ม่านราตรี
บทที่ 18
...หลังจากส่งนิยายไปแล้ว ช่วงอาทิตย์แรก ๆ ตุลานั้นค่อนข้างกระวนกระวาย จนสมาชิกร่วมบ้านต้องคอยปลอบให้ใจเย็น และวิธีปลอบของแต่ละคนก็ทำเอาชายหนุ่มแทบจะลืมความกังวลในเรื่องการรอฟังผลพิจารณาไปเสียสนิท ไม่ว่าจะเป็นการปลอบแกมขู่จากรุ้งพราย หรือการปลอบไปร้องไห้ไปเสียเองจากปิ่นสุดา และการปลอบราวกับเขาเป็นเด็กตัวน้อย ๆ จากราตรี ก็ตาม
แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการปลอบของพาทิศ โดยเฉพาะวิธีปลอบแบบถึงเนื้อถึงตัวเวลายามเขาเผลอ มันทำเอาเขาต้องคอยระวังตัวแจ ว่าอีกฝ่ายจะโผล่มาตอนไหนเลยด้วยซ้ำ
“เอ๋...เย็นนี้อากับคุณอธิปจะไม่อยู่อีกแล้วหรือครับ?”
ตุลาถามขึ้นหลังจากเห็นอธิปสะพายกระเป๋าเป้ใบเก่าขึ้นหลัง และมีกริชเดินตามมาด้วยห่าง ๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
“ช่วยไม่ได้นี่นะ ทางนั้นยังไงก็เคยมีบุญคุณกันมาตั้งแต่สมัยพ่อฉันยังอยู่ เลยต้องไปจัดการให้สักหน่อย ถ้าเป็นคนอื่นคงปฏิเสธได้เลยนั่นล่ะ”
อธิปบอกกับตุลาอย่างร่าเริง ทว่าคนที่ยืนร่างโปร่งใสอยู่ข้าง ๆ กลับบ่นอุบ
“คนเดียวก็จัดการได้แท้ ๆ ต้องลากชาวบ้านไปเป็นเพื่อนด้วย”
“อย่าเรื่องมากน่า เดี๋ยวก็ปฏิเสธงานบอดี้การ์ดนั่นเสียเลยนี่”
อธิปยักคิ้วอย่างเป็นต่อ ทำให้อีกคนกัดฟันกรอดด้วยความหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
“บอดี้การ์ด?”
ตุลาที่ได้ยินทวนคำอย่างงุนงง กริชชะงักเล็กน้อย แล้วจึงหันมายิ้มให้กับหลานชายของตน ก่อนจะบอกออกไปตามตรงโดยไม่คิดปิดบังอันใดอีก
“อาเห็นว่าหมอนี่มีประโยชน์ทางด้านฮวงจุ้ย แล้วก็มีอาคมแกร่งกล้า น่าจะช่วยคุ้มครองตุลให้อยู่ในที่ดินผืนนี้อย่างราบรื่นได้ตลอดไปน่ะ ...อีกอย่างอาก็สงสารเขา เพราะลำพังเงินค่าจ้างไล่ผี ที่หมอนี่หาได้ ก็แทบไม่พอยาไส้อะไรนัก อาก็เลยจะจ้างเขาด้วยเงินมรดกอาที่ให้ตุลไว้นั่นล่ะ”
ท้ายประโยคชายหนุ่มเหลือบสายตามองอีกฝ่ายด้วยหางตาเหยียด ๆ อย่างหมั่นไส้ ทว่าคนที่ถูกกล่าวถึงนั้นหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีโดยไม่ได้นึกขุ่นเคืองกับถ้อยคำดูถูกนั่น เพราะรู้ดีว่าเพื่อนสนิทกำลังโมโหที่ตนลากให้ไปทำงานด้วย จนไม่ได้อยู่เคียงข้างหลานสุดที่รักนั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปล่ะ ...ไปเร็วนายกริช ขืนช้าทางโน้นจะโทรมาโวยวายอีก ...ไอ้ผีเจ้าถิ่นนั่นก็โมโหร้ายเหลือเกิน แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ เขาอยู่ของเขาดี ๆ มาตั้งนาน ทางนี้ดันไปตัดต้นไม้ที่เขาอาศัยทิ้งเองนี่นา พ่อฉันก็เคยเตือนไว้แท้ ๆ ไอ้พวกรุ่นลูกรุ่นหลานนี่มันไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตาจริง ๆ”
อธิปบ่นอุบยืดยาวต่องานที่ต้องไปทำ ส่วนกริชก็ทำหน้าเซ็งใส่ แต่ก็ยอมหายตัวเข้าไปสิงในกล่องเล็ก ๆ ที่อธิปเอาออกมา จากนั้นเมื่อทั้งคู่ออกไปจากบ้าน ตุลาก็เดินไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องครัวเงียบ ๆ ตามลำพัง ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อใบหน้าหล่อเหลาคมคายของใครบางคนชะโงกมาใกล้ ๆ
“เหงาหรือตุล หือ?”
