Yes! Master.ครับ! คุณชาย (ตำรวจ มาเฟีย&ลูกน้องเก่าแก่?) ตอนที่6(จบ) 11/7/54
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Yes! Master.ครับ! คุณชาย (ตำรวจ มาเฟีย&ลูกน้องเก่าแก่?) ตอนที่6(จบ) 11/7/54  (อ่าน 47743 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2016 20:20:45 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
^^ สวัสดีค่ะ

ใครเคยอ่านSTAIRมาแล้ว เรื่องนี้เปลี่ยนบรรยากาศหน่อยนะคะ (ไม่หน่อยล่ะ สุดๆ ไปเลยดีกว่า)

Yes!Master เป็นเรื่องเกี่ยวกับนายตำรวจจากอังกฤษ คุณชายในตระกูลอิทธิพลใหญ่ของฮ่องกง และลูกน้องคนสนิทที่เคยทำงานรับใช้กันมาอย่างยาวนานค่ะ เนื้อหาค่อนข้างซับซ้อนพอสมควรนะคะ คู่หลักของเรื่องนี้เป็นคู่รองในเรื่อง My neighbor is a spyนะคะ

เรื่องนี้จบหักมุมนิดหน่อย แต่ถ้าใครอ่านMy neighbor มาก่อนอาจจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ค่ะ

ปล. เรื่องนี้เปิดรีปริ๊นรวมเล่มอยู่นะคะ

ที่จะลงในบอร์ดเป็นเนื้อหาหลัก6ตอนค่ะ ส่วนในรวมเล่มจะมีตอนพิเศษแถมให้อีก4ตอนค่ะ
รายละเอียดตามได้ที่นี่ค่ะ
http://jumemon.wordpress.com
------------------------------------------

ตอนที่1 มิลเลอร์

   ภายในห้องทำงานส่วนตัวของผู้บริหารบริษัทจัดการด้านการส่งออกและท่าเรือ ไห่โอวจำกัด ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นที่ยี่สิบหกของตึกที่มีชื่อว่าต้าเหยิน ตึกอันเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นสำนักงานใหญ่ของกลุ่มธุรกิจตระกูลเว่ย กลุ่มธุรกิจใหญ่กลุ่มหนึ่งบนเกาะฮ่องกง
   ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษ ผู้สวมแว่นตากรอบทองและมีทรงผมที่หวีจนเรียบแปล้กำลังวุ่นวายอยู่กับการอ่านและเซ็นต์อนุมัติเอกสารกองโตที่อยู่บนโต๊ะทำงานไม้มะค่าฝังมุกซึ่งเป็นหนึ่งในของสะสมหายากของเขา นัยน์ตาสีดำสนิทเหลือบขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
   “เรียนคุณชาย สารวัตรหลี่จากกรมตำรวจฮ่องกงมาขอพบครับ”
   คิ้วได้รูปของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน วางเอกสารในมือทันที
   “สารวัตรหลี่รึ? เขาไม่ได้นัดฉันล่วงหน้า เกิดนึกอยากหาเรื่องกันหรือไง?”
   “เรื่องนั้น...”
   ชายฉกรรจ์ผู้อยู่ในชุดสูทสีดำอ้ำๆ อึ้งๆ ผู้เป็นเจ้านายโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
   “เอาเถอะ ไม่ใช่หน้าที่นายจะต้องตอบหรอก ไปบอกเขาว่า อีกห้านาทีฉันจะลงไปหา ถ้ามีหมายค้นหรืออะไรมาก็ให้รอก่อนแล้วกัน”
   “ครับ”
   ชายฉกรรจ์รับคำ และเดินออกจากห้องไป  ชายหนุ่มผู้สวมแว่นตากรอบทองผู้ซึ่งเป็นเจ้านายในที่แห่งนี้ถอนหายใจเฮือก
   “โจ ไปเอาเสื้อสูทกับปืนให้ฉันหน่อย ไม่รู้ว่าตาแก่หลี่ซื่อจะเล่นอะไรอีก ไมเคิล นายสั่งคนบนชั้นเก้ากับชั้นสิบสามให้เตรียมพร้อมแล้วกัน”
   “ครับ”
   ผู้รับใช้คนสนิทสองคนที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ในห้องพยักหน้า และแยกย้ายกันออกไป ชายหนุ่มถอดแว่นตา เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักและล้วงผ้าเช็ดแว่นผืนสีขาวออกมา บรรจงเช็ดเลนส์อย่างช้าๆ พร้อมกับดวงตาสีดำที่แสดงอาการครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด

--------------------------------
   “ผมต้องขออภัยที่ไม่ได้แจ้งการมาพบครั้งนี้ให้ทราบล่วงหน้า”
   หลี่ซื่อกล่าวขึ้น เมื่อเห็นผู้ที่เขารอพบในชุดสูทสีน้ำตาลเดินลงมาในห้องรับรองพิเศษ เขาเป็นชายวัยกลางคนในชุดนอกเครื่องแบบเสื้อซาฟารี รูปร่างท้วม ไว้หนวดทรงเขี้ยว มีรอยยิ้มที่คล้ายกับตัวตลกในหนังสือการ์ตูนเก่าๆ และดูเหมือนเขาจะชอบยิ้มแบบนั้นเสียด้วย
   “ไม่เป็นไร มีธุระอะไรกับผมหรือครับ?”
   ผู้ถูกรบกวนกลางเวลาทำงานเอ่ย นัยน์ตาสีดำเรียวมองผ่านแว่นตากรอบทองมายังคู่สนทนาอย่างใคร่รู้ ขณะที่หย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาบุหนังสีเทาฝั่งตรงข้าม โดยปกติตำรวจไม่ค่อยจะแวะเวียนมาที่นี่บ่อยนัก เป็นที่รู้กันว่าตระกูลเว่ยมีสายสัมพันธ์อันดีกับตำรวจ และหลี่ซื่อก็เป็นหนึ่งในนั้น
   “อ่า... เรื่องมันค่อนข้างจะสำคัญและเป็นความลับน่ะครับ คุณชายเว่ย ผมขอแนะนำคนคนหนึ่งให้คุณรู้จักก่อน นี่คือเจ้าหน้าที่มิลเลอร์ คอยล์ สังกัดอยู่หน่วยสอบสวนพิเศษของกรมตำรวจอังกฤษครับ”
   ผู้ถูกแนะนำตัวเป็นชายวัยราวๆ สามสิบเศษๆ ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีเทาเขียว รูปร่างค่อนข้างสูงโปร่ง เขายิ้มแยกเขี้ยว และตะเบ๊ะมืออย่างหยอกล้อ
   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณจินหยิน”
   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ มิสเตอร์คอยล์ ผมดีใจที่คุณพูดภาษาจีนได้”
   เว่ยจินหยินกล่าว และยิ้มอย่างเป็นมิตร คอยล์ยิ้มกว้าง
   “ผมเรียนรู้เพื่อที่จะมาพูดกับคุณโดยเฉพาะเลยครับ รอยยิ้มของคุณน่ารักมาก”
   เว่ยจินหยินค้างรอยยิ้มของเขาเอาไว้ แต่ในใจเกิดความรู้สึกบางอย่าง
   “สารวัตรหลี่ คนของสก๊อตแลนยาร์ตมีธุระอะไรกับผมหรือครับ”
   สารวัตรหลี่ถูมือไปมา แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม ผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยินคงไม่พอใจกับคำพูดของคอยล์เมื่อครู่นัก เขาผิดเองที่ไม่ได้เตือนในเรื่องนี้
   คุณชายรองคนนี้ไม่ชอบให้คนอื่นพูดจาหรือมีทีท่าล้อเล่น
   “เรื่องนี้ให้ผมอธิบายจะดีกว่า”
   คอยล์พูด สีหน้าดูเป็นจริงเป็นจังขึ้น เขาล้วงเอาบัตรประจำตำแหน่งยื่นให้กับเว่ยจินหยินผ่านโต๊ะรับแขกกระจกสีดำที่คั่นระหว่างทั้งคู่ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ
   “ผมได้รับคำสั่งมาให้สืบเรื่องเกี่ยวกับการค้ายาเสพติดผ่านทางเรือขนส่งสินค้าของกลุ่มริเวิล”
   คำว่าริเวิลทำให้นัยน์ตาสีดำราวกับสุนัขจิ้งจอกของของเว่ยจินหยินไหววูบ ริเวิล กลุ่มธุรกิจใหญ่ของฮ่องกงที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของตระกูลเว่ย หรือจะพูดให้ตรงกว่านั้น ริเวิลเป็นศัตรูที่เว่ยชิง พ่อของเขารังเกียจเสียจนอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ และด้วยเหตุผลนี้ เว่ยชิงจึงลากเอาลูกๆ ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าสู่วังวนนี้ด้วย
   “ครับ.. แล้วมีอะไรให้ผมช่วยเหลือหรือครับ คุณคงรู้ว่าเรากับริเวิลไม่ได้มีสายสัมพันธ์ที่ดีกันสักเท่าไหร่ ทำไมคุณไม่ไปแฝงตัวในริเวิลแทนล่ะ”
   “คุณคงได้ยินข่าวศพที่ถูกงมขึ้นจากอ่าวฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นั่นแหละคนของเรา”
   คอยล์เอ่ย เว่ยจินหยินพยักหน้า เขาได้ยินข่าวที่ว่า และกำลังคิดว่าตำรวจอังกฤษตรงหน้าเขาต้องการอะไรกันแน่
   “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกมาหาคุณ คุณจินหยิน”
   คอยล์พูดและยิ้มยิงฟันอีกครั้ง เว่ยจินหยินรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าเขาเกลียดผู้ชายคนนี้ เผลอๆ จะเกลียดยิ่งกว่าน้องชายต่างมารดาที่ชื่อว่าเว่ยเฟิงปิงเสียอีก
   “ผมอยากจะอาศัยเครือข่ายของหน่วยงานของคุณ ผมทราบว่าคุณมีโกดังตามท่าเรือต่างๆ เยอะมาก และมีคนดูแลอยู่เยอะด้วย”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า และยิ้มอีกครั้ง
   “เข้าใจล่ะครับ ไว้ผมจะส่งข้อมูลที่พอมีให้คุณแล้วกัน”
   คอยล์รีบโบกมือ
   “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ คุณไม่ต้องส่ง คุณแค่ให้ผมเข้าไปใช้ ครับ ใช่ครับ ผมอยากให้คุณรับผมเข้าทำงาน”
   รอยยิ้มของเว่ยจินหยินชะงักค้างไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา
   “สารวัตรหลี่ คุณกับเพื่อนของคุณคิดจะเล่นตลกอะไรกับผมมิทราบ พวกคุณคิดจะทำให้เกิดสงครามระหว่างกลุ่มหรือไง?”
   หลี่ซื่อพยายามจะปั้นรอยยิ้มให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ และรีบพูด
   “เราไม่ทำแบบนั้นแน่นอนครับ และคงไม่รบกวนคุณเปล่าๆ ด้วย คุณชายเว่ย ผมคิดว่าทางอังกฤษคงมีผลตอบแทน..”
   “อ้อ...”
   เว่ยจินหยินลากเสียงยาวและหันไปหาคอยล์อีกครั้ง หนุ่มชาวอังกฤษยิ้มกว้าง
   “ครับ ถ้าคุณให้ความร่วมมือ รัฐบาลเราจะให้คุณเช่าโกดังแถบเกาลูนในราคาถูก และอนุญาตให้คุณเข้าใช้ท่าเรือของเราด้วย”
   “อา... พวกคุณมีข้อเสนอที่น่าสนใจ”
   เว่ยจินหยินกล่าวในที่สุด เขายังคงยิ้มอยู่
   “งั้นลองมาว่ารายละเอียดกันนะครับ ผมต้องทำอะไรอีกบ้าง แค่รับเข้าทำงานก็จบหรือ? แล้วมีหลักฐานอะไรที่ว่าผมจะได้รับผลตอบแทนตามที่ว่า”
   “มันจะตามมาเองหลังจากคุณให้ความร่วมมือกับเราจนงานเสร็จเรียบร้อยครับ ผมคิดว่าคุณคงกระตือรือร้นจะร่วมงานกับผม ก่อนที่โอกาสนี้จะหลุดไปอยู่ในมือของน้องชายคุณ”
   “คุณหมายถึงเฟิงปิงรึ?”
   คอยล์พยักหน้า เว่ยจินหยินหัวเราะออกมา
   “คุณไม่รู้หรือว่าเฟิงปิงไม่มีธุรกิจด้านท่าเรือ? จริงๆ แล้วคุณไม่ควรจะเอาชื่อเขามาพูดให้ผมได้ยินคุณคอยล์ ไม่รู้ว่าคุณเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับผมมาขนาดไหน แต่แผนขู่แบบนี้เกรงว่าอาจจะทำให้ผมหงุดหงิด”
   “แล้วแบบไหนคุณชายถึงจะพอใจล่ะครับ?”
   คอยล์เปลี่ยนสรรพนามที่เรียกเว่ยจินหยินเสียใหม่ คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะโบกมืออย่างรำคาญ
   “ผมตกลงรับคุณเข้าทำงาน เท่านี้เป็นอันใช้ได้ใช่ไหม?”
   คอยล์ยิ้มกว้าง รอยยิ้มของเขาก็ดูสดใสดี นั่นยิ่งทำให้เว่ยจินหยินหงุดหงิด เขาหันไปจ้องหลี่ซื่อ
   “พอใจหรือยัง?”
   คนถูกจ้องรีบพยักหน้า
   “ขอบคุณคุณชายเว่ยมากครับ ถ้ามีเรื่องไม่สะดวกอะไร ผมยินดีจะจัดการให้เท่าที่ทำได้
   “ดี ถ้าพวกคุณไม่มีธุระแล้ว ผมต้องขอตัวไปทำงานต่อ”
   เขากล่าว และหันไปสั่งโจกับไมเคิลซึ่งเพิ่งเดินมาสมทบ
   “เอาตัวเจ้าหมอนี่ไปทำประวัติ ตอนนี้เขาเป็นลูกน้องฉันแล้ว”

-----------------------------------------
   “ทำไมนายถึงมาอยู่ในห้องทำงานของฉัน”
   เว่ยจินหยินกล่าว หลังจากเหลือบตาขึ้นมองลูกน้องคนใหม่อยู่หลายรอบ เมื่อสิบห้านาทีก่อนเขาเปิดประตูเข้ามาและยืนอยู่อย่างนั้น
   “ผมมารอรับคำสั่งครับคุณชาย”
   คอยล์พูด และยิ้มกว้าง คิ้วได้รูปของเว่ยจินหยินจะขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเอกสารต่อ หนุ่มอังกฤษถอนหายใจเล็กๆ เขาทราบเรื่องราวเกี่ยวกับเว่ยจินหยินเมื่อไม่นานานมานี้เอง เว่ยจินหยินเป็นบุตรชายคนรองของเว่ยชิง ผู้นำสูงสุดของตระกูลเว่ย มีพี่น้องเก้าคน แต่ตายไปแล้วสอง ไม่ถูกกับน้องชายคนที่เจ็ดที่ชื่อว่าเว่ยเฟิงปิง เป็นผู้ชายที่คาดเดาอารมณ์ยาก เจ้าเล่ห์ และค่อนข้างจะเลือดเย็น แต่ที่เขาเห็นจากรูปคือชายชาวจีนวัยสามสิบเศษที่หวีผมเรียบแปล้จนน่าขัน แถมยังใส่แว่นตากรอบทองที่แสนจะเชย ถึงอย่างนั้นกลับมีรูปหน้าที่ชวนมองมากทีเดียว สำหรับการพบตัวจริง มันให้ความรู้สึกประทับใจกว่านั้นมาก
   ผู้ชายคนนี้ยิ้มและหัวเราะได้มีเสน่ห์มากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก
   เป็นครั้งแรกที่เว่ยจินหยินรู้สึกรำคาญลูกน้องของตัวเอง ไม่สิ นี่ไม่ใช่ลูกน้องของเขา แต่เป็นคนที่มาอาศัยตำแหน่งลูกน้องบังหน้าต่างหาก แล้วทำไมถึงไม่ยอมไปทำงานของตัวเองสักทีล่ะ มายืนเกะกะลูกกะตาอยู่ได้  เขาเกิดนึกถึงน้องชายที่ชื่อเว่ยเฟิงปิงขึ้นมา ที่เว่ยเฟิงปิงรำคาญจางซื่อเย่เพราะแบบนี้หรือเปล่านะ แต่ช่างมันเถอะ ในเมื่อเจ้าหมอนี่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ จะทำหรือไม่ทำก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาสักนิด เขาก็แค่ทำตามที่ตกลง  รอแค่ผลประโยชน์ที่จะวิ่งเข้ามาเท่านั้น
   “ถ้าคุณว่างแล้ว ไปกับผมสักครู่ได้หรือเปล่า?”
   คอยล์เอ่ยขึ้น หลังจากที่เว่ยจินหยินเซ็นต์เอกสารแผ่นสุดท้ายของวันเสร็จ หนุ่มสวมแว่นหันมามองเขาอย่างแปลกใจ
   “มีอะไร?”
   “ผมอยากชวนคุณไปทานอาหารเย็น”
   คอยล์ตอบ นัยน์ตาสีดำราวสุนัขจิ้งจอกไหววูบ เจ้าหมอนี่จะมาไม้ไหนอีก
   “ถ้านายจะทานข้าวที่นี่ล่ะก็ นายลงไปบอกเสี่ยวผิงที่ห้องครัว เดี๋ยวฉันจะให้ไมเคิลพาไป”
   ตำรวจหนุ่มยิ้มกว้าง
   “ผมไม่ได้คิดจะทานอาหารที่นี่ ผมอยากไปทานอาหารกับคุณ คิดว่าเรามีเรื่องหลายอย่างต้องคุยกันเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย”
   เว่ยจินหยินหรี่ตาลง เขาหันไปสั่งโจกับไมเคิลให้เตรียมรถ

   “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?”
   เว่ยจินหยินเอ่ยถามประโยคที่ดูเหมือนเขาจะเคยถามไปแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อพบว่าคอยล์มุดเข้ามาในรถคันเดียวกับเขา
   “ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของลูกน้องที่ดีที่จะต้องตามอารักขาเจ้านาย คุณไม่คิดแบบนั้นหรือ?”
   เว่ยจินหยินเหยียดสายตามองผู้พูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าออกไปมองนอกกระจก ขณะที่รถเคลื่อนออก  คอยล์อมยิ้มเล็กๆ
   “นี่คุณชายเว่ย คุณชาย คุณชายจินหยิน คุณชายรอง อืม... คุณว่าผมควรเรียกคุณว่าอะไรดี?”
   คอยล์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเว่ยจินหยินหันไปมองด้านนอก คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยหันมาถลึงตาใส่ ก่อนจะหลับตาลงอย่างพยายามจะสงบสติอารมณ์ และหันกลับไปมองนอกหน้าต่างต่อ
   “ทำไมคุณถึงดูเย็นชาจัง”
   ได้ยินเสียงเว่ยจินหยินถอนหายใจยาว นี่ถ้าเจ้าหมอนี่ไม่ใช่ตำรวจล่ะก็ เขาคงสั่งให้ไมเคิลจับเอาไปเทซีเมนต์ถ่วงลงอ่าวฮ่องกงไปแล้ว ผู้ชายอะไร น่ารำคาญเป็นบ้า
   “ถ้านายหัดหุบปาก นายจะรู้สึกเองว่าฉันไม่ใช่คนเย็นชา”
   เขากล่าว และภาวนาให้ทางนั้นหุบปากไปก่อนที่เขาจะต้องสั่งให้หยุดด้วยวิธีรุนแรงกว่านี้ ได้ยินเสียงคอยล์หัวเราะหึๆ
   “คุณจะไปทานข้าวที่ไหน?”
   “ภัตตาคารที่ฉันดูแลอยู่ ใกล้อ่าว คิดว่านายน่าจะสนใจ”
   คอยล์พยักหน้า รู้สึกว่าเว่ยจินหยินไม่ใช่คนเย็นชาจริงๆ นั่นแหละ เขาขยับเข้าไปใกล้หนุ่มสวมแว่นอีก ทำท่าจะขยับปากพูด แต่ก็เปลี่ยนใจในที่สุด กลายเป็นว่าเว่ยจินหยินพูดขึ้นแทน
   “ฉันคิดว่าคนอังกฤษจะมีมารยาทมากกว่านี้เสียอีก”
   คอยล์หัวเราะแหะๆ ขยับห่างออกมาหน่อยหนึ่ง
   “ผมมีเชื้อสายดัชท์ไม่ใช่อังกฤษแท้ๆ หรอก แต่คนอังกฤษแท้ๆ ก็ใช่ว่าจะมารยาทดีไปเสียทุกคนเสียหน่อย”
   เว่ยจินหยินหลับตา เขาอยากจะพูดว่าประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นคือฉันกำลังจะด่าว่านายมันช่างมารยาททรามต่างหาก แต่ดูจะไร้สาระเกินไปที่เขาจะเสียเวลาพูดเรื่องนี้กับเจ้าคนไร้มารยาทนี่

   “ว้าว นี่คืออ่าวฮ่องกงเหรอ?”
   คอยล์ร้องขึ้นและทำหน้าดีใจเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงโต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษบนเรือสำราญ จนเว่ยจินหยินสงสัยว่าเจ้าหมอนี่อายุเท่าไหร่กันแน่
   “ที่อังกฤษก็มีอ่าวไม่ใช่หรือไง?”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยกล่าว และนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดไว้ คอยล์ยักไหล่
   “ทะเลแต่ละที่ไม่เหมือนกันหรอก แล้วผมก็ไม่เคยมานั่งทานอาหารหรูหราแบบนี้ด้วยสิ”
   ตำรวจหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ขณะที่เว่ยจินหยินหยิบผ้ากันเปื้อนปูรองบนตัก
   “ที่สำคัญนะครับ ได้ทานข้าวกับคนน่ารักๆ แบบคุณ ผมถือเป็นเกียรติมาก”
   เว่ยจินหยินเหลือบนัยน์ตาสีดำขึ้นมองคู่สนทนาที่พยายามพูดจ้ออยู่ฝ่ายเดียวแวบหนึ่ง และพูดเรียบๆ
   “นายอายุเท่าไหร่?”
   “สามสิบสอง”
   คอยล์ตอบ เว่ยจินหยินพยักหน้า
   “ก็อายุพอๆ กับฉัน ทำไมนายถึงได้ดูงี่เง่านัก หรือคนดัชท์งี่เง่าแบบนายทุกคน”
   หนุ่มชาวอังกฤษถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง ด้วยคาดไม่ถึงว่าจะถูกเล่นงานซึ่งๆ หน้าแบบนี้
   “ปากร้ายจัง คุณใช้อะไรตัดสินว่าผมงี่เง่าเนี่ย?”
   เขาว่าและยิ้มกว้าง เว่ยจินหยินถอนหายใจ
   “ไม่อยากเชื่อว่านายเป็นตำรวจเลย ถามจริงๆ เถอะ นายตั้งใจจะทำงานรึเปล่า?”
   “ตั้งใจสิครับ แหม.. คุณไม่เห็นหรือว่าผมตั้งใจขนาดไหน ขนาดหัดพูดภาษาจีนเพื่อมาคุยกับคุณเลยนะ”
   “ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น!”
   เว่ยจินหยินพูดออกมา นานแล้วที่เขาไม่รู้สึกเหนื่อยใจที่จะต้องพูดกับคนอื่นแบบนี้ เจ้าหมอนี่กำลังจะทำให้เขาเกิดอาการ เหนื่อยปาก
   “ทำไมนายถึงดูไม่กระตือรือร้นกับสิ่งที่นายต้องทำ!”
   คนถูกถามหัวเราะร่าเริง
   “คุณกำลังตัดสินผมจากมุมมองของคุณนะครับ ผมไม่จำเป็นจะต้องให้คุณรับรู้ในสิ่งที่ผมทำนี่”
   เว่ยจินหยินอึ้งไปพักใหญ่ และเปลี่ยนอิริยาบถไปสนใจอาหารบนโต๊ะแทน เหมือนพยายามจะลืมว่ามีคนนั่งร่วมโต๊ะอยู่
   “ผมแกะให้เอาไหม?”
   คอยล์ถามเมื่อเห็นท่าทางการแกะกุ้งของเว่ยจินหยิน ก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นคนสะอาดสะอ้าน แต่การแกะกุ้งด้วยช้อนส้อมมันดูจะเหนือความสามารถของคนที่ถูกเรียกว่าคุณชายเกินไป หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้ว
   “ไม่ต้อง ฉันจัดการเองได้”
   เว่ยจินหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา และแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าทักษะการแกะกุ้งด้วยช้อนส้อมของเขานั้นไม่ธรรมดาอย่างที่คิด คอยล์หัวเราะ
   “คุณเป็นคนตลกดี คุณชาย ผมชอบคุณจัง”
   คุณชายรองถลึงตาใส่ฝ่ายตรงข้ามอีกรอบ นานมาแล้วที่เขาไม่มีอารมณ์อยากจะฆ่าคน แต่ตอนนี้ล่ะก็ไม่แน่ คอยล์ยื่นกุ้งที่แกะเปลือกแล้วส่งให้เขา
   “ถ้าคุณมีมารยาท คุณไม่ควรปฏิเสธน้ำใจของผม”
   หนุ่มอังกฤษดักคอทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะอ้าปาก เว่ยจินหยินเก็บคำพูดของเขาเอาไว้ และรับกุ้งจากส้อมของอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
   “ท่าทางจะไม่ค่อยมีใครกล้าขัดใจคุณนะ หรือว่าคุณโดนตามใจจนเคยตัว?”
   คอยล์กล่าวหลังจากเห็นเว่ยจินหยินกินกุ้งของเขา หนุ่มสวมแว่นเม้มปาก หรี่ตาอย่างรำคาญ
   “นายมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน?”
   “ก็ผมกำลังคุยอยู่ไงครับ”
   คอยล์บอกอย่างอารมณ์ดี และพูดต่อ
   “ถ้าคุณชายไม่รังเกียจ เรียกผมว่ามิลเลอร์ก็ได้”
   “แต่ฉันรังเกียจ”
   เว่ยจินหยินกล่าว ทำเอาอีกฝ่ายปั้นหน้าไม่ถูก
   “แหม คุณนี่ไม่มีมารยาทเลย”
   “คนแบบนายไม่ควรจะพูดแบบนั้นกับฉัน”
   อีกฝ่ายกล่าวเสียงเรียบ คอยล์ถอนหายใจ
   “คุณชาย คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับโกดังสิบสามมากแค่ไหน?”
   น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังแทบจะเป็นคนละเรื่องกับก่อนหน้านี้ เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมา
   “มันเคยอยู่ในการดูแลของไฮท์เธอธ์ทีน แต่..ตอนนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
   ไฮท์เป็นชื่อตำแหน่งระดับสูงของกลุ่มริเวิล ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่าคณะผู้บริหาร โดยมีด้วยกันทั้งหมดสิบสามคน เรียงลำดับจากน้อยไปหามาก นั่นคือตำแหน่งเธอธ์ทีนเป็นตำแหน่งสูงสุดของไฮท์นั่นเอง
   “เธอธ์ทีนคนเก่าที่ชื่อวิงโก ถูกฆ่าไปเมื่อสี่ปีก่อน รู้สึกจะเป็นฝีมือของสายลับไม่ระบุสังกัด ดูเหมือนว่าริเวิลจะเลือกคนใหม่โดยไม่ได้เลื่อนขึ้นตามลำดับปกติ ฉันไม่ค่อยแน่ใจรายละเอียดนัก แต่เธอธ์ทีนคนปัจจุบันน่าจะมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้บริหารระดับสูง”
   “คุณพอจะเจรจาซื้อขายกับเขาได้ไหม?”
   คอยล์เอ่ยต่อ เว่ยจินหยินทำหน้ายุ่งยาก
   “คุณพ่อไม่ชอบให้สุงสิงกับพวกริเวิล ที่สำคัญเราเป็นศัตรูกันอยู่ ฉันเกรงว่าอาจะทำเรื่องนี้ไม่ได้”
   ตำรวจหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มร่าออกมา
   “ไม่เป็นไรครับ ผมยังมีเวลาอีก เมื่อกี้เราคุยกันไปถึงไหน อ้อ ใช่ ผมว่าคุณน่ะถูกตามใจมากไปนะ”
   เว่ยจินหยินขมวดคิ้วคู่งาม ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้ ขืนคุยด้วยนานๆ ฝ่ายที่ฟิวขาดก่อนอาจจะเป็นเขาก็ได้ ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ต่อปากต่อคำอีก ก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารในจานเงียบๆ
   คอยล์ยิ้ม เขามองดูชายหนุ่มสวมแว่นตรงหน้า ถ้าไม่หวีผมเรียบแปล้และสวมแว่นสุดเชยแบบนี้ เว่ยจินหยินคงจะน่ามองมากทีเดียว ข้อเสียเรื่องปากร้ายและดูจะเย็นชานี่ก็พอจะมองข้ามได้หรอก ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะถูกตามใจจนเคยตัว คงเป็นธรรมดาของคนที่เกิดมาในตระกูลร่ำรวยและถูกเลี้ยงดูอย่างดีล่ะมั้ง

--------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   เว่ยจินหยินกลับมายังตึกสำนักงานอันเป็นที่พักของเขาราวๆ สี่ทุ่ม ด้วยความรู้สึกอ่อนล้ากว่าปกติ คงเพราะต้องทนต่อปากต่อคำกับเจ้าตำรวจงี่เง่านั่นแน่ๆ เวลาแบบนี้เขานึกอยากให้ใครคนหนึ่งมาอยู่ใกล้ๆ คนที่เคยอยู่ข้างๆ เขามาตลอดตั้งแต่ยังเด็ก รู้ใจและอ่อนโยนกับเขา  หนุ่มสวมแว่นถอนหายใจ ป่วยการจะไปคิดถึงอดีต ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นคุณหนูและเจ้านายของคนคนนั้นอีกแล้ว และคนคนนั้นก็มีหน้าที่อย่างอื่นจะต้องรับผิดชอบมากกว่ามาคอยตามใจเขา เว่ยจินหยินถอดเสื้อผ้าและเดินเข้าห้องน้ำ ขณะที่กำลังล้างสบู่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   คอยล์ยิ้มแต้ตามแบบฉบับของเขา เมื่อเห็นใบหน้าเปรอะหยดน้ำของผู้ที่เปิดประตูออกมา
   “มีธุระอะไร?”
   เว่ยจินหยินเอ่ยถามเสียงเรียบ และนึกก่นด่าในใจ เจ้าหมอนี่ทำไมถึงได้รบกวนเขานัก นี่ขนาดได้เวลานอนแล้วนะ
   “ผมไม่มีที่นอน”
   คอยล์ตอบไปตามตรง คนได้ฟังขมวดคิ้ว
   “ฉันสั่งสุ่ยแล้วว่าให้นายนอนห้องเขา”
   “อ่า..ใช่ครับ ผมจำได้ แต่ดูเหมือนเขาจะลืมเอากุญแจให้ผม เขาเพิ่งออกไปดริ๊งค์เมื่อกี้นี้เอง”
   เว่ยจินหยินนิ่วหน้า รู้อยู่หรอกว่าสุ่ยเป็นคนชอบดื่มเหล้า แต่สะเพร่าแบบนี้คงต้องอบบรมกันหน่อย
   “งั้นนายไปนอนห้องไมเคิล ฉันจะโทรบอกเขาให้”
   “ไม่ต้องหรอกครับ”
   คอยล์พูดและเอามือกันประตูเอาไว้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะปิดมัน
   “ไมเคิลเพิ่งเข้าห้องไปตะกี้ ผมไม่อยากรบกวนเวลานอนเขาหรอก ให้ผมนอนห้องคุณก็ได้”
   เว่ยจินหยินถลึงตามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
   “เสียมารยาท!”
   ชายหนุ่มกล่าว และออกแรงผลักประตูปิด แต่อีกฝ่ายยังคงยันกลับเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงพอสมควรเลยทีเดียว
   “ผมเสียมารยาทตรงไหน? ก็คุณยังไม่นอน ห้องคุณก็ใหญ่ เจียดที่หน้าตู้เสื้อผ้าให้ผมนอนก็ได้ นี่ผมว่าผมมีมารยาทมากแล้วนะครับ อย่างน้อยก็ไม่รบกวนเวลานอนของคนอื่น”
   “นายกำลังรบกวนเวลาส่วนตัวของฉัน!”
   เว่ยจินหยินเอ่ยเสียงเด็ดขาด และคิดว่านี่มันมากเกินกว่าที่เขาจะทนได้อีกแล้ว คอยล์ทำหน้าตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกริ่ม
   “อ่า..ผมลืมไป บางทีคุณคงกำลังช่วยตัวเอง”
   “ทุเรศ!!”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยตวาดและคิดว่าเขาควรจะสั่งสอนเจ้าหมอนี่ให้รู้จักที่ต่ำที่สูงบ้าง เขาเปิดประตูออกมาและเงื้อฝ่ามือขึ้น ตำรวจหนุ่มหัวเราะร่าเริง
   “อ่า..คุณเปิดประตูแล้ว ถ้าคุณไม่ทำอะไรแบบนั้น ก็ไม่เห็นมีเหตุอะไรที่ผมจะเข้าไปนอนไม่ได้เลยนี่”
   เว่ยจินหยินยืนอ้าปากค้าง นานพอที่อีกฝ่ายจะแทรกตัวเข้าไปในห้องโดยไม่ขออนุญาต ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เว่ยจินหยินเผชิญหน้ากับบุคลลที่ไร้มารยาทขนาดนี้ ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
   “ไปให้พ้นจากห้องฉัน!!”
   ร่างบางกล่าวและฉุดมือผู้ที่กำลังหันซ้ายหันขวาสำรวจห้องนอนของเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ให้ออกไปด้านนอก แต่แทนที่คอยล์จะถูกเขาดึง กลายเป็นว่าตัวเองถูกดึงเข้าไปแทน
   “จุ๊ จุ๊ คุณไม่ควรใช้กำลังแบบนี้นะครับ เท่าที่ผมได้ยินมาคุณเป็นคนใจเย็นกว่านี้”
   หนุ่มอังกฤษจุ๊ปาก รู้สึกขบขันกับใบหน้าที่ทั้งโมโห ทั้งตกใจของอีกฝ่าย เว่ยจินหยินยังคงสวมแว่นตากรอบทอง แต่ผมไม่ได้หวีเรียบแปล้อย่างเช่นเมื่อกลางวันแล้ว มันเป็นทรงตามธรรมชาติของมัน เขาคิดว่าเจ้านายกำมะลอคนนี้คงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ดูจากผมที่เปียกและเสื้อคลุมอาบน้ำที่ใส่อยู่ แถมด้วยกลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่ลอยมาแตะนาสิก
   “ผมชอบคุณตอนนี้จัง ตัวคุณห้อมหอม”
   แทบจะเร็วพอๆ กับคำพูดที่จบลง มือที่ว่างอยู่อีกข้างของเว่ยจินหยินก็ตวัดใส่ใบหน้าของคอยล์ทันที ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายคงรู้ล่วงหน้าว่าจะโดนแบบนี้ มือแกร่งพุ่งเข้ายึดข้อมือที่กำลังพุ่งเข้ามาเอาไว้ คราวนี้เว่ยจินหยินร้องออกมา
   “นาย!!!”
   ร่างที่บอบบางกว่าพยายามจะบิดข้อมือเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่แดงก่ำจากพิษโทสะผสมกับความอับอาย คอยล์ยิ้มกริ่ม ออกแรงดึงร่างนั้นเข้ามาแนบตัวเพื่อลดพื้นที่ในการเคลื่อนไหว
   “คุณชายไม่เหมาะกับการใช้กำลังหรอก ผมจะอุ้มคุณไปส่งที่เตียงเอง”
   “ไม่ต้อง!!”
   เว่ยจินหยินตวาด โกรธจนควันแทบจะออกหู ไม่เคยมีใครกล้าเสียมารยาทกับเขาขนาดนี้ แต่จนใจที่ตอนนี้สองมือของเขาถูกยึดเอาไว้ ทำให้ทำอะไรไม่ได้มากไปว่าการส่งเสียง
   “ผมคิดว่าคุณชอบถูกอุ้มเสียอีก ฮ่ะๆ”
   คอยล์หัวเราะร่วน ยิ่งดูใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกว่าเว่ยจินหยินน่าตาน่ารักจริงๆ ถึงแม้เขาจะชอบผู้หญิงที่มีหน้าอกใหญ่ๆ มากกว่าผู้ชายตัวแข็งๆ ก็เถอะ แต่สำหรับผู้ชายแบบเว่ยจินหยินนั้นกลับดูน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว คุณชายผู้เย็นชาและหยิ่งยโสที่กำลังหน้าแดงด้วยความโกรธต่อหน้าเขาในตอนนี้ อยากรู้ว่าคนแบบเว่ยจินหยินจะทำยังไงกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่
   “ถ้านายคิดจะเป็นลูกน้องฉัน นายก็ควรจะให้เกียรติฉันหน่อย คุณคอยล์”
   เว่ยจินหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบลง เหมือนเขาจะรู้แล้วว่าการโมโหกระฟัดกระเฟียดในสภาพแบบนี้ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น คอยล์เลิกคิ้วอย่างอารมณ์ดี
   “เรียกผมว่ามิลเลอร์สิครับ”
   “โอเค.. มิลเลอร์ ฉันคิดว่าด้วยฐานะที่เป็นอยู่นายควรจะปล่อยฉันได้แล้ว”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยหันมาใช้วิธีเจรจาอย่างสุภาพ เพราะสิ่งที่เขาเหลืออยู่อำนวยให้ทำได้แต่วิธีนี้เท่านั้น ตำรวจหนุ่มเอียงคอมองดูคนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์
   “ผมปล่อยคุณแน่ ตราบเท่าที่คุณจะบอกว่าให้ผมนอนที่นี่ และผมต้องแน่ใจว่าคุณจะไม่คิดใช้กำลังหรือพูดจาร้ายๆ กับผมอีก”
   “ไม่คิดว่าที่ขอมันมากไปหน่อยหรือ?”
   เว่ยจินหยินย้อนทันที คอยล์ยิ้มกว้าง
   “ฮั่นแน่.. คุณชอบถูกผมจับเอาไว้แบบนี้ล่ะสิ”
   เว่ยจินหยินถลึงตาใส่ฝ่ายตรงข้าม และถอนหายใจออกมา
   “เอาล่ะ คุณคอยล์ อืม.. มิลเลอร์ ฉันอนุญาตให้นายนอนที่นี่ แล้วฉันสัญญาว่าจะไม่ใช้กำลังกับนายอีก เพราะฉันเห็นแล้วว่ามันใช้ไม่ได้ผล ส่วนคำพูด ฉันจะพูดตอบนายอย่างสุภาพ ตราบเท่าที่นายปฏิบัติกับฉันอย่างสุภาพ ตกลงไหม?”
   “อ่า..คุณน่ารักจริงๆ”
   คอยล์กล่าว  และดึงมือของเว่ยจินหยินขึ้นมาจูบ
   “I will be good boy if you want , Master.”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยชักมือกลับด้วยความขยะแขยง เขาไม่เคยโดนผู้ชายจูบมาก่อน ไม่ว่าจะส่วนไหนของร่างกายก็ตาม คอยล์ทำหน้าผิดหวัง
   “คุณกำลังเสียมารยาทคุณชาย ผมกำลังแสดงให้เห็นความจริงใจด้วยวิธีของชาวอังกฤษ”
   “เอ่อ..... ฉันไม่ชิน”
   เว่ยจินหยินกล่าว สีหน้ากระอักกระอวนเต็มที่
   “ที่ฮ่องกงไม่มีใครเขาทำแบบนี้กันหรอก”
   “อ้า!! ใช่ ผมลืมไป คุณคงมีวิธีแบบคนฮ่องกง บอกผมสิต้องทำยังไง”
   คอยล์ว่า เว่ยจินหยินทำท่าจะอ้าปาก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
   “ช่างเถอะ นายจะนอนก็ไปนอน ฉันจะเปลี่ยนเสื้อ”
   “อ่า... ผมนึกออกล่ะ”
   คอยล์ว่า และคุกเข่าลง
   “ผมต้องทำท่านี้ แล้วพูดคำสาบานต่อหน้าคุณ”
   “นายไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก”
   เว่ยจินหยินเริ่มกลับมาอารมณ์เสียอีกครั้ง เจ้าหมอนี่เคยฟังที่เขาพูดบ้างไหมเนี่ย  คอยล์สั่นศีรษะ
   “ไม่ได้ ผมต้องปฏิบัติต่อคุณอย่างสุภาพ  ผมขอสาบานว่าจะจงรักภัคดีกับคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่ คุณชาย”
   “เอาล่ะ ลุกขึ้น ฉันไม่ชอบฟังคำสาบานพร่ำเพรื่อ”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยกล่าว และโบกมือให้อีกฝ่ายลุกขึ้น คอยล์นิ่วหน้า
   “คุณกำลังไม่ให้เกียรติผม นี่ผมสาบานจริงจังนะครับ”
   “โอเคๆ ฉันรับคำสาบานของนาย ลุกขึ้นได้แล้ว ฉันจะเปลี่ยนเสื้อ”
   คอยล์ลุกขึ้น และยิ้มยิงฟัน เว่ยจินหยินย่นคิ้วอย่างเหนื่อยหน่าย หยิบชุดนอนแพรที่แขวนอยู่ตรงราวแขวนใกล้ตู้เสื้อผ้า หายเข้าไปในห้องน้ำ และกลับออกมาในเสื้อคลุมชุดนอนแพรสีเขียว คอยล์แอบกลืนน้ำลาย
   “มีอะไร?”
   เว่ยจินหยินกล่าวขึ้นอย่างสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย คอยล์กลืนน้ำลายอีกครั้ง เขาไม่คิดว่าเว่ยจินหยินจะใส่ชุดแบบนี้นอน นี่แค่ดึงสายรัดสายเดียว ก็ถอดมันออกได้ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ เขาตัดสินใจไม่ถามอะไรที่จะทำให้ผู้ชายคนนี้ไม่พอใจหรือระแวงในตอนนี้ดีกว่า
   “ผมกำลังจะถามว่า ผมควรนอนตรงไหนดี”
   “อืม...เป็นครั้งแรกที่นายถามได้เข้าท่า”
   เว่ยจินหยินกล่าว และยิ้มออกมา เขาชี้มือไปที่หน้าตู้เสื้อผ้า
   “นอนตรงนั้น ฉันจะหยิบหมอนกับผ้าห่มให้”
   ชายหนุ่มกล่าว และเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าไม้มะฮอกกานีสีแดงฉลุลายด้านนอก เขย่งปลายเท้าเพื่อหยิบหมอนซึ่งสอดอยู่ชั้นบน คอยล์นึกแปลกใจระคนดีใจนิดๆ ที่เว่ยจินหยินเป็นฝ่ายหยิบหมอนให้ เขาคิดว่าผู้ชายคนนี้จะเย็นชามากกว่านี้เสียอีก
   “คุณควรให้ผมช่วย”
   หนุ่มชาวอังกฤษกล่าว และปราดเข้าไปหาร่างที่กำลังพยายามกระโดดเพื่อเอื้อมมือให้ถึงหมอนอยู่ ตู้เสื้อผ้าของเว่ยจินหยินสูงติดเพดาน ดังนั้นด้วยส่วนสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ คงไม่สามารถเอื้อมถึงได้ง่ายๆ แน่ๆ
   “ฉันควรจะหาเก้าอี้ ไม่ค่อยมีใครมาพักในห้องนี้เท่าไหร่หรอกนะ”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยกล่าว และกระโดดอีกครั้ง คราวนี้เขาคว้าหมอนได้ แต่ก็เสียหลักหงายหลังลงมา ดีที่คอยล์คว้าตัวไว้ทัน
   “ขอบใจ”
   เว่ยจินหยินกล่าวและยื่นหมอนให้ คอยล์รับหมอน พลางกลืนน้ำลายเฮือก ร่างบางผละออกจากอ้อมแขน ก้มลงหยิบผ้าห่มผืนหนึ่งที่วางซ้อนกันอยู่ด้านล่างของตู้ คอยล์นึกดีใจที่ผู้เป็นเจ้าของห้องไม่ได้เก็บทั้งสองอย่างไว้ในที่เดียวกัน แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิด เมื่อพบว่าอกเสื้อคลุมของเว่ยจินหยินแหวกกว้างจนเห็นเนินเนื้อขาวนวลด้านใน คงเป็นผลจากการกระโดดเมื่อกี้แน่ๆ
   “มีอะไร?”   
   หนุ่มสวมแว่นเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงยืนอ้ำๆ อึ้งๆ คอยล์รีบสั่นศีรษะ ผู้เป็นเจ้าของห้องหรี่ตาอย่างไม่ไว้ใจ
   “อย่าคิดจะทำอะไรไม่ดีในห้องของฉัน อาทิเช่น การช่วยตัวเอง ฉันไม่มีหนังโป๊ให้นายดูหรอกนะ”
   “โธ่ ผมไม่ได้เป็นคนมารยาททรามถึงขนาดนั้นหรอก”
   คอยล์คราง นึกสงสัยว่าเว่ยจินหยินเข้าใจสายตาเขายังไงกันแต่ ชายหนุ่มตัดสินใจวางหมอนลงหน้าตู้ และล้มตัวลงนอนเพื่อตัดปัญหา เว่ยจินหยินยิ้มอย่างพอใจ และเดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ใกล้ๆ กับตู้เสื้อผ้า
   เสียงเครื่องเป่าผมทำให้คอยล์อดไม่ได้ต้องยันตัวลุกขึ้นมานั่ง
   “คุณเป่าผม?”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า เขากำลังนั่งอยู่หน้ากระจก และใช้เครื่องเป่าผมตัวเองเหมือนผู้หญิง คอยล์นิ่วหน้า
   “คุณเป็นตุ๊ดหรือ ผมไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไหนเป่าผม”
   “มีคนเคยเป่าให้ฉัน!!”
   เว่ยจินหยินตอบเสียงเครียด ปิดเครื่องเป่าผมชั่วคราว
   “นายไม่ควรปล่อยให้หัวเปียกก่อนเข้านอน และฉันก็ไม่ได้เป็นตุ๊ด!!”
   “อ้อ...ผมเข้าใจล่ะ”
   คอยล์ร้องอย่างนึกออก
   “คนที่เคยเป่าผมให้คุณนี่คงจะตามใจคุณน่าดู ไม่สงสัยเลยทำไมนิสัยคุณถึงเป็นแบบนี้”
   “ถ้านายจะกรุณา มิลเลอร์ หุบปากและนอนเสีย”
   เว่ยจินหยินกล่าว และเปิดเครื่องเป่าผมอีกครั้ง คอยล์คิดว่าตอนนี้ถึงเขาจะพูดอะไรออกไปคงโดนเสียงของเครื่องเป่าผมนั่นดังกลบหมดแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงรอให้เว่ยจินหยินเป่าผมเสร็จ
   “คุณชาย ผมคิดว่าเตียงคุณกว้างอยู่นะ”
   คอยล์เอ่ยเมื่อเห็นเว่ยจินหยินเดินไปที่เตียงนอนไม้สี่เสาหลังใหญ่ หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้ว
   “ฉันคิดว่าฉันรู้ว่านายกำลังจะพูดอะไร และคิดว่ามันคงเป็นคำขอที่มากไป เจ้าหน้าที่มิลเลอร์ คอยล์”
   “โห... เรียกเสียเต็มยศ  ผมของโทษที่หวังกับคุณมากเกินไป ราตรีสวัสดิ์นะครับคุณชาย”
   “ราตรีสวัสดิ์”
   เว่ยจินหยินกล่าว และปลดม่านแพรบางเบาผืนสีขาวลงจากเสา ดึงมันให้กั้นสายตาของผู้ที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาไม่เคยใช้ม่านนี้เลย และไม่คิดว่าจะได้ใช้ จนกระทั่งถึงตอนนี้นี่แหละ
   “คุณชาย หลับหรือยังน่ะ?”
   เสียงของคอยล์ดังขึ้นอีกครั้ง เว่ยจินหยินขมวดคิ้ว เจ้าหมอนี่ยังมีอะไรจะพูดอีก
   “คุณชอบผู้ชายหรือผู้หญิง?”
   คอยล์ถาม เขาหันหน้ามามองเว่ยจินหยินผ่านม่านแพรบางสีขาว เหมือนทางนั้นจะนอนหันหลังให้เขา ร่างเพรียวในชุดนอนแพรปรากฏเป็นเงาลางๆ
   “ผู้หญิง”
   เว่ยจินหยินตอบทันที คอยล์ถามต่อ
   “แบบไหนที่คุณชอบ ขาว สวย หมวย อึ๋ม?”
   “แบบ...”
   เว่ยจินหยินนิ่งนึก ความจริงแล้วเขาชอบผู้หญิงแบบไหนกันแน่ สำหรับเขาผู้หญิงแบบไหนก็น่าจะเหมือนกัน น่ารำคาญ และพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แถมยังโง่อีกต่างหาก
   “โอเค งั้นผมเปลี่ยนคำถาม คุณชอบผู้ชายแบบไหน?”
   “แบบเถียนซาน”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยตอบแทบจะในทันที คราวนี้น้ำเสียงของคอยล์เจือความสงสัยมากขึ้น
   “เถียนซานนี่ใครกัน?”
   “เขาเคยเป็นลูกน้องฉัน”
   เว่ยจินหยินกล่าวและคิดว่าได้ตอบอะไรทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปแล้วแน่ๆ
   “แต่ฉันไม่ได้ชอบแบบพวกเกย์หรืออะไรหรอกนะ ถ้าให้เลือกได้ ฉันอยากเป็นผู้ชายเข้มแข็งแบบนั้น”
   “ผมเข้าใจล่ะ”
   คอยล์เอ่ย และพูดต่อ
   “ผมอยากรู้จักเขาจัง”
   “ถ้านายอยากรู้จักเขาดีๆ นายควรหัดหุบปากและนอนเสีย”
   “แปลว่ามีวิธีรู้จักแบบไม่ดีด้วยสิ”
   เว่ยจินหยินหลับตาลงอย่างอดกลั้น
   “ได้โปรด มิสเตอร์มิลเลอร์ กรุณาเงียงเสียงและนอนได้แล้ว นายกำลังจะทำให้ฉันเข้านอนดึกกว่าปกติ”
   “ครับ คุณชาย”
   คอยล์รับคำ และยอมเงียบในที่สุด

--------------------------------------
   เสียงเครื่องปรับอากาศยังคงทำงานหึ่งๆ ช่วยทำให้ห้องไม่เงียบจนเกินไปนัก คอยล์ขยับตัว มองดูนาฬิกาที่มีพรายน้ำบนข้อมือ มันบอกเวลาตีหนึ่งครึ่ง เขาล้วงขวดแก้วใบเล็กๆ ใบหนึ่งจากกระเป๋า และทำทีเหมือนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปยังเตียงนอนสี่เสาของเว่ยจินหยินแทน
   ตำรวจหนุ่มเลิกม่านแพรผืนบางนั้นขึ้นอย่างเบามือ เขาไม่ต้องการให้เจ้าของเตียงตื่นขึ้นมาตอนนี้ ดูเหมือนเว่ยจินหยินจะหลับสนิท คอยล์เปิดฝาขวดแก้วในมือ เบือนหน้าจากกลิ่นหอมเอียนๆ ที่ฟุ้งขึ้น และลากมันผ่านปลายจมูกของเว่ยจินหยินเบาๆ เท่านี้ก็แน่ใจได้ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ตื่นขึ้นมากลางคัน
   คอยล์เก็บขวดแก้วเข้ากระเป๋า และนั่งลงบนเตียงข้างร่างซึ่งสวมชุดแพรสีเขียวที่นอนหลับอยู่ ความจริงเขามีอย่างอื่นจะต้องทำ แต่ว่าโอกาสแบบนี้อาจจะไม่มีมาอีกเป็นรอบที่สอง นัยน์ตาสีเขียวเทาจ้องมองเรือนร่างเพรียวที่มีเพียงชุดเสื้อคลุมเรียบลื่นชิ้นเดียวปกปิดอยู่ ใบหน้าของเว่ยจินหยินยามหลับดูไปก็น่าเอ็นดูไม่น้อย คอยล์เอื้อมมือไปปัดปอยผมสีดำที่ร่วงลงมาปรกหน้าของชายหนุ่มที่นอนอยู่ออกอย่างเบามือ ก่อนจะไล้ปลายนิ้วไปตามสันคิ้ว ผ่านขนตาหนา ต่ำลงมาจนถึงริมฝีปากสีชมพูที่ปิดสนิท พลางนึกสงสัยว่ามีใครเคยได้ลิ้มลองริมฝีปากคู่นี้แล้วหรือยัง ท่าทางเว่ยจินหยินจะไม่ค่อยชอบผู้หญิง เขาตอบไม่ได้ว่าชอบผู้หญิงแบบไหน คงไม่มีผู้ชายปกติที่ไหนในโลกตอบไม่ได้กับคำถามแบบนี้ แต่กลับพูดชื่อของผู้ชายที่ชอบออกมาได้ง่ายๆ
   เถียนซาน
   คอยล์นึกสงสัย  เถียนซานคือใคร  เว่ยจินหยินบอกว่าเป็นอดีตลูกน้อง แปลว่าตอนนี้ไม่ได้ทำงานด้วยกันแล้ว แล้วทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันแบบไหน ดูเหมือนเถียนซานคนนี้จะตามใจเจ้านายของเขาเอาไว้มาก น้ำเสียงที่เว่ยจินหยินพูดถึงผู้ชายคนนี้ดูจะเจือไปด้วยความยินดีและอบอุ่นแบบที่เขาไม่เคยได้ยินว่าพูดกับคนอื่น
   ความจริงคอยล์ไม่คิดว่าเขาจะรู้สึกพิเศษอะไรกับผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยินคนนี้มากนัก ตอนแรกก็แค่อยากจะก่อกวนเพื่อความสนุก แต่ตอนนี้คอยล์แน่ใจว่าเขารู้สึกพิเศษขึ้นมาบ้างนิดหน่อย และอาจจะมากกว่าที่เขาคิด
   นิ้วเรียวสัมผัสริมฝีปากอ่อนบางอย่างอ่อนโยน เป็นการง่ายที่จะทำอะไรกับร่างกายของเว่ยจินหยินในตอนนี้ มืออีกข้างของคอยล์ไล้จากซอกคอ ต่ำลงไปยังเนินอก ผ่านยอดอกสีชมพูซึ่งยังคงหลับสนิทอยู่ ลงไปยังหน้าท้องเรียบลื่น เขาหยุดมือไม่ให้ลดต่ำลงไปกว่านั้นเมื่อพบกับสายคาด แค่ดึงออก ร่างนี้ก็จะเปลือยต่อหน้าเขาทันที
   คอยล์โน้มหน้าลงไปใกล้กับริมฝีปากของผู้ที่ยังนอนไม่รู้สึกตัวนั้น ก่อนจะยิ้มอย่างเอ็นดู
   จะมีประโยชน์อะไรที่จะทำแบบนั้น ในเมื่ออีกฝ่ายไม่แสดงสีหน้าหรือตอบสนอง เขาอยากจูบเว่ยจินหยินในตอนที่ยังมีสติ อยากรู้ว่าฝ่ายนั้นจะแสดงปฏิกิริยายังไง ตอบรับจูบของเขาแบบไหน และจะหน้าแดงขนาดไหน ทั้งร่างกายนี้ก็ด้วย อยากจะสัมผัสความร้อนเร่ายามอยู่ในอารมณ์แบบนั้น
   “Oh….. You drive me crazy.”
   คอยล์กระซิบแผ่วเบา เขาก้มลงจูบหน้าผากของร่างที่นอนอยู่เบาๆ ก่อนจะผละออกมาเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

-----------------------------------------

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
เข้ามาเม้นท์ให้กำลังใจ  :mc4:

คาดไม่ถึงว่าเว่ยจินหยินจะมีมุมนี้ นึกว่าเป็นจิ้งจอกเฒ่าอ่ะตอนแรก

ออฟไลน์ Maria_safe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เอ้อ  แบบว่าผิดคาด
มองมุมนี้ก็น่ารักดีนะจินหยิน แอบสงสารนิดหน่อยที่โดนมิลเลอร์มันกวนขนาดนี้

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
แอบเชียร์คุณชายแก กับ อาคุงพี่เถียนซาน มาตั้งแต่อ่านเรื่อง My neighbor แล้วนะ อิตา คอยล์ อย่ามาทำให้เสียเรื่องนะ  :z3:

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
มิลเลอร์กวนตรีบอย่างถึงที่สุด  แต่เราชอบแหละแนว ๆ นี้น่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ powvera

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
ภาระกิจนั้นมันสำคัญมากกว่ากดคุณชายรองเชียวหรือ???

 :z3:     :z3:    :z3:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ตอนที่2 ไพ่แต้มต่ำ กับเหรียญสองหน้า

   เว่ยจินหยินตื่นนอนด้วยอาการปวดศีรษะแกมกระหายน้ำ  คาดว่าสาเหตุต้องมาจากการเผชิญกับบทสนทนางี่เง่าและพฤติกรรมต่ำทรามไร้มารยาทของนายตำรวจจากอังกฤษที่ชื่อ มิลเลอร์ คอยล์เป็นแน่
   หนุ่มวัยสามสิบสองคว้าแว่นตากรอบทองที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงนอนขึ้นมาสวมและผูกสายรัดเสื้อคลุมนอนแพรสีเขียวให้เข้าที่ ดูเหมือนเมื่อคืนเขาจะนอนดิ้น นัยน์ตาสีดำราวสุนัขจิ้งจอกมองผ่านเลนส์ไปรอบๆ ห้อง ดูท่าเจ้าตัวน่ารำคาญนั่นจะออกไปแล้ว และนิสัยดีพอจะเก็บหมอนเข้าที่ เอาเถอะ ค่อยโทรบอกเสี่ยวผิงให้เอาไปจัดการทำความสะอาดตอนหลัง เรื่องจำเป็นคือต้องจัดการเรื่องห้องให้เรียบร้อยก่อนที่จะมาก่อเรื่องที่นี่อีก
   เว่ยจินหยินผุดลุกขึ้นจากเตียงนอน ตรงไปยังห้องน้ำ ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า หวีและแต่งผมด้วยเจลจนเรียบแปล้เหมือนเช่นทุกวัน ก่อนจะออกไปจากห้อง
   ก่อนจะถึงเรื่องห้องของหมอนั่น ยังมีเรื่องบางอย่างที่เขาต้องแวะไปดูก่อน

--------------------------------------
   มิลเลอร์ คอยล์ยิ้มกว้างราวกับต้องการจะเยาะเย้ย เมื่อเห็นสีหน้าของเว่ยจินหยินตอนที่พบว่าเขายืนรออยู่ในห้องทำงานแล้ว หนุ่มวัยสามสิบเศษผู้สวมแว่นตากรอบทองอยู่เป็นนิจแค่นเสียงอย่างรำคาญ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ แม่บ้านที่ชื่อเสี่ยวผิงยกถาดอาหารเช้าที่ประกอบด้วยโจ๊กไก่แบบฮ่องกง และน้ำชาตามมาหลังจากนั้นไม่นาน นั่นทำให้คอยล์รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาไม่คิดว่าคนอย่างเว่ยจินหยินจะทานอาหารเช้าในห้องทำงาน
   “ไม่ต้องทำหน้าสงสัยแบบนั้น ในเมื่อนายเป็นต้นเหตุทำให้ฉันตื่นสาย”
   เว่ยจินหยินเอ็ด เมื่อเห็นสีหน้าแสดงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัดของคอยล์ ตำรวจหนุ่มหัวเราะแหะๆ
   “ไม่ยักรู้ว่าคุณทานอาหารเช้า”
   “อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญ”
   เว่ยจินหยินกล่าว พลางนึกสงสัยว่าทำไมเขาต้องมาต่อปากต่อคำกับเจ้าตำรวจงี่เง่านี่ด้วย
   “ฉันจัดห้องให้นายแล้ว รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวจะมีคนเอากุญแจมาให้”
   ผู้ได้ห้องใหม่ทำหน้าเสียดาย
   “ความจริงไม่เห็นจะต้องทำให้ยุ่งยาก ให้ผมนอนห้องคุณนั่นแหละดีแล้ว”
   “นายควรจะหัดมีมารยาทมากกว่านี้ ก่อนที่ฉันจะเตะนายกลับอังกฤษ”
   เว่ยจินหยินกล่าวเรียบๆ และก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารเช้าตรงหน้า พร้อมอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ไปด้วย โดยมีลูกน้องคนสนิทสองคนที่ชื่อโจกับไมเคิลยืนคอยรับคำสั่ง
   “คุณทำให้ผมหิว”
   คอยล์โอดครวญ เว่ยจินหยินเหลือบตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง
   “ได้กุญแจห้องแล้วลงไปบอกแม่บ้านที่ชั้นล่างสิ ฉันไม่มีอะไรจะเรียกใช้นายหรอก”
   “โอเค งั้นผมจะยืนอยู่ที่นี่ต่อ”
   คอยล์ตอบพร้อมกับยักไหล่อย่างยียวน เว่ยจินหยินรู้สึกว่าเขากำลังถูกล่อให้พูดเรื่องไร้ประโยชน์มากขึ้นเรื่อยๆ ทางที่ดีเลิกสนใจเจ้าหมอนี่ไปเลยดีกว่า
   ความจริงมิลเลอร์ไม่ได้หิวอย่างที่ตัวเองพูด แต่ท่าทางของเว่ยจินหยินทำให้เขานึกอยากจะทานด้วยเท่านั้น ท่าทางจะเป็นที่แน่นอนแล้ว่าเขาคงไม่ได้รับอนุญาตให้ทานอาหารกับเว่ยจินหยินอีกรวมถึงการนอนร่วมห้อง  นี่ถ้ากุญแจมาถึงมือแล้วเว่ยจินหยินคงจะไล่เขาออกไปทันทีแน่ๆ ถึงอย่างนั้นคอยล์อยากจะสังเกตพฤติกรรมของเจ้านายกำมะลอของเขาเสียหน่อย
   เว่ยจินหยินอ่านหนังสือพิมพ์และทานอาหารเช้าเสร็จพร้อมกันภายในเวลาครึ่งชั่วโมง  หลังจากนั้นก็กลายเป็นเครื่องจักรประมวลผล เขาตรวจเอกสารตรงหน้าอย่างละเอียด และยังเจียดเวลามาคุยกับบรรดาลูกน้องและผู้ส่งสารที่แวะเวียนเข้ามาให้ห้องเป็นระยะ ดูเหมือนเว่ยจินหยินจะยิ้มและหัวเราะให้กับลูกน้องทุกคน ทั้งที่ทำเรื่องน่าพอใจ และทำเรื่องที่ไม่น่าพอใจ ตอนแรกมิลเลอร์ คอยล์คิดว่าเว่ยจินหยินจะยิ้มให้แต่คนที่ทำให้ตัวเองพอใจเสียอีก แต่สีหน้าของคนทำผิดก็ดูจะแย่ลงกว่าเดิมทันทีที่เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบนั้น เพราะนอกจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั่นแล้ว คำพูดเหน็บแนมเจ็บแสบไปถึงก้นบึ้งหัวใจยังถูกกล่าวออกมาอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพวกลูกน้องถึงได้ยืนตัวเกร็งกันแบบนั้น แต่วิธีการนี้ของเว่ยจินหยินคงใช้กับเขาไม่ได้ผล เพราะเขากล้าหาญพอจะต่อปากต่อคำกับผู้เป็นเจ้านายอย่างฉะฉาน และกวนประสาท
   คอยล์อดขำไม่ได้ คำว่ากวนประสาทคงเหมาะที่สุด เขารู้ตัวดีว่าคำพูดของเขาทำให้เว่ยจินหยินไม่พอใจ แต่เขารู้สึกสนุกที่ได้เห็นสีหน้าหลากหลายนั่น เอาเถอะ บางทีหน้าตายิ้มแย้มและคำพูดดีๆ อาจมีให้เห็นบ้างในบางเวลา หากพูดจาเข้าหู และคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำแบบนั้น  คอยล์สังเกตว่าไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำกับเว่ยจินหยินเลยทั้งๆ ที่บางทีเว่ยจินหยินเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อนด้วยซ้ำ แต่พออีกฝ่ายตอบแบบอ้ำๆ อึ้งๆ คนถามก็เปลี่ยนเรื่องทันที เดาไม่ออกเลยว่ากำลังทดสอบหรือว่าไม่พอใจหรือเปล่า มิน่าเล่าบรรยากาศในห้องทำงานนี้ ยิ่งยืนนานไปยิ่งดูคล้ายอยู่ในห้องแช่แข็ง
   “เที่ยงฉันมีนัดทานข้าวที่เกาลูน นายไม่ต้องตามไปหรอก”
   เว่ยจินหยินเอ่ยขึ้นในตอนที่นาฬิกาบอกเวลาสิบเอ็ดโมงสิบห้านาที เขาเพิ่งรับฟังปัญหาเกี่ยวกับการยักยอกสินค้าที่ท่าเรือหนึ่ง และรับรองว่าจะส่งคนไปตรวจสอบ
   “นี่เป็นคำสั่ง มิลเลอร์”
   เขากล่าวต่อ เมื่อเห็นว่านายตำรวจหนุ่มยังคงมีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับว่าประโยคที่พูดออกไปไม่ได้หมายถึงตน คอยล์หัวเราะแห้งๆ
   “อ่า ครับ คุณชาย ถ้าอย่างนั้นก็สมควรที่ผมจะไปดูห้องนอนใหม่เสียหน่อย”
   “ดี”
   เว่ยจินหยินกล่าวและยิ้ม คอยล์โค้งให้เขาและเดินออกจากห้องไป ผู้เป็นเจ้านายรอจนอีกฝ่ายปิดประตูไปได้พักหนึ่ง จึงสั่งความกับลูกน้อง
   “บอกสุ่ยให้จับตาดูหมอนั่นไว้แต่อย่าให้รู้ตัวนะ ฉันคิดว่าเขาคงไม่ได้บริสุทธิ์ใจกับการเข้ามาครั้งนี้นักหรอก”

---------------------------------------------
   มิลเลอร์ คอยล์กำลังสำรวจห้องนอนใหม่ของเขา แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับห้องนอนของเว่ยจินหยินแล้ว มันทั้งเล็กและแคบ แถมเตียงนอนที่เอามาวางเสริมก็ดันกลายเป็นฟูกนอนเสียได้ นี่เว่ยจินหยินไม่เคยต้อนรับแขกเลยหรือไง หรือว่าเขาไม่ได้อยู่ในฐานะแขก?
   คอลย์ยังไม่เจอเจ้าของห้องที่ชื่อสุ่ย ความจริงเขาต้องมานอนห้องนี้ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ด้วยลูกไม้นิดหน่อย เขาก็ทำให้สุ่ยออกไปกินเหล้าข้างนอกก่อนที่เว่ยจินหยินจะเข้านอนได้ อ่า..สุ่ยที่น่าสงสาร ไม่รู้ว่าถูกคาดโทษอะไรบ้าง ป่านนี้จึงยังไม่โผล่มา
   คอยล์หัวเราะหึๆ ในลำคอ เอาเถอะ สุ่ยคงไม่ถึงกับตาย และเขาก็ได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว คืนเดียวก็ถือว่าคุ้ม ถ้าไม่คิดถึงร่างในชุดนอนแพรบนเตียงสี่เสาที่มีผ้าแพรผืนบางกั้นอยู่
   ให้ตายสิ ถึงจะไม่ใช่ความผิดของเว่ยจินหยินเลยสักนิด แต่เขาก็ยังอยากจะโทษใส่อยู่ดี
   คนอะไร ยั่วยวนได้ชวนรวดร้าวใจชะมัด
   คุณชายผู้แสนจะยโสโอหัง แม้จะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ชวนให้หลงใหลก็เถอะ แต่ดวงตาสีดำอย่างกับหมาจิ้งจอกนั่นไม่ชวนให้สบายใจเอาเสียเลยสำหรับคนมอง สงสัยจริงๆ ว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมานี่เคยมีใครกล้าขัดใจบ้างไหม เคยมีใครต่อล้อต่อเถียงบ้างไหม เคยตกอยู่ในภาวะเป็นรองบ้างหรือเปล่า หรือว่าจะชนะจนเคยชิน
   อา..ใบหน้ายามหลับนั่นช่างน่าเอ็นดู แต่ว่าใบหน้าแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นแรงดึงดูด การได้เห็นใบหน้าที่พ่ายแพ้และจำยอมนั่นต่างหาก ถึงจะกระตุ้นอารมณ์ได้ดี
   คอยล์ถอนหายใจเฮือก นี่เขาคิดเรื่องเว่ยจินหยินมากไปแล้ว มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นขนาดที่จะต้องเก็บมาคิด สิ่งสำคัญในตอนนี้คือแผนการที่เขาจะต้องทำต่อไปต่างหาก

---------------------------------
   “คุณชายครับ จะให้หยุดรถก่อนไหม?”
   โจถามขึ้น ขณะที่รถเพิ่งเคลื่อนผ่านอาคารจอดรถของตึก เว่ยจินหยินส่งเสียงถามอย่างแปลกใจ
   “ทำไม มีอะไรหรือ?”
   “ผมเพิ่งเห็นรถของพี่เถียนซานแล่นเข้าไปเมื่อครู่”
   โจกล่าว เว่ยจินหยินพยักหน้า
   “อ้อ ขอบใจ ฉันเห็นล่ะ ขับรถต่อไปเถอะ”
   “ครับ”
   ผู้เป็นลูกน้องรับคำ แม้จะนึกแปลกใจอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก
   ปกติเว่ยจินหยินมักจะไม่พลาดการได้พบกับอดีตลูกน้องคนสนิทคนนั้นนี่นา

--------------------------------
   คอยล์คิดว่าเขาควรจะฉวยโอกาสที่เว่ยจินหยินไม่อยู่นี้เพื่อออกไปนอกตึก ขณะที่ก้าวเท้าออกจากลิฟท์บริเวณชั้นหนึ่ง เขาก็พบพนักงานในตึกราวๆ สองสามคนกำลังจับกลุ่มพูดคุยอยู่กับใครคนหนึ่ง
   “พี่เถียน นั่นไงเด็กใหม่ที่ผมพูดถึง”
   ชายคนหนึ่งโบ้ยมือมาทางเขา คอยล์สะกิดใจกับแซ่ที่ได้ยิน หรือว่านี่จะเป็นผู้ชายที่ชื่อเถียนซาน
   “อ้อ คนอังกฤษ”
   ผู้ที่ยืนอยู่กลางวงสนทนากล่าว เขายิ้มให้ผู้ที่เพิ่งออกมาจากลิฟท์ เถียนซานเป็นชายวัยกลางคน อายุคงราวๆ สี่สิบต้นๆ ตัดผมสั้นเรียบร้อย ใบหน้าออกเหลี่ยมเล็กน้อย มีรอยแผลเป็นเล็กๆ ใต้แก้มซ้าย รูปร่างค่อนข้างจะสูงใหญ่ทีเดียวสำหรับคนเอเชีย คงราวๆ ร้อยเก้าสิบกว่าๆ เห็นจะได้ ดวงตาสีดำที่จ้องมาให้ความรู้สึกหนักแน่นเหมือนก้อนศิลาและอบอุ่นไปพร้อมๆ กัน คอยล์ยิ้มตอบอย่างไม่รู้ตัว
   เพราะรอยยิ้มนั่นช่างดูเป็นมิตรเสียเหลือเกิน
   “ผมมิลเลอร์ คอยล์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
   คอยล์ยื่นมือให้ อีกฝ่ายยื่นมือตอบอย่างรู้มารยาท
   “ผม เถียนซาน ยินดีที่ได้รู้จัก คุณคงกำลังจะออกไปธุระ”
   “อ้อ ผมกำลังจะออกไปทานข้าวน่ะครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมอยากจะชวนคุณไปด้วย”
   “อา...ชาวอังกฤษผู้กระตือรือร้นในมิตรภาพ”
   เถียนซานกล่าวและหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
   “เอาสิครับ ผมกะว่าจะมายืมตัวเด็กที่นี่ไปสักสองสามคน แต่เหมือนคุณชายจะเพิ่งออกไป คุณอยากไปทานที่ไหนล่ะ?”
   “ผมยังไม่ค่อยรู้จักสถานที่ที่นี่ดีเท่าไหร่ เชิญคุณนำดีกว่าครับ”
   คอยล์กล่าว และนึกแปลกใจที่เขาเอ่ยชวนคนแปลกหน้าออกไปทานข้าวด้วยแบบนี้  อืม ถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงแปลกพอกันที่ตกลงง่ายๆ อาจจะเป็นความร้อนแรงระหว่างมิตรภาพของผู้ชายที่เพิ่งเห็นหน้ากันสองคนก็ได้
   เถียนซานหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำออกไปด้านนอก

-------------------------------------------
   แน่นอนว่าเถียนซานไม่ได้เลือกร้านอาหารที่ดูดีจนน่าเกร็งเหมือนอดีตเจ้านายของเขา หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเศษเลือกร้านอาหารที่ธรรมดาและพื้นฐานที่สุดของคนฮ่องกง นั่นคือร้านบะหมี่เล็กๆ ซึ่งอยู่ถัดจากตึกที่เขาอยู่ไปราวๆ สามถึงห้าถนน ดูเหมือนทั้งเจ้าของร้านที่เป็นชายชราวัยกว่าเจ็ดสิบ และบรรดาเด็กเสิร์ฟในร้านจะรู้จักหนุ่มใหญ่คนนี้เป็นอย่างดี
   “โอ้ พาสมาชิกใหม่มาแนะนำหรือลุงเถียน?”
   เด็กเสิร์ฟอายุราวๆ สิบห้าสิบหกเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง เถียนซานหัวเราะร่วน
   “อ่าใช่ นี่ลุงมิลเลอร์”
   เขาพูดพลางผายมือไปยังชายหนุ่มที่มาด้วยกัน เด็กสาวเบิ่งนัยน์ตากว้าง
   “โห.. นี่ลูกครึ่งหรือคนอังกฤษเนี่ย สีตาแปล๊กแปลก”
   คอยล์ฝืนยิ้ม ตอนแรกคิดจะเถียงว่าเขาคงยังไม่แก่ขนาดเป็นลุง แต่พอถูกทักเรื่องสีตาก็ต้องสะดุดกึก นานแล้วที่ไม่มีใครพูดแบบนี้ อ่า...มันไม่ค่อยจะให้ความรู้สึกดีเท่าไหร่
   “คำพูดของเธออาจจะทำให้ลุงเขาไม่สบายใจ เสี่ยวหมิง”
   เถียนซานว่า และพูดต่อ
   “เธอไม่ควรจะพูดแบบนี้กับคนอื่น ถ้าลุงพูดว่าดูสิ จมูกเสี่ยวหมิงแปล๊กแปลก เสี่ยวหมิงจะรู้สึกยังไง”
   “อ่ะ..หนูขอโทษค่ะ”
   เด็กสาวกล่าวด้วยท่าทางสำนึกผิด คอยล์โบกมือ
   “ไม่เป็นไรหรอก”
   หนุ่มอังกฤษกล่าว เถียนซานมองดูเด็กสาวอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา
   “ดีที่ลุงเขาให้อภัย เอาล่ะเสี่ยวหมิง เอาเหมือนทุกวันที่หนึ่ง”
   “ผมเอาบะหมี่เกี๊ยวน้ำแล้วกัน”
   คอยล์เอ่ย เด็กที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวหมิงพยักหน้า และตะโกนสิ่งที่พวกเขาสั่งไปที่ชายชราผู้กำลังยืนลวกบะหมี่อยู่ด้วยน้ำเสียงดังปานโทรโข่งขัดกับขนาดร่างกาย
   “โอ้...โหวกเหวกสมเป็นฮ่องกงจริงๆ”
   คอยล์พูด บางทีเขาอาจจะติดนิสัยกวนประสาทมาแต่เกิด คำพูดนี่คงไม่สร้างความพอใจให้กับชาวฮ่องกงที่อยู่ตรงข้ามเขาเท่าไหร่นัก แต่ดูเหมือนคอยล์จะคาดผิด
   “ฮ่าๆ ใช่  นี่แหละคือบรรยากาศของฮ่องกง ถ้าไปเซี่ยงไฮ้ คุณจะเจอยิ่งกว่านี้”
   เถียนซานกล่าวอย่างอารมณ์ดี หนุ่มชาวอังกฤษหัวเราะแหะๆ
   “คุณนี่น่าจะเป็นพ่อที่ดี”
   ผู้ถูกกล่าวถึงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
   “อา..ผมคิดว่าคุณจะพูดว่าผมน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีเสียอีก อะไรทำให้คุณพูดออกมาอย่างนั้น”
   เขาว่า แต่ท่าทางดูจะไม่ให้ความสำคัญอะไรมาก คอยล์หัวเราะอีก
   “ก็ท่าทางของคุณ อืม..เหมือนคุณพ่อ หรือว่าคุณมีลูกแล้ว?”
   “ผมยังไม่ได้แต่งงานหรอก”
   เถียนซานกล่าว และหัวเราะ
   “ถ้าผมมีลูก ผมคงไม่มาทำงานแบบนี้”
   “อ้อ ผมเข้าใจล่ะ”
   คอยล์พยักหน้า จริงของเขา ถ้าเกิดต้องทำงานเป็นพวกบอร์ดี้การ์ดให้มาเฟียอะไรทำนองนี้ ก็ไม่สมควรจะมีลูก หรือถ้ามีลูกก็ควรจะเลิกทำอาชีพแบบนี้
   “คุณมาฮ่องกงเป็นครั้งแรกหรือ คุณคอยล์?”
   เถียนซานเอ่ยหลังจากทานบะหมี่ไปได้ครึ่งหนึ่ง คอยล์เงยหน้าขึ้น ก่อนจะผงกศีรษะ
   “ผมเพิ่งเคยมา”
   “ถ้าอย่างนั้นผมขอชมทักษะการพูดภาษาจีนของคุณ”
   หนุ่มสูงวัยกว่าเอ่ย และยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบ คอยล์ยิ้ม
   “ขอบคุณที่ชม จริงสิ คุณเคยทำงานให้คุณจินหยินหรือ?”
   เถียนซานพยักหน้า ก่อนเอ่ยถามกลับ
   “คุณชายเล่าให้คุณฟัง?”
   “ก็นิดหน่อย เขาพูดถึงคุณทำนองอดีตลูกน้องคนสำคัญเทือกนั้น”
   ผู้ฟังหัวเราะอีกรอบ ก่อนจะวางตะเกียบลงบนถ้วยที่ว่างเปล่า
   “คุณชายพูดถึงเรื่องผมกับคนอื่นอีกแล้ว เอาเถอะ ผมได้ยินมาว่าคุณเองก็เป็นลูกน้องใหม่ที่ปากกล้าใช่ย่อย”
   “อา..คงอย่างนั้น ความจริงผมเสียมารยาทกับอดีตเจ้านายคุณไปไม่น้อยเลย”
   คอยล์พูดอย่างขัดเขิน เขารู้สึกผิดนิดหน่อยกับเรื่องนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ ดูเหมือนเถียนซานจะเป็นคนที่มีหน้าที่คอยดูแลเว่ยจินหยินมาก่อน ผู้สูงวัยกว่าพยักหน้าหงึกๆ
   “การรู้ตัวเป็นเรื่องที่ดี คุณคอยล์ แต่ผมคิดว่าการกล้าพูดในเรื่องที่ควรพูดก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน คุณไม่ควรจะเกร็งเรื่องคำพูดกับคุณชายมาก”
   “โชคดีที่ผมไม่รู้สึกแบบที่คุณกังวล”
   คอยล์กล่าว และวางตะเกียบลงหลังจากทานบะหมี่เสร็จแล้ว
   “คุณทำงานที่นี่มานานแล้วหรือ?”
   “สามสิบปีเห็นจะได้”
   ชายวัยสี่สิบเศษตอบ
   “ผมเป็นพนักงานเก่า.....และแก่”
   เขาว่าและหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พลอยทำให้อีกฝ่ายหัวเราะไปด้วย
   “ผมไม่รู้สึกว่าคุณแก่เลยนะ แบบนี้คุณก็รู้จักกับคุณจินหยินมานานแล้วสิ”
   “นานเท่าที่ผมทำงานที่นี่แหละ”
   เถียนซานตอบ และยกน้ำชาขึ้นมาจิบอีกรอบ
   “ดูท่าคุณจะสนใจเรื่องผมกับคุณชายนะนี่?”
   คอยล์หัวเราะอย่างกระดากอีกรอบ
   “ในฐานะลูกน้องใหม่ ผมก็ควรจะรู้มาตรฐานที่รุ่นพี่ทำเอาไว้สิ”
   เถียนซานชะงักแก้วน้ำในมือ จ้องหน้าฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา
   “พูดได้ดี พูดได้ดี ผมชอบวิธีการทำสีหน้าเวลาพูดของคุณจริงๆ คุณคอยล์ บางทีที่คุณมาอยู่ที่นี่ อาจจะดีกับคุณชายก็ได้”
   คอยล์ฝืนยิ้มอีกครั้ง เขาทำหน้าแบบไหนตอนพูดล่ะเนี่ย แล้วเถียนซานรู้ได้ยังไงว่าการมาของเขาอาจจะเป็นผลดีกับคุณชายเว่ย
   “คุณคงต้องอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่”
   หนุ่มสูงวัยกว่ากล่าวพร้อมกับหรี่ดวงตาจ้องมองมาอย่างรู้ทัน
   “ผมหวังว่าคุณจะทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่องและไม่ทำอะไรที่จะทำให้คุณชายตกอยู่ในอันตราย”
   คอยล์เผลอนั่งตัวตรงเหมือนทหารที่กำลังถูกเดินตรวจแถว เขาเกือบจะตะเบ๊ะมือออกไปด้วยซ้ำ การมองและน้ำเสียงของเถียนซานทำให้เขาเกิดความรู้สึกแบบนั้น
   “Yes! I do.”
   เขาตอบ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “ให้ตายสิ คุณนี่มัน...”
   คอยล์คราง เถียนซานหัวเราะร่วน และเรียกเด็กเสิร์ฟที่ยืนว่างอยู่มาคิดสตางค์ค่าอาหาร

------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ตำรวจอังกฤษกลับมาที่ที่ทำงานใหม่ของเขาในช่วงบ่าย การไปทานอาหารเที่ยงกับเถียนซานทำให้เขาเลื่อนแผนที่จะดำเนินการออกไปนิดหน่อย ผู้ชายคนนั้นไม่ธรรมดาเลย เขาดูเป็นมิตร ร่าเริง เป็นผู้ใหญ่ ใจกว้าง เรียกว่าเป็นคนวัยกลางคนที่ดูดีมากคนหนึ่ง และดูน่านับถือมากด้วย แต่ไอ้วิธีการที่พูดกับเขาในตอนท้ายๆ เกี่ยวกับเรื่องเว่ยจินหยินนี่สิ  คอยล์แทบไม่สงสัยอีกเลยว่าทำไมเถียนซานถึงได้ทำงานในตระกูลเว่ยได้ยาวนานถึงสามสิบปี เขายังไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนี้ทำงานในตำแหน่งและระดับไหนกันแน่ แต่คงไม่ใช่ระดับต่ำๆ และคงไม่ใช่งานสบายๆ อย่างแน่นอน เอาไว้ค่อยถามจากเว่ยจินหยินคืนนี้ก็ได้ พอนึกถึงผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยิน คอยล์ก็เกิดอาการท้อแท้อย่างบอกไม่ถูก
   เขาน่าจะได้เจอและรู้จักกับเถียนซานก่อน จะได้ไม่พร่ำเพ้อถึงเจ้านายกำมะลอผู้สวมแว่นตากรอบทองสุดเชยนั่นมากนัก
   แต่เห็นท่าว่ามันคงจะสายไปหน่อยสำหรับการเสียใจในเรื่องนี้

-----------------------------------------
   เว่ยจินหยินเพิ่งเสร็จจากการเจรจาธุรกิจบนโต๊ะอาหาร มันกินเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยก็ยังไม่กลับไปยังสำนักงานในทันที เขาสั่งลูกน้องให้แวะไปที่โกดังแห่งหนึ่งใกล้ๆ แถวนั้น ณ ที่นั่น บุคคลที่แสนคุ้นเคยคนหนึ่งนั่งเล่นไพ่รอเขาอยู่
   “สวัสดีครับคุณชาย สนใจเล่นสักเกมมั้ย?”
   เว่ยจินหยินแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี
   “เอาสิ แต่ขอเล่นกับนายแค่สองคนนะ”
   เถียนซานหัวเราะร่วน บรรดาขาไพ่ที่นั่งร่วมโต๊ะซึ่งก็เป็นลูกน้องเว่ยจินหยินและก็เคยเป็นอดีตลูกน้องเขาลุกขึ้นและออกไปจากห้องอย่างรู้งาน เหลือแต่อดีตเจ้านายและลูกน้องคนสนิทนั่งประจันหน้ากัน
   “ไปเจอมาแล้วล่ะครับ”
   เถียนซานพูดขณะแจกไพ่ให้เจ้านายของเขา ทั้งสองกำลังเล่นเกมง่ายๆ ที่เรียกกว่าโป๊กเกอร์ เว่ยจินหยินพยักหน้า
   “คิดว่าไง?”
   “ผมชอบเขานะ”
   หนุ่มวัยสี่สิบเศษกล่าว ผู้เป็นเจ้านายหัวเราะ
   “อืม ไม่แปลกใจเลยที่นายพูดแบบนั้น ก็ไม่เคยเห็นนายไม่ชอบใครสักที”
   อีกฝ่ายหัวเราะร่วน
   “เขาดูเป็นคนมั่นใจในตัวเองดี กระตือรือร้น แล้วก็รู้จักใช้คำพูดเอาการ โดยรวมแล้วผมถือว่าเขาน่าจะใช้ได้เลยนะ”
   เว่ยจินหยินพยักหน้าหงึกหงัก มองดูไพ่ห้าใบในมือของตัวเอง
   “ฉันก็หวังว่าหมอนั่นคงจะใช้ได้ อืม ที่แน่ๆ เขาทำฉันประสาทเสีย”
   ชายหนุ่มผู้สวมแว่นและหวีผมเรียบแปล้อยู่เป็นนิจกล่าว พลางวางไพ่ลงบนโต๊ะซึ่งดัดแปลงจากลังไม้ใส่ของ เถียนซานผงกศีรษะ
   “อาจจะเป็นที่นิสัยของเขา นี่กะจะขู่กันด้วยสเตรทแฟลตเลยหรือไงครับ?”
   เขากล่าวหลังจากเห็นไพ่ที่อีกฝ่ายเพิ่งวางลงไป เว่ยจินหยินยิ้มเยียบเย็น
   “ก็มีให้ขู่อยู่แค่นี้นี่ แต่ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนไพ่เลยนะ”
   “ผมไม่ค่อยเห็นคุณเปลี่ยนไพ่”
   ผู้เป็นเจ้านายหัวเราะด้วยความพอใจ เถียนซานทิ้งไพ่บ้าง
   “อ้อ คู่ นายนี่รวบรัดตัดความไม่เปลี่ยนเลยนะ”
   “ครับ”
   เถียนซานพยักหน้ารับ เขาเพิ่งทิ้งไปลงไปสองใบ เลขเดียวกันแต่คนละดอก เว่ยจินหยินโคลงศีรษะ
   “ลังเลหรือเปล่าครับ?”
   ผู้เป็นลูกน้องถามต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ ผู้เป็นเจ้านายนิ่งไปครู่หนึ่ง
   “เปล่า ถึงยังไงฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยจะอยากเปลี่ยนแปลงอะไรหลังจากที่ตัดสินใจไปแล้วด้วยสิ”
   เขาว่า และทิ้งไพ่เพิ่มอีกสองใบ
   “นี่กำลังจะบอกผมว่าเป็นรอยัลสเตรทแฟลตหรือไงครับ”
   เถียนซานกล่าว เว่ยจินหยินผงกศีรษะ
   “ต่อให้นายมีฟูลเฮาส์ ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ”
   ผู้เป็นลูกน้องหัวเราะอีก
   “ผมเชื่อว่าคุณชายคิดดีแล้ว ถึงจะดูเสี่ยงไปหน่อยก็เถอะ ยังไงเสียคุณก็มักจะถือไพ่เหนือกว่าทุกที”
   เถียนซานกล่าวและทิ้งไพ่ที่เหลือ เว่ยจินหยินขยับแว่นตากรอบทองให้เข้าที่
   “ฟูลเฮาส์ นายน่ะ รวบรัดตัดความจนฉันเล่นลำบากเลยนะ”
   “พูดแบบนั้น.......หรือว่าจริงๆ แล้วไพ่บอดล่ะครับ”
   “อ่า...”
   ผู้เป็นเจ้านายคราง คลี่ไพ่ในมืออีกรอบ นัยน์ตาดำหรี่เล็กลง
   “ฉันแค่ชอบทำอะไรที่มันละเมียดละไม ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”
   “ค่อยๆ กดดันหรือครับ?”
   ชายหนุ่มพยักหน้า
   “ฉันว่ามันตื่นเต้นดี เอาเถอะ อย่างนายไม่ใช่คนที่จะโดนกดดันอะไรง่ายๆ ด้วยสิ”
   เขากล่าวและทิ้งไพ่รวดเดียวเช่นกัน เถียนซานผงกศีรษะ
   “รอยัลสเตรทแฟลต ดวงดีนะครับ แต่สมเป็นคุณ ถือไพ่ขนาดนี้ยังไม่ยอมเปิดทีเดียว”
   ริมฝีปากได้รูปของเว่ยจินหยินปรากฏรอยยิ้มละเมียดละไม
   “บอกแล้วฉันชอบแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เนิบๆ อ่า...แต่เดิมพันใหญ่ที่ฉันกำลังเล่นอยู่นี่ฉันไม่ได้กดดันใครหรอกนะ ฉันทิ้งไพ่ใบที่ต่ำที่สุดด้วยซ้ำ”
   “ยอมให้ตายใจแล้วล่อให้ติดกับสินะครับ แต่แบบนี้คุณคงอึดอัด มันไม่ใช่นิสัยของคุณ”
   ผู้เป็นลูกน้องออกความเห็น เว่ยจินหยินพยักหน้า
   “ก็ใช่ แต่ว่านานๆ ทีลองใช้แผนแบบนี้ก็อาจจะสนุกดีเหมือนกันนะ ถ้านายสนใจ ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากให้นายช่วย”
   เถียนซานยิ้ม เก็บไพ่บนโต๊ะเข้าที่
   “คุณพูดมาเถอะครับ ผมยินดีเป็นธุระให้”

------------------------------------------
   “เหรียญทอง นายมาสาย”
   มิลเลอร์ คอยล์ยิ้มร่าเริงให้กับคำทักทายนั้น เขาเพิ่งเดินผ่านประตูโกดังที่เป็นเหล็กสูงราวห้าเมตรเข้ามายังพื้นที่ด้านใน ซึ่งเต็มไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์ ลังไม้ใส่ของที่ทั้งวางเปล่า และบรรจุอะไรบางอย่าง ที่ด้านหนึ่งไม่ไกลจากประตูมากนัก เงาร่างสองสามร่างยืนรออยู่
   “ทำไมนายถึงไม่ออกมาพร้อมกับปลา?”
   อีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น คอยล์ยักไหล่ เดินไปสมบทกับพวกที่รออยู่ในเงามืด
   “คุณจะให้ลูกน้องใหม่อย่างผมหายตัวแว้บตั้งแต่วันแรกเลยเหรอ มันจะดูไม่น่าสงสัยไปหน่อยหรือไง?”
   “ถ้าจะพูดเรื่องน่าสงสัยล่ะก็ ทางเราควรจะสงสัยนายมากกว่า เหรียญทอง นายเป็นตำรวจ แค่นี้ก็พอแล้วที่เราจะไม่เชื่อถือ”
   มิลเลอร์ คอยล์แบมือ และทำหน้าราวกับว่ามันผิดด้วยหรือ
   “แต่เมื่อคืนผมยืนยันแล้วว่าผมเชื่อถือได้ ปลาเองก็เป็นพยานได้ หรือคุณไม่เชื่อ น้ำเต้า?”
   ผู้ถูกเรียกว่าน้ำเต้าเงียบไปพักหนึ่ง คอยล์ได้โอกาสพูดต่อ
   “อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาคิดให้ปวดหัวเลย ยังไงเสียคุณก็ใช้ประโยชน์จากคนที่หักหลังแบบพวกผมอยู่แล้ว คิดดูสิ ถ้าผมไม่หักหลัง ทรยศ คิดคด คุณจะได้ไอ้ที่อยู่ในมือจากไหน?”
   คำพูดราวกับไม่ได้รู้สึกถึงความผิดบาปในพฤติกรรมของตัวเองพร่างพรูออกมา น้ำเต้าขมวดคิ้วใต้เงามืด
   “ถึงยังไงนายก็ดูไม่เข้าท่า เหรียญทอง เจ้าหน้าที่อย่างนายไม่น่าเอาตำแหน่งมาเสี่ยง”
   “บางทีตำแหน่งก็ใช้หาเงินได้ไม่มากหรอกนะ”
   มิลเลอร์ คอยล์ตอบอย่างใจเย็น รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป น้ำเสียงจริงจังขึ้น
   “ตำแหน่งเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษภาคสนามไม่ใช่ว่าจะเงินเดือนดีเทียบเท่ากับพวกผู้บริหารเสียหน่อย ทั้งๆ ที่พวกผมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมากกว่าพวกตาแก่ที่นั่งในห้องแอร์พวกนั้นด้วยซ้ำ”
   เขาหยุดกลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อ
   “ดังนั้น ถ้ามีโอกาส ผมก็ต้องหาลำไพ่พิเศษบ้าง มันไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ ทางผมพอเสร็จงานก็แจ้งว่าปฏิบัติหน้าที่ล้มเหลว ส่วนทางคุณก็มีแต่ได้ แค่จ่ายให้ผมตามที่สัญญากันไว้ก็พอ”
   “ฮ่า! ฉันชอบคำพูดของนายจัง”
   ปลาที่เงียบมาตลอดพูดขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างจะดังเหมือนเปิดฝาขวด คอยล์ผงกศีรษะ
   “ชีวิตจริงมันก็เป็นแบบนี้ ไม่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนในนิยายหรอก”
   “นายทำแบบนี้บ่อยหรือเปล่า?”
   เสียงของน้ำเต้ายังคงเจือไว้ด้วยความเคลือบแคลงใจ มิลเลอร์ คอยล์ยิ้มเป็นรอยยิ้มที่แตกต่างจากปกติ รอยยิ้มเยียบเย็นที่ไม่น่ามองเอาเสียเลย
   “เท่าที่ยังไม่มีใครสงสัยผม ชัดไหม คุณน้ำเต้า?”

--------------------------------------
   เว่ยจินหยินกลับมาถึงสำนักงานในตอนบ่าย และขมวดคิ้ว เมื่อเห็นลูกน้องคนใหม่ปราดเข้ามาขวางตรงทางเดิน พร้อมกับตะเบ๊ะมือทำความเคารพ
   “ยินดีต้อนรับกลับสำนักงานครับ”
   หนุ่มสวมแว่นเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะให้ลูกน้องคนหนึ่งดันตัวคอยล์ให้พ้นจากทางเดิน
   “โห...ไม่เห็นจะต้องเย็นชากันขนาดนี้เลย ทำไมคุณไม่ทักทายผมอย่างที่หัวหน้าที่ดีเขาทำกันบ้าง”
   “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าหัวหน้าที่ดีของนายเขาทำกันยังไง”
   เว่ยจินหยินเอ่ย อีกฝ่ายยักไหล่
   “งั้นลองให้ผมสอนไหมล่ะครับ?”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเหลือบตามองผู้พูดแว้บหนึ่ง และเดินผ่านไปทันที คราวนี้มิลเลอร์ คอยล์ร้องเสียงหลง
   “แล้วกัน แทนที่คุณจะฟังผมพูด ที่ผมเสนอหน้ามานี่มีเรื่องสำคัญจะพูดกับคุณนะ!”
   เว่ยจินหยินชะงักฝีเท้า ก่อนจะพูดเบาๆ
   “ขึ้นไปคุยกับฉันด้านบน”

-------------------------------------
   ด้านบนของเว่ยจินหยิน ไม่ได้หมายถึงห้องนอนส่วนตัวอย่างที่คอยล์แอบคิดอยากให้เป็น แต่เป็นห้องประชุมที่ตอนนี้แออัดไปด้วยลูกน้องจำนวนมาก นั่นทำให้ตำรวจหนุ่มรู้สึกอึ้งนิดหน่อย
   “มีเรื่องสำคัญอะไรล่ะ?”
   ชายสวมแว่นผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะผู้เป็นประธานการประชุมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ซ้ายและขวาของเขาคือคนสนิทฝีมือดีที่มีชื่อว่าโจและไมเคิล คอยล์รู้มาว่าสองคนนี้เป็นลูกครึ่งฮ่องกงอังกฤษ แต่ความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติดูจะไม่ได้เอื้ออำนวยความสะดวกให้กับเขาเท่าไหร่นัก มิลเลอร์ คอยล์ยังคงยืนอ้ำๆ อึ้งๆ ต่อหน้าสายตาหลายสิบคู่ที่อยู่ในห้องประชุม
   “ว่าไง?”
   เว่ยจินหยินถามซ้ำอีกรอบ แววตาใต้กรอบแว่นสีทองนั่นนิ่งสนิท ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ คอยล์กลืนน้ำลายเฮือก ก่อนจะฝืนยิ้ม
   “แหม คุณชายครับ เรื่องสำคัญนี่จะให้พูดต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้ได้ไงล่ะครับ?”
   อีกฝ่ายเลิกคิ้วเหมือนกับได้ฟังเรื่องแปลก แต่ก็ผงกศีรษะ
   “งั้นรึ? ไม่สะดวกสินะ แต่ฉันต้องประชุมงานด่วน ถ้านายไม่รังเกียจ รอที่นี่ก็ได้”
   คอยล์พยักหน้าด้วยอาการฝืนยิ้มสุดฤทธิ์ นี่เว่ยจินหยินคิดจะแกล้งเขาหรือวางแผนอะไรอยู่กันแน่ ยิ่งลองพูดแบบนี้ นั่นก็หมายความกลายๆ ว่าให้อยู่ที่นี่รอจนธุระเสร็จไม่ใช่หรือ แปลว่าถึงจะอยู่ด้วยกันสองต่อสองในตอนสุดท้าย แต่ก็จะมีคนรับรู้อีกตั้งเยอะตั้งแยะ ช่างเป็นผู้ชายที่น่ากลัวจริงๆ เอาเถอะ แบบนี้ก็ดี จะได้หาข้ออ้างเพิ่มขึ้นได้
   
   มิลเลอร์ คอยล์ไม่ได้ให้ความสนใจการประชุมนี้มากนัก ส่วนหนึ่งคือมันเป็นการประชุมภายในองค์กร และส่วนหนึ่งคือบรรยากาศการประชุมค่อนข้างตึงเครียด แน่นอนว่าผู้ทำให้บรรยากาศทั้งหมดเป็นเช่นนี้ไม่ใช่ใครอื่น เว่ยจินหยินนั่นเอง
   ผู้ชายคนนี้ช่างสรรค์หาคำพูดที่แสนสุภาพ แต่เนื้อหาบาดลึกกัดกร่อนจิตใจคนฟังราวกับคมมีดอาบยาพิษ เป็นการประชุมที่แม้แต่ผู้สนใจฟังบ้างไม่ฟังบ้างอย่างคอยล์ยังรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน
   ดีที่การประชุมกินเวลาเพียงสิบห้านาทีโดยประมาณ ถึงกระนั้นบางคนมีสีหน้าราวกับว่าทนฟังมาเป็นเวลาร้อยปีเลยทีเดียว สิ่งที่แทบจะปรากฏอยู่บนใบหน้าของทุกคนคือสิ่งที่อธิบายเป็นคำพูดได้ว่า ความโล่งใจ เพราะเว่ยจินหยินไม่ได้เอ่ยหรือสั่งการให้ทำโทษหรือคาดโทษกับใครในการประชุมครั้งนี้  ท้ายที่สุด หลังจากบรรดาพนักงานทั้งหมดทยอยเดินออกไปจากห้อง ก็เหลือเพียงเขา เว่ยจินหยิน โจและไมเคิลสองบอร์ดี้การ์ดคนสนิทที่ยังยืนคุมเชิงอยู่
   “เอ่อ...”
   คอยล์ได้แต่เอ่ยวลีเลื่อนลอยที่ไร้ความหมาย นัยน์ตาสีดำราวสุนัขจิ้งจอกของเว่ยจินหยินนิ่งสนิท เหมือนกำลังรอฟังว่าเขาจะเอ่ยเรื่องสำคัญใดออกไป หนุ่มอังกฤษกลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง
   “ธุระนี่..... ผมอยากพูดกับคุณแค่สองคน”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า ทำเหมือนมองไม่เห็นลูกน้องอีกสองคนที่เหลือ
   “จริงๆ นะครับคุณชาย ถ้าไม่ใช่กับคุณแค่สองคนผมก็พูดไม่ได้”
   อีกฝ่ายอ้อนวอน คิ้วคู่งามของเว่ยจินหยินขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะพึมพำขึ้นเบาๆ
   “เรื่องมากจริง”
   เขาว่า และโบกมือให้โจกับไมเคิลออกไป คอยล์ยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินเสียงปิดประตู ตอนนี้เหลือแค่เขากับเว่ยจินหยินสองคนแล้ว ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้าไปใกล้บริเวณที่อีกฝ่ายนั่งอยู่
   “มีเรื่องอะไร?”
   เจ้านายผู้สวมแว่นตากรอบทองเอ่ยถามเสียงเรียบ และคำตอบที่ได้คือรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย นั่นทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์นัก
   “อย่าทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นสิ ผมชอบเวลาคุณยิ้มมากกว่า”
   คอยล์เอ่ยอย่างร่าเริง ขณะที่บนใบหน้าของเว่ยจินหยินอย่าว่าแต่รอยยิ้ม ไม่แยกเขี้ยวออกมาก็นับว่าบุญมากแล้ว แต่นายตำรวจหนุ่มยังทำเป็นไม่รู้เรื่อง
   “ทำไมคุณถึงไม่ยอมทำตัวสบายๆ บ้าง รู้รึเปล่าว่ามันทำให้คนอื่นเขาผ่อนคลาย”
   “ฉันไม่มีเวลามานั่งฟังนายพูดจาไร้สาระหรอกนะ”
   อีกฝ่ายกล่าวเสียงเรียบอีกครั้ง คอยล์ทำตาโต
   “ผมไม่ได้พูดจาไร้สาระนะครับ ผมกำลังพูดเรื่องสำคัญ”
   “เอาล่ะ ฉันกำลังฟังอยู่ พูดได้แล้ว”
   คนจะพูดยิ้มแก้มปริ ก่อนจะเอ่ยซ้ำเรื่องเดิมอีกครั้ง
   “ผมพูดแน่ ถ้าคุณจะทำตัวให้น่ารัก อืม..ผ่อนคลายกว่านี้หน่อย”
   เว่ยจินหยินเงียบไปอีกพักใหญ่ ในที่สุดก็ถอนหายใจยาว
   “โอเค คอยล์ นายอยากจะเล่าอะไรให้ฉันฟังกันแน่?”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยพยายามพูดให้ดูเป็นกันเองและลดความเย็นชาลง แต่อีกฝ่ายกลับรีบโบกไม้โบกมือเป็นการใหญ่
   “ไม่ใช่แบบนั้น คือ ไม่ใช่ว่าที่คุณพูดไม่ผ่อนคลายพอหรอกนะ แต่ผมอยากให้คุณผ่อนคลายทุกส่วน ไม่ใช่แค่คำพูด ทำไมคุณไม่ถอดสูทออก คลายเน็คไท แล้วปลดกระดุมออกสักเม็ดสองเม็ดล่ะ?”
   เว่ยจินหยินย่นคิ้วให้กับคำพูดนั้น เหมือนเขาจะตัดสินใจอยู่พักใหญ่ว่าสมควรจะต่อปากต่อคำต่อไปดีรึเปล่า แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะพูด
   “ฉันคิดว่าแบบนั้นมันไม่เรียบร้อย แล้วก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกัน”
   “เกี่ยวสิครับ”
   คอยล์พูด และเดินเข้าไปใกล้เว่ยจินหยิน ก้มลงกระซิบ
   “ถ้าคุณไม่อยากถอดเอง ผมจะถอดให้”
   ไม่พูดเปล่า มือข้างที่ถึงก่อนเลื้อยไปตามคอเสื้อเกี่ยวเอาเสื้อสูทตัวนอกของเว่ยจินหยินหลุดลงไปกองที่ข้อศอก ผู้เป็นเจ้านายเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ
   “นาย!!!”
   คอยล์จุปาก และยิ้มกริ่ม
   “คุณทำงานแบบนี้มานานน่าจะรู้นะครับ ความลับน่ะ ไม่มีใครเขาให้กันง่ายๆ หรอก”
   “นายอยากได้อะไร?”
   เว่ยจินหยินเอ่ยถาม เขาดึงเสื้อสูทกลับเข้าที่ ท่าทางคนคนนี้จะทนให้ตัวเองอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยไม่ไหว  คอยล์หัวเราะร่วน
   “พูดไปแล้วผมว่าคุณน่าจะดีใจนะ ผมแทบไม่ขออะไรที่ทำให้คุณเสียหายเลย ผมอยากถอดเสื้อคุณ”
   นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินเบิ่งค้าง อีกพักหนึ่งถึงมีคำพูดเดือดดาลตามมา
   “คิดอะไรของนาย!!”
   อีกฝ่ายจุ๊ปากอีกครั้ง
   “คิดอะไรหรือครับ? คุณนั่นแหละคิดไปถึงไหน ผมแค่บอกว่าจะถอดเสื้อ ยังไม่ได้บอกอะไรมากกว่านั้นเลย หรือคุณเคยทำอะไรหลังจากถอดเสื้อ?”
   เว่ยจินหยินปิดปากของตัวเองทันที จ้องหน้าคอยล์อย่างตระหนก ผู้ชายคนนี้ต่อกรด้วยลำบากจริงๆ โดยเฉพาะในสถานะแบบนี้
   คอยล์อมยิ้ม เขารู้สึกสนุก ตอนนี้เว่ยจินหยินหน้าแดงแล้ว คิดว่าเจ้าตัวน่าจะยังไม่รู้ พวงแก้มแดงปลั่งกับดวงหน้าโกรธขึงและแตกตื่นนั่น ช่างต่างกับสีหน้าเรียบร้อยใจดีราวกับแสดงละครในเวลาปกติราวฟ้ากับดิน นี่คือสภาวะอารมณ์จริงๆ ของเว่ยจินหยินหรือ เขาอยากที่จะเห็นให้มากกว่านี้อีก
   “เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบคุณมากนัก ผมจะเล่าไปพลางถอดเสื้อคุณไปพลางดีไหม? ถ้าคุณเห็นว่าไม่เข้าท่า ก็ดิ้นหนีผมไปได้เลย หมายถึงถ้าเรื่องที่ผมเล่ามันไม่คุ้มค่าถอดเสื้อของคุณน่ะนะ แต่สำหรับผม ผมว่ามันคุ้มเกินคุ้มเลยนะ”
   มิลเลอร์ คอยล์พูดยืดยาว โดยไม่สนใจอย่างจริงจังว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง และแน่นอนว่าเว่ยจินหยินไม่ได้แสดงความรู้สึกให้เห็นชัดเจนนัก แก้มของเขาเริ่มหมดสีเลือดฝาดแล้ว ดูเหมือนจะตั้งสติได้
   “ก็ได้”
   เว่ยจินหยินตอบสั้นๆ แต่สมองกำลังนึกว่าเขาจะทำหนังสือรายงานความประพฤติของเจ้าตำรวจบ้านี่ยาวกี่หน้ากระดาษดี จบจากงานนี้เขาจะทำให้เจ้านี่กลับมาเหยียบฮ่องกงไม่ได้อีกเลย
   คอยล์รู้ดีว่าเว่ยจินหยินไม่ได้ยินยอมอย่างจริงใจเหมือนที่ปากพูด ในใจคงกำลังแช่งด่าเขาอยู่ไม่ก็คิดอะไรที่ยิ่งกว่านั้น แต่ว่าสำหรับเขา เวลาแบบนี้มันคุ้มค่าที่จะแลก ไม่แน่ว่าชาตินี้ทั้งชาติเขาจะมีโอกาสแบบนี้อีก คอยล์เลื่อนมือขึ้นไปดึงเสื้อสูทของเว่ยจินหยินออกอีกครั้ง คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยขยับแขน ยอมให้อีกฝ่ายดึงเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มออกจากตัว โยนพาดกับเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง
   “เมื่อไหร่จะเล่า?”
   เว่ยจินหยินเอ่ยปากถามเมื่อเห็นว่าคอยล์ดูจะสนใจกับการดึงเน็คไทเขาออกมมากกว่าที่จะเล่าเรื่อง ตำรวจหนุ่มหัวเราะเขินๆ
   “แหม ผมกำลังคิดอยู่นี่ครับว่าจะดึงให้หลุดหรือดึงแค่พอลอดหัวคุณได้ดี”
   “ฉันผูกเน็คไทเป็น”
   เว่ยจินหยินว่า และนึกสงสัยตัวเองที่ตอบคำถามงี่เง่านี้ออกไป คอยล์พยักหน้า และดึงเน็คไทสีขาวพิมพ์ลายสีครีมออก มันลื่นไหลออกจากคอเสื้อเชิ้ตของเว่ยจินหยินเหมือนงูตัวหนึ่ง เขาโดยมันลงไปบนเสื้อสูทที่พาดอยู่ก่อนหน้า
   “วันนี้ผมไปที่โกดังสิบสามมา”
   คอยล์เอ่ย เขาเพิ่งปลดกระดุมเม็ดแรกบนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนของเว่ยจินหยินออก ผู้ฟังพยักหน้า ตอนนี้เขาต้องแยกประสาทอย่างหนัก เพื่อรับฟังเรื่องที่มิลเลอร์ คอยล์เล่า และรับมือกับการถูกถอดเสื้อโดยคนไม่รู้จัก  อย่างหลังนี่ดูเหมือนจะต้องใช้สมาธิกับมันมากจริงๆ
   เว่ยจินหยินคิดว่าคงไม่มีใครในโลกทนให้คนอื่นถอดเสื้อตัวเองออกเฉยๆ โดยไม่รู้สึกอะไร และตัวเขาเองก็เป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ซึ่งกำลังถูกถอดเสื้อโดยคนที่ไม่รู้จัก ความรู้สึกนั้นจะกระอักกระอวนแค่ไหนคงไม่ต้องบรรยายให้ยุ่งยาก แค่ทำใจให้วางมืออยู่นิ่งๆ โดยไม่ยกขึ้นปัดออกก็ยากลำบากมากพอแล้ว ยิ่งคอยล์ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกลึกเท่าไหร่ มือของเขายิ่งกำแน่นลงไปบนที่เท้าแขนเก้าอี้มากขึ้น เว่ยจินหยินจำต้องจินตนาการถึงมือคู่ที่คุ้นเคยซึ่งครั้งหนึ่งเคยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา
   คอยล์หยุดเล่าเรื่องไปพักหนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองใบหน้าของเว่ยจินหยินซึ่งยามนี้หลับตาพริ้ม เหมือนคุณชายคนนี้จะทนไม่ได้ที่ถูกใครคนอื่นที่ไม่คุ้นเคยมาถอดเสื้อผ้าให้ คงจะพยายามคิดอะไรเพื่อหลบเลี่ยงอยู่แน่ๆ ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่น สงสัยจริงๆ ว่าตอนนี้ในดวงตาที่หลับนั่นกำลังจินตนาการถึงใคร จินตนาการถึงคนอื่นที่สามารถเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออกโดยไม่กระอักกระอวนใจหรือเปล่า
   ตำรวจหนุ่มผละจากกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้าย สอดมือเข้าไปในอกเสื้อเชิ้ตซึ่งแบะอ้าออกจนเห็นแผงอกเปลือยเปล่า ผิวของเว่ยจินหยินเรียบลื่นเหมือนผ้าแพรเนื้อดี ผิวของคนที่ไม่เคยตกระกำลำบากอะไรเลย
   “อ๊า!!”
   เว่ยจินหยินร้องเสียงแปลก นัยน์ตาสีดำลืมโพล่งขึ้นอย่างตกใจ พร้อมกันกับมือที่ยื่นมาปัดมือข้างนั้นของคอยล์ออก ก่อนจะรวบเสื้อเชิ้ตที่แบะอ้าออกปิดแผ่นอกขาวเนียนไว้ มิลเลอร์ คอยล์อ้าปากค้าง ไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้เขายังนึกหาคำแก้ตัวแบบโง่ๆ เช่นมือลื่น หากว่าเว่ยจินหยินเกิดถามว่าทำไมเขาถึงล้วงมือเข้าไป แต่ตอนนี้ทั้งใบหน้าแดงก่ำ แววตาที่ตื่นตระหนก เหมือนถูกจับได้ว่าทำความผิด จังหวะหายใจถี่กระชั้น ริมฝีปากสีชมพูที่สั่นระริก เรือนร่างที่ต้องปกปิดเอาไว้ ถ้าไม่เข้าใจผิดไปเอง สิ่งสุดท้ายที่เขาสัมผัสก่อนที่เว่ยจินหยินจะร้องออกมาคือยอดอกที่กำลังตั้งชัน
   ริมฝีปากของคอยล์เอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาอย่างไร้เสียง หลังจากนั้นอีกหลายคำ เสียงพูดถึงจะเล็ดลอดออกมา
   “คิดถึงใคร คุณคิดถึงใครอยู่?”
   พลางโน้มตัวเหนือร่างที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีตื่นตระหนก
   “ปะ เปล่า..ฉัน ไม่..”
   เว่ยจินหยินตอบตะกุกตะกัก ผิดกับทุกทีที่ผ่านมา เขากำลังตกใจ ไม่ใช่เรื่องมือของคอยล์ที่เลื่อนเข้ามาสัมผัสร่างกายของเขา แต่เป็นเรื่องที่เขากำลังจินตนาการถึงต่างหาก ทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น  มันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่สิ เขาไม่ใช่คนที่จะคิดอะไรแบบนั้น
   “หลับตา คุณชายเว่ย”
   คอยล์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด เหมือนสั่งและขอร้องไปพร้อมกัน เขาหรี่ตามองร่างที่ยังกอดอกแน่นด้วยแววตาแห่งความปรารถนาที่ไม่อาจสะกดเอาไว้ได้
   “หลับตา แล้วคิดถึงใครที่คุณคิดอยู่ ได้โปรด...”
   ใบหน้าของคอยล์โน้มเข้ามาใกล้ จนเว่ยจินหยินที่ไม่คิดหลับตาก็คงต้องหลับตาลงแล้ว ริมฝีปากหนาหนักบดขยี้ลงบนริมฝีปากของเขา พร้อมด้วยปลายลิ้นที่รุกไล่เข้ามาอย่างกระหาย เว่ยจินหยินผงะร่างด้วยความตกใจ แล้วก็เหมือนกดเล่นเทปจากที่หยุดเอาไว้ สิ่งที่เขาจินตนาการค้างคาอยู่เมื่อครู่พร่างพรูออกมาจากห้วงความคิด
   คอยล์ค้ำมือลงไปบนที่เท้าแขนเก้าอี้ และรู้สึกถึงมือของเว่ยจินหยินที่เกาะกุมเอาไว้ ปลายเล็บแหลมจิกเข้าไปในแขนเสื้อ ร่างนั้นบีบลำแขนของเขาอย่างลืมตัวในทุกครั้งที่ถูกปลายลิ้นรุกไล่ ปฏิกิริยาตอบสนองของเว่ยจินหยินทั้งเขินอายทั้งหวาดหวั่น แต่นั่นก็เต็มไปด้วยความต้องการเช่นกัน
   ร่างแกร่งเลื่อนมือจากที่เท้าแขน หนีการเกาะกุมนั้นลงไปยังปั้นเอวของอีกฝ่าย ก่อนจะรวบร่างที่อ่อนยวบจากเก้าอี้ขึ้นวางบนโต๊ะ ผละจากริมฝีปาก โลมเลียลงไปยังใบหู เลื่อนต่ำไปยังซอกคอ เสียงครางแสนหวานหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากที่เพิ่งเป็นอิสระของเว่ยจินหยิน มันแผ่วเบา สั่นไหว และแหบพร่า เต็มไปด้วยเพลิงปรารถนาจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากของผู้ชายที่แสนยโสคนนั้น คอยล์กระชากเสื้อเชิ้ตที่ปลดเปลื้องกระดุมแล้วออก ไล้นิ้วไปยังปลายยอดสีชมพูที่ตื่นตัวท้าทายการสัมผัส มือของเว่ยจินหยินคว้าไหล่เขาแน่น จิกเล็บลงไปจนรู้สึกเจ็บแปลบ
   “อาซาน...”
   เสียงกระซิบเรียกชื่อพร่ามัวนั้น ทำให้คอยล์ถึงกับชะงัก อารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านพลันสลายหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน เขายืดตัวขึ้น มองดูร่างบางที่นอนอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนเว่ยจินหยินเองก็จะรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน เขารวบเสื้อที่กองอยู่ที่ข้อศอกมาปิดช่วงตัวที่เปลือยเปล่า พวงแก้มแดงซ่านบ่งบอกถึงอารมณ์ก่อนหน้านี้ ใบหน้าที่เบือนไปทางอื่นพร้อมกับริมฝีปากได้รูปที่ถูกขบลึกด้วยฟันซี่เล็กๆ ในปากที่เพิ่งถูกรุกไล่นั่น แว่นตากรอบทองเลื่อนหลุดไปจากตำแหน่งที่มันควรจะอยู่ ผมเผ้าซึ่งเคยเรียบร้อยบัดนี้หลุดลุ่ยลงมาปรกหน้า เว่ยจินหยินในยามนี้ช่างดูยั่วยวนเสียยิ่งกว่าก่อนหน้าเสียอีก เสียแต่คอยล์ไม่มีอารมณ์แบบนั้นหลงเหลือพอที่จะจุดไฟกำหนัดของตัวเองขึ้นมาได้อีกแล้ว แม้เขาจะพอเดาได้ว่าเว่ยจินหยินจินตนการถึงใครตอนถูกเขากอด แต่เมื่ออีกฝ่ายถึงกับครางชื่อนั้นออกมา เขาก็หมดความอดทน
   มันแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าคนที่เว่ยจินหยินยอมให้กอดไม่ใช่เขา แต่เป็นผู้ชายคนนั้นต่างหาก ที่ยอมให้เขากอดก็เพียงเพราะคิดถึงผู้ชายคนนั้น และเถียนซานไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่เขาจะเกลียดได้
   เว่ยจินหยินยันตัวขึ้นนั่ง เขาเลื่อนแว่นตาให้เข้าที่ ดึงเสื้อขึ้นมาปกปิดเรือนร่างของตน ปัดปอยผมให้พ้นจากใบหน้า ดวงตาสีดำราวกับสุนัขจิ้งจอกกำลังกลับคืนสู่ความเย็นชาอย่างที่มันควรจะเป็น ถึงอย่างนั้น บางส่วนยังคงสั่นระริกอยู่
   คอยล์ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เขาจะบอกส่วนสำคัญที่สุดที่เป็นสาเหตุทำให้เขาถ่อมาหาเว่ยจินหยินและฟังการประชุมอันน่าคลื่นเหียนนั่นเสียที
   “คืนวันนี้สี่ทุ่ม ที่ชายน้ำ ผมจะรอคุณ กับภารกิจสุดท้าย แค่คุณคนเดียว”
   เสียงกระซิบแผ่วเบาผ่านเขาไปในโสตประสาทของเว่ยจินหยิน คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยพยักหน้า พริ้มนัยน์ตาลง คอยล์หม่อมองเรือนร่างที่ห่อหุ้มไปด้วยเสื้อผ้ายับย่น กับผมเฝ้ายุ่งเหยิงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อสูทที่พาดอยู่มาให้
   “คุณต้องแต่งตัวใหม่”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า เขารับเสื้อสูทมาอย่างเงียบๆ และเริ่มติดกระดุมเสื้อของตัวเอง ไม่นาน เขาก็กลับสู่สภาพอย่างที่ควรจะเป็น แต่ร่องรอยบางอย่างไม่อาจจะปกปิดไว้ไว้ ผมที่เสียทรงไปแล้ว เสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ คอยล์มองดูมันอย่างซึมเซา เขานึกไม่ออกว่าจะแก้ตัวกับบรรดาลูกน้องที่ยืนเฝ้าหน้าห้องว่าอย่างไร กับสภาพที่เกิดขึ้นกับเจ้านายของพวกเขา
   เว่ยจินหยินไม่เอ่ยอะไร เขาลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาแก้วหนึ่ง ราดลงบนเสื้อของตัวเอง และออกคำสั่งเสียงเรียบๆ
   “ไปเอาเสื้อตัวใหม่มาให้ฉัน”
   คอยล์พยักหน้าทันที ก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง เว่ยจินหยินถอนหายใจยาว รำพึงกับตัวเอง
   นี่เขาพยายามเล่นไพ่แต้มต่ำมากจนเกินไปหรือเปล่า.....

-------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2011 10:41:29 โดย juon »

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
ตกลงว่ามิลเลอร์โดนส่งมาทำอะไรเนี่ย...

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
งานว่ายากแล้ว

อาจจะยังไม่ยากเท่าการพิชิตหัวใจเจ้านายที่มีพี่เลี้ยงเก่าอยู่ในนั้น

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
ภารกิจสุดท้าย...ทำตัวเป็นนกสองหัว แต่ท้ายสุดจะยืนอยู่ฝั่งไหนเพื่อห้ำหั่นอีกฝ่ายล่ะมิลเลอร์

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog

ตอนที่3 เกมกดดันของสุนัขจิ้งจอก

   อากาศยามค่ำคืนบริเวณอ่าวฮ่องกงไม่ได้เลวร้ายนัก อย่างน้อยถ้ามันจะหนาว ก็คงไม่สู้ที่อังกฤษ แต่ตอนนี้มิลเลอร์ คอยล์ กำลังห่อตัวด้วยความหนาวเหน็บ เขายืนตรงนี้มากว่าชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่เห็นวี่แววของใครสักคนเลย สายลมยามดึกสงัดพัดวูบมาเป็นระยะๆ พัดปอยผมสีน้ำตาลไล้ไปตามใบหน้าได้รูป ชายหนุ่มหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด แสงจากไฟแช็คสว่างวาบขึ้นและดับลง พร้อมด้วยควันสีขาวที่ปลิวไปในอากาศ เขาสูบมันเป็นมวนที่สามแล้ว ลมทะเลทำให้บุหรี่ไหม้ไวกว่าที่ควรจะเป็น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่ควรจะมา
   อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะเที่ยงคืน ถ้าเว่ยจินหยินยังไม่มา ทุกอย่างก็จบ  คอยล์ไม่อยากคิดถึงจุดนั้น เขาไม่อยากนึกภาพว่าน้ำเต้าจะทำอะไรบ้าง และไม่อยากนึกภาพกว่ากรมตำรวจอังกฤษจะมีมาตรการจัดการกับเขาอย่างไร แสงไฟที่ปลายบุหรี่สว่างวาบ หรือว่าเว่ยจินหยินจะเปลี่ยนใจ หรือแผนการไม่ได้ผล?
   “เป็นสิงห์อมควันหรือไง มิลเลอร์?”
   เสียงทักทำเอาคอยล์สะดุ้งเฮือก จนแทบปล่อยบุหรี่หลุดมือ เว่ยจินหยินอยู่ตรงหน้าเขา ท่าทางเสียงลมทะเลจะแรงไปหน่อยเลยไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าตอนที่ก้าวเข้ามา ชายวัยสามสิบเศษคนนี้อยู่ในสภาพไม่ต่างจากเมื่อกลางวันมากนัก ยกเว้นผมที่เรียบแปล้ สงสัยว่าเขาจะอาบน้ำใหม่ก่อนมา
   “มาคนเดียวหรือครับ?”
   คอยล์ถามพลางมองฝ่าความมืดด้านหลังของเว่ยจินหยิน ผู้ถูกถามยักไหล่อย่างที่ไม่ค่อยเห็นนักในยามปกติ นอกจากเครื่องแต่งกายที่เหลือแค่เสื้อเชิ้ตปกติกับกางเกงสแล็กพร้อมสายคาด กับปืนพกกระบอกหนึ่งที่คาดอยู่ที่ปั้นเอวแล้ว ท่าทางของเว่ยจินหยินดูจะผ่อนคลายขึ้นด้วย
   “นายเห็นใครตามหลังฉันมาไหมล่ะ”
   เขากล่าว และดึงบุหรี่ในมือของอีกฝ่ายจรดเข้ากับริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะพ่นควันสีขาวออกมา รอยยิ้มพริ้มพรายในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏขึ้นบนริมฝีปากงามนั้น นัยน์ตาสีดำจับจ้องมาทางผู้ที่ยืนรอราวกับจะถามความแน่ใจบางอย่าง มิลเลอร์ คอยล์ฝืนยิ้มตอบ ดูเหมือนเว่ยจินหยินจะมาในรูปแบบที่ต่างออกไปจากสองวันก่อนอย่างสิ้นเชิง รูปแบบที่ใกล้เคียงกับสุนัขจิ้งจอก
   “ไปกันได้แล้ว”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยกล่าว ดีดบุหรี่ทิ้งลงบนพื้นที่ชื้นแฉะเพราะลมทะเล ใช้เท้าขยี้มันเบาๆ คอยล์พยักหน้า เดินนำออกไป

------------------------------------------------
   เสียงประตูเหล็กหนาหนักครูดกับพื้นซีเมนต์ชวนให้แสบแก้วหู เว่ยจินหยินก้าวเท้าเข้ามาในโกดังที่แทบจะมืดสนิท แสงสว่างจากสปอตไลท์ท่าเรือดวงใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปส่องลอดช่องเปิดของประตูทาบทาให้เห็นเงาของตัวเองทอดยาวเข้าไปในความมืดที่ไม่อาจมองเห็นนั้น เสียงครูดดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อคอยล์ออกแรงปิดประตู ตอนนี้เว่ยจินหยินยืนอยู่ในความมืดอย่างแท้จริง เขาได้กลิ่นควันบุหรี่จางๆ แต่ไม่ใช่จากคนที่อยู่ด้านหลังเขา
   “มาจนได้รึ? คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ย คุณจินหยิน..ไม่สิ ถ้าจะเรียกให้ตรงตัวกว่านั้น ไอ้คุณสุนัขจิ้งจอก”
   มุมปากของเว่ยจินหยินปรากฏรอยยิ้มที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้
   “ไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้นายคิดฉายาให้ฉันด้วย  ไม่โผล่หน้าออกมาเจอกันหน่อยล่ะ มิคาเอล ลอว์ หรือจะให้เรียกว่าน้ำเต้าดี?”
   “รู้ตัวไวสมเป็นนาย”
   เสียงเดิมเอ่ยขึ้น แสงสว่างจากหลอดไฟฮาโลเจนเก่าๆ ที่แขวนห้อยลงมาจากคานเพดานซึ่งมีสนิมกัดกินเป็นบางส่วนสว่างวาบ เว่ยจินหยินหรี่ตาลง ชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากเงามืด เขาเป็นชายร่างเล็ก สูงราวๆ ร้อยหกสิบเกือบร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ผมหยักโสกสีบล็อนด์ ผิวขาวราวหยวกถูกแสงสีแดงจากหลอดฮาโลเจนอาบทาจนกลายเป็นสีส้มอ่อน เค้าหน้างดงามราวรูปปั้นเทพบุตรกรีกโบราณ เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดคือเต่าที่ถูกแสงไฟย้อมทาจนกลายเป็นสีน้ำตาล กับกางเกงสีเดียวกัน มิคาเอล ลอว์ หรือน้ำเต้า แสยะยิ้มให้ผู้มาเยือน
   “ยินดีต้อนรับสู่โกดังสิบสาม จินหยิน ดูเหมือนเราจะไม่เจอกันนานมาก”
   “อ้อ...ใช่...ตั้งแต่สมัยเรียนที่อังกฤษแล้ว ความจริงฉันเองก็อยากเจอนายมาโดยตลอด”
   เว่ยจินหยินกล่าว ยิ้มตอบให้เจ้าถิ่น รอยยิ้มของมิคาเอลยิ่งแสยะออกมากขึ้น
   “นายคงไม่ได้ถ่อมาถึงนี่เพื่อระลึกอดีตหรอกนะ”
   หนุ่มสวมแว่นหัวเราะ เว่ยจินหยินหัวเราะได้น่ามองจริงๆ แต่ในเวลานี้ดูจะผิดกาลเทศะไปหน่อย
   “ก็อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอก แต่นายคงไม่เชื่อ ดังนั้นฉันควรจะพูดว่า ฉันมาเพื่อจะเจรจา นายไม่ควรส่งคนเข้าไปแทรกแซงที่ทำงานฉัน”
   มิคาเอลแค่นเสียงขึ้นจมูก และพูดสวนออกมา
   “ยังพูดจาได้วกวนน่ารำคาญเหมือนเดิม นายนี่มันน่าขยะแขยงจริงๆ อะไรทำให้นายคิดว่าฉันส่งคนไปยุ่งย่ามที่ออฟฟิศของนายกันล่ะ?”
   “สายของฉัน อืม..”
   เว่ยจินหยินเว้นระยะไปหน่อยหนึ่ง เขาหันไปมองมิลเลอร์ คอยล์ซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะพูดต่อ
   “และสายของนาย อ่า..ใช่ นายมิลเลอร์นี่เป็นทั้งสายสืบของฉันและสายสืบของนายนี่นะ เขาเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว เรื่องที่นายขู่บังคับให้เขาอ้างหน้าที่เข้าไปในออฟฟิศของฉัน เพื่อแลกกับชีวิตน่ะ”
   “เหรอ...”
   มิคาเอล ลอว์ ลากเสียงยาว แต่สีหน้ายังคงแย้มยิ้มอยู่ ความจริงรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรเลย ออกแนวน่ามองด้วยซ้ำ เสียแต่ทั้งเขาและเว่ยจินหยินยิ้มแบบนี้ออกมาในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยจะเหมาะนัก
   “ฉันก็กังวลอยู่ว่านายคงจะไม่ยอมหลงกลง่ายๆ เพราะไอ้ข้ออ้างที่เขาใช้เข้าไปในแก๊งค์ของนายมันดูไม่เข้าท่าเสียเหลือเกิน ฉันเลยคิดข้ออ้างเพิ่มให้ กะอีแค่เอาคนทรยศบางคนโยนลงอ่าวน่ะ นายเองก็ไม่คิดว่าเป็นการลงทุนที่มากเกินไปใช่ไหมล่ะ?”
   “ก็สมเป็นนายดี”
   เว่ยจินหยินตอบ และกล่าวต่อ
   “ความจริงลำพังหัวสมองของนายก็น่าจะไต่ลำดับขึ้นเป็นไฮท์ได้เองโดยไม่ต้องใช้ร่างกายเข้าแลกนี่ ทำไมนายถึงไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยเสียที”
   นัยน์ตาของมิคาเอลหรี่เล็กลงทันที เขากล่าวเสียงเยียบเย็น
   “มิลเลอร์ ถ้านายยังปล่อยให้ไอ้หมอนี่พูดออกมาอีกสักคำพูดเดียว ฉันจะถือว่านายทรยศ!!”
   “อา...แบบนั้นผมก็แย่น่ะสิ”
   มิลเลอร์ คอยล์พูดออกมา เว่ยจินหยินหันหลังกลับไปทันที แต่ดูเหมือนจะรู้ตัวช้าไปหน่อย คอยล์เตะใส่ขาพับของเขาและอาศัยจังหวะที่เสียหลักกระแทกร่างของเว่ยจินหยินจนร่วงลงไปกองกับพื้น
   “ขอโทษนะครับ พอดีผมไม่อยากกลายเป็นคนทรยศ อืม...พูดให้ตรงกว่านั้น เขาจ่ายให้ผมมากกว่าคุณ”
   “.....”
   เว่ยจินหยินพูดไม่ออก เพราะหน้าโดนกดอยู่กับพื้น เขารู้สึกถึงพื้นซีเมนต์หยาบๆ ที่ทั้งแข็งและเย็นยะเยียบ เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา
   “นี่..จินหยิน...ความจริงแล้วฉันเองก็คิดถึงนายและอยากเจอนายมากเหมือนกันนะ”
   มิคาเอลเอ่ย เขาทรุดตัวลงนั่งยองๆ และใช้มือจิกผมของเว่ยจินหยินขึ้นมา
   “แต่ฉันไม่ชอบใจนายเวลาที่ยืนพูดนั่นพูดนี่อย่างกับว่าคนอื่นเขาโง่ไปหมดอย่างนั้น ฉันอยากเจอนายในสภาพที่ดูไม่ได้ อา..ใช่ จินหยิน ฉันอยากเจอนายในสภาพแบบเดียวกับที่นายเคยทำกับฉัน”
   “ฉัน..น่าจะคิดได้ก่อน”
   เว่ยจินหยินเอ่ยอย่างลำบาก รู้สึกเจ็บมากจริงๆ ที่ถูกจิกผม แถมยังต้องเงยค้างแบบนี้อีก มิคาเอลแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี
   “ดีที่นายเพิ่งคิดได้ตอนนี้ ฉันต้องใช้ลูกไม้หลายอย่าง กับคนอย่างนายแผนตื้นๆ คงใช้ไม่ได้ผล นายคิดว่าคุณตำรวจอังกฤษคนนี้เป็นยังไง?”
   “อืม...........มารยาททรามที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา”
   ผู้ที่ร่างกายยังถูกกดแนบอยู่กับพื้นเอ่ยปาก นอกจากจะเจ็บแปลบที่หนังศีรษะแล้วตอนนี้ยังรู้สึกปวดคอและเอวมากขึ้นเรื่อยๆ มิคาเอลหัวเราะ
   “ฉันว่าเขาออกจะมารยาทดี เอาล่ะจินหยิน...นายพอนึกออกไหมว่าเคยทำอะไรกับฉันไว้บ้าง”
   “ถ้าจะให้ฉันบรรยาย...”
   ฝ่ายที่ถูกจิกผมยังคงพยายามพูดต่อ แม้เสียงจะหายไปบ้าง มิลเลอร์ คอยล์ นึกสงสัยว่าเว่ยจินหยินคงไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่ได้พูดออกมา
   “ฉันว่า...นายคงจำได้แม่นกว่าฉัน”
   ในที่สุดคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยก็เลี่ยงที่จะพูดเรื่องในอดีต มิคาเอลจ้องหน้าเขาและหัวเราะอีกครั้ง
   “ฉันควรจะช่วยนายระลึกความหลัง เอาล่ะ เริ่มจากอะไรดี แว่นตาของนายดีไหม ดูนายจะหวงมันมากนี่”
   มือเรียวของมิคาเอลดึงแว่นตากรอบทองที่สวมอยู่บนใบหน้าอีกฝ่ายออก คราวนี้ท่าทีของเว่ยจินหยินดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
   “คืนมา มิกกี้! แล้วฉันจะให้อภัยในสิ่งที่นายทำลงไป”
   อีกฝ่ายจุ๊ปากทันที
   “นี่จินหยิน รู้ตัวรึเปล่าว่าตอนนี้นายอยู่ในฐานะต่อรองอะไรไม่ได้ แว่นนี่ท่าทางจะเป็นของรักของหวงมากงั้นสิ...โอ้ ฉันไม่ยักรู้ว่านายสายตาสั้นขนาดนี้ ฉันเข้าใจล่ะ ถ้าไม่มีมันนายก็คงทำอะไรไม่ได้เลยสินะ งั้นฉันจะทำใกล้ๆ กับตาของนายแล้วกัน”
   มิคาเอลโยนแว่นตาลงบนพื้น ตรงหน้าเว่ยจินหยิน ก่อนจะผุดลุกขึ้นทั้งที่ยังดึงผมอีกฝ่ายเอาไว้ ใช้เท้าขยี้แว่นตาจนแตกละเอียด นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินเบิ่งกว้างจนแทบจะฉีกออกมา
   “มิคาเอล แก!”
   “โอ้...ยอมแสดงอารมณ์ออกมาบ้างแล้วหรือ แกกำลังโกรธใช่ไหมจินหยิน? หน้ากากเทวดาที่แกใส่ฉันจะกระชากมันให้หมด วันนี้แกจะต้องเป็นบ้าต่อหน้าฉัน!”
   “แกต้องการอะไร?”
   เว่ยจินหยินสะกดอารมณ์ขุ่นเคืองอย่างถึงที่สุด มิคาเอลทำหน้าเหมือนได้ฟังเรื่องแปลกประหลาด
   “ต้องการอะไร? นี่แกยังจะถามคำถามแบบนี้กับฉันอีกหรือ? ฉันต้องการให้แกอยู่ในสภาพเดียวกับฉันเมื่อสิบปีก่อน อา...แกคงลืมมันไปหมดแล้ว งั้นเดี๋ยวฉันจะทำให้แกนึกออก”
   มิคาเอลยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เว่ยจินหยินรู้สึกเหมือนถูกกระแทกด้านหลังศีรษะ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง

-----------------------------------------------
   “เฮ้ย! ตื่นได้แล้ว”
   น้ำเสียงที่เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนดังขึ้น เกือบจะพร้อมกับของเหลวรสเค็มที่ถูกสาดเข้ามา หรือจะพูดให้ถูก เว่ยจินหยินได้ยินเสียงตอนที่ถูกสาดนั่นแหละ เขาพยายามจะลืมตาขึ้น แต่ก็ต้องหลับลงอีกรอบ
   “ไงคุณชาย รสชาติของน้ำทะเลในอ่าวฮ่องกง เค็มดีไหม?”
   เสียงนั้นดังขึ้นอีกรอบ เว่ยจินหยินลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากเนื่องจากความเค็มของน้ำทะเล เขาขมวดคิ้ว มองดูเงาคนรางๆ ตรงหน้า ที่จับด้วยแสงไฟสีแดงจากหลอดไฟฮาโลเจน
   “เสียงนั่น..อืม.... สุ่ย...นายเองก็เป็นไปกับเขาด้วยหรือ?”
   “เวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์ถามคำถามธรรมดาแบบนั้นอีก? นี่คุณความรู้สึกช้าหรือว่าโดนทุบจนสมองไม่รับรู้แล้วกันแน่”
   อีกฝ่ายเอ่ยตอบ เว่ยจินหยินขมวดคิ้วอีกรอบ สุ่ยในความทรงจำของเขาเป็นชายหนุ่มวัยราวๆ ยี่สิบสี่ยี่สิบห้าที่เขารับเข้ามาทำงานเมื่อสองสามปีก่อน ดูจะไม่มีจุดเด่นอะไรนัก นอกจากเรื่องขี้เมา อา...น่าจะรู้ได้ตั้งนานแล้วว่าไม่ควรรับคนขี้เมาเข้ามาทำงานด้วย
   “แปลก.. คืนนี้นายไม่ยักจะเมาอยู่นะสุ่ย”
   เสียงคุ้นเคยนั้นหัวเราะอย่างน่าเกลียด
   “เวลาให้ผมเมาหลังจากนี้ยังมีอีกเยอะ จะพูดไปนะคุณชาย คุณนั่นแหละเป็นต้นเหตุให้ผมต้องออกไปเมาทุกวัน”
   “ฉัน?”
   เว่ยจินหยินเอ่ยถามอย่างแปลกใจ อีกฝ่ายพูดต่อ
   “จำลูกน้องคนหนึ่งที่คุณเคยจับโยนทะเลไปเมื่อสี่ปีก่อนได้รึเปล่า? อ้อ..แต่สำหรับคนที่ฆ่าแม้แต่น้องชายตัวเองอย่างคุณคงจำไม่ได้แล้วล่ะ...”
   “ฉันไม่ได้ฆ่าน้องชายตัวเอง!!”
   เว่ยจินหยินว่า และเปลี่ยนใจที่จะพูดเรื่องนี้ต่อ ป่วยการที่เขาจะแก้ตัวเรื่องการตายของน้องชายต่างมารดาสองคนของเขา ในเมื่อแม้แต่พ่อเขาเองก็ยังสงสัยเขาอยู่เหมือนกัน แต่เรื่องของชายที่ถูกเขาจับโยนทะเลเมื่อสี่ปีก่อนนั่น...
   “เย่หมิง...อืม.. ใช่คนที่ชื่อเย่หมิงรึเปล่า?”
   “คุณจำได้..ผมคงต้องพูดใหม่ ดูท่าคุณจะจำคนที่คุณฆ่าไปได้บ้าง”
   “ฉันจำคนที่ฉันฆ่าไม่ได้หรอก แต่ถ้าเป็นคนที่ฆ่าตัวตายต่อหน้าฉันล่ะก็..หมอนั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำ”
   “ฆ่าตัวตาย?”
   สุ่ยร้องเสียงแปลก ก่อนจะตะคอกออกมา
   “ถึงตอนนี้คุณยังพูดชุ่ยๆ แบบนั้นออกมาอีกหรือ คุณเป็นคนบีบให้เขากระโดดลงทะเล คุณฆ่าเขา!!”
   “ฉันไม่ได้ทำอะไร..อุ่ก!!”
   ก่อนที่จะได้พูดจบ ท้องของเขาก็ถูกต่อยอย่างแรง จนเกือบจะต้องขย้อนของเก่าออกมา
   “คนอย่างคุณมันสมควรจะถูกตัดลิ้น!!”
   สุ่ยตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล เขากำหมัดแน่น คิดว่าถ้าคนตรงหน้ายังพูดอะไรออกมาอีก เขาจะต่อยให้พูดไม่ได้เลย
   “นายไม่ควรทำอะไรรุนแรงมากนะ ปลา ฉันเกรงว่าคนที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดีอย่างจินหยิน จะไม่ทนไม้ทนมือขนาดนั้น”
   เสียงของมิคาเอล ลอว์ดังขึ้น เขานั่งอยู่บนลังไม้เก่าๆ ท่าทางสดชื่นดี ด้านหลังมีมิลเลอร์ คอยล์ยืนอยู่
   เว่ยจินหยินถ่มน้ำลายเหนียวหนืดลงไปบนพื้น รู้สึกจุกจนแทบจะหายใจไม่ออก ถูกของมิคาเอล เขาไมได้ลูกเลี้ยงให้ทนทานต่อการกระทำรุนแรงแบบนี้ ชายหนุ่มขยับมือที่เริ่มจะเป็นเหน็บชา และพบว่ามันคงถูกมัดให้ห้อยอยู่เหนือหัวด้วยผ้าหรืออะไรซักอย่างที่นิ่มพอสมควร เลยไม่ได้บาดข้อมืออย่างที่ควรจะเป็น แต่ยังไงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องสบายสำหรับเขาอยู่ดี
   “นี่ จินหยิน นายไม่คิดจะถามหน่อยรึว่าเย่หมิงคนนั้นเป็นอะไรกับคนที่เพิ่งต่อยนายไป?”
   มิคาเอลเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า เว่ยจินหยินขมวดคิ้ว ถมน้ำลายอีกรอบ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่รู้ว่าเพราะจุกจนพูดไม่ออกหรือกลัวจะถูกต่อยซ้ำสอง ดังนั้นฝ่ายที่พูดขึ้นจึงกลายเป็นสุ่ย
   “เขาเป็นพี่ชายผม เผื่อว่าคุณจะยังไม่รู้”
   “เขาไม่รู้หรอก ถ้ารู้คงไม่รับนายเข้าทำงาน”
   มิคาเอลตอบแทนให้ เขาผุดลุกจากลังไม้ เดินเข้ามาใกล้
   “นี่.. จินหยิน สุ่ยเขาไม่ได้ทรยศนายหรอกนะ เขาตั้งใจจะทำแบบนี้อยู่แต่แรกแล้ว นายก็อย่าได้ถือโทษเลยแล้วกัน”
   “เหอะ!”
   เว่ยจินหยินส่งเสียง สีหน้าไม่ยอมรับอย่างที่สุด มิคาเอล ลอว์หัวเราะร่วน
   “ตลกจริงๆ หน้าของนาย  นายเคยพูดแบบนี้กับคนอื่นไม่ใช่หรือ คำพูดน่าคลื่นเหียนของนาย อา..ใช่ ฆ่าตัวตายเอง  นายพูดออกมาได้ยังไงน่ะ?!!”
   ตอนนี้เว่ยจินหยินคิดจริงๆ ว่าเขาอยากจะเตะปากมิคาเอลสักรอบ จนใจที่สภาพตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้ทำ ดังนั้นเขาจึงได้แต่นิ่งเงียบ
   “เงียบแบบนี้ไม่สมเป็นนายเลย.. กำลังคิดอะไรอยู่ รอให้คนมาช่วยหรือ เสียใจด้วยนะคุณชายรอง.. ระหว่างที่นายสลบ ฉันเช็คความเคลื่อนไหวของลูกน้องนายหมดแล้ว ดูเหมือนพวกนั้นจะยังไม่รู้ว่านายหายไป ท่าทางนายจะไว้ใจเหรียญทองของฉันมาก นี่นายเชื่อถือตำรวจขนาดนั้นเลยหรือไง?”
   “อืม...ตอนนี้ฉันคงต้องคิดใหม่นิดหน่อย..ตำรวจนอกจากจะมารยาททรามแล้วยังกะล่อนอีกด้วย”
   “แบบนั้นมันไม่ยุติธรรมกับผมไปหน่อยเหรอครับ”
   มิลเลอร์ คอยล์ที่ยืนเงียบอยู่พูดขึ้นในที่สุด เขาเดินเข้ามาบ้าง ตอนนี้เลยกลายเป็นทั้งสามคนยืนล้อมเว่ยจินหยินอยู่
   “ผมแค่ทำตามหน้าที่ อืม..หน้าที่ส่วนหนึ่ง ไอ้การหารายได้ระหว่างหน้าที่ก็เป็นส่วนหนึ่ง สำหรับผม ไอ้สองอย่างนี้มันไปกันได้สวยเชียวล่ะ”
   “อ้อ...”
   เว่ยจินหยินลากเสียงยาว อาการจุกเสียดเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ไอ้มือที่ถูกมัดอยู่เหนือศีรษะนี่สิ มันเริ่มชาน่าดู
   “แล้วพวกนายคิดจะทำยังไงกันต่อล่ะ? หรือไม่รู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉันล่ะก็ตระกูลเว่ยคงไม่อยู่เฉยๆ แน่”
   “เรื่องนั้นใครๆ เขาก็รู้กันน่า จินหยิน ไม่ต้องพูดหรอก”
   มิคาเอลปราม กลอกตามองอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนและพูดต่อ
   “แต่ถ้าเรื่องมันกลายเป็น นายฆ่าตัวตายเองขึ้นมาล่ะ? อา.. ใช่ นายฟังไม่ผิดหรอก ฉันคิดว่านายจะฆ่าตัวตาย”
   นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินเบิ่งค้างอย่างตระหนก มิคาเอลหัวเราะ
   “ตกใจหรือ นายนึกไม่ออกสินะว่านายจะฆ่าตัวตายได้ยังไง แต่ทำไมนายถึงพูดแบบนั้นกับคนอื่นได้หน้าตาเฉยเลยนะ ฉันจะอธิบายให้นายฟังก็ได้ คุณชายที่สะอาดสะอ้านอย่างนายจะทนเรื่องสกปรกได้แค่ไหนกันเชียว โดยเฉพาะเรื่องรักร่วมเพศที่นายเกลียดหนักหนา..”
   “มิคาเอล!!”
   เว่ยจินหยินตวาดออกมาทันที นัยน์ตาสีดำสั่นระริก เสียงเดิมพูดต่อ
   “ไม่รู้สึกหรือว่าพักนี้นายดูสนิทกับตำรวจที่ชื่อมิลเลอร์ คอยล์มากเกินไป ไม่ได้ยินเสียงลูกน้องของนายพูดกันรึ จริงสินะ ปกตินายมักจะพูดอยู่ฝ่ายเดียวนี่ นายให้ตำรวจคนนี้นอนด้วย แล้วก็เข้าห้องประชุมไปสองต่อสอง แถมยังต้องเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในนั้นอีก พวกนายทำอะไรกัน? บอกฉันได้รึเปล่า หืม? ว่าไง?”
   มิลเลอร์ คอยล์คิดว่าถ้าเว่ยจินหยินไม่ถูกมัดอยู่ คนที่น่าจะถูกชกคนแรกน่าจะเป็นเขา ดูจากนัยน์ตาที่จ้องมาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อนั่นแล้วก็อดกลืนน้ำลายด้วยความสยดสยองไม่ได้
   “ถึงนายไม่บอก ฉันก็พอจะเดาเอาได้ คนอื่นๆ ก็พอจะเดาเอาได้ นายแอบมั่วกับตำรวจที่เป็นคนนอก แล้วก็หนีตามกันออกมา พอถูกจับได้ นายก็อับอายจนต้องกระโดดทะเลฆ่าตัวตาย คิดว่าพล็อตนี้เป็นไง?”
   “ห่วยแตกที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา”
   เว่ยจินหยินตอบทันที เขาพยายามปิดมือให้หลุดออกจากเครื่องพันธนาการ มิคาเอลหัวเราะร่วน
   “อา..ฉันก็ว่างั้น แต่ฉันคิดว่าคนอย่างนายควรจะอยู่ในพล็อตห่วยๆ แบบนี้บ้าง เหมือนที่นายเคยทำกับฉัน”
   “ฉันว่าเรื่องเมื่อสิบปีก่อนมันดีกว่านี้!”
   เว่ยจินหยินกระชากเสียงตอบ เขาจ้องมิคาเอลเขม็ง อีกฝ่ายโบกมือทันที
   “ไม่หรอกจินหยิน... เดี๋ยวนายจะรู้ว่าที่ฉันทำมันดีกว่า นายยังไม่เคยสินะ กับเรื่องพรรค์นี้ ต่อให้นายเชื่อถือเหรียญทองขนาดไหน แต่เรื่องจะมีเซ็กซ์กันให้ตายนายคงไม่ยอมง่ายๆ แน่ จริงไหม? ไหนลองตีสีหน้าเทวดาของนายแล้วพูดสิว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
   เว่ยจินหยินไม่พูด เขาเบือนหน้าไปทางอื่นเป็นครั้งแรก เสียงหัวเราะของมิคาเอลยิ่งดังแหลมมากขึ้น ราวกับจะใช้เสียงหัวเราะนั้นต่างหอกดาบเสียดแทงเข้าไปในจิตใจของผู้ฟัง
   “นายหลบตาฉัน อา..ครั้งแรกเลยที่เห็นนายทำหน้าแบบนั้น อยากจะเห็นจริงๆ สีหน้านายตอนที่ถูกผู้ชายทำ ฮ่ะๆ อย่าปิดบังเลยจินหยิน นายชอบผู้ชายแน่ๆ อย่างน้อยก็ลูกน้องคนนั้นของนาย อา..คนที่ไปเยี่ยมนายบ่อยๆ ตอนอยู่อังกฤษไง ชื่อเถียนซานหรืออะไรซักอย่างใช่ไหม? ตอนนี้เขาไม่ได้ทำงานกับนายแล้วนี่นะ..นายกลัวเขาจะรู้ว่านายคิดสกปรกกับเขาล่ะสิ?”
   “หุบปากของแกไปเลย!!”
   เว่ยจินหยินตะคอกออกมาอีก นั่นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของมิคาเอล ลอว์กว้างขึ้นอีก
   “แทงใจดำหรือ? แปลว่าฉันเดาถูกสินะ แหม..นายเองก็ขี้อายกว่าที่คิด เอาล่ะเห็นแก่สีหน้าที่นายอุตส่าห์แสดงออกมา ฉันจะช่วยนายนิดหน่อย ให้นายรู้สึกดีขึ้นตอนทำเรื่องอย่างว่ากับคนที่ไม่ได้ชอบ”
   มิลเลอร์ คอยล์ที่เดินออกไปจากวงสนทนาเมื่อไหร่ไม่รู้ เดินกลับมาพร้อมด้วยเข็มฉีดยาที่บรรจุของเหลวบางอย่าง นัยน์ตาของเว่ยจินหยินเบิ่งโพลงอีกรอบ
   “!!!!”
   “ยาตัวใหม่ของฉันไงล่ะ...ให้เกียรตินายทดลองเป็นคนแรก ถูกแขวนเอาไว้แบบนี้แขนนายคงชาไปหมดแล้วล่ะ เพราะฉะนั้น อย่าดิ้น ถ้าเข็มมันหักล่ะก็นายจะยิ่งแย่เอานะ วางใจเถอะ ฉันใช้เข็มใหม่”
   “อย่า!! มิกกี้!!”
   เว่ยจินหยินร้องห้ามเสียงหลง เขาพยายามบิดแขนหนีเข็มฉีดยาที่อีกฝ่ายเจาะเข้าไปในตัวของเขา แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก ความเจ็บจี๊ดนั้นช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับความน่ากลัวของสิ่งที่อยู่ในกระบอกฉีด ของเหลวในหลอดถูกส่งเข้าไปในร่างกายเขาอย่างง่ายดาย มิคาเอล ลอว์ ยื่นเข็มฉีดยาคืนให้มิลเลอร์ คอยล์
   “ไม่ต้องทำหน้าตื่นเต้นขนาดนั้น เดี๋ยวนายจะรู้สึกดีกับมัน นายฆ่าตัวตายเพราะติดยาและติดเซ็กซ์ คราวนี้พล็อตฉันดูดีขึ้นมาหน่อยหรือยัง?”
   “ไอ้งี่เง่า!!!”
   เว่ยจินหยินตะคอกอีกรอบ มิลเลอร์ คอยล์คิดว่าต่อให้เป็นคนเย็นชาเก็บอารมณ์ขนาดไหน โดนแบบนี้เข้าไปคงต้องสติแตกกันบ้างล่ะ แต่ดูเหมือนว่าเว่ยจินหยินจะไม่ถนัดในการสบถคำแปลกๆ ก็เลยทำได้แค่ใช้คำด่าพื้นๆ ซึ่งฟังดูสุภาพเกินไปด้วยซ้ำในสถานการณ์แบบนี้ เขาแอบยิ้มนิดหน่อย ส่วนนี้ของเว่ยจินหยินก็น่ารักดีเหมือนกัน
   “นายชอบแบบนี้หรือไง?”
   มิคาเอลหันมาถามคนที่ยืนยิ้มอยู่ คอยล์หัวเราะเขินๆ
   “อาจจะดูแปลก แต่ผมชอบเขานะ โดยเฉพาะตอนนี้”
   นายตำรวจอังกฤษผู้ดูจะเป็นต้นเรื่องทั้งหมดเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี มิคาเอลยักไหล่ และพูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ
   “แปลกคนจริงๆ ฉันไม่คิดว่าจะมีใครชอบคนแบบจินหยินหรอกนะ แต่ก็ดีถ้าอย่างนั้นนายไม่ได้กระอักกระอวนใจอะไรที่จะข่มขืนหมอนี่”
   คอยล์ย่นคิ้ว
   “อย่าใช้คำว่าข่มขืนสิครับ ใช้คำว่ามอบความสุขอะไรแบบนั้นยังจะดูดีกว่า”
   “เอาเหอะ...ตามใจนายแล้วกัน”
   มิคาเอลโบกมือและเดินแยกออกมา มิลเลอร์ คอยล์ขยับไปหยุดยืนตรงหน้าเว่ยจินหยิน ใช้มือเชยใบหน้าที่ก้มอยู่ขึ้น และยิ้มร่า
   “ตอนเจอคุณครั้งแรก ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าคุณจะอยู่ในสภาพแบบนี้ได้”
   เว่ยจินหยินถลึงตาใส่เขา แค่นคำพูดออกมา
   “จำใส่กระโหลกไว้ ไม่ว่านายจะทำอะไรกับฉัน รับรองว่านายกับไอ้เกย์บ้าที่เดินออกไปนั่นไม่ได้ตายดีแน่!!”
   “เขาว่างี้น่ะ คุณน้ำเต้า”
   มิลเลอร์ คอยล์ตะโกนต่อ มิคาเอลยักไหล่
   “งั้นเหรอ อย่างนั้นนายช่วยถ่ายรูปตอนที่เจ้านั่นทำหน้าสุขสมเอาไว้ให้เยอะๆ หน่อยก็แล้วกัน”
   “เขาว่างี้แหละ”
   คอยล์หันมาตอบผู้ที่ถูกมัดห้อยมืออยู่ พร้อมโบกกล้องถ่ายรูปดิจิตอลขนาดเล็กที่เพิ่งล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงไปมา  เว่ยจินหยินถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา ชายหนุ่มใช้มือเช็ดมันออก
   “ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะครับ”
   เขาเก็บกล้อง และก้มลงกระซิบข้างหูของเว่ยจินหยิน
   “เรามาต่อจากตอนกลางวันดีกว่า”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2011 10:42:23 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ริมฝีปากหนาแนบลงบนริมฝีปากที่เม้มแน่น เว่ยจินหยินดูจะขัดขืนเต็มที่ไม่เหมือนคราวที่ผ่านมา ถึงอย่างนั้นมิลเลอร์ คอยล์ก็ดูจะมีความสามารถอยู่เหมือนกัน เขากระทืบลงไปอย่างแรงบนเท้าของเว่ยจินหยิน ทำให้อีกฝ่ายเผลออ้าปากด้วยความตกใจ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นการบุกรุกทางเพศอย่างก้าวร้าวโดยผู้ชาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เว่ยจินหยินไม่เคยเผชิญมาก่อน
มิคาเอล ลอว์นั่งปุลงบนลังไม้ใบเดิม มองดูเหตุการณ์ที่เขาเคยนึกอยากให้เกิดขึ้นกับผู้ชายที่สร้างความอัปยศให้เขาเมื่อสิบปีก่อน
   สุ่ย ถอยหลังหลบออกมา เขารู้สึกโกรธแค้นแทนพี่ชายที่ตายไป แต่ไม่ได้มีรสนิยมวิปริตแบบมิคาเอล  สิ่งที่เขาต้องการเห็นคือบทลงโทษอันสาสมที่จะมีต่อผู้ชายที่ทำให้พี่ชายของเขาต้องตาย นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เขาอดทนทำงานให้เว่ยจินหยินมาจนถึงตอนนี้
   ถ้าจะให้วิจารณ์ มิลเลอร์ คอยล์เองก็จูบเก่งเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะนึกชื่นชมเรื่องแบบนั้น เว่ยจินหยินพยายามจะขัดขืนเต็มที่ เขาไม่ได้รู้สึกดีนักที่โดนผู้ชายด้วยกันจูบ ตรงกันข้ามกลับรู้สึกขยะแขยงด้วยซ้ำ แต่จนใจด้วยเรียวลิ้นที่พัวพันเข้ามานั้นช่างชำนิชำนาญเสียจนไม่สามารถหาจังหวะงับฟันลงไปได้เลย แค่พยายามจะถอยหนีในสภาพที่ถูกมัดมือห้อยเอาไวแบบนี้ก็ลำบากมากแล้ว ถึงอย่างนั้นมิลเลอร์ คอยล์ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจนัก
   “คุณน่าจะขัดขืนให้น้อยลงหน่อย”
   เขาก้มลงกระซิบที่ข้างหู เป็นครั้งแรกที่เว่ยจินหยินมีโอกาสได้หายใจเต็มปอด เขาหอบอยู่พักใหญ่ และนึกสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้เจ้าบ้านี่จูบอีกเป็นรอบที่สาม
   “ว่ายังไงล่ะครับ คุณชาย?”
   คอยล์เอ่ยถาม และรวบร่างที่ถูกพันธนาการตรงหน้าเข้ามาแนบตัว เว่ยจินหยินถลึงตาใส่แทนคำตอบ นั่นทำให้อีกฝ่ายถอนหายใจพลางสั่นศีรษะ
   “คุณไม่ควรจะดื้อมาก จริงๆ นะ ถ้ายังไม่ทำตัวน่ารักล่ะก็ ผมจะจับคุณถอดกางเกงแล้วยัดเข้าไปตอนนี้เลย คงจะพอเดาออกนะว่าจะเจ็บขนาดไหน”
   “นาย!!”
   เว่ยจินหยินโพล่งออกมาและสะดุ้งเมื่อตะโพกของเขาถูกมือแกร่งทั้งสองข้างทั้งบีบและลูบคลำอย่างก้าวร้าวหยาบคาย ริมฝีปากได้รูปส่งเสียงตวาดออกมาอีกครั้ง
   “เอามือออกไป!!”
   “ผมจะถอดกางเกงคุณออก แล้วขยี้ก้นคุณตรงๆ เลย ถ้าคุณยังดื้อด้านอยู่แบบนี้”
   ตำรวจหนุ่มกระซิบด้วยน้ำเสียงแสดงถึงการข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด เว่ยจินหยินเบิ่งตามองด้วยความตระหนก มิลเลอร์ คอยล์ไม่พูดซ้ำเป็นรอบที่สาม เขาจัดแจงปลดตะขอและรูดซิปกางเกงของเว่ยจินหยินออก นั่นทำให้อีกฝ่ายละล่ำละลักพูดออกมาทันที
   “เดี๋ยว!!”
   คอยล์หันมายิ้มอย่างผู้ได้รับชัยชนะ เขากระซิบข้างหูเว่ยจินหยินอีกรอบ
   “ยอมแล้วหรือครับ?”
   อีกฝ่ายไม่ตอบ ได้แต่ขบริมฝีปากตัวเอง ร่างแกร่งละมือจากกางเกง เลื่อนขึ้นมาจับใบหน้าที่ยินยอมให้จับแต่โดยดี ก่อนจะจูบลงไปอีกครั้ง คราวนี้เว่ยจินหยินโอนอ่อนให้โดยง่าย คอยล์รุกไล่เรียวลิ้นของอีกฝ่ายที่พยายามจะหลบหนีมากกว่าต่อต้าน มันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น เหมือนการได้ไล่ต้อนสัตว์ร้ายที่ถูกถอดเขี้ยวเล็บออกจนหมด เล่นกับอันตรายแบบปลอดภัยอยู่นิดหน่อย สำหรับกรณีของเว่ยจินหยินก็คงแค่ในตอนนี้เท่านั้น
   มันเป็นสภาวะที่ยากจะทนสำหรับเว่ยจินหยิน นี่เป็นการถูกละเมิดครั้งร้ายแรงที่สุดในชีวิตของเขา ตลอดเวลาสามสิบสองปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครบังอาจทำกับเขาขนาดนี้มาก่อน แถมยังเป็นผู้ชายอีก แต่ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ทำให้ไม่สามารถต่อต้านอะไรได้มากนัก
   คอยล์ถอนริมฝีปากออก มองดูร่างของผู้พ่ายแพ้ในอ้อมกอด สีหน้าของเว่ยจินหยินเหมือนคนใกล้จะร้องไห้ ทำให้อดรู้สึกสงสารไม่ได้ เขาก้มลงกระซิบที่ข้างหู
   “ถ้าทนไม่ได้ขนาดนี้ล่ะก็ ผมอนุญาตให้คุณจิตนาการถึงคนอื่นได้นะ”
   เสี้ยววินาทีนั้นดวงตาสีดำของเว่ยจินหยินเบิ่งโพลง พร้อมกับพวงแก้มที่กลายเป็นสีแดงเรื่อ ร่างบางขยับปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนเป็นเบือนหน้าหนีแทน คอยล์ถอนหายใจ และยิ้มบางๆ ก่อนจะตะโกนเรียกผู้สมรู้ร่วมคิด
   “เฮ้! ปลา ช่วยปลดไอ้เชือกที่ผูกผ้านี่ออกทีสิ ผมไม่อยากทำกับเขาทั้งๆ ที่ยืนอยู่น่ะ”
   มิคาเอล ลอว์พยักหน้าเป็นเชิญอนุญาตกับคำขอนั้น สุ่ยถึงได้เดินไปปลดเชือกที่ผูกโยงข้ามคานเหล็กผุๆ ไปยังเสาต้นหนึ่งออก แขนที่ยังถูกมัดรวบอยู่ทั้งสองข้างของเว่ยจินหยินตกลงมาโอบรอบคอของคอยล์เหมือนตั้งใจ ตำรวจหนุ่มรวบร่างของคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยไว้ในอ้อมกอด และกดลงบนพื้น โดยใช้แขนข้างหนึ่งรองศีรษะอีกฝ่ายเอาไว้ สีหน้าของเว่ยจินหยินนั้นแตกตื่นตกใจเหมือนคนได้เจอสัตว์ประหลาดบนเตียงนอนเลยทีเดียว จนต้องละล่ำละลักออกมา
   “ไหนนายบอกว่าจะไม่ทำอะไรไง!!?”
   “ผมพูดเมื่อไหร่ล่ะครับว่าจะไม่ทำอะไร”
   คอยล์พูดพร้อมกับยิ้มร่า ใช้มือข้างหนึ่งปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเว่ยจินหยินออกอย่างชำนาญ และพูดต่อ
   “ผมแค่บอกว่าถ้าคุณยอมดีๆ ผมจะไม่ทำรุนแรงต่างหาก คุณควรจะปล่อยให้ผมได้เล้าโลมคุณแต่โดยดีนะ”
   เว่ยจินหยินถลึงมองชายผู้ขึ้นคร่อมอยู่เหนือเขา อยากที่จะใช้มือผลักเจ้าบ้านี่ออกไปให้พ้นจากตัวเสียเหลือเกิน แต่ความจริงที่เป็นอยู่คือ นอกจากมือทั้งคู่จะถูกมัดด้วยผ้าจนใช้ผลักไม่ได้แล้ว ยังโอบรอบคอเจ้าหมอนั่นราวกับเชิญชวนอีกด้วย ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายจมูกของอีกฝ่ายสัมผัสถูกซอกคอ และต้องสะดุ้งซ้ำสองเมื่อเรียวลิ้นเปียกชื้นเล็มเลียไล่ขึ้นมาจนถึงหลังใบหู
   “!!!”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเม้มริมฝีปากแน่น พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกไป มือคู่ที่ถูกพันธนาการอยู่บิดพันอย่างพยายามจะหาทางออก ถึงอย่างนั้นมิลเลอร์ คอยล์ก็สามารถรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายจากกล้ามเนื้อร่างกายที่เขม็งเกร็งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาลองขบหลังใบหูของเว่ยจินหยินอีกรอบ ปฏิกิริยาตอบโต้เล็กๆ ที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้แน่ใจ
   “รู้สึกมากตรงนี้สินะ งั้นก็ร้องออกมาสิครับ ผมอยากได้ยินเสียงร้องเซ็กซี่ๆ ของคุณ"
   คิ้วของเว่ยจินหยินขมวดแน่น รู้สึกรำคาญเสียงกระซิบข้างหูของเจ้าตำรวจบ้านี่เต็มที หัดหุบปากบ้างไม่ได้หรือไง แค่นี้เขาก็กัดปากตัวเองจนชาไปหมดแล้ว
   “ขี้อายกว่าที่คิดนะครับเนี่ย”
   คอยล์พูดและหัวเราะเบาๆ เขาเลื่อนมืออย่างรวดเร็วลงไปที่เป้ากางเกงของเว่ยจินหยิน ซึ่งถูกปลดซิปออกก่อนหน้านี้ คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเผลอร้องออกมาอย่างตกใจทันที ครั้งแรกของเขาอีกเช่นกันที่ถูกคนอื่นจับตรงนั้น แถมคนที่จับดันเป็นไอ้ตำรวจมารยาททรามนี่อีก
   “อย่า!”
   เว่ยจินหยินร้องห้าม คอยล์ยื่นหน้าเข้ามาและใช้ลิ้นเลียริมฝีปากบริเวณที่เป็นรอยกัด
   “ห้ามกัดอีกนะครับ ผมไม่อยากให้ปากสวยๆ ของคุณเป็นแผล ถ้าคุณไม่อยากจะร้องออกมาล่ะก็ ผมหาอะไรมาอุดปากให้เอาไหม?”
   “ไม่ต้อง.. อ๊า!!”
   เว่ยจินหยินเผลอร้องออกมา เมื่ออีกฝ่ายอาศัยทีเผลอก้มลงงับใบหูของเขาและสอดลิ้นไปตามร่องของมัน เสียงร้องครางนั้นดังจนกระทั่งมิคาเอล ลอว์ที่นั่งดูอยู่ยังรู้สึกแปลกใจ เขาไม่คิดว่าเว่ยจินหยินคนนั้นจะร้องเสียงแบบนี้ออกมา เสียงร้องที่ดูไร้เดียงสาเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับอายุและนิสัยอันแสนร้ายกาจของเจ้าตัว
   ถึงตอนนี้มิลเลอร์ คอยล์คงไม่ต้องพูดอะไรอีก ลำพังเสียงร้องครางที่ดูใสซื่อของเว่ยจินหยิน บวกกับกล้ามเนื้อร่างกายที่เขม็งเกร็ง นัยน์ตาสีดำหรี่ปรือ พวงแก้มแดงซ่าน ก็ทำให้เขาแทบจะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ คอยล์ไม่อยากจะคิดให้มากว่าที่เว่ยจินหยินมีอาการแบบนี้เป็นเพราะฤทธิ์ยา ตัวเขา หรือว่าทางนั้นกำลังจินตนาการถึงใครอยู่ เขาอยากที่จะทำกับเว่ยจินหยินจริงๆ อยากจะสัมผัสเรือนร่างนี้ มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่ามีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในเกาะฮ่องกง ที่สำคัญที่สุด เขาอยากได้ความบริสุทธิ์ของเว่ยจินหยิน
   คอยล์เชื่อว่าเว่ยจินหยินไม่เคยผ่านเรื่องแบบนี้กับผู้ชายมาก่อน เผลอๆ บางทีอาจจะรวมถึงผู้หญิงด้วยซ้ำ เพราะดูแล้วเว่ยจินหยินไม่มีทีท่าจะพอใจผู้หญิงเลย และคงยังไม่ได้มีอะไรกับลูกน้องที่ชื่อเถียนซานไม่อย่างนั้นคงไม่พยามปิดบังขนาดนี้ ยิ่งได้เห็นปฏิกิริยาตอบโต้ที่ไร้เดียงสาแบบนี้ยิ่งทำให้แน่ใจยิ่งขึ้น ถึงเว่ยจินหยินจะไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลย แต่ถ้าเขากลายเป็นครั้งแรกล่ะก็ ทางนั้นคงต้องจดจำเขาไปจนวันตายแน่นอน
   เว่ยจินหยินดิ้นพราดด้วยความตกใจเมื่อกางเกงชั้นในและชั้นนอกถูกดึงออก มือของมิลเลอร์ คอยล์เลื่อนต่ำลงและป้วนเปี้ยนอยู่ตรงหว่างขาของเขาโดยแสดงเจตนาล่วงล้ำอย่างเห็นได้ชัด อุ้งมือหนาที่โอบอุ้มส่วนอ่อนไหวที่ยังคงอ่อนตัว คลึงเคล้นและขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ ร่างบางพยายามยกมือที่ถูกมัดอยู่ทุบลงไปบนหลังของอีกฝ่าย
   “อย่า!!  มิลเลอร์ อย่า!!”
   แต่ก็ดูเหมือนมิลเลอร์ คอยล์จะคุมสติตัวเองไม่ได้แล้ว เขากระชากเสื้อเชิ้ตที่ยังถอดกระดุมไม่หมดนั้นออก และเริ่มโลมเลียไปตามแผงอกบอบบางอย่างกระหาย เว่ยจินหยินพยายามจะใช้ขายันอีกฝ่ายออก แต่ก็ถูกมิเลอร์ คอยล์ใช้ขาตัวเองกดเอาไว้ ก่อนจะกระชากมือที่พยายามจะทุบหลังอยู่ออกและกดมันลงบนพื้นเหนือศีรษะของเจ้าตัว เว่ยจินหยินกรีดร้องออกมา
   “อย่า!!!”
   มิคาเอล ลอว์ ผิวปากหวือ เขาไม่อยากจะเชื่อนักในตอนแรกกว่า มิลเลอร์ คอยล์ หรือเหรียญทองที่เรียกกัน จะข่มขืนเว่ยจินหยินจริงๆ ท่าทางเหมือนจะหยอกเล่นมากกว่า แต่ตอนนี้เขาคงต้องคิดเสียใหม่ เขากำลังจะเห็นเว่ยจินหยินถูกข่มขืนจริงๆ ด้วยน้ำมือของคนที่ถือยศตำรวจพิเศษของอังกฤษ จะว่าไป นี่ก็ดูสาสมกับสิ่งที่เว่ยจินหยินเคยทำไว้
   สุ่ยจำต้องเอามืออุดหู เขาแค้นเว่ยจินหยินก็จริง แต่ไม่ได้ต้องการจะเห็นผู้ชายคนนี้ถูกข่มขืนต่อหน้า แค่อยากเห็นทางนั้นสำนึกว่าได้ทำอะไรลงไปเท่านั้น
   มิลเลอร์ คอยล์ ได้ยินเสียงร้องห้ามของเว่ยจินหยิน เขารู้ว่าไม่ใช่เรื่องฉลาดนักที่จะข่มขืนเว่ยจินหยินตอนนี้ แต่เขาห้ามตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว หวังว่าจะมีใครมาขัดขวางเอาไว้ได้ทันเวลา
   สิ่งที่เว่ยจินหยินเห็นคือแสงสีแดงจากหลอดไฟฮาโลเจนที่อยู่เหนือศีรษะ กับความรู้สึกของการถูกล่วงละเมิดทางเพศอย่างรุนแรง ความอดทนของเขาใกล้จะสิ้นสุดลง ถ้าหากคนคนนั้นยังมาไม่ถึงล่ะก็...
   !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

   แสงไฟสีแดงดับวูบลงอย่างไร้ซุ่มเสียง แต่กลับสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนที่อาศัยมันอยู่ อย่างน้อยก็คนที่ชื่อมิคาเอล ลอว์ คนหนึ่งล่ะ เขาลุกพร่วดขึ้นจากที่นั่ง หมอบลงกับพื้น ชายหนุ่มเชื่อว่าไฟคงไม่ดับโดยบังเอิญ เกิดอะไรขึ้น หรือเว่ยจินหยินมีลูกเล่นอะไรอีก แต่เขาเช็คแล้วว่าคนของทางนั้นไม่ได้เคลื่อนไหว หรือจะเป็นฝีมือกลุ่มอื่น?
   สุ่ยเองมีปฏิกิริยากับสิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายๆ กัน เขาก้มหมอบลงบนพื้น และเล็งปืนไปยังความมืดเบื้องหน้า รู้สึกขนลุกบริเวณหลังคอ นี่เป็นแผนของผู้ชายที่เหมือนจิ้งจอกคนนั้นหรือ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ?
   เสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังขึ้นด้านนอก และตามด้วยเสียงประตูเหล็กครูดพื้นที่แสนจะแสบแก้วหู พร้อมด้วยแสงสีส้มจากกระบอกไฟฉาย
   “บอส!!?”
   เสียงหลายเสียงเรียกขึ้นพร้อมกัน มิคาเอล ลอว์ ขานตอบไป
   “ฉันอยู่นี่ เกิดอะไรขึ้น?”
   “มีคนแอบเข้าไปที่ตู้ควบคุมไฟ ผมกำลังให้คนไปดูอยู่ ผมกลัวว่าบอสจะเป็นอะไร”
   “ฉันไม่เป็นอะไร...!!!”
   คิ้วสีบล็อนด์ได้รูปขมวดเข้าหากัน ก่อนจะกราดเสียงออกมา
   “จินหยิน!!!”
   มิคาเอลเพิ่งเห็นจากแสงไฟฉายดวงใหญ่ที่ผู้เป็นลูกน้องถือเข้ามาว่า เว่ยจินหยินไม่ได้อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ รวมทั้งตัวมิลเลอร์ คอยล์เองด้วย ถ้างั้นทั้งหมดนี่เป็นแผนการของเจ้านั่นรึ?
   “คิดถึงฉันมากหรือไง มิกกี้?”
   น้ำเสียงเย็นชาและเย้ยหยันดังขึ้นในความมืด มันคือเสียงเดียวกับเสียงที่ครวญครางและตะโกนอยู่ก่อนหน้านี้แน่ๆ แต่ว่าแบบนี้แหละคือเสียงที่แสดงตัวตนอย่างแท้จริงของผู้ชายที่มีชื่อว่าเว่ยจินหยิน
   “มิลเลอร์!!!!!!!”
   มิคาเอล ลอว์ตะโกนเสียงลั่นด้วยความโกรธ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าถูกซ้อนแผน ตำรวจที่ชื่อมิลเลอร์ คอยล์คนนั้น ความจริงแล้วร่วมเล่นละครกับเว่ยจินหยิน?
   “อ่า..เรียกผมทำไมหรือครับ?”
   เสียงของมิลเลอร์ คอยล์ดังขึ้นในความมืด ดูจะมาจากทิศทางที่ใกล้เคียงกันกับเสียงของเว่ยจินหยิน แสงไฟฉายจากกลุ่มที่เพิ่งเข้ามากราดไปทั่วบริเวณโกดังเพื่อหาที่มาของเสียง แต่โกดังนั้นกว้างเกินกว่าที่แสงจากไฟฉายจะส่องได้หมด ท่ามกลางความมืดที่มีแสงสีส้มเป็นลำตวัดไปมา แสงแว้บสีแดงตามด้วยเสียงระเบิดของลูกตะกั่วดังขึ้น จากนั้นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากใครคนหนึ่งในกลุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ตามมา
   “ชิบ!! ไอ้บ้านั่น!!”
   เสียงตะโกนอย่างหัวเสียและแสงไฟฉายที่กราดเข้าไปภายในบริเวณโกดังที่มืดสนิท เพียงแค่เงาลางๆ ของอะไรบางอย่างก็เพียงพอจะกระตุ้นให้ฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บลั่นกระสุนออกไปได้แล้ว ตอนนั้นเองที่มิคาเอล ลอว์ตะโกนขึ้น
   “อย่ายิง!! นี่เป็นแผนของมัน ดับไฟฉายซะ!!”
   แม้จะลังเล แต่ผู้เป็นลูกน้องก็ให้ความเชื่อถือคำสั่งของเจ้านายโดยการดับไฟฉายในมือ ภายในโกดังตอนนี้จึงมืดสนิทจริงๆ มองไม่เห็นแม้กระทั่งเงาฝ่ามือของตัวเอง เสียงหัวเราะของใครสักคนดังขึ้น
   “อา...รู้ตัวไวสมเป็นนาย”
   คิ้วคู่งามของมิคาเอลขยับเข้าหากัน เขาไม่น่าให้มิลเลอร์ คอยล์เป็นคนยึดปืนของเว่ยจินหยินเลย ดูท่าปืนกระบอกนั้นจะกลับไปอยู่ในมือเจ้าของเดิมของมันเรียบร้อยแล้ว ผู้มีใบหน้าราวเทพบุตรแค่นเสียงเย็นเยียบ
   “หุบปาก จินหยิน ไฟติดเมื่อไหร่ นายไม่รอดแน่”
   “อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น รู้รึเปล่าว่าฉันสามารถยิงนายได้แม้ว่ามันจะมืดขนาดนี้”
   เว่ยจินหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ มิคาเอลแน่ใจว่านั่นเป็นแค่คำขู่ ตอนนี้ต่อให้ไฟติดแต่สายตาของหมอนั่นคงมองไกลได้ไม่เกินปลายจมูกตัวเองแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาจะปล่อยให้เว่ยจินหยินพูดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ เจ้าหมอนั่นกำลังทำสงครามประสาท ใช้คำพูดแบบนี้แล้วยิงปืนมั่วๆ ขึ้นสักนัดสองนัด ถึงจะถูกหรือไม่ถูกก็ต้องสร้างความแตกตื่นให้กับบรรดาลูกน้องของเขาซึ่งยืนอยู่ตรงประตูได้อยู่ดี เป้าหมายของเว่ยจินหยินคือให้ทุกคนยิงปืนออกไปในความมืด มันเสี่ยงที่จะยิงถูกกันเอง และการจับกลุ่มยืนแบบนั้นยิ่งทำให้คนที่อยู่จากด้านในเล็งมาได้ง่าย แต่จะให้แยกกันก็เสี่ยงที่จะถูกทำร้าย ทางที่ดีคือต้องกันไม่ให้เกิดการยิงกันขึ้น
   “อย่ามาพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หน่อยเลย ต่อให้นายจะยิงปืนออกมาอีกกี่นัด ลูกน้องของฉันไม่มีทางยิงสวนออกไปแน่ๆ นายไม่มีทางจะฉวยโอกาสจากความมืดนี่เพื่อให้เกิดการยิงกันเองหรอก”
   มิคาเอล ลอว์กล่าว ทางหนึ่งปรามอดีตเพื่อนร่วมชั้น อีกทางหนึ่งก็พยายามจะเตือนสติลูกน้องตัวเอง
   “นายรู้ทันอีกแล้ว งั้นมาทดลองดูหน่อยไหมว่าที่นายพูดมันจะจริงรึเปล่า?”
   เว่ยจินหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงอย่างที่มิลเลอร์ คอยล์ไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่าว่าแต่พวกที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับผู้ชายคนนี้เลย แม้แต่เขาเองที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ยังอดขนลุกไม่ได้ นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเว่ยจินหยินหรือ นี่คือตัวตนของผู้ชายที่ได้รับฉายาว่าสุนัขจิ้งจอกหรือ? นายตำรวจพิเศษแห่งกองตำรวจอังกฤษภาวนาในใจว่าเว่ยจินหยินคงไม่ถือโทษโกรธมากกับละครที่เขาแสดงไปเมื่อครู่ ก็มันเป็นละครฉากหนึ่งที่เว่ยจินหยินต้องการให้เกิดขึ้นนี่นา...

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   เว่ยจินหยินขึ้นนกปืนในความมืด ปืนที่เขาใช้เป็นปืนลูกโม่ ไม่ใช่แบบออโตแมติก เสียงขึ้นนกของมันเบากว่าเสียงขยับพานท้ายของปืนออโต้ ถึงอย่างนั้นเสียงกริ๊กนั้นก็ดังพอที่จะได้ยินทั่วถึงกันในความมืดที่ต่างคนต่างเพ่งสมาธิของตัวเองไปยังสิ่งเดียวกัน นั่นคือตัวเขาและที่ที่เขาอยู่ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มในความมืด เวลาที่ทอดออกไป กับสภาวะกดดันเนื่องจากมองไม่เห็นและไม่อาจจะรับรู้ถึงตำแหน่งที่มาของเสียงอย่างเห็นได้ชัดจะยิ่งทำให้อาการทางประสาทเกิดได้ง่าย สิ่งที่เขาทำก็แค่ ดึงเวลาให้พอเหมาะ กะจังหวะการกดดันให้พอดี แล้วทุกอย่างก็จะลงล็อคของมันโดยที่เขาไม่ต้องเหนื่อยแรงเลย ไกโลหะเย็นเยียบแตะเข้ากับนิ้วมือ ยังเหลือกระสุนที่อยู่ในวงแหวนอีกห้านัดรวมถึงที่ยังคารังเพลิงอยู่ เว่ยจินหยินเหนี่ยวไกช้าๆ
   ปัง!
   แสงสีแดงจากดินประสิวสว่างวาบขึ้น อาบใบหน้าของเว่ยจินหยินในเสี้ยววินาทีนั้น จุดมุ่งหวังไม่ได้อยู่ที่ลูกตะกั่วที่แล่นออกไป แต่อยู่ที่ประกายไฟนี้ต่างหาก ประกายไฟที่จะส่องให้เห็นตัวเขา
   ประกายไฟแลบปลาบเมื่อลูกกระสุนตะกั่วแฉลบพื้น สำหรับมิลเลอร์ คอยล์แล้ว การดำเนินแผนการแบบนี้ของเว่ยจินหยินคือความบ้าบิ่นอย่างที่สุด ไม่เพียงแค่เป็นการกดดันฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น แผนแบบนี้เท่ากับเป็นการกดดันตัวเองไปด้วย เว่ยจินหยินมั่นใจขนาดไหนว่าเขาจะไม่ถูกยิงในชั่วเสี้ยววินาทีที่แสงไฟนั้นอาบตัวเขา ตำรวจหนุ่มกระชับปืนเข้ากับมือ ถึงคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยจะกำชับเขาไว้นักหนาว่าห้ามยิงปืนในความมืด แต่สภาพแบบนี้มันกดดันเกินจะทนจริงๆ เขาคงจะยืนดูเว่ยจินหยินล้อเล่นกับเรื่องเสี่ยงแบบนี้เฉยๆ ไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้เตรียมตัวบ้าง
   มิคาเอล ลอว์ยังคงหมอบอยู่กับพื้น นี่คือเกมแห่งความกดดันที่เว่ยจินหยินถนัดนักหนา เป็นสิ่งที่ผู้ชายที่เขาเรียกว่าสุนัขจิ้งจอกโปรดปรานมากที่สุด การได้กดดันคนอื่นๆ ให้เดินไปตามแผนที่ตัวเองวางไว้ ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี เขาน่าจะฆ่าเว่ยจินหยินในตอนที่ยังมีโอกาส แต่ถึงตอนนี้มันคงสายไปเสียแล้ว การที่เขาจะทำแบบนี้ก็คงอยู่ในการคำนวณของผู้ชายคนนั้นเหมือนกัน สิบปีแล้วแท้ๆ สิบปีแล้วตั้งแต่เรื่องวันนั้น แต่นอกจากมันจะตามมาหลอกหลอนเขาตลอดสิบปีแล้ว มันยังกลายเป็นเครื่องมืออย่างดีที่เว่ยจินหยินหยิบเอามาใช้ในตอนนี้ด้วย
   “ห้ามยิง!! ไม่ว่ายังไงก็ห้ามยิงเด็ดขาด”
   ผู้ดำรงตำแหน่งไฮท์ลำดับที่สิบสามของริเวิลตะโกนอีกรอบ เขาไม่แน่ใจนักว่าบรรดาลูกน้องของเขาจะสามารถทนต่อแรงกดดันนี้ได้ มิคาเอลไม่แน่ใจว่าเว่ยจินหยินมีปืนกี่กระบอก และยังสามารถยิงได้อีกกี่นัด นอกจากนี้มิลเลอร์ คอยล์จะร่วมเล่นเกมแบบนี้ด้วยหรือเปล่า ตอนนี้คงต้องภาวนาให้ไฟติดก่อนที่ใครจะเผลอสติแตกไป
   ปัง!
   เว่ยจินหยินลั่นไกเทารัสในมือ เขาเพิ่มความกดดันอีกนิดหน่อยด้วยการลองเล็งไปยังส่วนที่เป็นประตู โดยเดาจากทิศทางในตอนก่อนที่ไฟจะดับ เหมือนจะมีเสียงพึมพำดังขึ้นตามมา รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากที่ยังคงหลงเหลือรอยกัดอยู่
   เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าของชายที่ชื่อมิคาเอล ลอว์ เกมกดดันนี้เว่ยจินหยินกำลังยืนอยู่บนจุดสูงสุด และการยิงนัดที่สองก็เพิ่มความกดดันได้อย่างหนักหนาสาหัส ผู้ชายคนนั้นจำตำแหน่งประตูได้ แม้จะเป็นการยิงมั่วซั่ว แต่ในความมืดแบบนี้ แค่เฉี่ยวไปใกล้สักสี่ห้าเมตรก็สร้างความหวาดหวั่นได้แล้ว ยิ่งมีเสียงออกมาแบบนั้น คงยิ่งทำให้เจ้าจิ้งจอกนั่นแน่ใจว่าเล็งได้ถูกต้องดี แม้จะดูน่ารำคาญ แต่สิ่งที่มิคาเอลคิดออกในตอนนี้คือการพูดย้ำซ้ำๆ
   “ห้ามยิง!! มันเหลือกระสุนอีกไม่กี่นัด ปล่อยให้ยิงไป มันไม่มีทางยิงถูกหรอก”
   เว่ยจินหยินไม่ได้พูดตอบ เขารู้ดีว่ากระบอกโลหะและลูกของมันที่ถูกส่งออกไปตอบได้ดีกว่าคำพูดไหนๆ และกดดันได้ดีกว่าความเคลื่อนไหวใดๆ
   ปัง!
   มิลเลอร์ คอยล์เป็นคนแรกที่หลุดจากภาวะกดดันนี้ เขาลดปืนลง และแทบจะเก็บมันใส่ซองอย่างเดิม สามนัดแล้วที่เว่ยจินหยินยิงออกไป และดูเหมือนชายที่ชื่อมิคาเอล ลอว์จะรู้ทันแผนการนี้ แต่คอยล์ไม่แน่ใจว่าลูกน้องที่เหลือจะเชื่อฟังลอว์ไปจนถึงที่สุดรึเปล่า ที่แน่ๆ เขาเองจำเป็นต้องเชื่อฟังเว่ยจินหยิน แต่ละนัดของกระสุนที่ลั่นออกไป จินตนาการบางอย่างสะท้อนอยู่ในสมองของเขา ถ้ามีใครสักคนลั่นปืนขึ้นมา แล้วเขายิงออกไป ลูกปืนนั่นจะกระทบกับอะไร จะถูกเว่ยจินหยินซึ่งเปลี่ยนที่ยืนอยู่ตลอดเวลารึเปล่า?  นี่เองหรือคือเหตุผลที่เว่ยจินหยินกำชับนักหนาไม่ให้เขายิงปืนในความมืด เพราะมันจะเป็นอันตรายกับพวกเดียวกันเองสินะ.. คอยล์ตัดสินใจเชื่อมั่นในสิ่งที่เว่ยจินหยินกำลังทำอยู่ ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะมีความชำนาญกับเกมกดดันที่สุ่มเสียงแบบนี้อย่างไม่ธรรมดาเลย
   .................................................
   เงียบ
   ความเงียบหลังจากเสียงลั่นกระสุนนั้นเงียบจนเหมือนหูหนวก มันจะกินเวลาในความเป็นจริงไปกี่วินาที มิคาเอล ลอว์ไม่อาจบอกได้ แต่ในความรู้สึกของเขาเหมือนยาวนานชั่วกัปล์ชั่วกัลป์ เว่ยจินหยินจะมาไม้ไหนอีก จะยิงต่อหรือจะเล่นลูกไม้อื่น เดินอยู่หรือคลานหรือยืนอยู่เฉยๆ กันแน่  มันเป็นความเงียบที่ทำให้ความกดดันยิ่งทวีมากเข้าไปอีก ในขณะที่มิคาเอลคิดว่าประสาทหูของเขากำลังชากับเสียงความเงียบที่ได้ยิน เว่ยจินหยินก็ลั่นไกอีกครั้ง
   ปัง!
   ปัง!!
   เสียงปืนอีกนัดหนึ่งที่แล่นออกมามิได้พุ่งออกจากปืนกระบอกเดิม แต่เป็นปืนจากมือของสุ่ย มิคาเอลลืมเรื่องนี้ไปสนิท คนที่ดูจะเคียดแค้นผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยิน และมีแนวโน้มจะสติแตกได้มากที่สุดคือหมอนี่เอง
   ปัง! ปัง! ปัง!
   สุ่ยรัวปืนในมืออย่างบ้าคลั่ง คิดแค่ว่าเขาต้องฆ่าผู้ชายที่น่ารังเกียจคนนั้นให้ได้ เว่ยจินหยินเป็นตัวอันตราย เขาสัมผัสความกดดันจากเว่ยจินหยินในที่ทำงานมามาก แต่สำหรับเกมกดดันในสภาพความเป็นจริงที่มีทั้งกลิ่นควันปืนและเสียงระเบิดกึกก้องนี่ถือเป็นครั้งแรก มือของสุ่ยสั่นระริก แม้ว่าเขาจะใช้มือทั้งสองข้างจับปืน แต่แรงส่งจากลูกตะกั่วก็ทำเอามือชาไปพอสมควร เขาเห็น เห็นว่าเว่ยจินหยินอยู่ตรงนั้น ชั่วเสี้ยววินาทีที่แสงจากดินปืนซึ่งถูกแรงกระแทกจากชนวนเหล็กก่อให้เกิดการจุดระเบิดขนาดเล็กสว่างวาบขึ้นจับใบหน้าที่มีรอยยิ้มนุ่มนวลราวกับเทวดา รอยยิ้มนุ่มนวลนั้นช่างทวีความอำมหิตของผู้ยิ้มเมื่อมันปรากฏขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ นั่นเป็นแรงกระตุ้นอย่างที่สุดที่ทำให้เขาลั่นไกออกไป
   เว่ยจินหยินยังคงยิ้มอยู่ในความมืด เขาได้ยินเสียงลูกกระสุนวิ่งเฉี่ยวไปด้านข้าง ชนเข้ากับเหล็ก คงจะเป็นเสาหรือตู้คอนเทนเนอร์แถวนั้น ชายหนุ่มเหนี่ยวไกปืนในมือสวนออกไป
   ปัง! ปัง! อ๊าค!!
   เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดนั่นทำให้มิคาเอล ลอว์ถึงกับสะดุ้ง สิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดมากที่สุดกำลังจะอุบัติขึ้น ในความมืดสนิทกับเสียงระเบิดของลูกปืนนั่น ไม่มีใครมาแยกอยู่หรอกว่าเสียงร้องที่ดังขึ้นเป็นของใครกันแน่ ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่บรรดาลูกน้องของเขาชักปืนออกมาและกระหน่ำยิงเข้าไปในความมืด
   มิลเลอร์ คอยล์ไม่รู้ว่าสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาหมอบลงแทบจะติดพื้นและฟังเสียงกระสุนบินผ่านด้านบนศีรษะ เขาเองนั่นแหละที่เป็นส่งเสียงร้องเมื่อครู่ มันก็แค่ความคึกคะนองและอยากทดลอง เพียงนึกสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีใครร้องด้วยความเจ็บปวด มันคือสิ่งที่เว่ยจินหยินต้องการให้เกิดรึเปล่า ถ้ามีคนร้องแบบนั้นแล้วเรื่องที่เว่ยจินหยินจินตนาการมันจะเกิดขึ้นไหม และนั่นเองที่ทำให้มิลเลอร์ คอยล์ทดลองร้องออกไป  ตอนนี้เขาชักรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้วว่าการที่เขาร้องออกไปนั่นจะรวมอยู่ในการคำนวณของเว่ยจินหยินด้วย
   เสียงลั่นของลูกปืนและกลิ่นเขม่าดังก้องตลบอบอวลไปทั้งโกดัง ป่วยการที่มิคาเอล ลอว์จะส่งเสียงอะไรออกไปในตอนนี้ ไม่มีใครที่ไหนในโลกสามารถตะโกนแข่งกับเสียงรัวปืนเป็นตับเช่นนี้ได้ ทุกคนถูกแผนทางจิตวิทยาของเว่ยจินหยินปั่นป่วนระบบความคิดจนสติแตกกระเจิงกันไปหมดแล้ว ชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามราวรูปปั้นกระชับปืนเข้ากับมือ เขาจำเป็นต้องเตรียมพร้อม เว่ยจินหยินคงวางแผนนี้ด้วยจุดประสงค์ที่จะทำให้ปืนทุกกระบอกว่างเปล่า ปราศจากลูกปืนก่อนที่ไฟฟ้าจะสว่างขึ้น และของแถมคือการยิงกันเองโดยบังเอิญ  นั่นเพราะกำลังของทางนั้นมีจำกัด เท่าที่เขาประเมินพวกที่มาสมทบที่ด้านนอกคงมีไม่มากนัก เพราะหากขนมาเยอะขนาดนั้นคงจะบุกเข้ามาแล้ว และฝ่ายเว่ยจินหยินเองนั่นแหละที่จะเสียเปรียบ แสดงว่าคนที่บุกเข้าไปตัดไฟคงจะมีแค่คนหรือสองคน นับรวมตัวเว่ยจินหยินและมิลเลอร์ คอยล์เองที่ตอนนี้คงจะเชื่อได้แล้วว่าทำงานให้กับเว่ยจินหยินมาแต่แรกก็คงไม่เกินสี่คน  หากเทียบกับบรรดาลูกน้องของเขาที่ประจำการอยู่ที่นี่ก็คงต่างกันราวห้าหกเท่า นี่เองที่ทำให้เว่ยจินหยินคิดแผนกดดันงี่เง่านี่ขึ้นมา
   คนยี่สิบคนในโกดังร้างที่ปืนไม่มีลูก ก็เท่ากับคนมือเปล่า แต่มิคาเอล ลอว์มั่นใจว่าคนของเขาไม่ได้มีดีแค่ลูกปืนเท่านั้น
   กว่าเสียงปืนจะเงียบลงก็กินเวลาราวกับครึ่งค่อนวัน กลิ่นควันปืนถูกทำให้ฟุ้งกระจายมากขึ้นด้วยลมทะเลที่พัดผ่านช่องประตูที่เปิดอ้าอยู่ นี่นับเป็นคืนเดือนมืดที่ไร้แม้แต่แสงของดวงดาว ทุกอย่างยังคงมืดสนิท และยังคงเงียบสงัด มีเพียงเสียงหอบหายใจอย่างประสาทเสียและเหนื่อยอ่อนของบรรดาผู้ถูกหลอกล่อให้เต้นไปตามเกม
   !!!!!
   มิคาเอลแทบลืมหายใจ ในจังหวะที่ไฟฟ้าติดขึ้นอย่างกระทันหัน แสงสว่างนั่นทำให้ทุกคนที่ลืมตาอยู่ในความมืดมาเป็นเวลานานต้องหรี่ตาลง
   พลั่ก!!
   เสียงเหมือนร่างกายของมนุษย์ถูกกระแทกด้วยอะไรบางอย่าง ทันใดนั่นร่างร่างหนึ่งในกลุ่มของคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เซถลาและทรุดฮวบลง ตอนนั้นเองที่มิคาเอล ลอว์ร้องออกมา
   “จินหยิน!!”
   เว่ยจินหยินอยู่ตรงนั้น อยู่แทบจะท่ามกลางกลุ่มลูกน้องของเขา พร้อมด้วยมิเลอร์ คอยล์ สองคนนั่นอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร หรืออาศัยทิศทางลมคลำทางในความมืดท่ามกลางห่ากระสุนแบบนั้นน่ะรึ?! มิคาเอลแน่ใจว่า มิลเลอร์ คอยล์คงมีส่วนอย่างมากกับปรากฏการนี้ เจ้าหมอนี่รู้จักที่ทางในโกดังนี้พอสมควร ไอ้ตำรวจเฮงซวย!
   กลุ่มคนที่ยืนออกกันอยู่แตกฮือด้วยความตระหนก สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่มีใครได้ทันดูว่าเป็นฝีมือของเว่ยจินหยินหรือมิลเลอร์ คอยล์กันแน่
   มิลเลอร์ คอยล์รู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่มากกว่า ในความมืดที่แทบจะทำให้คนตาบอดได้เมื่อครู่นั้น เขายืนห่างจากเว่ยจินหยินไม่มาก คงสักราวๆ ห้าถึงหกเมตรเท่านั้น มันเป็นการนัดแนะล่วงหน้าว่าเขาและเว่ยจินหยินต้องก้าวไปทางไหนกี่ก้าว ถึงจะมาเจอกันได้ในความมืดแบบนั้น ท่ามกลางห่ากระสุน ไหล่ของทั้งคู่แตะกันในความมืด มิลเลอร์ คอยล์ฉวยมือข้างหนึ่งของเว่ยจินหยินเอาไว้ และพบว่ามันชื้นอยู่ เว่ยจินหยินเองก็มีความกดดันในเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยเหมือนกัน ตอนแรกเขาคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นพวกไร้ความรู้สึกเสียอีก นั่นทำให้คอยล์เผลอบีบมือนั้นแน่น จนเว่ยจินหยินต้องพูดกรอกหูเขา
   “มิลเลอร์ ตามแผนนะ”
   แผนที่ว่าคือการพาตัวเองมายืนกลางดงศัตรูอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้นี่แหละ นายตำรวจอังกฤษก้าวถอยหลังเพื่อหันหน้าเผชิญกับกลุ่มคนที่แยกตัวกันล้อมพวกเขาอยู่ แผ่นหลังของเขาแตะกับแผ่นหลังของเว่ยจินหยิน คอยล์เผลอหัวเราะออกมา
   “แบบนี้ผมช่วยคุณไม่ไหวหรอกนะ”
   “เอาตัวเองให้รอดก็พอ”
   เว่ยจินหยินตอบสั้นๆ ก่อนกลุ่มคนที่รายล้อมอยู่จะฮือเข้าใส่
   มิลเลอร์ คอยล์เรียนการต่อสู้มือเปล่ามาบ้าง มันจำเป็นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ แต่ให้ต่อสู้มือเปล่ากับคนเกือบยี่สิบคนนี่ดูจะเป็นอะไรที่ท้าทายเอามากๆ เลยทีเดียว เขาไม่รู้ว่าเว่ยจินหยินไปกินดีหมีหัวใจเสืออะไรมาถึงได้เสนอแผนการที่ดูผิดกับรูปแบบของตัวเองขนาดนี้ ถึงเว่ยจินหยินจะมีความมั่นใจในความฉลาดและแผนการที่วางเอาไว้ แต่เรื่องกำลังกายล่ะก็คงไม่น่าดูเท่าไหร่แน่ บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะยังมีลูกเล่นอื่นซ่อนอยู่ ตำรวจอังกฤษคิดพลางหลบกำปั้นที่เหวี่ยงเข้ามาและชกสวนออกไป จะว่าไปแล้วไอ้คนที่กระเด็นออกไปในตอนแรกน่าจะเป็นฝีมือของเว่ยจินหยิน ผู้ชายคนใช้ลูกไม้อะไรกันแน่
   พลั่ก!!
   เหมือนจะเห็นใครคนหนึ่งกระเด็นออกจากวงล้อมไปผ่านทางหางตา นั่นฝีมือของเว่ยจินหยินรึ? คอยล์ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก เมื่อตรงหน้าของเขาเองก็มีห่ากำปั้นระดมประเคนเข้าใส่เหมือนกัน แน่นอนว่าคงไม่มีคนธรรมดาคนไหนหลบพ้นได้หมดหรอก มิลเลอร์ คอยล์รับกำปั้นพวกนั้นไปบางส่วน และสวนกลับไปได้บางส่วน
   “อย่าเป็นตัวถ่วง มิลเลอร์”
   เว่ยจินหยินกล่าวขึ้นด้านหลังของเขา และอีกร่างหนึ่งก็ปลิวกระเด็นออกไป คราวนี้แม้จะมีกำปั้นประเคนเข้ามาหาอีก แต่มิลเลอร์ คอยล์ต้องแยกสมองมานึกอย่างจริงๆ จังๆ แล้วว่าเว่ยจินหยินใช้ลูกเล่นอะไรกันแน่ แล้วเสียงหลายเสียงก็ช่วยตอบข้อสงสัยนี้
   “มันเป็นกังฟู!!”
   มิคาเอล ลอว์คิดว่าหนังตาของตัวเองต้องฉีกแน่ๆ เขาเบิ่งตามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ ลูกน้องของเขาที่กระเด็นออกมาไม่ใช่ด้วยฝีมือของมิลเลอร์ คอยล์ แต่เป็นฝีมือของเว่ยจินหยินต่างหาก เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผู้ชายคนนี้จะเก่งด้านการต่อสู้มือเปล่า นี่คือศิลปะการต่อสู้อันโด่งดังของประเทศจีนที่เรียกกว่ากังฟูงั้นหรือ?
   เว่ยจินหยินระบายลมหายใจอย่างหนักหน่วง เขาวาดมือกลับมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ฝ่ายตรงข้ามหลายคนถอยกรูดออกไป นานแล้วที่เขาไม่ได้ลงไม้ลงมือด้วยตัวเองแบบนี้ ไอ้ที่เคยคิดจะหารสองกับนายตำรวจที่ชื่อคอยล์คงต้องคิดใหม่ ท่าทางเขาอาจจะต้องเหมาคนเดียวทั้งยี่สิบคน เจ้าตำรวจนี่นอกจากจะมารยาททรามแล้วยังต่อสู้ไม่ได้เรื่องอีกด้วย
   หลังของมิลเลอร์ คอยล์ชนกับเว่ยจินหยินอีกครั้ง แต่คราวนี้ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ลูกน้องของมิคาเอลถอยห่างออก คงเป็นผลมาจากเทคนิคการต่อสู้ที่เว่ยจินหยินใช้ออกไปแน่ๆ คอยล์ไม่เคยเห็นคนที่ใช้กังฟูจริงๆ นอกจากในภาพยนตร์ที่เขาเคยดู และตอนนี้ก็คงไม่ใช่จังหวะที่จะสามารถยืนชมการต่อสู้ของคนด้านหลังอย่างสบายใจ ท่าทางเว่ยจินหยินคงกำลังนึกดูถูกเขาอยู่แน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดประโยคตะกี้ออกมา ให้ตายสิ ผู้ชายอะไรช่างกดดันคนอื่นได้เก่งดีชะมัดยาด แบบนี้คงต้องโชว์ผลงานให้เห็นกันบ้าง
   มิลเลอร์ คอยล์ง้างกำปั้นและชกออกไป จากนั้นการตะลุมบอนยกสองก็เริ่มขึ้น มิคาเอล ลอว์ยกปืนขึ้น และเล็งมันไปยังชายที่ยังตะลุมบอนกับลูกน้องเขาอยู่ แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะยิงเว่ยจินหยินให้โดนได้โดยไม่พลาดไปโดนคนอื่น มือของมิคาเอลยังคงกุมด้ามปืนแน่น ลูกน้องพวกนั้นของเขาไม่ใช่คนไร้ฝีมือ แต่ตำรวจที่ชื่อมิลเลอร์ คอยล์นั้นเก่งการต่อสู้ชกต่อยในแบบของชาวตะวันตก และดูจะทนมือทนเท้าอีกด้วย มีหลายครั้งที่ลูกเตะบางลูกน่าจะสอยเจ้าหมอนั่นลงไปนอนได้แล้ว แต่ก็กลายเป็นเหมือนว่าแค่ทำให้ชะงักไปได้นิดหน่อยเท่านั้น ที่แย่กว่านั้นคือฝั่งของเว่ยจินหยิน ช่างเป็นเหมือนฝันร้าย มิคาเอลคิดมาตลอดว่าคนอย่างเว่ยจินหยินต้องมีจุดอ่อนด้านกำลัง เพราะเว่ยจินหยินไม่เคยแม้แต่จะตบใครเลยด้วยซ้ำ หมอนั่นหลีกเลี่ยงการออกแรงมาโดยตลอด แต่ว่าในเวลานี้เขาคงต้องประเมินผู้ชายคนนี้ใหม่ เว่ยจินหยินไม่แค่มีความฉลาดที่น่ารังเกียจ แต่กลับเชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ประชิดตัวที่เรียกกว่ากังฟูอย่างคาดไม่ถึง ภาพลูกน้องคนแล้วคนเล่าที่กระเด็นออกมาด้วยหมัดและลูกเตะของเว่ยจินหยินโดยที่อีกฝ่ายไม่ถูกสัมผัสแม้ปลายนิ้วหนึ่งด้วยซ้ำ
   น่ากลัว!
   ผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยินคนนี้น่ากลัวเกินไป มิคาเอล ลอว์ตัดสินใจว่าต้องให้ต้องมีคนถูกลูกหลงเขาก็ต้องจัดการผู้ชายคนนี้ให้ได้ ไม่ใช่แค่การแก้แค้นส่วนตัว แต่อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนนี้อันตรายมากเกินกว่าจะปล่อยเอาไว้ อันตรายต่อแก๊งของเขาเป็นอย่างมาก
   นิ้วของมิคาเอลสอดเข้าไปในโกร่งไกโลหะที่เย็นยะเยียบ และเหนี่ยวมันอย่างตั้งใจ


-----------------------------------------------

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
สนุกจริงๆ เรื่องนี้  คุณชายนี่ร้ายน่าดู

ว่าแต่ว่า คุณชาย จะสมหวังหรือเปล่าเนี่ย

ออฟไลน์ Paracetamol

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-2
ฮึ่ยยย ยย
อยากอ่านต่ออออออออออ~

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
โคตรชอบเรยยยย.... นิยายแบบนี้  :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:





 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog

ตอนที่4 เว่ยจินหยิน

   ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หลายวัน ที่หน่วยสอบสวนของกรมตำรวจฮ่องกง เจ้าหน้าที่มิลเลอร์ คอยล์ นายตำรวจสังกัดหน่วยสอบสวนพิเศษระหว่างประเทศของกรมตำรวจอังกฤษ กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ในห้องทำงานของสารวัตรหลี่อย่างไม่ใคร่จะสบายใจเท่าไหร่นัก เขาเพิ่งถูกส่งมาเนื่องจากเจ้าหน้าที่คนเก่าที่ลอบเข้าไปเป็นสายในกลุ่มอิทธิพลกลุ่มหนึ่งที่เรียกกันว่าริเวิลถูกฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหด และถูกทิ้งศพลงในอ่าวฮ่องกง ทางการอังกฤษเชื่อว่ามีคนของประเทศตัวเองที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดข้ามชาติอยู่ในแก๊งนี้ หน้าที่ของเขาคือรับผิดชอบงานต่อจากเจ้าหน้าที่คนเดิมที่ตายไป แต่จะทำต่อในรูปแบบไหนนั้น มิลเลอร์ คอยล์ยังนึกไม่ออก
   แฟ้มสีดำเล่มหนาเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะของหลี่ซื่อ ตอนแรกคอยล์ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันนัก แต่เพราะหลี่ซื่อทิ้งให้เขานั่งรออยู่เฉยๆ นานกว่าสิบห้านาทีแล้ว ดังนั้นนายตำรวจที่เพิ่งถูกส่งมาจากอังกฤษจึงถือวิสาสะเปิดดูเพื่อฆ่าเวลา หน้าปกของมันถูกเขียนด้วยภาษาจีนซึ่งเขาอ่านออกบางส่วน คงเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลในเกาะฮ่องกงนี้ล่ะมั้ง มิลเลอร์ คอยล์พลิกดูแผ่นกระดาษที่มีรูปถ่ายพร้อมกับรายละเอียดประวัติส่วนตัวและอื่นๆ ยาวยืด บางคนก็มีหลายแผ่น ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายที่เลยวัยกลางคนไปแล้วไม่ก็วัยใกล้เกษียณตัวเองเต็มที แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักมือเมื่อพบรูปถ่ายของชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกัน น่าจะอายุสักสามสิบกว่า ผู้ชายคนนี้ไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ จริงๆ คือไม่มีอะไรที่พอจะบอกได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลของเกาะฮ่องกงเลย เป็นผู้ชายหน้าตาเรียบร้อยที่สวมแว่นตากรอบทองและหวีผมเรียบแปล้จนน่าขันเมื่อเทียบกับวัย ตอนนั้นเองที่หลี่ซื่อเปิดประตูเข้ามา
   มิลเลอร์ คอยล์สะดุ้ง และหันมายิ้มแห้งๆ ให้กับสารวัตรใหญ่ซึ่งเป็นตัวแทนประสานงานของตำรวจที่นี่ ก่อนจะพูดแก้ตัวเสียงค่อย
   “ผมไม่ได้ตั้งใจจะเปิดดู”
   หลี่ซื่อยักไหล่ เขาวางแก้วชาของตัวเองลงบนโต๊ะตรงหน้าตำรวจหนุ่มถัดจากแฟ้มที่เปิดค้างอยู่ และพูดขึ้น
   “ไม่เป็นไรหรอก ผมคิดว่าคุณควรจะต้องดูอยู่แล้ว อ้อ บังเอิญจัง คุณกำลังดูหน้านี้อยู่เหรอ ผู้ชายคนนี้ชื่อเว่ยจินหยิน”
   มิลเลอร์ คอยล์เบิ่งตาสีเทาเขียวของเขาอย่างแปลกใจ ตัวหยินที่ลงท้ายชื่อนั่นทำให้เขานึกถึงสัญลักษณ์หยินหยาง จะว่าไปคำว่าหยินใช้แทนผู้หญิงไม่ใช่หรือ หลี่ซื่อยิ้มเหมือนเดาได้ว่าคู่สนทนาของเขาคิดอะไรอยู่
   “คำว่าหยินไม่ได้หมายถึงผู้หญิงเสมอไปหรอกนะครับ ในทางเต๋ามันหมายถึงความเย็นชาหรือความมืดด้วย แต่ผมอธิบายไม่ได้หรอกนะว่าทำไมเว่ยชิงถึงตั้งชื่อลูกชายของเขาแบบนี้”
   มิลเลอร์ คอยล์พยักหน้า และหันกลับไปมองรูปผู้ชายหน้าตาเรียบร้อยที่ชื่อเว่ยจินหยินคนนั้นอีกรอบ หลี่ซื่อรีบพูดขึ้น
   “ผมจะเล่าเรื่องเขาให้คุณฟังในลิฟท์แล้วกัน ไปกันเถอะ”
   คิ้วสีน้ำตาลเข้มของคอยล์ขมวดเข้าหากันนิดหน่อย สารวัตรหลี่เดินนำเขาออกไปโดยไม่พูดอะไรต่อ ทำให้มิลเลอร์ คอยล์ต้องตามไปอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
   หลี่ซื่อเล่าให้เขาฟังระหว่างอยู่ในลิฟท์ว่า เว่ยจินหยินเป็นบุตรชายคนที่สองของเว่ยชิง ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มธุรกิจตระกูลเว่ย ตระกูลนี้เป็นอริกันอย่างรุนแรงกับกลุ่มริเวิลที่มิลเลอร์ คอยล์จะต้องเข้าไปสืบเรื่องต่อ และตอนนี้ผู้ชายคนที่ว่านี้ก็มาถึงสำนักงานตำรวจแล้ว ดูเหมือนการมาของเว่ยจินหยินจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของริเวิล หลี่ซื่อยังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด เพราะทางนั้นเสนอว่าควรจะเรียกเจ้าหน้าที่จากอังกฤษมาคุยโดยตรง
   ผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยินกำลังนั่งรออยู่ในห้องสอบสวนพิเศษ เขาให้ลูกน้องคนหนึ่งติดต่อกับทางตำรวจให้ส่งหมายเรียกให้มาชี้แจงเรื่องของหนีภาษีที่ขนเข้ามาเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการมาที่นี่ เนื่องจากเว่ยจินหยินสงสัยว่าในกลุ่มของเขามีพวกสายลับอยู่ แว่นตากรอบทองและผมที่หวีจนเรียบแปล้นั้นทำให้เขาเหมือนหลุดออกมาจากรูปถ่ายไม่มีผิด จะต่างก็ตรงเสื้อคนละสีกันเท่านั้นเองล่ะมั้ง
   ตอนที่พบเว่ยจินหยินครั้งแรกนั้น มิลเลอร์ คอยล์ยังนึกขบขันกับคำจำกัดความของหลี่ซื่อว่า เว่ยจินหยินคือกระบอกยาพิษที่มีชีวิต เขามองไม่ออกว่าผู้ชายท่าทางเรียบร้อยคนนี้จะเหมือนยาพิษตรงไหน เว่ยจินหยินยิ้มให้เขาอย่างเป็นกันเองและเริ่มพูดธุระ
   “สวัสดีครับ คุณคงเป็นคนจากกรมตำรวจอังกฤษ ขอโทษจริงๆ ที่ต้องมาพบอย่างฉุกละหุกเช่นนี้ แต่ผมคิดว่าผมช่วยเรื่องที่คุณกำลังสืบได้”
   มิลเลอร์ คอยล์รู้สึกชอบผู้ชายคนนี้ขึ้นมาทันที เขาดูวางตัวได้ดีแม้จะอายุยังน้อยอยู่ มันทำให้ใคร่รู้ว่ามีอะไรเป็นพิเศษอีกไหมที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ได้ขึ้นแท่นผู้มีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของเกาะ เว่ยจินหยินอธิบายแผนการของเขา
   “สารวัตรหลี่คงบอกคุณแล้วว่าผมเป็นใคร คือผมสงสัยว่าลูกน้องบางคนของผมทำงานเป็นสายให้กับไฮท์คนหนึ่งของริเวิล น่าจะเป็นไฮท์คนเดียวกับที่เพื่อนร่วมงานของคุณตามสืบอยู่”
   “มิคาเอล ลอว์”
   มิลเลอร์ คอยล์พูดชื่อนี้ออกไปและเริ่มต้นบทสนทนาบ้าง
   “เขาเป็นพลเมืองอังกฤษที่เคยมีประวัติเกี่ยวกับการเสพและค้าเฮโรอีนมาก่อน สองสามปีมานี่เขามาปักหลักที่ฮ่องกง และเข้าร่วมกับแก๊งที่ชื่อริเวิล ทางเราสงสัยและเกือบจะแน่ใจแล้วว่าเขาเกี่ยวข้องกับการส่งเฮโรอีนเข้าประเทศอังกฤษ ที่เราต้องการคือหลักฐานแน่ชัดที่จะมัดตัวเขา”
   เว่ยจินหยินพยักหน้าอย่างรับทราบ ดวงตาภายใต้แว่นตากรอบทองนั่นดูสงบนิ่งเหมือนน้ำในบึงที่ลึกจนหาก้นบึ้งไม่เจอ ริมฝีปากได้รูปเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบร้อยและมั่นคง
   “ผมอยากจะร่วมงานกับคุณ มันอาจจะฟังดูแปลกๆ อยู่สักหน่อยที่ตำรวจจะร่วมมือกับคนที่มีรายชื่อแบล็คลิสท์อย่างผม แต่ถ้าคุณจะกรุณา ฟังแผนการของผมสักหน่อย”
   มิลเลอร์ คอยล์พยักหน้า ความจริงแล้วมันไม่มีกฎข้อห้ามอะไรในการทำงานของเขาเกี่ยวกับการร่วมงานกับมาเฟีย แต่เขาอยากจะฟังแผนการของผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเสียหน่อย อยากรู้ว่าคนที่อยู่ในระดับนี้จะมีแผนการแบบไหนมาเสนอ
   เว่ยจินหยินยิ้ม ดวงตาสีดำกับรูปปากของเขานั้นพอยิ้มแล้ว พูดได้คำเดียวว่ามีเสน่ห์มากเสียจนลบเรื่องแว่นตาเชยๆ และทรงผมจัดระเบียบนั่นไปได้หมดเลยทีเดียว รอยยิ้มที่มีอำนาจราวกับสะกดจิต
   “แผนของผมคือ ให้คุณติดต่อกับมิคาเอล ลอว์โดยตรง บอกเขาไปเลยครับว่าคุณไปหาเขาด้วยจุดประสงค์อะไร ใช่ครับ คุณต้องบอกเขาไปเลยว่าคุณมาจากหน่วยสอบสวนพิเศษ”
   หลี่ซื่อทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาทำงานมานานจนรู้ดีว่าเว่ยจินหยินไม่ชอบให้ใครพูดสอด และทางมิลเลอร์ คอยล์เองก็ไม่มีทีท่าจะแทรก ดังนั้นเว่ยจินหยินจึงได้พูดต่อ
   “คุณจะอ้างเหตุผลยังไงก็ได้ ว่าคุณไม่ได้เต็มใจจะทำงานนี้ ผมคิดว่าคุณฉลาดพอจะหาข้ออ้างดีๆ ได้ จะบอกว่าไม่ชอบผมก็ได้นะครับ”
   เว่ยจินหยินกล่าว และหัวเราะ มิลเลอร์ คอยล์คิดว่าตัวเขาเองเผลอยิ้มออกไปด้วย ผู้ชายอะไร ยิ้มและหัวเราะได้น่ารักเป็นบ้า สำหรับเขาคงมีคำว่าชอบให้กับผู้ชายคนนี้มากกว่าไม่ชอบแน่ๆ
   “หลังจากนั้นคุณก็บอกเขาว่าคุณจะอ้างตำแหน่งมาแฝงตัวในแก๊งของผม คุณรู้ใช่ไหมครับว่าตระกูลเว่ยและริเวิลไม่ถูกกัน ใช่ครับ คุณต้องแสดงให้เขารู้ว่าคุณรู้คร่าวๆ แค่นั้น และไม่จงใจที่จะเสนอชื่อผมจนเกินไปนัก เพราะมีคนของผมทำงานให้เขา ดังนั้นเขาจะตอบรับข้อเสนอของคุณทันที และคุณก็จะได้รู้จักกับใครคนนั้นที่ผมต้องการตัว นั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมต้องการ”
   “อะไรทำให้คุณเชื่ออย่างนั้นล่ะครับ?”
   มิลเลอร์ คอยล์เอ่ยถามขึ้นในที่สุด ความจริงแผนการของเว่ยจินหยินก็ฟังดูเข้าที แต่ไอ้ความมั่นใจแบบไม่ลังเลในประโยคท้ายๆ นี่สิ ที่น่าสงสัย หรือจริงๆ แล้วผู้ชายคนนี้อาจจะมีอะไรในเรื่องนี้มากไปกว่าการต้องการจับไส้ศึก เว่ยจินหยินยิ้มอีกรอบ และตอบคำถามอย่างใจเย็น
   “ผมพอจะรู้นิสัยผู้ชายที่ชื่อ มิคาเอล ลอว์คนนี้มาบ้าง คุณคิดว่าข้อเสนอของผมเป็นไงครับ?”
   “ก็ดีนะครับ คุณได้สายลับ ผมได้โอกาสเข้าไปทำงานในริเวิล แต่ผมว่ามันควรจะมีตอนจบสักหน่อย คิดว่าคุณก็น่าจะคิดเอาไว้แล้วเหมือนกัน?”
   เว่ยจินหยินหัวเราะอีกรอบ
   “ผมรอคุณเสนออยู่น่ะครับ”
   มิลเลอร์ คอยล์ยิ้ม และพูดบ้าง
   “แผนของผมง่ายมากครับคุณชาย คุณแค่เชื่อใจผมก็พอ ผมจะค่อยๆ ทยอยบอกคุณเองว่าผมจะทำอะไร และต้องการอะไรบ้าง แบบนี้โอเคไหม?”
 สีหน้าเรียบเฉยของเว่ยจินหยินดูจะเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างนิดหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ และตอบตกลง
   ถึงตอนนี้มิลเลอร์ คอยล์เห็นด้วยอย่างที่สุดกับคำจำกัดความว่ากระบอกยาพิษเดินได้ของหลี่ซื่อ เมื่อเว่ยจินหยินเพิ่งส่งผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองคนหนึ่งลงไปนอนกองกับพื้น
   ไม่น่าเชื่อว่านอกจากจะเป็นจอมวางแผน และนักลวงโลกแล้ว ผู้ชายคนนี้ยังเก่งเรื่องศิลปะการต่อสู้อีกด้วย ไม่รู้ว่ากังฟูนั้นมีการวัดกันเป็นระดับรึเปล่า แต่ดูจากประสิทธิภาพการต่อสู้มือเปล่าของเว่ยจินหยินแล้ว ไม่น่าจะอยู่ในขั้นฝึกหัดหรือว่าเริ่มต้นแน่ๆ มิลเลอร์ คอยล์นึกสงสัยว่า ผู้ชายที่ชื่อมิคาเอล ลอว์รู้เรื่องนี้บ้างรึเปล่า ดูเหมือนสองคนนี่จะเคยเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันมาก่อน ด้วยความคิดนี้นายตำรวจหนุ่มจึงหันไปมองจุดที่มิคาเอลยืนอยู่อย่างไม่ตั้งใจ และก็ได้เห็นยมทูตสีเงินที่อยู่ในมือของมิคาเอล ลอว์กำลังเล็งมาในจุดที่เขายืนอยู่ วินาทีนั้นคอยล์รู้ทันทีว่า มิคาเอลต้องการจะยิงใคร เขาอ้าปากเพื่อจะบอกให้เว่ยจินหยินรู้ตัว แต่หนึ่งในลูกน้องของมิคาเอลพรวดพราดเข้ามาบังเอาไว้และต่อยเข้าเต็มรัก หมัดนี้เล่นเอาคอยล์จุกไปพักใหญ่ นานพอจะโดนกำปั้นและบาทาอีกหลายดอกที่พ่วงตามเข้ามา และนานพอจะได้ยินเสียงปืนก่อนที่จะได้พูดเตือนอะไรออกไป
   ปัง!
   เสียงที่ดังขึ้นนั้นทำให้ทุกอย่างชะงัก มิลเลอร์ผลักผู้ชายที่ยืนขวางหน้าออก เตะเสยเข้าไปทีหนึ่งก่อนจะหันไปหาเว่ยจินหยินด้วยความเป็นห่วงและกังวลอย่างที่สุด
   “คุณชาย!!”
   “?”
   เว่ยจินหยินหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้างงๆ ดูเหมือนจะแปลกใจกับน้ำเสียงวิตกกังวลที่มิลเลอร์ คอยล์เอ่ยออกมามากกว่าเสียงปืนที่ดังขึ้นเสียอีก นั่นทำให้ตำรวจหนุ่มงุนงงไปด้วย เขามองหน้าเว่ยจินหยิน และหันกลับไปมองยังจุดที่มิคาเอล ลอว์ยืนอยู่ จึงเข้าใจทันทีว่าทำไมเว่ยจินหยินถึงมีสีหน้าแบบนั้น
   ในมือของมิคาเอล ลอว์ไม่มีปืนอยู่แล้ว ตอนนี้เขากุมมือข้างหนึ่งเอาไว้ ซึ่งถ้าได้รับบาดเจ็บก็คงไม่รุนแรงมากเพราะไม่มีเลือดออกมาให้เห็น ผู้มีใบหน้าราวเทพบุตรกำลังหันไปเผชิญหน้ากับใครคนหนึ่งที่อยู่ตรงประตู
   เถียนซาน!   
   ผู้ชายชาวฮ่องกงวัยใกล้กลางคนที่สูงเกือบสองเมตรคงไม่มีให้เห็นมากนัก เถียนซานอยู่ในชุดที่ธรรมดาจนน่าขัน เขาสวมเสื้อยืดสีขาวซีดๆ กางเกงขาก๊วยสีน้ำตาลที่สีซีดเพราะความเก่า ดูไปเหมือนอาแปะขายน้ำเต้าหู้แถวๆ ตรอกเล็กๆ ที่ดูจะทำให้แตกต่างไปบ้างก็คงเป็นผมตัดสั้นเป็นระเบียบ และอาวุธปืนออโตแมติกสีดำมะเมื่อมในมือที่เล็งมายังมิคาเอล ลอว์นั่นแหละ ควันที่เป็นผลมาจากการระเบิดของดินประสิวยังคงลอยคลุ้งอยู่ แสดงว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่มาจากปืนกระบอกนี้นี่เอง
   “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละครับ คุณลอว์”
   เถียนซานเอ่ยขึ้นเรียบๆ ก่อนที่มิลเลอร์ คอยล์จะได้ยินเสียงปืนอีกนัดหนึ่ง คราวนี้มีเสียงร้องตามมาด้วย
   “นายก็ด้วย สุ่ย”
   คนชื่อสุ่ยซึ่งอยู่เยื้องจากจุดที่มิคาเอลยืนอยู่ไม่ไกลกันนักกัดฟันกรอด กรณีของเขาดูจะแย่กว่ามิคาเอล ลอว์ เพราะกระสุนที่ถูกลั่นออกไปฝังเข้าไปในกล้ามเนื้อหัวไหล่ ในมือข้างซ้างของเถียนซานตอนนี้มีปืนออโตแมติกสีเงินอีกกระบอกหนึ่ง ที่ยังคงมีควันพวยพุ่งออกมาจากปากกระบอก
   ถ้าคิดว่าเถียนซานเป็นคนขายน้ำเต้าหู้ล่ะก็ น้ำเต้าหู้ที่เขาขายคงต้องเสี่ยงชีวิตกินน่าดู
   “ถ้าใครขยับอีก ผมจะยิง”
   ชายผู้มีส่วนสูงเกือบสองเมตรเอ่ยขึ้นอีกครั้ง มิคาเอล ลอว์ผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะกลืนน้ำลายเฮือก เขาลืมนึกไปเลยว่าเว่ยจินหยินยังมีหมอนี่อยู่ ถึงเถียนซานจะย้ายกลับไปทำงานให้เจ้านายใหญ่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเว่ยจินหยินจะเรียกใช้งานไม่ได้เสียหน่อย เขาประมาทเองในเรื่องนี้ ไม่สิ.. เป็นความโง่เง่าของเขาเองที่คิดหาเรื่องกับเว่ยจินหยิน หรือถ้าจะพูดให้ดูแย่กว่านั้นอีก ถึงเขาไม่ทำอะไร เว่ยจินหยินก็ต้องหาวิธีล่อให้เขาออกมาอยู่ดี
   ผู้ชายที่เลวร้ายราวกับซาตานคนนั้น คงคิดจะย้ำแค้นให้ถึงที่สุด
   เว่ยจินหยินระบายลมหายใจอย่างปลอดโปร่ง และอาศัยจังหวะที่ทุกคนชะงัก ส่งลูกน้องของมิคาเอล ลอว์อีกสองคนลงไปนอนกองกับพื้น มิลเลอร์ คอยล์ร้องด้วยความตระหนก
   “คุณชาย!!”
   เขาไม่คิดว่าเว่ยจินหยินจะลงมือกับคนที่หยุดตั้งท่าสู้ไปแล้ว แต่คุณชายรองคนนี้ตอบกลับเขาด้วยการต่อยดั้งจมูกของชายฉกรรจ์คนหนึ่งซึ่งพุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังของตัวเขาเอง นับเป็นลูกน้องของมิคาเอล ลอว์รายสุดท้ายที่ถูกส่งลงไปกองกับพื้น
   “โทษที ฉันแค่กลัวว่าพวกเขาจะไม่ยอมฟังเงียบๆ”
   เว่ยจินหยินตอบเสียงด้วยน้ำเสียงเหมือนกับว่าเขาแค่ตวาดให้คนอื่นหยุดพูด และกวาดตามองบรรดาชายฉกรรจ์ที่นอนครางโอยโอยอยู่
   “เอาล่ะ ฉันมีทางเลือกให้พวกนายง่ายๆ ที่ไม่ต้องคิดมาก พวกนายจะยอมไสหัวออกไปดีๆ หรือจะตายอยู่ตรงนี้ เลือกเอา”
   บรรดาคนพวกนั้นมองหน้ากันเลิกลั่ก นี่หมายความว่าให้เขาทิ้งเจ้านายหนีเอาตัวรอดไม่ใช่หรือ เว่ยจินหยินยิ้มบางๆ ที่มุมปาก และล้วงปืนลูกโม่ที่คาดอยู่ตรงเอวขึ้นมา ค่อยๆ บรรจุกระสุนอย่างใจเย็น
   “ฉันเหลือลูกปืนในซองอีกสิบกว่านัด อยู่ในนี้หกนัด ถ้าพวกนายทำใจลำบาก ฉันจะยิงจนกว่าจะยอมออกไปเอง ดีไหม?”
   เสียงขึ้นนกปืนดังกริ๊กนั้นเสมือนแส้โบยให้คนเหล่านั้นตะเกียกตะกายหนีตายกันออกไปนอกโกดังอย่างไม่คิดชีวิต เว่ยจินหยินหัวเราะเบาๆ หลังจากคนสุดท้ายเดินกระโผลกกระเผลกออกไปแล้ว
   “คนของริเวิลนี่ฉลาดดี”
   เขากล่าว และหันมาออกคำสั่งกับนายตำรวจที่ยืนอึ้งอยู่ข้างๆ
   “ไปพาตัวสุ่ยมาให้ฉันหน่อย คิดว่าคงต้องคุยกันยาว”
   มิลเลอร์ คอยล์พยักหน้าอย่างงงๆ และเดินออกไปตามคำสั่ง เว่ยจินหยินก้าวเข้าไปหามิคาเอล ลอว์ด้วยท่าดีปลอดโปร่งเหมือนคนเดินเล่นริมทะเลสาบในยามพลบค่ำ
   “ปลอดภัยดีนะครับ คุณชาย”
   เถียนซานเอ่ยและถอยหลังให้คุณชายของเขาหน่อยหนึ่ง เว่ยจินหยินพยักหน้า และยิ้มให้อย่างใจดี
   “ขอบใจนะที่มา เก็บปืนได้แล้วล่ะ”
   ผู้เป็นอดีตลูกน้องทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เว่ยจินหยินสอดปืนลูกโม่ของเขาเข้าไปในซอง และก้มลงเก็บปืนของมิคาเอล ลอว์ที่ตกอยู่ขึ้นมา
   “COLT MK IV .38 รึ? ฉันก็ชอบปืนของCOLTเหมือนกันนะมิกกี้”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยกล่าวอย่างอารมณ์ดี และโบกปืนไปมา ขณะที่มิคาเอล ลอว์จ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
   “นี่เป็นแผนของแกตั้งแต่แรกทั้งหมดเลยสินะ ไอ้หมาจิ้งจอก!!”
   “ช่างตั้งชื่อให้ฉันจริงๆ”
   เว่ยจินหยินเอ่ย และปลดแมกกาซีนปืนที่ออกดู ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “นี่นายไม่คิดจะชมฉันหน่อยหรือว่าเล่นละครได้เยี่ยมยอด คิดว่าไง? บทของคุณชายผู้หยิ่งยโสที่ถูกนายตำรวจคนสนิทหักหลัง นายว่าฉันเล่นได้แนบเนียนดีไหม?”
   “เล่นได้สารเลวสมเป็นแก!!”
   มิคาเอลตอบอย่างเคียดแค้น เว่ยจินหยินหัวเราะ
   “จะชมฉันดีๆก็ไม่ได้ แต่ฉันขอชมนายนะมิกกี้ ถ้าไม่ใช่นายล่ะก็ ฉันคงไม่ต้องลงทุนเปลืองตัวมากมายขนาดนี้”
   มิคาเอลแค่นเสียงและหันหน้าไปทางอื่น เว่ยจินหยินพูดต่อ
   “อย่าโกรธไปเลยน่า มิกกี้ ถ้าฉันเป็นนาย ฉันก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกัน แล้วฉันก็อยากจะขอโทษนายจริงๆ เรื่องเมื่อสิบปีก่อนน่ะ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าไอ้การถูกข่มขืนเนี่ยมันแย่ขนาดไหน”
   มิลเลอร์ คอยล์ที่ถูลู่ถูกังลากสุ่ยซึ่งไม่ค่อยจะเต็มใจจะให้พาตัวมานัก ถึงกับขมวดคิ้ว นี่เว่ยจินหยินกำลังหมายความถึงการกระทำของเขาเมื่อครู่หรือเปล่า แล้วไอ้เรื่องเมื่อสิบปีก่อนนั่นมันเป็นยังไงกันแน่ แม้แต่มิคาเอลเองก็ไม่เคยเปิดปากเล่าเรื่องนี้ออกมาอย่างชัดเจนเสียที
   มิคาเอล ลอว์เงยหน้าขึ้นมองเว่ยจินหยินอีกครั้ง
   “แกเกิดมีจิตสำนึกกับเรื่องที่ทำลงไปหรือไง? ตลกน่า..บอกมาเลยดีกว่าว่าคราวนี้แกวางแผนจะทำอะไรอีก”
   เว่ยจินหยินหัวเราะชอบใจ เขาดึงเซฟตี้ของปืนที่เก็บได้กับเข้าที่ และพูดต่อ
   “นายนี่ชอบรู้ทันฉันทุกที อืม...ฉันรู้สึกจริงๆ นะว่าเรื่องข่มขืนมันไม่ดีเลย เพราะอย่างนั้นคราวนี้วางใจได้ว่าฉันจะไม่ทำอีก ฉันจะให้นายเป็นไฮท์ระดับสูงของริเวิลที่ค้ายาแล้วถูกตำรวจจับได้ และเพื่อบูชาความรักที่นายมีให้กับแฟนนาย หัวหน้าระดับสูงของริเวิล นายเลยยอมรับสารภาพผิดแต่เพียงผู้เดียว นายว่าโอเคไหม? หรือว่าจะให้ฆ่าตัวตายรับผิดเลยดี?”
   “จินหยิน แก!!!”
   มิคาเอล ลอว์เค้นเสียงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ดวงหน้าเทพบุตรบิดเบี้ยวราวกับภาพวาดที่ถูกทำให้เลอะเลือนบนผืนผ้าใบ เว่ยจินหยินยังคงแย้มยิ้ม
   “อา..นายไม่เชื่อหรอกรึมิกกี้ เหรียญทองของนายน่ะ นอกจากจะมารยาททรามอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังเป็นสุดยอดนักต้มตุ๋นอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นหมอนี่ก็เป็นตำรวจจริงๆ ล่ะนะ”
   “พูดแบบนั้นผมควรจะคิดว่ามันเป็นคำชมรึเปล่าเนี่ย?”
   มิลเลอร์ คอยล์กล่าวด้วยน้ำเสียงออกจะท้วงๆ นิดหน่อย เว่ยจินหยินหันมายิ้มให้เขา
   “ฉันชมจริงๆ ขอบใจนะ”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยกล่าว มิลเลอร์ คอยล์มีสีหน้าไม่สู้จะดีใจกับคำชมนั่นนัก นึกสงสัยว่าตอนนี้ใครเป็นคนหลอกใช้ใครบ้างกันแน่ เขาเสือกตัวสุ่ยให้กับจอมวางแผน จังหวะที่หลุดออกจากการควบคุมนั้นเอง สุ่ยกระโจนเข้าใส่เว่ยจินหยินราวกับเสือที่หลุดออกจากกรง และในเสี้ยววินาทีถัดมา มิคาเอล ลอว์ก็พุ่งเข้าใส่เช่นกันพร้อมกับมีดพกยาวราวๆ หนึ่งคืบในมือ ซึ่งล้วงออกมาเมื่อไหร่นั้นไม่มีใครทันได้สังเกต
   สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นรวดเร็วเสียจนมิลเลอร์ไม่ทันได้เปลี่ยนช่วงลมหายใจด้วยซ้ำ ไม่มีใครทันได้ขยับตัว แม้แต่เถียนซานเองก็ไม่ได้ชักปืนออกมา และแล้วมิลเลอร์ คอยล์ก็มีโอกาสได้เห็นสิ่งที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้มองเลยก่อนหน้านี้
   เว่ยจินหยินยืนอยู่ตรงนั้น กำลังจะโดนทั้งมีดและคนคนหนึ่งกระแทกเข้าใส่ สิ่งที่เขาทำเป็นท่วงท่าง่ายๆ แค่ยกมือขึ้นมา ต่อยออกไปข้างหนึ่ง และกระแทกออกไปข้างหนึ่ง โดยย่อเข้าลงเล็กน้อย แต่ทั้งหมดที่บรรยายออกไปนี้ กินเวลาน้อยเสียยิ่งกว่าเวลาที่ใช้กระพริบตาเสียอีก ทั้งสันมือและหมัด ถูกตรงส่วนท้องที่เป็นลิ้นปี่ของแต่ละคนอย่างถนัดถนี่ แม่นยำ และรวดเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ทั้งสองคนกระเด็นและถอยหลังไปอีกสองสามก้าว ก่อนจะทรุดฮวบลง และสำรอกของเหลวเหนียวหนืดที่อยู่ในกระเพาะอาหารออกมา
   “พักนี้ซ้อมบ่อยหรือครับ?”
   เถียนซานเอ่ยถามอดีตเจ้านายของเขา ผู้ซึ่งระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง จะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้เว่ยจินหยินก็หายใจแบบนี้เหมือนกัน หรือนี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าลมปราณ มิลเลอร์ คอยล์คิดว่าถ้ามีโอกาส เขาคงต้องถามเว่ยจินหยินสักหน่อย คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยสั่นศีรษะ
   “ก็แค่สัปดาห์ละครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองควรจะออกกำลังกายบ้าง”
   ผู้ถามพยักหน้า ขณะที่มิคาเอล ลอว์แค่นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก และพยายามจะตะกายตัวเองขึ้นจากพื้น
   “งะ..งี่เง่า กะ..แกไม่น่าจะมองเห็นได้ชัดขนาดนี้..”
   เว่ยจินหยินเผลอยกมือขึ้นดันตรงดั้งจมูกที่เคยมีแว่นตากรอบทองสวมอยู่ ก่อนจะหัวเราะออกมา
   “อ่า...ใช่..แกทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยลงไปแล้วนี่นะ มิกกี้ ฉันน่ะสายตาสั้นจริงๆ นั่นแหละ แต่คงไม่โง่ขนาดใส่แค่แว่นตามาหาคนอย่างแกหรอก”
   มิคาเอล ลอว์เบิ่งตากว้าง พยายามกล้ำกลืนความพะอืดพะอมที่กระเพื่อมขึ้นมาจากแรงกระแทกตรงลิ้นปี่ รวมถึงความโกรธขึงที่พุ่งขึ้นมาด้วย
   “ไอ้คอนแทคเลนส์เนี่ย สำหรับฉันน่ะเป็นอะไรที่ยุ่งยากลำบากมากเลยนะ ยิ่งต้องมาใส่คู่กับแว่นตานี่ นายคงรู้ใช่ไหม ว่าไอ้การมองลอดกรอบแว่นนี่มันลำบากขนาดไหน อ้อ จริงสิ นายไม่เคยใส่แว่นตานี่นะ คนตาดีอย่างนายคงไม่เข้าใจหรอก แต่ว่านะ มิกกี้ ถึงนายจะชอบเสพยา นายก็ไม่ควรคิดว่าคนอื่นเขาจะชอบอย่างนายด้วย ฉันพูดด้วยความสัตย์จริงเลยนะ ว่าตอนนายถือเข็มฉีดยามาเนี่ย ฉันละแทบจะก้มลงกราบนายจริงๆ”
   “อ้อ...เรอะ!”
   มิคาเอล ลอว์แค่นสียง ถลึงตามองฝ่ายตรงข้าม อาการมวนท้องของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงยันตัวลุกขึ้นมา และพูดทั้งๆ ที่ตัวยังงออยู่นั่นแหละ
   “กะ...แกควรจะเอาคำพูดนั้น..ยัดกลับใส่ปากให้หมด... ไอ้ตำรวจเฮงซวยนั่นคงเปลี่ยนยานั่นเป็นอย่างอื่นก่อนจะถึงมือฉัน ไม่อย่างนั้น..แกคงไม่ได้ยืนเสนอหน้าพูดสบายใจเฉิบแบบนี้หรอก... หะ..ให้ตายสิ..พวกแกนี่มัน...โคตรจะหลอกลวงเลยว่ะ!!”
   มิลเลอร์ คอยล์ยกมือขึ้นเกาศีรษะ และยิ้มแห้งๆ
   “อา...พอดีมันเป็นหน้าที่ผมน่ะ วางใจเถอะ ผมไม่อมเงินที่คุณจ่ายให้ผมหรอก ผมจะคืนมันให้คุณ หลังจากตรวจสอบเรื่องฟอกเงินแล้วน่ะนะ”
   มิคาเอล แค่นเสียงอย่างไม่พอใจ ขณะที่เว่ยจินหยินสั่นศีรษะ
   “อย่าพูดแบบนั้นน่า.. นายเองไม่ใช่เหรอที่เลือกใช้คนหลอกลวงน่ะ นี่มิกกี้ บอกฉันหน่อยสิ ว่าไอ้เอกสารที่นายได้ไปน่ะ หัวหน้าของนายพอใจมากใช่ไหม? ไอ้การที่ได้เป็นหมายเลขสิบสามน่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้คนทรยศหักหลังนี่แล้ว นายจะได้ไหมล่ะ?”
   “ฉันไม่คิดจะเป็นพวกเดียวกับแกมาแต่แรกแล้ว!”
   สุ่ยโพล่งออกมา เว่ยจินหยินเหลือบตามามองเขาอย่างเย็นชาที่สุด แววตาที่ไม่เหมือนมองมนุษย์ด้วยกันแม้แต่น้อย ขนาดมิลเลอร์ คอยล์เองยังต้องรู้สึกขนลุกนิดหน่อย เว่ยจินหยินมีสีหน้าและแววตาหลายแบบก็จริง แต่แบบนี้สำหรับเขาแล้วถือว่าแย่มากที่เดียว
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยไม่ได้พูดอะไรสำหรับสิ่งที่สุ่ยโพล่งขึ้น เขาหันไปสนทนากับอดีตเพื่อนร่วมมหาลัยต่อ
   “หรือจะมีอย่างอื่นที่ทำให้นายได้เป็นหมายเลขสิบสาม นายยังใช้วีธีการเดิมๆ อีกรึเปล่า อย่างเช่นใช้ร่างกายสวยๆ ของนายแลกมา? อืม..ฉันว่าลำพังแค่สมองของนาย ไม่ต้องใช้ร่างกายก็พอจะเป็นหมายเลขสิบสามได้สบายๆ อยู่แล้วนะ..”
   มิคาเอล ลอว์ถ่มน้ำลายออกมา เขาเค้นเสียงอย่างเย้ยหยัน
   “อย่าพูดให้ขำน่า ถึงฉันจะใช้ร่างกายแลกมามันก็เป็นเรื่องของฉัน และฉันก็ทำมันมาก่อน แต่แกล่ะ จินหยิน.. คราวนี้แกเองก็ใช้ร่างกายเข้าแลกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ไอ้ฉากข่มขืนห่วยๆ ที่แกเล่นเมื่อกี้น่ะ แน่ใจนะว่าแกไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปด้วยน่ะ เสียงที่แกร้องออกมา ฉันว่าลูกน้องของแกคนนั้นควรจะได้ฟังเอาไว้บ้าง”
   “แกกำลังพูดมากไปแล้ว มิกกี้”
   เว่ยจินหยินกล่าวเสียงเข้ม สืบเท้าเข้าไปใกล้ผู้มีเรือนผมสีบล็อนด์ทองที่ดูจะยังไม่หายเจ็บตรงลิ้นปี่ดี มิคาเอลแค่นยิ้ม
   “กลัวหรือ จินหยิน? แกกลัวอะไร กลัวที่คนอื่นจะรู้ว่าแกคิดยังไงใช่ไหม?”
   “ด้วยความหวังดี มิกกี้ แกควรจะหุบปากได้แล้ว”
   เว่ยจินหยินเอ่ยและคว้ามือลงไปบนท่อนแขนขวาด้านบนของอีกฝ่าย มิคาเอล ลอว์สลัดมันออก
   “อย่ามาสั่งฉัน! ถึงแกจะเสแสร้งแกล้งปิดบังยังไง จะสร้างภาพว่าเกลียดพวกเกย์ยังไง ต่อให้แกจะแสดงสีหน้าปกปิดขนาดไหน แต่แกซ่อนแววตาตัวเองไม่ได้หรอก ถ้าแกเกลียดพวกรักร่วมเพศจริงๆ ล่ะก็หันไปพูดกับลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังแกให้ชัดๆ สิ พูดไปเลยว่าแกชอบผู้หญิง อ้อ...อย่าลืมบอกด้วยล่ะว่าแกชอบผู้หญิงแบบไหน”
   “ฉันว่า...ฉันปล่อยให้แกพูดมากอีกแล้ว”
   เว่ยจินหยินกล่าว สีหน้าเย็นชาเหมือนรูปสลักที่ทำจากไม้ ความเย็นยะเยียบจากกระบอกโลหะประทับเข้ากับขมับข้างขวาของมิคาเอล ลอว์ ชายผู้มีใบหน้าเหมือนรูปปั้นเทพบุตรฝืนยิ้ม
   “แกคิดจะเอาปืนมาขู่ฉันหรือ ฉันว่าไอ้ตำรวจด้านหลังแกคงไม่ยอมให้แกยิงฉันหรอก”
   “ห้ามฆ่าเขานะครับ คุณชาย”
   มิลเลอร์ คอยล์เอ่ย และทำสิ่งที่น่าตกใจด้วยการยกปืนเล็งไปยังศีรษะของเว่ยจินหยิน  ชายผู้มีฉายาว่าสุนัขจิ้งจอกเอ่ยเสียงเข้ม
   “เอาจริงรึ?”
   “ผมต้องปฏิบัติหน้าที่”
   มิลเลอร์ คอยล์ตอบคำ เว่ยจินหยินระบายลมหายใจ และยิ้มบางๆ
   “เอาปืนลง อาซาน หมอนั่นไม่ยิงฉันจริงๆ หรอก”
   ตำรวจอังกฤษสะดุ้ง เขาเพิ่งพบว่าเถียนซานเล็งปืนมาทางเขาเช่นกัน บุรุษวัยสี่สิบเศษยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง และลดปืนลง
   “เอาล่ะ มิกกี้.. ดูท่าฉันจะยิงนายไม่ได้จริงๆ งั้นลองแบบนี้ดีกว่า”
   กระบอกโลหะเคลื่อนออกจากขมับ เว่ยจินหยินเลื่อนมันมาอยู่ตรงหน้าของเขา มิคาเอล ลอว์ เห็นมือข้างขวาของตัวเองถูกจับขึ้นมาและกุมลงไปบนด้ามปืนของเขาเอง นัยน์ตาสีสนิมเบิ่งกว้าง ก่อนจะโพล่งออกมา
   “แกทำอะไรกับมือฉัน!!”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ มืออีกข้างรีบยกขึ้นมาผลักอีกฝ่ายออก เว่ยจินหยินใช้มือกำแขนที่ยกขึ้นมาขวางเอาไว้ และยิ้มน้อยๆ
   “ก็แค่ยาชานิดๆ หน่อยๆ ไม่ถึงตายหรอก วางใจได้ ฉันไม่นิยมใช้ยาเสพติดเหมือนนาย”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยกล่าว และโบกมือไปมา มิคาเอลรู้สึกแขนข้างซ้ายของเขาไร้ความรู้สึกแทบจะในทันที แล้วเขาก็เห็นเข็มเล่มเล็กๆ ที่ยื่นออกมาจากแหวนเงินที่อยู่บนนิ้วมือของเว่ยจินหยิน ผู้ชายคนนั้นขยับนิ้วนิดหน่อย เข็มนั่นก็หดกลับเข้าไปในแหวนราวกับไม่เคยมีอยู่แต่แรก นัยน์ตาของมิคาเอลเบิ่งกว้างจนหนังตาแทบฉีกขาดออกจากกัน
   “จินหยิน!!”
   เขาคำรามชื่อของบุคคลที่กำลังจับนิ้วมือของเขาเองสอดเข้าไปในไกปืน และพามันแนบเข้ากับศีรษะช้าๆ
   “ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ไม่ขัดข้องใช่ไหม คุณตำรวจ”
   เว่ยจินหยินกล่าว และพูดต่อทันที
   “มิคาเอล ลอว์ ยิงตัวตายเพราะไม่อยากถูกจับ นายเองก็ไม่เสียหายอะไรนี่”
   “ไม่ได้ครับ คุณจินหยิน ผมขอร้อง ผมยิงคุณจริงๆ นะ”
   มิลเลอร์ คอยล์พูดด้วยเสียงหนักแน่น เขากระชับปืนในมือ เล็งมันให้อยู่ในจุดที่เป็นอันตรายน้อยที่สุด ด้วยหวังว่าเขาจะหยุดเว่ยจินหยินได้ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะลงมือ คุณชายรองยิ้มให้เขา และเหนี่ยวไกในมือของมิคาเอล ลอว์
   ปัง!
   มิลเลอร์ คอยล์แทบจะปล่อยปืนหลุดจากมือ ทันทีที่เห็นร่างของอาชญากรที่เขาต้องการตัวทรุดฮวบลง ถึงเจ้าหมอนี่จะเป็นคนสั่งฆ่าเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติหน้าที่ก่อนเขาก็เถอะ แต่หน้าที่ของเขาคือพาเจ้านี่ไปขึ้นศาลและรับโทษ ไม่ใช่ให้มาตายอยู่ภายใต้คำตัดสินของใครคนใดคนหนึ่งที่นี่ แม้ว่าคนคนนั้นจะยื่นมือช่วยให้เขาได้รับหลักฐานต่างๆ มามากมายก็ตาม
   “นายไม่ยิงฉันจริงๆ”
   เว่ยจินหยินเอ่ย เขาคว้าแขนของมิคาเอล ลอว์เอาไว้ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มลงไปบนพื้น เจ้าหน้าที่มิลเลอร์ ขยับปากพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
   “คุณ..เว่ยจินหยิน....คุณ.....”
   คอยล์ไม่มีคำพูดอะไรจะพูดอีก เขาปล่อยมือที่ถือปืนให้ตกลงข้างตัว เขายิงเว่ยจินหยินไม่ได้ ต่อให้คิดว่าต้องรักษาหน้าที่ขนาดไหนก็ตาม เขาไม่สามารถเหนี่ยวไกยิงผู้ชายคนนี้ได้ แม้รู้ว่ามันไม่ทำให้ถึงชีวิต เขากลัว กลัวจะเห็นแววตาเจ็บปวดของเว่ยจินหยินที่มองมาทางเขา แต่ว่าตอนนี้ เป็นตัวเขาเองที่เจ็บปวด เพราะเว่ยจินหยินคงเดาเรื่องนี้ได้ล่วงหน้า ผู้ชายคนนี้แทบจะมองออกทุกอย่าง ตอนนี้มิลเลอร์ คอยล์พูดได้เต็มปากแล้วว่าเขากำลังโดนเว่ยจินหยินหลอกใช้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นผู้ชายที่เหมือนสุนัขจิ้งจอกคนนี้เลย ก็แค่...เสียใจนิดหน่อย ถ้าหากเว่ยจินหยินจะมองเห็นคุณค่าของเขาบ้าง..ไม่ทำอะไรหักหน้าเขาแบบนี้
   “ยิงเจ้าหน้าที่มีความผิดมากนะ อาซาน”
   เว่ยจินหยินพูดขึ้นเบาๆ มิลเลอร์ คอยล์เบือนหน้าไปมองจุดที่เถียนซานยืนอยู่ มฤตยูสีดำจ้องปากกระบอกของมันมาทางเขา พร้อมกับเจ้าของที่ยืนนิ่งเหมือนแท่งศิลา สีหน้าของเถียนซานดูเหมือนก้อนหินแกะสลัก เขาลดปืนลงช้าๆ และพูดออกมา
   “คุณชาย..คุณบังคับให้ผมเกือบยิงเจ้าหน้าที่”
   “ขอโทษที”
   เว่ยจินหยินเอ่ย และถอนหายใจ เขาลากร่างของมิคาเอลเข้ามาหามิลเลอร์ คอยล์ ที่ยืนอึ้งอยู่
   “ฉันคืนให้นาย ไม่ต้องคิดมากหรอก เขายังไม่ตาย”
   มิลเลอร์ คอยล์ยื่นมือไปรับร่างนั้นเข้ามา และพบว่ายังมีลมหายใจอยู่ เขาเงยมองเว่ยจินหยินด้วยสายตางุนงง
   “ฉันยิงกระสุนเปล่า”
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยคลายข้อสงสัย เขาโบกลูกทองแดงเม็ดเล็กๆ ในมือไปมา ได้ยินเสียงเถียนซานถอนหายใจ
   “ผมเห็นคุณแกะมันออกตอนที่ดึงแมกกาซีนแล้ว แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะเล่นแบบนี้จริงๆ”
   “นายโกรธหรือ?”
   เว่ยจินหยินหันไปถามลูกน้องของเขา เถียนซานพยักหน้า
   “คุณไม่ควรทำอะไรแบบนี้ มันอันตราย คุณลอว์อาจจะเสียสติหลังจากฟื้นขึ้นมาก็ได้”
   ผู้เป็นเจ้านายย่นคิ้ว
   “มิกกี้ประสาทแข็งจะตาย ไม่เป็นบ้าง่ายๆ หรอก ไว้ฉันจะเขียนจดหมายแนบไปว่าขอโทษแล้วกัน”
   เถียนซานพยักหน้าอย่างหมดหนทาง ก่อนจะพูดต่อ
   “อย่างนั้นคุณควรจะขอโทษนายตำรวจคนนั้นด้วย คุณทำให้เขาลำบากใจมาก”
   เว่ยจินหยินทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปหามิลเลอร์ คอยล์ ซึ่งพยายามจะหิ้วปีกมิคาเอล ลอว์อยู่
   “ฉัน...ขอโทษที่ทำให้นายตกใจ”
   เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเหมือนเด็กที่ถูกดุ มิลเลอร์ คอยล์อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขานึกด่าตัวเองที่ไปคิดน้อยใจอะไรแบบเมื่อครู่ และขอบคุณที่ไม่ยิงผู้ชายคนนี้ ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกขึ้นมาแล้วว่าเว่ยจินหยินนั้นน่ารักมากเสียจนเขาเผลอหลงรักไปเสียแล้ว แม้มันจะดูหวาดเสียวและน่าหวาดหวั่นอยู่มากก็เถอะ
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าคุณจะกรุณา มาพูดใกล้ๆ ผมได้รึเปล่า?”
   แม้จะดูไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ทางนั้นก็เดินเข้ามา ไม่ว่าจะเสแสร้งแกล้งทำรึเปล่า มิลเลอร์ คอยล์ก็ยังรู้สึกดีที่ได้เห็นสีหน้าแบบนั้นของเว่ยจินหยิน ทันทีที่อยู่ในระยะโจมตี ร่างแกร่งคว้าเอวของอีกฝ่ายเข้ามาและรั้งเข้าไปแนบตัว
   “จูบผมไถ่โทษก็ได้นะครับ”
   เว่ยจินหยินคิดว่าคำว่ามารยาททรามเหมาะที่จะพ่วงเอาไว้ท้ายชื่อของนายตำรวจคนนี้มากกว่านามสกุลเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เผยอริมฝีปากให้อย่างเชิญชวน มิลเลอร์ คอยล์กลืนน้ำลายเฮือก เขาคิดว่าจะได้ยินคำด่าหรืออะไรแบบนั้น หรืออย่างเก่งเว่ยจินหยินอาจจะเอาปากแตะปากเขาพอเป็นพิธี แต่นี่มันเกินคาดไปเยอะจนน่าตกใจ ร่างแกร่งโน้มหน้าลง แตะริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากได้รูปที่เผยออยู่
   ปัง!
   ลูกกระสุนที่แล่นเฉียดปลายผมเขาไปนิดหน่อยทำให้มิลเลอร์ คอยล์แทบจะตัวแข็งเป็นหิน เขามองผ่านด้านหลังของเว่ยจินหยิน และเห็นปากกระบอกปืนสีดำเล็งมาพร้อมกับไอควันที่พวยพุ่งขึ้นด้านบน ใบหน้าของเถียนซานยามจับปืนนั้นเหมือนรูปสลักหินไม่มีผิด นายตำรวจหนุ่มกลืนน้ำลายเฮือก และคิดว่าเขาอาจจะทำผิดที่คิดแตะต้องเจ้านายคนสำคัญของเถียนซานก็ได้ แต่เสียงที่ตามมาหลังจากนั้นทำให้เขารู้ว่าคิดมากไป
   “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ สุ่ย!”
   ถึงจะไม่มีใครสั่ง แต่สุ่ยคงไม่คิดจะลากสังขารเดินหน้าต่อ เพราะกระสุนปืนเจาะเข้าไปในเสาเหล็กตรงหน้าเขาและฝังตัวเองอยู่อย่างนั้น พร้อมกับเสียงที่ยังดังสะท้อนในแก้วหู เว่ยจินหยินขยับร่างอย่างรู้สึกตัว แล้วนัยน์ตาสีดำขลับนั้นก็เข้าสู่ภาวะคาดเดาไม่ได้อีกครั้ง
   “จริงสิ... ออกไปชมอ่าวฮ่องกงกันหน่อยไหม สุ่ย?”
   เขากล่าว และเดินออกจากโกดังไป โดยมีเถียนซานเดินไปลากคอสุ่ยตามไปติดๆ ดังนั้นมิลเลอร์ คอยล์จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพยุงร่างที่ไร้สติของมิคาเอล ลอว์ตามออกไปด้วย
   ลมที่พัดมาจากอ่าวฮ่องกงนั้นแรงพอจะทำให้ชายเสื้อที่มีกระดุมไม่ครบเม็ดของเว่ยจินหยินพลิ้วไหว คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยก้าวย่างด้วยท่วงท่าอันสง่างามโดยไม่ต้องฝืนหรือแสร้งทำ มันเป็นท่าเดินยามปกติของเขา ท่าเดินของคนที่ถูกฝึกมารยาทมาอย่างดีและไม่ต้องแบกหรือลากใครให้ยุ่งยาก ต่างจากอีกสองคนด้านหลัง แต่สำหรับเถียนซานนั้น ร่างของสุ่ยคงเหมือนถุงอะไรซักอย่างที่ถึงไม่ได้เบามากแต่ก็ไม่ได้หนักมาก เขากึ่งลากกึ่งหิ้วผู้ชายที่ร่างเล็กกว่าคนนั้นเดินตามเจ้านายไป แม้จะสุ่ยจะน่าสงสาร ทั้งถูกยิงและถูกลากอีก แต่มิลเลอร์ คอยล์คิดว่าตัวเขาอาจจะน่าสงสารกว่า ที่ต้องแบกมิคาเอล ลอว์ที่ไม่ได้สติจริงๆ เดินตามมาเป็นคนสุดท้าย
   เถียนซานโยนร่างของสุ่ยที่ได้รับบาดเจ็บลงแทบจะชนกับปลายเท้าของเว่ยจินหยิน ดูท่าเขาจะปฏิบัติกับคนทรยศคนนี้ต่างจากที่ปฏิบัติกับมิคาเอล ลอว์ที่เป็นศัตรูของเจ้านายอย่างสิ้นเชิง คงเพราะมิคาเอล ลอว์เป็นคนนอกแก๊งและเป็นที่ต้องการตัวของตำรวจ แต่สุ่ยไม่ใช่
   มิลเลอร์ คอยล์ทำงานแบบนี้มานานพอที่จะเห็นการลงโทษที่แก๊งต่างๆ ทำเมื่อจับไส้ศึกได้ และแต่ละวิธีก็หฤโหดจนต้องหันหน้าหนี ตอนนี้เขามั่นใจว่าวิธีของเว่ยจินหยินจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เขาจะบันทึกไว้เป็นหนึ่งในสิบวิธีลงโทษอันแสนสยอง
   “ลมดีใช่ไหมล่ะสุ่ย.. นายน่ะ ยังจำรองเท้าคู่นี้ของฉันได้ไหม?”
   สุ่ยไม่ตอบ ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ความเจ็บปวดจากลูกกระสุนที่ฝังอยู่บนไหล่มากพอที่จะทำให้เขาเลือกจะมองรองเท้าของเว่ยจินหยินมากกว่าจะพยายามแหงนหน้ามองอีกฝ่าย ผู้เป็นเจ้านายที่เขาทรยศเอ่ยต่อ
   “สองปีก่อน นายก้มลงจูบมัน แล้วสาบานว่าจะภัคดีกับฉันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ นายจำได้รึเปล่า?”
   ผู้ถูกถามไม่ตอบ เขาถ่มน้ำลายลงบนรองเท้าคู่นั้น เว่ยจินหยินหลับตา ลมทะเลพัดมาวูบใหญ่ พัดเอาปอยผมสีดำร่วงลงมาปรกใบหน้า ชายหนุ่มปัดมันออก
   “ฉันรู้ว่าเย่หมิงเป็นพี่ชายนายก่อนที่นายจะมาขอทำงานกับฉันเสียอีก”
   คราวนี้ แม้จะเจ็บปวดที่หัวไหล่ สุ่ยก็จำต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของเขา เว่ยจินหยินย่อตัวลงนั่ง และเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้าๆ
   “นายใช้เงินที่ได้จากประกันชีวิตของเย่หมิงบ้างรึเปล่า?”
   นัยน์ตาของสุ่ยเบิ่งค้าง เนิ่นนานเขาจึงเบือนหน้าไปในทางอื่น โดยไมได้ตอบคำถาม เว่ยจินหยินถอนหายใจแข่งกับเสียงของสายลม
   “ไม่ได้แตะต้องมันเลยสินะ นายไม่ได้เรียนต่อเลยใช่ไหมล่ะ?”
   “คุณจะมาสนใจทำไม?”
   สุ่ยเอ่ยขึ้นโดยข่มความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจเอาไว้ แต่เขายังคงไม่หันหน้ามามองเจ้านายของเขา เว่ยจินหยินยิ้มบางๆ
   “ฉันต้องสนใจ เพราะนายเป็นน้องชายของลูกน้องที่ฆ่าตัวตายต่อหน้าฉัน”
   สุ่ยเงยหน้าขึ้นมองเว่ยจินหยินทันที จนถึงตอนนี้ผู้ชายคนนี้ยังกล้าพูดคำนี้อยู่อีกหรือ แม้อย่างนั้นเว่ยจินหยินยังคงยืนยันจะเล่าเรื่องที่ค้างคาอยู่ต่อ
   “ฉันจำลมที่พัด และไอน้ำเค็มนั่นได้  มันเป็นเวลาดึกขนาดนี้แหละ ไม่บ่อยหรอกนะที่ฉันต้องไปดูโกดังที่ถูกลูกน้องตัวเองจุดไฟเผาตอนเที่ยงคืนน่ะ”
   “ไฟนั่น คุณกุมันขึ้นมา!”
   สุ่ยยังคงเถียง เว่ยจินหยินไม่ได้แก้ข้อกล่าวหานั้นในทันที เขาเล่าต่อ
   “พอฉันไปถึง ไฟที่ว่าก็ดับไปแล้ว ดูเหมือนมันจะไหม้แค่หย่อมเล็กๆ เย่หมิงกำลังโดนลูกน้องคนอื่นๆ ที่เฝ้าโกดังเหมือนกันล้อมอยู่ จะว่าไปนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้จักพี่ชายของนาย เขาเป็นคนที่หัวหน้าโกดังรับเข้ามาอีกที ตอนนั้นเขาถูกซ้อมจนอ่วมไปหมดแล้วล่ะ ฉันก็พอเข้าใจอยู่หรอกนะ ใครจะไปคิดล่ะว่าจู่ๆ เขาจะลุกขึ้นมาจุดไฟเผาโกดัง”
   “หัวหน้าโกดังตอนนั้นตกใจน่าดู เขากลัวว่าจะถูกฉันลงโทษที่ไปรับใครไม่รู้มาทำงาน แล้วยังดันเป็นมือเพลิงอีก เพราะอย่างนั้นแหละเขาเลยรีบโทรเรียกฉันไป เย่หมิงน่ะไม่ได้พูดอะไรเลยตอนที่เห็นฉัน เขาคลานเข้ามาหา ก้มลงจูบที่รองเท้า แล้วก็พยุงตัวโซซัดโซเซไปที่ริมอ่าว แล้วก็ร่วงลงไปทั้งอย่างนั้น ฟองคลื่นแตกกระจาย แล้วร่างของเขาก็หายไปในความมืดของทะเล นายจะหาว่าฉันอำมหิตก็ได้ ฉันไม่ได้สั่งให้ลูกน้องตามลงไป เพราะมันดึกมาก ฉันไม่อยากเสี่ยงให้ลูกน้องคนอื่นๆ ของฉันต้องตายอีก”
   “ฉันนึกเหตุผลไม่ออกในทันทีว่าทำไมเย่หมิงถึงได้ทำแบบนั้น วันรุ่งขึ้นก็มีคนพบศพเขา ตอนนั้นแหละที่ฉันรู้ว่าเย่หมิงทำประกันเอาไว้ และรู้ว่าเขามีน้องชายอีกคนหนึ่งที่มีสิทธิ์ได้รับเงินประกัน นายคงเห็นในหนังสือที่บริษัทประกันเอาไปให้นายแล้วว่าฉันเป็นคนเซ็นต์รับรองเองว่าเย่หมิงตายด้วยอุบัติเหตุ”
   สุ่ยกัดฟันกรอด เขาแค่นเสียงออกมาอย่างเจ็บปวด
   “โกหก คุณโกหก คุณฆ่าพี่ชายผม...คุณ...คุณนั่นแหละ...”
   เว่ยจินหยินถอนหายใจอีกรอบ
   “สุ่ย... นายจะคิดว่าฉันโกหกหรืออะไรมันก็เป็นเรื่องของนาย แต่หลังจากเย่หมิงตาย ฉันก็เริ่มให้คนสืบเรื่องของเขา เลยรู้ว่าเขาต้องส่งเสียน้องชายอีกคนหนึ่งเรียนหนังสือ และเคยบ่นกับเพื่อนหลายคนว่าเงินเดือนแค่นี้เขาคงไม่มีปัญญาจะส่งน้องชายเรียนมหาวิทยาลัยได้ วันที่เขาตาย มันคือวันก่อนที่นายจะมอบตัวที่มหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือไง?”
   “ฉันรู้สึกสะเทือนใจพอสมควรในเรื่องนี้ แต่ก็คิดว่าไม่ควรจะเข้าไปยุ่งให้มาก ในเมื่อเย่หมิงต้องการแบบนั้น มันก็เป็นเรื่องของเขา แต่พอฉันเห็นนายมาสมัครงานที่นี่ ฉันเลยคิดว่าเพราะพี่ชายนายตาย นายเลยไม่มีกะใจจะเรียนต่อ เพราะอย่างนั้นฉันเลยรับนายเข้าทำงานโดยไม่ซักประวัติอะไรเพิ่มเติม ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเย่หมิงคิดยังไงกับฉัน ฉันแค่รู้ว่าเขาคงอยากให้นายมีความสุข ได้ทำงานดีๆ มากกว่าตัวเขา”
    “คะ..คนอย่างคุณ...ทำไมถึงมาพูดเอาตอนนี้”
   สุ่ยตะกุกตะกัก เขาก้มหน้านิ่ง ขบริมฝีปากเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
   “พี่ชายผม....เย่หมิงเคยพูดถึงคุณ เขาบอกว่าคุณชายรองของตระกูลเว่ยน่ะ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ร่ำลือกันหรอก เพราะคุณชายน่ะก้มลงเก็บม้วนเชือกที่เขาทำหล่นไปคืนให้ด้วยตัวเองโดยไม่ว่าอะไรสักคำ คนที่สุภาพแบบนั้นน่ะ ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก เขาว่าถ้าเขามีความสามารถมากกว่านี้ เขาอยากจะไปทำงานกับคุณที่สำนักงานใหญ่ แต่ถึงตอนนี้เขาจะทำได้แค่คนงานยกของกับเก็บเชือกในโกดัง แต่เขาจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อคุณ”
   เว่ยจินหยินกลืนน้ำลาย จำเรื่องเชือกนั่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ปกติเขาก็มักจะเก็บของที่ขวางหูขวางตาไปไว้ที่ หรือคืนเจ้าของอยู่แล้ว สุ่ยพูดต่อ
   “เพราะอย่างนั้น ผมถึงได้แค้น..แค้นที่คุณฆ่าเขา ทั้งๆ ที่เขาจงรักภัคดีกับคุณขนาดนั้น ถึงเขาจะเป็นแค่คนงานยกของก็เถอะ ผมอยากล้างแค้น อยากเห็นคุณสำนึกผิดที่ทำกับพี่ชายผมแบบนั้น ผมเฝ้าบอกตัวเองว่าพี่ชายผมเข้าใจคุณผิด คุณน่ะมันเลวร้าย”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า จะว่าไปคนที่บอกว่าเขาเลวร้ายมีมากกว่าคนที่ชมเขาเสียอีก คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ เพราะเขาเองก็ยอมรับว่าตัวเองทำเรื่องร้ายกาจลงไปหลายอย่างจริงๆ
   “แล้วคุณก็ทำให้ผมต้องออกไปเมาทุกวัน ทำไมคุณถึงไม่บอกผมเร็วกว่านี้ ถึงคุณจะทำดีกับผมยังไงผมก็เฝ้าบอกตัวเองว่ามันเป็นแค่การหลอกลวง คุณน่ะหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา ถึงอย่างนั้นสิ่งที่คุณทำมันก็ช่าง..ช่างดีเสียเหลือเกิน คุณชาย...ถ้าคุณยังมีความปราณีเหลืออยู่บ้างจริงๆ ล่ะก็ ฆ่าผมเสียเถอะ”
   มิลเลอร์ คอยล์ยกมือขึ้นลูบหน้า เขาไม่รู้ว่าเว่ยจินหยินพูดจริงหรือเปล่า แต่เรื่องที่เล่าออกมานั้นช่างสะเทือนใจนัก และสิ่งที่สุ่ยพูดออกมาก็น่าสะเทือนใจเช่นกัน เพราะเขาเองก็พอจะรู้สึกว่าเว่ยจินหยินนั้นหลอกใช้อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็รู้สึกว่ามันช่างดีเหลือเกิน ดีเหลือเกินที่ถูกหลอกแบบนี้
   เถียนซานนั้นยืนนิ่งเหมือนรูปศิลาเช่นเคย จะว่าไปแล้วตั้งแต่เขาปรากฏตัว ผู้ชายคนนี้ยังพูดไปไม่ถึงสิบประโยคด้วยซ้ำ ตอนที่เจอกันครั้งแรกคอยล์คิดว่าเขาเป็นคนที่สนุกสนานเฮฮาอยู่ตลอดเวลาเสียอีก แต่ตอนนี้มิลเลอร์ คอยล์เข้าใจแล้วว่าทำไมเถียนซานถึงมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าของหน่วยดำ หน่วยที่มีหน้าที่ล่าสังหารและทำงานสกปรกทุกอย่างให้กับคนในตระกูลเว่ย ผู้ชายคนนี้เรียนรู้ที่จะวางตัวอย่างเหมาะสม พูดและทำในสถานการณ์แบบนี้เท่าที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ ถึงอย่างนั้นไอ้กระสุนที่ยิงมาเมื่อครู่ก็ยังทำให้คอยล์รู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่นิดหน่อย ไม่รู้ว่าเถียนซานจงใจยิงให้เฉี่ยวหัวเขาด้วยรึเปล่า
   “ฉันจะไม่ฆ่านาย ฉันจะไม่ทำเรื่องที่ฉันไม่อยากทำ”
   เว่ยจินหยินเอ่ยและผุดลุกขึ้น ก่อนจะพูดต่อ
   “ฉันไม่ยินดีจะรับคนที่ไม่ตั้งใจทำงานเข้ามาเป็นลูกน้อง เพราะฉะนั้น ตอนนี้นายไม่มีคุณสมบัติจะเป็นลูกน้องฉันอีก และฉันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องฆ่านาย ไปกันเถอะ”
   พูดจบก็เดินผ่านสุ่ยที่ยังคงกึ่งนั่งกึ่งคุกเข่าออกมา เถียนซานพยักหน้าเล็กน้อยและเดินตามเจ้านายของเขาออกไป ทำให้มิลเลอร์ คอยล์ต้องแบกมิคาเอล ลอว์ ตามออกไปด้วย

   “บอกสารวัตรหลี่ด้วยว่ามีคนเจ็บอยู่ด้านในอีกหนึ่ง”
   เว่ยจินหยินเอ่ยขึ้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าของท่าเรือ ที่นั่นมีรถตำรวจจอดอยู่ราวๆ หกเจ็ดคัน แน่นอนว่าลูกน้องของมิคาเอลที่ถูกไล่ออกมาก่อนหน้านี้ถูกรวบไว้หมด เจ้าหน้าที่สองคนมารับตัวมิคาเอล ลอว์ไป มิลเลอร์ คอยล์เอ่ยถามอย่างสงสัย
   “แล้วคุณไม่ไปกับพวกผมเหรอ?”
   เว่ยจินหยินสั่นศีรษะ
   “นี่มันเลยเวลานอนของฉันแล้ว อีกอย่าง ฉันไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องไปด้วยกันหรอก”
   “งั้นหรือ...”
   มิลเลอร์ คอยล์ครางเสียงอ่อน เขาคิดว่าเว่ยจินหยินจะไปด้วยกันเสียอีก เผลอคิดไปถึงขั้นว่างานนี้เขาอาจจะได้รางวัลพิเศษจากเจ้านายกำมะลอคนนี้ แต่สงสัยคงจะฝันมากไป นายตำรวจหนุ่มพยักหน้า
   “โอเคครับ งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้ ผมจะไปหาคุณที่ตึก”
   “อืม”
   เว่ยจินหยินโบกมือพอเป็นพิธี ขณะที่อีกฝ่ายกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปสมบทกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รออยู่ที่รถ เถียนซานหันมาถามเจ้านายของตัวเอง
   “คุณไม่กลับไปกับพวกตำรวจหรือครับ?”
   เว่ยจินหยินสั่นศีรษะ มองดูอดีตลูกน้องและหัวเราะ
   “นายน่ะ แต่งตัวเหมือนอาแปะที่ขายบะหมี่เลย รู้ไหม?”
   เถียนซานอมยิ้ม
   “ผมคิดว่ามันไม่ค่อยสะดุดตาดี”
   “อืม ไม่สะดุดตาจริงๆ แหละ ยกเว้นความสูงของนายน่ะนะ”
   “อันนี้สงสัยผมคงจะแก้ไม่ได้”
   เขาว่า และถอนหายใจ
   “คุณชายกลับไปกับพวกตำรวจดีกว่า..”
   “ทำไมล่ะ นายไม่ได้เอารถมาหรือไง?”
   เว่ยจินหยินเงยหน้าถามอย่างสงสัย เถียนซานนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
   “ผมจอดไว้ไกลพอดูเลยล่ะครับ”
   “ไม่เป็นไร ฉันเดินไปคุยกับนายไปก็ได้”

   อดีตเจ้านายและลูกน้องเดินเคียงคู่กันไปตามถนนแคบๆ ที่มีแสงไฟส่องถนนซึ่งติดบ้างดับบ้าง สลับกันส่องแสงลงมาย้อมความมืดเบื้องหน้า เสียงรถยามค่ำคืนนั้นเบาบางกว่าช่วงกลางวันมาก แต่ก็มีความเร็วกกว่าช่วงกลางวันเช่นกัน เว่ยจินหยินเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
   “นานแล้วนะที่ฉันกับนายไม่ได้ออกมาเดินด้วยกันแบบนี้สองคน”
   เถียนซานพยักหน้า และพูดตอบ
   “ความจริงคุณไม่ควรออกมาเดินแบบนี้ โดยเฉพาะตอนดึกที่ไม่มีคนคุ้มกัน”
   “ไม่เป็นไรหรอก.. มีนายทั้งคน”
   เว่ยจินหยินว่า เถียนซานยิ้มและถอนหายใจ
   “ผมดูแลคุณไม่ได้ตลอดหรอกครับ”
   “ฉันไม่ได้บอกให้นายดูแลฉันไปตลอดเสียหน่อย”
   “ครับ..”
   เถียนซานกล่าว แล้วทั้งคู่ก็เงียบไปอีกพักใหญ่ นอกจากเสียงรถที่วิ่งผ่านไปผ่านมาในละแวกนั้นแล้ว ก็คงมีเสียงฝีเท้านี่แหละ ที่ดังควบคู่กันไป
   “นี่...อาซาน..แว่นที่นายตัดให้ฉันน่ะ มิกกี้ทำมันพังแล้วล่ะ”
   เว่ยจินหยินเอ่ยและหยิบเอาสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น ซาก ของแว่นตาขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง เถียนซานเอ่ยอย่างแปลกใจ
   “เก็บมาด้วยหรือครับ สภาพแบบนั้นผมว่าทิ้งไปดีกว่า มันคงซ่อมไม่ได้แล้วล่ะ”
   ผู้เป็นอดีตเจ้านายสั่นศีรษะ
   “ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากทิ้งของที่นายให้หรอก”
   “ผมตัดให้ใหม่ก็ได้ครับ เดี๋ยวจะให้อาซิงไปเลือกกรอบสวยๆ ให้ หรือว่าคุณจะไปเลือกเองเลยดี”
   เว่ยจินหยินสั่นศีรษะอีกรอบ
   “เอาแบบเดิมแหละ เอาแบบที่นายเลือกให้ฉัน”
   “ก็ได้ครับ แต่ผมว่าคุณใส่คอนแทคเลนส์ก็ดูจะสะดวกดี”
   “ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ อีกอย่างฉันอยากได้แว่นที่นายตัดให้”
   “ครับ...”
   ทั้งคู่เงียบไปอีกพักหนึ่ง ในที่สุดฝ่ายที่เอ่ยขึ้นก่อนยังคงเป็นเว่ยจินหยิน
   “นายไม่คิดจะถามเลยรึ ว่าทำไมฉันถึงได้จองล้างจองผลาญรูมเมทสมัยเรียนที่อังกฤษขนาดนี้”
   “คุณลอว์น่ะหรือครับ?”
   เถียนซานเอ่ยถาม เว่ยจินหยินพยักหน้า
   “มิกกี้เป็นรูมเมทฉัน นายเองก็รู้นี่”
   “ผมเคยเจอเขา”
   อีกฝ่ายตอบ เว่ยจินหยินโคลงศีรษะ
   “ใช่ มิกกี้พูดมากเกินไป เขาพูดกับนายว่าอะไรล่ะ?”
   “ไม่ค่อยเป็นสาระหรอกครับ ผมว่าเขาพูดมากไปจริงๆ นั่นแหละ”
   “เหรอ...”
   ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายเริ่มว่าทางโน้นก่อนแท้ๆ แต่ถึงจุดนี้เสียงที่พูดออกมาของเว่ยจินหยินกลับดูผิดหวังอย่างน่าประหลาด
   “นั่นสินะ.. ดีแล้วล่ะที่นายไม่ถือมันเป็นสาระ”   
   ผู้เป็นเจ้านายกล่าว แต่กลับรู้สึกขมไปทั้งปาก เขารู้ว่ามิคาเอล ลอว์พูดอะไรกับเถียนซาน เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยอยากให้เถียนซานรู้ และมันเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาต้องจองล้างจองผลาญรูมเมทคนนี้
   เมื่อเห็นว่าเว่ยจินหยินเงียบไปนานจนผิดปกติ เถียนซานจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นบ้าง
   “คุณจะเขียนหนังสือไปขอโทษเขาหรือเปล่า?”
   เว่ยจินหยินหันมามองอย่างแปลกใจ แต่ก็พยักหน้า
   “ถ้านายว่างั้น ฉันก็จะเขียน อืม..จริงๆ ก็มีหลายเรื่องที่ฉันอยากจะขอโทษ อย่างเช่นเรื่องที่ฉันใช้ให้เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นข่มขืนเขาตอนนั้น”
   “ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะทำอะไรแบบนั้น”
   เถียนซานพูด และถอนหายใจ เว่ยจินหยินรีบพูดต่อ
   “ไฮ้! ฉันบอกนายแล้วว่ามิกกี้พูดมาก เขาบีบให้ฉันทำแบบนั้นเอง แต่ตอนนั้นเขาก็เสพยาด้วยน่ะแหละ นายก็รู้ฉันไม่ชอบคนติดยา แล้วจริงๆ ฉันก็ไม่คิดหรอกนะว่ามันจะเลยเถิดถึงขั้นข่มขืนกันเลยน่ะ”
   “เพราะอย่างนั้นผมว่าคุณควรจะเขียนหนังสือขอโทษเขา”
   “รับรองว่าฉันเขียนแน่ๆ”
   เว่ยจินหยินว่า ทั้งคู่เดินมาถึงรถของเถียนซานที่จอดหลบอยู่ในมุมหนึ่งของลานจอดรถสาธารณะ เขาเปิดประตูให้เจ้านายเข้าไปก่อน และเดินเข้ามานั่งด้านคนขับ
   “นี่ อาซาน”
   เว่ยจินหยินเอ่ยและเอื้อมมือไปจับมือของอดีตลูกน้อง เขาสัมผัสได้ถึงเส้นเอ็นปูดโปนบนมือที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมามากมาย เถียนซานชะงักมือ หันหน้ามามองอดีตเจ้านาย
   “ที่มิกกี้พูดกับนายน่ะ นายคิดว่ามันไร้สาระใช่ไหม?”
   “ครับ”
   เถียนซานกล่าวสั้นๆ แต่หนักแน่น เว่ยจินหยินคลายมือออก และพยักหน้า
   “กลับกันเถอะ”
   ผู้เป็นอดีตลูกน้องถอยรถออกจากที่จอด และพารถวิ่งออกไปบนถนนที่ค่อนข้างโล่งบนเกาะฮ่องกงในยามค่ำคืน แต่หัวใจของเว่ยจินหยินนั้นว่างเปล่ายิ่งกว่าถนนพวกนั้นเสียอีก
   ใช่ล่ะ...ความรู้สึกนั่นเป็นแค่เรื่องไร้สาระที่ไม่ควรจะเก็บเอามาคิดหรอก

-----------------------------------------------------------

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
คุณชายแกโหดเหมือนกันนะเนี่ย เหอๆๆๆ  :a5:

แต่อิตาคุงพี่เถียนซาน นี่ก็ใจร้ายอะ น่าสงสารคุณชาย จะสมหวังหรือเปล่าเนี่ย  :monkeysad:

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
เศร้าค่ะ...สงสารจินหยิน
ตัดใจเถอะนะ...มิลเลอร์มาปลอบด่วนเลย
รู้สึกดีใจที่สุ่ยไม่โดนฆ่าด้วย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog

ตอนที่5 ความฝันแสนหวานที่ไม่อยากจดจำ

   มิลเลอร์ คอยล์รีบแจ้นมาที่สำนักงานของเว่ยจินหยินตั้งแต่สิบโมงเช้า เขาเพิ่งนอนไปได้สักหนึ่งหรือสองชั่วโมง เพราะต้องทำเรื่องหลายอย่าง ทั้งยังต้องรายงานเรื่องกับผู้บังคับบัญชาที่อยู่อังกฤษอีก การได้ตัวมิคาเอล ลอว์นั้นทำให้เขาได้รับคำชมมากมาย แต่ที่เจ้าหน้าที่มิลเลอร์ คอยล์อยากเจอมากที่สุดคือคนที่เป็นต้นคิดทั้งหมดของเรื่องนี้
   เว่ยจินหยิน
   ดังนั้น พอตื่นนอนและปลีกตัวออกมาได้ เขาก็บึ่งมาที่นี่ทันที ดูเหมือนเว่ยจินหยินจะสั่งลูกน้องไว้ล่วงหน้าว่าเขาจะมาวันนี้ มิลเลอร์ คอยล์เลยไปถึงห้องทำงานของเว่ยจินหยินในเวลาไม่นานนัก และพบว่าเว่ยจินหยินอยู่คนเดียว
   “ไมเคิลกับโจล่ะครับ?”
   นายตำรวจหนุ่มเอ่ยถาม เพราะปกติสองคนนี่มักจะอยู่ใกล้ๆ เว่ยจินหยินโดยตลอด เพราะเป็นคนสนิทและบอร์ดี้การ์ด เว่ยจินหยินสั่นศีรษะ
   “ให้ออกไปทำธุระนิดหน่อย”
   คอยล์พยักหน้า แต่ก็ยังถามต่อ
   “เถียนซานล่ะครับ?”
   “กลับไปแล้ว”
   เว่ยจินหยินตอบเรียบๆ คอยล์รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาคิดว่าเถียนซานจะอยู่กับเว่ยจินหยินในวันนี้เสียอีก ดูเหมือนเมื่อวานเว่ยจินหยินเองก็จงใจจะกลับกับอดีตลูกน้องของเขาแค่สองต่อสองด้วย หรือว่าความจริงแล้วสองคนนี่ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งกันมากอย่างที่เขาคิด
   “งั้น อืม... ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
   คราวนี้เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะ คอยล์เห็นว่าเขากำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่ คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยวางปากกาและยิ้ม
   “ช่างถามจริงๆ ฉันกำลังเขียนหนังสือขอโทษมิกกี้อยู่”
   “มิคาเอล ลอว์น่ะนะ?”
   นายตำรวจหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ เว่ยจินหยินพยักหน้า
   “อาซานอยากให้ฉันขอโทษเขา อืม..ความจริงตอนนี้ฉันรู้สึกจริงๆ แหละว่าต้องขอโทษเขา”
   “ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คุณกับเขาเคยมีเรื่องอะไรกันมาก่อนงั้นหรือ?”
   เว่ยจินหยินเบิ่งนัยน์ตาด้วยความแปลกใจบ้าง เขาถามกลับ
   “นี่นายยังไม่คุยกับมิกกี้อีกเหรอ?”
   มิลเลอร์ คอยล์สั่นศีรษะ
   “เขายังไม่ฟื้นเลย คุณนี่มันโหดจริงๆ นะ บางทีไอ้ฉายาสุนัขจิ้งจอกนี่อาจจะดูเบาไปด้วยซ้ำผมว่า”
   เว่ยจินหยินหัวเราะ ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงถลึงตาใส่ ไม่ก็ด่าด้วยถ้อยคำสุภาพที่มีฤทธิ์เดชทิ่มแทงเข้าไปในทรวงราวกับหอกดาบ
   “ถ้ามิกกี้พูดแบบนั้น นายควรจะเชื่อเขา เพราะเขารู้จักฉันมานานกว่านาย”
   “คุณสองคนไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยใช่ไหมล่ะ?”
   นายตำรวจหนุ่มเอ่ยถาม เว่ยจินหยินพยักหน้าและพูดต่อ
   “เขาเคยเป็นรูมเมทฉัน มิกกี้น่ะฉลาด วางตัวดี ฉันคิดว่าเราน่าจะเข้ากันได้ในเรื่องใช้ห้องร่วมกัน แต่แย่หน่อยที่เขาพูดมาก ปากสว่าง ฉันก็เลยจัดการสั่งสอนนิดๆ หน่อยๆ”
   “ไอ้นิดๆ หน่อยๆ ของคุณนี่ยังไงกันน่ะ เทียบกับที่ทำเมื่อคืนนี่ เรียกว่านิดๆ หน่อยๆ ด้วยรึเปล่า?”
   ผู้ถูกถามโคลงศีรษะ
   “อืม...อย่าเอาไปเทียบกันเลย เมื่อคืนนี้ฉันทำเพราะหน้าที่ ฉันคงปล่อยให้มิกกี้เข้ามาค้ายาในฮ่องกงไม่ได้หรอก แต่ถ้านายไม่เชื่อว่าฉันจะเป็นคนดีแบบนั้น ฉันบอกไว้หน่อยก็ได้ ว่าส่วนหนึ่งฉันก็อยากจะย้ำแค้นเขา มิกกี้น่ะ น่าแกล้งออก นายไม่เห็นหรือ?”
   มิลเลอร์ คอยล์สั่นศีรษะอย่างจริงจัง
   “ถึงผมอยากแกล้งใครคงไม่ทำแบบคุณแน่ๆ ว่าแต่คุณทำอะไรกับเขาเมื่อสิบปีที่แล้ว”
   “ฉันหลอกเขาไปให้ผู้ชายข่มขืน”
   เว่ยจินหยินตอบสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความ ด้วยน้ำเสียงธรรมดาจนคนฟังรู้สึกสยอง
   “นี่คุณก่ออาชญากรรมตั้งแต่เรียนมหาลัยเลยหรือไง?”
   ผู้ถูกกล่าวหาหัวเราะชอบใจ
   “พูดจาสมเป็นตำรวจ ถึงนายจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะ ไม่มีตำรวจอังกฤษคนไหนมาจับฉันหรอก แล้วฉันก็ไม่เคยถูกที่นั่นขึ้นแบล็กลิสท์ จริงๆ มิกกี้เองถึงไม่โดนข่มขืนก็สำส่อนอยู่แล้ว”
   “ถึงจะเป็นแบบนั้นก็นะ... ให้ตายสิ ผมสงสารมิคาเอล ลอว์ชะมัดที่ได้รูมเมทแบบคุณ”
   มิลเลอร์ คอยล์พูด และสั่นศีรษะอีกครั้งด้วยความสยดสยอง เว่ยจินหยินหัวเราะร่วน
   “งั้นนายควรรีบปล่อยตัวเขา ฉันรู้มาคร่าวๆ ว่าคดีคราวนี้เขาอาจจะติดคุกจนตายไปเลยก็ได้ สิบปีก่อนเขาโดนข้อหาเบามาก จริงๆ แล้วต้องขอบคุณฉันนะ เพราะถ้าไม่ถูกรุมข่มขืนขนาดนั้นเขาคงเอาไปอ้างในศาลไม่ได้ว่าถูกมอมยา”
   “แล้วตกลงคุณมอมยาเขาไหมล่ะ?”
   นายตำรวจหนุ่มถามกลับ ดูจากพฤติกรรมของเว่ยจินหยินเมื่อคืนแล้ว ชายคนนี้มีวี่แววจะทำเรื่องเลวร้ายได้แทบทุกอย่างจริงๆ อีกฝ่ายสั่นศีรษะ
   “ฉันเปล่า มิกกี้ติดยาอยู่แล้ว แถมชอบเอามาฉีดในห้องด้วย โชคดีของเขาที่ฉันไม่พูดมาก แต่ก็โชคร้ายอีกนั่นแหละที่ฉันน่ะไม่ชอบจริงๆ กับไอ้เรื่องเสพยาเนี่ย”
   “เพราะอย่างนั้นคุณเลยหลอกเขาไปให้คนอื่นข่มขืน เหตุผลคุณนี่แปลกๆ แหะ ถ้าคุณไม่พอใจที่เขาติดยา ก็น่าจะแจ้งตำรวจสิ”
   “ฉันมีเหตุผลอื่น”
   เว่ยจินหยินตอบ และถอนหายใจ
   “มิกกี้พูดมากเกินไป พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดกับคนที่ไม่ควรอย่างที่สุด ฉันเลยต้องสั่งสอนเขา กับอีแค่ให้ตำรวจจับน่ะยังไม่สาสมหรอก”
   “คุณนี่แค้นฝังหุ่นจริงๆ ว่าแต่เขาพูดอะไรที่ทำให้คุณแค้นขนาดนั้น”
   เว่ยจินหยินโบกมือทันที
   “นั่นไม่ใช่เรื่องที่นายควรรู้หรอก แล้วตอนนี้มันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรแล้ว ฉันเลยคิดว่าฉันควรจะขอโทษมิกกี้ในหลายๆ เรื่อง”
   “ถ้ามันไม่สำคัญ คุณก็น่าจะบอกผมได้นี่”
   มิลเลอร์ คอยล์กล่าว อีกฝ่ายหรี่ตามองเขา
   “นายนี่เป็นโรคสอดรู้สอดเห็น หรือว่าพูดเป็นต่อยหอยมาแต่เกิดกันแน่”
   ผู้ถูกเอ็ดหัวเราะอย่างร่าเริง
   “แบบนี้สิถึงจะสมเป็นคุณหน่อย วันนี้คุณพูดกับผมเยอะผิดปกติเลยนะ ดูเหมือนคุณจะอารมณ์ดี ถ้าไม่นับว่าตาคุณบวมๆ เมื่อคืนร้องไห้หรือ?”
   “ฉันน่ะรึ?”
   เว่ยจินหยินถามเสียงแปลก ก่อนจะหัวเราะออกมา
   “คงเพราะนอนดึกมากกว่า นายก็รู้ ฉันนอนไม่เกินสี่ทุ่ม”
   อีกฝ่ายพยักหน้าแกนๆ และพูดต่อ
   “เมื่อคืนคุณกลับมากับเถียนซานนี่ เขาค้างที่นี่รึเปล่า?”
   เว่ยจินหยินสั่นศีรษะ
   “เขาส่งฉันแล้วกลับไปที่หน่วยดำเลยน่ะ”
   มิลเลอร์ คอยล์พยักหน้า
   “ผมไม่อยากเชื่อ เมื่อวานเขาลุยกับคนของมิคาเอลตั้งสิบกว่าคนด้วยตัวคนเดียวหรือ เขาเก่งขนาดนั้นเลยหรือไง?”
   “เขาเป็นคนสอนกังฟูฉัน”
   เว่ยจินหยินตอบอย่างสั้นๆ แต่อธิบายได้แทบทั้งหมด มิลเลอร์ คอยล์พยักหน้าหงึกหงัก มิน่าเล่าตอนนั้นถึงได้ถามว่าซ้อมบ่อยหรือ ที่แท้ก็เป็นคนสอนให้นี่เอง
   “คุณสั่งให้เขาไปที่นั่นรึ รวมถึงเรื่องดับไฟด้วยหรือ?”
   “ฉันบอกแค่คร่าวๆ อาซานกับฉันรู้จักกันมานานจนแทบจะเข้าใจแผนการกันทะลุปรุโปร่งแล้วล่ะ เขารู้ว่าตอนไหนควรทำอะไร นายแทบไม่ต้องพูดอะไรมากเลย”
   “ท่าทางสะดวกดีแหะ”
   คอยล์กล่าว และเดินเข้าไปใกล้เว่ยจินหยิน
   “แล้วผมล่ะครับ ใช้งานสะดวกรึเปล่า คือไม่ต้องขนาดเถียนซานก็ได้ แค่แบบว่าทนมือทนเท้าพอไหม อะไรแบบนี้”
   “คนที่เพิ่งทำหน้าที่สำเร็จแบบนาย อยากถูกอัดเป็นรางวัลหรือนี่ ตลกดีนะ”
   เว่ยจินหยินว่า และหัวเราะขึ้นมา มิลเลอร์ คอยล์หัวเราะด้วย
   “ถ้าเลือกได้ผมไม่อยากถูกคุณต่อยหรอก เห็นไอ้พวกที่ปลิวไปเมื่อคืนแล้วผมไม่คิดอยากทดลองเลยล่ะ ถ้าคุณจะปราณี..ให้รางวัลผมเป็นอย่างอื่นที่นุ่มนวลกว่านั้นก็ดีนะครับ”
   “นายอยากได้อะไรตอบแทนล่ะ ฉันถือว่านายทำงานได้ดี ยกเว้นเรื่องมารยาทน่ะนะ”
   “แหม..คุณยังติดใจเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ ผมไม่ได้มารยาททรามอะไรนี่...”
   คอยล์แก้ตัว และยิ้มแต้
   “ว่าแต่ให้ผมขออะไรก็ได้จริงๆ นะ... ถ้าอย่างนั้นผมขอไร้มารยาท เรามาต่อจากที่ค้างเมื่อคืนได้ไหม ขอผมจูบคุณหน่อย”
   “เอาสิ”
   เว่ยจินหยินว่า และยักไหล่ ทำเอาคนขอถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ เขาไม่คิดว่าทางนั้นจะตอบรับง่ายๆ แบบนี้  หรือว่าเว่ยจินหยินคิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก
   “พูดจริงหรือครับ? จะให้ผมจูบจริงๆ น่ะ?”
   “นายว่าฉันให้โจกับไมเคิลออกไปทำไมล่ะ?”
   เว่ยจินหยินตอบโดยใช้คำถาม มิลเลอร์ คอยล์ กลืนน้ำลายเฮือก เขาเดินเข้าไปใกล้เว่ยจินหยินที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานมากขึ้น ใจนึกหวั่นๆ ว่าตัวเขาจะเป็นเหมือนแมลงที่หลงไปกับน้ำหวานของต้นไม้กินแมลงรึเปล่า แต่ว่าถ้ามันหวานมากมายขนาดนี้ ก็คุ้มที่จะลองเสี่ยง ถ้าเป็นแมลงก็ขอให้เขาตัวใหญ่พอจะไม่โดนต้นไม้ต้นนี้กินด้วยเถอะ
   “งั้นผมขอมากกว่าจูบด้วยนะ”
   ตำรวจหนุ่มว่า เว่ยจินหยินยักไหล่อีกรอบ
   “งั้นขอให้หมดจนถึงตอนเย็นเลยแล้วกัน ฉันจะนั่งฟังนายเอง”
   “แหม ล้อเล่นนะครับ..”
   มิลเลอร์ คอยล์ว่าและก้มหน้าลงใกล้กับใบหน้าของอีกฝ่าย เพ่งพินิจอย่างจริงๆ จังๆ
   “คุณตอนไม่ใส่แว่นนี่น่ารักขึ้นจมหูเลย”
   “งั้นเหรอ ก็ดีที่นายชอบ”
   เว่ยจินหยินกล่าว คอยล์คิดว่าตัวเองหูฝาด
   “วันนี้คุณเป็นอะไรเนี่ย นี่ถ้าเกิดผมจับคุณกดบนโต๊ะทำงาน”
   ไม่พูดเปล่าทำจริงๆ ด้วย เขากระชากตัวของเว่ยจินหยินขึ้นมาจากเก้าอี้และพาดขึ้นไปบนโต๊ะทำงาน ได้ยินเสียงปากกากับกระดาษปลิวว่อน
   “นายทำลายข้าวของในห้องฉัน”
   เว่ยจินหยินว่า เขานอนแผ่อยู่บนโต๊ะทำงาน ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในชุดเกือบเต็มยศ คือเสื้อเชิ้ตที่ติดกระดุมถึงคอ เสื้อเวสท์ด้านใน และกางเกงสแล็ก มิลเลอร์ คอยล์ยืนเฉยๆ อยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็โพล่งออกมา
   “อืม.. ถ้าคุณไม่พอใจก็น่าจะลุกขึ้นมาต่อยผมนี่ ลำพังแค่นี้คุณขัดขืนผมได้สบายอยู่แล้ว ดูจากที่คุณทำเมื่อคืน งั้นตอนที่ผมขึ้นไปขอนอนกับคุณบนห้องวันแรกนั่น คุณปล่อยให้ผมทำแบบนั้นสิ?”
   “เพิ่งรู้หรือไง”
   เว่ยจินหยินกล่าว ทรวงอกแบนรามกระเพื่อมตามจังหวะหายใจ เขากล่าวสืบต่อ
   “ฉันปล่อยตัวปล่อยใจให้นายมากที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลยล่ะ จะว่าไปแล้วมันก็น่าจะเตะนายสักเปรี้ยงที่เอาคลอโรฟอร์มมาให้ฉันดม ดีที่ฉันไม่ได้สูดเข้าไปมาก แต่ก็เล่นเอาวูบไปนิดนึงเลยเหมือนกัน แอบคิดอยู่เลยว่าถ้านายไม่พาสุ่ยไปในที่ที่ฉันเตรียมไว้ให้ล่ะก็ โจกับไมเคิลจะตามไปเก็บนายสองคนทันมั้ย แต่สองคนนั่นคงไม่ต้องรอให้ฉันสั่งซ้ำหรอก”
   “โธ่ คุณก็ไม่ไว้ใจผมเหมือนกันนี่ งั้นก็อย่าว่าเรื่องคลอโรฟอร์มเลยครับ ผมเองก็กลัวว่าคุณจะพรวดพราดขึ้นมาเหมือนกัน”
   “กลัวฉันลุกขึ้นมาด่านายว่าทำเรื่องจิตทรามกับฉันมากกว่าล่ะมั้ง”
   เว่ยจินหยินค่อนแคะ อีกฝ่ายหัวเราะแหะๆ
   “อ่า.. คุณรู้สึกตัวนี่ งั้นทำไมไม่ตอบสนองผมสักหน่อยล่ะ”
   “ตอนนั้นฉันไม่มีอารมณ์”
   คุณชายรองตอบ มิลเลอร์ คอยล์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เขาได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ จากร่างกายที่นอนแผ่อยู่
   “ตอนนี้ล่ะครับ?”
   เว่ยจินหยินส่งเสียงในลำคอ
   “ถ้านายมีตาเอาไว้ประดับใต้คิ้ว แล้วมีมือเอาไว้สร้างสมดุลให้กับร่างกายล่ะก็ ฉันคงไม่ต้องอธิบายเรื่องขากับปากของนายเพิ่มเติมหรอกนะ”
   มิลเลอร์ คอยล์หัวเราะอย่างร่าเริง นิ้วมือยาวไล้ผ่านพวงแก้มไปยังริมฝีปากสีชมพูได้รูป
   “ปากคุณนี่เซ็กซี่จริงๆ”
ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงไป วันนี้ไม่มีใครมาขัดจังหวะเขาอีก ริมฝีปากหนาประกบลงไปบนริมฝีปากสีชมพูนั่นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่การหยอกเล่น หรือการแสดงบทนักข่มขืนอีกแล้ว สำหรับมิเลอร์ คอยล์ตอนนี้ เขาตั้งใจจะจูบเว่ยจินหยินอย่างเป็นการเป็นงานจริงๆ จูบเพื่อแสดงให้เว่ยจินหยินรู้ว่า เขามีความต้องการมากแค่ไหน
เว่ยจินหยินถึงกับผงะร่างด้วยความตกใจ ริมฝีปากที่โดนบดขยี้โดยจูบที่ไมคุ้นเคย เขาจูบกับหมอนี่มาสองสามหนแล้ว แต่ละหนนั้นให้ความรู้สึกแตกต่างกัน ครั้งนี้ก็ด้วย มันทำให้เขาตกใจมากกว่าครั้งไหนๆ เขาไม่คิดว่ามิลเลอร์ คอยล์จะรุกเร้าเขาอย่างรวดเร็วและร้อนแรงแบบนี้ สองแขนตะกายขึ้นโอบรัดรอบคอของอีกฝ่าย นั่นทำให้นายตำรวจหนุ่มรวบร่างที่นอนอยู่ขึ้นมาในอ้อมกอด และกดลงบนโต๊ะอีกหน
“อื้อ...!”
เสียงร้องครางที่ถูกกดเอาไว้ด้วยริมฝีปากที่เม้มแน่นดังขึ้นเมื่อคอยล์ เลื่อนจากริมฝีปากมายังซอกคอและหลังใบหู แต่คราวนี้เขาไม่เน้นที่จุดเดียวอีกต่อไปแล้ว มือที่ซุกซนเหมือนงูเลื้อยผ่านอกเสื้อเชิ้ตที่ถูกปลดกระดุมออกบางส่วนเข้าไปสัมผัสเนินอกแบนรามและกระตุ้นจุดกระสันที่อยู่บนยอดเนินนั้น มืออีกข้างเลื่อนต่ำลงไปจนถึงโคนขาอ่อน ลูบไล้มันอย่างหิวกระหาย เว่ยจินหยินสะดุ้ง กล้ำกลืนเสียงร้องเอาไว้ในคอให้ได้มากที่สุด เขากัดริมฝีปากตัวเองจนแทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว สองมือกอดรัดร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ราวกับกลัวว่าจะตกลงไปในก้นเหวใหญ่ มิลเลอร์ คอยล์เม้มริมฝีปากลงบนซอกคอขาวผ่องนั้น ฝากรอยจ้ำสีชมพูจางๆ เอาไว้ ก่อนจะงับฟันลงไปบนคอเสื้อของเว่ยจินหยิน และกระชากจนกระดุมแถวบนหลุดออก เผยให้เห็นแผงไหล่เรียบเนียนที่ซ่อนอยู่ หัวใจของเว่ยจินหยินเต้นแรงจนแทบกระดอนออกมา ตอนที่ปลายลิ้นเปียกชื้นโลมไล้ช่วงไหล่นั้น
ปุ่มเนื้อที่ก่อนหน้านี้อ่อนหยุ่นอยู่บนยอดอกตอนนี้เริ่มชูชันขึ้นมาอย่างช้าๆ ปลายนิ้วเรียวบีบเคล้นมันอย่างเร่งเร้า ร่างกายของเว่ยจินหยินบิดแอ่นราวกับทรมานอย่างถึงที่สุด มีเพียงเสียงร้องเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากลำคอและริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้น
   มิลเลอร์ คอยล์หอบหายใจอย่างหนักหน่วง เล็บมือของเว่ยจินหยินจิกลงบนหลังของเขาจนแทบจะเจาะทะลุเสื้อเชิ้ต พลังกล้ามเนื้อฝ่ามือและนิ้วมือนั่นไม่ธรรมดาเลย และตอนนีก็กำลังบีบรัดและจิกลงไปอย่างเต็มแรง จนคอยล์คิดว่าหลังเขาอาจจะทะลุก่อนก็ได้ มือข้างที่อยู่ต่ำลงไปเคลื่อนจากโคนขาอ่อนขึ้นมายังปั้นเอว และดึงทึ้งเข็มขัดที่รัดกางเกงอยู่ออก ก่อนจะปลดตะขอและรูดซิปกางของร่างที่บิดส่ายอยู่ออก กระชากมันลงไปที่หัวเข่า และเกี่ยวกางเกงชั้นในตามลงมา  อุ้งมือหนาสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวที่ยังคงนุ่มนิ่ม มิลเลอร์ คอยล์ค่อยๆ คลึงฝ่ามือเบาๆ และรูดขึ้นลง ร่างของเว่ยจินหยินยิ่งบิดส่ายมากขึ้น ราวกับอยากจะหนีจากความทรมาน เสียงร้องยังคงถูกปิดกั้นเอาไว้ อุ้งมือที่ขยับขึ้นลงถี่ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสร้างความเขม็งเกร็งให้กับทุกส่วนประสาทของร่างขาวนวลบิดเบี้ยวอย่างทรมาน ริมฝีปากที่ถูกขบจนไร้ความรู้สึก เว่ยจินหยินคิดว่าเขาคงขาดใจตายก่อนที่ทางนั้นจะทำอะไรเสร็จ และแล้วมือแกร่งข้างหนึ่งก็กดลงบนกรามของเขาและแยกมันออก
   !!!
   เว่ยจินหยินงับฟันลงไปอย่างแรงหลังจากที่แรงกดนั้นลดระดับลง สิ่งที่เขารู้สึกต่อมาคือรสชาติขื่นของเลือด ร่างบางลืมตาขึ้น และพบว่ามิลเลอร์ คอยล์กำลังก้มมองเขาอยู่ด้วยใบหน้าอ่อนอกอ่อนใจ
   “คุณคิดจะขืนใจตัวเองหรือไง ทำไมต้องทนขนาดนี้ล่ะครับ”
   คอยล์เอ่ยและใช้นิ้วปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว และกำลังอาบใบหน้านั้นอยู่ออก ก่อนจะก้มลงจูบเบาๆ
   “คุณร้องไห้.. เมื่อคืนก็ร้องไห้ด้วยใช่ไหม คุณทะเลาะกับเถียนซานเหรอ?”
   เว่ยจินหยินสั่นศีรษะ เขาอ้าปากออก และพบว่าสิ่งที่อยู่ในปากเขาคือท่อนแขนของมิลเลอร์ คอยล์ที่มีเลือดไหลออกมาจากรอยฟันที่กัดลงไป
   “ฉัน..ขอโทษ”
   เว่ยจินหยินเอ่ยเสียงพร่า น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ร่างกายที่กึ่งเปลือยสั่นสะท้าน มิลเลอร์ คอยล์ไล้นิ้วไปบนริมฝีปากที่ถูกกัดจนเกือบจะฉีกขาดและมองด้วยสายตาเจ็บปวด
   “เมื่อคืนคุณก็ขบริมฝีปากตัวเอง เมื่อกี้คุณก็ทำ คุณกลัวจะพูดชื่อเขาออกมาหรือ? ทำไมคุณถึงไม่ยอมรับออกมาเลยว่าคุณชอบเขา”
   “นายไม่ควรพูดเรื่องนี้ มิลเลอร์ ไม่ควรเลย”
   เว่ยจินหยินกล่าวเสียงสั่น เขาเบือนหน้าหนีมือที่จับริมฝีปากอยู่ มิลเลอร์ คอยล์ถอนหายใจ
   "คุณกลัวอะไร  มิคาเอล ลอว์ก็พูดแบบนี้ใช่ไหม เขาพูดกับเถียนซานใช่ไหมว่าคุณชอบ ว่าคุณคิดกับลูกน้องตัวเองมากกว่าความรักที่ผู้ชายปกติจะมีให้กัน”
   “หุบปากซ่ะมิลเลอร์!!”
   ร่างบางกระชากเสียง มิลเลอร์ คอยล์หลบมือที่ฟาดเข้ามา และจับมันไว้
   “ทำไมถึงไม่บอกเขาไปเลยล่ะครับ คุณรู้จักกับเขามานานขนาดนี้แล้ว ผมคิดว่าเขาคงรู้ว่าคุณคิดอะไร เถียนซานดูจะไม่ได้รังเกียจคุณนะ”
   “นาย..จะไปรู้อะไร..”
   อีกฝ่ายกล่าวเสียงสั่น น้ำตายังคงไหลเอ่อ
   “อาซานไม่ต้องการให้ฉันคิดกับเขาแบบนั้น เขาไม่ยอมรับเรื่องนี้หรอก มันเป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้ ฉันจะชอบเขาแบบนั้นไม่ได้”
   “งั้นก็ตัดใจเสียสิครับ!”
   มิลเลอร์ คอยล์พูดแทบจะเป็นเสียงตะโกน เขาใช้มือจับใบหน้าของเว่ยจินหยินให้มองมาทางเขา
   “ถ้าคิดว่าเขารับไม่ได้ ก็ตัดใจสิ มองคนอื่นได้ไหม.. มองผมก็ได้ ผมชอบคุณ คุณทำให้ผมคลั่ง แม้จะรู้ว่าคุณหลอก คุณใช้ผมเป็นตัวแทนของเขา แต่ผมก็ยอมแล้ว.. ผมรักคุณ”
   มิลเลอร์ คอยล์เอ่ยคำนั้นออกไปแล้ว คำที่กลั่นออกมาจากความรู้สึก คำที่เขาไม่เคยพูดพร่ำเพรื่อ คำที่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเอ่ยให้คนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วันและหลอกใช้เขาจนหัวปั่นไปหมดฟัง และก็ไม่แน่ใจว่าสำหรับเว่ยจินหยินแล้วมันจะมีค่าบ้างรึเปล่า จะมีน้ำหนักพอจะสั่นคลอนความฝังใจที่มีให้กับผู้ชายที่ชื่อเถียนซานคนนั้นหรือเปล่า เขาจ้องลงไปในดวงตาสีดำนิ่งสนิทนั้น มันสั่นระริก และมีน้ำล้นเอ่อออกมาอย่างน่าสงสาร เว่ยจินหยินสั่นศีรษะ
   “ฉัน...ทำไม่ได้...ถ้าไม่ใช่อาซาน ฉัน.....ฉันทนไม่ได้...ฉันทนให้ใครแตะตัวไม่ได้ถ้าไม่ใช่เขา”
   มิลเลอร์ คอยล์กัดริมฝีปากตัวเองแล้ว เขารู้สึกว่ามันเจ็บ แต่คงจะเจ็บน้อยกว่าหัวใจที่เต้นอยู่ของเขาแน่ๆ ช่างไม่เจียมตัวเสียบ้างเลย... แค่ความสัมพันธ์สั้นๆ ไม่กี่วัน จะสั่นคลอนหัวใจที่จมลึกอยู่ในห้วงเหวแห่งความฝันที่มีมาเกือบจะสามสิบปีนั้นได้อย่างไร  สามสิบปี เวลาที่ยาวนานแทบจะเท่ากับอายุของเขา ถึงจะไม่ได้มีประสบการณ์ตรงแต่คอยล์พอจะจิตนาการถึงความเจ็บปวดของความรักอันยาวนานที่เว่ยจินหยินมีให้กับอดีตลูกน้องคนสนิทของเขา มันทั้งฝังใจและกลายเป็นความฝันที่ไม่เคยได้รับการตอบสนอง และไม่ต้องการให้มีการแสดงออก มันกลายเป็นความฝันที่ไม่ต้องการแม้แต่จะฝัน ถึงอย่างนั้นกลับเป็นกรงขังแน่นหนาที่เว่ยจินหยินไม่มีทางจะเปิดออก ทั้งไม่อยากเปิดและเปิดไม่ได้ จะทำอย่างไรเมื่อคนที่ถือกุญแจนั้นไม่ยอมรับว่าตัวเองมีกุญแจอยู่ และไม่เคยคิดอยากจะเปิดหัวใจดวงนี้เลย
   “ผม..ไม่ยอมให้คุณร้องไห้ฟรีๆ หรือขืนใจตัวเองโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้หรอก”
   ตำรวจหนุ่มกล่าว ผุดลุกขึ้น มองดูเรือนร่างกึ่งเปลือยที่นอนสิ้นสภาพอยู่บนโต๊ะทำงานด้วยสายตาซึมเซา เขาคงไม่มีความจำเป็นอะไรสำหรับเว่ยจินหยินในตอนนี้ มิลเลอร์ คอยล์จัดระเบียบเสื้อตัวเองอย่างลวกๆ และผลุนผลันออกจากห้องไป
   เว่ยจินหยินต้องการคนที่สำคัญที่สุด
   
-------------------------------------
   เถียนซานเพิ่งเดินเข้ามาในตึก และรู้สึกแปลกใจที่เห็นมิลเลอร์ คอยล์เดินลิ่วตรงมาที่เขา ชายวัยสี่สิบเศษกำลังจะเอ่ยปากทักตามมารยาท แต่กลับโดนประเคนกำปั้นเข้าไปทีหนึ่ง ถึงกับส่งให้เขาเซถอยหลังไปก้าวสองก้าว สร้างความแตกตื่นให้กับบรรดาพนักในตึก
   “Go to see your master, now!”
   ตำรวจหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว มีบรรดาคนที่เห็นเหตุการณ์วิ่งตามออกไป แต่ถูกเถียนซานส่งเสียงห้าม
   “ไม่ต้องตามไปหรอก”
   เขากล่าว และก้าวราวกับจะวิ่งขึ้นไปบนตัวตึก
   เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายคนนั้น!!
   เว่ยจินหยินได้ยินเสียงเคาะประตู เขาพยายามจะทำเสียงให้เป็นปกติ เพื่อปฏิเสธการขอเข้ามา แต่ก่อนที่จะได้พูดออกไป ประตูก็เปิดพรวดออก เถียนซานถลันเข้ามาและร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพของผู้เป็นนาย
   “คุณชาย!!”
   เขาถอดเสื้อสูทออกและคลุมร่างกึ่งเปลือยของเว่ยจินหยินที่ยังคงนอนอยู่บนโต๊ะทำงานเอาไว้ รู้สึกสั่นไปทั้งตัว
   “ทำไม?!”
   เถียนซานเอ่ยได้แค่นั้น เขาเห็นใบหน้าที่นองน้ำตากำลังมองมาอย่างเลื่อนลอย พร้อมกับมือเรียวที่ยื่นเข้ามาสัมผัสใบหน้าของเขา
   “อาซาน...มาแล้วเหรอ?”
   นัยน์ตาของเถียนซานหรี่ลงอย่างเจ็บปวด เขารวบร่างที่นอนอยู่ของเว่ยจินหยินขึ้นมา และกอดเอาไว้แนบอก
   “คุณชาย...”
   ร่างสูงใหญ่กล่าวเสียงสั่น ลูบฝ่ามือลงไปบนเรือนผมสีดำสนิทที่ยุ่งเหยิงนั้น ฝ่ามือของเถียนซานนั้นทั้งหนาทั้งสาก แต่สำหรับเว่ยจินหยินแล้วมันคือสัมผัสที่อ่อนโยนที่สุดในโลก วงแขนขาวตวัดโอบรอบบ่ากว้าง แนบใบหน้าลงไปบนไหล่ที่คุ้นเคย โดยปราศจากเสียง น้ำตาไหลรินลงจากดวงตาสีดำอาบพวงแก้มและร่วงลงไปจนเปียกชุ่มหัวไหล่นั้น เถียนซานยังคงลูบศีรษะเจ้านายของเขาโดยปราศจากคำปลอบโยนใดๆ
   มีเพียงเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน
   
   “ผมจะพาคุณขึ้นไปบนห้อง”
   เถียนซานเอ่ยเมื่อเว่ยจินหยินยกศีรษะขึ้นจากไหล่ของเขาแล้ว ร่างบางพยักหน้า และพยายามจะลงเดิน แต่กลับถูกยกร่างจนลอยขึ้นจากพื้น เว่ยจินหยินโอบแขนรอบคออีกฝ่ายอย่างลืมตัว เถียนซานเอาเสื้อสูทตัวนอกคลุมร่างท่อนบนของเขา ที่ไม่สามารถจะใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยได้เพราะกระดุมเสื้อเชิ้ตหลายเม็ดขาดออกจากตัวเสื้อ และอุ้มเขาออกจากห้องทำงาน  เว่ยจินหยินซุกหน้าเข้ากับแผงอกกว้าง นี่เป็นความฝันแสนหวานที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะเก็บเอาไว้ในจิตสำนึก ความฝันตั้งแต่ครั้งยังเด็กๆ ฝันว่าวันหนึ่งจะเป็นเจ้าสาวของคนคนนี้ คนที่คอยดูแลปกป้องเขามาโดยตลอด
   แก้มของเว่ยจินหยินแดงปลั่ง  เถียนซานกำลังอุ้มเขาขึ้นไปบนห้อง เหมือนอุ้มเจ้าสาวเข้าห้องหอหรือเปล่า น้ำตาหลายหยดไหลลงมาเปื้อนพวงแก้มแดงดึงเว่ยจินหยินเข้าสู่โลกแห่งความจริงว่านั่นเป็นแค่ฝันที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ เป็นเรื่องต้องห้าม เถียนซานแค่พาเขากลับขึ้นไปสงบสติอารมณ์บนห้องเท่านั้นเอง ไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่น ถึงอย่างนั้น...ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีความสุขกับการได้อิงแอบในวงแขนอบอุ่นที่โอบอุ้มเขาด้วยความรัก
   เถียนซานนั้นรักเขายิ่งกว่าใครๆ เพียงแต่ไม่อาจตอบสนองเขาได้ในบางเรื่องเท่านั้นเอง...
   
   “จะอาบน้ำรึเปล่าครับ?”
   ผู้เป็นอดีตลูกน้องเอ่ยถามหลังจากวางเจ้านายลงบนเตียงนอนสี่เสาที่อยู่ในห้องส่วนตัวแล้ว เว่ยจินหยินมองเขาอยู่นานกว่าจะกล่าวคำพูดออกมา
   “อาบด้วยกันได้ไหม?”
   ร่างบางเอ่ยปากถามเสียงเบา เถียนซานพยักหน้า และอุ้มเจ้านายของเขาไปที่ห้องน้ำ เว่ยจินหยินแก้มแดง เขาพูดออกมาอย่างกระดาก
   “ฉันเดินเองได้แล้วน่า”
   ถึงอย่างนั้นเถียนซานก็ยังอุ้มเจ้านายของตัวเองไปจนถึงหน้าอ่างอาบน้ำ จึงยอมปล่อยลง ก่อนจะเปิดน้ำและปรับประดับความร้อนให้พอดี
   “ไม่ต้องเปิดลงในอ่างหรอก อาบฝักบัวก็ได้”
   เว่ยจินหยินกระซิบ อีกฝ่ายพยักหน้า และหันมาเปลื้องเสื้อผ้าของผู้เป็นนายออก
   “ไม่ค่อยพูดเลยนะอาซาน นายกำลังโกรธอยู่ใช่ไหม?”
   เว่ยจินหยินกล่าว เขาปล่อยให้เถียนซานเปลื้องเสื้อผ้าออกโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงอะไร ผู้ถูกถามพยักหน้า
   “นายโกรธเรื่องอะไร?”
   “ผมโกรธตัวเอง”
   เถียนซานกล่าว ไล้นิ้วมือสั่นเทาไปบนริมฝีปากที่เป็นรอยกัดอย่างเห็นได้ชัด นี่ยังไม่นับรอยจ้ำสีชมพูแถวๆ ซอกคอและเนินอกนั่นอีก
   “ผมไม่ควรปล่อยให้คุณถูกทำอะไรแบบนี้”
   สำหรับเขา ภาพของเว่ยจินหยินที่นอนหมดสภาพอยู่บนโต๊ะทำงานเหมือนการขยี้ดวงใจของเขาให้แหลก ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ นั่นคือสิ่งที่เถียนซานเฝ้าถามตัวเองเมื่อได้เห็นเจ้านายในสภาพแบบนั้น
   สายน้ำอุ่นกำลังพอดีไหลรดลงบนร่างขาวเนียนที่อยู่เบื้องล่าง เว่ยจินหยินหลับตา ปล่อยให้มือสากสางเส้นผมยุ่งเหยิงของเขา เถียนซานไล้นิ้วไปตามเรือนผมเปียกลื่น มันเคยเป็นทรงเรียบร้อยก่อนหน้านี้ เป็นทรงเรียบร้อยแบบนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “อา...ฉันต้องถอดคอนแทคเลนออกก่อน”
   เว่ยจินหยินพูดอย่างนึกขึ้นได้ ผู้เป็นลูกน้องหันไปหยิบตลับคอนแทคบนอ่างล้างหน้าราวกับเคยรู้มาก่อนว่ามันวางอยู่ตรงนั้นเป็นประจำ ทั้งๆ ที่เว่ยจินหยินเพิ่งลองใส่มันเมื่อสองสามวันนี้เอง คุณชายรองดึงแผ่นเลนส์สีใสออกจากนัยน์ตา และหย่อนมันลงไปในตลับที่เปิดฝารออยู่
   “ผมตัดแว่นใหม่มาให้คุณแล้ว”
   เถียนซานเอ่ยหลังจากเอาตลับคอนแทคเลนส์กลับไปวางที่เดิม ผู้เป็นนายพยักหน้า
   “ฉันรู้ นายมาที่นี่เพื่อเอาแว่นมาให้ฉัน”
   “ครับ”
   เว่ยจินหยินหยิบขวดใส่สบู่เหลวแบบกด กดสบู่ลงบนฝ่ามือและไล้ไปตามร่างกาย
   “ไม่คิดจะถามเลยหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?”
   เถียนซานเงียบไปนาน เขารดฝักบัวลงบนร่างที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ของเว่ยจินหยิน ล้างมันจนหมดถึงได้พูดวลีสั้นๆ ออกมา
   “ครับ..”
   เว่ยจินหยินถอนหายใจ เขาดึงฝักบัวออกมาจากมือหนา และฉีดมันลงบนใบหน้าซึมกะทือของอีกฝ่าย
   “อาบน้ำกัน..”
   เขากล่าว เถียนซานยกมือขึ้นปาดน้ำออกจากใบหน้า ครั้งสุดท้ายที่เว่ยจินหยินเล่นน้ำกับเขาแบบนี้ก็คงเมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่คุณชายคนนี้ยังเป็นเด็กมากๆ เด็กเล็กๆ ที่ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย ร่างแกร่งถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้ำออก และก้าวเข้ามาในอ่าง เว่ยจินหยินเหม่อมองแผงอกที่มีร่องรอยของแผลเป็นหลายรอยอย่างซึมเซา นิ้วเรียวไล้ไปตามรอยแผลบางแผลบนนั้น เถียนซานยกมือขึ้นลูบศีรษะเขา
   “ผมสระผมให้แล้วกัน”
   ฝ่ายนั้นกล่าว และบีบแชมพูลงบนฝ่ามือ ขยี้มันลงบนศีรษะของผู้เป็นเจ้านาย เว่ยจินหยินหัวเราะ
   “ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ!...!! ฟองเข้าตา!!”
   คราวนี้เถียนซานหัวเราะขึ้นบ้าง เขาขยี้มือแรงกว่าเดิม
   “ไหนบอกว่าไม่ใช่เด็กๆ แล้วไงครับ ลูกไม้แบบนี้เก่าแล้วล่ะครับ ผมไม่ให้ฝักบัวคุณหรอก”
   “โอ๊ย แต่มันเข้าตาฉันจริงๆ นะ”
   เว่ยจินหยินยังคงไม่ยอมแพ้ เขาคว้ามือเปะปะไปด้านหน้า เพื่อแย่งฝักบัวจากมือของอีกฝ่าย
   “ครับๆ เดี๋ยวผมล้างออกให้แล้วกัน”
   เถียนซานเอ่ยและฉีดฝักบัวลงบนศีรษะของผู้เป็นเจ้านาย เว่ยจินหยินยกมือขึ้นขยี้ผมของตัวเองเพื่อล้างยาสระผมออก ร่างสูงหยิบกระปุกครีมบำรุงผมที่วางอยู่ข้างขอบอ่างขึ้นมาและขยี้มันลงไปหลังจากล้างฟองออกหมดแล้ว
   “คราวนี้ห้ามอ้างฟองเข้าตาแล้วนะครับ”
   ผู้มีวัยสูงกว่าเอ่ยดักคอ เว่ยจินหยินแปะปาก และคว้าฝักบัวมาจากมือแกร่งข้างนั้นโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัว ดูเหมือนเถียนซานจะจงใจปล่อยให้ผู้เป็นเจ้านายได้ไปโดยง่าย
   “ฉันจะสระผมให้นายบ้าง”
   เว่ยจินหยินว่า และจัดแจงละเลงแชมพูลงบนผมสั้นเกรียนของอีกฝ่าย
   “ผมไม่เล่นมุขฟองเข้าตาแบบคุณหรอก”
   เถียนซานเอ่ยพลางหัวเราะ เว่ยจินหยินพลอยหัวเราะตามไปด้วย นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ยิ้มและหัวเราะแบบนี้ คงตั้งแต่เถียนซานแยกจากเขาไปเมื่อสองปีก่อน
   “นายนี่ตัวสูงนะ.. ฉันน่ะอยากจะสูงบ้าง”
   ผู้เป็นเจ้านายเอ่ย หลังจากต้องเอื้อมมือเพื่อสระผมของอีกฝ่าย เถียนซานยิ้ม
   “คุณน่ะสูงได้มาตรฐานอยู่แล้วล่ะครับ สูงมากไปก็ชนนั่นชนนี่บ่อย”
   “นั่นเขาเรียกว่าซุ่มซ่ามต่างหากล่ะ”
   ผู้เป็นเจ้านายยังคงเถียง เถียนซานหัวเราะและโบกมือ
   “เอาเถอะครับ คุณล้างฟองให้ผมได้แล้วล่ะ”
   “โฮ่ คราวนี้เกิดเข้าตาเหมือนกันหรือไง?”
   “เปล่าครับ เล่นน้ำนานไปเดี๋ยวคุณจะเป็นหวัด”
   “นายนี่นะ...”
   เว่ยจินหยินคราง และยกฝักบัวขึ้นรดศีรษะของอีกฝ่าย ฟองบนหัวเถียนซานดูจะล้างง่ายกว่าของเขาเยอะ สงสัยเพราะผมที่สั้นกว่านี่เอง
   “ผมสั้นนี่ก็สะดวกดีนะ นายต้องใช้ครีมหมักผมมั้ย?”
   อีกฝ่ายสั่นศีรษะ และดึงฝักบัวขึ้นมาล้างศีรษะของผู้เป็นเจ้านาย
   “เดี๋ยวผมจะเช็ดตัวให้”
   เว่ยจินหยินรีบโบกมือ
   “ไม่ได้ นายยังไม่ได้ถูสบู่เลย”
   “บางทีอาบน้ำไม่จำเป็นต้องถูสบู่หรอกครับ”
   อีกฝ่ายกล่าว เว่ยจินหยินขมวดคิ้ว
   “ไหนนายเคยบอกฉันว่าคนสะอาดต้องถูสบู่ไง หรือจริงๆ นายเป็นคนสกปรก ไม่เอาล่ะ ฉันไม่ชอบนายที่สกปรกหรอก”
   เขาว่าและหยิบขวดสบู่เหลวขึ้นมาบีบลงบนฝ่ามือและละเลงฟองลงไปบนร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อของผู้เป็นอดีตลูกน้อง เถียนซานถอนหายใจ
   “คุณนี่ช่างตื้อจริงๆ ให้ผมถูหลังให้ไหม?”
   “ไม่ล่ะ ฉันฟอกสบู่แล้ว นายนั่นแหละ ต้องโดนถูหลัง”
   เว่ยจินหยินว่าและผลักให้เถียนซานให้หันหลัง ก่อนจะละเลงสบู่ลงบนแผ่นหลังกว้าง แผ่นหลังที่เสมือนโล่ปกป้องเขาจากเรื่องร้ายๆ นิ้วเรียวไล้ไปตามร่องกล้ามเนื้ออย่างซึมเซา เกือบสามสิบปีแล้วกับแผ่นหลังนี่  กับผู้ชายคนนี้ เว่ยจินหยินนึกไม่ออกว่าจะมีอะไรมาทดแทนผู้ชายคนนี้ได้ เขาอยู่ร่วมกับเถียนซานมานานจนผูกพันเกินกว่าจะตัดขาดได้เสียแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าเถียนซานเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา
   “ไหนคุณว่าจะถูหลังให้ผม แบบนี้เรียกลูบหลังแล้วนะครับ”
   เถียนซานเอ่ยและหันกลับมาคว้าตัวของเว่ยจินหยินเอาไว้ จับหันหลังและหยิบใยขัดที่วางอยู่ขึ้นมา ขัดลงไปบนแผ่นหลังขาวของอีกฝ่าย
   “โอ๊ย ฮ่ะๆ ฉันจั๊กจี้”
   เว่ยจินหยินหัวเราะคิกคัก ขณะที่อีกฝ่ายขัดถูแผ่นหลังให้เขา
   “แบบนี้สิครับ ถึงจะเรียกว่าถู”
   เถียนซานว่า เว่ยจินหยินยังคงหัวเราะอยู่
   “แบบนี้เรียกว่าขัดแล้ว”
   ร่างบางแย้ง และหันหน้ากลับมา
“นี่ อาซาน เราสองคนน่ะอายุบวกกันเกือบถึงหลักร้อยแล้วนะ ยังจะเล่นน้ำกันอีก”
    “จะว่าไปคุณเป็นคนเริ่มเล่นก่อนด้วยนะ”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า หยิบฝักบัวมาล้างฟองให้อีกฝ่าย รวมถึงตัวเองด้วย
   “บางทีฉันก็ยังรู้สึกว่าเป็นเด็กๆ นะ  เวลาอยู่กับนาย”
   เถียนซานพยักหน้าอย่างเข้าใจที่สุด
   “ผมเองก็ยังมองคุณเป็นเด็ก.. สำหรับผมคุณเป็นคุณชายตัวน้อยๆ คนเดิมเหมือนเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้วนั่นแหละ”
   “แต่ปีนี้ฉันอายุสามสิบสองแล้ว และนายก็ปาไปสี่สิบกว่าแล้ว เพราะอย่างนั้นนะ เราสมควรจะเช็ดตัวและใส่เสื้อกันได้แล้วล่ะ”
   เถียนซานหัวเราะ และขยี้มือลงบนศีรษะของเว่ยจินหยินอย่างเอ็นดู สำหรับเถียนซานแล้ว บางทีเวลาอาจจะหยุดอยู่ตอนที่เจอกันเมื่อยี่สิบแปดปีที่แล้วก็ได้
   เสียงเครื่องเป่าผมดังอื้ออึงอยู่ในห้อง ผิดไปว่าวันนี้เว่ยจินหยินไม่ต้องถือเครื่องเป่าผมเอง มือสากหนาของเถียนซานกำลังถือหวีไม้สางผมให้เขา ขณะที่ถือเครื่องเป่าผมไว้อีกมือหนึ่ง เว่ยจินหยินเอ่ยขึ้นแข่งกับเสียงเหมือนไอพ่นนั่น
   “ฉันเพิ่งรู้ว่าไม่มีผู้ชายที่ไหนเขาเป่าผมกัน”
   “ใครบอกคุณล่ะครับ?”
   “มิลเลอร์”
   “คุณคอลย์น่ะหรือครับ? เขารู้ได้ยังไงว่าคุณเป่าผม?”
   “หมอนั่นมานอนที่นี่  อืม..ฉันให้เขาเข้ามาเองแหละ”
   เถียนซานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ
   “หายากนะครับ คุณให้คนที่เพิ่งรู้จักมานอนที่ห้องนี้ ชอบเขารึครับ?”
   เว่ยจินหยินนิ่งเงียบไปบ้าง เขารอจนอีกฝ่ายจัดการเป่าผมเสร็จเรียบร้อย จึงหันตัวกลับมา
   “นาย..อยากให้ฉันชอบคนอื่นหรือ?”
   ผู้ถูกถามไม่ทั้งสั่นศีรษะและพยักหน้า เขาได้ยืนเงียบ ดวงตาสีดำที่เหมือนหินน้ำตกนั่นนิ่งเสียจนไม่อยากจะคาดเดาอะไร เว่ยจินหยินถอนหายใจ
   “ฉันไม่ชอบเวลานายเงียบแบบนี้เลย นายไม่ถามด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงอยู่ในสภาพแบบนั้น นายไม่อยากฟังสิ่งที่ฉันจะตอบใช่ไหม?”
   “ครับ”
   วลีสั้นๆ ง่ายๆ และหนักแน่นนั้นรุนแรงพอจะทำให้หัวใจปวดแปลบได้ เว่ยจินหยินฝืนยิ้ม
   “เรื่องนี้เรื่องเดียวที่นายไม่ยอมตามใจฉันสินะ เรื่องเดียวที่นายไม่อยากรับรู้ นี่ อาซานถ้านายยืนยันหนักแน่นแบบนี้ คราวหลังไม่ต้องตกใจถ้าเห็นฉันเป็นแบบนี้อีก”
   “คุณชาย!”
   ผู้เป็นอดีตลูกน้องกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ เขาเพิ่งวางหวีเอาไว้บนชั้น และเก็บเครื่องเป่าผม ร่างแกร่งมองดูอดีตเจ้านายของเขาอย่างเจ็บปวด
   “คุณ...ทำตัวเองหรือครับ?”
   นิ้วมือสากหยาบแตะลงไปบนริมฝีปากที่ยังคงหลงเหลือรอยกัด เว่ยจินหยินพยักหน้าน้อยๆ เถียนซานหลับตา
   “คุณปล่อยให้เขาฝืนใจคุณ.... ทำไม...แค่จะประชดผมหรือ?”
   “ฉันโตพอที่จะไม่ประชดนายแล้ว”
   ผู้เป็นเจ้านายเอ่ย และเลื่อนมือขึ้นมากุมมือที่แตะใบหน้าของเขาอยู่
   “ฉันรู้ว่านายไม่ยอมรับ นายไม่ต้องการให้ฉันคิดแบบนี้ ฉันรู้ ฉันรู้ดี อาซาน แค่เรื่องนี้ที่นายไม่ยอมฉัน ฉันเลยพยายาม.. จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ฉันแค่ลอง.. ลองดูว่าฉันจะเปลี่ยนได้หรือเปล่า...”
   เว่ยจินหยินบีบมือสากหนาที่เขาจับเอาไว้แน่น น้ำตาหยดเล็กๆ หยดลงบนหลังมือนั้น
   “นายรู้ไหม ฉันก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีจิตใจมีความรู้สึก ฉันเคยคิดว่าสิ่งที่คิดกับนายมันเป็นแค่อารมณ์ในช่วงวัยรุ่น นายเองก็เคยพูดแบบนั้น แต่ว่าเวลามันผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ความรู้สึกนั่น ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย แม้ว่าฉันจะไม่ยอมรับ และปิดบังมันเอาไว้ ฉันไม่เคยอยากจะยอมรับมันเลย อาซาน แม้กระทั่งตอนนี้มิกกี้แอบไปคุยกับนาย ฉันไม่เคยอยากให้นายรู้เลย ไม่เคยเลย”
   “ผมทราบ”
   เถียนซานเอ่ยสั้นๆ เขารู้ว่าเว่ยจินหยินไม่อยากให้เขารู้ ดังนั้นเขาจึงทำเป็นไม่รู้มาโดยตลอด
   “ทำไมฉันถึงไม่อยากให้นายรู้ รู้ไหม? เพราะฉันรู้ว่านายจะต้องทำเฉยๆ ถ้าหากนายรู้ และนั่นจะทำให้ฉันเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าการที่นายไม่รู้จริงๆ เสียอีก”
   “ฉันเกลียดมิกกี้ ทำไมเขาถึงปากสว่าง ฉันไม่เคยพูดถึงเรื่องนายให้เขาฟังเลย แต่ฉันละเมอ อาซาน ฉันละเมอถึงนาย ความฝันแสนสุขที่ฉันไม่อยากแม้แต่จะจดจำมันด้วยซ้ำ ไม่อยากรับรู้เลยว่าฉันฝันแบบนั้น มันเป็นความสุขที่เจ็บปวดในความเป็นจริง ฉันเกลียด เกลียดมิกกี้ เกลียดตัวเอง  และฉันก็อยากจะเกลียดนาย...นายที่รู้แล้วแต่ก็ยังทำเฉยๆ”
   น้ำตาสีใสหยดผล็อยลงบนหลังมือนั้นอีกหลายหยด เถียนซานใช้มือข้างที่ยังว่างอยู่ปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนั้นออก โดยปราศจากคำพูดใดๆ เว่ยจินหยินหลับตา กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
   “แต่ฉันจะเกลียดนายลงได้ยังไง ในเมื่อนายเป็นคนที่รักฉันที่สุด และฉันก็รักนายที่สุด รัก...รักจนรักใครไม่ได้อีกแล้ว”
   “คุณควรจะเปิดใจให้คนอื่นบ้าง..”
   ผู้เป็นอดีตลูกน้องเอ่ยได้แค่นั้น เพราะรอยยิ้มเจ็บปวดบนคราบน้ำตานั้นตอบเขาได้ดียิ่งกว่าคำพูดไหนๆ เว่ยจินหยินเอ่ยปากขึ้นอย่างยากลำบาก
   “นายอยากเห็นฉันขาดใจตายหรือ? อยากเห็นฉันเป็นแบบวันนี้อีกหรือ มิลเลอร์ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แต่ฉันไม่รักเขาหรอก ฉันไม่รักใครเลย นอกจากนาย ฉันลองแล้ว อาซาน ลองกระทั่งจินตนาการถึงนายตอนที่ถูกทำอะไรต่อมิอะไร แต่ฉันทนไม่ได้ คนอื่นก็คือคนอื่น นายเข้าใจความเจ็บปวดของฉันไหม ฉันที่ทนยอมให้คนอื่นแตะต้องโดยที่พยายามจิตนาการว่านายเป็นคนทำ และฉันก็รู้ว่านายจะต้องไม่ทำอะไรแบบนั้นกับฉัน ฉันแทบขาดใจตาย มันไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าไม่ใช่นาย”
   “คุณอดทนกับมันไม่ได้แล้วหรือครับ? ทนต่อไปไม่ได้แล้วหรือ?”
   เถียนซานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เว่ยจินหยินถอนหายใจ จนถึงตอนนี้เถียนซานก็คงไม่ยอมจริงๆ นั่นแหละ เขารู้ดีกว่าผู้ชายคนนี้มั่นคงขนาดไหน ลองถ้ายืนยันขนาดนี้แล้วคงป่วยการจะสั่นคลอนความตั้งใจนั่น แต่เขาเองก็เหนื่อยแล้วที่จะฝืนความรู้สึกนี้
   “ฉันไม่ไหวแล้วล่ะ อาซาน นายน่ะ ไม่แม้แต่จะยอมให้ฉันฝันด้วยซ้ำ ฉันไม่ได้อดทนหรอก แต่ฉันปิดกั้นมันไม่ไหวแล้ว อย่าตกใจและเป็นห่วงฉันเลยนะ ถ้าหลังจากนี้บางทีฉันจะทำร้ายตัวเองบ้าง”
   “อย่าพูดแบบนั้นอีกนะครับ”
   เถียนซานเอ่ย ดึงร่างที่นั่งอยู่เข้ามาไว้ในอ้อมกอด กล่าวเสียงสั่น

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “คุณรู้ใช่ไหมว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณผมจะเสียใจมากแค่ไหน ได้โปรดอย่าทำร้ายตัวเองเพราะผม ถ้าหากคุณคิดว่านั่นคือความฝัน สัญญาได้ไหมครับว่าจะคิดว่ามันเป็นแค่ความฝันไปตลอด”
   เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาอย่างงุนงง เถียนซานใช้มือจับใบหน้าได้รูปนั้น กระซิบเบาๆ
   “สัญญาสิครับว่าจะฝันถึงผม แค่ฝันถึงผม ผมในตอนนี้เป็นแค่ความฝันของคุณ”
   ริมฝีปากได้รูปเผยออ้าออก เนิ่นนานจึงมีคำพูดเล็ดลอดออกมา
   “ฉัน...สัญญา”
   ใบหน้าของเถียนซานโน้มลงต่ำ แนบริมฝีปากหนาหนักของตัวเองลงบนริมฝีปากของผู้เป็นนาย หัวใจของเว่ยจินหยินพองโต นี่คงเป็นความฝัน ความฝันที่เขาไม่ต้องจินตนาการให้ยุ่งยาก ความฝันที่ปรากฏตรงหน้าเขา วงแขนขาวโอบรัดร่างที่กำลังจูบเขาอยู่อย่างรักใคร่ จูบของเถียนซานไม่ได้ร้อนแรงเช่นที่มิลเลอร์ คอยล์เคยทำเอาไว้  ไม่ได้หวือหวา ก้าวร้าว หรือรุกไล่ มันอบอุ่น อ่อนโยนมากมายเสียจนแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน น้ำตาของเว่ยจินหยินไหลลงอาบพวงแก้ม สิ่งที่เถียนซานไม่เคยแม้แต่จะยอมให้เขาฝัน ตอนนี้ผู้ชายที่เขารักมากที่สุดคนนั้น ยอมกลายเป็นฝันของเขา ฝันที่สัมผัสได้และอบอุ่นอ่อนโยน
   เถียนซานถอนริมฝีปากออก มองดูใบหน้าของผู้เป็นเจ้านาย ผู้ชายคนนี้คือสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเขา เจ้านายที่เขาเฝ้าปกป้องทะนุถนอมมาแต่ยังเล็กๆ คนที่เขามอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แม้แต่ชีวิต แล้วเขาจะทนได้อย่างไรหากเว่ยจินหยินทำร้ายตัวเองเพราะเขาเป็นต้นเหตุ แม้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำตอนนี้อาจจะไม่ถูกต้องนัก แต่เขาปล่อยให้คุณชายของเขาคนนี้ทำร้ายตัวเองไม่ได้ หากเว่ยจินหยินเป็นอะไรไปหัวใจของเขาคงแหลกสลาย
   เว่ยจินหยินเลื่อนมือของตัวเองสัมผัสใบหน้าที่มั่นคงราวแท่งศิลาของผู้เป็นลูกน้องซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า ไล้นิ้วมือไปบนรอยไหม้เล็กๆ บนแก้มซ้าย รอยนี้เกิดจากกระสุนปืนนัดหนึ่งที่เฉี่ยวผ่านใบหน้าของเถียนซานไปตอนที่วิ่งเข้ามาคว้าตัวเขาที่กำลังจะถูกยิงตอนอายุสิบหก บนร่างของผู้ชายคนนี้ยังมีแผลเป็นอีกหลายแห่งที่มันสมควรจะมาอยู่บนตัวของเขามากกว่า เว่ยจินหยินดึงใบหน้านั้นเข้ามาจูบ ความรักที่เขามีให้เถียนซานนั้นมากเสียจนไม่อาจจะบรรยายเป็นคำพูดหรือการกระทำใดๆ ได้ นั่นเพราะสิ่งที่เถียนซานทำเพื่อเขานั้นมากมายเสียเหลือเกิน
   ริมฝีปากของทั้งคู่ยังคงแตะและสัมผัสเรียวลิ้นของต่างฝ่ายอีกหลายต่อหลายรอบ จวบจนกระทั่งเรียวขาอ่อนซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวของเว่ยจินหยินไม่อาจจะพยุงร่างกายเอาไว้ได้อีกนั่นแหละ เถียนซานจึงได้อุ้มเขาไปที่เตียง
   ฟูกนอนอ่อนนุ่มรองรับร่างที่อ่อนแรงเพราะดื่มด่ำความวาบหวามที่เคยปิดกั้นมาโดยตลอด เว่ยจินหยินเอื้อมมือที้แทบจะสิ้นเรี่ยวแรงคว้าท่อนแขนแกร่งที่โอบอุ้มเขามาเอาไว้ ด้วยกลัวว่าเถียนซานจะผละออกไปหลังจากที่จัดการให้เขาถึงเตียงนอนแล้ว เขาต้องการเถียนซานบนเตียงนอนนี้
   เถียนซานยิ้มให้เจ้านายของตน เขาพอจะเดาความต้องการของเว่ยจินหยินได้ มือหนาหนักลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู ไล้ลงไปบนเรือนผมสีดำขลับที่นุ่มลื่นราวเส้นไหม ก่อนจะปีนขึ้นมาบนเตียงและนั่งลงเหนือร่างนั้น  หัวใจของเว่ยจินหยินเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เขาเอื้อมมือไปดึงเชือกซึ่งผูกเสื้อคลุมอาบน้ำของอีกฝ่ายออก เสื้อคลุมอาบน้ำของเขาพออยู่บนตัวของเถียนซานแล้วก็ดูเล็กไปเลย ผู้เป็นลูกน้องดึงมือของเจ้านายขึ้นมาจูบ เว่ยจินหยินหน้าแดง ยกมือขึ้นกุมมือของเถียนซานที่กุมมือเขาอยู่อีกทีหนึ่ง
   “อาซาน นายจะให้ฉันฝันถึงนายจนถึงที่สุดใช่ไหม.. อย่าหลอกให้ฉันฝันค้างนะ”
   ร่างแกร่งก้มลงจูบหน้าผากของผู้ที่นอนอยู่ กระซิบเบาๆ ข้างหู
   “ครับ.. ผมจะฝันกับคุณจนกว่าคุณจะพอใจ”
   พวงแก้มของเว่ยจินหยินแดงปลั่ง สีเลือดฝาดฉีดไปจนถึงใบหู แม้ว่าเขาจะเป็นจอมวางแผน ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย สามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องกระพริบตา หรืออะไรก็ตามแต่.. สำหรับเรื่องบนเตียงแล้ว เว่ยจินหยินไม่มีประสบการมาก่อนจริงๆ นานมาแล้วเขาพยายามจะขึ้นเตียงกับเพื่อนหญิง แล้วก็พบว่าตัวเขาไม่อาจจะหยุดจินตนาการไปว่าหากเขาเป็นผู้หญิงที่เถียนซานกำลังเสพสุขด้วยจะรู้สึกยังไง สุดท้ายเว่ยจินหยินจึงไม่เคยร่วมรักกับใครเลย เขารักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองมาได้อย่างไม่ตั้งใจตลอดเวลาสามสิบสองปี แค่เพราะเขาไม่สามารถสลัดผู้ชายที่ชื่อเถียนซานออกไปจากภวังค์ความคิดได้ และตอนนี้ผู้ชายที่เขาแอบฝันถึงกำลังอยู่เหนือร่างของเขา หัวใจของเว่ยจินหยินเต้นระส่ำ มันตื่นเต้น ตึงเครียด เขาทั้งแอบหวังทั้งกังวลว่าเถียนซานจะทำหรือจะหยุดแค่ไหน จะยอมมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาผู้ที่ตัวเองดูแลมาด้วยมือตั้งแต่ยังเล็กไหม สำหรับเถียนซานแล้วบางทีเขาอาจจะเป็นแค่คุณหนูจินหยินอายุสี่ขวบที่ชอบเล่นตัวต่ออยู่คนเดียวในห้องและชอบซักชอบถามก็ได้ ถึงอย่างนั้นพวงแก้มของเขาก็ยังคงแดงปลั่ง นั่นเพราะเว่ยจินหยินปรารถนามาจากส่วนลึกของหัวใจ ปรารถนาจะเป็นของผู้ชายคนนี้ แม้จะถูกทำให้เป็นแค่ความฝันก็ตาม
   เสื้อคลุมอาบน้ำของเถียนซานถูกถอดออกแล้ว มัดกล้ามเนื้อที่แม้วัยของเจ้าของจะล่วงเลยไปจนถึงเลขสี่ แต่มันยังคงสมบูรณ์และพร้อมใช้งานอยู่ทุกเมื่อ เว่ยจินหยินยกมือขึ้นไล้รอยแผลเป็นหลายรอย ทั้งรอยกระสุนและรอยที่เกิดจากมีดดาบ เกือบครึ่งเกิดขึ้นจากการช่วยเขา ส่วนที่เหลือนั้น คงมาจากการทำภารกิจที่แสนหนักหน่วงซึ่งผู้เป็นบิดาบัญชาลงมา เถียนซานค่อยๆ ดึงเสื้อคลุมอาบน้ำของเจ้านอนซึ่งนอนแผ่อยู่ใต้ร่างของเขาออก เรือนร่างซึ่งเขาเห็นจนชินตามาตั้งแต่ยังเล็กๆ ผิวขาวเนียนที่เรียบลื่นเหมือนแพรเนื้อดี ไร้ซึ่งตำหนิใดๆ ไม่มีแม้แต่ไฝสักเม็ด ร่างกายของเว่ยจินหยินสะอาดหมดจด มันคือเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จและความภาคภูมิใจที่เขาได้ปกป้องเจ้านายคนนี้ เถียนซานไม่เคยนึกใคร่อยากได้เรือนร่างหมดจดนี้เลย มันคือสิ่งที่เขาถนอมและปกป้อง แต่ว่าในตอนนี้เมื่อเว่ยจินหยินไม่อาจฝืนและทนต่อความต้องการที่ผิดธรรมชาติของตัวเองอันมีผลมาจากเขาแล้ว เถียนซานไม่มีทางเลือก เขาปล่อยให้เว่ยจินหยินทำร้ายตัวเองแบบวันนี้อีกไม่ได้ มันคงถึงเวลาที่เขาจำต้องตอบสนองความใคร่ของผู้เป็นเจ้านาย ระบายมันลงบนร่างสะอาดเกลี้ยงที่คงไม่เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย เพราะอย่างนี้ เขาจะต้องทำด้วยความรักอย่างที่สุด ทะนุถนอมอย่างที่สุด และอ่อนโยนอย่างที่สุด เพื่อให้คนคนนี้มีความสุขที่สุด เพื่อคนที่เขารักมากที่สุด
   เว่ยจินหยินสะดุ้งเฮือก เมื่อฝ่ามือสากหยาบสัมผัสกับปั้นเอวของเขา เถียนซานเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
   “ขอโทษนะครับ มือผม...”
   เว่ยจินหยินรีบสั่นศีรษะ เขาดึงมือข้างนั้นขึ้นมา และจูบลงไปอย่างรักใคร่ เขาแค่ตกใจเพราะไม่เคยมีใครแตะร่างกายของเขาแบบนี้อย่างอ่อนโยนมาก่อนเลย นอกจากผู้ชายคนนี้ ต่อให้มือของเถียนซานจะเป็นมือเหล็ก มันก็ยังอ่อนโยนสำหรับเขา เพราะฝ่ามือสากหยาบนี้เป็นพยานยืนยันอย่างดีว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทุ่มเททำให้เขานั้นมากมายเพียงไหน
   “ได้โปรด ใช้มือของนายลูบไล้ฉัน... ฉันอยากให้มือคู่นี้ของนายสัมผัสทุกส่วนของตัวฉัน อาซาน ฉันรักทุกส่วนของนาย รักนายที่เป็นนายทั้งหมด”
   เขายกมือข้างนั้นของเถียนซานแนบลงไปบนท้องน้อยของตัวเอง ร่างแกร่งช้อนมืออีกข้างที่เหลือลงไปใต้ปั้นเอวของอีกฝ่าย และรั้งขึ้นมาแนบตัว เลื่อนมือที่เพิ่งถูกวางต่ำลงไปถึงบริเวณขาอ่อน ผิวของเว่ยจินหยินละเอียดและนุ่มลื่นจนเขาอดปวดใจไม่ได้ที่ต้องสัมผัสกับฝ่ามือสากหยาบของเขา แต่นี่เป็นความต้องการของเว่ยจินหยิน และเถียนซานเข้าใจดีกว่าเว่ยจินหยินฝังใจกับมือคู่นี้ของเขาแค่ไหน ผู้เป็นเจ้านายตวัดแขนโอบรอบลำคอของร่างที่อุ้มเขาอยู่อีกครั้ง และแนบริมฝีปากลงไปบนต้นคอนั้นอย่างรักใคร่ สัมผัสอ่อนโยนของฝ่ามือสากหยาบนั่นกระตุ้นความต้องการที่ถูกปิดกั้นเอาไว้นานจนแทบจะล้นทะลัก เว่ยจินหยินกระซิบเรียกชื่อของผู้เป็นอดีตลูกน้องที่เขาเคยเรียกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ชื่อเดียวที่เขาอยากจะเรียกออกมาตอนที่ทำอะไรแบบนี้
   “อาซาน”
   ปลายจมูกของเถียนซานไล้ไปตามซอกคอที่ยังคงมีกลิ่นสบู่อ่อนๆ ผิวเนียนนี้ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน มันควรจะถูกสัมผัสโดยผู้หญิงที่ดีสักคนหนึ่ง ผู้หญิงที่พร้อมจะดูแลผู้ชายคนนี้ต่อจากเขา แต่ดูเหมือนว่าเว่ยจินหยินจะไม่เปิดใจรับใครอีกแล้ว เว่ยจินหยินไม่เคยเปิดใจรับใครทั้งนั้น นอกจากเขาเพียงคนเดียว แม้เถียนซานจะรู้และพยายามจะให้เจ้านายของเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง แต่จนถึงตอนนี้คงจะพูดได้แล้วว่าเว่ยจินหยินคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก เกือบสามสิบปี เวลาที่ยาวนานจนเกินจะเรียกว่าถลำลึกแต่คงกลายเป็นหนึ่งเดียวกับความต้องการนั้นไปแล้ว อา.. เจ้านายผู้น่าสงสาร เจ้านายผู้เป็นที่รักยิ่ง
   ผู้เป็นลูกน้องตัดสินใจจะไม่ฝากร่องรอยใดไว้บนร่างกายหมดจดนี้ เขาไม่อยากสร้างแม้รอยจูบอย่างที่มิลเลอร์ คอยล์ทำเอาไว้ เนื่องเพราะเถียนซานไม่ได้ต้องการจะเป็นเจ้าของเว่ยจินหยิน เขาต้องการเพียงมอบความรักให้กับเจ้านายของเขาเท่านั้น ดังนั้นทุกอณูผิวที่ริมฝีปากและฝ่ามือสากหนานั่นเคลื่อนผ่าน จึงทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่อุ่บอุ่นอ่อนโยนของผู้มอบรสสัมผัสนั้น
   เว่ยจินหยินครางเสียงสั่น ไล้มือไปบนแผ่นหลังกว้างอย่างหลงใหล เขาแทบจะไม่รู้สึกเกร็งอะไรเลยกับการเล้าโลมของเถียนซาน มันรู้สึกดีจนแทบจะร้องไห้ออกมา สัมผัสที่เต็มไปด้วยความรัก อ่อนโยน เถียนซานนั้นอ่อนโยนกับเขาเสมอมา ตามใจเขาเสมอมา แม้กระทั้งเรื่องแบบนี้
   ยอดอกสีชมพูที่ชูชันอย่างไม่ต้องกระตุ้นอะไรให้มากมายถูกสัมผัสด้วยเรียวลิ้นเปียกชื้น เถียนซานใช้หลังนิ้วสัมผัสอีกยอดหนึ่งอย่างเบามือปรนเปรอจุดกระสันนั้น
   เว่ยจินหยินบิดร่างอย่างตื่นเต้น เถียนซานค่อยๆ รุกเขาอย่างช้าๆ เบามือ แต่หนักแน่น อุ้งมือสากหนาเลื่อนต่ำลงไปโอบอุ้มส่วนที่เคยอ่อนไหวตรงหว่างขาของเขา สำหรับผู้ชายคนนี้แล้ว ไม่ต้องเสียเวลามากระตุ้นอะไรมากมาย เพราะส่วนนั้นของเว่ยจินหยินแข็งตัวรอท่าอยู่ก่อนแล้ว ร่างบางครางเสียงสั่น ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะรู้สึกกับสัมผัสของเถียนซานมากมายขนาดนี้ ความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นจนอัดแน่น แค่ถูกกระตุ้นเล็กน้อยก็พร้อมจะระเบิดออกมา
   “อ๊า!!”
   สีเลือดฝาดแผ่นซ่านไปทั่วเรือนร่างขาวผ่อง ไม่เฉพาะใบหน้า ตอนนี้ร่างกายของเว่ยจินหยินกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ ของเหลวขุ่นข้นไหลเปรอะลงบนท้องน้อยที่กระเพื่อมตามจังหวะหอบหายใจ นัยน์ตาสีดำหรี่ปรือมีหยาดน้ำตาหยดออกมานิดหน่อย
   “อา...ขอโทษ”
   ร่างบางกล่าว รู้สึกอับอายที่ตัวเองหลั่งออกมาอย่างรวดเร็วแบบนี้ ปกติเวลาอยู่คนเดียว มันใช้เวลานานกว่านี้มาก และเขาเองก็อยากจะสัมผัสรสแห่งความฝันนี้ให้มากกว่านี้ แต่ความรู้สึกคงถูกอัดอั้นมานานเกินไป
   เถียนซานใช้มืออีกข้างลูบศีรษะของเว่ยจินหยินอย่างเอ็นดู ผู้เป็นเจ้านายของเขากำลังหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เขาไม่คาดมาก่อนเลยว่าเว่ยจินหยินจะมีความปรารถนาที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมายขนาดนี้ นิ้วมือแข็งแรงไล้ขึ้นไปตามแนวเรียวของส่วนที่อ่อนตัวลงไปบ้าง หลังจากปลดปล่อยของเหลวที่คั่งอยู่ภายใน ถูเบาๆ บนยอดสีชมพูเข้มที่เต็มไปด้วยเมือกลื่น เว่ยจินหยินครางเสียงพร่า ร่างแกร่งก้มลงจูบริมฝีปากได้รูปนั้น และขยับนิ้วมือข้างที่เปรอะ ค่อยๆ สอดเข้าไปในช่องที่ปิดแน่นด้านหลัง เว่ยจินหยินสะดุ้งก่อนจะตั้งสติได้ เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้างกับความชำนาญที่น่าแปลกใจของเถียนซาน เพราะผู้ชายคนนี้ไม่ใช่พวกมีรสนิยมผิดปกติแน่ๆ แต่ความแปลกใจนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความปิติอย่างรวดเร็ว เว่ยจินหยินอ้าขาออก พยายามจะผ่อนคลายตัวเอง ไม่ว่าเถียนซานจะมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนหรือไม่ เขาดีใจที่ฝ่ายนั้นแสดงความตั้งใจที่จะมอบความฝันแสนหวานให้เขาจนถึงที่สุดอย่างที่สัญญาเอาไว้
   เถียนซานพยายามจะประคองอารมณ์ร่วมของอีกฝ่ายเอาไว้ มันค่อนข้างจะลำบากเมื่อไม่ได้เตรียมอะไรมาล่วงหน้า และเขาก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ หวังว่าสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมาโดยบังเอิญจะพอทำให้เว่ยจินหยินไม่บาดเจ็บอะไรมาก ร่างแกร่งค่อยๆ สอดนิ้วเพิ่มเข้าไปหลังจากช่องเปิดนั้นผ่อนคลายลงเรื่อยๆ เว่ยจินหยินหอบหายใจ รู้สึกอึดอัดตรงจุดที่ถูกสอดนิ้ว แต่ส่วนอ่อนไหวที่ยังถูกกระตุ้นอยู่ก็ยังรู้สึกดี ความรู้สึกสองอย่างนี่ปะปนกันจนกลายเป็นความสุขแบบประหลาดๆ แล้วท่ามกลางความอึดอัดที่ทำให้ร้องครางออกมานั้น ความรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตก็บังเกิดขึ้น แค่วูบเดียว แล้วความรู้สึกอึดอัดที่มีอยู่ก่อนหน้าก็ถูกเพิ่มความเสียวซ่านที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนลงไป เว่ยจินหยินครางเสียงพร่า เผยอริมฝีปากขึ้นไขว่คว้าหาจูบอันดื่มด่ำที่อีกฝ่ายอาจจะมอบให้เขา และเถียนซานก็ทำอย่างที่เขาต้องการ ริมฝีปากหนาบดลงมา มันรุนแรงกว่าช่วงแรกๆ นิดหน่อย แต่สำหรับอารมณ์ในตอนนี้ ความรุนแรงเพียงเล็กน้อยนั่นกระตุ้นเพลิงราคาะให้โหมไหม้มากขึ้นไปอีก เว่ยจินหยินรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะมอดไหม้ ความรู้สึกร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปทุกอณู แล้วความเจ็บปวดแบบที่ถ้าไม่ร้องออกมาก็คงจะต้องน้ำตาไหลก็บังเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา
   “อ๊า!!”
   เว่ยจินหยินกรีดร้องขึ้น และโอบมือรอบคอของเถียนซานอีกครั้ง ร่างบางหอบหายใจถี่ น้ำตาไหลพราก ถึงอย่างนั้นก็พยายามจะกล่าวคำพูดออกมา
   “อย่า..อย่าเอาออกไปนะ..ฉัน..ฉันอยากเป็นของนาย”
   เถียนซานก้มลงจูบริมฝีปากนั้นด้วยความรักปะปนกับเจ็บปวดใจ เขาลังเลอยู่นานมากเรื่องที่จะสอดใส่เข้าไป ยิ่งเห็นร่างกายผู้เป็นเจ้านายแสดงอาการไม่คุ้นเคยอย่างเห็นได้ชัดยิ่งอยากจะหยุดสิ่งที่ทำ แต่เว่ยจินหยินต้องการเขามากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เจ็บมากขนาดนั้นยังไม่อยากให้เขาหยุด เถียนซานเพิ่งรู้ตัวเองว่าเขาทำร้ายเจ้านายของเขาด้วยความรักไปมากมายเหลือเกิน แต่การจะหยุดตอนนี้คงยิ่งเป็นการทำร้ายหนักมากขึ้น และตัวเขาเองก็ไม่ปรารถนาเช่นนั้น
   เขาไม่เคยอยากจะขัดใจเว่ยจินหยินเลยแม้เรื่องเดียว
   เว่ยจินหยินครางเสียงสั่น ทั้งเจ็บทั้งอึดอัด แต่ก็รู้สึกตื้นตัน ตอนนี้เถียนซานเข้ามาในตัวเขาแล้ว ยอมรับเขาแล้ว แม้จะแค่ฝันก็เถอะ ร่างบางผงกศีรษะ กระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย
   “ได้โปรด..ทิ้งไว้ในตัวฉัน”
   เถียนซานดึงร่างที่สั่นระริกนั้นขึ้นมากอด จูบลงไปอย่างรักใคร่ เล็มเลียหยาดน้ำตาที่ไหลหยดลงมาอาบพวงแก้ม ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เขาจะพาเว่ยจินหยินไปให้ถึงสุดขอบของความฝัน
   ความฝันแสนหวานที่เขาจะมอบให้กับเว่ยจินหยินด้วยตัวเขาเอง

---------------------------------------------------------

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
คิดว่าจะเป็นคู่ของเฟิงปิงกับอาซิงซะอีก แต่เป็นคุณชายรองจินหยินกับอาซาน อยากจะกรี๊ดไปสามบ้านแปดบ้าน
คุณชายน้ำแข็งโดนละลายซะแล้ว ถ้าพ่อรู้จะว่ายังไงนะ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
กะ กะ กรี๊ดดดดดดดด ในที่สุด อิตาคุงพี่เถียนซานก็ไม่ใจร้ายอีกแล้ว  :haun4:

เอาเป็ดน้อยไปเลย 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2011 14:31:43 โดย dahlia »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด