายหนุ่ม ก็ให้อาจารย์คนอื่นมาสอนแทน แถมพอเขาไปพบทั้งที่ทำงาน และที่บ้านพัก ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมให้เข้าพบอีกต่างหาก …

     “…มอร์เฟียซ”

     “…นาโอกิ” เสียงเรียกชื่อของเขา พร้อมกับใบหน้าที่หันมาพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ ทำให้ยูยะผวาเข้ากอดชายหนุ่มเบื้องหน้าทันที พร้อมกับปล่อยโฮลั่นอย่างลืมตัว จน ชายหนุ่มเองยังตกใจ

     “เป็นอะไรไป นาโอกิ! ร้องไห้ทำไม!”

     “ผะ…ผม คิดว่าคุณเกลียดผมแล้วเสียอีก”

     มอร์เฟียซลูบศีรษะร่างเล็กในอ้อมกอดแผ่วเบา ก่อนจะปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

     “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่เคยเกลียดเธอเลยนะ”

     “กะ… ก็คุณไม่ยอมให้ผมพบ แถมชั่วโมงเรียนก็ยังไม่ยอมเข้าสอนอีก แล้วจะให้ผมคิดยังไงล่ะครับ” ยูยะตอบปนสะอื้น มอร์เฟียซถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะจูบที่หน้าผากของอีกฝ่ายเบา ๆ อย่างสำนึกผิด

     “ขอโทษ  ฉันก็แค่ ‘หึง’ เธอเท่านั้นเอง เลยไม่อยากให้เธอเห็นสภาพทุเรศ ๆ ของฉันตอนนั้นน่ะสิ”

     “หึง?…ทำไมล่ะครับ ผมไม่ได้มีอะไรกับพี่เรนะสักหน่อย”

     ยูยะถามขึ้นมาทั้งน้ำตาด้วยความสงสัย หากแต่มอร์เฟียซกลับขมวดคิ้วยุ่ง สีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด

     “แล้วที่ไปช้อปปิ้ง ดูหนังหลังเลิกเรียนบ้างล่ะ ไปกินข้าวด้วยกันบ้างล่ะ ใจคอเธอคงไม่คิดว่าฉันจะทนอยู่เฉย ๆ ได้หรอกนะ แถมอีกฝ่ายยังโทรมาเย้ยแทบทุกวันแบบนั้นด้วยน่ะ!”

     พูดแล้วก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บใจมากขึ้นไปอีก หากแต่สีหน้างงจริง ๆ ของเด็กหนุ่ม ก็ทำให้เขารู้สึกเอะใจขึ้นมาตงิด ๆ

     “อย่าบอกนะว่าเธอไม่ได้ทำอย่างที่ฉันพูดมาน่ะ”

     “ผมไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลยนะครับ” ยูยะสั่นหน้าปฏิเสธ ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตา บอกอย่างชัดเจน ว่าไม่รู้เรื่องจริง ๆ จนชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง

     “ก็เพื่อนเธอยังยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงเลยนะ!”

     “เพื่อน? …. ใครครับ” ยูยะถาม พลางนึกไปถึงใครคนหนึ่ง …. คนที่แปลก ๆ ไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน

     “จิมมี่ ชไนเดอร์”

     “จิมมี่!! หมอนั่น…นึกแล้วเชียว!!”

     ยูยะเอ่ยเสียงเครียด ก่อนจะรีบวิ่งพรวดพราด กลับไปยังห้องของตนทันที โดยที่มอร์เฟียซ คาเตอร์ ยืนอึ้งมองอยู่สักพัก ก่อนที่สมองจะประมวลเหตุการณ์ทั้งหมด และเข้าใจแจ่มชัดในเวลาไม่นานนัก

     ...ชไนเดอร์ …นิสัยอย่างเด็กนั่นคงไม่ได้คิดแผนเองแน่ ๆ ถ้างั้นก็ต้องเป็นยัยตัวแสบนั่นสินะ!…

     มอร์เฟียซคิดอย่างเจ็บใจ แล้วที่เขามัวแต่หึงบ้า หึงบอเป็นอาทิตย์ จนเกือบจะบาดหมางกับยูยะ ตรงตามแผนของหล่อน ป่านนี้หล่อนคงนั่งหัวเราะเยาะอยู่ล่ะสิ!!

     โชคดี ที่เป็นเพราะเขารักยูยะมากเหลือเกิน ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะนอกใจเขาจริง ๆ เขาก็คงตัดใจไม่ได้ …ใช่แล้ว ตัดใจไม่ได้ จนต้องมาเห็นหน้าอีกสักครั้ง เพื่อถามให้แน่ใจกันชัด ๆ ไปเลยว่า ในใจของเด็กหนุ่มยังมีเขาอยู่อีกไหม

     แล้วสรุปก็กลายเป็นว่า ยูยะไม่ได้รู้เรื่อง รู้ราวอะไรแม้แต่น้อย ทั้งหมดเป็นเพราะเขามันโง่เอง ที่ดันไปหลงกลลูกไม้ตื้น ๆ ของหล่อน เชื่อได้แม้แต่คำพูดของเด็กที่โกหกไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ …จริงสินะ ตอนนั้นเขาก็คิดว่าท่าทีของจิมมี่ ค่อนข้างแปลกไป แต่เพราะความหึงมันบังตา จนทำให้เขา ขาดสติไตร่ตรองไปเสียหมด

     …และต่อจากนี้ หล่อนจะมาไม้ไหนกับเขาอีกก็ไม่รู้สินะ! …



     “เอาล่ะ! ไหนนายอธิบายมาสิว่า ทำไมถึงต้องโกหกมอร์เฟียซ เรื่องของฉันกับพี่เรนะด้วย!”

     ยูยะยืนเท้าเอวมองอีกฝ่ายด้วยแววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ซึ่งมิเชล และราฟาเอลที่เข้ามาทีหลัง ถึงกับยืนหลบเงียบ ๆ อยู่มุมห้อง ไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วยแม้แต่น้อย

     “ง่า….คือ ใจเย็น ๆ สิ ยูยะ ฉะ…ฉันอธิบายได้นะ” จิมมี่พูดตะกุกตะกัก ก็นึกแล้วว่าสักวันความมันต้องแตก แต่ไม่คิดว่าเขาจะต้องมารับหน้าคนเดียวแบบนี้น่ะสิ

     “ก็อธิบายมาสิ!” ยูยะกระแทกเสียง จากคนที่อ่อนโยน ยิ้มแย้มอยู่เสมอ กลับกลายเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็รู้สึกขยาดกันแทบทั้งนั้น

     …โธ่ ๆ ๆ คุณเรนะ นะคุณเรนะ ไหนคุณว่าสบายมาก ไม่มีปัญหายังไงล่ะ แล้วที่ยูยะโกรธจนแทบจะกินผมได้แบบนี้ คุณจะว่ายังไงกัน หา! ….

     “คือ…ฉัน …คุณเรนะ ..เอ่อ” เอาเข้าจริง ๆ จิมมี่ก็เริ่มเรียบเรียงคำพูดไม่เป็นประโยค แต่เพียงแค่นั้น ก็ทำให้ยูยะพอจับเค้าได้ว่า ใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

     “พี่เรนะอีกแล้วสินะ!!”

     “กะ…ก็ประมาณนั้นล่ะ” จิมมี่ไม่รู้จะบอกว่ายังไงดี เลยรับคำไปแบบนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย ตรงกันข้ามกับทำให้ยูยะยิ่งคลั่งเข้าไปใหญ่

     “ฉันจะไปหาพี่เรนะ!!”

     แล้วเจ้าตัวก็รีบวิ่งพรวดพราดออกไป จนเกือบจะชนกับมอร์เฟียซที่เดินสวนขึ้นมาบนบันได

     “จะไปไหนนาโอกิ!”

     “จะไปพบพี่เรนะครับ!!” ยูยะบอก ก่อนจะรีบวิ่งจากไป โดยที่ไม่ได้ฟังเสียงทัดทานของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย

     “เฮ้! ยูยะ เดี๋ยวก่อนสิ ….อ๊ะ …อาจารย์” จิมมี่ชะงักกึก เมื่อออกมาเจอกับมอร์เฟียซ ซึ่งยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มจ้องมองจิมมี่ ด้วยสายตาที่เด็กหนุ่มผมแดงมักจะเรียกว่าดวงตาเมดูซ่า ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจเต็มเปี่ยม

     “ไหนลองเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังอย่างละเอียดเลยนะ ชไนเดอร์”

     คราวนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่คำพูดมันไหลพรั่งพรูออกจากปากของจิมมี่ได้อย่างลื่นไหล ชนิดที่เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ สาเหตุหนึ่งในนั้นเห็นจะไม่พ้นเจ้าดวงตาและน้ำเสียงน่ากลัว ๆ ของคนตรงหน้านั่น อย่างแน่นอน



     “จะมาขอพบใครครับ”

     เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่หน้าแผนกวิจัยฯ กล่าวถามขึ้น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มมายืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่หน้าแผนก

     “อะ…เอ่อ…ขอพบ คาโต้  เรนะ ครับ …คือ ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องเธอครับ”

     “มีบัตรอนุญาตผ่านทาง จากหัวหน้าแผนกหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีก็เข้าไปพบไม่ได้นะครับ”

     เจ้าหน้าที่คนนั้นกล่าวต่อ ซึ่งยูยะก็สั่นหน้าปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงถามเด็กหนุ่มต่อ

     “แล้วมีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่าครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะติดต่อเข้าไปยังแผนกให้”

     “อะ…เอ่อ” มาถึงตอนนี้ ยูยะกลับนึกข้ออ้างไม่ออก ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังอึกอักอยู่นั้น ก็มีเสียงตะโกนทักอย่างร่าเริงดังมาจากด้านใน

     “อ้าว! ยูยะคุงนี่นา เกิดอะไรขึ้นถึงมาที่นี่ได้ล่ะ!!”

     ลี ชาง นั่นเอง เผอิญเขามีธุระผ่านมาพอดี จึงทำให้เจอกับเด็กหนุ่มโดยบังเอิญเช่นนี้

     “อ้อ! เด็กนี่ คนรู้จักผมเอง ให้เข้ามาได้เลย” ชางหันไปบอกกับทางเจ้าหน้าที่ ซึ่งพวกเขาก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี ทั้งนี้เพราะนั่นเป็นคำสั่งโดยตรงของหัวหน้าแผนกวิจัยฯ แห่งอีเดนนั่นเอง

     “ไง มาถึงที่นี่มีธุระอะไรอย่างนั้นเหรอ หรืออยากจะคุยอะไรเกี่ยวกับเรื่องมอร์เฟียซล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยแซว แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ขำแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับตีสีหน้าเคร่งขรึมเสียจนชายหนุ่มเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียเอง

     “มีอะไรเกิดขึ้นหรือยูยะ” น้ำเสียงถามเป็นการเป็นงานขึ้น จึงทำให้ยูยะบอกสาเหตุที่มาที่นี่ให้อีกฝ่ายได้ทราบอย่างคร่าว ๆ

     “โอ๊ย! ให้ตายสิ เป็นเรื่องจนได้หรือนี่!…นึกแล้วเชียว”

     ยูยะมองไปทางชาง ด้วยสายตาค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ชายหนุ่มต้องหลบตาวูบทันที และแล้วเด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมเรนะถึงได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับมอร์เฟียซ ได้รวดเร็วขนาดนั้น

     “อย่าบอกนะครับว่า สาเหตุของเรื่องทั้งหมด มาจากที่ดอกเตอร์พลั้งปากไปบอกอะไรพี่เรนะเข้า”

     คำถามตรงประเด็นทำให้ชางสะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบมองซ้ายมองขวา และเมื่อเห็นเรนะเดินมา ชายหนุ่มก็รีบโยนเรื่องส่งต่อให้หญิงสาวทันที

     “อ๊ะ!! นั่นไง คนที่เธออยากพบมานั่นแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะ เฮ่อ! งานเยอะจริงจริ๊ง!!”

     “เดี๋ยวครับดอกเตอร์!” ยูยะตะโกนไล่ตามหลัง คนที่รีบแผ่นแนบจากไปโดยเร็ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

     “อ้าวยูยะ มีอะไรงั้นเหรอ ถึงมาที่นี่ได้?” เรนะถามขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ราวกับว่าหล่อนไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็รู้แต่แรกแล้วว่า เหตุผลที่เด็กหนุ่มมาหาหล่อนถึงแผนกวิจัยแห่งนี้ เนื่องมาจากสาเหตุใด

     “พี่เรนะ! พี่ต้องการอะไรกันแน่!”

     “ต้องการ? ต้องการอะไรงั้นเหรอยูยะคุง?” หญิงสาวยังคงถามด้วยสีหน้าสงสัย จนยูยะเริ่มชักจะหมดความอดทนเข้าทุกขณะ

     “อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเลยนะ ผมรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว พี่ทำอย่างนั้นทำไมกัน!”

     คราวนี้เรนะเปลี่ยนสีหน้าจากใสซื่อ กลับมาเป็นยิ้มเยือกเย็นอย่างน่ากลัว

     “ก็ต้องการให้เธอเลิกกับเขาน่ะสิ …ยูยะ”

     “ทะ…ทำไม” ยูยะถาม น้ำเสียงสั่น ๆ ก็สีหน้าและแววตาของเรนะแบบนี้ เขาสู้ไม่ได้มาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้ว

     “เพราะฉันไม่อยากให้น้องชายที่น่ารักของฉัน หลงเดินทางผิดน่ะสิ หมอนั่นเป็นอาจารย์แท้ ๆ แต่กลับทำเรื่องอย่างนี้กับเด็กนักเรียนได้ ดูยังไง ๆ ก็ไม่ใช่คนที่เธอจะฝากอนาคตได้หรอกนะยูยะ”

     “แต่ว่า!…” ยูยะเตรียมตั้งท่าที่จะเถียง หากแต่น้ำเสียงทุ้ม ๆ ที่ขัดขึ้นมาเสียก่อนก็ทำให้การสนทนานั้นหยุดชะงักลงทันที

     “ถ้าฉันลาออกจากการเป็นอาจารย์ของสถาบันนี้ เธอก็คงจะยอมรับฉันกับนาโอกิ ได้สินะ”

     มอร์เฟียซที่เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อน ๆ ทั้งสามของเขา ทำให้เรนะลอบยิ้มนิด ๆ หากแต่ยูยะที่ฟังประโยคนั้น ถึงกับตะโกนห้ามออกมาอย่างตกใจ

     “ไม่นะครับ! คุณจะลาออกไม่ได้นะ! ผมไม่ยอมให้คุณออกหรอก!”

     หากแต่มอร์เฟียซกลับมองไปยังยูยะยิ้ม ๆ และหันมาทางเรนะ ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้า และแววตาหนักแน่น เอาจริง

     “ว่ายังไงล่ะ ถ้าฉันยอมลาออก เธอคงยอมรับสินะ”

     เรนะ ยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะเหยียดยิ้มที่มุมปาก

     “แน่ใจหรือคะ อาจารย์คาเตอร์ งานนี้ไม่ใช่ใครนึกอยากเป็นก็เป็นกันได้นะ คุณจะเอาอนาคตมาทิ้งง่าย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ …อีกอย่าง เด็กที่น่ารัก และมีความสามารถมากกว่ายูยะ ก็ยังมีอีกตั้งเยอะนะ”

     มอร์เฟียซยอมรับว่า เมื่อฟังครั้งแรกเขารู้สึกฉุนมาก หากแต่ พอเห็นสีหน้าของหญิงสาวแล้ว เจ้าตัวก็รับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายกำลังพูดยั่วให้เขาโมโห เขาจึงพยายามข่มอารมณ์สุดฤทธิ์ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

     “จริงอยู่ที่ฉันชอบความสามารถของนาโอกิในการเล่นดนตรี และหน้าตาของเขาก็น่ารักถูกใจฉัน … แต่ ถึงแม้จะมีใครที่เก่งกว่า ดีกว่านาโอกิ ฉันก็ไม่คิดจะสนใจอีกแล้ว …”

     เจ้าตัวหันมาทางยูยะ พร้อมกับยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน

     “สำหรับฉันแล้ว ไม่ใช่นาโอกิ ไม่ได้ ….เขาคนเดียวเท่านั้น ที่ฉันจะรักตลอดไป”

     “…มอร์เฟียซ..” ยูยะเรียกชื่อชายหนุ่ม ด้วยเสียงสะอื้นนิด ๆ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความปลาบปลื้มใจที่สุด


     …แปะ ๆ…

     เสียงปรบมือดังขึ้นมาจากเรนะที่ยืนฟังอยู่ เจ้าตัวแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเดินผ่านคนทั้งคู่มาหาจิมมี่ที่ยืนฟังอยู่ด้วยความซาบซึ้งเช่นกัน

     “เป็นอย่างที่เธอบอกฉันจริง ๆ จิมมี่ …ตกลงเอาเป็นว่าฉันยอมแพ้แล้วล่ะ”

     “คุณยอมรับความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่แล้วใช่ไหมครับ!” จิมมี่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

     “อืม … คงต้องเป็นแบบนั้นล่ะ ก็เขารักกันเหลือเกินนี่นะ จะให้ฉันทำตัวเป็น นางอิจฉา ไปจับแยกพวกเขาอยู่ได้ยังไงกันล่ะจริงไหม”

     เรนะพูดพลางหัวเราะเบา ๆ อย่างถูกใจ จิมมี่เองก็หัวเราะเช่นกัน หากแต่คนอื่น ๆ กลับมีสีหน้างง ๆ โดยเฉพาะยูยะ

     “ฉันพนันกับจิมมี่ไว้” เรนะอธิบายเมื่อเห็นท่าทางสงสัยของลูกพี่ลูกน้อง

     “ฉันอยากรู้ว่ารักที่พวกเธอมีให้กัน มันเป็นรักแท้ แน่หรือเปล่า แต่เห็นท่าทางไม่ลังเล ตอนที่เขาเลือกเธอมากกว่าความก้าวหน้าของตัวเองแล้ว บอกได้เลยว่าฉันประทับใจมาก”

     เรนะกล่าวยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาลูบศีรษะยูยะอย่างเอ็นดู

     “เธอได้รักแท้มาไว้ในมือแล้วนะ ยูยะ รักษาไว้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไปได้เสียล่ะ”

     “…พี่เรนะ” ยูยะพึมพำเบา ๆ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับหงึก ๆ เท่านั้น

     “ส่วนคุณ…” หญิงสาวหันมาทางมอร์เฟียซ เปลี่ยนท่าทีเป็นขึงขังแทน

     “ถ้าทำให้ยูยะต้องเสียใจ ฉันไม่ยอมอภัยให้แน่ ๆ!”

     “ฉันสัญญา” มอร์เฟียซรับคำสั้น ๆ ทว่า ทั้งแววตา และสีหน้า ที่จ้องตอบกลับมา ก็ทำให้เรนะยิ้มอย่างโล่งอก ก่อนจะเดินจากไป โดยผ่านเด็ก ๆ สามคนซึ่งยืนอยู่แถวนั้น

     “เฮ่อ….ของเล่นของฉัน โดนคนอื่นแย่งไปเสียแล้ว” หญิงสาวพึมพำเบา ๆ กับตัวเองอย่างเสียดาย หากแต่คำบ่นของเธอ กระทบเข้าหู จิมมี่ มิเชล และราฟาเอล เข้าอย่างจัง

     เด็กทั้งสามกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอแทบพร้อมกัน และก็เป็นเคราะห์ดี หรือร้ายของจิมมี่ก็ไม่รู้ ที่ดันไปสบตากับเจ้าหล่อนพอดีตอนที่เดินผ่านตัวเขา

     “อืม…ไม่สินะ…ยังไม่เลวร้ายนักหรอกน่า”

     คำพูดพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่ผุดขึ้นมาชั่วแวบหนึ่งให้เด็กหนุ่มผมแดงเห็นนั้น ทำเอาเจ้าตัวชักหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาทันที หันไปมองเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ก็พากันส่ายหัวไปมา โดยเฉพาะยูยะ ที่เดินเข้ามาตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ อย่างปลอบใจ

     “เอาเถอะจิมมี่ ….อีกเดี๋ยวก็ชินไปเองนั่นล่ะ”

     แล้วเจ้าตัวก็หันไปยิ้มให้กับชายคนรัก ซึ่งทั้งหมดที่อยู่ที่นั่น ก็มองสบตากันไปมา ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาดัง ๆ พร้อมกัน ยกเว้นคนเพียงคนเดียว ที่ทำหน้าเหมือนจะหัวเราะก็ไม่ใช่ ร้องไห้ก็ไม่เชิงอยู่เช่นนั้น 



+++ End +++

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
« ตอบ #79 เมื่อ: 30-06-2011 21:55:58 »





ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
«ตอบ #80 เมื่อ30-06-2011 22:09:27 »

555 สงสารจิมมี่จิงๆ

LadyOneStar

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
«ตอบ #81 เมื่อ30-06-2011 23:17:44 »

ตกลง...จิมมี่คือรายต่อไป
ใช่ไหมค่ะ??? 555

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
«ตอบ #82 เมื่อ01-07-2011 16:23:27 »

ผิดคาด  คิดว่าจิมมี่จะคู่กับเคธี

 :กอด1:

แต่พี่เรนะ  ก็ร้ายนะเนี๊ยะ  หนุ่มซื่อ ๆ อย่างจิมมี่ จะเป็นไงน๊า


ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #83 เมื่อ01-07-2011 19:56:13 »


Special #6 : Holiday / I

เสร็จจากงานโรงเรียน ก็เป็นการสอบปลายภาคอันแสนทารุณ ช่วงนี้นักเรียนแต่ละคนแทบจะไม่ต้องพูดจาอะไรกัน เพราะต่างฝ่ายต่างสนใจกับตำรับตำราเรียนภายในมือของตนเท่านั้น และเมื่อสอบปลายภาคเสร็จ ก็เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนทุกคนรอคอยกันมากที่สุด นั่นก็คือ ปิดภาคฤดูหนาว เป็นเวลา 2 อาทิตย์

     แม้จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่เด็ก ๆ ก็ถือโอกาสในช่วงนี้ กลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว บ้างก็ไปท่องเที่ยวกับเพื่อนฝูง หรือกับคนรักสองต่อสอง

     ‘ยูยะลูกรัก แม่กับพ่อมีโปรแกรมฮันนีมูนรอบสองที่ปารีสเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ลูกปิดเทอมนั่นล่ะ ดังนั้น ถ้ายูยะจะกลับมาบ้านล่ะก็ ดูแลตัวเองให้ดี ๆ ด้วยนะจ๊ะ และถ้าเป็นไปได้ ชวนเพื่อนของลูกมาด้วยจะดีมากเลย จะได้อยู่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือกัน ไว้เจอกันอีกทีตอนซัมเมอร์นะลูกรัก ……แม่’

     ยูยะอ่านจดหมายด่วนจากแม่ที่ส่งมาถึงเขาด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง

     “มาบอกตอนนี้ แล้วจะชวนใครไปเป็นเพื่อนทันล่ะแม่ พรุ่งนี้ก็จะปิดเทอมแล้ว”

     เด็กหนุ่มหวนคิดถึงเพื่อน ๆ ที่ต่างก็มีโปรแกรมในวันหยุดกันหมดแล้ว เขาเองก็เช่นกัน กะว่าจะกลับไปพักผ่อนที่ญี่ปุ่นให้สบายใจเสียหน่อย แต่การที่ต้องอยู่คนเดียวตลอดสองอาทิตย์ เห็นจะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกแน่

     “ก๊อก ๆ”

     เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้ยูยะตื่นจากภวังค์ และรีบลุกเดินมาเปิดประตูทันที

     “อ้าว มิเชล มีอะไรเหรอ?”

     “คาเตอร์โทรมาน่ะ เขารอพูดสายกับนายอยู่”

     ยูยะหน้าแดงนิด ๆ ก่อนจะกล่าวขอบใจอีกฝ่ายเบา ๆ พลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงไปรับโทรศัพท์ทันที

     “สวัสดีครับ ยูยะพูดครับ”

     “นาโอกิ เหรอ พรุ่งนี้ออกเดินทางกี่โมงน่ะ”

     เสียงจากปลายสายเอ่ยถาม ยูยะเงียบไปพักหนึ่ง  ก่อนจะตอบเสียง  อ่อย ๆ

     “อาจจะมีการเปลี่ยนโปรแกรมก็ได้ครับ”

     “อ้าว? ทำไมล่ะ” มอร์เฟียซถามขึ้นด้วยความสงสัย

     “คือว่า …” แล้วยูยะก็เล่าเนื้อความในจดหมายที่แม่ของเขาเขียนส่งมาให้ชายหนุ่มฟังจนหมด มอร์เฟียซเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากในที่สุด

     “พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวฉันจะไปหาที่หอนะนาโอกิ”

     ชายหนุ่มตัดบทแค่นั้นแล้วก็วางสาย ทำเอายูยะขมวดคิ้วด้วยความงง ก่อนจะวางหูโทรศัพท์ และเดินกลับขึ้นห้องไป
     


     เช้าวันเสาร์ 8.00 AM

     ยูยะออกมาส่งเพื่อน ๆ ที่เดินทางกลับบ้านตอนวันหยุดฤดูหนาว ด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม เมื่อรู้ดีว่าตัวเขาเอง ต้องอยู่คนเดียวตลอดปิดเทอมฤดูหนาวนี้

     “ไง นาโอกิ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” มอร์เฟียซเอ่ยทักขึ้น เมื่อเขามาถึงหอพัก ยูยะยิ้มรับนิด ๆ ก่อนจะแปลกใจที่เห็นชายหนุ่มในชุดเดินทางพร้อมสัมภาระเตรียมพร้อม หากแต่ก็คิดได้ในเวลาต่อมา ว่าเขาคงกลับไปเยี่ยมบ้านในช่วงวันหยุดเช่นกัน

     “กลับบ้านเหมือนกันหรือครับมอร์เฟียซ” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม หากแต่คนฟังสั่นศีรษะปฏิเสธ

     “เปล่านี่ เตรียมตัวไปท่องเที่ยวต่างหาก”

     “ท่องเที่ยว?”

     “ใช่” มอร์เฟียซตอบสั้น ๆ พลางแย้มยิ้มมาทางคนรักของเขาอย่างค่อนข้างเจ้าเล่ห์

     “แล้วเธอล่ะ จะไปสนามบินด้วยกันทั้งชุดนั้นหรือไง”

     คำถามที่ฟังแล้วค่อนข้างจะแปลก หากแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ทันได้สังเกต กลับคิดไปว่าชายหนุ่มคงถามถึงการเดินทางกลับบ้านที่ญี่ปุ่นของเขาแทน

     “ผมโทรไปแคนเซิลตั๋วตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้วล่ะครับ สองอาทิตย์นี้ผมกะว่าจะอยู่ที่หอนี่ล่ะ” ยูยะตอบสีหน้าเศร้า ๆ หากแต่คนฟังกลับเหยียดยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก

     “ก็ดีน่ะสิ เพราะฉันไปจองตั๋วเผื่อเธอไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน นี่ก็กะจะมาให้เธอยกเลิกตั๋วเก่าอยู่เลยนะนี่”

     คราวนี้เด็กหนุ่มมองหน้าคนพูดด้วยความตกใจ ก่อนที่สมองจะทำงานตามไปอย่างรวดเร็ว และสรุปสถานการณ์ตรงหน้าได้เรียบร้อยในเวลาต่อมา

     “หมายความว่าจะให้ผมไปกับคุณ…งั้นเหรอครับ”

     ยูยะถามเสียงแผ่วเบา หากแต่อาการยืนนิ่งยิ้มรับนิด ๆ ของคนตรงหน้า ก็ตอบคำถามแทนได้เป็นอย่างดีโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอันใดมายืนยัน

     “แต่จะดีหรือครับ” ยูยะเอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่มั่นใจนัก

     “เราไม่เคยได้ไปเที่ยวค้างคืนที่ไหนกันสองต่อสองเลยนะนาโอกิ นี่เป็นโอกาสดีที่สุดแล้ว ….หรือว่าเธอจะปฏิเสธ” ท้ายประโยคเจ้าตัวก้มลงกระซิบถามที่ข้าง ๆ หูเนียนนุ่มนั้น ทำเอายูยะใบหน้าขึ้นสีเรื่อนิด ๆ ด้วยความเอียงอาย ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ

     “คือ…ผมก็ดีใจนะครับ แต่ว่าจะรบกวนเวลาคุณหรือเปล่า เอ่อ…ผมหมายถึง คุณไม่ได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวนานแล้วเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ”

     ยูยะถามขึ้น เพราะจากข้อมูลที่ได้เคยฟังมาจากเคธี่ ในเรื่องที่ว่า มอร์เฟียซยังมีพ่อและแม่อยู่ที่อังกฤษ และชายหนุ่มเองก็ไม่ค่อยจะได้กลับไปเยี่ยมที่บ้านเลยเพราะยุ่งอยู่กับงานสอน หากแต่ ชางที่นั่งอยู่ด้วยกัน มีกระซิบแถมท้ายหลังจากที่เคธี่พูดว่า ที่มอร์เฟียซไม่ได้กลับบ้านความจริงไม่ใช่เพราะเจ้าตัวงานยุ่งหรอก เพียงแต่ไม่ยอมกลับเองต่างหาก ซึ่งดอกเตอร์หนุ่มก็พูดทิ้งไว้แค่นั้น แล้วก็ไม่ยอมชี้แจงรายละเอียดอะไรอีกตามเคย

     “หือ? เคธี่สินะ หรือว่าชางล่ะ? แต่ช่างเถอะ! เรื่องบ้านของฉันเธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันไม่กลับไป ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาตายเสียหน่อย”

     น้ำเสียงและสีหน้าที่ดูหงุดหงิดขึ้น ทำเอายูยะไม่คิดจะปริปากถามต่อไปอีก และมอร์เฟียซ ก็เหมือนจะรู้ เขาก้มลงจูบที่หน้าผากของเด็กหนุ่มเบา ๆ ก่อนจะสั่งให้เจ้าตัวรีบไปเก็บสัมภาระส่วนตัวให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด

     “ฉันให้เวลาเธอ 30 นาที เก็บของและลงมาที่ห้องนั่งเล่นนี่ ไม่อย่างนั้น …ฉันจะขึ้นไปช่วยเธอเก็บของในห้องเอง” นัยน์ตาวาววับด้วยความเจ้าเล่ห์จ้องมาขณะที่พูด ทำเอายูยะเสียวสันหลังวูบ ก่อนจะรีบวิ่งแจ้นกลับขึ้นห้องไปทำตามคำสั่งนั้นทันที ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนหัวเราะเบา ๆ ตามหลังไปเช่นนั้น
     


     6 ชั่วโมงต่อมา …

     “เป็นประเทศที่น่าอยู่ดีนะ นาโอกิ” มอร์เฟียซเอ่ยปากชม ขณะที่เขาและยูยะนั่งรถแท๊กซี่ออกจากสนามบินนาริตะ มุ่งตรงไปยังเรียวคังขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง ณ เมืองหลวงเก่า ‘เกียวโต’

     “น่าจะนั่งรถไฟไปกันแทนนะครับ มอร์เฟียซ จากนี่ไปเกียวโต ค่ารถมันแพงนะครับ”

     ยูยะยังคงท้วงติงอีกครั้ง แม้ มอร์เฟียซจะยืนยันแล้วก็ตามว่าเรื่องเงินไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาก็ตาม

     “เอาน่า ฉันอยากเดินทางแบบสบายนี่นา ถ้าไม่ติดเรื่องใบขับขี่ล่ะก็ ฉันเช่ารถขับไปเองแล้วล่ะ”

     เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์จะทักท้วง เด็กหนุ่มจึงเงียบเสีย ทว่า นั่งรถแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็สบายอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริง ๆ นั่นล่ะ