ตุลาหน้าแดงวาบ เพราะลองพาทิศโผล่มาใกล้ ๆ แบบนี้ ถ้าไม่โดนแต๊ะอั๋งบ้าง ก็มักโดนขโมยจูบเป็นประจำ
“ปะ...เปล่านะครับ...”
ตุลาบอกแล้วขยับเก้าอี้หนี จนพาทิศนึกขำ เลยเลี่ยงไปนั่งฝั่งตรงข้ามแทน
“เอ่อ นี่ก็เย็นแล้ว พวกคุณรุ้งล่ะครับเห็นเงียบ ๆ มาตั้งแต่บ่ายแล้ว”
พาทิศเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงตอบออกไปตามตรง
“พวกสาว ๆ วันนี้ไม่อยู่บ้านน่ะ เห็นว่าจะไปตามหาอะไรสักอย่างแถวบ่อน้ำหลังคฤหาสน์นี่ เมื่อครู่ฉันเพิ่งเห็นปิ่นวิ่งไปกับราตรีหายไปแถวนั้น ส่วนรุ้งคงจะไปตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้ว”
“เอ๋? ถ้าอย่างนั้นผมไปช่วยหาด้วยดีไหมครับ”
ตุลาถามอย่างเป็นห่วง แต่พาทิศนั้นยิ้มน้อย ๆ แล้วสั่นศีรษะ
“ไม่ดีแน่ ไม่คิดหรือว่าทำไมพวกนั้นถึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับเธอ ...เพราะเขาต้องการปิดเป็นความลับกับเธอยังไงล่ะ นี่ฉันก็ไม่ควรจะมาบอกกับเธอเลยด้วยซ้ำ ถ้ารุ้งรู้เข้าคงโมโหแย่”
ตุลาชะงัก แล้วก็นิ่งคิดหนัก ว่าเรื่องความลับของสามสาวมันเกี่ยวข้องอะไรกับเขากันแน่ ทว่าระหว่างที่กำลังคิดเคร่งเครียด เขาก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อคนนั่งตรงข้ามลุกขึ้นยืนชะโงกตัวข้ามมาครึ่งโต๊ะแล้วหอมแก้มเขาแรง ๆ ฟอดใหญ่
“คุณพาทิศ!”
“ใครใช้ให้เธอทำหน้าเครียดแบบนั้นล่ะ เดี๋ยวก็แก่ไวหรอก”
พาทิศกระเซ้ายิ้ม ๆ แล้วนั่งลงจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“สรุปว่าวันนี้ เหลือเราอยู่กันสองต่อสองในคฤหาสน์นี้เท่านั้นแล้วล่ะนะ”
ตุลาหน้าแดงวาบ เขารู้หรอกว่าพาทิศชอบแกล้งเขา แต่การกลั่นแกล้งแบบเดี๋ยวจูบ เดี๋ยวหอมนั่น มันทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูกเสียจริง ๆ ถึงจะไม่ได้นึกรังเกียจอะไรก็เถอะนะ
“วันนี้จะให้ฉันนอนเป็นเพื่อนก็ได้นะ ...เพราะคืนเดือนมืดแบบนี้ บางทีก็มักมีพวกแขกไม่ได้รับเชิญหลงเข้ามาในคฤหาสน์บ้างเหมือนกัน ...ปกติพวกรุ้งก็จะคอยไล่ไปอยู่หรอก แต่นี่...”
ท้ายประโยคพาทิศบอกด้วยสีหน้าขรึม ๆ จนตุลาขนลุกซู่เผลอกอดอกอย่างลืมตัว ก่อนจะหน้าแดงด้วยความโมโห เมื่อผีดิบตรงหน้าดันเผลอหลุดหัวเราะคิกอย่างเอ็นดูคนกลัวผีเข้าไส้อย่างเขาให้เห็น
“ตุลนี่ขี้กลัวจังน้า...แต่ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าคืนนี้มีอะไรเกิดขึ้น ฉันจะปกป้องเธอเอง”
พาทิศบอกยิ้ม ๆ แต่แววตาแสดงถึงความจริงจัง จนคนกำลังโมโหชะงัก แล้วอุบอิบขอบคุณเบา ๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ตกกลางคืนตุลารีบปฏิเสธคนที่จะมานอนเป็นเพื่อน แต่พอเอาเข้าจริง ๆ บ้านเงียบ ๆ ที่ไร้เสียงเฮฮาของรุ้งพราย ไร้เสียงต่อว่าของราตรี และไร้เสียงร้องเพลงเพราะ ๆ ของปิ่นสุดา ก็ทำเอาเขารู้สึกเงียบเหงาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มิหนำซ้ำ กริชก็ยังอยู่ห่างเกินกว่าที่เขาจะเรียกหาเสียอีก
“เงียบชะมัดเลยแฮะ...”
ตุลาพึมพำ พลิกซ้ายพลิกขวาอยู่ค่อนคืนก็ไม่หลับสักที จึงตัดสินใจออกมายืนรับลมที่ระเบียง เขายืนอยู่สักพักจนรู้สึกหนาว แต่แล้วพอคิดจะกลับไปนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ห่มผ้าให้อบอุ่น ชายหนุ่มก็ต้องชะงัก ขนลกซู่ไปทั่วกายด้วยความลืมตัว เมื่อเขาเห็นเงาดำ ๆ คลานสี่ขา เสียงหายใจดังฟืดฟาด เข้ามาในสวน
“ตัวอะไรนั่น...”
ตุลาพึมพำเสียงแผ่ว แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อนัยน์ตาแดงก่ำของเจ้าตัวประหลาดด้านล่างหันขวับมามองเขา มันอ้าปากแสยะคำรามจนเห็นเขี้ยวขาว แล้วกระโดดพุ่งขึ้นมา หมายจะเล่นงานมนุษย์ที่เห็นมัน
“เหวอ!”
ตุลาหลับตายกแขนบังหน้าเพื่อป้องกันตัว แต่แล้วเขาก็รู้สึกถึงอ้อมแขนแข็งแรงที่ดึงร่างเขาไปกอด มีเสียงปึกดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องคล้ายสัตว์เจ็บปวด
“เกือบแย่แล้วไหมตุล ...บอกให้ฉันนอนด้วยก็ไม่เชื่อนี่นะ”
ตุลาลืมตาขึ้นมามองคนพูดด้วยความตื่นตกใจ แต่พอเห็นว่าเป็นพาทิศเขาก็รู้สึกโล่งอก แล้วก็รีบหันขวับไปทางเจ้าวิญญาณสัตว์ร้ายที่หลงเข้ามา
“อึ๋ย...”
เจ้าตัวดำมืดคล้ายสัตว์ป่าหัวบุบไปข้าง ด้วยแรงทุบมหาศาลของพาทิศ ก่อนที่มันจะโขยกเขยกวิ่งหนีออกไปทางนอกบ้าน
“มันจะเป็นอะไรไหมครับ?”
ตุลาพึมพำ ถึงจะกลัวแต่เผลออดสงสารไม่ได้
“เด็กโง่...มันเป็นวิญญาณเร่ร่อนนะ เจอแค่นั้นไม่เป็นอะไรหรอก สักพักก็ฟื้นฟูตัวเองได้น่า ...ห่วงตัวเธอเองดีกว่า ถ้าฉันมาไม่ทันคงโดนมันขบหัวเข้าให้แล้ว”
พาทิศบอกยิ้ม ๆ ทำให้คนฟังรู้สึกขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนจะชะงักเมื่อเริ่มรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม แถมอ้อมกอดนั้นยังรัดตัวเขาเรื่อย ๆ อย่างจงใจ
“เอ่อ... ผมโอเคแล้วครับ...ขอบคุณนะครับที่คุณช่วยไว้ ...”
“งั้นหรือ...แต่ฉันชักง่วงแล้ว และก็ไม่อยากจะเดินกลับไปนอนที่ห้องใต้ดินด้วยสิ”
พาทิศแกล้งบอก ทำเอาตุลาต้องขมวดคิ้วยุ่ง ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายเป็นพวกนอนกลางวัน ตื่นกลางคืนแท้ ๆ ทว่าพอพาทิศประคองเขาขึ้นเตียง และจับเขากดทาบลงไปบนเตียงนุ่ม ก่อนที่ตัวเองจะตามมาคร่อมทับ ตุลาก็ต้องสะดุ้งเฮือก ตัวแข็งทื่อ โดยเฉพาะยามที่อีกฝ่ายไล่จูบเบา ๆ ทั่วหน้าและไล่มาเรื่อย ๆ จนถึงลำคอของตน
“ยะ...หยุดเถอะครับ..คุณพาทิศ...อือ...”
ตุลาพยายามดันร่างสูงหนาที่คร่อมทับตนให้ออกไปห่าง ๆ ด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมดยามนี้
“รังเกียจที่ฉันเป็นซอมบี้หรือตุล?”
พาทิศหยุดแล้วกระซิบถามเสียงเศร้า ๆ ทำให้คนที่กำลังดันร่างนั้นออกชะงัก แล้วรีบบอกปฏิเสธทันทีด้วยความตกใจ
“ไม่ใช่นะครับ...แค่กลัวว่า...เอ่อ ตอนคุณกำลังทำ...แบบนี้...กับผม...แล้วเกิดจู่ ๆ ลูกตาหลุดออกมาอีก...ผมคงช็อกตายแน่....”
พอบอกออกไปใบหน้าอ่อนเยาว์ก็ยิ่งแดงหนักไปอีก จนคนที่แกล้งทำเป็นเก๊กเศร้าอดไม่ไหว ต้องหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจูบหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“หึ ๆ คิดไปถึงนั่นเชียวหรือเด็กน้อย...อย่าห่วงเลย มันไม่ได้หลุดง่ายดายขนาดนั้นหรอกนะ”
“เอ๊ะ...แต่เมื่อก่อนหน้านั้น ...คือว่า...เอ่อ”
ตุลาทำสีหน้าตกใจและแปลกใจในคราเดียวกัน และไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดยังไงเพื่อไม่ให้เสียมารยาทเกินไปนัก พาทิศหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ จูบแก้มซ้ายขวาของหนุ่มน้อยใต้ร่างของตนอย่างหากำไรอีกข้างละฟอด แล้วจึงยันกายลุกขึ้นนั่งข้าง ๆ อีกฝ่าย
“ก่อนหน้านั้นฉันแกล้งทำน่ะ ...เป็นวิธีต้อนรับสมาชิกใหม่ในแบบของฉันเองล่ะนะ”
“เอ๋?! ...แกล้งหรือครับ”
ตุลาถามอย่างตกตะลึง ซึ่งพาทิศก็อมยิ้มแล้วบอกออกไปตามตรง
“ใช่...แกล้ง หึ ๆ พอดีติดนิสัยแบบนี้ ตอนแกล้งทำให้โน่นนี่มันหล่นออกมา เวลารุ้ง หรือราตรีบ่นน่ะ ...ก็พวกสาว ๆ เวลาเห็นอะไรแบบนี้ มันก็ไม่ค่อยเจริญหูเจริญตา แล้วก็จะหยุดพูดไปเองไง ...แต่อย่าไปบอกพวกหล่อนล่ะ ไม่งั้นฉันโดนสวดหูชาแน่”
ตุลานิ่งอึ้ง ไม่คิดเลยว่า จริง ๆ แล้วเขาจะถูกอีกฝ่ายแกล้งเอาแต่แรกแบบนี้ ...นี่ถ้าเขาเกิดหัวใจวายตายไป ไม่เท่ากับว่า เขาได้มาร่วมก๊วนกับอีกฝ่ายตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่หรอกรึ!
“โกรธหรือ...ก็ฉันไม่คิดว่าเธอจะขวัญอ่อนขนาดนั้นนี่นา ...ขนาดเจอมุกเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เธอก็ยังเป็นลมได้อีก”
พาทิศหวนคิดถึงสีหน้าของชายหนุ่มในวันแรกที่พวกเขาเจอกัน ครั้งแรกนั้นเขารู้สึกผิดอยู่มาก ที่ทำให้อีกฝ่ายตกใจ จนเกือบจะเกิดอุบัติเหตุ โชคดีที่กริชออกมาช่วยทัน แต่ถึงกริชช่วยไม่ทัน ทั้งปิ่นสุดา ทั้งรุ้งพรายก็คงยอมเสียสละเป็นเบาะรองร่างให้กับตุลาได้ทันอยู่ดี แต่นั่นก็จะทำให้ตุลาบาดเจ็บไม่มากก็น้อยทีเดียว เพราะอย่างนั้นเขาจึงอยากจะชดใช้ด้วยการดูแลชายหนุ่มในเรื่องงานบ้านที่ตนถนัด ...แต่ไม่คิดว่าพออยู่ร่วมกันไปนาน ๆ เข้า เขากลับถูกใจเด็กคนนี้ขึ้นมา จนเกินกว่าคำว่าเอ็นดูไปเสียแล้ว
“ใจร้าย...ไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนขี้แกล้งแบบนี้”
ตุลาพึมพำ พลางทำหน้ามุ่ย เมื่อเห็นใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งขำ ของซอมบี้หนุ่ม
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ตุลน่ารักไม่เปลี่ยนเองล่ะ...ฉันก็อดใจไม่ได้น่ะสิ”
“อะ...เอ๋ ...ผะ....ผมนี่นะน่ารัก...ผม เอ่อ เป็นผู้ชายนะครับ”
ตุลาบอกเสียงสั่นหน้าแดงด้วยความอาย ทำให้คนมองยิ้มน้อย ๆ แล้วชะโงกหน้ามาใกล้ ๆ จนตุลาใจเต้นแรง
“สำหรับฉัน ไม่ว่าตุลจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ตุลก็ยังน่ารักถูกใจฉันอยู่ดี...”
บอกจบพาทิศก็ถอยห่างออกมา แล้วยกนิ้วชี้ไปแตะริมฝีปากของตุลาเบา ๆ
“เอาล่ะ ฉันจะยอมหยุดเรื่อง ‘แกล้ง’ เธอ ไว้แค่นี้ก่อนก็ได้ ...แต่เรื่องของเราวันนี้ ต้องเป็นความลับนะ อย่าให้ใครรู้ล่ะ...”
ตุลาใจเต้นตึกตัก กับสัมผัสจากปลายนิ้วนั่น แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินประโยคถัดมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย
“อ้อ แต่ถ้าอยากบอกจริง ๆ ฉันก็ไม่บังคับหรอกนะ โดยเฉพาะกับอาของเธอ”
“ผมว่าไม่ดีกว่าครับ...ความลับก็ความลับ”
ตุลาบอกเสียงอ่อย เพราะขืนกริชรู้เรื่องนี้ คงต้องอาละวาดหนักแน่ เขาเองก็ไม่อยากให้คนที่ชอบมากทั้งคู่ ต้องมาผิดใจกันเพราะเขาหรอกนะ
“น่ารักจังเลยน้า ตุลเนี่ย”
พาทิศบอกพร้อมรอยยิ้ม แล้วทิ้งกายลงนอนข้าง ๆ ชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ จนตุลาหวาดระแวง
“ยะ...อย่านะครับ...”
“หึ...ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่นอนด้วยเฉย ๆ เท่านั้นเอง”
ตุลาหน้าแดง ที่เผลอคิดเรื่องน่าอายเสียเอง ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายยังไม่ทันทำอะไรตนสักนิด เขาขยับออกห่าง จนพาทิศอมยิ้มแล้วแกล้งเอ่ยทัก
“หรือว่าไม่อยากให้ฉันนอนด้วย ฉันไปก็ได้นะ”
พาทิศทำท่าจะยันกายลุกขึ้น ทำเอาตุลาชะงัก พอเหลือบไปดูนอกระเบียงก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีก จนต้องรีบตามคว้าแขนอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะหน้าแดงแล้วพึมพำแผ่วเบา
“ชะ...ช่วยนอนเป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับ”
พาทิศหัวเราะในลำคอ แล้วขยี้ศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“ได้สิ รับรองจะนอนเฉย ๆ ไม่กวนใจให้ตุลต้องรำคาญเลยนะ”
ซอมบี้หนุ่มบอก แล้วเอนกายนอนข้างอีกฝ่ายตามเดิม ตุลาหน้าแดงนิด ๆ แต่พอลมเย็น ๆ พัดวูบจนผ้าม่านไหว เขาก็ต้องสะดุ้งเฮือก แล้วขยับเข้าใกล้พาทิศ ซุกกายกับอกกว้างนั่นด้วยความกลัว จนคนที่นอนด้วยทั้งสงสารทั้งเอ็นดูไปในคราเดียว
“ไม่เป็นไร ๆ เด็กดี...ฉันจะอยู่ข้าง ๆ เธอเอง”
พาทิศบอกแล้วลูบศีรษะของอีกฝ่ายปลอบ จนตุลารู้สึกอบอุ่นและวางใจ จนกระทั่งค่อย ๆ เคลิ้มหลับไปในที่สุด
แสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาแยงโดนตาในตอนเช้า ทำให้ตุลาต้องนิ่วหน้าขมวดคิ้ว ก่อนจะปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างง่วง ๆ เพราะเมื่อคืนกว่าจะได้หลับก็ค่อนข้างดึกแล้ว แถมยังเจอเรื่องน่ากลัว ๆ อีก โชคดีที่มีพาทิศนอนอยู่เป็นเพื่อน ไม่เช่นนั้นเขาก็คงผวาหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืนเป็นแน่
ที่นอนข้าง ๆ มีรอยบุ๋มเล็กน้อย และค่อนข้างเย็น แสดงให้เห็นว่าคนข้างกายคงลุกไปนานแล้ว ตุลายันกายลุกขึ้น แล้วก็ต้องพบกับความแปลกใจ เมื่อมองไปที่โต๊ะทำงานในห้อง ก็เห็นก้อนหินสีเป็นประกายม่วงครามทรงรูปไข่ ก้อนเท่านิ้วก้อยวางอยู่ มีกระดาษเขียนด้วยลายมือหวัด ๆ ใต้ก้อนหินนั้น
‘หินนี่เป็นเครื่องรางที่จะช่วยให้สมปรารถนา พวกเราหามันมาให้ตุล และช่วยกันอธิษฐานให้นิยายของเธอผ่าน เก็บมันเอาไว้ให้ดี ๆ นะ ...ฉัน ปิ่น และราตรี กว่าจะหามันมาได้ ต้องลงไปงมถึงก้นบึงเลยทีเดียว รู้ไหม! / รุ้งพราย’
ตุลาอ่านข้อความนั้นแล้วนิ่งอึ้ง ก่อนจะแย้มยิ้มยินดีตามมา เขาวิ่งไปที่ระเบียงแล้วตะโกนเรียกชื่อสามสาวอย่างซาบซึ้งตื้นตันใจ
“ขอบคุณมากครับ คุณรุ้ง คุณราตรี คุณปิ่น ผมจะเก็บรักษามันไว้อย่างดีที่สุดเลยครับ!”
เจ้าของชื่อทั้งสามต่างอมยิ้มน้อย ๆ พวกเธอเข้านอนพักยาวเพราะลุยหนักกันทั้งคืน อีกทั้งวันนี้แดดก็ค่อนข้างแรง จนพวกเธอรู้สึกอ่อนเพลีย และแทบไม่อยากปรากฏกายด้วยซ้ำ
ตุลามองหินในมือแล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะวางมันไว้ในลิ้นชักพร้อมกระดาษข้อความของรุ้งพราย จากนั้นเขาจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำชำระล้างร่างกายในตอนเช้าให้สดชื่น แต่พอออกมาเขาก็ต้องพบกับความแปลกใจ เมื่อเห็นลิ้นชักที่ปิดไปแล้วเปิดออก ตุลาเดินไปดูอย่างกังวล แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อหินทรงรูปไข่เมื่อครู่ ตอนนี้มันถูกร้อยอยู่ในลวดดัดสวยงาม ทำเป็นจี้ห้อยคอ คล้องไว้กับสร้อยที่เป็นทองคำขาว กลายเป็นเครื่องประดับหรูหราแปลกตาไปในทันที
“ฉันทำให้เอง เธอจะได้เอาไว้สวมติดตัวตลอดยังไงล่ะ...”
ตุลาหันไปยังต้นเสียง เขาเห็นพาทิศยืนยิ้มอยู่ตรงประตูหน้าห้อง ซอมบี้หนุ่มเดินเข้ามา แล้วหยิบสร้อยนั่นมาสวมใส่ให้กับอีกฝ่าย
“หินเครื่องรางนี้เป็นของดี และจะให้คุณแก่ผู้พกมันไว้ เธอต้องขอบคุณสามสาวนั่นให้มาก ๆ นะ เพราะหินชนิดนี้ หายากมากเลยทีเดียว”
ตุลาก้มมองจี้ห้อยคอแล้วพยักหน้า ก่อนจะหันไปทางพาทิศ แล้วยิ้มให้
“ขอบคุณสำหรับจี้และสร้อยเช่นกันนะครับ มันสวยมากเลย”
พาทิศยิ้มตอบ แล้วจึงค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงไปหาอีกฝ่ายช้า ๆ ตุลาหน้าแดง ใจเต้นตึกตัก แต่เขากลับไม่ได้หลบ หากแต่เผลอเงยหน้า พลางหลับตาพริ้มรออย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงดังปึงปังข้างล่าง
“กลับมาแล้ว! หิวจังเลย มีอะไรกินบ้างเนี่ย!”
เสียงของอธิปนั่นเอง ตุลาหน้าแดงระเรื่อ แล้วรีบขยับถอยออกห่างจากพาทิศ ซึ่งอีกฝ่ายก็นึกเสียดายเล็กน้อย ที่ถูกขัดจังหวะแบบนี้
“อย่าลืมนะตุล...เรื่องความลับระหว่างพวกเราน่ะ”
พาทิศโน้มใบหน้าลงไปกระซิบข้างหูอีกฝ่าย แล้วถอยออกห่าง เป็นเวลาเดียวกับที่กริชหายตัวแวบขึ้นมาปรากฏกายบนห้องพอดี
“นายมาทำอะไรในห้องหลานฉันพาทิศ?”
กริชถามเสียงเข้ม ยิ่งเห็นตุลาหน้าแดง เขาก็ยิ่งไม่ค่อยไว้ใจในตัวซอมบี้หนุ่มเท่าใดนัก
“ผมก็แค่มาตามตุลไปทานข้าวเองครับ ...แต่เอ... สงสัยเป็นเพราะเมื่อคืนนอนเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ เลยเป็นไข้ หน้าถึงได้แดงแบบนี้”
พาทิศบอกอย่างหน้าตาเฉย ทำเอาคนฟังชะงัก แล้วรีบหันไปถามหลานด้วยความเป็นห่วงทันที
“จริงหรือ? เป็นอะไรมากไหม? ให้อธิปไปตามหมอดีไหมเนี่ย?”
กริชลืมเรื่องสงสัยก่อนหน้าไปจนหมด พลางซักอย่างร้อนรนเป็นห่วง ทำเอาตุลาหน้าไม่ดี แล้วเหลือบสายตาขอความช่วยเหลือไปทางซอมบี้หนุ่ม
“ผมมียาอยู่ครับ เดี๋ยวผมจะเอาข้าวต้มมาให้ แล้วให้ตุลนอนพักอยู่ข้างบนสักวัน ก็คงดีเอง ...ตัวก็ไม่ร้อนมากนักหรอกครับ”
พาทิศแสร้งทำเป็นเอามืออังหน้าผากของตุลา ชายหนุ่มยิ่งหน้าแดงหนักไปอีก จนกริชต้องบังคับให้หลานชายเข้านอนแต่เช้า โชคดีที่พาทิศช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ ตุลาจึงไม่ต้องกินยาเข้าไปจริง ๆ เพียงแต่ต้องทนลำบากนอนอยู่ในผ้าห่มแต่เช้าจรดเย็น โดยมีพวกสาว ๆ ผลัดกันมาเฝ้าไข้ด้วยความเป็นห่วงตลอดเวลา ส่วนซอมบี้จอมเจ้าเล่ห์ ก็ได้แต่ส่งยิ้มให้เขา โดยไม่คิดจะช่วยแก้ความเข้าใจผิดในเรื่องนี้สักนิดเดียว...
--- TBC ---
ดู ๆ แล้วจัดได้ไม่ค่อยเต็มเท่าไหร่แฮะ เกรงใจหนูตุล ยังไม่สารภาพรักจะข้ามขั้นตอนไปก็ใช่ที่ เดี๋ยวคุณอาจะอาละวาด หุๆ เขียนตอนนี้แล้วพาทิศมันดูเจ้าเล่ห์ขึ้นจม --... สำหรับตอนหน้า .....เปิดพินัยกรรมจ้ะ (หลายคนคงคาดเดากันได้)
แล้วคงจะได้โบกมืออำลากันสำหรับเรื่องนี้ .... (ชั่วคราว) เพราะส่วนตัวแล้วยังอยากจะเขียนอะไรอีกมากมาย
และอย่างที่บอกเรื่องนี้ค่อนข้าง "ใส" จึงไม่มีอะไรเซอร์วิสนักอ่านมากนัก ต้องขออภัยด้วยค่ะ แต่หลังจากภาคใหม่เป็นต้นไป รับรองมีหวาน ๆ แบบเรียกเลือด มาแจมแน่ ....(มั้ง)
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ 