มาต่อส่วนด่านอื่น ๆ แล้วค่า ~
ม่านราตรี
บทที่ 15
ตุลาเดินตามแผนที่ซึ่งมุ่งลงสู่ห้องใต้ดินด้วยความหวาดหวั่น แต่ก็ยังอุ่นใจที่มีกริชคอยอยู่เคียงข้างเขาไปเช่นนี้ ทว่าพอลงห้องใต้ดินปุ๊บ กริชก็ต้องชะงักเมื่อมีกำแพงใส ๆ กั้นไม่ให้เขาเข้าไป หากแต่ตุลาสามารถเดินผ่านได้โดยไม่เป็นอะไร
“เล่นอะไรกันพาทิศ!”
กริชบอกแล้วทุบเขตแดนโปร่งใสตรงหน้าอย่างขุ่นเคือง โดยที่ตุลานั้นไม่ได้รู้เลยว่าผู้เป็นอาตามมาด้วยไม่ได้ ยังคงเดินมุ่งตรงไปยังห้องที่อยู่ในแผนที่ต่อไป
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ คุณอธิปบอกมาว่าถ้าปล่อยให้คุณตามติดตุลมาด้วยตลอด การฝึกความกล้าครั้งนี้ก็ไม่ได้ผลพอดี”
เสียงของพาทิศดังขึ้นทั้งที่ไม่เห็นตัว กริชกัดฟันกรอด แล้วเอ่ยขู่เสียงเข้ม
“ถ้าหลานฉันเป็นอะไรไป ฉันเล่นงานนายแน่!”
เสียงหัวเราะดังขึ้นเบา ๆ แล้วจึงมีเสียงทุ้มเอ่ยตามมา
“คุณดูแลเขาเกินไปหน่อยแล้วล่ะครับ คุณกริช ตุลเขาก็มีชีวิตเป็นของตัวเองนะครับ เรื่องชะตากรรมก็ด้วย ต่อให้ฝืนยังไงก็ตาม …ถึงแม้บางคนอาจจะยืดระยะเวลาเลี่ยงออกไปได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครหนีพ้นชะตากรรมของตัวเองหรอกครับ”
กริชเงียบกริบ มาถึงตอนนี้เขาคิดว่าพาทิศน่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับเรื่องของเขาอยู่บ้าง เพียงแต่เลือกที่จะไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง อีกอย่างซอมบี้หนุ่มก็มักจะทำตัวลึกลับอยู่เสมอ
“พาทิศ…ตุลน่ะเป็นเด็กที่มีสัมผัสที่หกไวตั้งแต่เล็ก ทำให้มักจะเห็นสิ่งลี้ลับและภูตผีได้ง่าย ฉันเองเมื่อก่อนก็ผิดที่เห็นเรื่องแบบนั้นเป็นเรื่องน่าสนุก คอยแกล้งหลอกเขา จนเขาไปเจอภูตผีร้ายที่น่ากลัวเข้าจริง ๆ ถึงตอนนั้นฉันจะช่วยเขาเอาไว้ได้ แต่มันก็ได้กลายเป็นแผลฝังใจเขาไปแล้ว ตุลในตอนนั้นยังเล็กมาก จำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ความกลัวนั่นคงไม่มีวันจางหาย …”
กริชนิ่งเงียบไปชั่วครู่อย่างสำนึกผิด ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มอ่อนโยนของอีกฝ่ายดังขึ้น
“หึ ๆ ผมเข้าใจคุณนะคุณกริช แต่ผมก็ยังคงยืนยันคำเดิม ตุลโตขึ้นแล้ว เข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่เด็กน้อยขี้โรคเหมือนตอนเด็ก ๆ ที่คุณเฝ้าปกป้องอีกแล้ว … จริงอยู่แผลใจนั้นอาจมีหลงเหลือบ้าง แต่พวกเราก็ช่วยกันกลบมันทีละน้อยก็ได้นี่ครับ”
กริชเงียบรับฟัง จากนั้นพาทิศจึงเอ่ยทิ้งท้ายให้อีกฝ่ายคลายกังวล
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่ทำอะไรตุลรุนแรงแน่ ผมเองก็เอ็นดูเขาไม่แพ้ทุกตนในคฤหาสน์หลังนี้นักหรอกนะครับ”
กริชยิ้มออกมาน้อย ๆ กับถ้อยคำที่ได้ยิน แล้วจึงยอมยืนรอนอกเขตแดนเฉย ๆ ปล่อยให้หลานชายเผชิญหน้ากับด่านที่สองตามลำพัง
ตุลาเดินมาหน้าประตูห้องหนึ่งในห้องใต้ดิน เขากลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตัดสินใจผลักมันออกไปช้า ๆ
“คุณพาทิศครับ? อยู่หรือเปล่าครับ?”
ตุลาเรียกชื่อซอมบี้หนุ่ม แต่ไม่มีเสียงใดตอบรับ แถมจู่ ๆ ประตูห้องใต้ดินห้องนั้นก็ปิดโครมลง ทำเอาชายหนุ่มสะดุ้ง พยายามเปิดก็เปิดไม่ได้ พอจะหันไปให้กริชช่วย ก็ไม่เจอใคร ลองเรียกดูวิญญาณหนุ่มก็ไม่ยอมปรากฏกายให้เห็น
“หึ ๆ ถ้าไม่มีอาอยู่ จะทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้เลยหรือตุล”
เสียงของพาทิศดังขึ้น ทำให้ตุลาชะงัก พอมองไปด้านหลัง ก็เห็นร่างของซอมบี้หนุ่มยืนยิ้มให้เขา
“คุณพาทิศ …เอ่อ ผม…”
ตุลาเอ่ยตะกุกตะกัก แก้ตัวเรื่องที่อีกฝ่ายพูดไม่ออกเอาดื้อ ๆ ทำให้พาทิศเดินเข้ามาใกล้ แล้วลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“เธอก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือตุล คนที่เหนี่ยวรั้งให้วิญญาณที่น่าจะไปสู่สุคตินานแล้ว อย่างอาของเธอ ไม่อาจไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า นั่นคือใคร?”
ตุลาเงียบกริบ เขาก้มหน้านิ่ง ก่อนจะหลุดสะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว
“ผมน่ะ…ก็อยากให้อาพ้นทุกข์สักที…เหมือนกัน … แต่ผมก็รักอามาก…ฮึก”
พาทิศเห็นดังนั้นจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วรวบร่างผอมบางตรงหน้ามากอดปลอบอย่างอ่อนโยน
“ฉันเข้าใจ ในตอนนี้แม้อาจจะยากต่อการจากลา แต่ถ้าสักวันหนึ่งที่โชคชะตาฟ้าลิขิตให้แยกจากกันมาถึง ฉันหวังว่าเธอคงจะสามารถยิ้มส่งให้เขาไปสู่สุขคติได้ …ฉันรู้ การแยกจากคนที่รักมากมันยาก แต่เราก็ต้องฝืนทน”
แม้จะไม่เทียบเท่ากับอาของตน แต่อ้อมกอดของพาทิศก็เปรียบเสมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นญาติผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้ ตุลากลั้นสะอื้นสงบสติอารมณ์แล้วยิ้มให้ซอมบี้หนุ่ม
“ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยเตือนสติ”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่เข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่า”
พาทิศบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้ตุลาขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“เรื่องอะไรหรือครับ?”
“ก็เรื่องทดสอบความกล้าไง ลืมแล้วหรือ”
คนฟังชะงัก แล้วทุบมือเบา ๆ อย่างลืมตัว
“อ้อ จริงด้วยสิครับ … อ๊ะ ว่าแต่ด่านนี้ั คุณพาทิศจะทำอะไรหรือครับ”
ซอมบี้หนุ่มหัวเราะเบา ๆ แล้วใช้มือเชยคางของตุลาขึ้น จนอีกฝ่ายงุนงง
“ฉันจะให้เธอทำในสิ่งที่มนุษย์น้อยคน กล้าลองเสี่ยง แต่ถ้าเธอทำได้ เธอก็ผ่านด่านของฉันไปง่าย ๆ ว่าไง กล้าหรือไม่กล้า”
ตุลากลืนน้ำลายลงคอ ตัดสินใจชั่วครู่ แล้วพยักหน้ารับ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะถูกให้อีกฝ่ายทำอะไร
“ดีมาก กล้าหาญใช้ได้ ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะลงมือเลยแล้วกัน”
พาทิศพึมพำตอบ แล้วค่อย ๆ ชะโงกหน้ามาใกล้ ตุลาเบิกตาน้อย ๆ ด้วยความตกตะลึง ก่อนจะตัวแข็งทื่อ พูดอะไรไม่ออก เมื่อริมฝีปากของอีกฝ่ายประกบกับริมฝีปากของตัวเองพอดิบพอดี
กริชที่รออยู่ด้านนอกชะงักเล็กน้อย เมื่อเขตแดนของพาทิศถูกปลดออก จากนั้นสักพักตุลาก็เดินหน้าแดงออกมา โดยที่ซอมบี้หนุ่มก็เดินตามมาส่งเรื่อย ๆ
“เกิดอะไรขึ้นหรือตุล”
วิญญาณหนุ่มถาม ทำเอาหลานชายของเขาสะดุ้ง แล้วรีบสั่นศีรษะไปมา ใบหน้านั้นก็แดงหนักขึ้น
“นายทำอะไรหลานฉัน?”
กริชถามพาทิศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่คนถูกคาดคั้นกลับแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบออกไป
“ทดสอบความกล้ายังไงล่ะครับ”
“แล้วทำไมตุลถึงมีปฏิกิริยาแปลก ๆ แบบนี้?”
กริชซักต่อ ด้านตุลาเห็นท่าทางไม่ค่อยดี อีกทั้งไม่อยากบอกเรื่องน่าอายให้ผู้เป็นอาฟัง ชายหนุ่มจึงรีบแก้ตัวแทนพาทิศยกใหญ่
“ไม่มีอะไรหรอกครับอา… ผมแค่ ...เอ่อ...ไม่เล่าได้ไหมครับ ...แบบว่า ...เรื่องมันค่อนข้างจะน่าอายสักหน่อย...”
วิญญาณหนุ่มหันมามองหลานอย่างจ้องจับผิด แต่เมื่อเห็นตุลาหลบตา สีหน้าก็แดงระเรื่อด้วยความเขินเหมือนที่ปากบอก เขาก็เลยจำใจเชื่อคิดว่าตุลาคงกลัวจนเผลอแสดงท่าทางตลก ๆ อะไรไปที่เล่าให้เขาฟังลำบาก เขาจึงตัดสินใจไม่ซักพาทิศต่อ ส่วนซอมบี้หนุ่มนั้นมองอาหลานทั้งสองพลางลอบยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะชะโงกหน้ามาข้างหูของตุลา
“เอ้า! ไปด่านต่อไปได้แล้วตุล ปิ่นเค้าคงรอเธออยู่นานแล้วล่ะ”
เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหู ทำเอาตุลาออกอาการสะดุ้งโหยง แล้วจึงรีบถอยหลังห่างออกมาสองสามก้าว ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แล้วจึงรีบจ้ำฝีเท้ากลับขึ้นไปชั้นบนของคฤหาสน์ทันที
“หวังว่าคงจะไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับหลานชายของฉันหรอกใช่ไหม?”
กริชหันมาถามซอมบี้หนุ่มซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มรับแล้วตอบกลับอย่างสุภาพ
“ใครจะกล้าล่ะครับ …ยกเว้นว่าตุลจะให้ความร่วมมือเองล่ะนะ”
“ก็เพราะแต่ละคนมันเป็นกันซะแบบนี้ แล้วจะไว้ใจปล่อยให้ตุลอยู่ด้วย โดยไม่ดูแลได้ยังไงกัน!”
กริชทำหน้ายุ่ง พลางบ่นกับตัวเองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหายวับไปทิ้งไว้เพียงพาทิชที่ยืนอมยิ้มอยู่ลำพังคนเดียวอย่างอารมณ์ดี
ตุลาเดินออกจากคฤหาสน์มายังสวนด้านหลังบริเวณก่อนถึงบ่อน้ำ ซึ่งยามนี้ถูกมนต์ลวงตาเปลี่ยนให้กลายเป็นหนองน้ำกลางป่ารกทึบ
“เล่นกันซะอลังการงานสร้างจริง ๆ แฮะ”
กริชพึมพำอย่างกึ่งชื่นชมกึ่งระอา ส่วนหลานชายเขานี่สิ ตอนนี้กำลังมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดเสียว ย่ำไปในหนองน้ำมุ่งตรงไปข้างหน้า ที่ดูเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุด ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นแค่สวนด้านหลังธรรมดาแท้ ๆ
“ตุล สบายใจเถอะ อาเชื่อว่าปิ่นสุดาคงไม่คิดแกล้งหลาน เหมือนกับคนอื่น ๆ เค้าหรอก”
กริชปลอบ ซึ่งก็ทำให้ตุลายิ้มออก ก่อนจะสะดุ้งเฮือกสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงน้ำแตกกระจาย พร้อมกับการปรากฏกายของจระเข้ยักษ์เบื้องหน้า
“เหวอ! อะไรนั่น! นี่มันการทดสอบความกล้าเรื่องผีไม่ใช่หรือไง!”
ตุลาโพล่งขึ้นอย่างทั้งกลัว ทั้งเหลืออด ก็เพราะสองด่านก่อนหน้าและตอนนี้ มันดูไม่ค่อยจะใกล้เคียงการฝึกให้เขาเลิกขวัญอ่อนกลัวเรื่องภูตผีสักเท่าใดสักนิด
แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแทบจะหัวใจหยุดเต้นแท้จริง ก็คือมือเย็นเฉียบซึ่งจับหมับอยู่ที่ข้อเท้าทั้งสอง พอก้มลงไปมอง ก็เห็นเส้นผมและศีรษะคนค่อย ๆ โผล่มาจากน้ำที่เขาเหยียบอยู่ ใบหน้าขาวซีด ตาเหลือกขาวโพลน
“คิก ๆ …ฉันจะเอาเธอไปอยู่ด้วยกับฉัน…”
ตุลาตัวแข็งทื่อตาค้าง จระเข้ยักษ์ด้านหน้าก็ย่างเท้าเข้ามาใกล้ ส่วนผีสาวในน้ำก็ค่อย ๆ ดึงขาเขาจมลงไปเรื่อย ๆ ตุลาโวยวาย แล้วร้องลั่น
“มะ …ไม่เอานะครับ คุณปิ่น! คุณราตรี! อย่าเล่นสมจริงเกินไปสิครับ ผมกลัวนะ!”
จระเข้ยักษ์และผีสาวในหนองน้ำ ชะงัก แล้วจึงค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมของตน โดยจระเข้ยักษ์คืนร่างเป็นปิ่นสุดา ส่วนผีสาวน่ากลัวนั่นก็กลายร่างเป็นวิญญาณสาวผู้งดงามอีกครั้ง ภาพลวงตาหายไป กลับกลายเป็นสวนราตรีแสนสวยตามเดิม
“ตุลรู้ได้ไงว่าเป็นพวกเรา? คุณบอกเขาหรือคะคุณกริช?”
ราตรีหันไปทางกริช ซึ่งกริชก็ยักไหล่น้อย ๆ
“พวกเธอก็เห็น ฉันแค่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ แล้วจะบอกอะไรกับตุลได้ตอนไหน อีกอย่างบอกตามตรงเลยนะ พวกเธอเล่นกันสมจริงมาก จนฉันยังนึกทึ่งด้วยซ้ำ”
ราตรีฟังแล้วก็พยักหน้ารับ เพราะเธอก็เห็นอย่างที่อีกฝ่ายบอก จากนั้นจึงหันไปทางชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ชั่วคราวคนใหม่
“ผมรู้สึกได้น่ะครับ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่เป็นความรู้สึก ที่บอกว่านั่นเป็นคุณปิ่น และคุณราตรี”
ตุลาอธิบาย ซึ่งก็ทำให้สองสาวทึ่งในสัมผัสที่หกของชายหนุ่ม แม้แต่กริชเองก็คิดว่าพลังของหลานชายพัฒนาขึ้นมาก นับตั้งแต่มาอยู่ในพื้นที่ดินอาถรรพ์ผืนนี้
“แต่ถึงยังไงตุลก็เก่งขึ้นมาก เจอเรื่องน่ากลัวแบบนี้ แต่ก็ยังไม่ตกใจจนสลบ ถือว่าผ่านล่ะนะ”
ราตรีเอ่ยชม แล้วหยิบตราประทับของเธอปั๊มบนแผนที่ของตุลา ซึ่งปิ่นสุดาเองก็ทำเช่นเดียวกัน
“ขอโทษนะคะ ที่หลอกให้คุณตกใจ”
เงือกสาวบอกอย่างเป็นกังวล ทำให้ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ แล้วสั่นศีรษะ
“ไม่เป็นไรครับไม่ต้องห่วง พวกคุณหวังดีกับผมนี่นะครับ”
ปิ่นสุดาหน้าแดง ส่วนราตรียิ้มน้อย ๆ ให้ จากนั้นจึงยื่นแผนที่ซึ่งปั๊มตราประทับของเธอและเงือกสาวเรียบร้อย ส่งคืนให้กับตุลา
“ด่านสุดท้าย เป็นด่านของหมอผีนั่น เขาไม่ได้แย้มกับพวกเราว่าจะทำอะไร แต่ฉันเชื่อนะว่าจะเป็นอะไรที่น่ากลัวมากทีเดียว เพราะฉะนั้นก็ตั้งสติให้มั่นคงแบบเมื่อครู่ แล้วผ่านมันไปให้ได้เช่นกันนะ”
ราตรีเตือนชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง ซึ่งตุลาก็ขอบใจผีสาว แล้วจึงบอกกับทั้งคู่
“ถ้าอย่างนั้นผมไปล่ะครับ”
“โชคดีจ้ะตุล”
“พยายามเข้านะคะ”
ทั้งสองสาวอวยพรไล่หลังตามมา ก่อนจะหันมาสบตากัน แล้วยิ้มน้อย ๆ ที่คนซึ่งพวกเธอชื่นชอบ เริ่มมีความกล้าเพิ่มขึ้น
ด่านสุดท้ายคือด่านที่อธิปประจำอยู่ เป็นด่านที่กริชรู้สึกไม่ไว้วางใจปล่อยให้ตุลาเข้าไปคนเดียวเป็นอย่างที่สุด
“ผมว่าคงไม่มีอะไรน่าห่วงอย่างที่อาคิดหรอกครับ”
ตุลาบอกพลางยิ้มเจื่อน ๆ อย่างไม่แน่ใจ เพราะพักหลังตัวการที่ทำให้เขาตกใจเสมอ ก็มาจากอธิปเสียเป็นส่วนมาก
“ด่านสุดท้าย ห้องคุณอธิปสินะครับ”
ตุลาพึมพำ พร้อมกับดูแผนที่ในมือที่ได้รับมา
“ระวังเข้าล่ะ เจ้าหมอผีโรคจิตนั่น บางครั้งนึกอยากจะแกล้งใครขึ้นมา ก็ไม่ค่อยกะความพอดีนักหรอก”
กริชบอกด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายแกมกังวล ทำให้ตุลากลืนน้ำลายลงคอแล้วพยายามตั้งสติให้มากขึ้น เพื่อที่จะไม่ได้ตกใจร้องจ๊ากเป็นลมล้มไปก่อน หากเปิดไปเห็นเจ้าหัวกะโหลกเจ้ากรรมที่ชอบลอยไปมาให้เขากลัวเสมอ
ชั้นสองของคฤหาสน์ม่านราตรี เต็มไปด้วยบรรยากาศชวนเสียวสยองอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะหมอกควันขาว ๆ เลือนรางที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณชั้นสองอย่างน่าพิศวงนั่น
“ไอ้หมอผีโรคจิต ทำซะน่ากลัวเชียวนะ”
กริชบ่นเบา ๆ กับตัวเอง เพราะเจ้าบรรยากาศแสนอึมครึมชวนขนลุกนี่ มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางป่าช้าหรือสุสานแห่งใดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
“เอ่อ อากริชครับ จะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะ…”
ตุลาบอกกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอึกอัก ใบหน้าก็แดงน้อย ๆ จนคนมองเลิกคิ้ว แล้วก็เข้าใจตามมา
“เอาสิ... ไม่ได้เดินด้วยกันแบบนี้มานานแล้วนี่นะ”
กริชยิ้ม พลางแสดงร่างวิญญาณให้เห็นชัดเจนขึ้น ก่อนจะยื่นมือมาสัมผัสกับมือของหลานชายที่ส่งมาอย่างเขิน ๆ อาหลานจูงมือกันเดินไปจนกระทั่งถึงห้องของอธิป ซึ่งพอจับลูกบิดประตู ตุลาก็ชะงักนิ่วหน้า เมื่อรู้สึกถึงความกดดันแปลก ๆ บางอย่าง
“แปลกจังครับ รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย”
ตุลาหันมาบอกผู้เป็นอา กริชขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจกระทำบางอย่าง
“อาจะเข้าไปดูลาดเลาให้ก่อน แล้วจะออกมาบอกให้แล้วกัน”
“แต่ว่า จะดีหรือครับ”
ตุลาแย้งอย่างเกรงใจ เพราะนี่เป็นการทดสอบความกล้าของเขา ถ้าให้กริชช่วยแบบนี้ มันจะไม่ดีทั้งต่อเขาและอธิป รวมไปถึงภูตผีตนอื่นในคฤหาสน์ม่านราตรี ที่ช่วยกันสร้างด่านทดสอบขึ้นมา
“อาไม่ได้ไปขัดขวาง แต่ตุลบอกว่าสังหรณ์ไม่ดีไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นอาจะไปสำรวจให้ก่อน ถ้าแค่เป็นการกลั่นแกล้งธรรมดา อาจะยอมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ได้ แต่ถ้ามันหนักหนา จนอาจถึงขั้นทำอันตรายกับตุล อาก็คงต้องเจรจากับหมอนั่นสักหน่อยล่ะ”
กล่าวจบวิญญาณหนุ่มก็หายวับไปต่อหน้าตุลา ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ แล้วยืนรอสักพัก แต่พอเวลาผ่านไปเกือบสิบนาที เขาก็เริ่มแปลกใจ ที่ทำไมผู้เป็นอายังไม่กลับมาสักที
“อากริชครับ ผมจะเข้าไปแล้วนะครับ”
เงียบกริบ ไร้เสียงตอบ ทำให้ตุลานิ่วหน้า แล้วจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปทันที ไอเย็นเยียบที่พุ่งมาปะทะร่าง ทำให้เจ้าตัวชะงักกึก ก่อนจะตกตะลึง ขาแข็งอยู่กับที่ เมื่อร่างของกริชนั้นกำลังนั่งคุกเข่าแข็งค้างไม่ขยับเขยื้อน ที่ลำคอมีเคียวยักษ์สีดำพาดจากด้านหลัง โดยผู้ถือเคียวนั่น คือร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำสนิท ฮู้ดดำที่สวมศีรษะหลวม ๆ นั่น ก็ทำให้แทบจะมองไม่เห็นว่าผู้สวมใส่มีหน้าตาแบบไหน อีกฝั่งของห้องมีร่างของอธิปนอนคว่ำหน้าสลบอยู่
“ตุล … หนีไป… อย่าเข้ามา”
เสียงกริชพยายามเค้นพูดรอดไรฟันอย่างยากลำบาก นั่นยิ่งทำให้ตุลาตกอยู่ในสภาวะตะลึงงันมากยิ่งขึ้น
“อะไรครับนั่น …คุณเป็นใครกัน….”
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากร่างในเสื้อคลุม จากนั้นน้ำเสียงห้าวใหญ่แปลกหู จึงเอ่ยขึ้นดังก้องกังวานไปทั่ว
“ข้าหรือ ข้าคือยมทูตที่จะมาพาตัวเจ้า และชายผู้นี้ไปพิพากษาในนรกน่ะสิ!”
... TBC ...