     “จะนอนพักก่อนก็ได้นะ กว่าจะถึงก็คงมืดพอดีนั่นล่ะ” ชายหนุ่มหันมาบอกกับร่างเล็กข้าง ๆ ที่กำลังอ้าปากหาว ด้วยความอ่อนเพลีย ปน ง่วงนิด ๆ

     “ครับ…” ยูยะตอบรับเบา ๆ ในลำคอ ศีรษะซบพิงไหล่กว้าง หลับสนิทในเวลาต่อมา



     “หืม หิมะ” ชายหนุ่มพึมพำเบา ๆ เมื่อมองไปข้างทาง เกร็ดขาวขุ่น จากฟากฟ้าเริ่มโปรยปรายลงมาทีละน้อยจนหนาตาขึ้น

     “เข้าหน้าหนาวก็อย่างนี้ล่ะครับ บางทีหิมะก็ลงหนา จนรถวิ่งไม่ได้เลยก็มี” คนขับชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ

     “เลี้ยวข้างหน้านี่ก็ถึงแล้วล่ะครับ คุณปลุกคุณหนูนั่นเถอะ”

     คนขับบอก และดังที่เขาว่า เพียงเลี้ยวขวาตรงถนนข้างหน้า หลังคาทรงญี่ปุ่นของเรียวคังขนาดใหญ่ ก็เด่นสง่าให้เห็นมาแต่ไกล

     “นาโอกิ … นาโอกิ ตื่นเถอะ ถึงแล้วนะ” มอร์เฟียซเขย่าร่างเล็กเบา ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็งัวเงียลืมตามามองเขา

     “….ถึงแล้วหรือครับ”

     “อืม ถึงแล้ว”

     ยูยะขยี้ตาเบา ๆ ก่อนจะเพ่งมองไปทางกระจกเบื้องหน้าแล้วก็ต้องอุทานเบา ๆ

     “โห…หรูจังเลยนะครับ”

     มอร์เฟียซยิ้มแย้มอย่างพอใจ ที่สถานที่ซึ่งเขาได้จองไว้ถูกใจคนรักตัวน้อยของเขา

     “ไว้เข้าไปข้างในก่อนดีกว่านะ แล้วเธอจะชอบยิ่งกว่านี้” ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ แต่นั่นก็ทำให้ยูยะรู้สึกประหลาดใจนิด ๆ

     “คุณเคยมาแล้วงั้นหรือครับมอร์เฟียซ”

     “อืม …เมื่อก่อนเคยมาพักกันอยู่เกือบอาทิตย์ ติดใจมากเลย ตอนโทรมาจองห้องพักเมื่อคืนก็กลัวไม่ว่าง แต่นับว่ายังโชคดี เราเลยได้มาพักกันที่นี่ไงล่ะ” มอร์เฟียซบอกอย่างอารมณ์ดี หากคนที่นิ่งฟังข้าง ๆ กลับเริ่มคิดมากขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

     ‘…เคยมาพักกันอยู่เกือบอาทิตย์ … กับใคร? …’

     แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป เพราะความกลัวในความจริงที่จะได้รับฟังนั่นเอง

     “นาโอกิ! จะไม่ลงจากรถงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายดัง ๆ อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวกำลังเหม่อมองไปข้างหน้า ไม่ยอมลง ทั้ง ๆ ที่ถึงเรียวคังแล้วก็ตาม

     “อ๊ะ! ลงครับ!” ยูยะสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบร้อนลงมาจากรถแท๊กซี่โดยเร็ว

     “เป็นอะไรหรือเปล่า” มอร์เฟียซถามอย่างเป็นห่วง แต่เด็กหนุ่มก็รีบสั่นศีรษะปฏิเสธโดยเร็ว

     “ไม่เป็นไรครับ …เอ่อ แค่ยังไม่ค่อยหายงัวเงียน่ะครับ” ยูยะแก้ตัว ซึ่งมอร์เฟียซก็ไม่ได้ติดใจซักถามต่อไปอีก คนทั้งคู่ก้าวเท้าเข้าไปในเรียวคัง เก่าแก่ ใหญ่โต แห่งนั้น โดยที่มีพนักงานภายในเรียวคัง รีบออกมาต้อนรับทันที

     “ดีใจที่ได้รับใช้คุณอีกครั้งนะคะมิสเตอร์คาเตอร์ เชิญค่ะ” สตรีหน้าตาสดสวย อายุราว ๆ 25 –30 ผู้หนึ่งก้าวออกมาต้อนรับและทักทายเป็นภาษาอังกฤษ หล่อนแต่งกายในชุดกิโมโนที่ยูยะมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของชั้นดี และราคาแพงลิบ ที่สำคัญหญิงผู้นั้นดูมีสง่าราศีเกินกว่าจะเป็นพนักงานภายในเรียวคัง

     “สวัสดีครับ ชิโนะซัง ดีใจที่ได้เจอคุณอีก” มอร์เฟียซโค้งศีรษะให้นิด ๆ พร้อมกับยิ้มหวานให้ อย่างที่ยูยะถึงกับตะลึง เพราะไม่เคยเห็นชายหนุ่มยิ้มแบบนี้ให้ใครบ่อยนัก นอกจากตัวเขา

     ‘หล่อนเป็นผู้หญิงที่สวยมากเลย …เป็นอะไรกับมอร์เฟียซกันแน่นะ…’

     ยูยะคิดอย่างสงสัย พร้อมกับหลบสายตาอีกฝ่ายที่เลื่อนมาจับจ้องยังเขา หลังจากที่ได้ทักทายปราศรัยกับคาเตอร์พอเป็นพิธีแล้ว

     “คุณหนูคนนี้ ที่บอกว่าจะมาพักด้วยกันใช่ไหมคะ”

     “ครับ” มอร์เฟียซรับคำสั้น ๆ ด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับโอบไหล่รั้งร่างของยูยะให้เข้ามาใกล้ชิดกับเขายิ่งขึ้น

     “นาโอกิ ยูยะ คนสำคัญของผมเองครับ”

     ยูยะช้อนตาขวับขึ้นมองคาเตอร์ด้วยสายตาที่คาดไม่ถึง ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าประกาศความสัมพันธ์ของพวกเขาต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ หากแต่หญิงสาวผู้นั้นกลับไม่ได้ตกใจอะไรแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับยิ้มแย้มอย่างยินดีเสียด้วยซ้ำ

     “แหม ๆ น่ารักจังเลยนะคะ คุณก็ช่างตาแหลมจริง ๆ นะคะมิสเตอร์คาเตอร์”

     “ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยิ้มรับ

     “อ๊ะ! ตายจริง ดิฉันนี่แย่จัง ดันชวนแขกยืนคุยอยู่หน้าประตูอยู่ได้ตั้งนาน เอ้า พวกเธอ ช่วยพาแขกคนสำคัญของเรียวคังไปพักที่ห้องเร็วเข้า”

     “ค่ะ นายหญิง” บรรดาพนักงานต้อนรับเอ่ยปากขึ้นพร้อมกัน พร้อมกับแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน ยูยะจึงได้ทราบในที่สุดว่าหญิงสาวที่ชื่อชิโนะผู้นี้เป็นใคร

     “ดิฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ มิสเตอร์คาเตอร์ เชิญคุณพักผ่อนตามสบายนะคะ ทางโรงแรมเราได้จัดให้คุณพักในห้องซากุระที่คุณต้องการเรียบร้อยแล้วค่ะ”

     “ขอบคุณมากครับชิโนะซัง” มอร์เฟียซโค้งรับ ก่อนจะหันไปทางยูยะ

     “เราก็ไปกันเถอะนาโอกิ”

     “อ่ะ …. ครับ”

     ยูยะที่กำลังจับต้นชนปลายไม่ถูก เดินตามไปต้อย ๆ แต่ในสมองของเขากลับมีคำถามมากมายวนเวียนเต็มไปหมด ทว่า ในความสับสนนั้น อย่างน้อย เขายังคงรู้สึกดีใจนิด ๆ ในเรื่องที่มอร์เฟียซกล้าบอกว่าเขาเป็นคนสำคัญต่อหน้าคนอื่นเช่นนั้น

..
..

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #84 เมื่อ01-07-2011 19:57:00 »


..
..
 “อ๊ะ! ว้าว! มีบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งนอกห้องด้วย!!” ยูยะตะโกนขึ้นด้วยความดีใจทันทีที่เข้ามาเห็นสภาพภายในห้อง ซึ่งมองออกไปตรงระเบียงบริเวณสวนกลางแจ้งมีบ่อน้ำร้อนขนาดย่อมอยู่ด้วย เด็กหนุ่มวิ่งออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบา ๆ

     “ไว้เดี๋ยวเก็บของเรียบร้อย แล้วเราค่อยลงอาบพร้อมกันทีหลังก็ได้นาโอกิ บ่อน้ำร้อนมันไม่หนีไปไหนหรอก”

     เสียงหลุดหัวเราะคิก จากพนักงานเรียวคังสาวที่นำสัมภาระมาเก็บให้ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะรีบโค้งขอตัวออกจากห้องไปโดยไว ทิ้งให้ มอร์เฟียซ ยืนกอดอกมองไปทางเด็กหนุ่มที่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเอ็นดู     

     ยูยะก้มหน้างุด ๆ กลับมาเก็บข้าวของของตนเองเข้าตู้เสื้อผ้าที่ทางเรียวคังจัดเตรียมไว้ให้ อย่างเรียบร้อย เพราะชายหนุ่มบอกว่า พวกเขาจะพักอยู่ที่เรียวคังแห่งนี้ จนกว่าปิดเทอมฤดูหนาวจะหมด ซึ่งก็เป็นเวลา 2 อาทิตย์นั่นเอง

     “…นาโอกิ” ร่างสูงอ้อมเข้ามากอดจากทางด้านหลังให้ร่างเล็กสะดุ้ง ก่อนที่จะพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้กอดท่าเดียว

     “ยังไม่หายงอนอีกเหรอ … นาโอกิ” มอร์เฟียซก้มลงกระซิบเบา ๆ ลมหายใจร้อน ๆ ที่รดใบหู ทำเอายูยะ ต้องขบกรามแน่น พยายามบังคับไม่ให้ตัวเองเผลอใจให้อ่อนตามสัมผัสนั้น

     “ผม…ไม่ได้งอนอะไรสักหน่อย” เด็กหนุ่มกล่าวปฏิเสธโดยไม่ยอมมองหน้า

     “โกหก!” ชายหนุ่มดุด้วยเสียงกระซิบ

     “หึงฉันกับชิโนะซังใช่ไหมล่ะ?”

     “…….” ยูยะเงียบกริบ กับคำถามที่แสนจะแทงใจดำนั้น เด็กหนุ่มพยายามเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เมื่อมอร์เฟียซ จับร่างของเขาให้หมุนมาเผชิญหน้ากัน

     “ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร สงสัยอะไรอยู่ หือ …อย่าลืมสิ ว่าฉันมีหน้าที่ต้องจับผิด และอ่านความรู้สึกของคู่สนทนาอยู่บ่อย ๆ นะ”

     ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ หากแต่ยูยะไม่ได้ขำไปด้วย เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว และตัดพ้อ

     “แล้วคุณ … เคยมีอะไรกับชิโนะซังหรือเปล่าล่ะครับ …ผมสังเกตว่าคุณทั้งสองคนสนิทสนมกันเป็นพิเศษนะครับ…”

     มอร์เฟียซถอนหายใจยาว ก่อนจะรวบร่างเล็กให้ขึ้นมานั่งบนตักของเขา

     “อย่าหาเรื่องให้ฉันเป็นชู้กับเมียชาวบ้านสิ ชิโนะซังน่ะแต่งงานแล้วนะ แล้วสามีของเขาก็เป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทที่ญี่ปุ่นของฉันด้วย”

     “จริงหรือครับ!” ยูยะรีบถามขึ้นมาทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ

     “ก็ใช่น่ะสิ ที่ฉันรู้จักที่นี่ ก็เพราะเพื่อนของฉันพามานั่นล่ะ เอาเป็นว่า เขาเลี้ยงรับรอง และให้ฉันพักที่เรียวคังของพี่ชายตัวเอง ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ฉันมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นนั่นยังไงล่ะ”

     คำอธิบายที่ไขข้อข้องใจ และความกังวลใจทั้งหมดของเด็กหนุ่มจนหมดสิ้น ยูยะถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะยิ้มออกเป็นครั้งแรก

     “ดีจังครับ … คิดว่าพวกคุณเคย …คบกันเสียอีก”

     “บ้าสิ…ตอนที่รู้จักเขา ฉันมีคนที่รักอยู่แล้วต่างหาก”

     คำพูดนั้นทำให้ใบหน้ายิ้มแย้มของยูยะกลับมาซีดเผือดอีกครั้ง แววตาเจ็บปวดไม่อาจปิดซ่อน ที่มองมายังชายหนุ่ม ทำให้คนตรงหน้าไม่อาจจะแกล้งให้เด็กหนุ่มเข้าใจผิดได้อีกต่อไป

     “….ก็เธอยังไงล่ะ” อ้อมแขนที่โอบกระชับขึ้น และน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้ยูยะมองหน้าอีกฝ่ายเต็มตาด้วยความแปลกใจ

     “เอ๋…”

     “ก็ตั้งแต่ตอนที่เธอเข้ามาเรียนตอน ม.4 ยังไงล่ะ ปิดเทอมฤดูหนาวปีนั้น ฉันเองก็ตามเธอมาที่ญี่ปุ่นเหมือนกันนะ ตามไปจนรู้จักบ้านของเธอนั่นแหละ แต่จะให้หน้าด้านขอไปพักด้วยก็ไม่ได้ใช่ไหม ฉันเลยไปพักกับเพื่อนฉันแทนยังไงล่ะ”

     คำตอบที่ทำให้ยูยะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ปนคาดไม่ถึง ก่อนจะกลับมาเป็นหน้าแดงก่ำ ด้วยความเขินอายในเวลาต่อมา

     “…คุณชอบผม …มาตั้งแต่ ม.4 แล้วยังงั้นหรือครับ”

     เด็กหนุ่มอุบอิบถาม ซึ่งมอร์เฟียซก็ยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง ก่อนจะย้อนถามกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย

     “ฉันไม่เคยบอกเธอเลยยังงั้นเหรอ”

     “มะ…ไม่เคยบอก ครับ” ยูยะตอบเสียงค่อย ก่อนจะอุทานออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ

     “อ๊ะ!”

     อยู่ดี ๆ มอร์เฟียซก็ลุกขึ้น โดยที่ช้อนร่างบนตักตามไปด้วย ก่อนจะตรงไปยังบ่อน้ำร้อนด้านนอกห้องพักอย่างว่องไว

     “ไว้เดี๋ยวฉันจะบอกเธอให้หมดเลย ว่าฉันคิดยังไงกับเธอ และรักเธอตั้งแต่เมื่อไหร่”

     ยูยะหน้าแดงก่ำ พยายามหลบตาสีเขียวคมกริบคู่นั้นสุดฤทธิ์ เมื่อเห็นดังนั้น มอร์เฟียซจึงจัดการวางเด็กหนุ่มลงที่ขอบบ่อ ก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกทีละชิ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงตามด้วยเสื้อผ้าของตนเองในเวลาต่อมา

     “มาสิ…. นาโอกิ” ชายหนุ่มที่ลงไปแช่ตัวในบ่อน้ำร้อนก่อนหน้านั้น ยื่นมือมาให้เด็กหนุ่มที่ยังคงลังเลอยู่ขอบบ่อสักพัก ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือของตนส่งให้กับชายหนุ่ม ที่ดึงรั้งร่างเล็กนั้นให้ลงตามมาด้วยกันทันที

     “ฉันอยากให้เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปเลยรู้ไหม…” มอร์เฟียซบอกขณะที่ก้มลงซุกไซ้ที่ซอกคอของเด็กหนุ่ม

     “ อืม…มอร์เฟียซ”

     มือใหญ่ใต้น้ำ ลากผ่านลูบไล้ไปทั่วผิวเนียนนุ่มละเอียด น้ำร้อนว่าร้อนแล้ว แต่ยังไม่อาจเทียบเท่าสัมผัสจากฝ่ามือนั้นได้ มันชวนให้ร้อนรุ่มจนเด็กหนุ่มแทบจะทนไม่ไหว

     “..อะ……อา” ยูยะครางแผ่วเบาอย่างลืมตัว ใบหน้าหวาน ๆ ที่แดงซ่านจากความร้อน และอารมณ์ปรารถนา ปลุกเร้าให้บางส่วนของมอร์เฟียซตื่นตัวขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้

     “บอกสิ…นาโอกิ…ว่าเธอก็ต้องการฉันเหมือนกัน ” ชายหนุ่มกระซิบเสียงแหบพร่า ยูยะใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างแหบพร่าด้วยฤทธิ์แห่งความปรารถนาไม่แพ้กัน

     “มาสิครับ…มอร์เฟียซ….ผมต้องการคุณ”

     “อา…นาโอกิ”



     ละอองหิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาหนาเม็ดมากขึ้น มิอาจหยุดยั้ง เสียงเสียดสีระหว่างเนื้อกับเนื้อ และเสียงร้องครางสลับกันอย่างเร่าร้อนของคนสองคนในบ่อน้ำร้อนส่วนตัวแห่งเรียวคังหรูหรา เก่าแก่ ที่ปลูกสร้างมาเกือบร้อยปีได้เลย กิจกรรมหฤหรรษ์ ยังคงถูกดำเนินต่อเนื่องไปเช่นนั้น นานเท่านาน ตราบจนกระทั่ง ความสุขของทั้งคู่ถูกปลดปล่อยออกมาในที่สุด

     “อา…มอร์เฟียซ ผมมึนหัวจังครับ” ยูยะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ใบหน้าหวาน ๆ ฟุบลงกับอกกว้างอย่างหมดแรง ซึ่งมอร์เฟียซเห็นดังนั้นก็รีบอุ้มร่างเล็กขึ้นมาจากบ่อน้ำด้วยความตกใจ

     “เพราะแช่น้ำร้อนนานเกินไปน่ะสิ ขอโทษนะนาโอกิ…” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด หลังจากที่อุ้มร่างเล็กเข้ามาในห้อง หยิบยูคาตะที่ทางโรงแรมพับเตรียมไว้ มาใส่ให้กับเด็กหนุ่ม และตนเอง

     “เอายาไหม ฉันจะไปขอชิโนะซังให้” มอร์เฟียซเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หากแต่ร่างเล็กที่นอนหนุนตักของเขาสั่นหน้านิด ๆ ก่อนที่มือบางจะจับที่มือใหญ่ของอีกฝ่ายแน่น

     “…แค่อยู่เป็นเพื่อนผมก็พอแล้วครับ”

     ทั้งคำพูด และนัยน์ตาที่อ้อน ๆ นั้น ทำให้มอร์เฟียซ แทบจะกดร่างเล็กลงไปกับพื้นอีกครั้ง หากไม่เกรงว่าอีกฝ่ายกำลังไม่สบายอยู่เพราะตนเองล่ะก็…

     “อา…ห้ามไปมองใครนอกจากฉันด้วยสายตาแบบนี้เด็ดขาด รู้ไหม!” ชายหนุ่มออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงกระซิบดุ ๆ ซึ่งเมื่อยูยะได้ฟัง เด็กหนุ่มก็ถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ

     “ทำไมล่ะครับ มองแบบนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” ถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ความหมายดี ผลก็คือถูกลงโทษด้วยริมฝีปากเร่าร้อน ที่ประกบลงมาทาบทับริมฝีปากบางของตนทันที

     “อื้อ…อืม…”

     จูบยาวนานที่เหมือนจะกลั่นแกล้งให้ขาดใจนั้น ต้องหยุดชะงักค้าง เมื่อเสียงหวาน ๆ จากข้างนอกดังขึ้น

     “อาหารค่ำมาแล้วค่ะ ขออนุญาตเข้าไปได้ไหมคะ”

     มอร์เฟียซถอนริมฝีปากออกไปอย่างเสียดาย ก่อนจะเอ่ยปากตอบรับคนข้างนอก ทั้ง ๆ ที่มือยังคงกดศีรษะให้ร่างเล็กที่ทำท่าจะลุกขึ้นนอนหนุนตักของตนเหมือนเดิม

     “เชิญครับ”

     อาหารค่ำสุดหรู ถูกทยอยนำมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ ซึ่งระหว่างนั้น แม่พวกพนักงานสาว เหล่านั้น ก็แอบชำเลืองมองมาทางยูยะ และมอร์เฟียซเป็นระยะ ก่อนจะแอบหันไปอมยิ้มกับพรรคพวกของตนเอง ซึ่งนั่นก็แทบอยากทำให้ยูยะหนีหน้าแทรกแผ่นดินหากทำได้ ก่อนจะช้อนตามองคนที่ตนนอนหนุนตักอยู่อย่างหมั่นไส้ เพราะท่าทางที่เอาแต่นั่งเฉย ทำทองไม่รู้ร้อนอยู่เช่นนั้น

     “มอร์เฟียซครับ อาหารตั้งเสร็จแล้วนะ!” ยูยะบอก พลางพยายามลุกจากตักของชายหนุ่ม เมื่อเห็นอาหารเตรียมเสร็จเรียบร้อย แต่ มอร์เฟียซก็ยังไม่ยอมให้เขาลุกไปเสียที แถมยังทำหน้าตายไม่ทุกข์ไม่ร้อนอีกต่างหาก

     “อื้อ! ลุกเถอะครับ เดี๋ยวอาหารเย็นหมดนะ” เจ้าตัวพยายามเปลี่ยนมาใช้ลูกอ้อนบ้าง ซึ่งก็ได้ผล ชายหนุ่มก้มลงจูบหน้าผากร่างเล็กที่นอนหนุนตักเบา ๆ หนึ่งที โดยไม่เกรงว่าจะมีสายตาคู่อื่น ๆ ที่มองพวกเขาอยู่ในห้องเลยแม้แต่น้อย

     เสียงกระซิบกรี๊ดกร๊าด ที่แม้จะเบาแสนเบา แต่มันก็ยังคงได้ยินอยู่ดี ทำเอายูยะใบหน้าแดงก่ำ รีบลุกจากตักของชายหนุ่ม พลางนั่งก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมเงยหน้ามองใครอีกเลย ตลอดอาหารมื้อค่ำนั้น …


     “จะให้ปูที่นอนเลยหรือเปล่าคะ” พนักงานสาวเรียวคังคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่เห็นแขกทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว

     “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพวกผมจัดการเอง” มอร์เฟียซปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม และเมื่อพนักงานสาวเหล่านั้น เก็บกวาดสถานที่เรียบร้อยและจากไปหมดแล้ว ชายหนุ่มก็หันไปหาคนรักที่นั่งหันหน้าไปอีกทาง

     “นาโอกิ……นี่นาโอกิ …งอนอะไรอีกล่ะทีนี้”

     มอร์เฟียซพยายามชวนเด็กหนุ่มพูดด้วย เพราะหลังจาก ที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ยูยะ ก็ไม่ยอมพูดอะไรกับเขาอีก หนำซ้ำยังไม่ยอมมองหน้าอีกต่างหาก

     “ไม่ชอบใจที่ฉัน แสดงออกกับเธอต่อหน้าคนอื่นสินะ”

     ยูยะสะดุ้งเล็กน้อยที่ถูกอ่านความคิดได้ แต่ก็รีบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิมโดยไว

     “หืม…กับการที่ฉันอยากจะแสดงให้ทุกคนรู้ว่าเธอคือคนสำคัญของฉัน มันผิดมากใช่ไหม” น้ำเสียงนั้นเบาลงไปอย่างเห็นได้ชัด จนยูยะใจหาย รีบหันหน้ากลับมามองชายหนุ่ม พร้อมกับเขย่าแขนของเขาอย่างตกใจ

     “ไม่ใช่นะครับ มอร์เฟียซ ! อย่าเข้าใจผิดสิครับ! ผมก็แค่…” ยูยะก้มหน้างุดลงไปอีกครั้ง หากแต่มอร์เฟียซก็สังเกตเห็นได้ถึงใบหูที่แดงก่ำทั้งสองข้าง

     “ผมก็แค่… อะไรเหรอนาโอกิ” น้ำเสียงทุ้มรุกถาม ซึ่งดูเหมือนตอนนี้อาการที่ซึมเศร้าเมื่อครู่จะหายไปจนหมดสิ้น เหลือแต่เพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏให้เห็นเท่านั้น

     “ผม…ผม…ก็แค่ อาย เท่านั้นเองครับ” ยูยะก้มหน้าตอบอุบอิบ ซึ่งท่าทางเขิน ๆ ของเด็กหนุ่มนั้น ช่างน่ารักเสียเหลือเกินในสายตาของเขายามนี้

     “นาโอกิ…มองหน้าฉันสิ” ชายหนุ่มพยายามจะจับใบหน้าหวาน ๆ นั้นให้สบตากับเขา หากแต่เด็กหนุ่มก็ยังคงบ่ายเบี่ยงสุดฤทธิ์

     “มะ…ไม่เอาครับ” ยูยะพยายามเบี่ยงหน้าหลบ เขาไม่อยากให้มอร์เฟียซเห็นสีหน้าเขายามนี้ เขารู้ว่ามันคงต้องแดงมาก ๆ แน่ และท่าทางน่าอายแบบนี้ เขาไม่อยากให้คนที่เขารักได้เห็นเป็นอันขาด

     “อย่าดื้อสิ…นาโอกิ”

     “ไม่ครับ…ไม่อยากให้คุณมองผมตอนนี้”

     “ทำไมล่ะ ?”

     “กะ…ก็ มันคงไม่น่าดู” เด็กหนุ่มตอบพร้อมกับอาการหน้าแดงหนักเข้าไปใหญ่ ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายถึงกับหัวเราะในลำคอเบา ๆ

     “ใครบอกเธอล่ะ” มอร์เฟียซบอกยิ้ม ๆ ไม่คิดเลยว่าคนรักของเขาจะช่างน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะเก็บยูยะไว้คนเดียว ไม่อยากให้ออกไปพบใครทั้งสิ้นด้วยซ้ำไป

     “สำหรับฉัน ไม่ว่าเธอจะแสดงสีหน้าแบบไหน มันก็น่ารัก น่ามองทั้งนั้นล่ะ”

     ชายหนุ่มพูดพร้อมกับช้อนคางของใบหน้าหวาน ให้สบตากับเขาจนสำเร็จ ดวงหน้าแดงก่ำนั้น มองเขาด้วยสายตาเอียงอาย ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงน้อย ๆ เพื่อหลบสายตา หากแต่เจ้าตัวไม่ได้รู้หรอกว่า อาการที่ตัวเองทำลงไปนั้น จะทำให้คนที่จ้องมองอยู่เป็นเช่นไร

     “นาโอกิ….ดูเหมือนฉันจะทนไม่ไหวแล้วล่ะ”

     ยูยะสะดุ้งเฮือก เข้าใจความหมายนั้นได้เป็นอย่างดี

     “ดะ….เดี๋ยว สิครับ มอร์เฟียซ …” เด็กหนุ่มพยายามดันร่างแข็งแกร่งออกไปจากกาย หากแต่ ก็ต้องรู้สึกถึงน้ำหนักตัวที่กดลงมา จนหลังของเขาสัมผัสได้ถึงความเย็นของพื้นเสื่อทาทามิ

     “ยะ…ยังไม่ได้ปูที่นอนเลยนะครับ” ยูยะพยายามถ่วงเวลาออกไป หากอีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจฟังอะไรอีกในตอนนี้

     “ไม่จำเป็นนี่ พื้นเสื่อก็โอเค ดีแล้วไม่ใช่หรือไง”

     “อะ…เอ่อ ตะ…แต่ ผม” เด็กหนุ่มพยายามหาข้ออ้างเต็มที่ แต่ก็ต้องจบลงด้วยการตัดบทของชายหนุ่ม ที่ทำให้เขาแทบจะขาดอากาศหายใจไปพักใหญ่ทีเดียว

     “เลิกหาข้ออ้างได้แล้วนาโอกิ ยังไงคืนนี้ ฉันไม่ยอมปล่อยให้เธอได้นอนแน่” มอร์เฟียซเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด หลังจากที่ถอนริมฝีปากออกมาแล้ว

     “มอร์เฟียซครับ….” น้ำเสียงและดวงตาวิงวอนคู่สวยที่สบตากับเขา ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะจูบที่แก้มเนียนนุ่มนั้นเบา ๆ ครั้งหนึ่ง

     “เอาเถอะ…ฉันจะอ่อนโยนนะ”

     “…ครับ” ยูยะรับคำแผ่วเบา ยังไงก็คงจะปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว โชคดีที่ชายหนุ่มบอกว่าจะอ่อนโยน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เวลามอร์เฟียซลืมตัวขึ้นมาก็มักจะเผลอตัวรุนแรงทุกทีไป คนที่ลำบากทีหลังน่ะ ก็คือเขาเองเสมอนั่นล่ะ

     “นาโอกิ..คืนนี้เธอสวยมากเป็นพิเศษเลยรู้ไหม” ชายหนุ่มกระซิบ ขณะที่มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในยูคาตะของร่างเล็ก สำรวจเรือนร่างใต้เนื้อผ้าบาง จนเจ้าของร่างทนไม่ไหว เผลอหลุดเสียงครางออกมาเบา ๆ

     “อ๊ะ…อา…”

     สายโอบิที่ผูกอย่างหลวม ๆ ถูกแก้ออกอย่างง่ายดาย เผยให้เห็นผิวขาวนวล ซึ่งมีรอยแดงเป็นจ้ำ ๆ เพราะเกิดจากกิจกรรมร่วมของคนทั้งสอง ตอนช่วงหัวค่ำ ภายในบ่อน้ำร้อนนั่นเอง

     ความหนาวเย็นอันเกิดจากหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาจากด้านนอก มิอาจทำให้ความร้อนแรง ของแขกภายในห้องซากุระ ลดลงไปได้เลย เสียงกรีดร้องปนเสียงครวญครางดังขึ้นเป็นระยะ ๆ และค่อย ๆ แผ่วเบาลงไปในที่สุด จนได้ยินเพียงแค่เสียงหายใจหอบเบา ๆ เท่านั้น

     “มอร์เฟียซครับ ….ผมรักคุณ…” ยูยะกระซิบกับอ้อมอกกว้างของชายคนรักเบา ๆ ก่อนจะผลอยหลับลงไปด้วยความอ่อนเพลีย โดยไม่อาจได้ยินคำตอบกลับของอีกฝ่ายที่ตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน และอ่อนหวานยิ่งกว่าครั้งไหน

     “ฉันก็รักเธอ…ยูยะ…”

     … คนรักที่น่ารักที่สุดของฉัน …



+++ The End +++

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #85 เมื่อ01-07-2011 19:58:17 »

มาแปะตอนพิเศษ ตอนที่ 6 ต่อแล้วค่ะ ถึงจะสั้นแต่ก็เต็มไปด้วยความหวาน (หรือเปล่า?) เอาให้ไม่ต้องกินน้ำตาลกันไปอีกหลายวันเลยค่ะ หุ ๆ

ตอนที่ 7 พรุ่งนี้เย็น ๆ ค่ำ ๆ จะมาแปะนะคะ (ถ้าไม่ยุ่งจนลืมล่ะนะ~)

ออฟไลน์ heaven13

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 569
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #86 เมื่อ01-07-2011 21:54:15 »

เรื่องนี้เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว
มาอ่านอีกรอบก็ยังชอบอยู่
กรี๊ดมอร์เฟียซ ที่สุดเลยคะ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #87 เมื่อ01-07-2011 22:01:09 »

อยากจะตายคาบ่อน้ำร้อน :o8:

ออฟไลน์ Gokusan

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #88 เมื่อ02-07-2011 18:01:35 »

เอ่อ...ตอนพิเศษ...พิเศษจริงๆ ค่ะ ^^
หลายคู่ หลายรุ่น...น่าร้ากกกก

อยากเจอคู่จิมมี่แฮะ ^^ รอต่อปายยย

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #89 เมื่อ02-07-2011 22:23:43 »

ง่า คู่นี้น่ารักจริงๆ  :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด