Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011  (อ่าน 57056 ครั้ง)

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
จะมีมาม่ามาอีกหรือเปล่านะ  พอแล้วเหอะ  ขอหวาน ๆ บ้าง

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 32 On My Way

   การนั่งเรือข้ามฟากไปยังอีกฝั่งเป็นเรื่องที่สำหรับนัทแล้วต้องผ่านหลายขั้นตอนเหลือเกิน ทั้งด่านตรวจคนเข้าเมือง พาสปอร์ต หรือการจ้างเหมาเรือซักลำข้ามไป แต่สำหรับพี่รัตน์และกาย กลับพาพวกเขาลัดเลาะไปยังจุดต่างๆที่มีสิ่งที่พวกเขาต้องการตั้งบริการอยูได้อย่างเชี่ยวชาญ อิทธิพลของพี่รัตน์ในแถบนี้เป็นที่ยอมรับสำหรับ นัท สาและโอ๊ตมาก ในขณะที่กาย ก็ยังคงเป็นที่รู้จักของคนที่นี่ ตลาดเช้าที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดจะมีป้าอายุเลยวัยกลางคนเป็นต้นไป กรูกันเข้ามาขอกอดกายที่ยินดีและทักทายพ่อมดที่ดูเป็นคนธรรมดาไปเสียแล้วกันยกใหญ่ และนัทก็มักจะได้ยินประโยคที่ซ้ำกันอย่างเช่น "กาย โตขึ้นเยอะเลยลูก" หรือ "หายไปไหนมาเนี่ย ตายแล้วพ่อคุณ เคยอุ้มตอนเด็กๆดูสิโตเป็นหนุ่มแล้ว"
   นัทยิ้มกว้างกับภาพเหล่านั้น เขาไม่เคยคิดจริงๆว่าจะมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นกับคนอย่างกาย พ่อมดในสังคมไฮโซสุดหรู มีอีกด้านที่ใช้ชีวิตติดดิน เขามองกายในรูปแบบนี้อย่างมีความสุข มันทำให้ตลาดเช้าวันนี้อากาศดีมากกว่าปกติ
   “คือ ผมน่ะ ต้องวิ่งไปซื้อโจ๊กทุกเช้าเลยคุณ เอามาให้แม่ที่หลังวัด" กายเล่าให้นัทฟังอยู่ที่นั่งหลังสุดของเรือยนต์ ที่เริ่มออกจากท่าและล่องไปตามแม่น้ำโขงเพื่อข้ามไปยังฝั่งลาว
   “แล้วบางทีวันพระดันมาตรงกับวันเสาร์ใช่มะ ผมก็ไม่อยากจะตื่น แม่งี้ลากผมลงจากที่นอนเลยล่ะ ถ้าผมไม่ตื่นน่ะ" กายเล่าอย่างมีความสุข ขณะที่นัทนั่งฟังพลางหัวเราะ
   “คุณเคยโดนแม่ตีบ้างป่าว" นัทถามขึ้น
   “โหย โดนสิคุณ" กายลดเสียงลงด้วยความเขินอาย "ตอนเด็กๆผมแสบจะตาย"
   “เหรอ" นัทขึ้นเสียงสูง "ผมว่าตอนนี้คุณก็แสบอยู่นะ"
   “อ่านะ ที่โดนเยอะๆก็ตอนมัธยมน่ะคุณ" กายว่า
   “กะแล้ว" นัทร้อง "ผมว่าแล้ว ตอนวัยรุ่นคุณต้องแสบแน่ๆ"
   “งั้นคุณลองทายสิ ว่าผมโดนแม่ตีเรื่องอะไรบ้างน่ะ" กายถาม
   “อืม" นัทมองหน้ากายพลางคิด "เรื่องผู้หญิง"
   “โห.....” กายทำสีหน้าเหมือนโดนดูถูกครั้งใหญ่ นัทเลิกคิ้ว
   “อ้าว ไม่ใช่เหรอ ผมเดาผิดเหรอเนี่ย" นัทแก้เก้อ
   “ก็ถูกแหละคุณ" กายตอบเบา นัทส่ายหน้าพลางเมินหน้าหนีทันที "โธ่ คุณ ก็....เด็กบ้านนอกอย่างผม มีมอเตอร์ไซค์ก็เอาออกไปร่อนน่ะ คุณเป็นเด็กกรุงเทพคุณไม่เข้าใจหรอก"
   “ค้าบ" นัทพูดเสียงเหวี่ยง "ผมไม่เข้าใจคุณ"
   “เห้ยนัท งอนผมเหรอ" กายจับคางนัทให้หันมาหาเขาเบาๆ นัทหันไปพบใบหน้าที่ตีหน้าเศร้าใส่เขา
   “เปล่า" นัทยิ้มให้เบาๆ พลางจับมือกายลง "แล้วไงต่ออ่ะคุณ"
   “ก็..มีอยู่วันนึง แม่ล้มที่บ้าน" กายว่า "ผมก็เลยพาแม่ไปหาหมอ ปรากฎว่าแม่เป็นโรคหัวใจ หลังจากนั้นนะ ผมไม่เคยเที่ยวอีกเลย"
   “รู้สึกเป็นห่วงแม่ขึ้นมาแล้วล่ะสิคุณ" นัทถาม
   “เปล่า แม่ยึดมอเตอร์ไซค์อ่ะ" กายตอบ นัทเหลือกตาทันที ในขณะที่กายหัวเราะ "ผมพูดเล่น ผมก็ได้อยู่ดูแลแม่จริงๆนั่นแหละ แต่พอถึงจุดจุดนึงผมก็มาถึงทางเลือก ตอนผมขึ้นม.ปลาย ผมต้องเลือกว่าจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลแม่ หรือเข้าไปในกรุงเทพ เพื่อความฝันของตัวเอง"
   “คุณเลือกที่จะมากรุงเทพเหรอ" นัทถามอย่างใคร่รู้
   “อืม" กายเบาเสียงลง "แม่บอกผมว่า ชีวิตคนเราต้องรับผิดชอบตัวเอง แม่ไม่มีความสุข ถ้าตัวเองเป็นเหตุผลให้ผมอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่ผมควรจะไปได้ไกลกว่านี้"
   “แล้วคุณไม่ห่วงแม่คุณเหรอ" นัทถามต่อ
   “ห่วงสิคุณ แต่แม่ไม่ยอมหรอก แม่ผมเป็นคนจริงจัง ถ้าท่านตัดสินใจอะไรแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนได้หรอก" กายว่า "แล้วที่สำคัญตอนช่วงแม่ยึดมอเตอร์ไซค์ ผมโดนบังคับอ่านหนังสือสอบเข้าเตรียมอุดมด้วย ผมได้คะแนนดีอยู่นะคุณ"
   “อ้าว นี่คุณโดนยึดมอเตอร์ไซค์จริงๆเหรอเนี่ย" นัทว่าพลางหัวเราะใส่กายทันที พ่อมดหนุ่มเหล่มองนัทเบาๆ
   “อ่า...ผมไม่หัวเราะคุณก็ได้" นัทพยายามกลั้นหัวเราะ ก่อนจะฟังกายต่อ
   “ผมน่ะ กลับมาบ้านปีละครั้งตอนปิดเทอมใหญ่ ตอนแรกๆผมก็คิดถึงบ้านมาก" กายว่า "แรกๆผลการเรียนก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม่ก็เลยดุผมเอาน่ะ หลังจากนั้นผมก็ตั้งใจเรียนมากขึ้น จนสอบชิงทุนนักออกแบบยุวชนได้"
   “อ๋อ...ผมเคยเห็นข่าวอยู่ ที่คุณทำหนังสั้นประกวดตอนม.5 ใช่หรือเปล่า" นัทว่า
   “ช่าย...คุณดูข่าวผมด้วยเหรอ" กายถาม
   “คุณดังจะตาย" นัทว่า "ตอนนั้นทั้งโรงเรียนผมก็พูดถึงแต่คุณ"
   “โห งานผมเจ๋งขนาดนั้นเลยเหรอ" กายถาม
   “ปล่าว เพื่อนผู้หญิงบอกผมว่าคุณหล่อดี" นัทว่า
   “อ้อ" กายพ่นลมเบาๆ "ก็...นั่นแหละ พอจบม.หกผมก็ไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส แล้วหลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกเลย"
   “คุณไปพร้อมคุณเจนเหรอ" นัทว่า "คุณจบโรงเรียนชายล้วนนี่ แล้วคุณรู้จักคุณเจนได้ยังไง"
   “อ๋อ เจนน่ะเหรอ" กายว่า "ผมเจอเธอที่โครงการนักออกแบบยุวชนไง ตอนม.ปลายน่ะเจนไม่ใช่แบบนี้เลยนะคุณ เป็นเด็กผู้หญิงใส่แว่น ผูกเปีย โคตรน่ารักอ่ะ"
   “เหรอ" นัทลากเสียงทันที กายหันมาเหล่ใส่นัทอีก นัทรีบเปลี่ยนน้ำเสียง "แล้วไงต่อ"
   “ก็นั่นแหละ ก็....ผมก็จีบเค้า ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปนั่นแหละคุณ วันเสาร์อาทิตย์ไปเรียนพิเศาที่สยาม เสร็จแล้วก็ไปกินข้าวดูหนังอะไรทำนองนี้ จนกระทั่งบินไปเมืองนอกด้วยกัน" กายเล่า
   “แล้วคุณแม่คุณล่ะ" นัทถาม
   “แม่ผมอาการเจ็บหนักตอนผมอยู่ปีสาม" กายเล่า "ตอนนั้นผมทำโปรเจ็คแฟชั่นอยู่ที่ปารีส ช่วงนั้นทุกอย่างมันแย่ไปหมด ผมห่วงหน้าพะวงหลังตลอด ต้องไปเบอร์ลินเพื่อไปหาพ่อ กลับมาปารีสอาทิตย์ละครั้ง แล้วกลับไปดูอาการแม่เดือนละครั้งด้วย"
   “โห" นัทร้องเบาๆ "ตอนปีสามงานมันหนักมานะคุณ"
   “ใช่ ผมรู้" กายว่า "จนกระทั่งอาทิตย์สุดท้ายที่แม่อาการหนักสุด ผมทิ้งงานที่โน่นแล้วบินกลับมาทันที ผมได้มาดูใจท่านก่อนที่ท่านจะไป"
   นัทเอื้อมมือไปจับกายทันที เขาหันมายิ้มให้นัท
   “รู้ไหมแม่ผมบอกผมว่าอะไรตอนที่ผมไปถึง" กายว่าพลางยิ้มกว้าง นัทส่ายหน้า "แม่บอกว่า ผมเหมือนเกย์......”
   “หา" นัทร้อง "จริงเหรอคุณ"
   “ก็วันนั้น ผมแต่งตัวจัดมาก ลงจากเครื่องเลยไง" กายตอบ "ผมงี้ไปไม่เป็นเลย"
   กายหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลง
   “แล้วแม่ก็บอกว่า....แม่คิดถึงพ่อมาก" กายว่า "ผมบอกท่านว่า พ่อกำลังมา แต่แม่ก็ดึงตัวผมเข้าไปไกล้ ท่านบอกกับผมคำสุดท้ายว่า.....อย่าทำกับใคร เหมือนกับที่พ่อทำกับแม่ อยู่กับคนที่ผมรักให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้"
   กายยิ้มให้นัทก่อนจะจับมือนัทแน่นขึ้น
   “ผมรู้ว่าแม่เป็นห่วงผมเรื่องผู้หญิงมากที่สุด ก็ผมออกลายมาตั้งแต่เด็กๆนี่นา" กายว่า "แล้วท่านก็เสีย ผมกับพ่อจัดงานให้ท่าน หลังจากนั้นผมก็ต้องบินกลับไป แล้วเชื่อไหมคุณ....เจนบอกเลิกผมทันทีเลยที่ผมกลับไป ผมงี้แทบล้มทั้งยืน"
   “งั้นเหรอ" นัทรับคำ
   “ผมเหลือเขาเป็นสิ่งสุดท้ายแล้วตอนนั้น เขาก็ดันมาทิ้งผมไปอีก" กายว่า "ผมก็เลยประชดชีวิตด้วยการลุยแต่งานทั้งวันทั้งคืน ทำให้ตายไปเลย แล้วก็ปรากฎว่า มันได้รับคำชื่นชมมากเกินคาด แล้วก็มาเป็นผมทุกวันนี้แหละ"
   “ชีวิตคุณนี่บากบั่นมากเนอะ" นัทว่า "ผมไม่อยากเชื่อเลยอ่ะ ว่า.....นี่จะเป็นเรื่องของคุณ"
   “ผมรู้" กายว่า "ผมก็ไม่ได้อยากได้ชีวิตแบบนี้หรอก แต่มันเป็นไปแล้ว แล้วผมก็ถอยหลังกลับไม่ได้ด้วย"
   นัทพยักหน้าเบา ก่อนจะมองออกไปนอกเรือ
   “ถึงฝั่งแล้วล่ะทุกคน ขนของกันได้แล้ว" เสียงพี่รัตน์ร้องขึ้นทันที กายและนัทลุกขึ้นทันที และช่วยกันขนของส่งไปให้สาและโอ๊ตที่รอรับอยู่บนฝั่ง
   “แล้วที่คุณบอกว่า คุณรู้จักหมู่บ้านที่นี่ล่ะ" นัทถามขึ้น
   “อ๋อ ที่นี่เป็นบ้านเกิดแม่ผมเองแหละ ผมมารู้เอาจากหลวงลุงทีหลัง เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง" กายว่า "พี่รัตน์ เขาอยากจะเปิดเอเจนซี่โฆษณาที่ลาวเป็นเจ้าแรก มันเป็นความคิดที่บ้ามากกับการมาจัดการกับประเทศที่ไม่มีระบบด้านดีไซน์เลย มันเต็มไปด้วยงานที่ต้องใช้แรงคิดเยอะ แล้วพี่รัตน์ก็ติดต่อมาหาผม เพราะเขารู้มาจากอาพัฒน์ว่าผมเป็นคนหนองคาย"
   “บอสเป็นน้องชายแม่คุณเหรอ" นัทตอบขณะก้าวเดินขึ้นฝั่ง
   “ไม่ใช่หรอก" กายตอบ "อาพัฒน์เป็นน้องชายของพ่อผม"
   “อ่อ" นัทพยักหน้ารับ
   พี่รัตน์ชี้ให้ทั้งหมดดูรถสองแถวคันเล็กที่มาคอยรับอยู่ที่ท่าน้ำ ทั้งหมดขึ้นไปบนรถขนาดเล็กที่นั่งได้ไม่เกินแปดคน ที่จะนำทั้งหมดไปยังหมู่บ้านแห่งหนึงที่หลวงพระบาง
   “คุณก็เลยเคยข้ามมาที่นี่แล้วงั้นสิ" นัทถามกายต่อทันที
   “ใช่" กายตอบ "ผมมาที่นี่เมื่อปีที่แล้ว ส่วนใหญ่เราจะวางแผนกันที่ฝั่งไทยก่อนที่จะข้ามมา พี่รัตน์ใช้เวลาเกือบสามปีกว่าออฟฟิศที่หลวงพระบางจะเสร็จ ผมมาถึงที่นี่ก็เสร็จแล้ว ผมเป็นคนออกแบบเองแหละ"
   นัทยิ้มให้กายอีกครั้ง
   “ผมนึกว่าคุณแกล้งตามผมมาซะอีก" นัทว่า สาที่ได้ยินอยู่ถึงกับขยับตัวอย่างตกประหม่า
   “พี่รัตน์ติดต่อผมไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เจนก็ยืนยันให้ผมได้กลับบ้านมาซะบ้าง" กายว่า "ผมไม่รู้หรอก ว่าคุณจะมาด้วย"
   กายยื่นหน้าเข้ามาหานัททันที
   “แต่ผมดีใจนะ ที่ได้เจอคุณที่นี่" กายกระซิบเบาๆ
   “จริงเหรอ" นัทว่า "บนเครื่อง คุณไม่เห็นจะดีใจตรงไหนเลย"
   “ก็ตอนนั้นผมเหนื่อยมากนี่" กายว่า "แต่พอผมเห็นคุณน่ั่งอยู่ข้างๆ ผมก็หลับสนิทแบบไม่ต้องกังวลเลยล่ะ"
   “ที่นั่นเป็นยังไงเหรอ" นัทถามพลางมองไปตามถนที่ร่มรื่น
   “เงียบและสงบมาก" กายเล่า "มีเด็กๆน่ารักๆเต็มเลย เราอยู่ใกล้สถานีวิทยุชุมชนเล็กๆ เป็นบ้านพักขนาดใหญ่อยู่โดยที่ด้านล่างเป็นออฟฟิศ พี่รัตน์ใช้ที่นั่นเป็นสตูดิโอ เขามีแผนจะเข้าไปเปิดออฟฟิศที่เวียงจันทร์ตอนปลายปีน่ะ"
   “อ๋อ" นัทรับคำ "นี่สาได้ยินหรือเปล่า งานใหญ่อีกแล้ว"
   “อ....อ้อ...เหรอ" สาที่ทำเป็นถ่ายรูปไปเรื่อยๆแบบไม่ใส่ใจฟัง หันมานัทแล้วทำหน้าราวกับเธอเพิ่งได้ยินบทสนานั้นครั้งแรก "อ่อ...งานใหญ่....ใช่ใช่...งานนี้ใหญ่มาก....”
   “เธอไม่บอกฉันเลยน่ะ ฉันจะได้เตรียมตัวมาช่วยเธอด้วยไง" นัทว่า
   “โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก" สาว่า "ฉันก็ไม่ได้กะจะให้แกมาหรอกถ้ารู้ว่า....”
   นัทขมวดคิ้วใส่เธอ
   “รู้อะไรเหรอ"
   “ก็...ถ้ารู้ว่า แกจะต้องมาทำงานหนักๆด้วยไง ฉันอยากให้แกพักผ่อนมากกว่า" สาพูด "ใช่ไหมคะคุณกาย"
   กายพยักหน้าให้สา
   “จริงนะคุณ พี่รัตน์น่ะ เขาชอบทำงานแบบนี้แหละ" กายตอบทั้งสาและนัท "งานที่อิงๆการท่องเที่ยวหน่อย มันไม่ใช่งานที่ซีเรียสมากมาายเหมือนเรานั่งทำในสตูดิโอของเอเจนซี่หรอก มันจะเป็นงานที่ออกแนวกึ่งเล่นกึ่งทำซะมากกว่า ผมมาทำกับพี่รัตน์บ่อยๆ เพราะอยากกลับบ้านแล้วก็พักผ่อนด้วย"
   “แต่มันก็ดีเหมือนกันนะคะ" สาพูด "คุณกายเองก็ไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไหร่เลยนี่"
   “ครับ...ผมมีงานตลอดแหละ" กายตอบ "แต่ว่าถ้าคุณสา คุณมิก น้องเอิร์ธ หรือคุณน่ะ มีงานอะไรให้ผมช่วย ก็โทรมาหาผมนะ ผมจะมาหา"
   “โหย จะดีเหรอคะ พวกเราไม่...”
   “อย่าเลยครับคุณสา ให้ผมมาเถอะ" กายพูด "ไม่เคยมีทีมงานไหนที่ผมอยู่ด้วยแล้วมีความสุขเท่าพวกคุณจริงๆครับ"
   กายหันมานัทและยิ้มให้ สาเหลือกตาทันที เธอยังคงติดภาพว่ามีกายเท่ากับมีเจนอยู่ทุกทีไป
   “ค่ะ.....พวกเราก็มีความสุขค่ะ" เธอกล่าวพลางหันไปกดชัตเตอร์รอบๆทางต่อ
   “ไม่ต้องพูดเอาหล่อก็ได้คุณ" นัทว่า "ถ้าคุณไม่ว่างมาช่วย พวกผมก็ไม่อยากรบกวนคุณหรอก"
   กายหันมาหานัททันที
   “โกหก" กายพูดเบาๆ "คุณน่ะ ไม่อยากให้ผมไปไหนเลยต่างหาก ถ้าคุณเลือกได้"
   นัทหันมามองหน้ากาย
   “จริงไหมครับคุณนัท" กายยิ้มให้นัทอย่างเจ้าเล่ห์ นัทมองหน้ายียวนอย่างสั่นไหวในใจ เงียบกันไปพักนึง
   “ถ้ารู้แล้ว....ไม่ไปไหนอีกได้ไหมล่ะ" นัทพูดตอบเบาๆเป็นนัยๆ
   “ไม่ได้หรอก" กายพูด รอยยิ้มของนัทจางลง กายเอื้อมมือไปลูบใบหน้านัทเบาๆ "ก็ถ้าผมไม่หายไปบ้าง ผมจะรู้ได้ยังไง ว่าคุณคิดถึงผมแค่ไหนนัท"
   นัทหายใจเข้าช้าๆ
   “การคิดถึงใครซักคนมันไม่สนุกเลยนะคุณ" นัทพูดเบาๆใส่กาย เขาพูดออกมาจากใจจริงๆ
   “ผมรู้" กายกระซิบ "ผมรู้จริงเชื่อผมสิ"
   นัทเอนตัวพิงศรีษะไปที่ไหล่ของกายทันที ก่อนจะหลับตาลง กายโอบไหล่นัทเอาไว้ก่อนจะลูบหัวนัทเบาๆ กายโอบนัทเอาไว้ เขาเข้าใจดี
   เพียงแต่ว่าเขายังคงต้องเดินทาง.....
   คนเราจะต้องเดินทางไปเรื่อย....
   พ่อมดอย่างเขา ยังไม่อยากหยุดเดินทางหรอก.....
…..........

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ตกลงคบกันแล้วใช่มั๊ย  บรรยากาศไม่เหมือนคนคบกันเลย

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
 :m12:เก่งจริงๆเลยนะคุณM2M_Jillน่ะ ล่อหลอกเราซะ  ทำเอาเราเผลอไม่ชอบหน้าเจนไปเลยนะ
อ่า...นะ..พอรู้ตัวตนและภูมิหลังของกาย ประกอบกับรู้ถึงความรู้สึกแท้จริงที่กายมีต่อนัทแล้วก็..
ทำให้ดิฉันอ่านนิยายเรื่องนี้ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายลงเลยแหละ
ขอชมเลยว่าคุณM2M_Jillขมวดปมนิยายได้แน่นกระชับ จนดิฉันรู้สึกอึดอัดแทบแดดิ้น
แล้วคุณก็ค่อยๆคลายปมไปทีละเปลาะๆ ทำให้คนอ่านค่อยๆผ่อนความรู้สึกไปทีละนิดๆ  ซึ่งดีจ้ะ ดีมากเลย
หวังว่า คงไม่หลอกให้ตายใจ แล้วมาขันชะเนาะใหม่อีกทีให้อึดอัดแทบแดดิ้นอีกนะคะ
 

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 33 I love you

   “ผมลองเอาภาพที่สามมาปรินท์ลงบนกระดาษไข แล้ววางทับภาพที่สองลงไป" เอิร์ธหยิบเอากระดาษไขออกมาจากแฟ้ม ก่อนจะหมุดมันลงไปบนแคนวาส "นี่คือสิ่งที่ได้ครับ"
   “โอ้" เสียงของฟ้าร้องเบาเมื่อภาพที่เห็นภาพตรงหน้า "ภาพนี้มัน"
   ภาพงานของเอิร์ธในงานไฟนอลครั้งนี้ที่ปรากฎต่อหน้าป้าและมิกที่สวนริมสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมนั้นคือ ภาพวาดสื่อผสมที่ดูคล้ายกับการนำภาพ Loveless Society ของนัทเมื่อหลายปีก่อน มากลับข้างใหม่ ทำให้ภาพคนที่เดินหันหลังให้กันตรงกลางภาพ กลายเป็นภาพที่คนสองคนนั้นหันหน้าเข้าหากัน โดยที่แสงสีที่แสนวุ่นวายนั้นโดนปรับแสงสีใหม่ให้งดงามกว่าเดิมขึ้น
   “ผมมีความเชื่อว่าถ้างานออกมาเป็น Loveless Society ชื่อเดียวกับงานของพี่นัทเมื่อหลายปีก่อน การปรับความหมายใหม่โดยความคิดของคนรุ่นใหม่อาจจะทำให้เห็นอะไรมากขึ้นน่ะครับ" เอิร์ธกล่าวทิ้งท้าย ขณะที่มิกนั่งมองพลางยิ้มกว้าง ฟ้าพยักหน้ารับน้อยๆ
   “อืม เก๋ดีอ่ะ....ผ่าน ผ่านเลยแหละ" เธอว่า "นายว่าไงมิก"
   ฟ้าหันไปหามิกที่มองเอิร์ธเหมือนไม่เคยเห็นเด็คนนี้มาก่อน
   “พี่ให้.....” มิกหรี่ตาลง เอิร์ธยิ้มแหยๆ "….ผ่านคับ"
   “ไชโย" เอิร์ธร้องพลางต่อยหมัดลงกับอากาศ "ขอบคุณมากครับพี่มิก พี่ฟ้า"
   เด็กหนุ่มหันกลับไปเก็ยข้าวของพลางฮัมเพลงอย่างยินดี
   “น้องมิกนี่เจ๋งเนอะ" ฟ้าว่า "อีกนิดเดียวก็จะกลายเป็นก็อปอยู่แล้วอ่ะ แต่หลบหลีกได้อย่างมีชั้นเชิงมาก"
   “หึหึ เรื่องหลบหลีกเนี่ย มันที่หนึ่งเลยล่ะ จะบอกให้" มิกว่าพลางลุกขึ้นทันที "ว่าแต่ก็ต้องขอบใจฟ้ามากนะ ที่อุตส่าห์มาเป็นคอมเมนเตเตอร์ให้กับเราวันนี้อ่ะ"
   “โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก" ฟ้าตอบ "ตอนนี้ที่ออฟฟิศก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากนะ ได้ออกมาทำงานกับมิกนะ สนุกออกจะตาย ทำให้นึกถึงเมื่อก่อนดีออก"
   “งั้นวันนี้ไปฉลองกันหน่อยได้ไหมล่ะ" มิกว่า "วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เอิร์ธจะฝึกงานที่สตูดิโอเราด้วย"
   “จะดีเหรอพี่" เอิร์ธร้องขึ้น "เราจะไม่รอพี่นัทกับพี่สาหน่อยเหรอครับ"
   “นั่นน่ะสิ" ฟ้าว่า "น่าจะรอพวกนัทกับสากลับมาก่อนนะ จะได้สนุกๆไง"
   “งั้นก็....เป็นเลี้ยงจบโปรเจ็คไง แล้วเลี้ยงส่งค่อยอีกรอบนึง" มิกว่า "ดีมะ"
   “ดีคับ" เอิร์ธยิ้มกว้าง พลางมองมาหามิก "ดีมากๆดลยพี่"
   “โห บุญทุ่มซะด้วย ปาร์ตี้ซะหลายรอบเลยนะมิก" ฟ้าหยอก "เออนี่ ไปร้านโปรดฉันไหมล่ะ ฉันรู้จักเจ้าของร้านด้วยนะ เผื่อจะได้ราคาถูกๆ"
   “ที่ไหนเหรอ" มิกถามทันที
   “แถวสุขุมวิท" ฟ้ายิ้ม
   “สุขุมวิท" มิกร้องเสียงดัง "จะได้ถูกจริงๆเหรอวะ"
   “เชื่อเถอะน่า ไม่ผิดหวัง" ฟ้ายิบตาให้ "น้องเอิร์ธ อยากไปกินอาหารหรูๆ แถวสุขุมวิทป่ะจ้ะ"
   “ไปพี่" เอิร์ธตอบเสียงดังทันทีพลางโผล่หน้าออกมาจากมุมหนึ่ง
   “เห็นมะ" ฟ้าหันมาอมยิ้มกับมิก ชายหนุ่มส่ายหน้า
   “ชวนเจ้าตัวแสบนั่นน่ะ ยังไงมันก็ไปอยู่แล้วล่ะฟ้า" มิกยิ้มให้เธอ "แต่เอาสิ ตกลงครับ"
   ฟ้ายิ้มกว้างให้เขา

   เอิร์ธก้มลงเก็บของของตัวเองอย่างร้อนรน วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ฝึกงานกับ Lovable Studio เขาจะต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกไม่กี่เดือนกับมิกที่บ้าน ก่อนที่จะเปิดเทอม ตอนนี้เขาคิดเอาไว้แล้วว่าจะแก้ปัญหายังไงเมื่อครอบครัวของเขากลับมาจากอังกฤษ เมื่อภาคเรียนปีสี่ของเขาเปิดขึ้น อย่างที่พี่มิกบอก เขาจะต้องกลับมาคิดเรื่องนี้อย่างแน่นอน
   เด็กหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปอยู่บ้านช่วงปีสี่ที่เหลืออยู่ เพื่อที่จะใช้เวลาปีสุดท้ายของการใช้เงินพ่อแม่โดยการอยู่กับท่าน แล้วหลังจากนั้น.....
   ...แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เขาก็คงต้องจัดการเรื่องของวันนี้ให้เสร็จสรรพเสียก่อน
   เด็กหนุ่มเอาของของตัวเองขึ้นเจ้าเต่าทองอย่างว่องไว ก่อนจะวิ่งกลับมาทันทีหามิกและฟ้าที่กำลังเดินคุยกันมาอย่างไม่เร่งรีบ
   “อะไรของแกวะ เลิ่กลั่กอยู่ได้ ดีใจจัดหรือไง" มิกร้องทักขึ้น
   “ปล่าวพี่" เอิร์ธว่าพลางเหนื่อยหอบ "พี่ฟ้า บอกผมได้ป่าวว่าร้านมันอยู่ไหนอ่ะ"
   “อ๋อ สุขุมวิทร้อยสามน่ะ ทำไมเหรอ" ฟ้าตอบทันที
   “เดี๋ยวผมตามไปได้ไหมพี่" เอิร์ธว่าพลางยิ้มกว้าง "ขอไปทำธุระก่อน เดี๋ยวตามไป"
   “จะไปไหนวะ" มิกถามต่อ
   “ก็ธุระไงพี่" เอิร์ธหันไปตอบนัยน์ตาเบิกกว้าง
   “ก็ได้นะ ถ้าจะมาแล้วก็โทรหานายก็ได้นี่มิก" ฟ้าว่า แต่มิกยังคงขมวดคิ้วให้เอิร์ธ
   “ไปทำธุระที่ไหนเหรอ" มิกถามอีก
   “โหยพี่มิก ผมจบกับพี่แล้วนะ เลิกเข้มงวดได้แล่ว" เอิร์ธว่า ฟ้าขำเบาๆ
   “ปล่อยน้องไปเถอะน่า....” ฟ้าว่า ขณะที่เอิร์ธยักคิ้วให้มิก ที่มองเด็กหนุ่มอย่างพิจารณา
   “ถ้าจะมาก็โทรหาด้วยล่ะ" มิกว่า
   “หึหึ" เอิร์ธร้อง "ไปก่อนนะครับ ขอบคุณมาก"
   เด็กหนุ่มวิ่งหายไปทันทีสาวท้าวไปจากสวนนั้นอย่างรวดเร็ว เขารู้จักร้านายของดีดีมากมายที่สามารถหาของที่เขาอยากได้ ของเฉพาะที่ทำได้ในแบบที่เขาต้องการเท่านั้น มิกจึงอยากใช้เวลาให้ร้านที่เขารู้จักทำของให้เขามากเท่าที่งานจะออกมาดีอย่างที่เขาต้องการ งานที่เขาอยากจะทำขึ้นมาจริงๆ
…............

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
งานถ่ายภาพตลอดบ่ายของทีมงานย่อยๆจาก Lovable Studio เป็นไปอย่างสนุกสนาน งานทำบุญเลี้ยงพระที่วัดริมฝั่งโขงเป็นไปอยางเรียบง่าย สาประทับใจกับภาพทุกภาพที่เธอกดชัตเตอร์ลงไปอย่างแช่มชื่น โอ๊ตผู้เป็นนายแบบก็ฉายแววตาที่เปี่ยมความสุขตลอดการเดินทางไปรอบๆหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ ตั้งแต่เดินไปพร้อมกับกองทัพชาวบ้านไปยังวัดเพื่อทำบุญถวายอาหารเช้า หรือแม้กระทั่งปั่นจักรยานไปพร้อมเด็กๆที่ตื่นเต้นที่จะได้เจอกับดาราที่พวกเขาก็แทบไม่รู้จัก
   “ผมมีความสุขมากจริงๆครับ"
   โอ๊ตกล่าวขณะเดินตัวเปียกโชกขึ้นมาจากฝั่งโขงเมื่อเด็กๆจับเขาโยนลงไปอย่างสนุกสนาน สาเองก็ยิ้มร่าเมื่อพี่รัตน์ กล่าวชมเธอไม่ขาดปากเมื่อได้เห็นรูปคร่าวๆแม้ว่าเธอจะยังไม่ได้ตัดต่อมันจากกล้อง และถึงแม้ว่ากายจะไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อช่วยสาทำงาน แต่เมื่อเสร็จงานทำบุญ เขาก็แอบให้คำแนะนำสาเล็กๆน้อย แบบมืออาีพสู่มืออาชีพให้กับสาไปด้วย เธอยอมรับกายเป็นเพื่อนของเธอไปแล้วในที่สุด
   “กายกาย ฉันว่าตรงนี้ไม่สวยนะ แก้ไม่ได้เหรอ นายต้องตาเขแน่เลย"
   เธอพูดกับกายขณะเดินกลับมาจากหลังอมู่บ้านด้วยกันแบบสนิทสนม ซึ่งกายก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงหรืออึดอัดกับการถูกเรียกแบบนี้เลยแม้แต่น้อย
   ในขณะที่นัทก็มีความสุขกับการเดินเท้าถ่ายรูปไปรอบๆหมู่บ้านกับพี่รัตน์ หมู่บ้านนี้ไม่ได้กว้างใหญ่เลย ทุกครอบครัวดูเหมือนจะรู้จักกันหมดทั้งหมู่บ้านและเป็นเครือญาติเดียวกันเสียด้วย และเหมือนกับมีเวทย์มนต์ เขารู้สึกหลงรักที่นี่มาก หมู่บ้านที่นี่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ที่ไม่มีแน่นอนที่กรุงเทพ เขาแทบจะท้องแตกตาย เมื่อบ้านหลังที่แปดที่พี่รัตน์แวะเข้าไปหาเอาผลไม้มาให้เลี้ยงรับเขาอีก
   “เราไม่กินไม่ได้นะคุณนัท เขาจะหาว่าเราไม่เป็นมิตรนะ"
   นัทจึงกินของทุกบ้านอย่างเสียไม่ได้ แต่มันมีความสุขมากจริงๆ และที่ยิ่งดูประหลาดมากขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะหมู่บ้านมันเล็กหรืออย่างไรไม่ทราบ ดูเหมือนว่ากายจะต้องมาปรากฎตัวใกล้ๆเขาอย่างน้อยก็ห้านาทีก่อนจะหายไปกับสาอีก แล้วก็จะกลับมาใหม่อีกในอีกสิบห้านาที เป็นแบบนี้ไปจนถึงบ่าย พ่อมดในคราบมนุษย์ธรรมดา เที่ยวแนะนำสถานที่ต่างๆในหมู่บ้านกับนัทไปพร้อมกันกับพี่รัตน์ จนทำเอานัทสามารถจดจำแผนที่คราวๆในหมู่บ้านนี้ได้ และเริ่มมั่นใจว่าตัวเองคงไม่หลงอย่างแน่นอน
   “ขอบใจมากนะหนู....” นัทยิ้มให้พลางเกาหัวแกรกๆ "แย่ละ....ก็เมื่อกี้มันเดินมาทางนี้นี่ ไม่น่ามาขอเข้าห้องน้ำเลยน้าไอ้นัท"
   ชายหนุ่มพูดกับตัวเองพลางมองไปรอบๆ พลางออกเดินไปเรื่อยๆ ดีที่อากาศไม่ร้อน อย่างน้อยๆเขาก็น่าจะไปถึงบ้านไหนซักบ้านที่แวะมาตลอดเช้า และเขาก็น่าจะนำทางไปยังบ้านพักของพี่รัตน์ได้อยู่ จนกระทั่ง
   เอี๊ยดดดด.......
   “ให้ไปส่งไหมคร้าบบบบ" เสียงยียวนกวนประสาทดังขึ้นทันที กายมาพร้อมจักรยานคันงามที่จอดลงข้างๆนัททันที
   “อ้าว" นัทร้องขึ้นพลาง "ถ่ายงานเสร็จแล้วเหรอคุณ"
   “อื้ม ผมไปส่งพี่รัตน์มาน่ะ แกเริ่มเดินไม่ไหวละ ผมเห็นคุณเดินหลงมาทางนี้ ก็คิดว่าคุณน่าจะจำทางกลับไม่ได้แน่เลย" กายตอบ
   “ก็....มึนๆอ่ะ" นัทว่าพลางมองไปรอบๆตัว
   “ขึ้นมาเถอะคุณ ไปทานของว่างกัน" กายว่า นัททำหน้าเหยเก
   “กินอีกแล้วเหรอ" นัทร้อง กายขำเบาๆก่อนจะเอียงศรีษะส่งสัญญาณให้นัทซ้อนท้าย นัทกระโดดขึ้นทันทีโดยไม่รีรอ
   กายค่อยๆปั่นจักรยานไปตามถนนที่ตัดใจกลางหมู่บ้านเพื่อไปยังบ้านพักที่อยู่ถัดออกไป
   “ชอบที่นี่ไหม" กายพูดขึ้น
   “คุณถามเป็นรอบที่ล้านแล้วกาย" นัทว่า
   “ก็ผมอยากแน่ใจนี่" กายว่า
   “ชอบครับ" นัทว่าพลางยิ้มกว้าง ขณะที่มองไปรอบๆ "แต่ผมงงน่ะกาย ทำไมพี่รัตน์ถึงเลือกมาเปิดออฟฟิศที่นี่ล่ะ สถานีโทรทัศน์ชุมชนก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ"
   “ใช่คุณ แต่ว่าที่นี่มีศูนย์วิทยุชุมชนนะ" กายว่า "พี่รัตน์อยากเริ่มต้นด้วยการให้คนที่นี่เห็นเราเป็นครอบครัวกับเขาก่อน ชาวบ้านที่นี่ไม่ชอบใครที่เข้ามาที่นี่ในมาดนักธุรกิจหรอก พวกเขาจะคิดว่าเรามาทำไม่ดีเกี่ยวกับที่ดินของพวกเขา"
   “เราเริ่มงานโฆษณาด้วยสปอตวิทยุงั้นสินะ" นัทถามต่อ
   “ช่าย" กายว่า "เห็นแบบนี้ไม่ง่ายเลยนะคุณ การจะออกวิทยุให้คนในชุมชนเข้าใจน่ะ เป็นการสื่อสารที่ยากมาก ยิ่งต่างถิ่นกันแบบนี้ด้วย"
   “แต่ผมเห็นคุณพูดลาวได้นี่" นัทถามอีก
   “อันนั้นก็ใช่คุณ แต่วัฒนธรรม แล้วก็ความเป็นอยู่มันต่างกันนะ" กายว่า "แต่พอดีผมเป็นพวกปรับตัวเก่งน่ะ"
   “อ่อ" นัทพ่นลมเบาๆ "ผมว่ากะล่อนเก่งมากกว่านะ"
   “เอ๊ะคุณนี่หลายรอบแล้วนะ" กายว่า "เดี๋ยวเหอะคุณ คืนนี้หนักแน่"
   นัทต่อยไหล่กายทีนึง
   “คิดได้แต่เรื่องนี้นะคุณ" นัทว่า
   “ช่วยไม่ได้นี่ ก็ผมคิดได้แต่เรื่องที่เกี่ยวกับคุณ..." กายว่า "...ที่ทำกับผม"
   นัทกลอกตาเบาๆ
   “นี่คุณอย่าคิดนะว่า การที่คุณเอาเรื่องราวชีวิตที่น่าประทับใจของคุณที่นี่มาบอกกัน แล้วจะทำให้ผมยกโทษให้ง่ายๆน่ะ" นัทว่า
   “อ้อเหรอ" กายขึ้นเสียงล้อเลียน "นี่คุณยอมรับแล้วเหรอว่าโกรธผม"
   “นี่คุณ.....”
   กายหัวเราะทัันที
   “คุณทำให้ผมนึกถึงตอนเราเจอกันใหม่เลยนะ" กายว่า "คุณก็เถียงหัวชนฝาอย่างนี้เรื่อย แต่พอผมแซะคุณไปเรื่อยๆ คุณก็......”
   “ก็อะไร" นัทถามเสียงเข้ม
   “เปล๊า" กายขึ้นเสียงสูง ก่อนจะอมยิ้มอย่างเป็นสุข และขับจักรยานต่อไป
   จักรยานจอดนิ่งสนิทที่ประตูบ้านพัก พี่รัตน์รีบรุดลงมาทันที พลางนำทั้งคู่เข้าไปในตัวบ้าน สาที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการตัดต่อภาพ กำลังจมอยู่กับแมคในห้องสตูดิโอเล็กริเวณใต้ถุนบ้านที่ถูกแปรสภาพให้เป็นสตูดิโอเล็กๆชั่วคราว
ขณะที่โอ๊ตก็นั่งอยู่ข้างๆพลางกดบีบีคุยกับแฟนสาว
   “เออกาย พี่จัดให้เด็กๆยกของไปไว้ตามที่กายบอกแล้วนะ" พี่รัตน์ว่า "อ่ะนี่ กุญแจ"
   “ครับ ขอบคุณมากครับ" กายรับมาทันที พลางหันกลับมาหานัท "คุณจะขึ้นไปอาบน้ำหรือเปล่า ไปเอาของไหม"
   “ไม่อ่ะ สามันยังทำงานอยู่ข่างล่าง เดี๋ยวผมขึ้นไปพร้อมเขาเองดีกว่า" นัทตอบ
   “คุณจะรอสาทำไมอ่ะ" กายถามต่อ
   “อ้าว ก็ผมนอนห้องเดียวกับเธอ" นัทว่า
   “เปล่า" กายอมยิ้ม พลางหมุนตัวมาหานัทพลางยิ้มให้ พร้อมกับส่งสายตาเป็นประกาย "คุณนอนห้องเดียวกับผม"
   “หะ" นัทร้องขึ้น "นี่คุณ......”
   “ก็ห้องมันมีสามห้อง สาเขาเป็นผู้หญิง เขาก็ควรจะได้นอนคนเดียว พี่รัตน์ก็นอนกับโอ๊ต ผมก็นอนกับคุณไง" กายว่า "พอดีผมไม่ชอบนอนกับคนอื่นน่ะ"
   “แล้วไหงนอนกับผมล่ะ" นัทถามเสียงเข้ม
   “ก็ผมเคยนอนกัยคุณมาแล้วนี่นา" กายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ "หรือที่จริงแล้วไม่ได้นอนกันนะ ผมก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน"
   “ไอ้หื่นเอ้ย" นัทกระแทกไหล่กายไปครั้งหนึ่งก่อนจะเบียดตัวเดินไปหาสา โดยไม่สนใจกายที่ยืนยิ้มอย่างพึงพอใจในแผนของตัวเองอยู่อย่างนั้น
   “เป็นไงแก" นัททักขึ้นเมื่อนั่งลงข้างๆสา
   “สุดยอดแก" สาว่า "เป็นที่ที่สุดยอดมาก วิถีชีวิต ประเพณี ทุกอย่างกมกลืนเป็นเนื้อเดียวจนดูเป็นธรรมชาติมาก ดูรูปพวกนี้สินัท ดูรอยยิ้มชาวบ้าน รอยยิ้มเด็กๆ กับคนต่างถิ่นอย่างน้องโอ๊ต พวกเขาถ่ายถอดอารมณ์เป็นมิตรให้กันและกันออกมาน่ะนัทดูสิ"
   สาพร่ำเพ้อกับงานตัวเอง นัทมองไปยังรูปเหล่านั้น ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
   “ฉันขอบใจแกมากนัท ถ้าไม่ได้แกฉันคงไม่ได้งานนี้น่ะ" สาพูดขึ้นมา
   “พูดอะไรของแกวะ" นัทขมวดคิ้ว "ทำไมแกถึงจะได้งานนี้เพราะฉัน แกรับงานนี้มาเองนะ ประสาทไง"
   “อะ....เอ้อ...จริงสิ..คือ" สาพูดติดๆขัดๆ พลางมองหน้านัท "ไม่คือ....ฉันหมายความว่า ก็ทั้งหมดก็เพราะแกไง.....คือ ฉันหมายความว่า แกเป็นคนทำให้ฉันประสบความสำเร็จไง ฉันถึงเป็นที่รู้จักแล้วได้มาทำงานกับคุณไชยรัตน์ ก็เพราะว่าแกตัดสินใจขึ้นไปทำงานกับกายวันนั้นน่ะ"
   นัทขมวดคิ้วทีนึง พลางมองสา ที่เลิกคิ้วใส่เขา
   “จริงๆ" เธอกล่าวก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ
   “อื้อ" นัทรับคำเบาๆ "นานมากแล้วนะ จากวันนั้นนะ"
   “ช่าย" สาตอบ "บอกเขาหรือยังล่ะ"
   สาถามขึ้นแม้ตาเธอจะยังอยู่ที่คอม
   “บอก....บอกอะไร" นัทหันมาถามสา
   “ก็บอกนั่นน่ะ" สาเพยิดหน้าน้อยๆไปทางกายที่กำลังนั่งคุยเรื่องงานกับพี่รัตน์อยู่มุมหนึ่งของบ้าน
   “กายอะเหรอ บอกอะไร" นัทถาม
   “รักไง" สาว่า
   “เห้ย บ้า...ฉันไม่ได้......”
   สาเหล่ตามามองนัทอย่างเบื่อหน่าย ชายหนุ่มเห็นสายตาเธอก็ยิ้มเบาๆพลางก้มหน้าลง
   “ยัง" ชายหนุ่มพูดเบาๆ "ก็......มาถึงขนาดนี้แล้วยังต้อง....”
   “ไม่ได้นะ" สาหันมาพูดกับเขาเสียงแข็ง นัทตกใจเล็กน้อย "ไม่ได้นะนัท บอกเขาเถอะ"
   “เห้ย ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง เขารู้ว่าฉันเป็นคนยังไงแล้วสา” นัทว่า “เราสองคนรู้แล้วว่าต้องทำยังไงถ้า....”   
   “นายเพิ่งจะเจอการจากลาแค่ครั้งเดียวเองนะ แล้วมันก็แค่ครั้งเดียวที่สั้นซะด้วย" สาว่า "นัท เราสามคนกำลังจะเจออะไรข้างหน้าอีกเยอะ การเปลี่ยนแปลงอีกนับไม่ถ้วน ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างกำลังลงตัวนายต้องทำให้ทุกอย่างมันจบลงที่นี่นะ"
   “เค้าไม่อยากฟังหรอกสา เขามันเพลย์บอย ไม่มีเพลย์บอยอยากถูกผูกมัดด้วยคำว่ารักหรอก" นัทว่า "ยิ่งฉันบอกเขา เขาจะยิ่งไปจากฉันมากกว่า"
   “แต่เขาบอกรักแกนะเว่ย.....” สาหันมาพูดกับนัทด้วยเสียงกระซิบ "ใช่ไหมละ ฉันดูแกก็รู้แล้ว กำแพงแกทลายหมดแล้วนี่วันนี้น่ะ เขาต้องทลายมันด้วยคำว่ารักแน่ๆ"
   “อย่าน้ำเน่าน่า" นัทว่า
   “เถียงสิ" สาว่า พลางจับเมาส์ต่อ "เขาลงทุนผูกตัวเองก่อนแกเลยนะเว่ย"
   นัทเงียบไปพักนึง
   “มันไม่มีวันที่ฉันจะได้เจอความรักที่สมบูรณ์แบบหรอก และทั้งหมดที่ผ่านมา มันก็ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ มันก็แค่ การคลายเหงา ท่ามกลางสัมคมแบบนี้เท่านั้นเอง" นัทว่า "ทั้งเขาและก็ฉันนะสา"
   “แล้วแกรออะไรล่ะ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วน่ะ" สาว่า "ถ้าเกิดว่าความสมบูรณ์แบบที่แกรอมันไม่ได้มีอยู่จริง แล้วนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่แกจะหาได้แล้วล่ะนัท"
   นัทมองหน้าสาเพื่อนของเขา
   “ทำซะ ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงข้างหน้าจะมาทำให้เขาหายไปอีก" สาว่า "แกต้องทำเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแกกับเขาอาจจะไม่ได้กลับมาเจอกันอีกก็ได้นะ"
   “เธอพูดเหมือนกับว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขากับฉันจะเจอกันงั้นแหละ" นัทว่า "อย่างกับว่า ที่เขามาเจอฉันได้แบบนี้ต้องมีการนัดแนะกันมาก่อนน่ะสา"
   สาอ้าปากโดยไม่มีอะไรเล็ดลอดออกมา นัทมองหน้าเธอทันที
   “แล้วแต่จะคิดเว้ย" สาถอนหายใจพลางหันกลับไปยังคอมอีกรอบ
   “อ้าว" นัทพ่นลม "อะไรของแกวะ"
   “ฉันเตือนแกได้แค่นี้" สาว่าพลางทำงานต่อ "บอกเขาซะ จริงๆนะ"
   นัทมองไปยังกายที่อยู่ไกลออกไป เงียบกันไปพักนึง เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน
   “ฉันก็อยากบอกเหมือนกันเว่ย"  นัทพูดเบาๆ
   “แล้วรออะไร" สาก็ถามลากเสียงเบาๆ
   “เพราะฉันรู้ว่าเขาอยากฟังไงล่ะ" นัทว่า สาหันมามองเพื่อนรัก
   “คนเราวิ่งหาอะไรได้ไม่นานหรอก ถ้ารู้ว่าจะหมดหวัง" สาว่าพลางส่ายหน้า
   “มันแย่ก็ตรงนี้แหละ" นัทว่า "กายเขารู้....ว่าเขาไม่มีทางหมดหวังน่ะสิ.......”
….............

   “ขอบคุณมากนะฟ้า มันเป็นร้านที่สุดยอดจริงๆ" มิกว่า "น่าเสียดายที่เจ้าเอิร์ธมัวแต่ไปฉลองกับเพื่อน มันต้องเสียใจแน่ๆ"
   “อื้อ" ฟ้าว่า "เอาไว้ครั้งหน้าค่อยชวนเอิร์ธมาใหม่ก็ได้นี่"
   “กลัวจะไม่ได้ถูกอย่างนี้น่ะสิ ฮ่าฮ่า" มิกหัวเราะ
   “ได้สิ" ฟ้าว่า พลางมองเข้าไปในดวงตาเอิร์ธ "ยังไงสำหรับมิก ก็ได้อยู่แล้วล่ะ"
   “อ่านะ" มิกว่าพลางอมยิ้มก่อนจะมองไปยังน้ำพุหน้าร้าน มองกันไปพักนึง
   “คิดไรอยู่เหรอ" ฟ้าถามขึ้น
   “ฟ้า" มิกเอ่ยขึ้น "ฟ้าเคยสับสนบ้างป่าว"
   “สับสน?” ฟ้าทวนคำ "บ่อยออก มิกกำลังสับสนเหรอ เรื่องอะไร"
   “บางทีฉันอยากรู้มาก ว่าเขาคิดยังไงกับเราอ่ะ" มิกพูด
   “จริงป่ะเนี่ย" ฟ้าว่า มิกหันมามองเธอ
   “ทำไมอ่ะ" มิกถามเบาๆ
   “ก็ปกติอ่ะ มิกไม่เคยแคร์ ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับตัวเองไม่ใช่เหรอ อินดี้น่ะ" ฟ้าว่าพลางขำเบาๆ "งี้แสดงว่าคนคนนั้น ต้องเป้นคนที่มิกให้ความสำคัญมากแน่ๆ"
   “ก็....ประมาณนั้นอ่ะ" มิกว่า
   “แล้วมันยังไงอ่ะ เผื่อฟ้าจะช่วยได้" เธอยิ้มกว้าง
   “ก็...บางทีการกระทำกับคำพูดมันก็ขัดกันน่ะ เราก็เลยแบบว่า....สับสน" มิกพูด "เราอยากรู้อะไรที่มันแน่ๆ ชัดๆอ่ะ"
   มิกยิ้มให้เธอ
   “ยาก" ฟ้าพูด "กับมิกน่ะยาก"
   “ทำไมอ่ะ" มิกถาม
   “ฟ้าเคยเป็นฟ้ารู้ เราสองคนเหมือนกันจะตาย" ฟ้าว่า "บางที ที่เรายังสับสน อาจจะเป็นเพราะเราไม่กล้าเองก็ได้นะ"
   “ไม่กล้างั้นเหรอ.....” มิกร้อง

   …..เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในซอยอย่างหวาดหวั่น แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม.....

   “ก็ในเมื่อเราอยากรู้ในการกระทำของคนอื่นที่ไม่แน่ชัดกับเรา มันจะเป็นอารมณ์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างความกล้ากับความกลัว" ฟ้าว่า "บางคนเลือกที่จะทนสับสนต่อไปเพื่อให้ซักวันมันกระจ่างชัดขึ้นเอง ในขณะที่บางคนก็จะตัดสินใจเดินเข้าไปเพื่อหาความจริง และตรงนั้นแหละ จุดไคลแมกซ์"
   มิกนั่งฟังอย่างตั้งใจ
   “เพราะเราอาจจะเจ็บกลับมาหรือว่าดีใจอย่างหลุดโลกไปเลย" ฟ้าว่า "ที่สำหรับมิกฟ้าว่ายาก ก็เพราะฟ้าเคยเป็น...”
   “แล้วฟ้าเป็นแบบไหนล่ะ" มิกยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอ
   “ฟ้ากลัวที่จะเจ็บไง" เธอตอบ มิกผงะเล็กน้อย

   …..เด็กหนุ่มเดินวนไปมาอยู่หน้าร้านสองสามทีอย่างตกประหม่า.......

   “ฟ้าก็เลยลองแบบแย็บๆดูอย่างเดียว ไม่เคยกล้าที่จะเข้าไปตรงๆ" ฟ้าตอบ "สิ่งที่เกลียดที่สุดของเราก็คือไม่ชอบถ้าไม่ได้ยอมรับแล้วต้องผิดหวัง ฟ้าก็เลย ไม่อยากจะเจ็บ สร้างเกราะให้ตัวเองเต็มที่เลยล่ะ เพราะเวลาโดนปฎิเสธ มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก"

   “...ฉันไม่รู้ว่ะ" นัทตอบ มันเป็นความรู้สึกจากใจเขาจริงๆ ความรู้สึกที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกายเลย มิกก้มหน้าลง "ใช่...ดีใจ...และที่จริงก็รู้มานานแล้วแหละ ว่าแกเอ่อ....รู้ดีดีกับฉัน....และก็ซึ้งมากที่แกปกปป้องฉันออกจากเรื่องนี้ แต่ฉันไม่รู้....ฉันไม่แน่ใจกับเรื่องนี้.....ฉันเอ่อ....ฉันไม่รู้จริงๆ"
   มิกเงียบลง


   มิกมองหน้าเธอพลางเงียบสนิท
   ฟ้าเอื้อมมือไปจับมือของมิก ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันมากขึ้น

   …..เด็กหนุุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าที่แดงกำ่ไปด้วยความตื่นเต้น พร้อมแล้วที่จะเริ่มต้น.....

   “และบางครั้งก็เหมือนหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาที่ต้องเจอกับเรื่องราวที่ไม่สามารถทำอะไรเอาแต่ใจได้ ทั้งกับตัวเองและคนอื่น" ฟ้าอธิบาย
   
   “ทำไมวะ" มิกร้อง "มันจะดึงดันให้ตัวเองเจ็บทำไมวะหะ"
   สาหันไปหามาร์คพลางยื่นกล้องให้เขาเก็บ ขณะที่เธอเก็บของส่วนตัว
   “ฉันเชื่อว่า มันก็กำลังถามแกด้วยคำถามเดียวกันเหมือนกัน" สาพูดเรียบๆพลางออกเดินไปจากสตู "และฉันเองก็อยากถามแกด้วยเหมือนกัน"
   สาปิดประตูสตูดิโอลง ทิ้งให้มิกจมอยู่กับความเจ็บปวดเพียงลำพัง


   "เพราะนั่นมันเหมือนกับการตอกย้ำตัวเองว่า เราทำอย่างนั้นไม่ได้ และไม่อยากให้คนอื่นเป็นอย่างนั้น"

   มิกมองไปทั่วตัวของเอิร์ธ
   “ที่นายทำเนี่ย คือพยายามเข้าไปอยู่ในที่ที่แฟนของนายอยู่ใช่หรือเปล่าหะ" มิกพูด "นายพยายามทำให้ตัวเองไปอยู่ในโลกที่เขาเป็นเหรอ ดูสารรูปตัวเองบ้างดิ ทุเรศว่ะ"
   “พี่ว่าอะไรนะ" เอิร์ธพูด
   “นายเป็นคนบอกเลิกเค้า แล้วกลืนคำพูดตัวเองทำไมวะ เป็นผู้ชายอ่ะ ตัดสินใจอะไรไปแล้ว ก็อย่าถอยหลังกลับดิ" มิกพูก "ไหนบอกว่าคนเราอยู่อย่างคนแพ้บ้างก็ได้ไง เนี่ยเหรอ อยู่อย่างคนแพ้ของนายอ่ะ"
   

   มิกก้มหน้าลง ใบหน้าซีดเผือด
   “และบางครั้งก็รู้ว่ามันเป็นการเห็นแก่ตัว" ฟ้าพูด "แต่เราก็แค่ต้องการยืนอยู่ในที่ที่รู้สึกสบายใจเท่านั้นเอง"

   “จนกว่าฉันจะได้รับคำยืนยันว่า นายจะไม่ทำให้ไอ้นัทต้องเจ็บ" มิกว่า
   “งั้นผมไม่ยืนยัน" กายตอบ มิกกัดฟันทันที
   “ดี งั้นเราคงได้เห็นดีกันกาย" มิกสาวเท้าไปยังประตูทันที "ไม่นึกเลยนะ ว่านายจะเห็นแก่ตัวแบบนี้"
   “นายต่างหากที่เห็นแก่ตัวมิก" กายพูดพลางหันไปยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้มิก "นายคิดจะมีความรักโดยไม่ยอมให้ตัวเองเจ็บเลยน่ะ มันเห็นแก่ตัวมากนะ"

   “เธอเคยคิดจะพิสูจน์บางหรือเปล่า" มิกถามขึ้น "กับเรื่องทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น"
   “มันก็ต้องประเมิณเอง" ฟ้าว่า พลางยื่นหน้าเข้าไปหามิก "ว่าเขาต้องการให้เราพิสูจน์ไหม"
   ฟ้าประกบริมฝีปากกับมิกทันที เหนือเชิงเทียนที่ถูกจุดเอาไว้ ทั้งคู่หลับตาเพื่อหาความจริงภายใต้จุมพิตที่หอมหวาน

   ….เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น ก่อนจะหันหลังออกจากจุดที่ยืนอยู่ แม้ว่าแทบจะหมดแรงยืนอีกต่อไป.....

   ก่อนจะผละออกจากกัน มิกมองหน้าเธอ นัยน์ตาของฟ้ามีน้ำตาเอ่อคลอน้อยๆ
   “เพราะสุดท้ายส่วนใหญ่แล้ว" ฟ้าว่าพลางยิ้มกว้าง "เขาจะจบลงด้วยความเจ็บปวดกัน"
   มิกเงียบไปพักนึง ก่อนจะหายใจเข้า
   “ท..ท....ทั้งๆที่....มันคือ....ค...คำว่า..ร....รักน่ะเหรอ" มิกส่งสายตาถามเธออย่างมีความหมาย
   “คำว่ารักไม่มีความหมายหรอก" ฟ้าพูด "ถ้าถูกเอ่ยขึ้นมาในเวลาที่ไม่ใช่.....”
   มิกหายใจช้าๆ ฟ้ายิ้มให้เขา
   “ฉันรักนาย" ฟ้าว่า มิกมองหน้าเธอ "ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ........บอกสิ ช้าไป หรือ เร็วไป"
   “ล...ล....แล้วถ้าช้าไปล่ะ" มิกถามเบา
   “ก็ต้องวิ่งตาม" ฟ้าตอบ มิกรีบลุกขึ้นทันที "แต่ไม่รู้หรอกนะ.....ว่าจะทันไหม"
   มิกออกวิ่งไปทันที.....
   ฟ้านั่งยิ้มอยู่เพียงลำพัง........

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
เฮ้อออ  เหนื่อยใจ

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 34 Dare You To Move

   สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ได้ตั้งเค้ามาก่อน เอิร์ธเดินไปตามถนนอย่างช้าๆ อย่างไม่มีจุดหมาย เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น จนของบางอย่างที่อยู่ในอุ้งมือถึงกับเจ็บแปล๊บขึ้นมา เด็กหนุ่มโบกแท๊กซี่ได้คันหนึ่ง ขณะที่เสียงตะโกนดังมากจากด้านหลังแว่วๆ เสียงตะโกนที่กำลังดังฝ่าสายฝนร้องเรียกชื่อของเขา

   มิกรีบวิ่งไปให้ทันแต่ทว่ารถก็ออกตัวไปก่อนแล้ว ชายหนุ่มส่ายหน้าหนึ่งครั้งก่อนจะควักโทรศัพท์ออกมาเพื่อกดโทรออก แต่ก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เอิร์ธได้โทรมาหาเขาแล้วเมื่อครู่นี้....
   “ฟ้า....” มิกพูดพลางเงยหน้า หญิงสาวเพื่อนสนิทของเขายืนกางร่มมองมิกที่กำลังตากฝนอยู่เบาๆ มิกมองใบหน้าเธอผ่านสายฝนที่ไหลอาบร่างกาย
   “เธอรู้ว่ามันจะมา...." มิกพูดเบาๆ "….เธอรู้ว่ามันกำลังมา"
   “ฟ้าขอโทษ" เธอเอ่ยเบาๆ
   มิกหลับตาพลางจับหน้าผากของตัวเอง
   “ฟ้า" ชายหนุ่มร้องเสียงดัง "เราไม่เข้าใจ ทำไมอ่ะฟ้า"
   “ก็อย่างที่ฟ้าบอก บางครั้ง คนเราก็อยากพิสูจน์นะมิก" ฟ้าเอ่ยขึ้นเบา
   มิกส่ายหน้าให้เธอก่อนจะวิ่งไปยังเจ้าเต่าทอง ฟ้ามองตามไป
   “ฟ้าก็แค่อยากแน่ใจมิกว่า....”
   “เราไม่ได้รักฟ้า" มิกหันกับตะโกนใส่เธอท่ามกลางสายฝน "เราสองคนเป็นเพื่อนกัน และแกก็คือเพื่อนที่ดีคนนึงของฉัน"
   หญิงสาวเงียบลง
   “ทำไมแกต้องทำแบบนี้ด้วยวะฟ้า" มิกร้อง "ทำไมไม่ถามกันตรงๆ ทำไมแกต้องพิสูจน์ด้วยวิธีแบบนี้ รู้ไหมว่ามัน...."
   “เจ็บ....” ฟ้าตอบ "รู้สิ.....ฟ้าถึงอยากรู้ ว่าจริงๆแล้ว มิกรักใครกันแน่"
   มิกเงยหน้าขึ้นจากการไขกุญแจ
   “เด็กคนนั้นสำคัญกับมิกมากจริงๆสินะ" ฟ้าพูด "ฟ้าก็แค่อยากมั่นใจเรื่องนี้เท่านั้น  แล้วต่อจากนี้ฟ้าจะ...."
   “แกอย่ามายุ่งเรื่องของฉันกับเอิร์ธฟ้า ขอร้อง" มิกหันมาพูดกับเธอ "ฉันขอ......ฉัน......ฉันรักเด็กคนนี้"
   ฟ้าผงะไปพักนึง
   “เด็กคนนี้นั่นแหละ ใช่เว่ย......เป็นเด็กคนนี้แหละที่ฉันรักมัน” มิกบอกเธอเสียงแข็ง "พอใจหรือยัง"
   “มันไม่มีทางสมหวังหรอกมิก นายกับฉันเห็นน้องคนนี้มาตลอดกับงานศิลป์ของเขา น้องเขาจะทำให้นาย....” ฟ้าพยายามอธิบาย
   “ถ้าเธอจะพยายามบอกว่า เธอคือคนที่พอดีกับฉัน แล้วเธอหายไปไหนมาล่ะ ตลอดเวลาสี่ปีมานี่" มิกว่าใส่เธอ
   “มิก" ฟ้าเรียกชื่อเขาเบาๆ
   “ฉันจะบอกความจริงเธอข้อนึงฟ้า มันเคยแว้บนึง ที่ฉันก็คิเหมือนกัน ว่าแกอาจจะเป็นคนที่ฉันจะขอเป็นแฟนเว่ย" มิกว่า "แต่แกหายไป แกเป็นเพื่อนกับฉันนานพอๆกับสา กับนัท......แต่แกไม่อยู่ฟ้า........แกไม่อยู่...และนั่นคือเหตุผลที่เราสองคนเป็นเพื่อนกันตอนนี้.....มันไม่ใช่ตอนนั้นแล้ว ที่แกกับฉันไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่ใช่แล้วฟ้า"
   “แต่น้องคนนั้น ก็กำลังจะจากนายไปเหมือนกัน แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ" ฟ้าร้องบ้าง
   “ต่างกันตรงที่ฉันจะวิ่งตามมันไง" มิกตอบ
   “ถ้าไม่รักกัน ก็ไม่ต้องยกตัวอย่างคนที่ทำให้เขามากกว่ากว่าหรอกน่า" ฟ้าว่า
   มิกส่ายหน้าให้เธอ ก่อนจะก้าวขึ้นรถ
   “ฉันรักแกฟ้า แต่ตอนนี้ มันไม่เหมือนเดิมแล้วเว่ย" มิกว่าและบึ่งเจ้าเต่าทองออกจากร้านไปทันที
   หญิงสาวก้มหน้าลงร้องไห้ทันที
   มิกรีบรุดกลับไปยังบ้านของเขาทันที แต่ท้องถนนสุขุมวิทตอนนี้เต็ไปด้วยรถที่ติดหนาแน่น มิกใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะพาตัวเองมาถึงถนนเจริญกรุง ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าซอยบ้านของตัวเองอย่างไม่รีรอ ประตุบ้านเปิดผางออกทันที
   เด็กหนุ่มคนหนึ่งกับกระเป๋าใบโตกำลังขนของมากองรวมกันที่กลางบ้าน เอิร์ธชะงักทันทีเมื่อมิกมาปรากฎกายตรงหน้า
   “มาแล้วเหรอพี่" เอิร์ธพูดเบาๆทั้งที่นัยน์ตาแดงก่ำ "เอ่อ..ผม...ผมกำลัง"
   “แกกำลังจะไป ฉันรู้" มิกว่า พลางมองหน้าเอิร์ธ
   “ผม ผมจะไปแล้วพี่ พี่มาก็ดี ผมเอ่อ.....จะได้บอก..ลาเลย" เอิร์ธว่า มิกส่ายหน้า
   “อ....อ....เอาจริงดิ" มิกพูดเสียงสั่นขณะมองหน้าเอิร์ธ "ไร้สาระน่าเอิร์ธ"
   มิกเดินเข้าไปพลางจับของที่เอิร์ธถืออยู่วางลงก่อน แต่ครั้งนี้เอิร์ธกระชากมันกลับทันที มิกถึงกับหยุดชะงักและหันมามองหน้าเอิร์ธอีกครั้ง
   “พอเหอะพี่" เอิร์ธพูดเบาๆ "พี่ไม่เหนื่อยเหรอ"
   มิกมองหน้าเอิร์ธอยู่อย่างนั้น มันเป็นคำถามที่เขาเข้าใจดี
   “ผมว่า....พี่ไม่ต้องเหนื่อยกับผมแล่ว" เอิร์ธว่า "ผมว่า เราสองคน มาไกลพอแล้วล่ะ"
   “เอิร์ธพี่....”
   “พอเหอะพี่มิก ผมเหนื่อยแล้ว" เอิร์ธว่า "ไม่มีประโยชน์แล้วพี่ Loveless Society ก็จบแล้ว ผมกับพี่ช่วยกันเรียนรู้กับเรื่องนี้มาพอแล้วล่ะผมว่า....”
   “ร...เรียนรู้เหรอ" มิกขมวดคิ้ว
   “ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่พยายามทำให้ผมเรียนรู้กับงานนี้ไม่ใช่เหรอ ให้ผมเข้าใจกับ....คำว่ารัก" เอิร์ธพูด
   “เลิกเพ้อได้แล้วไอ้เอิร์ธ แกกำลังโกรธที่แกเห็นพี่จูบฟ้าก็เท่านั้น" มิกว่า "พี่รีบกลีบมานี่ก็เพราะว่ากลัวแกจะเข้าใจอะไรๆผิดเว่ย"
   “ผมเข้าใจถูกแล้วพี่" เอิร์ธว่า "พี่ต่างหากที่กำลังไม่เข้าใจ"
   “อย่ามาเอิร์ธ แกกำลังของขึ้น ดูของพวกนี้ดิ แกโกรธแล้วก็จะย้ายออกจากบ้านไป" มิกร้องพลางเดินไปรอบๆ เพื่อไปดูที่ห้องนอน "แก...แกกำลังหึง แล้วก็พาล เหมือนเมื่อก่อน เหมือนทุกครั้งที่แกงอนพี่ แต่ครั้งนี้แค่แกหยุดฟัง ทุกๆอย่างก็จะกลับไปเหมื......”
   “มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้วพี่มิก พี่หยุดฟังผมเถอะ" เอิร์ธตะโกนเสียงดัง มิกหันมามองเด็กหนุ่ม "ผมไม่ได้งอนเรื่องที่พี่....จูบกับพี่ฟ้า"
   มิกรู้สึกถึงความจริงบางย่างที่กำลังไล่หลังมา มาจากน้ำเสียงของเอิร์ธ เด็กหนุ่มพูดกับมิกด้วยเสียงอ่อนเพลีย มิกหันกลับมามองเอิร์ธ
   “หมายความว่าไงวะ" มิกถาม
   “ผมต้องไปแล้วพี่" เอิร์ธว่า "ผมจะเปิดเทอมแล้ว แม่ก็กำลังจะกลับมาจากอังกฤษ ผมต้องกลับไปทำโปรเจ็คจบ"
   “แกไม่เคยกังวลเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ อย่ามา" มิกว่า
   “ใช่พี่ เพราะผมไม่เคยกังวลเลยไง มันก็เลยถึงเวลาที่ผมต้องกังวลแล้ว" เอิร์ธว่า "พี่ก็เคยบอกผมเองนี่ ว่าซักวัน วันนี้ก็ต้องมาถึง"
   มิกรู้สึกใจโหวงอย่างประหลาด เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเขาอีกแล้ว รู้ว่ามันจะเกิดขึ้น แต่ไม่เคยเตรียมใจเอาไว้ก่อนเลย
   “ผมต้องคิดแล้วพี่ ผมไม่อาจจะอยู่กับอย่างคนแพ้กับพี่ที่นี่ไปได้ตลอด ผม...ผมต้องโต" เอิร์ธว่า "แล้ว...แล้วผมก็รู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องโต.........ซะที"
   “แต่แกไม่เคยพูด ว่าแกจะไปนี่" มิกร้อง "ทำไมแกไม่บอกฉันวะ"
   “แล้วทำไมผมต้องบอกอ่ะพี่" เอิร์ธว่า
   “ก็เพราะพี่รักแกขึ้นมาแล้วไง" มิกร้องออกมาเสียงดัง
   และก็เหมือนกับเวลารอบตัวของทั้งคู่หยุดหมุนลง
   เอิร์ธมองหน้ามิกทันที พลางเงียบสนิท
   “อะไรนะพี่มิก"
   “ใช่เว่ย พี่บอกแก ว่าให้แกโต พี่บอกแกว่าให้แกลองปล่อยวางทุกอย่าง แล้วมาคบกับพี่ พี่บอกแก ให้แกยอมอยู่อย่างคนแพ้ แบบที่ตัวเองต้องยอม แล้วมาอยู่ด้วยกันที่นี่" มิกหลับตาลง คำพูดต่างๆไหลออกมาทันทีอย่างควบคุมไม่ได้ "และพี่ก็เคยบอกแกเว่ย ว่ามันต้องมีวันนี้เอิร์ธ.....แต่ไม่รู้เลยเหรอวะ ว่าที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นบ้างอ่ะ...."
     เอิร์ธมองหน้ามิกที่นัยน์ตาเอ่อคลอ
   “แกเข้ามาตอนพี่ไม่มีใครน่ะเว่ยเอิร์ธ พี่คิดจะทำให้แกโตขึ้น เข้าใจทางที่ตัวเองจะเดินไปข้างหน้าด้วยก็จริง แต่ถ้าแกไม่บอกแล้วใครจะรู้ล่ะว่า......” มิกก้มหน้าลง "….ว่าแกจะไปอ่ะ"
   “พ...พี่มิก"
   “แกไม่รู้จริงๆเหรอวะ ว่าเวลาที่แกกับพี่อยู่ด้วยกันมันมีความสุขแค่ไหน งานที่เราช่วยกันทำ งานฉัน งานแก งานไอ้นัท งานไอ้สา งานไอ้คุณกายน่ะ ฉันไม่รู้หรอกว่าแกจะมีช่วงเวลาดีดีแบบนั้นไหมแต่......พี่มีเว่ย" มิกร้อง "….ฉันรักแกเว่ยไอ้เอิร์ธ ชัดยัง"
   เอิร์ธหายใจเข้าช้าๆ ก่อนจะกัดฟันพลางเบนหน้าไปทางอื่น เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น
   “แล้วพี่มาบอกอะไรผมป่านนี้วะ" เอิร์ธร้องออกมา เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง น้ำตาไหลอาบหน้า "แล้วพี่รู้หรือปล่าว ว่าตลอดเวลา ผมรอให้พี่พูดคำนี้.....”
   มิกเงยหน้าขึ้นมองเอิร์ธ เด็กหนุ่มใบหน้าแดงก่ำขึ้นเรื่อย กัดฟันกรอด
   "ผมทำทุกๆอย่างให้พี่หึง ให้พี่ไม่พอใจ แต่พี่ก็ไม่เคยจะพูดอ่ะ.....แล้วพี่จะมาบอกเอาวันที่ผมต้องไปแล้วเนี่ยนะ"
   มิกกลับเป็นฝ่ายมองหน้าเอิร์ธด้วยน้ำตา
   “พี่เคยบอกว่า พี่ไม่รู้จะเลิกชอบพี่นัทเมื่อไหร่ แต่ตอนนั้นผมก็ไม่มีใครแล้ว ผมก็คิดว่าเรื่องที่เราคบกันมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ผมก็เลยจดจำเวลาตอนนั้นไว้คนเดียว ว่านั่นคือเวลาที่มีพี่ มีผม" เอิร์ธว่า "พอผมแน่ใจ ว่าพี่นัทกับพี่กายคบกัน แล้วเขาคงไม่กลับมาหาพี่แล้ว ผมก็เลยลองใจพี่อีกครั้ง ว่าพี่จะบอกรักผมหรือปล่าว แต่พี่ก็ไม่พูดอ่ะ แล้วพี่ก็มีพี่ฟ้าเข้ามาในชีวิตอีกอ่ะ แล้วพี่จะให้ผมทำไงอ่ะ เวลาของผมมันมีไม่มากนะพี่มิก แล้วตอนนี้มันก็หมดแล้วด้วย"
   มิกก้มหน้าลงทันที
   “ผมกล้าที่จะย้ายตัวเองออกมาอยู่กับพี่ แล้วทำไมพี่ไม่กล้าที่จะบอกผมให้เร็วกว่านี้วะ" เอิร์ธพูดทันที
   เงียบกันไปพักนึงเป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน เอิร์ธทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าร้องไห้เงียบๆอยู่ตรงนั้น พลางส่ายหัวอย่างหงุดหงิด มิกมองหน้าน้องเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน
   “ถ้าไม่นับเรื่องพี่ฟ้า ที่ทำให้ให้ผมแอบเจ็บเอาจนวันสุดท้ายนี่" เอิร์ธลดน้ำเสียงลงจนเกือบปกติ "ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับพี่ มันคือเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดเลยพี่รู้หรือเปล่า"
   มิกทุดตัวลงนั่งเหมือนกัน พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางมองไปยังแม่น้ำที่อยู่ถัดออกไป
   “พี่เป็นคนบอกให้ผมคำนึงถึงเวลา แล้วไหงเป็นพี่ที่ลืมว่าผมจะไปล่ะพี่มิก" เอิร์ธพูดเบาๆเหวี่ยงๆ "ในโลกนี้ไม่มีใครทำแบบนี้หรอก"
   มิกมองแม่น้ำนิ่ง
   “ก็เพราะว่าฉันไม่ทำอย่างโลกที่ต้องการให้ทำนี่ ฉันแค่หวังว่านายจะเข้าใจที่ฉันทำ แค่นายคนเดียว ไม่ได้หรือไง" มิกหันมามองเอิร์ธ ที่มองเขากลับมา
   “ก็ถ้าผมรู้ซักนิด ว่าพี่ก็รักผมอ่ะ....." เอิร์ธว่าอย่างหัวเสีย "แค่ผมรู้.....ก่อนหน้านี้”
   มิกลุกขึ้นพลางเดินไปยังร่างที่กำลังนั่งกอดเข่านิ่ง พลางบ่นพึมพำกับตัวเอง
   “แต่สำหรับพี่ ที่ผ่านมากับแก พี่ไม่เคยรู้สึกว่ามันเสียเปล่าเลยนะเว่ย" มิกพูดเบา พลางนั่งลงข้างๆเด็กหนุ่ม "พี่ขอโทษ"
   เอิร์ธมองหน้ามิกครั้งหนึ่ง ก่อนจะโผตัวเองเข้าไปกอดมิกอยู่ตรงนั้น มิกกอดเอิร์ธไว้แน่น เหมือนกับไม่เคยกอดกันมาก่อน
   “พี่ขอโทษครับ" มิกว่า ได้ยินแต่เสียงสะอื้นเบาจากเอิร์ธ ก่อนจะผละออกจากกัน
   “ผมต้องไปแล้วล่ะ" เอิร์ธว่า "แม่ผมจะกลับมาอีกสามวัน ผมมีเรื่องต้องทำหลังจากนี้อีกเยอะ ผมต้องใช้เวลาที่เหลืออีกปีอยู่กับที่บ้านแล้วก็ทำให้พวกเขารู้ไปทีละนิดว่าผมคงไม่ได้อยู่เป็นลูกหม้อในครอบครัวตัวเอง ผมจะไปตามทางของผมน่ะพี่มิก ไหนยังจะทำโปรเจ็คจบอีก"
   “แกจะกลับมาอีกหรือเปล่า" มิกถาม
   “ไม่รู้ว่ะพี่" เอิร์ธตอบเสียงเศร้า "ผมไม่รู้จริงๆ"
   เด็กหนุ่มครุ่นคิดอย่างหนัก มิกยิ้มน้อยๆให้เอิร์ธ
   “ไม่เป็นไร อย่างน้อย แกก็กล้าเอาชนะสิ่งที่ไม่กล้าเผชิญหน้ามาตั้งเยอะแล้วตอนนี้น่ะ" มิกว่า "เยอะกว่าพี่ซะอีกด้วย"
   เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาหามิก
   “ไม่ว่าข้างหน้าแกจะตัดสินใจยังไงก็ตามแต่.....” มิกว่า "ทุกคนคงดีใจ ถ้าแกกลับมาเป็นจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ที่ Lovable Studio เพราะ.......พี่คง.....คิดถึงแกน่าดู”
   เอิร์ธยิ้มให้กับมิกทันที
   “ขอบคุณมากนะพี่มิก" เอิร์ธว่าพลางจับตัวมิกเข้ามาจูบทันที
   เอิร์ธปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองไหลผ่านร่างกายไปเป็นครั้งสุดท้าย
   ไม่ว่าข้างหน้าเขาอาจจะมีทางไปหรือไม่...
   แต่ตอนนี้เอิร์ธรู้แล้ว....
   ว่าเขาจะฝากหัวใจไว้ที่ใคร...........
…...........
   “วันนี้อากาศดีจังเลยนะแก" สาเดินออกมาหานัทที่ริมระเบียงบ้านพักในตอนค่ำ ฝนเพิ่งหยุดตกไปเมื่อหัวค่ำ ทำให้อากาศชื้นแฉะบวกกับลมเย็นๆ ชวนให้น่านอนเอามากๆ
   “ใช่ ฉันไม่เคยได้สัมผัสอากาศแบบนี้เลยล่ะ" นัทตอบ
   “แล้วเมื่อเย็นคุยกะใครอ่ะ นานเชียว" สาถามขึ้น
   “อ๋อ แม่โทรมาจากอเมริกา" นัทพูด "แม่พึ่งจะรู้ข่าว ว่าฉันชนะรางวัล BAD Award น่ะ"
   “อ่อ แล้วเมื่อไหร่แม่แกจะกลับล่ะ" สาว่า
   “ไม่รู้สิ แม่ฉันเดาใจยากน่ะ" นัทขำเบาๆ
   “อืม เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ" สายิ้มให้ ก่อนจะเงียบไป
   “คิดไรอยู่วะ" นัทถามขึ้น เมื่อเห็นดวงตาเศร้าสร้อยเกิดขึ้นกับเพื่อนรัก
   “ฉันรู้สึกแปลกๆ อยู่ดีดีก็นึกถึงไอ้มิกว่ะ" สาว่า
   “มันไม่เป็นไรหรอก มีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวมันก็โทรมาเองแหละ" นัทว่า
   “แกเคยคิดบ้างหรือเปล่า ว่าจะมีช่วงเวลาที่เราสามคนจะต้องห่างกัน ห่างกันมากๆ ต่างคนต่างไปในที่ที่ไกลแสนไกล แล้วไม่ได้เจอกันเลย" สาพูด
   “ทำไมคิดงั้นอ่ะ" นัทถาม
   “ก็ดูตอนนี้สิ อะไรๆมันก็เข้าที่เข้าทางไปหมด สำหรับฉันมันคือสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง" สาว่า "ดูแกกับคุณกาย ดูงานที่แกกำลังจะได้รับสิ ดูงานของฉันตอนนี้ หรือแม้แต่ไอ้มิก ฉัน.....ฉันใจหายว่ะแก"
   นัทจับมือเธอ
   “สัญญากับฉันนะนัท ว่าแกจะไม่หายไปตลอด ยังไงแกก็ต้องกลับมาหาฉันกับมิกนะเว่ย ไม่ว่ากายเค้าจะพาแกไหนก็ตาม" สาร้อง
   “โอ๊ย ฉันไปไหนกับเขาไม่ได้ไกลหรอก เคยลองจะขึ้นไปอยู่แบบนั้นแล้ว ไม่ไหวว่ะ" นัทยิ้มให้เธอ "อย่างมาก ถ้าฉันจะไปไกลจริงๆ ฉันก็คงไปคนเดียว"
   “นั่นไงล่ะ เห็นไหม" สาว่าเสียงเศร้า
   “แต่ฉันสัญญาเว่ย ว่าฉันจะไม่ลืมพวกแก พวกแกคือเพื่อนรักของฉันนะเว่ย ยังไงฉันเชื่อว่าเราสามคนต้องกลับมาเจอกันเว่ย" นัทยิ้มให้เธอ สามองนัทด้วยน้ำตาเอ่อคลอ
   “แววตาแกยังเต็มไปด้วยความกล้าอยู่เลยดูสิ" สาพูด "เหมือนแววตาที่แกแจ้นเอางานขึ้นไปพรีเซนต์กับกายวันนั้น"
   “ไบร์ทเรียกมันว่า อวดดีน่ะ" นัทยิ้มแหยๆ สาขำเบาๆกับมุกตลกร้ายนั้น
   “ฉันรักแกว่ะนัท" สาร้อง
   “ฉันก็รักแกเว่ย" นัทพูดก่อนจะสวดกอดสาอยู่ตรงนั้น
   “จำไว้นะเว่ย ไม่ว่าจะยังไง แกไม่ได้อยู่คนเดียว ถึงแกจะไปอยู่ไหนก็ตามเรายังอยู่กับแกเสมอนะ" สาว่า
   “ขอบใจนะสา" นัทตอบเบาๆในอ้อมกอดเธอ
   “อ่ะแฮ่ม" เสียงกระแอมเบาๆดังขึ้น สาและนัทผละออกจากกันหันไปเจอกับกายที่ยืนอยู่ด้วยกางเกงนอนตัวเดียวในขณะที่ท่อนบนมีผ้าขนหนูพาดอยู่ มือหนึ่งถือแก้วนมอุ่นๆมาสามแก้ว
   “ขัดจังหวะฉากซึ้งหรือเปล่าครับเนี่ย" กายพูดขึ้น
   “โธ่ ไม่หรอกค่ะกาย" สาพูดพลางไปรับนมมาจากมือกายแก้วหนึ่ง ขณะที่กายส่งอีกแก้วไปให้นัทก่อนจะยิ้มให้กันเบาๆ
   “ตอนผมกับเจนจะแยกกันที่ปารีส ก็อารมณ์นี้แหละ" กายว่า "แต่พวกคุณเชื่อไหม เราจะกลับมาเจอกันในที่สุด ผมเชื่ออย่างนั้นนะ"
   สาและนัทมองกายครั้งหนึ่ง
   “ขอบคุณมากนะกาย" สายิ้มให้กับพ่อมดคนโปรดของเธอ "นาย ทำอะไรๆให้พวกเรามากจริงๆ โอเค นายอาจจะแค่ทำให้เจ้านัทมันแต่ว่า..."
   นัทก้มหน้าลงอย่างเก้อเขิน ขระที่กายเกาจมูกอย่างไว้ท่า
   “.....ฉันขอบคุณมาก" สาพูด "นายเป็นคนดีมากจริงๆ และเอ่อ ฉันอาจจะเคยอยากจะเด็ดหัวนายมาแล้วนะแต่ว่า นายไม่ใช่พ่อมดจอมเจ้าเล่ห์เหมือนที่คนอื่นๆพูดเอาไว้เลย นาย.....ฉันดีใจ ที่ได้รู้จักนาย กาย"
   “ผมก็เช่นกันครับ" กายว่า "แล้วผมก็....ขอสัญญาด้วยคนว่า ไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่ไหน ผมกับนัทจะอยุ่กับคุณเสมอ และเราทั้งสี่คน คงกลับมาเจอกันซักวันเหมือนกัน.....แต่ผมไม่รู้ว่ามิกเค้าจะอยากเจอผมหรือเปล่าน่ะนะ"
   สาขำจริงๆกับเรื่องนั้น
   “แล้ววันนั้นมิกเค้าไปทำอะไรนายที่โรงบาลหรือเปล่าเนี่ย" สาถามขึ้น
   “โรงบาล นี่มิกไปหาคุณที่โรงบาลตอนคุณรถคว่ำเหรอ" นัทร้องขึ้น สาและกายมองหน้ากันเลิ่กเลั่กทันที "ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ ว่าไงสา"
   เธอทำเป็นหันไปมองทางอื่นแทน
   “ไม่อะไรหรอกคุณ ผมง่วงแล้วล่ะ เราไปนอนกันเถอะ" กายพูดตัดบทพลางส่งสายตาให้กับสา ที่ยิ้มให้นัทอย่างเกินจำเป็น
   “อืม ก็ดีเหมือนกันนี่ก็ดึกแล้ว ไปนอนเถอะนัท เดี๋ยวฉันก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกันล่ะ" สาว่า พลางยิ้มให่นัท
   “แต่ว่าฉัน....”
   “ไปเถอะน่า...” กายคว้าตัวนัทลากเข้าไปยังตัวบ้านทันที สามองภาพนั้นอย่างเป็นสุข
   “ผมบอกแล้ว ว่าแผนพี่เจนน่ะสุดยอด...” โอ๊ตพูดขึ้น ขณะเดินผ่านมาเจอภาพเหตุการณ์ลากตัวเข้าห้องนอนพอดีสาหันมามองนักร้องหนุ่มในชุดนอน
   “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะรุ้สึกชอบพอพี่สาวเธอขึ้นมาหรอกนะโอ๊ต" สาว่า "ก็ไม่ได้เรียกว่าแผนอะไรหรอก ถ้าไม่ได้พี่ด้วยคนก็ไม่มีทางออกแบบนี้หรอกน่า"
   “โธ่พี่สาก็พูดไป" โอ๊ตว่าพลางเดินผ่านไปยังห้องนอนตัวเอง "เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือพี่สา ก็ยังมีพี่เจนเหมือนกันแหละครับ"
   “กล้ามากกกกกก" สาลากเสียงใส่โอ๊ตที่รีบปิดประตูห้องหนีไปอย่างรวดเร็ว สาส่ายหน้าทันทีก่อนจะหันไปมองท้องฟ้ายามราตรี ก่อนจะยิ้มกว้าง
   “ฉันไม่นึกเลยว่าจะพูดคำนี้แต่.......ขอบใจเธอมากนะ เจนจิรา"
   เจนจิรากำลังนั่งเครื่องบินกลับไปยังอเมริกา
   เธอไม่ได้นั่งเครื่องบินอย่างเป็นสุขเท่านี้มานานแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอเลิกกับกาย
   จนกระทั่งเธอมั่นใจแล้วว่าตอนนี้ กายมีความสุขขึ้นมาอีกครั้งเสียที.......
…..........................

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณคนเขียน ที่ทำให้อ่านบทที่34จบลงด้วยความรู้สึกโล่งเบาสบาย :pig4:นะคะ
แต่ ก็ยังรอตอนหน้าต่อไปอีกอยู่ดีค่ะ

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 35 It's Happening

“ถ้าอย่างงั้นการลงทุนของบริษัทครั้งนี้คงจะเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องนำมาพิจารณาเป็นอันดับแรก ผลประอบการกับรายได้ที่ผ่านมาตลอดปีของสตูดิโอ คงเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะ ผึ้ง ผมอยากให้คุณทำเรื่องนี้นะ" เสียงของบอสกล่าวขึ้นในช่วงท้ายของการประชุม การประชุมที่เต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดฝัน ที่มิกได้แต่นั่งฟังอย่างตกตะลึง "เอาล่ะ ยังไงเรื่องที่ผมเพิ่งบอกไป คงต้องรอเจ้านัทกับสาเขากลับมาก่อนใช่ไหมมิก"
   “ช....ใช่ครับ" มิกตอบ "คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละครับ"
   “แล้วเราล่ะจะให้คำตอบเลยหรือเปล่า" บอสถามอีก พลางมองหน้ามิกท่ามกลางที่ประชุม
   “เอ่อ...คือ......ผม"
...….....

   “ไม่ไม่เจ๊ ผมทำไม่ได้หรอก" มิกร้องเสียงดัง เมื่อผึ้งตามมาหาเขาถึงสตูดิโอ หลังจากจบประชุมไปแล้วหลายชั่วโมง ขณะที่มิกกำลังง่วนอยู่กับการกิน โดยที่น่องไก่ยังคามืออยู่
   “จะบ้าเหรอ พี่ต้องสรุปจำนวนคนแล้วนะมิก" ผึ้งกล่าวเสียงเข้มพลางยืนเท้าแขนข้างนึงลงบนโต๊ะ
   “ผ...ผม...ผมยังให้คำตอบไม่ได้อ่ะโอเค้" มิกว่าพลางพิงหลังลงกับพนักเก้าอี้ "สากับนัทกำลังจะกลับมาสุดสัปดาห์นี้ และกว่าจะได้คำตอบก็อาทิตย์หน้านะเจ๊"
   “อาทิตย์หน้าเหรอ ฉันจะสรุปรายงานเรื่องการปันผลเงินเดือนไตรมาสหน้าไม่ได้ ถ้าเรื่องเธอสามคนยังไม่จบภายในอาทิตย์นี้นะ" ผึ้งกว่าว "แค่ตอบว่าคอมเฟิร์มไม่คอนเฟิร์มเนี่ยมันยากตรงไหนกัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้โอกาสนี้นะ"
   “ผมรู้พี่" มิกว่าพลางเบือนหน้าหนี "ก็เพราะว่ามันโอกาสแบบนี้นั่นแหละ"
   “Skype หาเค้าสิ" ผึ้งหมุนเก้าอี้ของมิกให้หันไปยังแมคที่ตั้งอยู่
   “พวกเขากำลังทำงานอยู่ลาวนะเจ๊ แล้วจะให้ผม...."
   “ฉันต้องการคำตอบไม่เกินวันศุกร์" ผึ้งหันหลังออกจากสตูดิโอ
   “ผม...ผมทำไม่ได้หรอกเจ๊ผึ้ง" มิกตอบ
   “งั้นก็เดาว่าพวกเธอสามคนคงไม่จริงจังกับอนาคตของตัวเอง ทั้งกับที่สตูดิโอนี่ หรือสตูดิโอไหนๆ" ผึ้งหันกลับมาบอก "พวกเธอตัดสินใจเอาเอง"
   “จ....เจ๊"
   มิกร้องเรียกผึ้งเบาๆ
   “โทรเดี๋ยวนี้เลย" ผึ้งทิ้งท้ายก่อนจะหายออกไปจากสตูดิโอ มิกส่ายหน้าช้า ก่อนจะมองคอมยู่ครู่หนึ่ง มิกหายจะเข้าหนึ่งครั้งพลางกดโทรไปยัง Contact ที่คงสถานะออนไลน์อยู่ของสาและนัท ที่คงเปิดคอมเอาไว้เหมือนกันที่ฝั่งลาว
   “อย่ารับสายนะสา" มิกพึมพำ "อย่ารับสาย อย่ารับสาย อย่ารับสาย"
   “ว่าไงมิก" เสียงแหลมสูงของสาดังตอบกลับมา
   “ห...ห...หวัดดี" มิกทำเสียงให้แช่มชื่นเกินจำเป็น
   “ขอโทษทีนะ พอดีเพิ่งกลับมาจากในเมืองน่ะ พี่รัตน์ชวนออกไปช้อปปิ้ง" สาพูดเสียงใส "เมื่อเช้าบอสมีประชุมแกก็ไม่บอกฉันน่ะ อย่างน้อยฉันจะได้สีดีโอคอลล์มา แกก็รู้ฉันไม่อยากพลาดประชุม"
   "เอ่อ....สา....ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ แล้วก็ไอ้นัทว่ะ" มิกกล่าว
   “หวังว่าไม่ใช่งานใหญ่ของบอสอีกหรอกนะ" สาพูด
   “ก...ก็.....ไม่เชิงหรอก" มิกว่า
   “ว่าไงล่ะ" สาถามขึ้นอีก
   “สา......คุณสุเมธโทรมาที่ออฟฟิศ" มิกว่า
   “สุเมธ ดีไซน์เนอร์ไทย ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ ซูเม่ ที่ยุโรปน่ะเหรอ" สาว่า
   “อ่าหะ" มิกค่อยๆพูด
   “โทรมาทำไม" สาว่า
    "เอ่อ....คือ......คอสโม คอนเทอลิโอนี่ ได้ตกลงที่จะร่วมทุ่นกับคุณสุเมธ เพื่อที่จะขยายตลาดงานของเขาไปสู่ระดับสากล ไปที่อเมริกา" มิกว่า "ดังนั้นแบรนด์ซูเม่กำลังต้องการดีไซน์เนอร์ ช่างภาพ นักเขียน นายแบบ นางแบบ อาร์ตไดเรคเตอร์ จากวงการโฆษณา เพื่อกระจายออกสู่ตลาดสากลครั้งนี้และเอ่อ......เขาโทรมาที่ Lovable Studioเพื่อหาเราสามคน"
   “ด....เดี๋ยวนะ......เราสามคนเหรอ" สาว่า "นัทได้ยินหรือเปล่า"
   “ได้ยิน ฉันฟังอยู่" เสียงนัทลอดออกมา มิกหลับตา
   “ล้อกันเล่นแน่เลยอ่ะ...คือ...ให้ตายสิมิก.....คุณสุเมธ เขาถ่ายทุกภาพที่เป็นรางบันดาลใจของฉันนะ แม้แต่กายก็ยังยกให้เขาเป็นไอดอล แล้ว....ว้าว....แล้วบอสว่ายังไง"
   “เอ่อ...สตูดิโอของเรา ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานดีไซน์ของซูเม่สาขาประเทศไทย" มิกว่า "เจ๊ผึ้งกำลังปรับผังโครงสร้างใหม่แล้ว เจ๊แกเร่งคำตอบฉันถึง การอยู่ที่นี่ต่อของพวกเราสามคน"
   “หมายความว่ายังไง" สาถามต่อ
   “คุณสุเมธอยากได้ตัวแกไปเป็นผู้ช่วยช่างภาพของเขาที่เบอร์ลิน" มิกพูด
   “อะไรนะ" สาถามเสียงเข้ม
   “ส่วนนัท" มิกว่าต่อ "เขาอยากได้มันไปเป็นโคออปเปอร์เรท ดีไซน์เนอร์ที่นิวยอร์ค" มิกพูดต่อ "ส่วนฉัน เขาขอให้ฉันให้ฉันไปช่วยดูงานกำกับศิลป์ที่ปารีสน่ะ"
   “สามเมืองใหญ่ในฝัน พระเจ้า" สาร้องทันที
   “พวกแกว่าไง" มิกยิงคำถามต่อ "เจ๊ผึ้งต้องการคำตอบในเร็ววันนี้"
   “บ้าเหรอ....” สาร้อง "เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะให้ฉันคิดในสามวันได้ยังไงล่ะ ทำไมต้องเร่งขนาดนั้น"
   “เจ๊ผึ้งต้องต้องปรับผังโครงสร้าง ถ้าเราสามคนออกจากที่นี่ Studio จะต้องจ้างดีไซน์เนอร์เข้ามาใหม่ให้เร็วที่สุด ก่อนเราจะปิดงบเดือนกันยานะ" มิกตอบ
   “ฉันบอกไม่ได้หรอก ไม่รู้สิ แต่ฉันต้องคุยกับหลายคนน่ะ ไปอยู่เมืองนอกนะเว้ย แล้วก็ไม่ใช่ชั่วคราวแต่นี่มันชีวิตที่เหลือเลยนะ" สาว่า
   “ฉันรู้" มิกว่า "เค้าเลยเร่งให้ฉันโทรมาหาแกนี่ไง"
   “แล้วแกล่ะมิก" สาถามกลับ
   “ฉัน......ตัดสินใจแล้ว" มิกว่า
   “งั้นเหรอ" สาพูดเบาๆ "ฉันกับนัทขอเวลาคุยกันก่อนนะ แล้วเอ่อ.....ถ้าทำได้ จะโทรไปบอกอีกที"
   “โอเค" มิกว่า "คิดถึงพวกแกนะเว่ย....ขอให้สนุกนะ"
   “อืม แล้วเจอกันที่กรุงเทพ"
   เสียงสัญญาณขาดหายไป....

   …..สาหันหน้ามามองนัททันที นัทนิ่งเงียบสนิท
   “เป็นไรไปแก" สาพูด นัทก้ทหน้าลงน้อยๆ นัยน์ตามครุ่นคิด
   “มันกำลังเกิดขึ้นแล้วสินะ" นัทหันมามองเธอ "อย่างที่เธอบอก เราสามคนต่างคนต่างไป"
   “นัท....” สาเอื้อมมือไปจับเพื่อนรักเบา "ฉันรู้จักแกมานาน ฉันรู้ว่าแกไม่ใช่คนที่ยอมอยู่กับที่เฉยๆ แกทะเยอทะยานจะตาย นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเราสามคนนะ"
   นัทมองเข้าไปในตาของเธอ
   “หกปีก่อน แกเป็นคนทำทุกๆอย่างให้กับชมรม ทั้งๆที่มีแค่เราสามคนที่ถ่ายรูป ไปอีเวนท์ แล้วสุดท้ายงานภาพถ่ายเราก็ได้รับรางวัลให้กับคณะ" สาว่า "ผ่านมาอีกปีกว่าๆ ถ้าแกไม่ไปอ้อนวอนอาจารย์ไห้ทีสิสเป็นงานกลุ่ม แล้วสู้ทุกอย่างเพื่อให้เราไปจบงานที่ปารีส เราสามคนก็คงไม่ได้งานที่ Lovable Studio กับบอส เจ็ดเดือนที่แล้ว ถ้าแกไม่อาจหาญเอางานขึ้นไปพรีเซนต์แข่งกับกาย เราก็คงไม่ชนะรางวัล B.A.D Award แล้วไหงตอนนี้ แกจะกังวลขึ้นมาซะเล่า"
   “แต่เธอก็กังวลไม่ใช่เหรอสา" นัทถามเธอ
   “ฉันกังวลก็จริง แต่ฉันก็มีอะไรให้จัดการไม่เยอะหรอก ถ้าฉันเลือกที่จะไปน่ะนะ" สาว่า "เบอร์ลินนะเว่ยนัท ฉันกำลังก้าวกระโดดไปจุดสูงสุดของชีวิตด้วยอายุเท่านี้นะ ถ้าฉันจะต้องจัดการอะไรก็มีแค่พ่อกับมาร์ค  และฉันก็เชื่อว่าฉันรู้คำตอบของทั้งคู่ด้วย"
   “แต่ฉันกังวล" นัทว่า
   “กังวลอะไรกัน" สาเลิกคิ้ว "แกได้ไปนิวยอร์ค อเมริกา แกจะได้เป็นหัวหน้างานกับดีไซน์เนอร์ที่นู่นทุกคน แม่แกทำงานอยู่แมนฮัตตัน แกอาจจะได้ไปหาแม่แกทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือว่า อาจจะเช่าบ้านเล็กๆซักหลังอยู่กับแม่แกนะนัท ฉันว่า...มันก็โอเคไม่ใช่เหรอ"
   “ใช่มันโอเค...แต่......” นัทเหลือบไปมองกายที่กำลังนั่งเขียนแบบอยู่บนโต๊ะดราฟท์กับพี่รัตน์ สามองตามไป นัทก้มหน้าลง
   “ให้ตายสิ" นัทสบถออกมา ก่อนจะมองหน้าสา "นี่...กลายเป็นฉันที่ต้องหายไปจากเขาเหรอวะ"
   สาถอนหายใจพลางยิ้มเบาๆให้กับนัท
   “แกยังไม่เข้าใจอีกเหรอ" สาลูบตัวนัทเบาๆ "เราอยู่ที่ไหนตอนนี้นัท Loveless Society นะเว่ย ทุกๆคนมีทางเดินของตัวเอง ทุกๆคน ไม่เคยหยุดอยู่กับที่จนแทบไม่มีความรักให้กับด้วยซ้ำในสังคมนี้ แกรู้ดีว่าซักวัน เราก็ต้องเป็นแบบนั้น"
   “แต่ฉันไม่อยากเป็นเหมือนคนพวกนั้น" นัทว่า
   “แน่นอนสิแกไม่เหมือน" สาตอบ "ดูรอบๆตัวแกสิ มีฉัน มีไอ้มิก แกเมีพื่อนที่แกรัก ที่จะไม่ทิ้งแกไม่ว่าจะจากกันไปไหนก็ตาม แกมีคนรักแก ที่พิสูจน์ให้แกเห็นแล้วว่าเขาจะกลับมาหาแกในที่สุด แกไม่เหมือนคนอื่นๆใน Loveless Society ของแกซะหน่อย ไม่เหมือนเลย"
   นัทมองหน้าเธอ
   “แล้ว ฉันจะทำยังไงดี" นัทว่า "ฉัน ฉันทำไม่ได้ถ้า วันนึงฉันรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วรู้ว่าจะไม่มีเขามา.......อยู่ใกล้ๆฉัน"
   “เพื่อนกับแฟนต่างกันตรงไหนรู้ไหม" สายิ้มให้นัท "เพื่อนน่ะ แกจะรู้ว่าจะหาเขาได้ที่ไหน และเมื่อแกกลับไป เพื่อนแกก็จะรออยู่ตรงนั้นเสมอ ส่วนคนที่คนแกรัก เขาจะไม่เคยจากแกไปไหน เพราะเขาจะอยู่กับแกตรงนี้"
   สาชี้ไปที่อกข้างซ้ายของนัท นัทจับมือของเธอพลางยิ้มกว้าง
   “ฉันจะเริ่มบอกเขายังไงดีวะ" นัทพูด "แกรู้ไหมว่าสองอาทิตย์ที่นี่ฉันมีความสุขมาก ฉันไม่อยากให้ทุกอย่างมันสะดุดด้วยเรื่องนี้ เรื่องที่ฉันเองอยากจะก้าวไปข้างหน้า....เรื่องที่ฉันเองก็อยากเปลี่ยนแปลง"
   “การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่การสูญเสียนะนัท คิดดูดีดี" สาพูด "มันขึ้นอยู่กับว่า ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง แกได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมหรือยังต่างหาก"
   นัทมองไปยังกายที่กำลังเข้าสู่โหมดทำงานเคร่งขรึม โหมดที่เขาไม่อยากเข้าไปรบกวน
   “ฉันยังอยากย้ำคำเดิมนะ บอกเขาซะ" สาว่า "ยิ่งแกกำลังจะไปแบบนี้ด้วย มันจะมีความหมายมากนะนัท"
   “ฉันจะบอก เมื่อถึงเวลา" นัทยิ้มให้สาเบาๆ
   “แล้วคำตอบแกล่ะ กับเรื่องที่มิกถาม" สาว่า
   “ฉัน....ฉันตัดสินใจแล้วว่ะ"  นัทเหล่มองเธอ "แล้ว....แกล่ะ"
   “เอาจริงๆฉันก็.......ตัดสินใจแล้วเหมือนกัน" สาพูดพลางยิ้มกริ่ม ก่อนจะหันกลับมาหาคอมพิวเตอร์อีกครั้งแล้วเริ่มต้นเขียนอีเมลืไปหามิกทันที ขณะที่นัทลุกขึ้นจากคอมไปเข้าไปในครัว ชายหนุ่มหยิบแก้วมาใบหนึ่งแล้วเริ่มลงมือชงกาแฟ เมื่อได้กาปฟอุ่นๆหอมกรุ่นแล้ว นัทหยิบมันตรงไปหากายที่โต๊ะดราฟท์และวางลงข้างๆตัวกาย
   “กาแฟคุณ" นัทพูดเบาๆ กายพยักหน้ารับเบาๆอย่างเคร่งขรึมเหมือนเคย
   “เอ่อ....คือ...ผม..มีเรื่อง....”
   “ผมขอทำงานก่อนนะนัท เดี๋ยวค่อยคุยกันตอนเย็นนะ" กายพูดเสียงอ่อนโยนแม้ว่าจะขัดกับใบหน้าของของตอนนี้อย่างมาก นัทยักไหล่ครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปหาสาพลางทำหน้าหน่ายๆ เธอยิ้มแหยๆให้กับนัท ก่อนจะกลับไปนั่งล่นคอมพิวเตอร์ต่อ
   ทีเวลาจะพูดละไม่ฟังนะ........
   นัทกัดฟันในใจ
….........
   มิกนั่งอยู่ในสตูดิโอหลังจากเลิกงานอยู่แล้วสองสามชั่วโมงเพื่อสะสางงานที่เขารับทำแทนสาและนัทไป ก่อนจะบิดขี้เกียจหนึ่งครั้งเมื่อรู้สึกตัวว่าลืมเวลารถติดไปแล้วพักใหญ่ๆ เขาลุกขึ้นจากที่นั่งพลางเดินไปที่แมคตัวใหญ่และเปิด Playlist ส่วนตัวเล่นด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ เนื่องจากสตูดิโอเริ่มร้างผู้คนแล้ว เขาจึงไม่ต้องเกรงใจใคร ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาอะไรกินรองท้องพลางกลับออกมาเพื่อเตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน โดยที่ตัวเองก็เริ่มฮัมเพลงต่อไป
   “หวัดดีพี่" เสียงอันคุ้นหูดังมาจากคอม มิกหมุนตัวไปดูทันทีอารมตกใจ แล้วก็พบว่า เป็นเอิร์ธนั่นเองที่อยู่ในวีดีโอที่เล่นแทรกขึ้นมากลาง Playlist ส่วนตัวของเขา เป็นเอิร์ธในชุดนักศึกษา โดยที่มีกีตาร์วางไว้บนตัก มิกยิ้มเบาๆพลางนั่งลงหน้าคอม
   “ขอโทษนะที่ถือวิสาสะเอาวีดีโอตัวเองมาแทรกใน Playlist พี่อ่ะ" เอิร์ธกล่าว "วันนี้เป็นวันจันทร์ ผมรู้ว่าพี่ไม่อยู่สตูดิโอ แต่ผมแวะเข้ามาขอหนังสือรับรองจากพี่ผึ้ง แล้วเอ่อ...ก็เลยเข้ามาเก็บของตัวเองที่เหลืออยู่อ่ะ คือ.....พี่มิก....ผมมีอะไรจะบอก.......ผมรักพี่นะ.....”
   มิกยิ้มขึ้นมาเองอย่างควบคุมไม่ได้
   “ตลอดเวลาร้อยกว่าชั่วโมงที่ผมอยู่ที่นี่ พี่ๆทุกคนดีกับผมมาก โดยเฉพาะพี่ พี่ทำให้ผม.....โตขึ้น.....” เอิร์ธยิ้มอย่างจริงใจ "ผมไม่รุ้ว่าหลังจากนี้ เราจะได้เจอกันหรือเปล่า และผมก็ไม่รู้ว่า ผมจะมีเวลามาเจอพี่ไหมแต่ ผมอยากจะบอกพี่ว่าผมไม่เคยเสียใจเลยที่ได้รู้จักพี่ ถึงบางทีผมอาจจะทำให้พี่เสียใจ แต่พี่รู้ไว้นะ พี่คือคนสำคัญที่สุดของผม จากนี้และตลอดไป"
   มิกพ่นลมออกมาพร้อมน้ำตา
   “ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีใครมาผมก็เลย แอบจิ๊กกีตาร์พี่นัทมาเล่นเพลงให้พี่ฟัง ก่อนที่ผมจะไป......ผมอาจจะร้องเพลงไม่เก่งนะ แต่ผมเล่นกีตาร์ได้เก่งพอตัวเลยพี่......เพลงนี้ ผมให้พี่นะ.....

   เสียงกีตาร์บรรเลงดังขึ้นอย่างไพเราะ มิกมองเอิร์ธในวีดีโอไล่นิ้วไปตามคอร์ดต่างๆอย่างมีฝีมือ ก่อนจะเริ่มร้องเพลงที่เตรียมมา

   "ฉันเคยเกือบพลาดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต หากในวันที่ฉันล้มอยู่ ไม่มีหนึ่งใจของเธอ
ฝันคงจบ หลายสิ่งที่ดีคงหมดทางได้เจอ หนึ่งกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ไม่ลืมได้เลย...

ขอบคุณที่รักกัน... ขอบคุณทุกครั้งที่คอยกอดฉัน
ในวันที่ปัญหา ถาโถมเข้ามาใส่
จะตอบแทนความรัก ที่ฉันได้จากเธออย่างไร
ก็รู้ดีว่าไม่พอ แต่ขอทำให้ดีที่สุด”

   มิกยอมรับว่าเอิร์ธโกหก เด็กหนุ่มมีเสียงที่เพราะจับใจ หรือไม่รู้เพราะอะไรมิกนั่งยิ้มอยู่คนเดียวอย่างเป็นสุข แม้ว่าที่จริงแล้ว ในหัวใจของเขาเหมือนกำลัถูกบีบอย่างแสนสาหัส มันเป็นความรู้สึกที่ปะปนกันของความสุขและความคิดถึง เอิร์ธเพิ่งหายไปหนึ่งอามทิตย์เท่านั้นแต่มิกกับรู้สึกเหมือนกับว่า เอิร์ธได้จากไปไกลแสนไกล ไกลจนเขาไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน แต่สิ่งที่เขามีก็คือความทรงจำและเรื่งราวดีดีที่เขาหยิบขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เอามาปลอบตัวเองได้อย่างไม่มีวันหมดไป
   เมื่อเพลงขอบคุณกันและกันจบลง เอิร์ธลุกขึ้นมาที่จอ เหมือนกับเพื่อจะมาปิดวีดีโอ
   “กอดผมได้ป่าว" เอิร์ธพูดขึ้น มิกทำหน้างงทันที
   “ใช่ กอดคอมนี้แหละ เอื้อมมือมาดิพี่ เอาน่า ไฟไม่ดูดหรอก ผมลองแล้ว" เอิร์ธพูดอีก มิกจึงค่อยๆโอบแขนไปรอบๆแมค รู้สึกตลกกับตัวเองเบาๆแต่ทว่ามือของเขาไปสัมผัสกับของบางอย่างเสียบอยู่ที่ด้านหลังจอแมค
   “เก็บไว้ใช้นะพี่ ผมรักพี่นะ บายครับ" เอิร์ธพูดเบาๆ ก่อนวีดีโอจะตัดไป มิกดึงมันออกมาจากช่อง USB มันเป็น Flash Drive มันวาวรูปหีบสมบัติที่ห้อยกุญแจรูปหัวใจ สลักชื่อ M&E เอาไว้ มิกยิ้มกว้างอีกครั้ง USB แบบนี้ต้องสั่งทำเท่นั้น และมันดูมีสไตล์อย่างประหลาด เขารีบเสียบมันเข้าไปในคอมทันที
   สิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ภายในถูกถึงขึ้นมา  มิกคลิ๊กเข้าไปดูก็พบกับไฟล์รูปมากมายที่ขนาดไม่ใหญ่มากเหมือนกับจะถ่ายมาจาก Blackberry เป็นรูปของตัวเขาเองในเวลาต่างๆ...
   ….เวลาที่ทุกๆครั้ง มิกเห็นเอิร์ธกดบีบี
   …..แล้วมิกก็ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น จนลืมเวลากลับบ้านไป
   …..เพราะตัวเองเหมือนถูกดึงกลับไปในเวลาอื่น
   …..เวลาที่เอิร์ธยังอยู่กับเขาตรงนี้
…...........

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
เหมือนจะมีเรื่องให้เครียด คิด และเศร้าได้ทั้งเรื่องเลยจริง ๆ

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 36 Just Can't Take It

ทริปการเดินทางที่หมู่บ้านห่างไกลบนฝั่งลาวได้สิ้นสุดลง และวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางแล้ว พี่รัตน์จึงจัดปาร์ตี้เล็กๆขึ้นมาเพื่อเลี้ยงขอบคุณทุกๆคนในทริปที่แสนสุขสบายนี้
   สาเองประทับใจกับการทำงานครั้งนี้มาก เธอกล่าวชื่นชมกับพี่รัตน์ว่าการทำงานที่เน้นอุดมการณ์แบบนี้หาได้ไม่ยากนักในวงการ เธอเองมีความสุขมากๆที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดตลาดที่นี่ และพี่รัตน์ที่เป็นดีไซน์เนอร์นักธุรกิจ ก็พึงพอใจมากกับงานภาพถ่ายชุดสำเร็จที่สาจัดพรีเซนต์เขาไปเมื่อตอนบ่าย มันน่าสนใจเสียจนพี่รัตน์ถึงกับบวกเงินเพิ่มไปหาสาไปด้วยตัวเลขเพิ่มไปหนึ่งหลัก ซึ่งทำเอาสายิ้มแก้มปริ
   “มันเป็นการเริ่มต้นที่ดีนะกับเบอร์ลิน ด้วยตัวเลขเท่านี้น่ะ"
   สากระซิบนัทเบาๆ ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น ในขณะที่นัทมาทราบเอาทีหลังว่ากายกำลังช่วยพี่รัตน์วางแผนเรื่องแผนการโปรโมทสตูดิโอที่นี่ในปีหน้า ซึ่งนั่นทำเอานัททึ่งทีเดียวว่า กายใช้เวลาแค่ 4 วันเท่านั้นในการวางแผนและจัดการงานทั้งหมดเสร็จด้วยตัวเอง ซึ่งงานไซส์นั้น นัทคิดว่าเขา สา และมิก หรืออาจจะต้องบวกเอิร์ธเข้าไปคนนึงด้วยถึงจะเสร็จได้ภายใน 4 วัน ทันทีที่เขาเห็นกายพรีเซนต์งานต่อจากสา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการพรีเซนต์แบบเป็นกันเองมาก แต่เวทย์มนต์ในการสะกดลูกค้าของกายไม่เคยเสื่อมคลายลงเลย เขามีใช้เสน่ห์ที่ตัวเองมีอยู่ใส่ลงไปในงานให้ดูมีคุณค่าและน่าซื้อได้อย่างมีชั้นเชิงเสมอ และบวกกับงานที่มีคุณภาพมันยังคงทำให้กายเป็นพ่อมดในวงการนี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ นัทยิ้มน้อยๆเมื่อแอบคิดว่า อีกด้านนึงของพ่อมดคนนี้ กลับยอมสยบให้เขาอย่างราบคาบ
   หลังจากงานเลี้ยงที่แช่มชื่น นัทไม่อยากทำลายบรรยากาศที่แสนสนุกนี้ลงด้วยเรื่องลาออกจาก Lovable Studio เขาอยากเก็บทุกเวลาทุกนาที่ที่หมู่บ้านนี้เอาไว้ มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่กายจะได้อยู่กับเขา กายยังคงเป็นฟีแลนต์ที่งานยุ่งอยู่เสมอ มันมีแว้บนึงที่เขาแอบคิดว่ากายคือดีไซน์เนอร์คนนึงของ Lovable Studio ซึ่งการคิดอย่างนั้นทำให้นัทต้องเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อวันนึง กายจะต้องหายไปจากสตูดิโอ แต่พอาวันนี้กลับกายเป็นว่าถึงเขาจะนึกว่ากายอยู่ที่ Lovable Studio เป็นเขาเองที่จะไม่อยู่ที่นี่แล้ว

   ….. “ค่อยๆนะนัท ไม่งั้นผมจะ.... โอ๊ย” กายร้องเบาๆเมื่อตอนนี้เกมส์รักที่อำลาค่ำคืนสุดท้ายถูกปรับเปลี่ยนใหม่เสียแล้ว
   “คุณใจเย็นๆดิคับ" นัทพูดับกายที่กำลังค่อยหย่อนตัวลงบนตักของเขา มือทั้งสองข้างพาดไว้บนไหล่ของนัท ที่ร่างกายที่เปลือยเปล่าชุ่มไปด้วยเหงื่อ กายไม่ได้มองหน้านัท เขามองลงไปเบื้องล่าง จุดที่เขาค่อยหย่อนสะโพกลงไปเบาๆ นัทคราวเบาๆเมื่อจุดอ่อนไหวของเขาค่อยแทรกเข้าไปในลำตัวของกาย นัทจับเอวของกายเอาไว้ ร่างกายของพ่อมดสั่นสะท้าน กายหลับตาแน่น พลางกัดฟันก่อนจะมองหน้าเขา
   “ผ..ผม...ม....ไม่น่า....ย...ยอมคุณเลย....” กายพูดพลางกัดฟัน "คุณนี่มัน....อ่าห์.....”
   กายเงยหน้าขึ้นเมื่อนัทค่อยดันของตัวเองเข้าไปจนหมด นัทถอนหายใจเบาๆ
   “ผมไม่เคยบอกคุณเลยนะ ว่าผมจะยอมคุณตลอดน่ะ" นัทว่า พลางจูบไปทั่วแขนที่พาดไหล่เขาอยู่ "ผมขอเอาคืนบ้างดิ"
   “แค่คืนเดียวนะคุณ" กายพูดจนเป็นเสียงกระซิบ นัทพยักหน้ารับ ก่อนจะค่อยขยับตัวช้าๆ
   “ตัวคุณแดงเชียว" นัทพูดขณะมองไปยังกล้ามหน้าท้องที่เกร็งจนเห็นเป็นมัดๆ นัทเอื้อมมือไปกำจุดอ่อนไหวของกายอย่างเบามือ "แต่ดูท่าแล้ว คุณจะชอบนะเนี่ย หรือว่า.....”
   “...อ...อย่าดิคุณ" กายทำหน้าเหยเก "ไม่ใช่ผมไม่เคย ผมแค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง"
   “งั้นดีเลย....”
   บทรักร้อนแรงก็เริ่มขึ้น นัทค่อยๆทำอย่างไม่ค่อยเป็นงาน และเพื่อไม่ให้พ่อมดของเขาต้องเจ็บมากนัก เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก กายโถมตัวเองไปจูบนัททันทีพลางใช้กำลังโน้มพลักนัทลงบนเตียง กายปลดเอาส่วนกลางร่างกายของนั้นออกจากตัวเองเมื่อนัทไปถึงจุดหมายก่อนเขา
   “ตาผมบ้างแล้วนะ" กายกระซิบเบาๆที่ข้างหูนัทเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปยกขาของนัทขึ้น เพื่อให้ส่วนล่างของเขาเข้าถึงได้สะดวก
   เมื่อกายกลับมาเป็นคนคุมเกมส์ ทุกๆอย่างก็กลายเป็นเกมส์รักที่ร้อนแรงยิ่งกว่า เมื่อพ่อมดได้กลับมาร่ายเวทย์อย่างที่ตัวเองเฝ้ารอมาตั้งแต่หัวค่ำ ไม่นานนักเมื่ออารมณ์ปราถนาหมดลง ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ปกติ กายพลิกตัวไปนอนแผ่หลาบนเตียงนุ่มๆ ขณะที่นัทค่อยๆผ่อนคลายตัวเองลงด้วยการค่อยลากขากลับไปเหยียดตรงอีกครั้งโดยไม่ให้ด้านหลังของเขาเจ็บขึ้นมา เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง โดยไม่ทันตั้งตัว กายก็ดึงเขาเข้าไปนอนบนอกของเขาและโอบไหล่ของนัทไว้
   “คืนนี้คุณทำผมเพลียเลยรู้ไหม" กายพูดขึ้นเบาๆ "พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้านะคุณ"
   “อ่านะ" นัทว่า "คุณก็เคยทำผมเพลียมาก่อนเหอะ"
   “งั้นคราวหน้า ผมจะทำแบบไม่ให้คุณเพลียนะ" กายพูดเสียงเซ็กซี่
   “จะมีคราวหน้าเหรอคุณ" นัทว่า
   “ก็ถ้าคุณอยากผมก็....”
   “กาย ผมหมายความตามที่พูดจริงๆนะ" นัทพูดเสียงเรียบๆ กายเงียบเสียงลงทันที และก็เข้าสู่ความเงียบ เป็นความเงียบที่ยาวนานมาก นัทใช้เวลาตรงนั้นเพื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี
   “กาย....ผมจะไม่อยู่แล้วนะ....” นัทพูดขึ้น "แล้ว ผมก็ไม่รู้หลังจากที่เราจากกันวันพรุ่งนี้ ผมจะได้เจอคุณอีกไหม แล้ว.....คุณจะเอายังไงกับเรื่องของเรา.......ผม....ผมอยากจะบอกคุณว่า.....ผม.....รั......”
   นัทได้ยินเสียงกรนเบาๆมาจากกาย ชายหนุ่มหลับตาลงด้วยความเหนื่อยใจและเหนื่อยกาย เขาผละตัวออกจากอกของกายและกลับตัวไปอีกด้าน ถึงคืนนี้จะมีความสุขเหลือเกินสำหรับนัท
   แต่กายก็ทำให้เขาข่มตาลงไปไม่ได้
   เพราะเขาอยากจะยื้อเวลาตรงนี้เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
   เท่านั้นเอง........
…............
   “มากอดทีไอ้น้องชาย" พี่รัตน์บอกกับกายในตอนสายของวันรุ่งขึ้น เมื่อคุณไชยรัตน์ปลุกพวกเขาขึ้นรถกันตั้งแต่ตีสี่เพื่อที่จะได้สามารถบึ่งเอาพวกเขามาส่งให้ทันรอบบินที่สนามบินเวียงจันทร์ นั่นทำให้เขากับกายแทบจะเดินไม่ไหว แต่เื่อมาถึงสนามบินแล้ว นัทกลับรู้สึกใจหล่นวูบทันที เวลามันเหลือน้อยลงทุกที
   กายเข้าไปสวมกอดกับพี่รัตน์อย่างอบอุ่น ท่ามกลางรอยยิ้มของสา นัทและโอ๊ต
   “ยังไงก็ดูแลตัวเองนะพี่ มีอะไรให้ช่วยก็บอกผม" กายว่า "ผมอาจจะมาไม่ได้แต่ผมจะส่งทีมที่ดีที่สุดมาให้พี่ครับ"
   “ตามนั้นกาย ขอบคุณทุกๆคนอีกครั้งมากเลยนะ ทั้งคุณสา คุณนัท แล้วก็เอิร์ธด้วย ของให้เพลงขายดีดีนา" รัตน์กล่าวอวยพรโอ๊ต ที่ยิ้มปริ่มขณะเดินรุดหน้าเข้าไปในทางเข้าเครื่องบินก่อน
   “งั้นพวกเราไปก่อนนะคะ" สาว่าพลางยิ้มกว้าง "ขอบคุณสำหรับทริปนี้มากค่ะพี่รัตน์"
   “เช่นกันครับ" ไชยรัตน์กล่าว "เอ้อ เจ้ากายนี่ถ้าเจอสุเมธน่ะก็ฝากบอกมันด้วยนะว่า เรื่องหุ้นส่วนน่ะ จะมีการนัดประชุมกันอีกสามสัปดาห์ เดี๋ยวพี่จะลงไปประชุมที่กรุงเทพ"
   “ได้ครับ ตอนนี้พี่สุเมธยุ่งมาก แต่ผมจะพยายามบอกเขาให้นะพี่" กายว่า ขณะที่นัทและสาหันมามองกายทันที "ช่วงนี้เขายุ่งกับการหาตัวมือดีจากทุกๆที่ไปยุโรปกับอเมริกาน่ะ"
   “อืม งั้นเดี๋ยวไว้เจอกัน โชคดี" รัตน์กล่าวลาขณะที่กาย นัท และสาเดินเข้าไปตามทางสู่เครื่องบิน
   “นายรู้เรื่องการขยายตลาดของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลด้วยเหรอกาย" สาถามขึ้น
   “รู้สิ" กายพูดเบาๆ "ผมอยู่ด้วย ตอนที่พี่สุเมธคัดเลือกรายชื่อดีไซน์เนอร์ ช่างภาพ นักเขียน อาร์ทได"
   ถึงตรงนี้ นัทและสาถึงกับหยุดชะงักทันที กายหลับตาลงครั้งหนึ่งก่อนจะมองทั้งคู่
   “นี่ไม่ตลกนะ" สาพูดเบาๆ ขณะที่นัทได้แต่มองหน้ากายอยู่อย่างนั้น "รู้ตัวหรือเปล่าทำอะไรลงไปน่ะ"
   กายหันไปมองหน้านัทที่นัยน์ตาเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ
   “รู้ครับ" กายว่า "ผมขอคุยเรื่องนี้กับนัทเอง สองคนนะสา"
   สาเผยอปากเล็กน้อยก่อนจะดึงตัวเองออกจากจุดๆนั้นแล้วเดินขึ้นเครื่องบินไปก่อน
   นัทและกายมองตากันอยู่อย่างนั้น
   มันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายเหลือเกิน

   …...กายโอบกอดนัทเอาไว้ พลางมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน การเดินทางที่แสนสั้น แต่ระยะเวลารอบตัวทั้งคู่นั้นยาวนานเหลือเกิน.....

   “คุณคิดว่าผมไม่รู้เหรอ" กายพูดเบาๆ ขณะที่นัทยังคงมองหน้าเขาอยู่ "ผมรู้มาซักพักแล้ว ว่าจะเกิดอะไรขึ้น......
มันต้องใช้เวลา กว่าอาพัฒน์จะยอมให้อะไรๆเข้ามาเปลี่ยนแปลง Lovable Studioและงานของพี่สุเมธ ก็จ่ายให้งามเสียยิ่งกว่าอะไร แน่นอนว่าอาพัฒน์ต้องกระโจนเข้าใส่"
   “แล้วทำไมถึงเป็นผมล่ะ" นัทถามขึ้นเบาๆ กายก้มหน้าลง
   “ผมเคยบอกพี่สุเมธว่าผมไม่ว่างแล้ว" กายยอมรับ "ความจริงก็คือ มันเป็นความผิดของผมเอง ที่พาคุณขึ้นมาตั้งแต่แรก แล้วพอมาตอนนี้ คุณไปไกลกว่าผมซะแล้วนัท"
   
   …....นัทแนบตัวเองเข้าไปหากายมากขึ้น กายก็ยิ่งกอดนัทเอาไว้แน่นกว่าเดิม นัทหลับตาลงพร้อมกับหลั่งน้ำตาเบาๆ....
   
   “ผมต้องอยู่ที่นี่ ในขณะที่คุณต้องไป เราสองคนยืนอยู่จุดเดียวกันแล้วนัท คุณมีชื่อเสียงพอๆกับผมแล้ว" กายว่า "ทุกๆอย่างที่ผ่านมา งานทุกอย่าง ความสามรถ ความคิด ไฟของเด็กรุ่นใหม่อย่างคุณ พลักดันคุณขึ้นไป พี่สุเมธไม่มีทางมองข้ามคุณหรอก และตลอดเวลาในทริปนี้ผมก็ใช้เวลาเพื่อยอมรับมัน"
   “แล้วทำไมคุณไม่บอกผม" นัทค่อยๆพูดช้าๆ
   “เพราะผมรู้ว่า ว่าถ้าผมบอกคุณ คุณจะเลือกเพื่ออยู่ที่เดิม" กายว่า "คุณจะอยู่ เพราะคุณรู้ว่า ว่าผมจะต้องกลับมาหาคุณ ผมรู้ว่าคุณจะไป ถ้าเป็นแค่ตัวเลือกเดียวที่เกิดจากคุณ"
   “หมายความว่ายังไงกัน" นัทร้อง
   “คุณมีความทะเยอทะยามซ่อนอยู่ในตัว ผมเห็นมัน" กายว่า "ผมเห็นมันตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอคุณแล้ว ผมรู้ว่าไฟนั่นมันไม่เคยมอดไปหรอก มันก็แค่อ่อนลงเมื่อคุณมีผม แต่ผมไม่อยากให้มันหายไป ผมยังอยากให้คุณ ไปเจอสิ่งที่ดีต่อตัวคุณเอง"
   “แต่เราจะไม่เจอกันแล้วนะกาย" นัทร้องออกมาทันที "นี่คุณรู้มาตลอดว่าผมต้องเลือกที่จะไปแต่คุณไม่คิดแม้แต่จะขอให้ผมอยู่งั้นเหรอ"
   “แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะให้คุณเพื่อนั่งรอผม ในขณะที่ผมก็ไม่ได้หยุดเสียที" กายว่า

   …..นัทหลับตาลง เพื่อซึมซับความอบอุ่นที่ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทางแล้ว....

   “คุณไม่เคยคิดที่จะหยุดเพื่อใครซักคนบ้างเหรอกาย" นัทถามด้วยความเหนื่อยหน่าย "หรือบางทีถ้าคุณเหนื่อยคุณหยุดก็ได้นี่ คุณเลือกได้"
   “ผมได้เลือกไปแล้วนัท ผมเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้า" กายว่า "และตอนนี้ผมก็ยังเดินอยู่ ทันทีที่เราลงจากเครื่อง ผมก็มีงานอีกเป็นขโยงรอผมอยู่ทั้งที่กรุงเทพ ต่าจังหวัด หรือต่างประเทศ แล้วมันจะต่างจากคุณตรงไหนล่ะในเมื่อเดี๋ยวคุณก็จะต้อง......”
   “ก็ต่างกันตรงที่เราจะไม่ได้เจอกันไง" นัทพูดเสียงเข้ม กายเงียบสนิท "สิ่งที่เดียวที่ทำให้ผมยังไม่ได้ตัดสินใจก็เพราะว่าผม....ผม....”
   “คุณตัดสินใจไปแล้วนัท" กายพูดขึ้น "ตั้งแต่คุณทราบข่าว คุณพยายามจะบอกผมหลายครั้งแล้ว คุณวางแผนไว้ในหัวคุณเสร็จสรรพแล้วว่าทุกอย่างจะออกมายังไง"
   “นี่คุณบีบให้ผมมาจนมุมที่เวลางั้นเหรอกาย" นัทว่า "คุณใจร้ายมากนะ คุณทำให้ผมไม่มีทางเลือก"
   “ปล่าวเลยคุณเลือก คุณเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้า คุณก็เลือกเหมือนกับผมนั่นแหละ" กายว่า นัทส่ายหน้า
   “แต่กายเราสองคน....”
   “ขึ้นเครื่องเถอะ.....เราสายแล้ว" กายพูดเบาๆพลางเดินเข้าไปจับมือนัททันที นัทมองหน้ากายด้วยความเจ็บปวด
   “คุณทำเหมือนคุณไม่มีหัวใจ" นัทว่า "คุณนี่มันพ่อมดจริงๆด้วย"
   “ใช่ผมไม่มีหัวใจ" กายว่า "จะไปมีได้ไง ก็คุณเอาไปหมดแล้วนี่"
   กายลากนัทเดินขึ้นยังเครื่องบิน

   ….... “ทันทีที่ผมไป สองวันหลังจากนี้ ผมจะต้องแจ้งกับทางสตูดิโอ และยื่นใบลาออกนะ" นัทพูดเสียงสั่นเครือ ขณะยังอยู่ในอ้อมแขนของกาย "แล้วผมก็จะ........ไม่ได้อยู่ที่ Lovable Studio อีก"
   กายลูบหัวนัทเบาๆ
   “ส่วผมก็ มีงานการกุศลที่สภากาชาดน่ะ เขาเอ่อ...ให้ผมทำอีเว้นท์เรื่องงานวันดอกป๊อปปี้บาน" กายว่า "แล้วก็...อีกเยอะอ่ะ...ผมเอ่อ.....คิดไม่ออกเลย.........หัวไม่ว่างเลยตอนนี้....”
   “คิดอะไรอยู่เหรอ" นัทถามกลับ
   “คิดเรื่องคุณ....” กายหันมามองหน้านัทที่ใบหน้าแดงก่ำ
   “คุณทำให้ผมเจ็บเป็นบ้าเลย" นัทพูดติดตลกทั้งๆที่ตาบวมเป่ง
   “นี่คุณคิดว่าผมไม่เจ็บงั้นสินะ" กายยิ้มให้เป็นคำตอบ......
   “อีกสิบห้านาที เครื่องจะแลนดิ้งแล้ว ขอให้ผู้โดยสารทุกท่าน..............”

   กายเอื้อมมือไปจับนัทเอาไว้แน่น ขณะที่นัทเริ่มน้ำตาไหลอีกครั้ง.......

   “คุณรู้ดีว่ามีทางอื่นที่ดีกว่านี้ ที่คุณจะไม่เจ็บ" นัทพูดเสียงสะอื้น
   “ผมถึงไม่อยากฟังคุณบอกผมที่นั่นไง" กายว่า "ผมแค่.....ทนรับไม่ได้.....ผมอยากให้เวลาที่เจ็บสั้นที่สุดก็พอ"

   เครื่องบินสั่นตัวเล็กน้อยก่อนจะค่อยลงจอดสนิทอีกครั้ง ผู้โดยสารคนอื่นๆกำลังทยอยลงจากเครื่อง ขนสัมภาระของตัวเองลง กายและนัทลุกขึ้นจากที่นั่งและหยิบของของตัวเองบ้าง
   สาขอแยกตัวไปเพื่อโทรหามิกที่มาจอดรถรออยู่ที่หน้าสนามบิน ในขณะที่โอ๊ตก็รีบหายตัวไปอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต ขณะที่กายเดินมาส่งนัทถึงหน้าสนามบินโดยที่ไม่แม้แต่จะปล่อยมือออกจากกัน นัทมองเห็นเจ้าเต่าทองของมิกที่จอดอยู่พร้อมกับสาและมิกที่ยืนมองเขาอย่างเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดี กายจับตัวนัทมาหาตัวเอง นัทมองกายด้วยใบหน้าซีดเผือด
   “ผมดีใจนะกับ เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านฝั่งลาว แล้วเอ่อ....” กายพยายามบังคับไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นแม้ว่าตอนนี้ดวงตาของเขาแดงก่ำ "ผม ไม่รู้ว่าจะว่างมาส่งคุณไปนิวยอร์คไหมเพราะ การมาเจอคุณแบบทริปมัน...คงแทบไม่เกิดขึ้นอีก....”
   นัทพยักหน้ารับอย่างพยายามตั้งสติเท่าที่ตัวเองจะทำได้ มือของเขาเย็นเฉียบจยกายรู้สึกได้ เขาจับมือคู่นั้นไว้แน่น
   “.....ผมไม่รู้ว่าคุณจะจำได้เหมือนผมจำได้หรือเปล่า แต่.....วินาทีแรกที่ผมเจอคุณ....ผมรู้ว่าคุณคือคนที่ผมอยากค้นหา" กายพูด ขณะที่น้ำตาของนัทไหลลงมา "….และตลอดการเดินทางของเราสองคน ทุกทุกวินาที ที่ผมได้พบกับคุณ มันคือเวลาที่มีค่าที่สุดของผม ผมรู้คุณคงเบื่อที่จะฟัง แต่.....คุณเป็นแรกและจะเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมไปไหนไม่ได้ คุณทำให้ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยถ้า....”
   “...ถ้าคุณไม่ทำให้ผมเข้าใจคุณ และคุณได้เห็นทั้งหมดที่เป็นตัวผม" นัทต่อคำจนจบ ก่อนจะปล่อยมือจากกาย "ผมต้องไปแล้ว มิกมันเอ่อ คงรอนาน เดี๋ยว....ตำรวจโบกเอาจะแย่......คุณ.....ไปเถอะ”
   กายค่อยๆเดินถอยหลังไปจากนัทช้าๆ และเมื่อกายหันหลังให้กับเขานัทก็ร้องไห้อย่างหนักทันที
   “....ต....แต่..ม...มันมีคำนึง......ที่คุณคงยังไม่เคยได้ฟัง.....” นัทพูดเสียงสะอื้นทั้งน้ำตา กายหยุดชะงัก
   “.....ผม....รักคุณ..กาย"
   กายวิ่งเข้ามาสวมกอดนัทไว้ทันที กำแพงทุกอย่างที่นัทมีพังทลายลงตรงนี้แล้ว เขากอดกายเอาไว้แน่นอย่างที่ไม่เคยกอดมาก่อน
   “ขอบคุณนัท" กายกระซิบเบาๆ
   กอดกันอยู่นาน....
   จนเวลาเหล่านั้นจบลง.........
….....................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-12-2011 02:03:22 โดย M2M_Jill »

ออฟไลน์ beautjang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ชอบเรื่องนี้มากเลย

เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ยกขึ้นหิ้ง

ชอบการแสดงความรู้สึกของตัวละคร

มันโดดเด่นมาก  ถ่ายทอดออกมาดีทีเดียวเลย

มีผลงานเรื่องอื่นอีกรึเปล่างับ

อยากอ่านอีกง่า o13 o13 o13


ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=7834.30

เคยฝากผลงานไว้ที่นี่แค่เรื่องเดียวค่ะ เมื่อนานมาแล้ว เรื่อง สยามเมโลดี้ รักแห่งนี้นิรันดร์ (The Love Of Siam 3) เป็นฟิคตอนต่อจาก รักแห่งสยามค่ะ

แต่ภาคก่อนหน้านี้ไม่ได้อัพไว้ที่นี่ แต่อยู่ที่ Dek-D.com ในนามปากกา มิรันดา ค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามผลงานนะคะ

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 37 Be Strong

“ไม่น่าเชื่อแลยเนอะว่าจะได้เรื่องขนาดนี้อ่ะมิก" สาพูดขึ้นกลางโต๊ะอาหารชื่อดังย่านลาดพร้าว "ลองคิดดูสิถ้าไม่ได้คุณแจ๊คล่ะก็นายเสร็จแน่อ่ะ"
   “สุดๆอ่ะ เธอไม่เห็นหน้าเค้าตอนนั้นเหอะ" มิกว่าอย่างออกรส "ฉันคิดว่าหน้าเค้าจะละลายอยู่แล้ว"
   “ฮ่าฮ่าฮ่า" มาร์คหัวเราะเสริมด้วยอีกคน "คุณเเจ๊เปรียวเป็นบก.นิตยสารที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการโฆษณาและงานดีไซน์เมืองไทยเลยนะ ได้สัมภาาณ์ขึ้นปกกับหล่อนแค่เล่มเดียว รับรองนายชื่อกระฉ่อนทั้งวงการแน่"
   “ทำไมแกใช้คำว่าชื่อกระฉ่อนวะมาร์ค" มิกถามพลางขมวดคิ้ว
   “ถามจริง ไม่รู้จริงอ่ะ" มาร์คยิ้มให้ ขณะที่สาแหล่มองเพื่อนรักพลางกลั้นหัวเราะ "ไม่รู้จริงอ่ะเจ๊แกเป็นเอ่อ...แบบว่า....ว้ายยยยคุณน้อง...อะไรอย่างนี้"
   มาร์คและสาหันมาหัวเราะให้กันทันที มิกส่ายหน้าพลางอมยิ้ม
   “ช่าย อันนั้นน่ะฉันรู้ แต่ว่าเค้าเป็นคนเชิญมานี่หว่า" มิกว่าพลางยิ้มกว้าง "แล้วอีกอย่างนะฉันก็มีสิทธิ์ไว้ตัวแล้วเว่ย คนมันดังอ่ะนะ"
   “จ้า พ่อศิลปินคนดัง" สาแซว "นี่ถ้าไม่ติดว่าแกลอรี่เมื่อเดือนก่อนแกทำคนเดียวคจริงๆล่ะก็นะ"
   “อ้าวคุณสาครับ ถ้าไม่แสดงตัวเองบ้างจะตามคุณทันเหรอครับ ช่างภาพสาวสวยสุดเซ็กซี่" มิกว่าพลางเอื้อมมือไปหยิบนิตยสารอีกเล่มที่อยู่ใกล้ๆโต๊ะขึ้นมาแนบหน้าพลางทำหน้าล้อเลียนสา มันเป็นภาพของสาที่สวมชุดราตรีสีชมพูยาวลากพื้น ขณะที่มือถือกล้องถ่ายรูปอย่างดูดี
   “ไอ้มิก เก็บลงไปเลยไอ้ตัวดี เดี๊ยะ เดี๊ยะ" สารีบคว้าหมับลงขณะที่มิกรีบปกป้อง
   “จะมาอายอะไรเนี่ย ฉบับเธอวางแผงไปครึ่งเดือนและ" มิกว่า "แฟนความรู้สึกช้าเนอะ มาร์คเนอะ"
   “อย่างนี้แหละเค้าอ่ะ" มาร์คว่า "บางทีน่ะฉันต้องบอกเลยว่า ผมเสร็จแล้วนะ ตื่นเถอะ......”
   เงียบกันไปพักนึง
   “อ้ายยยยยยย มาร์คคคคคคคค" สารุมตีแฟนหนุมทันที ขณะที่มิกหัวเราะร่วนที่เห็นสาหน้าแดงด้วยความเขินอาย
   “เอ้าๆ พอเหอะ เดี๋ยวแฟนแกตาย" มิกพยายามห้าม
   “ผมล้อเล่น คุณก็....” มาร์คพยายามปกป้องตัวเองจากการทำโทษของสา "โน่นๆ หนุ่มฮอตแห่งวงการมาโน่นและ"
   “หวัดดีทุกคน" เสียงนัทยานคางมาแต่ไกล ชายหนุ่มในชุดเสื้อกั๊กสีขาว สวมทับเสื้อสีเทา มีผ้าผันคอพันเอาไว้อย่างไม่จงใจ ใบหน้าสดใสภายใต้หมวกทรงเก๋ที่วางไว้ไม่เป็นระเบียบ "โทษทีที่มาช้า วิกฤตเครื่องประดับน่ะ"
   นัทมาถึงก็วางของหอบใหญ่รอบตัวทุกๆคน
   “เลวร้ายมั้ย" มิกถามเสียงอบอุ่น
   “โอยยยยย" นัทลงเสียงต่ำ "สุดยอดจะบรรยาย พี่สุเมธแทบจะแหวกอกนางแบบทุกคนเลยอ่ะ ฉันนี่แบบกันท่าเอาไว้ ต้องเร่งแก้ให้ทันก่อนสี่โมงเย็นซะด้วย"
   “กลัวแสงหมดน่ะสิ" สาว่า
   “ไม่ใช่เลย กลัวคนมาวิ่งออกกำลัง พี่สุเมธไม่ชอบคนเยอะ" นัททำตาเหลือก "ก็บอกแล้วให้อ่านบรีฟที่ฉันส่งไปให้ดีดี พวกช่างแต่งหน้าก็สันหลังฉีกอีก คนพวกนี้จริงๆเล้ย"
   “เอาน่า...อีกอึดใจเดียวเหอะ" มิกว่าพลางยักคิ้วให้สา "นี่ขนาดไปออกกองมาทั้งวันนะเนี่ย ดูดิ ยังหล่อเป๊ะยันเย็นอ่ะ"
   มิกอมยิ้มให้นัทที่กำลังถอดหมวกตัวเองเองออก พลางเอื้อมมือกไปขยี้หัวเพื่อนรัก ที่กำลังทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
   “อ้อ ฉันมีของมาฝากพวกนายทุกคนด้วย" นัทยักคิ้วพลางมองไปรอบโต๊ะ กว่าจะก้มลงไปหยิบของใต้โต๊ะขึ้นมาวาง
   “อะไรอ่ะ" มาร์คถาม
   “เริ่มจากนี่" นัทคว้ากล่องกระดาษหรูๆออกมาอันนึง "ปากกาลามี่ ที่ปลอกมีเม็ดนิลสวยๆอยู่อ่ะ แกต้องชอบมิก"
   “เหยดดดด" มิกร้องพลางเอื้อมมือไปหยิบของมามาเปิดดูทันที "สุดยอดอ่ะ ดี เวลาหยิบอะไรมาเสก็ตจะได้ดูมีตังค์ ฮ่าฮ่า"
   “แล้วก็ชุดบำรุงผิวจาก Clinique Men” นัทหยิบเอาชุดบำรุงผิวมาแกว่งๆตรงหน้ามาร์ค
   “เห้ย มันยังไม่ขายที่ไทยนี่นา" มาร์คว่าพลางหยิบครีมมาชุดนึงแล้วลองทาที่ข้อมือ "นายไปได้มายังไงเนี่ย"
   “เพราะจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ไม่อ่านบรีฟฉัน ก็เลยเข้าใจเอาว่าจะมีนายแบบผู้ชาย ก็เลยไปซื้อชุดนี้เอามาแจกให้นางแบบเมื่อหลายวันก่อน" นัทว่า "ฉันต้องรอจนพี่สุเมธแน่ใจว่าไม่มายถ้าไอ้ชุดนี้จะไม่ได้ใช้แล้ว ถึงจะจิ๊กมาน่ะ แล้วก็นี่....”    นัทหยิบเอาประเป๋ากล้องหนังสีดำ ประดับด้วยเข็มขัดมุกประกายชมพู ดูมีระดับ ที่ทำให้สาถึงกับตาลุกวาว
   "อะไรเหรอ มองอะไรเหรอสา....อะไรเหรอ" นัททำเป็นแกว่งๆตรงหน้าเธอ
   “ไอ้นัท" สาคว้ากระเป๋ากล้องมาทันที นัทถึงกับขำเบาๆ ขณะที่สาหยิบกระเป๋ากล้องของตัวเองออกมาแล้วเริ่มย้ายข้าวของ
   “อะไรกันเนี่ย ฉันสั่งจองไอ้นี่ไปตั้งแต่ต้นมิถุนา ตอนนี้ยังไม่ได้ไม่แต่บัตรคิวอ่ะ" สาว่า "โอ๊ย คนอื่นๆต้องอิจฉาแน่ๆ อ้ายยยยยยย"
   “โอ็ย คุณเธอ ใบไหนๆมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ" มิกว่า
   “ไม่เหมือนหรอก ถ้านายรู้ว่าใบนี้เป็นของชาแนล" นัทเบิกตามองมิกที่จ้องเขากลับตาแทบถลน
   “บ้า ชาแนลจะมาทำกระเป๋ากล้องได้ไง" มิกร้อง
   “ไม่ได้หรอก ถ้าไม่ใช่การขอเป็นงานทดลองจากซูเม่" สายักคิ้ว "เธอประมาทงานพี่สุเมธเกินไปและ"
   “พระเจ้า......ฉันชอบงานแกว่ะนัท" มิกร้องขณะที่นัทกำลังกดไปมาในมือถือเพื่อทำตารางงานใหม่
   “ไม่แปลกเลยนะมิก" มาร์คว่าขณะโยนเอาชุดบำรุงลงประเป๋า "แบรนด์ซูเม่กำลังเติบโตในวงการตลาดสากล ตั้งแต่คอลเลกชั่นของพี่สุเมธได้รับการบอกผ่านจากบก.นิตยสารโวคอเมริกาเมื่อสามเดือนก่อน"
   “อ๋ออันนั้นฉันรู้" มิกตอบ "งานนั้นชื่อว่า ป่าในเมือง สาวๆในเมืองหลวงปลดปล่อยสัตว์ร้ายในตัว เผชิญชีวิตในเมืองใหญ่"
   “ช่าย งานนั้นฉันเป็นคนไปถ่ายมาเองเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และไอ้นัทก็เพิ่งทำเวอร์ชั่นไทยวันนี้เองใช่มะ...” สาถามนัท ที่พยักหน้าตอบเบาๆโดยยังไม่เงยหน้ามาจากมือถือ
   “มิน่าล่ะ สามเดือนที่ผ่านมานี้ฉันถึงรู้สึกว่าอะไรๆรอบตัวเปลี่ยนไปหมด" มิกว่า "ตอนแรกแค่คิดว่า Lovable Studio จะแค่เปลี่ยนเป็นโคสตูดิโอเฉยๆ แต่แบบว่าไปไกลมากอ่ะ.....”
   “ใช่แล้ว นี่เรากำลังพูดถึงผลงานของอาร์ททิสคนไทยระดับโลก ที่มีคนสนใจเปลี่ยนผลงานของเขากลายเป็นแบรนด์เลยนะ" มาร์คว่าต่อ "แถมยังมีแบรนด์ดังๆอีกนับไม่ถ้วนที่อยากจะเข้าร่วมโปรเจ็คโคดีไซน์ครั้งนี้ คิดดูสิงานทุกอย่าง เซ็ทแฟชั่น วีดีโออาร์ท รองเท้า กระเป๋า......แฟชั่นกับงานศิลป์ไปด้วยกันได้เพราะแบรนด์ซูเม่เลยนะ"
   “และที่สำคัญมันสวยมาก" สากอดกระเป๋ากล้องใบใหม่ของเธอพลางทำหน้าเพ้อฝัน มิกถึงกับคอตกกับอาการของเพื่อนรัก
   “มันเป็นโปรเจ็คใหญ่ที่จะเตรียมรับกับสัปดาห์แฟชั่นวีคปลายปีหน้าน่ะ" มาร์คว่า
   “เดี๋ยวๆ อีกไม่กี่อาทิตย์ แฟชั่นวีคก็จะเริ่มแล้วไม่ใช่เหรอ" มิกว่า
   “ใช่ แต่ยังไม่ใช่สำหรับซูเม่อินเตอร์แนชั่นนอล" มาร์คว่า "งานนี้พี่สุเมธปล่อยผ่าน"
   “ทำไมล่ะ ไหนว่ากำลังก้าวไปสู่แบรนด์ระดับโลกไง" มิกว่า
   “พี่สุเมธบอกว่าการที่ให้เป็นรู้จักต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป เราจะรอเวลาเพื่อที่จะศึกษางานใหญ่ๆได้เต็มๆกับแฟชั่นวีคปีนี้" นัทเงยหน้าขึ้นมาตอบ "เพราะถ้าเราเป็นแค่แบรนด์เล็กๆที่เข้าไปขอความช่วยเหลือจากแบรนด์ใหญ่ๆให้ได้ทุกแบรนด์ในแฟชั่นวีคปีนี้ คิดดูสิ ว่าแฟชั่นวีคปีหน้าจะเป็นยังไง"
   มิกมองหน้านัทเหมือนไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน
   “ดูแกสิ" มิกขำเบาๆ พลางมองไปหาสา "ไม่นึกเลยอ่ะ ว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้มาจากไอ้นัทมันอ่ะ"
   “ตลกแดกละ" นัทพูดขำๆก่อนจะปิดมือถือ "เอาล่ะ ไหนบอกซิว่าลากมาไกลถึงนี่เนี่ย ฉลองกันในโอกาสอะไร"
   ทั้งสี่มองไปมองมาซึ่งกันและกัน ก่อนทีสาจะยกมือขึ้น
   “ฉันนัดเองแหละ" สายิ้มเฝื่อนๆ "ฉันกำลังจะไปเบอร์ลินแล้ว อีกสองวัน"
   “เห้ยจริงดิ" นัทร้อง
   “พระเจ้า ทำไมมันเร็วงี้วะ" มิกร้อง
   “เร็วบ้าอะไรไอ้มิก ตั้งแต่ฉันตอบคอนเฟิร์มไปนี่มันจะห้าเดือนแล้วนะ" สาว่า "พี่สุเมธเปิดสตูดิโอเล็กๆไว้ที่นู่นแล้วและเอ่อ.....มันถึงคิวฉันต้องไปก่อนน่ะ"
   “แล้ว....นายล่ะมาร์ค" นัทถามต่อ
   “ฉันเซ็นสัญญาป็นนายแบบให้กับซูเม่แล้ว" มาร์คว่า "ดังนั้น งานแรกที่ฉันได้รับก็คือ การเปิดตัวสตูดิโอที่เบอร์ลินนั่นแหละ ฉันจะบินตามสาไปอีกสามอาทิตย์"
   “เห้ย ยินดีกับแกสองคนด้วยนะ" นัทว่า "ให้ตายสิ มันเอ่อ.......ดีใจด้วยจริงๆ"
   “ขอบใจนัท" สาเอื้อมมือไปจับเพื่อนรัก "วันนี้ฉันก็เลยฉลองกับพวกเราไง"
   “โอ้ ผัวเมียคู่นี้นี่มันขยันจริงๆว่ะ" มิกพูดตลิดตลก สาเอื้อมมือมาตีมิกเบาๆ
   และค่ำคืนนี้การสังสรรค์ปาร์ตี้เล็กๆก็เริ่มขึ้น ปาร์ตี้ที่สุดแสนจะธรรมดาแต่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และตลอดเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ทั้งสี่ได้กินข้าว หัวเราะ และพูดคุยกัน นั่นก็ทำให้ความสุขเล็กๆจากกการโหมงานหนักในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาได้ผ่อนคลายลงบ้าง
   ล่วงเลยเวลาไปเกือบสี่ทุ่มกว่าทั้งสี่จะออกมาจากร้าน และยืนกันอยู่ที่ลานจอดรถ นัทสวมกอดสาทันที
   “ดูแลตัวเองนะเว่ย" นัทพูดขึ้นพลางยิ้มให้สาเพื่อนรัก
   “ขอบใจแก" สาว่า "แล้วนี่แกจะไปอเมริกาเมื่อไหร่"
   “ช่วงคริสต์มาส อีกสองเดือนน่ะ" นัทตอบ
   “แกล่ะมิก" สาถามอีก "ไปปารีสเมื่อไหร่"
   “ช่วงเดียวกัน แต่คนละไฟลท์" มิกว่า "ของฉันยังไม่คอนเฟิร์มด้วย ไม่แน่อาจจะเลยไปถึงช่วงมีนาเมษาปีหน้าโน่น"
   “แกคงได้อยู่กับ Lovable Studio เป็นคนสุดท้ายเลยสินะ" สาว่า มิกพยักหน้าน้อยๆ และก็เงียบกันไปพักนึง
   “ฉัน.....ดีใจกับแกด้วยนะเว่ย" มิกพูดเบาๆ สาจับมือเพื่อนรักของเธอ
   “ไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกเมื่อไหร่เนอะ แต่ว่า..... แกสองคนคือเพื่อนรักของฉันจริงๆ ฉันรักแกสองคนมากนะเว่ย" สาว่า "ฉันไม่อยู่แล้ว ใช้เวลาที่เหลืออยู่ของแกสองคน อยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเลยนะเว่ย"
   มิกและนัทมองหน้ากันทันที
   “แกสองคนผ่านอะไรต่อมิอะไรด้วยกันมาตั้งเยอะแล้ว...ฉันก็คงไม่ได้อยู่เป็นศิราณีให้พวกแกแล้วด้วย" สาว่า "ยังไงก็ โทรมา Skype หรือ Message มาก็ได้"
   “อืม ไอ้เนี่ย เดี๋ยวฉันดูแลมันเอง" มิกว่าพลางขยี้หัวนัท "แกไปเหอะ"
   สายิ้มให้กับมิกและนัท ก่อนจะโผเข้ากอดทั้งคู่ทันที
   “ไม่เอาดิ ไหนว่าจะไม่ดราม่าไง" มิกว่า สายิ้มน้อยๆพลางปาดน้ำตา
   “ฉันไปก่อนนะแก" สาว่า
   มิกและนัทยิ้มเธอ พลางมองรถของมาร์คขับพาสาไปจากร้านอาหารจนลับสายตาไป
   “ไป เดี๋ยวไปส่ง" มิกพูดขึ้น นัทหันมาเลิกคิ้ว
   “เดี๋ยวนี้ไอ้เต่าทองว่างแล้วเหรอวะ" นัทหันมาแซว
   “บ้า...มันก็ว่างตลอดแหละ" มิกตอบพลางจับตัวนัทเดินไปยังไอ้เต่าทองที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก ถึงจะผ่านมาห้าเดือนแล้ว มิกก็ยังคงขบเจ้าเต่าทองอยู่เหมือนเดิม แม้ว่ามันจะดูสะอาดตามากขึ้นกว่าเดิมบ้างก็ตาม "มีแต่แกอ่ะแหละ เดี๋ยวนี้มีรถมารับส่งนี่หว่า"
   “เห้ย ไม่ใช่อย่างนั้น พี่เมธเขาแค่แวะมารับเฉยๆ มันเป็นทางผ่านเว่ย" นัทตอบ
   “ไม่เห็นพี่เมธจะมารับฉันมั่งวะ" มิกว่าพลางเปิดประตูรถ
   “ก็เค้าเห็นแกมีไอ้เต่าทองนี่ไง" นัทเข้าไปนั่งในรถของมิก ขระที่รถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากร้านอาหาร
   บรรยากาศในรถไม่มีอะไรมากนัก นัทนั่งจมอยู่กับมือถือเพื่อตรวจเช็คตารางงานของตัวเอง ขณะที่มิกเหลือบมองนัทบ้างเป็นระยะ
   “เปลี่ยนไปเยอะเลย รู้ตัวป่ะเนี่ย" มิกพูดขึ้น
   “หือ....อะไรเปลี่ยนนะ...” นัทเงยหน้าขึ้นมาทันที มิกยิ้มเบาๆก่อนจะเลี้ยวรถ
   “บอกว่าแกอ่ะ......เปลี่ยนไป" มิกพูดเสียงดัง
   “บ้า...เปลี่ยนไปตรงไหน" นัทขมวดคิ้ว
   “เปล่าก็.....แกเคยบอกว่า แกไม่ได้อยากมีชีวิตแบบนี้ไง" มิกพูดเบาๆ
   “บอกเหรอ ฉันเคยบอกเหรอ" นัทว่า มิกหันมาทำหน้าเซ็งๆเบาๆ
   “แกเพิ่งจะ 25 อย่ามามึน" มิกร้อง
   “อ่า...โอเค...ก็......” นัทว่ากลับพลางวางมือถือลง "…...ใช่ แต่นี่ก็ไม่เชิงเป็นชีวิตที่ฉันไม่ชอบหรอกเว่ย มันก็โอเคแหละ ก็ตอนนั้นมันเลือกไปแล้วแล้วแกเองก็เคยบอกว่าลูกผู้ชายเลือกแล้วอย่าหันหลังกลับไม่ใช่เหรอวะ....”
   “มันก็ใช่.....” มิกพูดลากเสียง "แต่ว่า...”
   “ไม่มีแต่แล้วเว่ย" นัทพูดตัดบท พลางยิ้มกว้างอย่างเป็นสุข "ที่ฉันพูดไปตอนนั้นก็อาจจะเป็นเพราะตัวเองกำลังแบบว่า....งี่เง่า....ขึ้นมาตอนนั้นน่ะ แต่ฉันก็ยังเป็นนัทคนเดิมเว่ย.....นัทคนเดิม.....เสื้อผ้าดีขึ้น"
   “แต่ฉันชอเบสื้อผ้าเก่า" มิกพูดเบาๆพลางเหล่มองนัท ที่ถึงกับขมวดคิ้วมองมิก
   “กลับมาจีบกันป่ะเนี่ย" นัทถามเสียงใส
   “ยังไม่แน่ใจอ่ะ" มิกตอบขำๆ "คงใช่มั้ง ก็เห็นแกว่างๆ"
   “ว่างบ้าอะไร งานท่วมหัว" นัทตอบพลางก้มลงกดมือถือต่อไป
   “ได้เจอกันบ้างหรือเปล่า" มิกถามขึ้น
   “ใครอ่ะ" นัทตอบ แม้ว่าจะยังไม่เงยหน้าจากมือถือ
   “ไม่มีอะไร" มิกพูดปัดๆ นัทเหลือบตาขึ้นมาแว้บนึง
   แล้วก็เข้าสู่ความเงียบ มิกไม่รู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะถามอะไรนัทเลย และตอนนี้สาก็ไม่อยู่ให้เขาถามแล้วด้วย หลังจากนี้ เหลือแค่เขากับนัทเท่านั้น
   “เจอ" นัทตอบเบาๆ "ก็ ไม่มีอะไรหรอก เจอแป้บเดียว ที่แกลลอรี่แกเมื่อเดือนที่แล้วไง"
   “เหรอ" มิกรับคำเบาๆ เสมือนว่ามันเป็นบทสนทนาที่ปกติ
   “ไม่มีอะไรสำคัญหรอก จริงๆนะ" นัทพูดต่อ "เขาก็สบายดี ก็แค่ออกไปกินข้าว แล้วก็......แยกย้ายกันไป"
   “อ่อ" มิกพ่นลมออกมาเบาๆ
   “ว่าแต่แกเถอะ เป็นไงบ้างวะที่ Lovable” นัทถาม "มีใครมาใหม่บ้างยัง"
   “อ๋อ มีมี" มิกว่า "ได้จูเนียร์ดีไซน์เนอร์มาใหม่ เก่งพอตัวเหมือนกัน โหมงานหนักได้ดีอ่ะ ชื่ออาร์ม ถึงจะแทนแกกับไอ้สาไม่ได้แต่ว่า ฉันก็ไม่เหนื่อยอ่ะ"
   “ดีแล้ว เก็บแรงไว้เหนื่อยที่ปารีสดีกว่า" นัทว่า
   อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมิกก็พานัทกลับมาส่งถึงบ้าน นัทก้าวลงจากรถ ขณะที่มิกเปิดกระจกรถลง
   “อยู่คนเดียวเหรอวะ" มิกถาม
   “เออดิ จะให้อยู่กับใครอ่ะ" นัทตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ
   “จะให้อยู่เป็นเพื่อนเปล่า" มิกถามต่ออีก
   “ไม่ต้องหรอก" นัทตอบ "ฉันอยู่ได้ นี่บ้านฉันน่ะเว่ย จะอยู่คนเดียวไม่ไ่ด้ได้ไง แกต่างหากมิก อยู่คนเดียวได้ป่ะ"
   “ได้ดิ" มิกว่าพลางมองออกไปข้างหน้า "งั้นก็คงเหมือนกัน"
   “อืม ขับรถดีดีล่ะ แล้ว....เดี๋ยวไว้เจอกัน" นัทพูดพลางเดินเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย
   นัทเอื้อมมือไปเปิดไฟทีละดวงก่อนจะถอดผ้าหันคอและเสื้อกั๊กออกจากตัว ชายหนุ่มม้วนแขนเสื้อขึ้นพลางเดินเข้าไปหาน้ำกินในครัวและเดินเข้าห้องน้ำ นัทเอาน้ำมาลูบหน้าตัวเองครั้งหนึ่งก่อนจะมองเข้าไปในกระจก ใบหน้าของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาปรากฎอยู่ในกระจก ภาพของตัวเองในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์แว้บเข้ามาในสมอง นัทหลับตาครั้งหนึ่งก่อนจะก้าวออกจากห้องน้ำไป
   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขารีบวิ่งออกมารับมันทันที
   “ฮัลโหลคุณนัท" เสียงของพี่สุเมธดังที่ปลายสาย
   “ครับพี่เมธ" นัทรับคำ
   “วันพรุ่งนี้มีงานสัมนาเรื่องดีไซน์ฟิวเจอร์ จากอนาคตสู่ปัจจุบันใช่หรือเปล่า" เสียงจากปลายสายดังขึ้น
   “เอ่อ...แป้บนึงนะพี่" นัทพลิกสมุดตารางงานในกระเป๋าอีกใบอย่างเร่งรีบ "เอ่อ......สี่....กันยา......ใช่ครับพี่ ที่โรงแรมมาริออตที่ฝั่งธน แต่พี่ไม่ได้คอนเฟิร์มนี่ ผมก็เลยไม่ได้บันทึกไว้ใน Event ที่มือถือ"
   “ใช่ๆ พี่จะบอกว่าพี่คอนเฟิร์มแล้ว" พี่เมธกล่าวกับนัท
   “อ้าวเหรอครับ" นัทพูด "งั้นแสดงว่าวันพรุ่งนี้ผมก็ไม่ต้องไปรับรูปที่พารากอนไปให้พี่ที่สาทรแล้ว"
   “รับสิรับ พี่ไปรับเอง" พี่เมธตอบ "เราไปเข้าสัมนาแทนพี่ที"
   “เอางั้นเลยเหรอพี่" นัทตอบ
   “ใช่ๆ สำคัญมากๆ วิทยากรที่มาสัมนาทุกคนเป็นคนที่เราต้องทำความรู้จักด้วยน่ะ" พี่เมธกล่าว
   “งั้นได้ครับ เดี๋ยวผมไปเอง" นัทตอบ
   “ขอบใจมากนัท" พี่เมธกล่าวพลางวางหูโทรศัพท์ไปทันที นัทหลับตาครั้งหนึ่งก่อนจะรีบบันทึกงานใหม่ลงมือถือ สงสัยคืนนี้เขาต้องรีบนอนเสียแล้ว.........
…..............
   “สิ่งที่เราให้ความสำคัญที่สุดคือการทำให้วงการนี้ เต็มไปด้วยดีไซน์เนอร์คุณภาพ.........” เสียงการสัมนาเป็นไปอย่างเรียบง่าย ขณะที่นัทนั่งฟังอย่างใจลอยอยู่ที่โรงแรมมารีออตในวันรุ่งขึ้น เขานอนไม่ค่อยหลับนักเมื่อวาน มีบรีฟงานอีกสองสามอย่างที่เขาต้องตรวจแก้อีกก่อนนอน ทำให้การสัมนาวันนี้ นัทจึงไม่ค่อยได้รับเนื้อหาอะไรมากมายนัก
   ขณะที่นัทกำลังนั่งอยู่นั้น ร่างๆหนึ่งก็นั่งลงข้างๆตัวเขาทันที
   “เจ้านัท" เสียงอันคุ้นหุดังขึ้น เมื่อนัทหันไป ก็พบกับบอสพิพัฒน์ทันที
   “อ้าว บอส...หวัดดีคับ" นัทยกมือไหว้อย่างยินดี
   “บอสอะไรเล่า เราไม่ใช่ลูกน้องฉันแล้วนา" บอสยิ้มอย่างยินดี
   “โห ยังไงบอสก็เป็นบอสอยู่เสมอและครับ" นัทว่า "แล้วนี่ไปไงมาไงล่ะครับ"
   “อ๋อ นี่พาจูเนียร์ดีไซน์เนอร์จากสตูดิโอมาสองสามคนน่ะ เจ้ามิกก็มานะ แต่มันว่ามันขี้เกียจฟังน่ะ ก็เลยออกไปอยู่ข้างนอก" บอสตอบเสียงใส
   “อ๋อเหรอครับ" นัทว่า
   “เออ วันนี้เจ้ากายก็มานะ" บอสว่า นัทเลิกคิ้ว
   “มาด้วยเหรอครับ" นัทถามเบาๆ "อยู่ไหนล่ะครับ"
   “โน่นไง" บอสชี้ขึ้นไปบนเวที กายสิทธิ์เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงปรบมือ นัทมองไปยังร่างของพ่อมดหนุ่มที่สวมชุดสูทที่ไม่ถึงกับเป็นทางการากนัก เสื้อชั้นในเล่นเลเยอร์อย่างดูดี กายยังคงหล่อแบบที่เขาควรจะเป็น
   “สวัสดีครับ" เสียงผ่านไมโครโฟนของกายดังขึ้น "ขอบคุณคุณเอกมากนะครับที่กล่าวถึงผมได้แบบว่า.....ผมเองก็ไม่ได้จะยกตัวเองขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของตลาดที่กว้างขึ้นหรอกครับ ส่วนตัวในชีวิตการทำงานในวงการนี้เนี่ย ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงเป็นการมองทรัพยากรของดีไซน์เนอร์ที่เรามีอยู่ทุกๆคน ให้ขาดมากกว่า"
   “ทำไมถึงคิดว่าเป็นการมองที่ทรัพยากรคนล่ะครับคุณกาย"
   “ผมเองก็เคยทำงานใหญ่ๆมาบ้างอ่ะนะครับแต่ว่า มันก็มีดีไซน์เนอร์หลายคน ที่ผมเข้าไปคลุกคลีด้วย ได้เห็นวีธีการทำงานหรือว่า ความคิดสร้างสรรค์ของคลื่นลูกใหม่ๆที่เข้ามาในวงการเรา แล้วเอ่อ....ผมยังเชื่อว่า การวางคนให้ถูกกับงาน การวางงานให้ถูกกับคน ยังเป็นสำนวนที่ใช้ได้ครับ" กายตอบ
   “พอจะยกตัวอย่างให้เราได้ไหมครับ"
   กายหันมามองหน้านัทแว้บนึง นัทยิ้มให้กับกายเบาๆ
   “ครับ ก็อย่างเช่น อาพัฒน์ คุณอาของผมเองน่ะครับ"
…............
   “วันนี้ผมพูดดีไหมคุณ" กายวิ่งตามนัทออกมาได้ทันขณะที่เหล่าผู้ร่วมงานค่อยๆทยอยกันแกย้ายออกจากห้องสัมนา
   “ก็โอเคอ่ะ" นัทตอบเบาๆ "แต่คุณเหนื่อยๆนะ"
   “ใช่ วิ่งตามคุณเนี่ยโคตรเหนื่อยเลย แวะคุยกันหน่อยสิคุณ" กายว่า ขณะเดินออกมาตามล๊อบบี้ของโรงแรม
   “ผมไม่ว่างอ่ะ" นัทหันมามองหน้ากายด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ กายมองหน้านัทพลางมองไปรอบๆ ตัว เมื่อรู้ว่าไม่มีใครสังเกตุ เขาขยับตัวมาหานัทใกล้ขึ้น
   “ผมเป็นห่วงคุณนะ แล้วก็คิดถึงคุณมากด้วย" กายพูดเบาๆ นัทเบือนหน้าหนี "ทำไมไม่โทรหาล่ะ"
   “ผมไม่ว่างจริงๆ" นัทพูดเสียงอ่อนโยน "แล้วผมรู้ คุณก็ไม่ว่าง เถียงดิ"
   กายก้มหน้าลง
   “แต่มันเหมือนว่าคุณหลบหน้าผมนะนัท" กายขมวดคิ้ว
   “หลบหน้าอะไรคุณ" นัทยิ้มให้กาย "ผมก็มองหน้าคุณอยู่เนี่ย"
   กายมองตานัท นัทมองกายอย่างไม่อยากอธิบายอะไรทั้งนั้น กายรับรู้ได้ว่าตอนนี้นัทมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ไม่สิ หลายๆอย่างเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนเขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจ ตลอดเวลาห้าเดือนที่ผ่านมา กายมองนัทอยู่ห่างๆ และเห็นว่าตอนี้นัท ไม่ใช่ดีไซน์เนอร์หน้าใหม่ไฟแรงอีกต่อไปแล้ว
   “คุณจะไปไหนอ่ะ" กายเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ไม่อยากให้มีการทะเลาะกันเกิดขึ้นอีก เหมือนครั้งที่เจอกันเมื่อเดือนก่อน
   “ผมจะไปออฟฟิศพี่เมธที่สาทร" นัทพูดพลางถอนหายใจ
   “งั้นผมไปส่ง" กายว่าต่อ
   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมเรียกรถมารับเอง" นัทว่าต่อทันที
   “ให้ตายสินัทผมขอ ให้ผมไปส่งได้หรือเปล่า" กายว่า
   นัทมองหน้ากายอยู่พักนึง
   เขาเริ่มรู้สึกเบื่อการกระทำของกายแบบนี้มากมายเหลือเกิน ตลอดเวลาห้าเดือนที่ผ่านมา....
   กายไม่รู้อะไรเลย....
   ว่าเขาหมดหวังไปแล้วด้วยซ้ำ.....
…..........

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 38 Strike Back

   บนถนนยามบ่ายที่ร้อนระอุ และรถติด ดูเหมือนว่านัทจะไม่มีอะไรทำมากนักนอกจากกางสมุดที่จดจากงานสัมนา แล้วไฮไลท์มันด้วยปากกาด้ามโปรด ที่อยู่ในกระเป๋า ในขณะที่กายนั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆโดยที่จิตใจก็ไม่ได้สงบลงนัก เขาหันมามองนัทบ่อยครั้งมาก และเหมือนว่านัทจะสามารถประทุระเบิดใส่เขาอยู่ได้ตลอดเวลา
   “คุณรู้หรือเปล่า ว่าอาทิตย์นหน้าผมต้องไปไหน" กายหาเรื่องพูดขึ้น
   “รู้" นัทตอบ แม้ว่าจะยังไม่เงยหน้าจากสมุดโน๊ตของตัวเอง "คุณจะไปสิงค์โปร์สองวัน ทำเรื่องอาร์ทโปรเจ็คให้กับเอเจนซี่ของเพื่อนคุณ"
   กายเม้มปากครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง
   “แล้วหลังจานั้นล่ะ" กายถามอีก
   “คุณจะกลับมากรุงเทพ แล้วก็ร่วมประชุมการแบ่งหุ้นส่วนกับพี่สุเมธไง" นัทตอบ
   กายมองหน้านัทที่กำลังจ้องไปยังตัวหนังสือในสมุดอย่างเคร่งเครียด
   “ให้ตายสินัท พักบ้างไม่ได้หรือไง" กายร้อง "ลองออกมาจากงานคุณบ้างก็ได้"
   นัทวางปากกาลงพลางเงยหน้าขึ้น
   “อะไรของคุณน่ะกาย ผมทำงานอยู่" นัทร้อง
   “ไม่คือ....คุณอยู่ในรถผมน่ะโอเค้ อย่างน้อยก็น่าจะมีปฏิสัพันธ์กันบ้างน่ะ" กายว่า
   “ตลกแล้วคุณ" นัทหันมาทำหน้าเบ้ "เมื่อต้นปี ตอนผมเจอคุณใหม่ๆ ผมยังจำได้เลยเวลาคุณทำงานหนักๆอยู่ คุณก็ไม่มีรัสมีที่น่าพูดคุยด้วยเลย แล้วเผอิญผมก็ไม่เคยกวนคุณซะด้วย"
   นัทพูดประชดกายไปเต็มรัก ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ กายส่ายหน้าอย่างหัวเสียก่อนจะบึ่งรถไปด้วยความเร็วสูง โดยไม่ปริปากใดแม้แต่คำเดียว นัทรู้สึกถึงอารมณ์มาคุที่กายส่งมา ก็หยุดทำงานและนั่งเฉยๆไปตลอดทาง เมื่อรถของกายจอดนิ่งสนิทเมื่อมาถึงหน้าออฟฟิศของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล นัทหลับตาลงครั้งหนึ่งก่อนจะค่อยๆเก็บข้าวของของตัวเอง
   “ผมไม่รู้นะ ว่าคุณเป็นอะไร" กายว่า "แต่คุณอย่าทำให้ผมต้องอึดอัดได้ไหม ผมไม่ชอบเวลาที่ตัวเองต้อง...."
   “.....ขอร้องใคร" นัทพูดต่อคำจนจบ พลางหันมาหากาย
   “นัท" กายเอ่ยชื่อเขาเบาๆ
   “แล้วคุณจะทำไมล่ะ" นัทหันไปว่าต่อ "ผมมีงานของผม คุณมีงานของคุณ เราสองคนก็แค่ต่างทำงานของตัวเอง มันก็ปกติแล้วนี่ คุณจะมาอะไรอีก"
   “ไม่คือ...ผมหมายความว่า เราน่าจะมีอะไรต่อกันที่ดีกว่านี้นัท คุณทำเหมือนพยายามต่อต้านผมตลอดเวลา ทุกครั้งที่เราเจอกันหลังๆมานี่ ที่จริงแล้วตั้งแต่กลับมาจากลาวเมื่อห้าเดือนที่แล้วด้วยซ้ำ" กายพูด "ผมนึกว่า คุณกับผม เราสองคนบอกคามรู้สึกที่เรามีให้กัน แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้น"
   “คุณไม่เคยพูดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นกาย" นัทตอบ "แล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี่ คุณเป็นคนบอกว่าชีวิตเราสองคนจะเป็นอย่างนี้นะกาย"
   กายเผยอปากขึ้น โดยไม่มีคำพูดใดใดลอดออกมาก
   “เรากำลังพูดกันเรื่องเดิมๆนะ" กายว่า
   “ใช่ และผมก็คิดว่า เราอย่าพูดเลย" นัทพูดพลางลงจากรถไปทันที กายมองนัทเดินจากไป ก่อนจะตบลงบนพวงมาลัยอย่างหงุดหงิด
   มันเป็นอย่างนี้มาตลอดห้าเดือนที่ผ่านมาแล้ว การพูดคุยกันระหว่างนัทกับกาย ที่ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ทั้งที่จริงแล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย........


3เดือนก่อนหน้านี้............


   วันนี้เป็นวันที่สตูดิโอเงียบสงบ มีเพียงแค่สาที่มาทำงานเท่านั้น สาเข้าใจดีว่านัทยังคงจมอยู่กับความเศร้า หลังจากที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เหมือนบดขยี้หัวใจของนัทออกเป็นเสี่ยงๆ วันที่เธอและนัทกลับมาจากลาว ที่สนามบินดอนเมือง
   เสียงฝีเท้าของมิกเดินตามเข้ามาในสตูดิโอ ชายหนุ่มยืนนิ่งเมื่อมองเห็นสาเพียงลำพัง ติดต่อกันเป็นวันที่สามแล้ว
   “นี่มันความผิดแกชัดๆสา" มิกส่ายหน้าก่อนจะโยนของตัวเองลงบนโต๊ะดราฟ หญิงสาวไร้คำโต้เถียงได้แต่ก้มหน้านิ่ง
   “ก็ฉันบอกแล้ว ว่านี่เป็นแผนของยัยเจนนะมิก ฉันก็แค่.....”
   “เธอแค่กำลังเล่นเกมส์เอาชนะกับเจนจิราไอ้สา หยุดเถียงได้แล้วเหอะ" มิกว่าเสียงแข็ง สาเงียบสนิท "แล้วเป็นไงล่ะ ตัวการแต่ละคนหายหัวไปหมด ไอ้นัทสติแตกวันนี้วันที่สามแล้วนะเว่ย ไม่เห็นมีใครมารับผิดชอบเรื่องนี้ซักคน"
   “ฉันก็พยายามทำทุกอย่างแล้วนะ ใครจะรู้ว่าเรื่องมันจะออกมาเป็นแบบนี้ล่ะ" สาร้องทันที "กายกับเจนก็ทำอะไรไว้หลายชั้นเหลือเกิน ฉันตามแก้ไม่ไหวหรอก"
   “โห ดูพูดเข้า แล้วปล่อยไอ้นัทเป็นเงี้ยเนี่ยนะ" มิกว่าพลางส่ายหัว
   “แต่ฉันมาคิดคิดดูแล้วนะ ที่มันแย่ลงแบบนี้ก็เพราะว่าที่จริงแล้ว คนที่เล่นตามเกมส์นี้อย่างจริงจังก็คือตัวมันเองนะเว่ยมิก" สาร้อง "เพราะรู้ว่ายังไงตัวเองก็เลือกที่จะไป แทนที่อีกคนจะแสดงอาการว่าคนรักกำลังจะจากไปไกล กลับกลายเป็นคนต้นเหตุที่ทำให้นัทต้องไปเสียเองอ่ะ เป็นฉันฉันก็รู้สึกแย่เหมือนกันแหละน่า"
   “ฉันฟังประโยคนี้มาสามวันแล้ว ตอนนี้ฉันต้องการการแก้ปัญหาเว่ย" มิกว่า "เรื่องนี้มันต้องมีทางออกดิวะ"
   “ฉันกะว่าวันนี้แกกะฉันต้องไปรุมมันว่ะมิก" สาหมุนเก้าอี้มาหาเพื่อนรัก "ถ้ามันหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ เราก็ต้องเป็นคนทำนะเว่ย"
   “อย่าขอร้องฉันสา เราสองคนก็มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจใหญ่พอๆกับเรื่องของมันนะเว่ย" มิกร้อง "มันใช่ว่าฉันไม่ได้ไม่ไปเมืองนอกซะเมื่อไหร่ล่ะ ฉันก็ไปเหมือนมันนั่นแหละ ฉันก็มีคนที่ฉันอยากอยู่ด้วยแต่ก็ไม่ได้อยู่เหมือนกันแหละน่า"
   “แต่ประเด็นมันคือไม่ใช่คนนึงอยู่แล้วคนนึงไปนะ นี่มันกรณีถึงจะไม่ไป ก็ไม่มีใครอยู่อยู่ดี" สาว่า
   “เหี้ยเอ้ย " มิกบ่นออด "เข้าใจและ ว่าทำไมไอ้กายกับเจนจิราต้องเลิกกัน ก็สองคนแม่งนิสัยอย่างเนี้ย ไม่มีจะหยุดเพื่อใครซักคนอ่ะ แม่งถึงไม่หยุดให้กันเองไง"
   สาเบินหน้าหนี เธอรู้สึกแย่เหลือเกินที่ปล่อยให้ตัวเองเดินตามแผนของเจนจิรา แล้วทุกอย่างต้องมาจบลงแบบนี้ หญิงสาวกัดฟันด้วยความโกรธ เธออยากจะเอาคืนเจนจิราเสียเดี๋ยวนี้ทีเดียว
   “คอยดูเหอะ ไอ้สองคนนั้นจะต้องได้เจ็บแบบสุดๆเข้าซักวัน" มิกยังคงบ่นไม่เลิก "คิดจะมีความรักแล้วไม่สู้ มีที่ไหนวะ คิดมาได้......แผนการบ้าบอ"
   สาจะทำตาเบิกโพลง ราวกับมีใครซักคนมากดสวิสซ์ไฟในสมองของเธอ
   "จริงสิ" สาร้องออกมา "แผนการบ้าบอ"
   เธอมองหน้ามิก
   “อะไรของแกวะสา" มิกร้อง
   “ถูกแล้วมิก ซักวัน สองคนนั่นต้องเจ็บเพราะแผนของตัวเองแน่" สาพูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัว มิกเลิกคิ้วมองเธอ
   “เห้ย อะไรของแกวะ พูดซะน่ากลัว" มิกพูดเบาๆ
   “ฉันมีทางออกแล้วไอ้มิก" สาว่า "รับรอง เรื่องนี้จบแบบเจ็บสุดๆแน่"
   คำพูดของเจนจิราแว้บเข้ามาในสมอง


   มันต้องใช้เวลา ที่ให้คุณนัททำใจตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นนะคุณสา

   ให้พวกคุณสามคนได้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
    จะช่วยให้คุณนัทมองเห็นว่าตัวเอง เดินมาไกลขนาดไหนแล้ว เข้มแข็งขึ้นแค่ไหนแล้ว


   สาหรี่ตาลงด้วยความน่ากลัว
   “แกเคยบอกว่า กายเค้าจะไม่สู้เพื่อไอ้นัทเหรอ" สาหันมาถามมิก
   “ใช่ ก็วันที่ฉันไปหามันที่โรงพยาบาลก่อนงานวัน BAD ไง" มิกว่า
   “เค้าว่าไง" สาถาม
   “มันบอกว่าฉันเห็นแก่ตัวมาก ที่คิดจะมีความรักโดยไม่ให้ตัวเองเจ็บ" มิกว่า "มันบอกว่า มันรักไอ้นัท แต่มันจะไม่รับประกันว่าไอ้นัทจะไม่เจ็บ มันพูดเหมือนกับว่า ไอ้นัทจะต้องเจ็บเรื่อยไปงั้นแหละ"
   “อ้อ....อย่างนี้เอง" สารับคำ
   “โอเคตอนนั้นมันก็มีคนมาเตือนสติฉันว่าก็จริงเหมือนกันน่ะเว่ย ฉันก็เป็นแบบนั้น" มิกพูดเบาๆ
   “แต่แกไม่สังเกตุเหรอ ว่าฉันมีสิ่งที่กายกับยัยเจนไม่มี รวมทั้งแกกับนัทด้วย" สาหันมาพูดกับมิก
   “อะไรวะ"  มิกถาม
   “ก็ความรักที่สมบูรณ์ไง" สาว่า มิกเบิกตากว้าง
   “อะไรนะ" มิกร้อง
   “ใช่ไอ้มิก แกไม่เห็นเหรอ ว่าทั้งหมดนี่มันคืออะไร" สาว่า "เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา มันก็คือเกมส์ของคนที่วิ่งหาความรักในสังคมแบบนี้ คนที่ไม่มีโอกาสเจอรักแท้ในโลกดีไซน์นี่....ในเอ่อ....Loveless Society น่ะ"
   มิกมองสาเหมือนไม่เห็นเธอมาก่อน
   “แกไม่เห็นเหรอ ทุกๆอย่างที่กายพยายามพูดออกมา ให้ไอ้นัทเข้าใจ ให้แกเข้าใจ ให้ฉันเข้าใจ หรือจะเป็นแผนของยัยเจนที่พยายามจัดการทุกอย่างให้มันเข้าที่เข้าทางน่ะ รวมทั้งตัวแกเองด้วยมิก มันไม่มีทางจบลงได้หรอก เพราะพวกแกไม่เคยเจอความรักที่สมบูรณ์แล้ว" สาว่า "แต่ฉันมี มิก ฉันมี ฉันมีมาร์ค โอเคชีวิตคู่ของฉันสองคนอาจจะมีระหองระแหงบ้างแต่ ทุกอย่างมันออกมาเคลียร์หมดแล้ว นี่คือชีวิตรักที่ฉันต้องการ มันไม่ได้ดีที่สุด แต่มันดีพอแล้วสำหรับฉัน"
   “นี่แก.....”
   “ฉันเป็นกลางมาตลอดในเรื่องนี้นะมิก ฉันมองเกมส์ของพวแกทุกคนออก พวกแกทุกคนแค่กำลังค้นหา หาสิ่งที่ที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง" สาว่า "กายกับเจน ทั้งคู่ก็ยังไม่เคยลงเอยกันสำเร็จ แถมจบกันไม่ดีด้วยซ้ำ เจนน่ะมันไม่สนอะไรนอกจากตัวเองและงานไปแล้ว ในขณะที่กายกำลังหาเหยื่อคนใหม่ ที่จะมาทดลองทฤษฎีสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเอง แต่ไอ้นัทมันก็มีสิ่งที่ดีที่สุดของมัน ดังนั้นทุกอย่างมันเลยปนเปยุ่งเหยิงไปหมด"
   “ด...เดี๋ยวก่อน....นี่เธอกำลังจะบอกว่าทุกๆสิ่งที่ทุกคนคิดมันใช้ไม่ได้เลย มันผิดหมด เพียงเพราะว่าพวกฉันยังไม่มีชีวิตคู่แบบเธอเหรอสา" มิกว่า
   “ไม่ใช่ มันไม่ได้ผิดหมดมิก แกไม่เข้าใจ ทุกทฤษฎีในเรื่องนี้ใช้ได้ ทุกความคิดของทุกคน ไม่ว่าจะกาย ไอ้นัท ยัยเจน เรื่องแกกับยัยฟ้า หรือไอ้เอิร์ธมันใช้ได้ ทั้งหมดนั่นถูกแล้ว ดีแล้ว" สาว่า "แต่ทุกคนต้องบาลานซ์มัน ความสมบูรณ์คือความพอดีนะ มันไม่มีสิ่งที่ดีที่สุด มันมีแต่สิ่งที่พอดีนะมิก"
   มิกทรุดตัวลง เขาพอจะมองอะไรบางอย่างออกแล้วเหมือนกัน
   “เอาล่ะ" สาถอนหายใจ "ฉันเข้าใจละ เหมือนตาว่างเลย ให้ตายสิ นี่ฉันก็ต้องมนต์ของพ่อมดคนนี้ไปพักนึงเลยนะเนี่ย"
   “แล้วแกจะทำยังไง" มิกว่า
   “ตอนนี้ทุกๆคนพยายามดึงอีกคนวิ่งเข้ามาหาตัวเองมากเกินไป" สาว่า "กายเขาเชื่อว่าตัวเขาเดินไปข้างหน้าไม่หยุด และก็พยายามปลูกฝังให้ไอ้นัทเดินไปข้างหน้าเหมือนที่ตัวเองเดิน และก็คิดว่าตัวเองจะสามารถประคองความรักแบบว่ายังไงล่ะ....รักแท้จะคงอยู่แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันอะไรอย่างนี้น่ะ"
   “แต่เธอก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ" มิกย้อนสา
   “ไม่รู้จริงอย่าย่ะ" สาแย้ง "มันมีอะไรมากกว่านั้น"
   “แกจะเริ่มแก้จากใครก่อนล่ะทีนี้ กาย เจน หรือไอ้นัท" มิกว่า "ปมมันยุ่งไปหมดแล้วนี่"
   “ก็ต้องแก้จากคนใกล้ตัวก่อนสิ จะได้ง่ายๆ" สาว่า "เอาแกก่อนก็ได้ เรื่องแกกับไอ้เอิร์ธว่ายังไง"
   มิกอึ้งไปพักนึง เมื่อถูกสายิงคำถามใส่
   “นี่ไม่เรียกง่าย....นี่เรียกไว" มิกว่า
   “บอกมาเถอะน่า" สาว่า "ไม่ไว้ใจฉันเหรอ ต่อจากตอนนี้ไปฉันจะคุมเกมส์แล้ว"
   “ไม่ต้องก็ได้มั้ง ฉันเอ่อ....ฉันจัดการเรื่องนี้เองได้น่า" มิกว่าพลางเมินหน้าไปทางอื่น
   “สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากจะทำก่อนที่ฉันจะไปเบอร์ลิน คือทำให้เรื่องพวกนี้จบลงนะมิก" สาว่า "ฉันต้องไปเป็นคนแรกเลยนะเว่ย พวกแกจะทำยังไงเมื่อไม่มีฉันแล้ว ฉันต้องแก้เกมส์ยัยเจนให้จบ"
   “แต่เรื่องของฉันกับเอิร์ธ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้" มิกว่า "ฉันกับมันรักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ"
   “อ้อ"
   สาร้องออกมาเบาๆ ขณะที่มิกถึงกับก้มหน้าลงทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองหลุดปากเอาเรื่องที่สำคัญที่สุดออกมา เขาเม้มปากเบาๆ
   “ฉันกับมันไม่เกี่ยว และมันก็...ไปแล้ว.....” มิกพูดต่อเบาๆ
   “เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยว" สาพูดเบา "แกเป็นคนสอนให้มันรู้จัก Loveless Society ให้มันเข้ามารับรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น วันนึงแกกับมันก็ต้องเจออะไรๆไม่ต่างกันหรอก เพียงแค่ตอนนี้แกกับมันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง"
   มิกก้มหน้าลง
   “ฉันเอ่อ......ฉันรักมันเว่ย ฉันยอมรับแล้ว" มิกว่า "มันเอ่อ...มันเป็นเด็กที่น่ารัก มัน มันทำให้ฉันยิ้มจากวันเศร้าๆที่ฉันทนมากับไอ้นัท แล้ว....ตลอดเวลาที่่ผ่านมา มันกับฉัน เรามีเวลาดีดีด้วยกัน ถึงมันจะสั้นแต่มันก็......มีความหมายกับฉันมากสา"
   "จากกันดีหรือเปล่าล่ะ" สาว่า
   มิกพยักหน้าเบาๆ
   “แล้วทำไมเศร้า" สาถามกลับเบาๆ
   “ไม่มีการจากลาไหนไม่เศร้านะเว่ย" มิกเงยหน้าขึ้นมาตอบ
   “มีสิ" สาตอบ "ถ้าจากกันพร้อมกับความหวัง หวังว่าซักวันเขาจะกลับมา และเราก็มั่นใจกับความหวังนั้นที่สุด"
   มิกหลับตาลงทันที
   “ดูท่าแล้ว คงไม่ได้ฝากความหวังไว้ให้กันล่ะสิ" สาว่า "งั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคู่ไอ้นัทกับไอ้กายเลยซักกะนิด แถมหนักกว่าด้วย"
   มิกเงยหน้าขึ้น
   “กายกับนัทน่ะ โดนหลายๆคนหมุนให้เป็นไปตามนั้น กายมีคนทั้งวงการปั่นหัว ไอ้นัทโดนยัยเจนปั่นหัว แต่แก...แกกับเอิร์ธ ต่างคนต่างปั่นกันเอง มันส์ไหมล่ะ.....จากกันเจ็บไหมล่ะ" สาพูด มิกเบือนสายตาหนี คำพูดของสาเหมือนกับมีดที่เฉือนหัวใจเขาเบาๆ
   “ขอร้อง ถ้าจะซ้ำเติมก็เลิกเหอะ" มิกว่า "เดี๋ยวฉันจัดการเอง"
   “ที่ซ้ำเติมแกก่อนเพราะแกมันเข้าใจยากมิก" สาว่า "อาร์ทแดกไปครึ่งตัวอย่างแก มันต้องให้แกเจ็บด้วยตัวเองก่อน แกถึงจะเชื่อฉัน"
   มิกถอนหายใจเฮือกใหญ่
   “เอิร์ธมันมีเรื่องที่ต้องทำน่ะที่จริงแล้ว" มิกว่า "มันต้องต่อสู้กับที่บ้าน ไม่ให้พวกเค้าบังคับกับชีวิตที่เหลือแล้วก็ เรื่องเรียนมันด้วย มันกลัวว่ามันจะโปรเจ็คจบไม่ผ่าน"
   “มันบอกแกหรือเปล่า ว่ามันรู้สึกยังไงกับแก" สาถาม
   “อันที่จริงก็บอก" มิกว่า "มันเอ่อ.....มันโกรธจะตายห่า ตอนที่ฉันบอกรักมันเอาคืนสุดท้ายก่อนมันจะไป"
   “นี่แกจริงใจกับมันจริงๆป่ะเนี่ย" สาถามขึ้น
   “ไหงถามงี้อ่ะ" มิกว่า "จริงใจดิวะ ฉันรักใครรักจริงนะเว่ย ตอนนัทฉันก็รักจริงๆ มันต้องใช้เวลานะเว่ย กว่าฉันจะมั่นใจว่าฉันไม่รักมันแล้ว แล้วเอิร์ธ คือคนเดียวที่ฉันรักน่ะเว่ยสา"
   “แต่แกไม่ได้ให้ความั่นคงอะไรมันเลยซักอย่าง" สาว่า "แกเป็นพี่เทคดูแลมันมาได้ยังไงวะ"
   มิกมองหน้าเธอ
   “แกจะโลเลหรืออยากพิสูจน์อะไรฉันก็ไม่รู้หรอกนะ" สาว่า "แต่เท่าที่ฉันฟัง ฉันเห็น เอิร์ธมันบอกแกทุกอย่าง ว่ามันเคยทำอะไร ทำอะไรอยู่ และจะทำอะไรต่อไป แต่แกไม่เคยบอกมันเลยนะ แกบอกมันแต่อดีตของแก แต่แกไม่เคยบอกปัจจุบัน หรืออนาคตของแกเลยอ่ะ"
   มิกมองไปยังแมคที่วางอยู่ไม่ไกลกันนัก จริงสินะ
   
   “พี่ทำให้ผมนึกถึง สิ่งที่ผมเคยทำให้แพรเมื่อก่อน" เอิร์ธพูดเบาๆ เสียงแข็งๆของเด็กหนุ่มขุ่นมัว

   “ผมอ่ะ เลือกเรียนก็ต่างจากที่ที่บ้านหวังเอาไว้แล้วอ่ะ" เอิร์ธว่า "ผมก็เลยต้องทำเลย ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่ได้อิสระ อย่างที่สายงานนี้ควรจะเป็น"
   
   “ผมต้องไปแล้วพี่" เอิร์ธว่า "ผมจะเปิดเทอมแล้ว แม่ก็กำลังจะกลับมาจากอังกฤษ ผมต้องกลับไปทำโปรเจ็คจบ"

   “ผมต้องคิดแล้วพี่ ผมไม่อาจจะอยู่กับอย่างคนแพ้กับพี่ที่นี่ไปได้ตลอด ผม...ผมต้องโต" เอิร์ธว่า "แล้ว...แล้วผมก็รู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องโต.........ซะที"


   “แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา แกเอาแต่เล่าถึงอดีตของแก ใช่มะ" สาว่า "เล่าว่าแกรักไอ้นัทยังไง รู้จักกับฟ้าได้ยังไง แต่แกไม่เคยบอกมันซักคำว่า แกจะเอายังไงต่อ แกจะยังรักไอ้นัทอยู่ไหม หรือแกจะรักใคร แกบอกมันครั้งเดียว เอาวันที่มันจะไปน่ะนะ"
   “ฉันไม่อยากเอาความไม่แน่นอนของตัวเอง ไปทำให้มันต้องเจ็บ" มิกว่า
   “งั้นทฤษฎีของกายก็ใช้ได้" สาว่า "แกเห็นแก่ตัวมากที่จะมีความรักโดยที่ตัวเองไม่เจ็บ แกไม่อยากเจ็บ เพราะแกไม่อยากรุ้ว่าน้องมันจะเจ็บ แต่น้องมันอุตส่าห์วิ่งใส่แกขนาดนี้แล้ว แสดงว่ามันก็พร้อมที่จะเจอกับความเจ็บทุกอย่างแล้วเว่ยมิก มันก็แค่ เด็กเกรียนๆที่ไม่ไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชาย มันก็เลยไม่กล้าที่จะบอกแกว่ามันก็รักแกขึ้นมาแล้วไงล่ะ มันเขินไงไอ้มิก"
   “แล้วฉันต้องทำไง" มิกว่า
   “แกพลาดไปแล้ว เพราะน้องมันไปแล้วน่ะ" สาพูดเสียงเศร้า "แกนะแก ถ้าปรึกษาฉันซักนิด แกกับน้องมันแฮปปี้เอนดิ้งไปและ มัวแต่อินดี้อยู่ได้"
   “เห้ยซีเรียสนะเว่ย" มิกว่า
   “แกต้องหวังเอาเองแล้วว่ะ" สาว่า "แกปั่นกันเองนี่นา ก็อยู่กับความหวังที่คิดขึ้นเองก็แล้วกัน มันขึ้นกับว่าแกจากกันยังไง ทิ้งอะไรไว้ให้กันหรือเปล่า เชื่อมั่นได้มากแค่ไหน ว่าจะกลับมาเจอกันอีก"
   มิกหลับตาเพื่อควบคุมอามณ์ตัวเอง
   “ชิบหายและ ฉันต้องไปปารีสก่อนเอิร์ธมันจะจบว่ะ" มิกร้องพลางกันกลับมาหาสา
   “นั่นไง" สาร้องเสียงดัง "งานเข้าแล้วแก"
   “ฉันต้องทำอะไรบางอย่างแล้วว่ะ" มิกว่า
   “โอ้.....จริงเหรอมิก คิดได้แล้วเหรอ" สาทำเสียงสูง พลางเหลือกตาใส่มิก
   “ฉันอาจจะต้องลองขอคุณสุเมธดู ว่าจะเลื่อนกำหนดการได้ไหม" มิกว่า "ไปเป็นซักปีหน้า"
   “แกยังเป็นหน้าใหม่ของเขาอยู่เลยไอ้มิก จะเข้าไปขอพี่สุเมธได้ไง" สาว่า
   “งั้นเดี๋ยวฉันจะทำให้ตัวเองไม่เป็นหน้าใหม่เอง" มิกว่าพลางครุ่นคิด "ฉันจะทำแกลอรี่ ให้ตัวเองดัง แล้วจะลองขอพี่เค้าดู"
   “โห แผนระยะยาวไอ้นี่" สาว่า "เอาเถอะ จะทำก็รีบทำละกัน"
   “เรื่องฉันจบและ แล้วเรื่องไอ้นัทอ่ะว่าไง" มิกถามสา เธอยิ้มกริ่ม
   “ฉันจะทำให้ไอ้นัทโต" สาว่า "คนอย่างกาย ไม่เคยเจอใครเหนือกว่า ไม่เคยขอร้องใคร ฉันจะทำให้ไอ้นัทกลายเป็นคนที่กายคุกเข่าขอร้องให้ได้"
   “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะเปลี่ยนไอ้นัทน่ะ" มิกว่า "ไอ้งี่เง่าสุดโตางที่ตอนนี้ยิ่งเจ้าน้ำตาซะด้วย"
   “มันก็พอๆกับแผนสร้างชื่อเสียงของแกนั่นแหละไอ้มิก ก็ใหญ่พอกันแหละวะ" สาว่า
   สาไม่รู้หรอกว่าเธอจะทำสำเร็จไหม แต่เธอต้องทำ เพื่อทางออกที่ดีกว่านี้
   …............

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ไปลาวแล้วนึกว่าเรื่องทุกอย่างจะดีขึ้น  ทำไมกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ  เฮ้อ

LifeTime

  • บุคคลทั่วไป
 :m15:
 :m16:
 :o8:
ได้ครบทุกรสชาดจริงๆ รอตามตอนต่อไป  :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kuichai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้คิดได้ว่า ทุกคนต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นกาย นัท มิค แต่งคนก็ทำแต่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดโดยไม่ถามความสมัครใจของคนใกล้ตัว เพียงเพราะคิดแทนเค้าแล้วว่าดี แต่ต่างคนก็ต่างไม่มีใครหยุดเพื่อใคร ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตามความฝันโดยไม่คิดถึงความรักไม่คิดถึงตัวเองไม่คิดถึงคนใกล้ตัวเพียงเพราะคิดว่ามันดีที่สุดแล้ว

โดยความรู้สึกนะค่ะอ่านแล้วชอบและก็คิดตามด้วยเพราะทุกวันนี้เราก็คิดแบบตัวละครในเรื่องเหมือนกันเราวิ่งตามความฝันมาตลอดจนลืมหันไปมองครอบครัวพอรู้สึกตัวอีกทีเราก็เหมือนเป็นคนนอกไปแล้ว อ่านเรื่องนี้ไปน้ำตาก็ไหลมาเรื่อยๆ ทำให้เราได้มองกลับไป ยอมรับว่าตอนนี้ไม่มีความสุขเลยเพราะเราได้ฝันแต่เราขาดความรักเวลามองเห็นคนที่เดินผ่านไปเป็นคู่เดินจับมือและยิ้มให้กัน พอลองมามองตัวเองแล้ว เฮ้อ!!!!!!!

ปล.ชอบนิยายของคุณค่ะ และจะติดตามต่อไปทุกๆเรื่องที่คุณแต่ง
 
        ขอบคุณที่แต่งนิยายดีเรื่องนี้ไว้ให้อ่านนะค่ะ ชอบมาก ถ้ารวมเล่มจะรีบซื้อเลยค่ะ

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 39 You're Not My Friend Anymore

   “เดี๋ยวก่อนนัท" กายเปิดประจูรถวิ่งตามนัทมาทันก่อนเขาจะขึ้นไปในตึก นัทหันกลับมาหากายอย่างเหนื่อนหน่าย
   “มีอะไรอีกคุณ" นัทว่า
   “คุณจะเลิกงานกี่โมงเนี่ย" กายร้องถาม
   “ไม่รู้ อาจจะสามทุ่มมั้ง" นัทว่า
   “สามทุ่มเลยเหรอ" กายร้อง
   “ใช่...ทำไมเหรอ งานพี่สุเมธนะคุณ คุณก็น่าจะรู้จักดี" นัทว่า
   “งั้นผมจะมารับ" กายว่า นัทพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง "ไม่ต้องเถียงอะไรแล้ว อยู่ที่นี่แหละ ผมจะมารับโอเคป่ะ"
   กายสะบัดหลังหายไปทันที นัทถอนหายใจเบาๆ มองกายบึ่งรถออกไปด้วยความโกรธขึ้ง ชายหนุ่มหันหังวิ่งกลับเข้าไปในออฟฟิศ   
   “แผนไอ้สานี่มันได้ผลจริงๆแหะ" เสียงของมิกดังขึ้นข้างๆตัวเอง นัทพบเพื่อนของเขาเดินออกมาจากทางขึ้นมาจากลานจอดรถใต้ดิน
   “แต่มันทำให้ฉันอึดอัดเข้าไปทุกทีแล้วว่ะ" นัทว่า "เขาต้องการอะไรจากฉันก็น่าจะบอกกันมาตรงๆ ทั้งๆที่ฉันบอกเขาไปหมดแล้ว"
   “เอาน่า" มิกว่า "อีกอึดใจเดียวเว่ย"
   ทั้งคู่เดินเข้าลิฟท์ทันที ลิฟท์ที่มีแต่เขาสองคน
   “ว่าแต่แกโอเคจริงหรือเปล่า" มิกถามขึ้น
   “โอเคดิ" นัทว่า "ตอนนี้อะไรๆมันก็เจ๋งนั่นแหละ ฉันมีงานที่ใครๆก็อยากได้ กายเค้าก็เทียวมาหาอยู่เรื่อย"
   “แล้วแกบอกเค้าหรือยังว่าแกจะไปปลายปีนี้" มิกถาม
   “ยังอ่ะ" นัทว่า
   “อย่าลืมที่สาบอกนะ" มิกย้ำ "มันสำคัญมากกับเรื่องของแก แกต้องห้ามบอกเขาเด็ดขาดว่าแกจะไปเมื่อไหร่"
   “แกคิดว่าแผนไอ้สาจะได้ผลจริงๆเหรอวะ" นัทว่า "ฉันไม่เห็นว่าเขาจะวิ่งตามฉันตรงไหน ทุกครั้งที่เขาเจอฉันมันก็แค่เขามีธุระเกี่ยวกับฉันเท่านั้น แล้วถ้าฉันต้องไปจริงๆ เขาจะมาส่งฉันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย"
   “ฉันไม่รู้ว่าจะแนะนำแกยังไงหรอกว่ะ สาไม่อยู่แล้ว ฉันก็ไม่ได้เชี่ยวแบบมันซะด้วย" มิกว่า "แต่แกอ่ะ ก็อย่ามองอะไรให้แคบลงไปล่ะ ยังไงๆแกก็รักเค้าไม่ใช่เหรอวะ"
   นัทพยักหน้ารับ
   “มันจะต้องมีทางออกที่ดีแหละ เชื่อสิ"
   “ที่ฉันทำแบบนี้ ก็เพราะเชื่อว่าจะมีทางออกที่ดีนั่นแหละ" นัทยิ้มให้มิก ก่อนที่ประตูลิฟท์จะเปิดออก "ว่าแต่วันนี้มาทำไมวะมิก"
   “ฉันจะมาเลื่อนกำหนดการไปปารีส" มิกว่า "ไปซักหลังจากมีนา"
   “โห อีกตั้งสามเดือนเลย" นัทว่า "ทำไมวะ"
   “ไม่มีอะไรหรอก" มิกว่า "ต้องอยู่จัดการอะไรๆที่ Lovable น่ะ"
   “อ้อเหรอ" นัทรับคำก่อนจะเดินเข้าไปในออฟฟิศทันที จูเนียร์ดีไซน์เนอร์รีบเดินเข้ามาประกับนัททันที
   “พี่ไม่เข้าใจว่ะ ว่าการบรีฟมันจะยากอะไรนักหนา" นัทเริ่มต้นพูดขณะที่เดินตรงข้าไปในออฟฟิศ พลางวางกระดาษจากกระเป๋าลงบนมือเด็กหนุ่ม
   “แต่ผมอ่านแล้วนะพี่นัท" ดีไซน์เนอร์คนนั้นตอบ
   “พี่ไม่สนใจรายละเอียดความผิดพลาดของนายหรอกนะ" นัทว่า "บอกพี่แมกซ์ด้วยว่างานเลี้ยงจะเริ่มตอนหกโมง  ให้คนขับรถไปรับเขากลับมาตอนหกโมงสี่สิบห้า และนี่รายละเอียดสำคัญจากงานสัมนาเมื่อเช้า คัดลอกเป็นไฟล์แล้วก็ส่งพี่สุเมธก่อนแกกลับบ้าน คอนเฟิร์มประชุมเรื่องหุ้นส่วนหรือยัง"
   “คอนเฟิร์มอะไรนะพี่"
   “คอนเฟิร์มประชุมไง กับผู้ถือหุ้น ติดต่อกับฝ่ายประสานงานดิ" นัทว่า "รีบไปเลยเหอะ เดี๋ยวนี้เลย"
   ดีไซน์เนอร์คนนั้นพยักหน้ารับ ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในออฟฟิศ ขณะที่นัทเดินพาตัวเองเข้ามาในบล็อคพาซิชั่น ขนาดกว้างพอควร ที่เป็นพื้นที่ทำงานส่วนตัวของเขา
   “โห" มิกร้องทันทีเมื่อมาถึงห้องทำงานของนัท "แกเอาหัวตรงในไปจำตารางงานวะไอ้นัท นี่มันงานเจ๊ผึ้งยกกำลังเข้าไปอีกเลยนะ"
   “อือ" นัทพูดเสียงหน่ายๆ "ได้มาทำเองถึงรู้เลยอ่ะว่าเจ๊ผึ้งแกเก่งมาก แถมแกมีครอบครัวที่ต้องดูแลอีกด้วย"
   “ห้องทำงานแกสะอาดดีนะ" มิกกล่าวชม พลางนั่งลงที่มุมๆหนึ่ง "กว้างดี"
   “ไม่ใช่ของฉันซะทีเดียวหรอก" นัทว่า "เพิ่งจะแบ่งพาซิชั่นกั้นให้ฉันเอง เพราะเดี๋ยวฉันก็ไม่อยู่แล้ว"
   “แล้วแกจะเอายังไง" มิกถามขึ้น
   “เรื่องอะไร" นัทถาม
   “ก็เรื่องคุณกายไง" มิกถามต่อ
   “ให้ตายเหอะมิก สามันไม่อยู่แล้ว แกก็ไม่ต้องทำหน้าที่แทนมันก็ได้เหอะ" นัทร้อง
   “ถึงแกจะเปลี่ยนไป แต่ฉันรู้เว่ย ว่าไม่ได้เข้มแข็งขึ้นหรอก" มิกว่า
   “ฉันก็เคยบอกแกแล้ว ว่าฉันไม่ได้เปลี่ยน" นัทว่า
   “ถ้าไม่เปลี่ยนจริงๆ ก็ยิ่งถูกว่ะ" มิกว่า "แผนไอ้สามันอาจจะใช้ได้น่ะเว่ย แต่ถ้าแกอึดอัด ปล่อยวางมันลงบ้างก็ได้"
   “มิก แกรู้หรือเปล่าว่าทำไมฉันถึงเลือกเป็นแบบนี้" นัทว่า "มันไม่ใช่เพราะแผนของไอ้สาอย่างเดียวหรอก"
   “หมายความว่ายังไง" มิกว่า
   “หมายความว่าวันนึง วันนี้ก็ต้องมาถึงเว่ย" นัทว่า "มันเคยมีบางครั้ง ไม่สิ หลายครั้งเลยเว่ย ที่ฉันงี่เง่า งี่เง่ามากๆ เอาอารมณ์ที่ต้องการกายเค้ามากๆมาเป็นที่ตั้ง แต่ตั้งแต่วันที่สามาเตือนสติฉัน มันทำให้ฉันคิดได้นะเว่ย"
   มิกมองหน้านัทเหมือนกับว่า เพื่อนรักของเขาคนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
   “ความรักมันไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต กายเค้าเข้ามาทำให้ฉันงี่เง่า ต่างคนต่างทำให้ตัวเองงี่เง่า แล้วก็สูญเสียความเป็นตัวเองไป" นัทว่า "มันต้องถึงเวลาที่เราต้องกลับมาเป็นตัวของตัวเองนะเว่ย"
   “ไหนแกบอกว่าแกรักเขาไง" มิกถาม
   “ไอ้ที่ฉันรักเขาน่ะมันเป็นแค่เรื่องรอง" นัทว่า "จริงๆแล้วทั้งเค้าต่างรักตัวเองมากกว่า และรักตัวเองมาก เวลาอยู่ด้วยกัน แต่นี่มันชีวิตนะเว่ยมิก ชีวิตที่ต้องเดินไปข้างหน้า"
   มิกก้มหน้าลง
   “ถ้ายังไม่เข้าใจล่ะก็ แกก็เตรียมตัวได้เลย" นัทว่า "ตอนที่ฉันเจอกับเขาเมื่อเดือนที่แล้ว เขาทำหน้าเหมือนแกตอนนี้แหละ ตอนฉันพูดประโยคเมื่อกี้"
   “แค่รักกันมันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอวะ" มิกว่า
   “นั่นมันความฝันมิก" นัทว่า "ฉันก็เคยคิดแบบนั้น จนกระทั่งฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดคือความมั่นคงของชีวิต เราอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกกันแล้วนะเว่ย แกไม่คิดอยากจะมีซักคนที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดบ้างเหรอ"
   “ความรักที่จบลงแล้วงั้นเหรอ" มิกว่า
   “ใช่" นัทตอบ "ความรักแบบที่ทุกๆคนอยากเป็น ความรักแบบที่ไอ้สามี รักแบบที่ไม่ต้องปิดบังใคร รักแบบรู้เสมอว่าถ้าเรากลับบ้าน เราก็จะเจอเขา ไม่ใช่หายไปเป็นเดือนๆปีๆ แล้วก็กลับมาเจอกันน่ะ"
   นัทส่ายหัวอย่างหัวเสีย
   “นั่นมันคำพูดไอ้กายนิ" มิกพูดเบาๆ
   “ใช่" นัทตอบ "ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันก็คงจะเจ็บกับทางเลือกนี้ เจ็บแบบไม่มีที่สิ้นสุดซักที เพราะสุดท้ายแล้วคนเราก็รักตัวเองที่สุดเว่ยมิก สามันขอให้ฉันรักตัวเองบ้าง และฉันก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ฉันควรทำ"
   “แกเคยบอกกายเขาหรือเปล่า ว่าแกต้องการแบบนี้" มิกถาม "ต้องการความรักที่จบลงแล้ว ต้องการไปถึงปลายทางของเรื่องนี้ ความมั่นคงจากเขา"
   “ไม่อ่ะ" นัทว่า "เพราะฉันรู้ว่าเขาไม่ทำไง"
   “แล้วแกจะเลือกอะไรวะ" มิกว่าเสียงดัง "ทิ้งเขาไว้ข้างหลังงั้นเหรอ นั่นคือคนที่แกรักไม่ใช่หรือไง"
   “ฉันไม่รู้โอเค้" นัทร้องกลับบ้าง "ฉันไม่รู้ ฉันแค่เลือกทางที่ตัวเองจะเลิกเจ็บบ้างไม่ได้หรือไงวะ แกอย่าทำเหมือนว่ากายขอให้แกมาพูดอย่างนั้นแหละ"
   “ไม่มีใครมาขอฉันทั้งนั้นและ" มิกว่า "ฉันแค่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยคนที่ตัวเองรักมากที่สุดต่างหากล่ะ"
   นัทหันมามองหน้ามิกทันที
   “การคิดถึงใครบางคนมันไม่สนุกเลยนะเว่ย" มิกว่า "แกจะปล่อยให้คนที่แกรักเจอกับเรื่องแบบนั้นทุกวันไม่ได้นะเว่ย"
   “เขาก็เคยทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นมานานมาก" นัทว่า "คนนึงวิ่งมากอบโกยเอาความรัก เอาความอบอุ่น เซ็กซ์ ทุกๆอย่างจนอิ่มแล้วก็ไป มีความสุขไปได้อีกเรื่อยๆ ในขณะที่อีกคนต้องนั่งอยู่ที่เดิม เพื่อรอเขากลับมาทำแบบเดิมซ้ำๆ งั้นเหรอวะ"
   มิกเมินหน้าหนี
   “งั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่นๆในสังคมนี้หรอก มันไม่ได้เรียกว่ารักด้วยซ้ำ" นัทว่า "มันแค่การหาความสุขส่วนตัว และกายเขาก็ได้จากฉันหมดแล้ว ทุกอย่างที่เขาต้องการ แม้แต่คำว่ารักที่กายเค้าไม่เคยมี ฉันก็ให้เขาไปแล้ว แต่เขาไม่เคยให้สิ่งที่ฉันขอเลยเว่ยมิก ไม่เคยเลย จริงอยู่ที่เขาพยายามทำในแบบของเขา เอาฉันขึ้นไปอยู่กับเขา แต่ฉันทนไม่ไหวว่ะ มันไม่ใช่อ่ะ ทางเลือกเดียวที่ฉันมีกับเรื่องนี้ คือเดินไปตามทางที่ฉันมีเว่ยไอ้มิก นี่คือทางเดียวที่จะจบเรื่องนี้"
   “แกเปลี่ยนไปจริงๆด้วย" มิกพูดเสี่ยงสั่น
   “ไม่เลย ฉันกลับไปเป็นคนเดิมแล้ว" นัทว่า "คนที่แกรู้จักมาตลอดนั่นแหละ นี่แหละคือตัวฉัน ถ้ากายเขารักฉัน เขาก็ต้องรักที่ฉันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่คนที่นั่งร้องไห้ฟูมฟายขอให้เขาอยู่อีกต่อไปแล้ว"
   “คิดได้อย่างนั้นก็ดี"  มิกว่าพลางลุกขึ้น "แต่ฉันไม่เห็นด้วยว่ะ"
   นัทส่ายหน้าให้มิก
   “อย่าให้เรื่องของเขามาทำให้แกกับฉันทะเลาะกันมิก" นัทว่า "ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันกับเขาต่างคนต่างเดิน มีความรักระหว่างกลางให้กัน นี่แหละจบแล้ว......กายเขาต้องการชีวิตแบบนี้ เขาเลือกเอง ตอนนี้ฉันเองก็มีความสุขดี"
   “แต่สิ่งที่แกไม่มีในความสุขบ้าบอกนี่คืออะไรรู้ไหม" มิกว่า "ความหวังไง......ความหวังคือจุดหมายที่คนเราตั้งเอาไว้ในทุกๆเรื่อง แกเดินไปข้างหน้าแบบนี้ แกกับเขาก็จะห่างกันไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายแกกับเขาก็ต้องเลิกกัน คนเราวิ่งหาอะไรได้ไม่นานหรอก ถ้ารู้ว่าตัวเองกำลังหมดหวัง"
   “เขาไม่หยุดวิ่งหาฉันหรอก" นัทว่า
   “ตอนนี้น่ะใช่" มิกว่า "ก็แกเพิ่งจะบอกรักเค้าไป พอมันหมดอายุเมื่อไหร่ บวกกับแกทำตัวแบบนี้ด้วย เดี๋ยวมันก็ไป กายสิทธิ์น่ะเว่ย พ่อมดแห่งวงการเชียวนะ แกคิดว่าเขาจะวิ่งหาแกไปตลอดจริงๆน่ะเหรอ ขนาดยัยเจน เขายังไม่เอาเลย"
   “แล้วจะให้ฉันนั่งรออยู่ที่เดิม ทนเจ็บอยู่แบบเดิม ทั้งๆที่เขาก็ไม่หยุดอยู่ดีอ่ะเหรออวะ" นัทว่า "ทำอย่างที่แกทำอ่ะนะ ชอบฉันก็ไม่บอก นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม รอใครบางคนอยู่ที่มุมเดิมๆ เพื่อหวังว่าซักวันเขาจะกลับมาน่ะเหรอ"
   “ใช่ ฉันทำอย่างนั้น" มิกว่า "ฉันต่างหากที่ไม่เปลี่ยน"
   “แล้วเคยสมหวังบ้างป่ะล่ะ" นัทว่ากลับอย่างเผ็ดร้อน พลางลุกขึ้นประจันหน้ากับมิก "เคยมีใครกลับมาหาแกบ้างหรือเปล่า"
   มิกมองหน้านัทพลางกัดฟัน
   “แกรอใครมาบ้างล่ะ จะให้ฉันนับไหม" นัทว่าใส่มิกต่อ "ไอ้ฟ้าล่ะ มันหายไปกี่ปี กว่ามันจะกลับมา แล้วมันกลับมายังไง เหมือนเดิมไหม"
   นัทกำลังทำให้อารมณ์มิกพลุ่งพล่าน ชายหนุ่มกำหมัดแน่น
   “ไอ้เอิร์ธล่ะ ตอนนี้มันไปอยู่ไหน ตอบดิ" นัทว่า "แกยังไม่เคยลืมมันเลยใช่หรือเปล่า"
   มิกกัดฟันแน่น
   “แล้วฉันล่ะ ฉันกลับมาหาแกมั้ย"
   พลั่ก!!!!
   นัทเซถลาลงไปกองกับพื้น มิกมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ชายหนุ่มหายใจหอบถี่ขณะมองหน้าเพื่อนรักที่กองอยู่กับพื้น
   “แกจะทำอะไรกับชีวิตรักของแกก็ทำ" มิกพูดเบาๆ "แต่ฉันไม่เอาด้วยแล้ว"
   นัทหลับตาลง พลางพยุงตัวเองลุกขึ้น ลูบริมฝีปากที่มีเลือดออกอย่างเบามือ
   “แกอย่ามายุ่งกับเรื่องของฉันกับเอิร์ธ" มิกว่าพลางเก็บข้างของเดินออกไปจากห้องนัท "ฟ้ามันพลาดมาคนนึงแล้ว แกอย่าให้ตัวเองเป็นคนต่อไป"
   มิกหายออกไปจากสตูดิโอทันที
   นัทส่ายหัวอีกครั้ง ไม่อยมให้ความคิดงี่เง่าใดใดเยื้องกายเข้ามาในหัวอีก ก่อนะหลับตาลงเพื่อนั่งทำงานของตัวเองต่อไป
….................
   ล่วงเลยเวลาไปกว่าหกชั่วโมง นัทนั่งทำงานอยู่อย่างไม่ลืมหูลืมตา ลุกไปสั่งงานกับสตูดิโอของลูกทีมบ้าง ทำให้เขาไม่ได้ใส่ใจในเวลา จนกระทั่งรู้สึกตัวอีกทีก็สี่ทุ่มแล้ว จึงเริ่มเก็บข้าวของแล้วลงไปยังด้านล่างของออฟฟิศทันที
   “พี่ต้อม ยังอยู่หรือเปล่าเนี่ย" นัทโทรไปยังโทรสัพท์เพื่อเรียกคนขับรถของสตูดิโอ
   “ยังอยู่ครับน้องนัท" เสียงพี่ต้อมตอบกลับมาในโทรศัพท์
   “ผมจะกลับแล้วพี่" นัทว่า "เอารถออกมาเล.......”
   นัทเห็นกายยืนพิงประตูทางออกอย่างไว้ท่าก่อนจะมองมาหาเขา
   “ฮัลโหลน้องนัท" เสียงยังคงดังมาจากโทรศัพท์ "จะให้พี่ไปรั.......”
   กายเดินตรงรี่เข้ามาหยิบมือถือของนัทและปิดมันลงทันที ด้วยความเหนื่อยล้าของนัท เขาจึงขี้เกียจที่จะขัดขืนหรือต่อต้านกายในตอนนี้ สิ่งที่เขาปราภนาที่สุดคือน้ำอุ่นๆจากฝักบัวและเตียงอันหนานุ่มของตัวเองที่บ้าน
   “ทำไมถึงเลิกช้าล่ะ" กายถามขึ้น นัทก้มหน้าลง
   “ผมทำงานเพลินไปหน่อยน่ะ" นัทว่า
   “กลับกับผมเถอะ" กายร้อง
   “คุณทำซะขนาดนี้แล้วอ่ะ ก็น่าจะน๊อคผมแล้วลากขึ้นรถไปเลยดีกว่า" นัทพูดเสียงอ่อย กายถอนหายใจเบาๆ
   “เอาจริงๆถ้าผมทำได้ ผมทำแล้ว" กายว่าก่อนจะจับแขนนัทแล้วพาเดินออกไปยังรถที่จอดอยู่หน้าออฟฟิศ
   นัทไม่ยอมรับการกระทำเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เขาจะไม่ยอมให้อะไรมาขัดขวางช่วงชีวิตนี้ของตัวเองเป็นอันขาด แม้ว่าที่จริงแล้วสิ่งที่เขาแอบกลัวคือการต้องเสียกายไป ระหว่างการก้าวไปข้างหน้า แต่พอมานึกดูแล้วว่าไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็คงไม่ต่างกัน ดังนั้นเขาจะไม่ยอมหยุดเดินเด็ดขาด
   ไม่มีวัน.......
…..................

3 เดือนก่อนหน้านั้น............

   “ครับ เอาไว้ตรงนั้นเลยครับ ขอบคุณมากครับ” มิกก้มลงเซ็นเอกสารสองสามฉบับ แล้วส่งให้กับพนักงานส่งของ ขณะที่นัทยืนเท้าเอวอยู่ในสตูดิโอ นั่งมองข้างของที่มิกกองมันเอาไว้ทั่วสตูดิโอ
   “ฉันว่ามันจะไม่เว่อร์ไปหน่อยเหรอวะ" นัทร้อง "แกลลอรี่ที่ Crystal Design Center มันไม่แพงไปหน่อยเหรอ จัดที่ BACC เอาก็ได้นี่ แทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยนะ"
   “มันจะมีความหมายต่างกันมากเลยนะเว่ย" มิกว่าพลางแกะห่อของดูเพื่อเช็คความถูกต้องอีกครั้ง "ใครๆก็จัดได้ดิที่ BACC แถมถ้าเป็นฉันไปขอ พี่ๆที่นั่นก็รู้จักกันอยู่แล้ว เดี๋ยวก็ได้ฟรีหรอก"
   “แล้วไม่ดีหรือไง ได้แกลอรี่มาฟรีๆกลางกรุงอย่างสยามน่ะ" นัทว่า
   “แล้วของชำร่วยที่แจกฟรีๆในงานอีเวนท์เนี่ย แกเคยเห็นคนเก็บไว้หรือเปล่าล่ะ" มิกว่า "เดินไปได้สามก้าวแม่งก็ทิ้งแล้ว"
   นัทเหลือกตาขึ้น
   “ฉันไม่เข้าใจว่ะ แกจะพยายามไปทำไมกับเรื่องแค่ขอพี่สุเมธเลื่อนกำหนดการย้ายไปปารีสของแกเนี่ย" นัทว่า "อีกแค่สี่วัน ฉันก็จะออกจากที่นี่แล้ว เดี๋ยวฉันช่วยพูดให้ก็ได้"
   “มันไม่เหมือนกันนะเว่ย" มิกว่า "แกกับไอ้สา ทำงานที่คนเข้าใจได้ง่ายมากกว่าฉัน ฉันเป็นอาร์ทิส ฉันต้องสร้างชื่อเสียงเท่านั้น ถึงจะมีอำนาจต่อรองกับคนอื่นๆในวงการได้ แค่งานเล็กๆของ BAD Award มันไม่พอหรอก"
   “แต่แกจะเหนื่อยไปหรือเปล่า" นัทว่า "เก็บแรงไว้เหนื่อยที่ปารีสไม่ดีกว่าหรือไง"
   “ไม่อ่ะฉันเอ่อ....” มิกว่า "ฉันก็แค่อยากทำ.....”
   “....ทำให้ไอ้เอิร์ธ.....ใช่ป่าว" นัทยิงคำถามเข้าเป้า มิกหันควับมามองนัท
   “เอามาจากไหน" มิกว่า "ไอ้สาบอกอะไรแก"
   “.....เห้ย......ฉันไม่ได้โง่" นัทว่า "ถึงฉันจะดูเหมือนห่างๆจากแกไปนะมิก แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่รู้อะไรเลยนะเว่ย ไอ้สาก็ไม่ต้องบอกอะไรฉันหรอก"
   มิกก้มหน้าลง
   “ไม่ใช่หรอก" มิกว่า "ยังไงไอ้เอิร์ธก็ไม่กลับมาหรอก"
   “รู้อย่างนี้แล้วแกจะทำอย่างนี้ไปทำไมวะ" นัทถามต่อ "ทำแบบนี้ รังแต่จะยื้อแกให้อยู่กับที่นะเว่ย แกจะอยู่กับความหวังลมๆแล้งๆแบบนี้เนี่ยนะ"
   มิกวางของทุกอย่างลงก่อนจะหันหน้ามาหานัท
   “อย่าได้เอาสิ่งที่ไอ้สายื่นทางออกให้กับแกเรื่องไอ้กายมาใช้กับฉัน" มิกว่าใส่นัท "ฉันกับน้อง เราสองคนไม่มีอะไรเหมือนแกกับกับไอ้กาย"
   “อ...อะไรนะ" นัทรู้สึกตกใจกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของมิก
   “ถึงฉันจะอยู่กับที่ ฉันก็มีความสุขดี สุขกับความหวังลมๆแล้งๆของฉันนี่แหละ" มิกว่า "ฉันมีความสุขที่ได้รอแกมาตั้ง 4 ปี กะน้องที่มันเพิ่งหายไปสามเดือน ฉันไม่ตายหรอก"
   “แต่แกก็รู้ว่ามันจะไม่กลับมา" นัทร้อง
   “ไม่รู้อะไรจริงอย่าเว่ย" มิกว่า "น้องกับไอ้กาย ไม่มีอะไรเหมือนกัน"
   “ฉันก็แค่อยากจะหาทางเลือกที่ดีที่สุดให้แก" นัทว่า
   “อย่ามาทำตัวเหมือนไอ้สาอีกคน" มิกว่า "แกยังไม่ได้ครึ่งนึงของมันหรอก แกต่างหาก ที่แกเลิกฟูฟายได้แล้วก็เพราะไอ้สาเลือกทางเลือกที่ดีกว่าให้แก แน่นอน แกต้องกระโจนเข้าใส่ เพราะยังไงก็ตามแกรู้อยู่แล้วว่าไอ้กายวิ่งไล่แกแน่นอนในเกมส์นี้ แต่นี่ไม่ใช่ทางที่ดีที่สุดซักหน่อยเหอะ ฉันพนันเอาไว้ตรงนี้เลยว่า ถึงจุดจบ แกก็ต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม"
   “นี่จะดูถูกกันมากเกินไปและ" นัทว่า
   “ฉันพูดความจริงเหอะ ฉันรู้จักกับแกมากี่ปีไอ้นัท" มิกว่า "ฉันไม่มีวิธีพูดแบบรักษา้ำใจแบบที่ไอ้สามีหรอกนะ ฉันก็พูดได้แค่นี้แหละ"
   “งั้นแกอย่างพูดเลย" นัทว่า
   “งั้นแกก็อย่ามายุ่งเรื่องของฉันกับไอ้เอิร์ธ" มิกว่า "ฉันขอ ฟ้ามันทำพลาดมาแล้ว แกอย่าเลย แกทำไม่ได้เหมือนไอ้สาหรอก"
   นัทหันหลังให้กับมิก ก่อนจะมองไปยังโต๊ะดราฟของตัวเอง พลางเดินเข้าไปหยิบตุ๊กตาพวงกุญแจที่เขวนอยู่กับกล่องดินสอ เขาหลับตาลงก่อนจะดึงมันออกไป
   “นี่แหละสาเหตุ" มิกว่า "แกกับฉันไม่เหมือนกัน เหมือนกับที่ไอ้กาย กับไอ้เอิร์ธมันไม่เหมือนกัน"
…..........

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 40 Apologize

   “เมื่อวานผมได้ลองโทรไปแล้ว ทางนู้นเค้าบอกว่ามิกเดินทางไปได้ช้าสุดก็ราวๆมิถุนาแหละครับ" นัทว่าในห้องทำงานของพี่สุเมธ "เพราะงานแฟชั่นวีคจะเริ่มตอนกันยา มิกยังเหลือเวลาอีกสามเดือนในงานลุยงาน เขาบอกว่าถ้ามิกมันเจ๋งพอ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง"
   “แล้วคุณว่าไงล่ะนัท" พี่สุเมธถามเสียงเข้ม
   “ก็...ผมก็รู้จักเขามานาน" นัทว่า "เขาจะทำอะไรก็มีเหตุผลขอเขาเสมอ เขาอาจจะยังไม่พร้อมจริงๆน่ะครับพี่เมธ แต่ผมเชื่อว่าเขาสามารถทำได้ครับ ถึงจะแค่สามเดือน"
   “งั้นก็ตามนั้น" พี่สุเมธตอบ "ผมให้เลื่อนได้"
   “ขอบคุณมากครับพี่" นัทเดินออกมาจากห้องทำงานของพี่สุเมธพลางหลับตาลงอย่างโล่งใจ เมื่อเขากลับมาถึงห้องทำงานของตัวเอง ก็พบมิกที่กำลังนั่งก้มหน้าลงอยู่ที่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของตัวเอง
   มองหน้ากันอยู่พักนึงก่อนที่นัทจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ
   “พี่สุเมธตกลงนะ" นัทพูดขึ้นเบาๆ "ฉันเอ่อ.....ฉันไปพูดให้แล้ว แกอยู่นี่ได้ไปถึงต้นมิถุนาโน่นเท่านั้น แต่ถ้าแกเลือกจะไปตอนนั้น แกอาจจะต้องไปโหมงานหนักที่โน่น”
   “ขอบใจ" มิกพูดขึ้น
   “ไม่เป็นไร" นัทว่า พลางนั่งพิงพนักอย่างไว้ท่า"มีอะไรอีกหรือเปล่า"
   “ฉันมาขอโทษแก" มิกว่า "เรื่องเมื่อหลายวันก่อน ที่ฉันต่อยแก"
   นัทเม้มปากเบาๆ
   “ไม่ต้องหรอก" นัทว่า "ฉันไม่โกรธแกหรอก วันนั้นฉันก็อารมณ์ไม่ค่อยดีอ่ะ"
   “ฉันรู้สึกผิดที่....เคยรับปากกับไอ้สาเอาไว้ว่าจะดูแลแก หลังจากมันไปแล้ว" มิกพูด "แล้วฉันทำไม่ได้น่ะ"
   “ทำไมแกถึงเชื่อมั่นในสัญญาจัง" นัทว่า
   มิกเงยหน้าขึ้น
   “เพราะบางทีมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับสัญญาหรอก" มิกว่า "มันเกี่ยวกับว่า ฉัน......ยังรักแล้วก็เป็นห่วงแกเหมือนเดิม"
   นัทยิ้มน้อยๆให้มิก
   “ขอบใจนะมิก" นัทว่า
   “ฉันเสียใจ" มิกพูดเสียงแผ่วเบา
   นัทยิ้มพลางมองหน้าไปทางอื่น
   “ช่วงที่เราห่างๆกันไปสองวันนี่ ฉันเอ่อ....ฉันก็พยายามไปพูดกับพี่สุเมธเรื่องแกมาน่ะ" นัทว่า "ที่จริงแล้ว มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก"
   “ยังไงเหรอ" มิกถามต่อ
   “พี่สุเมธขอให้ฉันโทรไปหาทางหุ้นส่วนซูเม่ที่ฝรั่งเศสเอง แล้วทางนู้นยื่นข้อเสนอมาบางอย่าง แล้วฉันก็ตอบตกลง..........เขาขอให้ฉันไปทำงานแทนแกก่อน" นัทว่า "แทนแค่ไม่กี่เดือนน่ะ คือ.....ตอนนี้ฉันเป็นอาร์ทไดเรคเตอร์ให้กับโปรเจ็คที่ปารีสอยู่เดือนกว่าๆ อีกสามวันฉันจะย้ายไปแล้ว"
   “อะไรนะ" มิกว่า "กำหนดแกเลื่อนขึ้นงั้นเหรอ ไม่ใช่วันสิ้นปีแล้วใช่ไหม"
   นัทส่ายหน้า
   “ฉันจะไปทำงานแทนแกก่อน" นัทว่า "ฉันอ่านบรีฟแกแล้ว มัน.....ก็ไม่ได้ยากอะไร แล้วถึงฉันอยู่ที่นี่ตอนนี้ ฉันก็คงไม่มีอะไรทำมากนัก"
   “แล้วที่แกว่าจะไปนิวยอร์คล่ะ" มิกว่า "เรื่องที่แกจะไปหาแม่แกล่ะ"
   “ไปสิ เรื่องนั้นน่ะมัน แน่นอนอยู่แล้ว" นัทว่า "อาจจะซักกุมภามั้ง อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะย้ายไป"
   “แล้วแกบอกเค้าหรือยัง" มิกค่อยๆพูดทีละน้อย เพื่อไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นอีก
   นัทมองหน้ามิกนิ่ง
   “ไม่จำเป็นหรอก" นัทว่ามิกขมวดคิ้ว "อย่าขอให้ฉันทำอะไรเลย"
   มิกถอนหายใจลง พลางลุกขึ้นยืน
   “แกไม่เห็นต้องทำอะไรให้ฉันขนาดนี้เลย" มิกว่าพลางมองหน้านัทอย่างมีความหมาย นัทลุกขึ้นตาม
   “แกทำอะไรให้ฉันมาตั้งเยอะแล้ว" นัทว่า "จำไม่ได้เหรอ ตอนเราประกวด BAD Award กันแรกๆ แกยังเคยเอาความผิดที่แกไม่ได้ทำ กลับไปอยู่คนเดียวเลยนะ เรื่องแค่นี้เอง ฉันเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร"
   “ขอบใจแกมากนะนัท" มิกว่า พลางเขยิบตัวเข้าใกล้นัทมากขึ้น จนใบหน้าชิดใกล้กันมาก มิกเอื้อมมือลูบหน้าของนัทเบาๆ นัทหลับตาพลางจับมือของมิก
   “ถ้าแกรักกับฉันซะตั้งแต่แรกนะ" มิกกระซิบเบาๆที่ข้างหูของนัท
   “มันคงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกมั้ง" นัทว่า "จะมาบอกอะไรเอาป่านนี้"
   “คำว่ารักไม่มีความหมายหรอก ถ้าพูดในเวลาที่ไม่ใช่" มิกว่า "ฉันรู้ตัวว่าฉันช้าไปเสมอ"
   “แล้วตอนนี้ล่ะ" นัทลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ
   “ฉันบอกแกช้าไป" มิกตอบ "ช้าตั้งแต่เรื่องนี้ยังไม่ได้เริ่มขึ้นซะอีก"
   “ฉันหมายถึงตอนนี้" นัทว่า "แกว่า มีโอกาสไหม ถ้าเราจะเริ่มใหม่แล้วลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้า.....ถ้าเราสองคน.....ร....รักกันตั้งแต่แรก"
   “คิดงั้นเหรอ......" มิกจับคางของนัทมามองหน้ของตัวเอง ก่อนจะประกบริมฝีปากของตัวเองลงกับนัท ทั้งคู่หลับตาลง ร่างกายของนัทสั่นไหว ขระที่มิกพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง และก็ผละออกจากกัน
   “เห็นไหม" มิกว่า "มันไม่ใช่ตั้งแต่แรกแล้ว"
   นัทมองหน้ามิก
   “แกก็ไม่ใช่เหมือนกัน" นัทว่า พลางหันออกไปยังด้านนอกของพาสิชั่นที่กั้นห้องทำงานของเขา พลางมองไปยังจุดนั้นอย่างเย็นชา
   มิกขมวดคิ้วก่อนจะมองตามไป
   กายกำลังยืนมองทั้งคู่อยู่ตรงนั้น พ่อมดห่งวงการยืนนิ่งสนิทเป็นรูปปั้น ราวกับเวลารอบตัวหยุดหมุน มิกมองกายด้วยสายตาเบิกกว้าง และทันใดนั้นกายก็เดินจากไป มิกค่อยๆหันมาหานัทช้าๆที่มองพื้นที่ว่างเปล่าตรงนั้นอย่างเย็นชา
   “ก....แกรู้ว่าเค้าจะมา" มิกพูดเสียงสั่น "ใช่หรือเปล่า"
   นัทหลบสายตาของมิกลง
   “ขอโทษนะ" นัทพูดเบาๆ "แต่แกไม่ต้องทำอะไรหรอก ฉันขอโทษ"
   มิกกำหมัดลงอย่างโกรธขึ้ง ก่อนจะลุกขึ้นหยิบข้าวของของตัวเอง
   “ขอบใจสำหรับทุกอย่างที่แกทำให้" มิกว่า "ต่อจากนี้ฉันจะไม่มาอีก"
   “มิก" นัทเรียกชื่อเขาเบาๆ "ฉันขอโทษ"
   “แกก็พูดได้แค่นี้แหละ" มิกว่า "ถ้าจำไม่ผิด แกก็ปฏิเสธฉันด้วยคำนี้ คราวหลังก็ไม่ต้องจูบก็ได้ บอกมาเลย"
   มิกเดินผ่านเหล่าออฟฟิศไป ทิ้งให้นัทอยู่กับความเจ็บปวดแปลกๆที่ก่อตัวขึ้นช้าๆอีกครั้งในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา
   มิกวิ่งโร่ไปตามห้องโถงของบริษัท เพื่อมุ่งหน้าไปยังไอ้เต่าทองที่จอดอยู่แต่ทันใดนั้น ร่างของเขาก็โดนกระชากอย่างรุนแรงไปยังมุมตึกที่ร้างผู้คน เมื่อสามารถตั้งตัวยืนตรงได้ก็มองไปยังสาเหตุที่พาร่างของเขามายืนตรงนี้ เขารู้อยู่แล้ว กายสิทธิ์นั่นเอง
   กายยืนมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ มิกรู้สึกถึงความโกรธขึ้งปนเจ็บปวดมาจากดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่เหมือนกับของเอิร์ธ
   “อธิบายมา" เสียงของกายทุ้มต่ำ มิกเกลียดความรู้สึกนี้ที่สุด ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกตรวจสอบ
   “มันไม่มีอะไรหรอกกาย เราสองคนแค่....."
   “นี่คือสาเหตุที่นายบอกว่าฉันจะเสียนัทไปหรือเปล่า" กายถามต่อ "ตอบผมเซ่"
   มิกหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองหน้ากาย
   “ผมมีคนที่ผมรักแล้ว" มิกพูดขึ้น "คนคนนั้นก็ไม่ใช่นัทอีกต่อไปแล้วด้วย"
   “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นวะ" กายพูดขึ้น มิกเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง "มันเกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมมันออกมาเป็นแบบนี้"
   กายไม่ได้พูดกับมิกอีกแล้ว เขากำลังโวยวายอยู่กับตัวเอง ชายหนุ่มกำหมัดแน่น
   “เขาต้องการอะไร ทำไมเขาไม่บอกผมล่ะ" กายทรุดตัวลงนั่งกับมุมตึกอย่างไว้ท่า เขากุมขมับเอาไว้ "ทำไมเขาต้องทำแบบนี้กับผมด้วย ผมไม่ใช่คนที่มีควมอดทนมากขนาดนั้นหรอกนะ"
   มิกเดินลงไปนั่งลงข้างๆกาย เขาเอื้อมมือไปจับเขนของกายไว้อย่างสุภาพ
   “ใจเย็นก่อนดิ" มิกพูดขึ้นเบาๆ "อย่าเป็นแบบนี้ ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก"
   กายถอนหายใจพลางเมินหน้าหนี
   “ถ้าไม่ติดว่าผมรักเขามาก ผมไม่มีทางวิ่งตามเขาอยู่อย่างนี้หรอก ให้ตายสิ" กายสบถกับตัวเอง มิกบีบแขนของกายเอาไว้
   “สงบสติอารมณ์ลงก่อนเลยนายอ่ะ" มิกพูด "เดี๋ยวผมจะเล่าให้คุณฟังเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ลุกขึ้นเหอะ แล้วไปหาไรกินกัน"
   กายมองหน้ามิกอยู่พักนึงก่อนจะรู้สึกตัวว่า ความหวังสุดท้ายอาจจะอยู่กับผู้ชายคนนี้ก็ได้
…......
   ที่ร้านกาแฟใต้ร่มไม้อันนิ่งสงบริมถนนที่ไม่ค่อยมีรถมากนัก กายนั่งนิ่งสงบขณะที่มิกมองกายอยู่อย่างนั้น ราวกับระวังว่ากายจะปะทุอารมณ์ออกมาเมื่อไหร่ สิ่งที่มิกรับรู้มาตลอดคือไม่ว่ากายจะเจอลูกค้างี่เง่าแค่ไหน กายไม่เคยจะระเบิดอารมณ์หรือแสดงท่าทีที่ไม่เป็นมืออาชีพ แต่เมื่อมิกเห็นกายเป็นแบบนี้ ก็นับว่าเพื่อนรักของเขาทำสำเร็จตามแผนของสาไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
   “ผมขอโทษทีนะ" กายพูดขึ้นหลังจากเงียบกันไปนาน "ผมหงุดหงิดไปหน่อย"
   มิกหัวเราะๆเบาๆ กายหันมามองิกทันที
   “เปล่าๆ โทษที วันนี้มีแต่คนพูดขอโทษน่ะ ผมก็เลยนึกขำขึ้นมา" มิกว่า "เมื่อกี้ไอ้นัทก็พูดแบบนี้ แบบที่นายพูด"
   “เขาหงุดหงิดเหรอ เรื่องผมเหรอ" กายถาม
   “ผมไม่รู้หรอก" มิกว่า "นัทมันเปลี่ยนไปมาก ผมเองก็ยังงงๆ แต่ที่นายเห็นน่ะ มันไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก จริงๆนะ ผมกับมันแค่ แบบว่า.....อามรมณ์พาไป....แต่ไม่มีอะไรจริงๆนะ ถ้านายไม่สบายใจ ผมสาบานว่าจะไม่ทำอีก"
   “ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากคิดถึงมันอีกแล้ว" กายว่า "นายบอกว่ามีเรื่องจะอธิบาย เรื่องอะไร"
   มิกหายใจเข้าครั้งหนึ่ง
   “กำหนดการของนัทเลื่อนแล้วนะ" มิกว่า "มันจะไปปารีสแทนผมสองสามเดือน"
   กายมองหน้ามิกนิ่ง
   “มันจะออกเดินทางวันมะรืนนี้" มิกว่า "มันจะไม่บอกนาย แต่ผมว่ามันจะไปกันใหญ่แล้ว"
   กายหลับตาลงอีกครั้ง
   “ผม....ผมเหนื่อยแล้วอ่ะมิก" กายพูดเสียงเหนื่อยล้า "ผม...ผมจะวิ่งตามเขาไม่ไหวแล้วนะ....มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่"
   “การเอาคืนไงล่ะ" มิกว่า "อันที่จริงมันก็ไม่เรียกเอาคืนหรอก มันเป็นศัพท์เฉพาะกลุ่มเราน่ะ คือ.......นี่มันคือชีวิตที่นายต้องการไม่ใช่เหรอ ต่างคนต่างเดินน่ะ"
   “อย่าพูดเหมือนกับที่นัทได้หรือเปล่าขอร้อง" กายว่า
   “ผมพูดสิ่งที่มันเป็นอยู่ นายน่าจะฟังซะหน่อยนะ" มิกว่า "นัทน่ะ มันยังรักนายอยู่ก็ แต่มันทนไม่ได้ ที่จะเห็นนายไปๆมาๆ ไม่หยุดอยู่กับที่ซะที"
   “ผมเป็นของผมอย่างนี้" กายว่า
   “ก็นี่ไง" มิกว่า "นัทก็เป็นของมันอย่างนี้....ไปแล้ว"
   กายถอนหายใจ
   “นายต้องงัดไพ่ใบใหม่มาแก้เกมส์นี้แล้ว" มิกว่า "บางทีน่ะ เราจัดการอะไรให้มันเป็นไปอย่างที่เราต้องการไม่ได้หรอก"
   “เมื่อก่อนผมยังได้เลย ทำไมครั้งนี้ผมจะทำไม่ได้ล่ะ" กายว่า
   “นายไม่เคยทำได้เลยกาย" มิกว่า "เอาจริงๆนะ ที่นายทำได้มันก็แค่เรื่องงานเท่านั้นเอง นายกำลังจะตายตอนจบ เพราะครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่งานดีไซน์ หรือว่าการจัดการกับผู้หญิงข้ามคืนของนายแล้ว นัทกำลังทำให้นายแทบบ้าตายอยู่นี่ไง มันกำลังทำให้นายไปไหนไม่ได้.....”
   “จนกว่าผมจะเข้าใจทั้งหมดที่เป็นเค้า" กายต่อคำของมิก ที่พิงพนักเก้าอี้อย่างไว้ท่าพลางยักไหล่
   “นั่นแหละ...ประเด็น" มิกว่า "โอเค ผมอาจจะเห็นแก่ตัวที่คิดจะมีความรักโดยไม่ให้ตัวเองเจ็บนะ แต่กาย นายต้องเข้าใจว่า เลือกบางอย่างมันก็ต้องเสียบางอย่างนะ ถ้านายคิดจะจริงใจกับใคร นายจะต้องยอมเสียความเป็นอิสระไปบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าจะเลือกเก็บเอาไว้ทุกอย่าง อีกคนก็จะต้องเจ็บ แล้วมันก็มีสิทธิ์ไม่ใช่เหรอ ที่อีกคนจะขอเลือกเก็บเอาไว้ทุกทางเลือกเหมือนกัน"
   “แต่นั่นมันทำเหมือนไม่รักกันเลยอ่ะ" กายว่า
   “นายขาดความอบอุ่นล่ะสิ" มิกว่า "นายขอให้นัทรักนายอย่างเดียว และนัทมันก็ทำทุกๆอย่างกับนายไปแล้ว นายล่ะ ทำให้มันบ้างหรือยัง"
   กายเงียบเสียงลง
   “นายหายไปไอ้ตัวแสบ" มิกว่า "นายแบบว่า อยู่ดีดีก็หายไปเฉยๆ นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา นายทำเหมือนนายมีเวทย์มนต์ไปได้ แต่ไอ้นัทมันเป็นคนที่ทำอะไรต้องมีแผน มีการคิดเอาไว้ก่อน มันต่างจากนายสุดขั้ว มันต้องคิดก่อนเสมอว่าถ้ามันทำแบบนี้ มันจะได้อะไร ถ้าไม่ทำแล้วจะได้อะไร แต่ทางเลือกที่นายยื่นให้มันคืออะไรรู้ไหม.....คือไม่เลือกอะไร แล้วไม่ได้อะไรไง คนฉลาดอย่างไอ้นัท ไม่เลือกทางนี้หรอก มันจะยอมเจ็บแค่ครั้งเดียว แล้วมันจะไม่ยอมนายอีกเลย"
   “แต่ผมมีความรักให้เขา" กายเถียง
   “แล้วมันอยู่ตรงไหนเล่า ความรักของนายอ่ะ" มิกว่า "รักของเราไม่เท่ากัน น่ะเคยได้ยินเปล่า"
   “แล้วผมต้องทำไง" กายว่าง
   “นายไม่ทำหรอก" มิกว่า "แค่เรื่องง่ายๆ ดูเอ่อ....นิตยสารพวกนี้สิ.....อ่ะ เล่มนี้ก็ได้ กายสิทธิ์ พ่อมดตัวแสบ ควงสาวคนใหม่ งานเปิดตัวหนังสือ....... อะไรพวกนี้ แค่นายจะบอกกับพวกนักข่าวว่าที่จริงแล้ว นายไม่ใช่คนแบบนี้ นายยังไม่กล้าเลย นับประสาอะไรกับเรื่องไอ้นัท เมื่อก่อนนี้ นายรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ชอบแฟนเก่านาย นายจะทุบพื้นชี้ชัดอะไรลงไป นายก็ไม่ทำ แล้วแบบนี้ นายจะไม่เสียมันก็แปลกแล้ว"
   “ผมเป็นของผมแบบนี้ นัทควรจะรักที่ผมเป็นผม" กายย้อน
   “แล้วนายรักที่มันเป็นมันตอนนี้ไหมล่ะ" มิกว่า "มันจะต้องมีแว้บนึง ที่ความคิดว่า นายจะมาทนมันเพื่ออะไร นายสามารถวิ่งไปหาคนอื่นได้อีกเป็นร้อยเป็นพันด้วยซ้ำ ขึ้นมาในหัว เถียงดิ"
   กายก้มหน้าลงถอนหายใจ
   “ตอนนี้นัทมันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก มันคือมัน แบบวันแรกที่คุณเจอมันนั่นแหละ" มิกว่า "มันคือนัทนนท์ดีไซน์เนอร์ไฟแรง ที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าเสมอ และเป็นผมกับสาที่ต้องวิ่งตามมันไปให้ทัน"
   “ไหนนายว่านายก็อึดอัดที่เขาเป็นแบบนี้" กายถามกลับ
   “ใช่ ผมอึดอัด" มิกว่า "ผมถึง...จูบมันไง....มันเอ่อ......มันทำเหมือนตอนผมชอบมัน แล้วบอกมันไม่ได้ มันทำตัวเหมือนตอนนั้นเปี๊ยบเลย ผม...เอาจริงๆ เมื่อก่อนผมหงุดหงิดมันบ่อยจะตาย สมัยที่นายยังไม่เข้ามาป่วนน่ะ"
   กายเม้มปากขณะมองหน้ามิก
   “แต่ประเด็นคือ ตั้งแต่นายเข้ามาในชีวิตมัน" มิกพูดต่อ "มันกลายเป็นคนละคน มันทำอะไรอะไรที่ผมเองไม่เคยเห็น นายรู้หรือเปล่ามันมีความสุขทุกครั้งที่ได้ออกไปข้างนอกกับนาย มีความสุขทุกครั้งที่นายแกล้งมัน ถึงแม้ว่าปากมันจะกัดนายเอากัดนายเอา แต่ ผมรู้....มัน....มันชอบ.......นาย ขอร้องเหอะ จับมันไว้ให้ได้เหอะกาย ผมรักมันที่สุด"
   กายมองหน้ามิกอีกครั้ง
   “อย่าให้นี่เป็นเหมือนพระรองมานั่งพูดกับพระเอกเลยว่ะ" มิกว่า "ดูแลมันแทนผมที นายมีโอกาสไปกับมันได้ทุกๆที่ เพียงแต่ถ้านายเลือกน่ะนะ ผม ผมยอมรับว่า ผมไม่อาจวิ่งตามมันไปได้ทัน"
   “สาเคยบอกว่า นายกับเขา จะไม่ทิ้งนัท" กายว่า มิกก้มหน้าลง "สาเคยบอกว่า ถ้าผมไม่สามารถดูแลเขาอย่างที่เขาต้องการได้ จะมีนายกับสาอยู่ข้างๆเขา นั่นคือสาเหตุเดียว ที่ผมเลือกแบบนี้ ผมรู้ว่า จะมีนาย"
   “นั่นมันความฝัน" มิกตอบ "บางทีสามันก็ ฝันเอา....มันมีชีวิตรักที่ดี เพื่อนที่ดี มันบาลานซ์ทุกอย่างไว้แล้วแต่....ผมยัง.....”
   “นายเองก็ยังมีบางอย่างที่ไม่ได้บอกนัทเหมือนกันสินะ" กายว่า
   มิกนิ่งไปพักนึง
   “กายผม......” มิกมองหน้าคู่ต่อสู้ตรงหน้า "ความจริงก็คือ......ผมอาจจะไม่ได้ไปไกลเหมือนมัน เหมือนสา ผมมีบางอย่าง ที่อาจจะต้องรอ.....อยู่ที่นี่ และนั่นก็คือสาเหตุที่ผมอยากฝากนัทไว้กับนาย ตอนนี้สาไ่ม่อยู่แล้ว นัทมันไม่มีใคร แล้ว ผมก็....มีเรื่องของผม........ขอล่ะ ช่วยเลือกมันทีเถอะกาย คราวนี้ผมขอ.......”
   กายเมินหน้าไปยังนิตยสารที่มีรูปตัวเองอยู่บนนั้นอย่างครุ่นคิด
   มิกเอื้อมมือไปจับมือของกาย
   “เห้ย" มิกพูด "มันไม่ได้ยากหรอกนะ หยุดเพื่อใครซักคนน่ะ นายทำได้เหอะ ไอ้ตัวแสบ"
   “ผมไม่ได้เก่งอย่างนั้นหรอก" กายว่า "นายอย่างประเมิณผมสูงไปเลย"
   “นายทำได้ไอ้กาย" มิกว่า "นายอาจจะไ่ม่เสียอะไรเลยก็ได้ท้ายที่สุด แต่นายต้องเสียไปก่อน แล้วค่อยได้คืนทีหลัง สาบอกว่าชีวิตที่มีคนสำคัญอยู่ด้วยก็แบบนี้แหละ"
   “นี่นายคิดว่า ผมจะเป็นพระเอกมาดูแลคนที่นายรักแทนได้จริงๆเหรอ" กายถามเสียงสั่น "นายคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ"
   “นายเพิ่งไม่ได้รู้จักผม วันนี้นะเว่ย" มิกว่า "ตั้งแต่นายเข้ามาในชีวิตไอ้นัท มาเหมือนกับ เอามันไปจากผม ผมก็เฝ้านายตลอด ไม่งั้นวันที่นายรถคว่ำ ผมไม่ถ่อไปต่อยนายถึงโรงพยาบาลหรอก ผมดูนายมาตลอดกาย นายเป็ยคนดี ดีกว่าตัวเองคิดว่าทำได้วซะอีก....และในฐานะคนที่รักไอ้นัทเหมือนกัน.....นายคือคนที่ดีพอเว่ย.....เชื่อผม......นายตัดสินใจเล่นกับมันตั้งแต่แรกแล้ว ก็อย่าถอยหลังกลับดิวะ......ลูกผู้ชายเค้าไม่ทำกัน"
   “แต่มีแฟนเป็นผู้ชายเนี่ยนะ" กายพูดขำๆ
   มิกส่ายหัว
   “ผมก็ไ่ต่างกันหรอก" มิกยื่นกำปั้น ออกมาตรงหน้า "สาบานอย่างลูกผู้ชายถึงหัวอกลูกผู้ชายด้วยกัน"
   กายมองมือคู่นั้น ก่อนจะวางกำปั้นต่อกับมิก
   “ผมจะลองดู" กายยิ้มให้มิกเบาๆ
   “เชื่อมั่นไว้เว่ย นายทำได้" มิกยิ้มตอบ "ขอโทษด้วยละกัน เรื่องแอบขโมยจูบแฟนนายวันนี้"
   “ไม่มีครั้งหน้าแล้วนะมิก" กายพูดเสียงเข้ม "ไม่งั้นคุณเละแน่"
   “หึหึ" มิกว่า "งั้นขอโทษล่วงหน้าไว้ก่อนได้ป่ะวะ"
   “ไม่มีทาง"
…..............

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 41 Witch Revenge

   นัทหยิบเอากรอบรูปที่เขา สาและมิกถ่ายด้วยกันเก็บลงใส่กระเป๋าเดินทาง เขามองมันอยู่หลายวินาทีก่อนจะกดปิดกระเป๋าใบนั้นลงไป ผ่านมาสองวันแล้วที่เขาต้องสะสางเรื่องต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อย ก่อนที่เขาจะต้องเดินทางจากเรื่องนี้ไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล
   นัทเดินออกไปยังระเบียงบ้านของตัวเอง เวลาดึกดื่นแบบนี้เขานอนไม่หลับนัก เขามักจะกะเวลาเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ตัวเองเกิดอาการเจ็ทแลคได้ เขาจะได้ไม่ต้องไปปรับตัวที่ปารีส เขาเริ่มหมุนเวลาตัวเองใหม่ที่นี่จะดีกว่า มองออกไปยังท้องฟ้าที่ระยิบระยับไปด้วยดวงดาว ดวงดาวที่เขาเคยคิดจะคว้ามันมา มองมันอยู่อย่างนั้น เพื่อทบทวนอะไรบางอย่าง เขาเดินไปใกล้ดาวดวงนั้นมากเกินไปแล้ว ใกล้เสียจนรู้สึกว่า เขาไปได้ไกลกว่าดาวดวงนั้นเสียอีก นัทก้มหน้าลง กอดตัวเองไว้ ลมหนาวเริ่มเยื้องกรายเข้ามาบ้างแล้ว และถ้าเป็นที่ปารีสก็คงหนักกว่านี้
   เขาถอนหายใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน เพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาวิ่งไปรับทันที
   “ฮัลโหลน้องนัท เตรียมตัวพร้อมหรือยังเนี่ย" เสียงจากปลายสายดังขึ้น เสียงจากพี่สุเมธ
   “เรียบร้อยแล้วพี่ ผมออกเดินทางตอนตีสี่ครับ" นัทพูด "พี่มีอะไรหรือเปล่า"
   “อ๋อ พี่อยากให้เราแวะเข้ามาออฟฟิศหน่อย" พี่สุเมธกล่าว "พี่มีอะไรจะให้น่ะ เป็นของขวัญไง"
   “อ๋อ โอเคพี่ งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปครับ" นัทว่าพลางวางหูไป
   เขานั่งมองมือถืออยู่ครู่หนึ่งก่อนะจะนึกถึงอะไรบางอย่างออก เขาเปิดลิ้นชักออก พลางค้นไปจนทั่ว จนกระทั่งพบกับมือถือเครื่องนึงที่เจนจิราฝากเขาเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว และเขาก็ไม่ได้คืนกายเมื่อตอนอยู่ที่ลาว เพราะป่านนี้กายคงได้เครื่องใหม่เบอร์เดิมไปแล้ว
   เปิดเครื่องขึ้นมาช้าๆ จนกระทั่งแสตนบาย เขานั่งมองรูปภาพของตัวเองที่ถ่ายคู่กับกาย เขาไม่อยากนึกถึงเรื่องราวตอนนั้นอีก มันเป็นเวลาที่เจ็บปวดเกินไป ถึงแม้ว่ามันจะมีความสุข แต่ความสุขก็มักจะทำให้เราลืมเวลา และหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม และนั่นจำเป็นที่จะต้องลุกออกจากความสุขนั้นเพื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความจริงที่อยู่ตรงหน้า และก้าวออกเดินไปพร้อมกันกับมัน
   เขาอยากจะให้กายรู้ได้ซักทีว่าเขาคงไม่อยากมีความสุขแค่ชั่วข้ามคืน แต่ต้องทนทุกข์ที่ยาวนานขนาดนั้นแล้ว
   เขาจะไปแล้ว......
   นัทหลับตาลงครั้งนึงก่อนจะเปิดฟังค์ชั่นอัดเสียงขึ้นมา.....
   นัทเผยอริมฝีปากขึ้น.........
…................
   “น้องอาร์ม เดี๋ยววันนี้ช่วยออกไปรับลูกค้าแทนพี่หน่อยสิ" มิกกล่าวขึ้น พลางวางแฟ้มงานลงบนโต๊ะดราฟ
   “โอ๊ย พี่มิก หนูงานล้นมืออย่างกะอะไรแล้วนะคะ" อาร์มส่งเสียงหวานใส
   “น่า นะนะ จะได้สวยๆ" มิกมักจะแซวน้องใหม่หัวใจสาวคนนี้อยู่เสมอๆ
   “จริงเล้ยเฮียมิก" อาร์มลุกขึ้นพลางหยิบแห้มของมิกทันที "ถ้าเปิดปีงบประมาณหน้า เรายังไม่ได้ดีไซน์เนอร์มาอยู่ในสตูล่ะก็ หนูจะวีน"
   “โอ๋ๆ แต่เรามาทำงานแทนคนมีฝีมือนะเนี่ยรู้หรือเปล่า" มิกถาม
   “ค่า......” อาร์มพูดเสียงเหวี่ยงพลางสะบัดก้นออกจากสตูดิโอไป มิกขำน้อยๆกับจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ที่ได้มา เด็กใหม่คนนี้เปลี่ยนโต๊ะทำงานที่เคยเป็นของนัทให้กลายเป็นสีชมพูทั้งโต๊ะ มิกถึงกับอึ้งไปขณะหนึ่งเมื่อเช้าวันแรกพบว่าสตูดิโอดูสะอาดไปถนัดตา ถึงแม้น้องอาร์มจะอ้อนแอ้นไปนิด แต่เธอคนนี้สามารถทำงานแทนสากับมิกได้อย่างไม่มีที่ติเลยทีเดียว
   มิกถอนหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังห้องทำงานของเจ๊ผึ้ง
   “ฮัลโหลเจ๊" มิกร้องขึ้นเมื่อมาถึงหน้าประตู
   “อ้าว ว่าไงเจ้ามิก" เสียงผึ้งตอบรับเสียงหวาน
   “แหะแหะ" มิกหัวเราะเสียงแห้ง ผึ้งเหล่สายตาอย่างเหนื่อยหน่าย
   “ฉันไม่เข้าใจว่าแกต้องการอะไรนะเจ้าอินดี้ตัวพ่อ" ผึ้งบ่นพลางลุกขึ้นไปหยิบแฟ้มๆหนึ่งที่อยู่ตรงตู้ด้านหลังออกมาปึ้งนึง "ฉันบอกแล้วว่าบอสยังไม่ได้ตรวจ เจ๊อนุมัติไม่ได้หรอก ว่าจะเป็นใคร"
   “ผมแค่ขอดูน่ะครับ" มิกว่าพลางรับแฟ้มนั้นมา
   “เจ๊เข้าใจนะว่าสตูดิโอที่มีแค่สองคนน่ะมันเหนื่อย แต่น้องสาวหน้าใหม่เค้าก็ทำงานดีไม่ใช่เหรอ" ผึ้งว่า
   “มันก็ใช่น่ะเจ๊ แต่....” มิกว่าพลางพลิกไปตามหน้ากระดาษนั้นเพื่อหารายชื่อคนคนหนึ่งในกองใบสมัครงานของตำแหน่งจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ที่ Lovable Studio "…...ถ้าผมไม่อยู่แล้ว น้องเค้าจะรับงานทั้งหมดไปคนเดียวนะ"
   “เจ๊น่ะก็จะจัดคนลงที่สตูดิโอเราแน่ๆล่ะ ว่าแต่เราเถอะ จะเอายังไงกันแน่ จะอยู่หรือจะไป" ผึ้งเท้าสะเอวพลางมองมาที่มิก "เราน่ะ ก็ไม่ได้มีโปรเจ็คติดค้างอยู่กับที่นี่แล้วไม่ใช่เหรอ เจ้านัทกับเจ้าสามันก็ไปตั้งนานแล้ว เหลือก็แต่เราน่ะ ว่าไงล่ะ.....มิก......มิก"
   มิกเงียบเสียงลง สายตาจับจ้องไปที่ใบสมัครใบนึงที่อยู่หน้าล่างสุด

   …..นายนฤเดชน์  กริชเตชะวงษ์.......


   …..เอิร์ธ......


   มิกหยุดหายใจไปพักนึง เมื่อเห็นรูปถ่ายที่ติดมากับใบสมัคร ใบหน้าเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่ตอนนี้ดูโตขึ้นกว่าเดิม ผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เหนือดวงตากลมใส และริมฝีปากที่อมยิ้มน้อยๆ
   “ไอ้มิก" เสียงของผึ้งปลุกให้มิกตื่นขึ้นจากภวังค์ ชายหนุ่มมองกลับไปยังเจ้าของเสียง "นี่ฟังฉันอยู่หรือเปล่า"
   “เจ๊....." มิกรีบวิ่งเอาหน้านั้นมาวางลงตรงหน้าผึ้ง "ผมต้องการคนนี้.....เจ๊รับเขาได้ไหม...คนนี้น่ะ เอิร์ธไง"
   “อ้อ" ผึ้งมองลงไปหน้าใบสมัคร "เจ้าหน้าหล่อที่เคยมาฝึกงานกับเราเมื่อตอนซัมเมอร์น่ะเหรอ"
   “ใช่ เขามาส่งใบสมัครเองหรือเปล่า" มิกส่งเสียงดัง หัวใจเขาเต้นถี่รัว "แล้วเจ๊จะอนุมัติหรือเปล่า บอสว่ายังไงอ่ะ เขาเคยทำผลงานกับเรานะ เขาจะไปอยู่สตูใครอ่ะ"
   “ไอ้มิก" ผึ้งร้องทันที "น้องมันไม่ได้มา มันแค่กรอกใบสมัครทิ้งไว้เฉยๆ ส่งมาทางไปรษณีย์เมื่อหลายวันก่อน แล้วเจ๊ก็ไม่รู้จะอนุมัติดีไหมด้วย"
   “ทำไมล่ะเจ๊" มิกร้องถาม
   “พอร์ทของเจ้าเด็กนี่ไม่ได้ตรงกับสายงานที่เรารับเอาไว้" ผึ้งบอก "น้องมันเลือกที่นี่กั๊กท่าไว้มากกว่านะ พี่ตรวจสอบแล้ว มันอาจจะไม่ได้เลือกงานที่นี่หรอก"
   “ไม่จริงหรอกเจ๊" มิกว่าพลางปิดแฟ้มทันที "เดี๋ยวมันจะต้องเลือกที่นี่ มันจะต้องกลับมา"
   “มิก เจ๊รู้ว่าเจ้าเอิร์ธมันคือทีมที่ดีของแก แต่ตอนนี้อะไรๆมันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ" ผึ้งพูดเสียงแผ่วเบา "มันไม่ใช่ตอนนั้นแล้ว เราจะต้องเจอกับสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา ในวงการนี้ ไม่มีใครทำงานกับใครหรือที่ไหนได้นานหรอก ถึงจะเป็นทีมที่ดีที่สุด สุดท้ายแล้วก็ต้องแยกย้ายนะ"
   “ทำไมเจ๊พูดงี้ล่ะ" มิกร้อง
   “ก็เพราะว่าฉันเห็นโลกมามากกว่าเธอน่ะสิ" ผึ้งโวยวาย "มีดีไซน์เนอร์หน้าใหม่หน้าเก่า เด็กฝึกงานกี่คนแล้วที่เดินผ่านห้องพี่ไป บางคนตกอับหาางานต่อไปไม่ได้ บางคนไปได้รุ่งจนแทบลืมไปแล้วว่าเคยเป็นจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ที่นี่ เด็กฝึกงานบางคนจบไปแล้วก็ไม่ได้ทำงานสายนี้ บางคนก็โปรเจ็คไม่จบ บอสก็ไม่รับพวกที่โปรเจ็คจบไม่ผ่านนะ"
   มิกก้มหน้าลง
   “ถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นเธอก็ลองมองดูรอบๆตัวเธอสิมิก" ผึ้งว่า "ไม่มีใครเหลืออยู่กับเธอแล้ว สากับนัทไปแล้ว เธอเองก็น่าจะไปได้แล้ว นี่อย่าบอกนะว่าที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมนี่ก็เพราะรอเจ้าเด็กนี่น่ะ เจ๊บอกตรงนี้เลยว่าไม่มีประโยชน์ โอกาสที่เจ้าหน้าหล่อจะกลับมาที่นี่เป็นศูนย์"
   มิกมองหน้าผึ้ง คำพูดของเธอทำเอามิกแทบหมดแรง
   “ไปหาโอกาสที่ดี ทีมที่ดีกว่าข้างหน้าเถอะมิก เชื่อเจ๊ เรายังอายุเท่านี้" ผึ้งว่า "หน้าตาอย่างเจ้าเอิร์ธน่ะ ไม่แน่มันอาจจะไปเป็นดาราแล้วก็ได้ ส่วนเราก็ไปเถอะ ไปได้แล้ว"
   มิกถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้น
   “จะมีการคัดเลือกกันอีกรอบเมื่อไหร่อ่ะเจ๊" มิกถามเบาๆ ผึ้งมองหน้ามิกอย่างเหนื่อยหน่าย
   “ไม่รู้สิ อาจจะสิ้นปีนี้" ผึ้งตอบ "แกอาจจะขอให้เจ๊อนุมัติน้องเค้าก็ได้ แต่ยังไงก็ตามน้องมันก็ต้องคอนเฟิร์มกลับมาด้วย ถ้าก่อนปีใหม่มันยังไม่เลือก เจ๊ก็ต้องตัดชื่อทิ้ง"
   มิกถอนหายใจครั้งหนึ่ง  พลางมองไปยังประตูสตูดิโอของตัวเองที่อยู่เยื้องออกไป เขาหลับตาลงเพื่อควบคุมอารมณ์ตัวเอง
   “งั้นผมจะรอครับ" มิกว่า  "ถ้าก่อนปีใหม่มันไม่คอนเฟิร์มกลับมาผมจะ.........ผมจะออกจาก Lovable Studio”
   “ดี....งั้นเขียนนี่” ผึ้งยื่นกระดาษพร้อมซองขาวออกจากใต้โต๊ะเธอ วางลงตรงหน้ามิก “ใบลาออก เขียนล่วงหน้าเอาไว้ด้วย เจ๊ขี้เกียจมานั่งรันรายชื่อใหม่”
   มิกมองกระดาษนั้นอยู่สองสามวินาที
   “อย่าลังเลเลยมิก ยังไงแกก็เลือกที่จะไป” ผึ้งว่า “ไม่ว่าน้องจะกลับมาหรือเปล่า แกก็ต้องไป ทำซะ เดี๋ยวนี้”
   มิกหยิบปากกาขึ้นมาด้วยมือสั่นเทา.......
   ถ้าเอิร์ธไม่กลับมา เขาก็จะจากเอิร์ธไปไกลแสนไกล.........
   เขาไม่อยากมีชีวิตแบบนัท.....
   เขารักเด็กคนนี้มากเกินกว่าจะปล่อยให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับตัวเอง......
   เขาขอยื้อเวลาไว้ให้นานที่สุด......
   แม้ว่าจะเป็นวินาทีสุดท้ายก็ตาม...........
…...............

   …....นัทวางโทรศัพท์ลง พลางหลับตาลง จุดสิ้นสุดของการเดินทางในโลกที่วุ่นวายนี่ใกล้มาถึงเต็มทน เขาลุกขึ้นและตรวจเช็คข้าวของอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นไปเพื่อเตรียมล็อคบ้านทุกๆประตูหน้าต่างของมัน
   ภาพของเขาและมิกที่นั่งทำงานกันหัวปั่นอยู่กระจัดกระจายทั่วไป เขาหลับตาลงเมื่อตัวเองปิดไฟดวงสุดท้ายของห้องนอน แล้วขนกระเป๋าลงมาที่หน้าบ้าน นัทเดินเข้าไปปิดประตูบ้านครั้งสุดท้าย ก่อนจะถอยหลับออกมา ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะได้กลับมาอีก เขาถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพทืตัวเองขึ้นมา
   “พี่ต้อม ผมเรียบร้อยแล้วครับ วนมารับผมได้เลย" นัทพูดกับคนขับรถ "พี่พาผมไปอฟฟิศก่อนนะ พี่สุเมธอยากพบผม"
   “ได้ครับน้องนัท" นัทวางโทรศัพท์ลงไปพลางนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
   คงได้เวลาที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างซักที
   


   ….....กายขับรถอย่างเร่งร้อนเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย จุดหมายที่เขาไม่ได้พบมานานแสนนานแล้ว เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดมือไปอีกแล้ว...........


   ในค่ำคืนอันเงียบสงบบนคอนโดหรูกลางกรุง กายยืนมองดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า เขาไม่เคยจ้องมองอะไรอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว เขามองมันเพียงแค่เพราะอยากให้เวลารอบตัวหยุดหมุนไปพักนึง ก่อนที่จะตื่นขึ้นจากภวังค์ เสียงโทรศัพท์จาก Skype ก็ดังขึ้น เขาเดินกลับมากดรับมัน
   “ฮัลโหลกาย" เสียงของเจนดังขึ้นจากปลายสาย
   “ว่าไงเจน" กายพูดเสียงแผ่วเบา "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"
   “ค่ะ วันนี้เจนว่าง บ่ายๆแบบนี้ก็เลยนึกถึงกายขึ้นมาน่ะ" เจนพูดเสียงแช่มชื่น "ที่นั่นคงดึกมากแล้วสินะ กายยังไม่นอนอีกเหรอ"
   “ไม่อ่ะคือ.......” กายตอบ "ผมมีธุระตอนตีสี่"
   “ตีสี่เลยเหรอ" เจนถาม "มันจะไม่เช้าไปหน่อยเหรอคะ ขอเค้าเลื่อนเป็นสายๆไม่ได้เหรอ"
   “ไม่ได้หรอก" กายว่า "ไม่งั้นผมสายไปแน่"
   เงียบกันไปพักนึง เจนรู้สึกถึงน้ำเสียงที่แปลกประหลาดออกไป
   “เรื่องคุณนัทหรือเปล่า" เจนถามขึ้น แต่ก็ได้รับเพียงความเงียบกลับมา "ตายล่ะ สงสัยคุณสาจะพลิกแผนเจนซะแล้ว"
   “อะไรนะ" กายถามขึ้น
   “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ" เจนว่า "ขอเจนเดาได้ไหม เจนว่าข่าวลือที่กำหนดการเตรียมงานของซูเม่ฝรั่งเศสของแฟชั่นวีคปีหน้าเลื่อนขึ้นจนเจนต้องบินไปรั่งเศสเย็นนี้เนี่ย เกี่ยวกับคุณนัท"
   “คุณรู้เหรอ" กายถาม
   “รู้สิ" เจนว่า "เจนได้ยินข่าวมาพักใหญ่ๆแล้ว แล้วเจนก็อนุมัติให้คุณนัทมาทำงานแทนคุณมิกเองล่ะ"
   “เป็นคุณเองหรอกเหรอ" กายว่าเสียงเข้ม "คุณรู้หรือเปล่าคุณทำอะไรลงไปน่ะเจน"
   “ไม่รู้หรอกค่ะ" เจนตอบ "เจนก็แค่ดุ่ยๆทำไปตามสัญชาตญาณ ทำไมเหรอ มันสำคัญกับกายด้วยเหรอ"
   กายนิ่งสนิท
   “มันคือทั้งชีวิตของผมที่เหลืออยู่เลยล่ะ" กายพูดเสียงเบา "ทำไมคุณต้องทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ด้วยนะ"
   กายใช้น้ำเสียงที่เย็นเชียบว่าเจนไป เจนจิรานิ่งไปซักพัก
   “ผมชักไม่แน่ใจแล้ว ว่าคุณคิดจะช่วยผมจริงๆหรือเปล่า หรือคุณแค่ต้องการเอาคืนผมกันแน่ เรื่องที่เราเลิกกัน" กายว่า "คุณทำอยู่กันแน่"
   “เจนไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย" เจนว่า "กายคิดมากไปเองหรือเปล่า"
   “ผมไม่รู้หรอก" กายตอบ "ผมก็แค่คิดๆไปตามสัญชาตญาณ"
   “หึ" เจนหัวเราะขึ้นมาเบาๆ "เจนบอกแล้ว ว่าคุณนัทเหมือนเจนมาก คุณเองก็น่าจะเห็น"
   กายมองเข้าไปในรูปโปรไฟล์ของเจนอยู่อย่างนั้น
   “มาถึงตอนนี้แล้ว งั้นเจนก็คงไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้วล่ะ" เจนพูดตอบ "ที่เจนบอกว่าจะช่วยคุณน่ะ เจนไม่ได้จะช่วยให้คุณสมหวังกับคุณนัทซะหน่อย....เจนโกหก"
   “แล้วคุณต้องการอะไร" กายถาม
   “เจนต้องการคุณไง" เจนว่า "เจนต้องการคุณในแบบนักเรียนนอกที่เต็มไปด้วยความฝัน ฝันว่าจะมีชีวิตที่มั่นคง กับความรักที่มั่นคง ที่เจนรู้ว่ามันหายไปจากตัวคุณ นับตั้งแต่วันที่เราเลิกกัน"
   

   …...กายเหยียบความเร็วของรถอย่างไม่รีรอ ชายหนุ่มกำหมัดแน่นไปกับพวงมาลัย.......


   “เรื่องราวทั้งหมด เจนก็แค่ต้องการคุณคนเดิมกลับมา" เจนว่า "เจนเกลียดสายตาที่เจ้าชู้ของคุณแบบนั้น เจนเกลียดข่าวเรื่องผู้หญิงพวกนั้น เจนเกลียดฉายาพวกนั้นของคุณที่เมืองไทย เจนไม่อยากได้ยิน"
   “แล้วทำไมคุณไม่บอกผม" กายว่าเสียงเข้ม
   “คุณไม่ทำหรอก" เจนว่า "เจนไม่ได้พึ่งรู้จักคุณนะกาย คุณไม่มีทางทำ คุณน่ะเห็นแก่ตัวจะตาย คุณคิดจะมีความรักโดยไม่ให้ตัวเเองต้องเจ็บเลยต่างหาก แต่กลับเป็นเจนที่ต้องเจ็บอยู่ฝ่ายเดียวน่ะ"
   “นี่คุณเอาคืนผมงั้นเหรอ"
   “ใช่ เจนเอาคืนคุณ" เจนว่า "คุณนัทกำลังทำกับคุณ เหมือนที่คุณเคยทำกับเจน"
   “ทำไมกัน" กายว่า "ผมเลวขนาดนั้นเลยเหรอ"
   “คุณไม่ได้เลว แต่คุณร้ายกาจ" เจนว่า "คุณมันเป็นพ่อมดของวงการนี้นะ คุณ...คุณมันมีแต่คำสาป...ชีวิตของคุณ คนรอบๆตัวคุณถึงไม่มีใครจริงใจกับคุณไงล่ะ"


   …..กายหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด เหมือนกับว่าเวลาของเขาใกล้หมดลงทุกทีแล้ว......



   “เจนจำแววตาที่คุณมองเจนได้ มันไม่ต่างอะไรกับที่คุณมองคุณนัทหรอก" เจนว่า "เจนใช้คุณนัทเป็นเครื่องมือในการเอาคืนคุณ คุณนัทมีพลังที่เจนไม่สามารถเอาชนะได้เลย คุณเอาเวทย์มนต์ของคุณทำให้คุณนัทหลงใหลตัวคุณจนงี่เง่า ถอนตัวเองไม่ขึ้น แต่เจนไม่อยากให้คุณนัทเป็นแบบนั้น เป็นเหยื่อในทฤษฎีของคุณ มันไม่มีหรอกกาย ความรักจะยังคงอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันน่ะ ไม่มีใครทำได้หรอก
   เจนรู้ว่าวันนึงคุณนัทจะต้องเข้มแข็งขึ้น เพราะยังไงก็ตามคุณนัทจะมีเพื่อนที่รักเขา และไม่ยอมให้คุณนัทต้องอยู่ในสภาพต้องคำสาปของคุณไปตลอดแน่ ยังไงจะต้องมีวันที่คุณนัทลุกขึ้นมาเป็นเหมือนเจน แล้วเดินไปข้างหน้า เดินไปในทางที่คุณไม่มีวันไปเจอเขาได้อีก"
   “คุณไม่มีทางทำสำเร็จหรอก" กายว่า "มันก็เหมือนกับคุณ ที่วันนึงทางของเขาก็จะวกกลับมาหาผม"
   “คิดงั้นเหรอคะ" เจนว่า "แต่เจนว่าไม่นะ"
   กายกำหมัดแน่น
   “เจนบอกแล้วว่าคุณนัทมีพลังที่เจนไม่สามารถเทียบได้เลย" เจนว่า "คุณนัทเขาจะไป ไปไกลกว่าดีไซน์เนอร์คนไหนๆ ไปไกลกว่าคุณ และเขาก็จะไม่มีวันวกตัวเองกลับมาหาคุณอีกแน่นอน"
   “คุณทำแบบนี้ไปทำไม" กายว่า "ใช้นัทเป็นเครื่องมือมันสกปรกมากนะเจน ทำไมคุณไม่ลงกับผมตรงๆ"
   “เจนลงกับคุณตรงๆค่ะกาย" เจนว่า "คุณก็กำลังเจ็บอยู่นี่ไง และที่สำคัญก็คือ ดูเหมือนว่าคุณนัทก็พร้อมจะเป็นเครื่องมือของเจนเสียเองด้วย เจนฟังจากโทรศัพท์ที่เราคุยกันเรื่องเลื่อนกำหนดการของงานคุณมิก ดูเหมือนว่าคุณนัทจะไม่มีอาการลังเลเลยซักนิดกับการเดินทางมาที่นี่"
   “คุณใจร้ายมากเจน" กายว่า
   “คุณต่างหากที่ใจร้าย" เจนว่า "หลังจากเจน ก่อนจะเป็นคุณนัท มีผู้หญิงกี่คนแล้ว ที่คุณทิ้งไว้ข้างหลัง ในขณะที่คุณได้ท่องเที่ยวไปในโลกแสงสีของคุณ เพราะอย่างนี้ไงล่ะคะ ถึงไม่มีใครรอคุณ เจนเคยบอกแล้วว่าทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่มีใครยอมทิ้งความฝันเอาไว้ เพื่อมานั่งรอคุณหรอก"
   “ถ้าผมเจอคุณอีก" กายกัดฟัน "คุณจะโดนไม่ใช่น้อยเลยเจน"
   “ก่อนจะถึงเวลานั้น เจนว่ากายน่าจะเจ็บกว่านะ" เจนว่า "กายคงต้องอยู่คนเดียวแล้วล่ะ"
   กายหลับตาลง
   “ผมไม่อยู่คนเดียวหรอก" กายลุกขึ้นจากหน้าคอม "คุณไม่รู้จักนัทดีพอเหมือนที่ผมรู้จัก"
   เจนเงียบเสียงลง





   …..........กายกดโทรศัพท์หานัทเป็นครั้งที่ยี่สิบแล้ว แต่ก็ไร้แม้แต่เสียงตอบรับ นั่นทำให้เขายิ่งเร่งความเร็วของรถเข้าไปอีก.............



   “นัทน่ะ เขาไม่มีอะไรเหมือนคุณ" กายว่า "ถึงเขาจะเป็นคนที่กล้าพอที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อไปหาสิ่งที่ดีกว่าเหมือนคุณ แต่เขาเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นอยู่ในตัวเองเสมอ นัทน่ะ ไม่ได้รักตัวเองมากเหมือนกับคุณ แต่นัทเค้าพร้อมเสมอที่จะมอบความรักให้กับคนอื่น กับเพื่อนรักของเขา กับคนที่เขารัก เขาจะกลับมาหาผมในที่สุด"
   “งั้นก็พิสูจน์กันค่ะ" เจนว่า "กายกล้าเสี่ยงไหมล่ะ กายกล้าลงพนันกับเจนหรือเปล่า"
   กายหายใจเข้าลึก
   “งั้นก็หมายความว่าธุระของกายตอนตีสี่ก็ไม่จำเป็นแล้วใช่ไหมคะ" เจนว่า "เพราะยังไงคุณนัทก็คงเห็นกายสำคัญที่สุดใช่ไหมคะ"
   “คุณนี่มันแม่มดชัดๆ" กายร้อง
   “เจนเป็นแฟนเก่าคุณนะกาย" เจนร้อง "แฟนเก่าของพ่อมดเชียวนะคะ"
   “ผมจะตามล่าคุณแทบพลิกแผ่นดินทีเดียว" กายร้องพลางวิ่งไปหยิบกุญแจรถของตัวเองและออกจากคอนโดอย่างเร่งรีบ



   ….......บนท้องถนนที่เวิ้งว้างยามคำ่คืน กายไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาควรไปที่ไหนก่อน ในหัวที่เคยนิ่งเฉยกับสถานการณ์กดดัน ตอนนี้ปั่นป่วนไปด้วยความคิดที่วิ่งไปวิ่งมานับพัน
   เขากำลังวิ่งตามไป......
   ตามบางอย่างที่รู้ดีว่าอาจจะไม่กลับมา.....
   เขาต้องขอร้องคนอื่นแล้วในที่สุด....
   กายกัดฟันจนน้ำตาไหลอาบหน้า....
   ถ้านัทไม่ใช่คนที่เขารักมากมายขนาดนี้....
   เขาจะยอมแพ้เจนแน่นอน.........



   เจนจิรากดวางหูไปทันที พลางหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหมุนเก้าอี้กลับมาประจันหน้ากับอีกร่างนึงที่ยืนอยู่ข้างหลัง
   “พอใจหรือยังล่ะ" เจนจิราพูดขึ้น
   “เธอน่าจะสบายใจนะ" เจ้าของร่างที่ยืนอยู่ข้างหลังเจนพูดขึ้น "อย่างน้อยๆ ก็เป็นการระบายสิ่งที่คับอกคับใจเธอมานานออกไป"
   “มันไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ ฉันรู้จักกายดี เขาไม่มีทางขอร้องใครแน่” เจนร้องถามขึ้น "ฉันไม่ชอบวิธีที่ต้องมานั่งอธิบายความจริงแบบนี้ให้คนอื่นรู้ด้วย มันง่ายเกินไป"
   “แล้วทำไมเธอต้องทำอะไรให้มันยากด้วยล่ะ" หญิงสาวว่า "การจริงใจกับตัวเองน่ะ มันไม่ใช่สิ่งผิดหรอกนะ ดีซะอีก ที่เรารู้ว่าตัวเราเองเป็นยังไงน่ะ"
   “คุณคิดว่าคนอื่นเขาจะโง่ขนาดไม่รู้ว่ตัวเองต้องการอะไรเชียวเหรอคะ.....” เจนตอบ "….คุณสา"
   หญิงสาวที่ยืนเท้าเอวมองหน้าเจนอย่างมีชัย
   “มีสิ....เพื่อนเราทั้งคู่ไง" สาตอบ "ในเวลาที่ตองตัดสินใจในเรื่องแบบนี้นั่นแหละท้าทายที่สุด"
   “งี่เง่าเป็นบ้าเลย" เจนว่า "อะไรกันน่ะ จัดการกันเองแค่นี้ก็ไม่ได้ ต้องให้เจนมานั่งสาธยาย ไร้สาระ"
   “มันเรื่องที่เธอสร้างขึ้นมาเองนะยะ" สาว่าพลางกอดอก
   “มันก็แผนคุณเหมือนกันแหละน่า" เจนจิราลุกขึ้น "ฉันไม่น่ามาเบอร์ลินเลยให้ตายสิ"
   “เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก" สาว่า "ยังไงฉันก็จะตามล่าเธอจนพลิกแผ่นดินอยู่ดี"
   “เยี่ยม ทีนี้ก็มีแต่คนตามล่าฉัน" เจนว่าพลางหยิบกระเป๋าของตัวเอง "ฉันเป็นใครเนี่ย อาชญากรหรือไง ฉันก็แค่ อยากจะทำให้แฟนเก่าสุดอีโก้ รู้จักกับการหยุดอยู่กับที่ซะทีน่ะเหอะ"
   “มันก็ไม่ต่างกันหรอก" สาว่า "ที่เราสองคนทำ ก็เพราะอยากให้คนอื่นเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจไม่ใช่เหรอยะ"
   “แต่ชีวิตคนเราต้องรู้จักเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครมานั่งสอนเราหรอกนะ" เจนว่า "ถ้าเรามัวแต่บอกแบบนี้ ใครจะเรียนรู้เองได้ล่ะ"
   “เธอจากมาเร็วไปหน่อย" สาว่า "สำหรับฉัน เพื่อนเราทั้งคู่เรียนรู้กันมาพอแล้วล่ะ
   เจนเบินหน้าหนี
   “ทันต้องจบลงซักที" สาว่า เจนจิราหันมายิ้มเยาะ
   “จบเหรอคะ" เจนว่า "ไม่มีจบหรอกค่ะคุณสา.....มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง"
   สามองเจนอย่างครุ่งคิด การเดินทางมาต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้ เธอกำลังจะแพ้เหมือกันหรือนี่
….........................

ออฟไลน์ kuichai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ยิ่งอ่านยิ่งติด

กะลังนั่งคิดนอนคิด ตอนจบจะแฮปปี้มั้ยน้า  :m31:

รอค่ะ

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 42 4 a.m.


   งานปาร์ตี้สังสรรค์เล็กๆที่พี่สุเมธจัดให้เป็นการส่งลานัทในค่ำคืนก่อนเดินทางนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย คนในสตูดิโอที่ออฟฟิศสาทรเพียงไม่กี่ชีวิต อยู่เพื่อส่งท้ายการทำงานของนัทอย่างอบอุ่น แม้ว่านัทเองจะไม่ได้มีอาการแช่มชื่นอย่างที่ควรจะเป็นมากนัก แต่ความรู้สึกี่อยากจะเปลี่ยนแปลง ก็ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อเวลาในการอยู่ที่นี่ของเขากำลังนับถอยหลังลงไปทุกที
   ชายหนุ่มปลีกตัวออกมาจากงานเลี้ยงออกมาอย่างหน้าต่างของออฟฟิศ ที่ที่เขามองเห็นถนนอันวุ่นวายของกรุงเทพยามค่ำคืน ในย่านเศรษฐกิจที่ผูกพันชีวิตของเขามานาน
   “ว่าไง ใจหายใช่หรือเปล่า" เสียงของพี่สุเมธปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ นัทหันมามองทันที
   นัทหัวเราะน้อยๆ
   “จะว่างั้นก็ได้มั้งพี่" นัทว่า "ผมแค่ตกใจที่......ผมเคยคิดว่าแถวนี้เป็นที่ย่านที่ผมคิดว่าคงเป็นจุดสูงสุดแล้วในหน้าที่การงานแต่ว่า มันมีบางอย่างที่ใหญ่กว่าเยอะเลย"
   “ชีวิตมันก็คือการเปลี่ยนแปลงนั่นแหละ" พี่สุเมธว่า "ก้าวไปข้างหน้าคือสิ่งที่มีเพียงคนที่พร้อมเท่านั้น จะทำได้"
   “ครับ" นัทรับคำ พลางมองออกไป
   “แล้ว เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วหรือยัง" พี่สุเมธถามต่อ
   “อ๋อ เรียบร้อยแล้วพี่" นัทตอบ "ของส่วนตัวอยู่ในรถพี่ต้อมแล้วครับ เดี๋ยวผมอาจจะงีบซักพัก แล้วตีสองครึ่งก็ไปสุวรรณภูมิเลย"
   “พี่หมายถึง เตรียมตัวก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้น่ะ" พี่สุเมธถามย้ำ นัทหันมามองหน้าเขาอย่างตกตะลึง


   “การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่การสูญเสียนะนัท คิดดูดีดี"
   “ถ้าแกได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว"



   นัทก้มหน้าลงอย่าครุ่นคิด ใบหน้าของสา มิก และกายแว้บเข้ามาในหัว
   “มันสำคัญมากนะนัท" พี่สุเมธพูดต่อ "คนที่สำคัญกับเราน่ะ คือสิ่งที่จะอยู่ในใจของเราต่อไป ตลอดการเดินทางนี้ เราน่ะ จะจากที่นี่ไปเพียงลำพังไม่ได้หรอก"
   “เหรอครับพี่สุเมธ" นัทถามต่อ
   “มันจริงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงของชีวิตน่ะ มันคือทางที่เราเลือกแล้ว และแม้ว่าอีกทางหนึ่งที่เราไม่ได้เลือกจะไม่จำเป็นต้องไปคิดมัน" พี่สุเมธพูด "แต่ชีวิตของคนเราส่วนใหญ่ มักจะมานั่งเสียดายและคิดทบทวนว่า ถ้าเราเลือกอีกเส้นทางนึง มันจะเป็นอย่างไรกัน"
   “มันไม่ถูกต้องนี่ครับ" นัทว่า
   “ใช่ๆ มันงี่เง่ามากแต่ว่า นั่นมันก็คือมนุษย์นี่" พี่สุเมธว่า "มนุษย์ทุกคนมีเรื่องที่ตัวเองต้องงี่เง่า ลูกค้าทุกคนที่พี่เจอ ก็งี่เง่าใส่พี่ในรูปแบบที่ต่างกันออกไป เราแค่ต้องหาวิธีรับมือน่ะ"
   “วิธีรับมือของผมก็คือ ลืมเรื่องงี่เง่านั้นซะแล้วก็เริ่มต้นใหม่ครับพี่เมธ" นัทว่าเสียงแข็ง
   “อืม อันนี้พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน" พี่เมธตอบ "เรื่องรับมือกับลูกค้าแล้วโน้มน้าวจิตใจน่ะ มีแต่กายสิทธิ์เท่านั้นแหละ ที่เป็นตัวพ่อน่ะ"
   นัทเงียบไปทันที กายสิทธิ์ พ่อมดแห่งวงการนี้
   “เอ่อ แล้วก่อนไปนี่ ได้บอกเจ้ากายไว้หรือยัง" พี่สุเมธถามขึ้น "เขาน่ะ เป็นตัวทำให้เราเปลี่ยนตัวเองมาถึงจุดๆนี้ได้เชียวนะ น่าจะไปขอบคุณเขาซักหน่อยไม่ใช่เหรอ"
   นัทเงยหน้าขึ้นทันที
   “คนสำคัญของชีวิตเหรอครับ" นัทว่าพลางนึกอะไรบางอย่างออก พลางหันหน้ามาประจันหน้ากับพี่สุเมธ "งั้น ผมขอตัวได้หรือเปล่าครับ"
   “ได้สิ แต่เราต้องไปตอนตีสี่ไม่ใช่เหรอ" พี่สุเมธกล่าว
   “ครับ" นัทว่า "แค่ตีสี่เท่านั้น"
   นัทว่าพลางออกเดินจากจุดๆนั้นทันที
   เหมือนกับว่านัทเพิ่งจะตื่นขึ้นจากอะไรบางอย่าง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน เกราะที่ห่อหุ้มตัวเองเอาไว้เริ่มเปราะลงทีละน้อย พลังแห่งการเวลา เหมือนกับจะปลุกให้เวทย์มนต์ประหลาดของกาย ทำร้ายร่างกายของเขาได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาต้องการเจอคนคนนั้นเดี๋ยวนี้ คนที่เข้าใจเขามากที่สุดกับเรื่องทั้งหมดนี้ อย่างน้อยก็ในเวลานี้ คนที่เขาไม่อยากจากไปด้วยความรู้สึกแย่ๆ คนที่รักเขาหมดใจ.....
   …..มิก
…................
   มิกนั่งเหม่อมองรูปของตัวเองและเอิร์ธอยู่ริมน้ำยามค่ำคืนอย่างนิ่งสงบ สายน้ำที่เอ่อนองยามค่ำคืนนี้ เป็นเครื่องหมายของความเหงา มิกนั่งจมอยู่กับระเบียงริมน้ำที่มีความหมายต่อเขาและใครบางคนมากมาย  เขาหนาวสะท้านจนต้องกอดตัวเองไว้แน่น เขาอยากให้เวลาของตัวเองและคนที่มีความหมายต่อเขาเดินไปช้า ด้วยความหวังลมๆแล้งๆ ว่าจะมีวันคืนดีดีที่หวนกลับมา แม้ว่าแสงนั้นจะริบหรี่อยู่ที่ปลายทางจนมองไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว
   เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ขณะที่สามารถดึงสติที่ล่องลอยไปไกลกลับมาได้อีกครั้ง เขาค่อยๆลุกพาร่างกายที่สวมเพียงกางเกงนอนเท่านั้น ไปเปิดประตูหน้าบ้าน
   ภาพตรงหน้าคือเพื่อนรักที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น มิกมองนัทและกองข้าวของที่วางอยู่รอบตัวอีกครั้ง ไม่รู้เพราะอะไร เขารู้สึกเหมือนกับว่า เขาได้เพื่อนรักกลับมาอยู่ตรงหน้าแล้ว
   “แกรู้หรือเปล่า ฉันน่ะ ไม่เคยพูดอะไร แล้วทำได้เลยซักอย่าง" นัทว่า มิกมองหน้าเพื่อนรักช้าๆ "ฉันเคยบอกว่า ฉันจะไม่ยอมทำชมรมโดยที่ไม่มีเงินจากสโม แต่ฉันก็ไปโวยจนได้มาหลายพัน"
   มิกก้มหน้าลง เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกบางอย่างแล้ว
   “ฉันเคยบอกว่า ฉันจะไม่ยืนอยู่บนจุดที่คนอื่นๆชื่นชม เพราะฉันไม่ชอบ แต่สุดท้าย ฉันก็มายืนตรงจุดนี้จนได้" นัทพูดเสียงสั่น มิกเม้มปากน้อยๆ พลางกำหมัดแน่น
   “ฉันเคยบอกกับแกว่า ฉันไม่มีทางจะหลงเสน่ห์กาย จนลืมเพื่อนเด็ดขาด หรือแม้แต่บอกว่า ฉันจะอยู่คนเดียวให้ได้ แม้ว่าพวกเราสามคนจะต่างคนต่างไปแล้ว แต่......ฉันก็ไม่เคยทำได้ซักที" นัทว่าพลางทรุดตัวลงนั่งกับพื้น
   “ฉันพูดว่า ฉันจะไป โดยไม่ร่ำลาเขา" นัทว่า "ฉันจะไปให้ไกล ไกลจนถึงเขาต้องทำทุกๆอย่างเพื่อที่จะตามหาฉันแต่......พอจะถึงเวลานั้นจริงๆ.......อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง แค่ข้ามคืนนี้ไป.......แค่ตีสี่เท่านั้น......ฉันก็ทำไม่ได้อ่ะ"
   นัทแผดเสียงขึ้น น้ำตาไหลอาบหน้าเบาๆ
   “ฉันมันไม่เคยทำอะไรตามที่พูดไว้ได้เลยซักอย่างว่ะมิก" นัทแผดเสียง "ฉันไม่เคยทำได้เลยเว่ย"
   “น...นัท" มิกร้อง
   “กูไม่อยากไปแล้วว่ะ" นัทร้อง "กูไม่ไปแล้วได้ป่าวว่ะ.........กู......กูลืมเขาไม่ได้ว่ะมิก"
   มิกหลับตาพลางส่ายหน้า พลางเดินเข้าไปจับไหล่นัทเอาไว้
   “กูมันแย่ที่สุดแล้ว" นัทร้อง "ขนาดเพื่อนที่รัก ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ คนที่รักยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ กูมัน.....”
   “แกก็คือแกไง" มิกพูดเบาๆ "ฉันรักแกเป็นแบบนี้นั่นแหละ"
   นัทเงยหน้าขึ้นมองมิกทั้งน้ำตา
   “และฉันก็เชื่อว่า เขาก็รักที่แกเป็นแบบนี้นั่นแหละ" มิกว่า นัทโผเข้ากอดมิกทันที กอดกันอยู่อย่างนั้นจนเวลาอันแสนเจ็บปวดผ่านพ้นไป
…......

   ….....กายยืนอยู่เพียงลำพังที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขาไปหานัทที่บ้านแล้ว แต่ก็พบเพียงบ้านอันว่างเปล่า เขาไม่รุ้เลยว่าตอนี้นัทเดินทางไปแล้วหรือยัง นัทไปอยู่ที่ไหน หัวใจของกายโหวงเหวงอย่างประหลาด เหมือนกับว่าเวลาแห่งอดีตกำลังซ้ำรอบสองอีกแล้ว เขาก้มหน้าลงกับตัวเอง
   หรือว่าการเดินทางของเขาก็จะต้องมาสิ้นสุดอยู่ที่ตรงนี้กันนะ
   หางตาของพ่อมดหนุ่มเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งวาดรูปอยู่เพียงลำพังอยู่ที่สวนสาธารณะริมน้ำที่อยู่ถัดรถของเขาไปอีกไม่ไกลนัก เหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาเดินเข้าไปหาเธอคนนั้น เหมือนกับพลังอำนาจบางอย่างของภาพที่เธอกำลังวาดอยู่ ทำให้เขาต้องมนต์สะกด
   หญิงสาวในชุดลำลองผมยาวสยายกำลังหันหลังให้เขา นั่งอยู่ตรงหน้าแผ่นแคนวาสแนวนอนผืนใหญ่ รอบกายรายล้อมไปด้วยสีน้ำมันมากมายที่เธอกำลังบรรจงตกแต่งลงไปบนนั้น แสงสีที่วุ่นวายและดูเศร้าหมองแบบนั้น
   นี่มัน.....
   “Loveless Society” เสียงของเธอพูดขึ้น กายมองแผ่นหลังของเธอ "ภาพนี้มีชื่อเสียงมากค่ะ แต่ว่าฟ้าอยากจะลองวาดมันใหม่ด้วยสไตล์ของฟ้าเอง คุณกายคิดว่ายังไงคะ"
   เธอหันหลังมาหากายทันที
   “เรารู้จักกันด้วยเหรอคครับ" กายพูดขึ้น ขณะพยายามปั้นหน้าให้กลับสู่สภาวะปกติ ขณะที่เธอกำลังลุกขึ้น แล้วจับมือทักทายกับเขา
   “ใครๆก็รู้จักคุณค่ะ" ฟ้าตอบ "พ่อมดแห่งวงการกับรถสปอร์ตคันหรูนั่น"
   เธอพยักเพยิดไปยังรถที่จอดอยู่ถัดออกไป กายยิ้มให้เธอเบาๆ
   “ขับมาเร็วขนาดนั้น ไม่ตกแม่น้ำไปก็ดีแล้วนะคะ" ฟ้าว่า กายก้หน้าลงทันที "ฉันชื่อฟ้าค่ะ เป็นอาร์ททิสอยู่ที่ Art & Virtual แล้วก็ เป็นแฟนพันธุ์แท้ของผลงานคุณค่ะ"
   “สวัสดีครับ แล้วก็ขอโทษด้วยที่เอ่อ....รบกวนคุณด้วยเสียงรถผมนั่น" กายว่า
   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ" ฟ้าว่า "มันเป็นอดีตไปแล้ว"
   “แต่ดูคุณจะไม่มีสมาธิวาดรูปเอาซะแล้ว" กายว่าพลางอมยิ้ม
   “อ๋อ" ฟ้าว่าพลางมองไปยังงานของตัวเอง "อดีตที่ผิดพลาดไปแล้ว ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แก้ใขใหม่เอาก็ได้"
   เธอพูดพลางหันมายิ้ม กายอึ้งเล็กน้อยกับภาษาอุปมาอุปไมยของเธอ
   “คุณมาทำอะไรเนี่ยคะ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว" ฟ้าถามขึ้น
   “ผมเหรอ" กายทวนคำ พลางมองไปยังรูปของเธอ "นั่นน่ะสิ ดึกป่านนี้แล้ว ผมน่าจะหยุดอยู่กับบ้านได้แล้ว"
   ฟ้ายิ้มกว้าง
   “คุณดูเศร้าจังเวลามองภาพฉันนี่" ฟ้าว่า "คุณรู้เหรอคะ ว่ามันหมายความว่ายังไง"
   กายมองหน้าเธอ
   “รู้ครับ ผมเอ่อ.....เป็นแฟนของเจ้าของผลงานนี่เหมือนกัน" กายว่า
   “จริงเหรอคะ" ฟ้าว่า "คุณติดตามผลงานของเขามาตลอดเลยเหรอคะ"
   “ตลอดเลยครับ" กายตอบ
   “ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่าระดับคุณนี่ จะมีศิลปินที่คุณชื่นชมด้วย" ฟ้าว่า "อย่างฟ้าเองที่ไม่ได้ทำงานสายเดียวกับคุณ ยังชื่นชมคุณเลยค่ะ ดูคุณไม่น่าจะเข้าใจงานสายนี้เท่าไหร่"
   “ผมเข้าใจครับ อันที่จริง ผมเข้าใจค่อนข้างดีทีเดียว" กายว่า
   “งั้นเหรอคะ" ฟ้าว่า "ดีใจจังเลยอ่ะ ที่คุณก็เสพย์งานแบบนี้เหมือนกัน ในฐานะแฟนตัวยงของคุณ ฉันอยากจะบอกว่าฉันชื่นชมผลงาน CSR ที่คุณกับคุณไชยรัตน์ร่วมกันใช้งานโฆษณาพัฒนาหมู่บ้านที่ฝั่งลาวมากๆค่ะ มันเอ่อ.....ประทับใจมากแบบว่า....มันเป็นแรงบันดาลใจให้กับฉันในหลายปีมานี่"
   “ขนาดนั้นเลยเหรอครับ" กายว่า "ไม่นึกว่าคุณจะทราบ.....”
   “ก็อย่างที่บอก ใครๆก็รู้จักคุณ และสำหรับฉัน ที่ชื่นชอบคุณเป็นการส่วนตัว ก็......ดีใจค่ะ ที่ได้พบคุณแบบนี้" ฟ้าตอบ
   “แต่ผมมาทำลายสมาธิคุณเนี่ยนะ" กายว่า
   “นั่นสินะคะ" ฟ้าว่า "บางทีถ้าเป็นคนที่เราชอบมากๆ ต่อให้เขาทำเรื่องไม่ดี เราก็พร้อมจะให้อภัยเขาเสมอ จริงไหมคะ"
   กายมองหน้าเธอทันที
   “คุณมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า" ฟ้าถามขึ้น จากสีหน้าของกายที่ซีดเผือด
   “ผมเอ่อ.....” กายก้มหน้าลง "อยากจะมีโอกาส บอกความรู้สึกส่วนตัวให้กับคนที่ผมชื่นชอบบ้างจังน่ะ"
   “ระดับคุณแล้วน่ะ น่าจะมีโอกาสเจอเขาบ่อยออกนะคะ" ฟ้าว่า
   “แต่ผมไม่เคย บอกเขาเลย ว่าผมติดตามเขามาตลอดน่ะ" กายว่า
   “ถ้าคุณมีโอกาส คุณก็น่าจะบอกนะคะ" ฟ้าว่า "บางทีคำชื่นชมเล็กๆของแฟนๆอย่างเรา อาจจะสร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นกับเขาก็ได้ค่ะ"
   กายมองหน้าเธออีกครั้ง
   ทำไมกันนะ เหมือนกับว่า ผู้หญิงคนนี้
   ก็กำลังสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาเหมือนกัน
   “ค...คุณคิดอย่างนั้นเหรอครับ" กายถามต่อ
   “ค่ะ.....ไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อหรือเปล่านะ แต่...ฟ้ารู้จักกับเจ้าของ Loveless Society นี้ค่ะ" เธอว่า "ไอดอลของคุณน่ะ เป็นคนที่อบอุ่นมาก แล้วก็ ทุกๆครั้งที่ฟ้ามีปัญหา เมื่อฟ้าคุยกับเขา เขาก็พร้อมที่จะรับฟังค่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่แอบงี่เง่าไปซักนิด แต่เขาเป็นคนน่ารักมากค่ะ"
   “คุณรู้จักเขาด้วยเหรอครับ" กายถาม
   “ใช่ค่ะ....เขาเป็นเพื่อนของเพื่อนฟ้าเอง" เธอตอบ
   “ทำยังไงผมถึงจะได้เจอกับเขาบ้างนะ" กายถาม
   “อืม เอาไว้วันหลัง เดี๋ยวฟ้าจะนัดเจอให้ไหมคะ" เธอกล่าว
   “แล้วถ้า...ผมอยากจะเจอเขา ก่อนตีสี่คืนี้ล่ะครับ" กายถามกลับ หญิงสาวมองเข้ามาในตาของกายทันที
   “ดูคุณจะเป็นแฟนตัวยงของเขาจริงๆใช่ไหมคะเนี่ย" ฟ้าถามเสียงเข้ม
   เงียบกันไปพักนึง กายมองหน้าเธอพลางนึกคำพูดที่เหมาะสม
   “เขาคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมจะยอมแลกทุกอย่างที่ผมมีตอนนี้" กายพูด "เพื่อไม่ให้เสียเขาไปอีกครับ"
   ฟ้าเงยหน้าน้อยๆพลางอมยิ้มที่มุมปาก
   “ถ้าอย่างนั้น คุณคงต้องถามหัวใจคุณดูแล้วล่ะ ว่าคุณจะเจอเขาได้ที่ไหน" ฟ้าตอบ "ถ้าคุณติดตามผลงานเขาจริงๆ คุณก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้เขาคิดอะไร เป็นคนยังไง เคยทำอะไร แล้วก็จะทำอะไรต่อไปค่ะ"
   “งั้นเหรอครับ" กายก้มหน้าลงอย่างครุ่งคิด
   คิดอะไร เป็นคนยังไง




   “คุณรู้เหรอว่าผมต้องการอะไร"
   “ผมไม่คิดว่าผมกับคุณจะเข้ากันได้"
   “ผมไม่ชอบให้ใครมาตัดสินงานของผมนอกจากลูกค้า....และในกรณีนี้คือบอส"
   “คุณมีอะไรไม่พอใจหรือเปล่า...เอ่อ.....เกี่ยวกับงานน่ะ"
   “นี่แหละตัวผม....คุณก็ต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ"
   

   “คุณไม่เคยพูดว่าอะไรจะดีขึ้นนะกาย.....ผมจะไป....ตามที่ผมได้เลือกแล้ว"


   “ผมรู้แล้วล่ะ" กายพูดพลางหันหลังออกเดินไปทันที ฟ้ายิ้มกว้าง
   “อย่าลืมนะคะคุณกาย" ฟ้าตะโกนไล่หลังมา "ถ้าคุณเจอเขาแล้ว คุณต้องบอกความรู้สึกของตัวเอง ให้เขารู้นะ เล่าเรื่องของคุณที่ติดตามเขา ฟ้าเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ"
   “ขอบคุณมากนะครับ" กายพูดกับเธอ "แล้วผมเอ่อ....จะพาคุณไปทานข้าว...แล้วเอ่อ.......ฟังเพลง...แบบว่า....ขอบคุณครับ"
   เธอมองไอด้อลของเธอขับรถคันหรูจากไป ก่อนจะหันกลับมามองภาพวาดของเธอ คำพูดของนัทแว้บเข้ามาในหัว
   
   “บางทีฉันก็ยังสงสัยเหมือนกัน ตอนวาดภาพนี้น่ะฟ้า เพราะถึงมันจะดูเศร้า แต่หลายๆคนก็บอกว่า มันก็ไม่เศร้าขนาดนั้น"
   “ทำไมล่ะ"
   “ก็เพราะว่ามันยังมีความหวังว่าวันนึง เราจะหลุดพ้นออกจากโลก Loveless Society นี้ไง เหมือนมีเวทย์มนต์เลยเนอะ"

….........

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 43 Out Of My Hand


   บนถนนยามเช้ามืดที่เงียบสงบ ไร้ซึ่งเสียงแห่งความวุ่นวายแห่งเมืองกรุง ไอ้เต่าทองขับอย่างอ้อยอิ่งไปตามถนนมุ่งหน้าไปยังชานเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ มิกขับมันอย่างระมัดระวัง แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้นอนเลย
   หลังจากเงียบเสียงไปนาน นัทก็ลืมตาขึ้นจากการงีบหลับไปบ้าง การงีบหลับทุกครั้งที่อารมณ์อ่อนไหว มักจะทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองได้พักผ่อนหลังจากการเดินทางอันยาวานเสียเหลือเกิน และครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาได้มาถึงปลายทางของมันแล้ว
   “ไหวหรือเปล่าเนี่ย" มิกพูดขึ้นเบาๆ
   “ไหวๆ" นัทตอบ "ใกล้ถึงแล้วนี่"
   “อืม" มิกว่า "ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันรอส่งแกจนขึ้นเครื่องเลยดีกว่า"
   “เห้ย ไม่ต้องก็ได้ แกกลับไปพักผ่อนเหอะ" นัทว่า
   “ไม่ต้องหรอก" มิกว่า "ตอนไอ้สาไป ฉันก็ไม่ได้ไปส่งมัน คราวนี้แกไป ฉันไม่อยากพลาด"
   “แกนี่ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ" นัทว่า "ทำอะไรช้าๆ แต่ขอเก็บทุกรายละเอียด"
   “ฉันไม่อยากให้อะไรพลาดไปเลย" มิกว่า "ทุกวินาทีที่เกิดขึ้นในชีวิตมันมีความหมายมากนะเว่ย ยิ่งเวลาที่เราอยู่กับคนที่สำคัญในชีวิตน่ะ"
   “น้องมันจะกลับมาหรือเปล่า" นัทว่า มิกหันมามองหน้านัท "ไม่เอาน่า ให้ฉันได้รู้เรื่องของแกบ้างดิ ทุกวันนี้ฉันก็ เอาเรื่องของตัวเองมาซัดใส่แกมากพอและ ก่อนไปก็ขอทำอะไรเพื่อแกบ้าง"
   “อ่านะ" มิกรับคำ "หน้าที่ดูแลแก ฉันรับต่อมาจากสาต่างหากเล่า"
   มิกว่าพลางเอื้อมมือไปขยี้หัวเพื่อนรัก
   “ว่าไงล่ะเรื่องน้องเอิร์ธ" นัทถามต่ออีก มิกทำทีเป็นหันไปมองกระจกข้าง
   “มีใบสมัครของมัน มาที่ Lovable Studio” มิกตอบ "แต่มันคงไม่ได้เลือกที่นั่นหรอก เจ๊ผึ้งบอกว่าพอร์ทมันไม่ผ่านแล้วก็.....มันอาจจะแค่กันท่าเอาไว้เฉยๆ"
   “แล้วแกเอาไง" นัทถามต่อ
   “ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป" มิกถอนหายใจ "ฉันเขียนใบลาออกกับ Lovable Studio แล้ว อีกสองเดือนฉันจะตามแกไป"
   “เอางั้นเหรอ" นัทพูด
   “มันก็จริงอย่างที่แกว่า" มิกพูดเสียงเศร้า "ไม่มีใครกลับมาหาฉันหรอก"
   นัทเอื้อมมือกลับไปจับมิกเอาไว้ มือของนัททำให้ร่างของมิกสั่นไหว ไอ้เต่าทองจอดนิ่งสนิทอยู่บนด้านหน้าของสนามบินสุวรรณภูมิ นัทเอื้อมตัวไปหามิก ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันมากและ...
   “ไม่ได้นะ" มิกเอามือของตัวเองมากั้นริมฝีปากของนัทไว้ นัทถึงกับหยุดชะงัก
   “ไหนแกบอกว่า นี่จะทำให้เราสองคนรู้สึกดีขึ้นไง" นัทพูดเบาๆ
   “มันไม่มีประโยชน์แล้ว" มิกว่า "ตื่นเหอะนัท ยังไงซะ นี่ก็คือความจริง"
   นัทมองดวงตาของมิกที่เบิกกว้าง
   “แกกับฉันเป็นแค่เพื่อนกัน" มิกพูดชัดเจน "แล้วเอ่อ.....เราสองคนก็จะต่างคนต่างไปแล้วด้วย....ฉันขอเก็บจูบที่เหลือไว้ให้คนที่ฉันรักได้เปล่าวะ"
   นัทยิ้มกริ่ม
   “แล้วอีกอย่าง" มิกพูดต่อ "ฉันเคยสาบานเอาไว้ ว่าจะไม่จูบแกอีก ถ้าฉันทำอีกล่ะก็ฉันเละแน่เลย"
   “ไม่ยักกะรู้ว่าเชื่อเรื่องสาบาน" นัทว่า
   “เอาเหอะน่า" มิกพูด "คราวนี้ศักดิ์สิทธิ์ซะด้วย"
   มิกพูดพลางมองไปยังทางเข้าสนามบิน นัทมองตามไป ชายหนุ่มคนนึงยืนอยู่ตรงกลางทางเข้า ตรงกลางมากเสียจนไม่ว่าจะเข้ามาจากประตุไหนในเวลาแบบนี้ จะต้องอยู่ในรัศมีที่เขามองเห็นแน่นอน
   “กาย" นัทพูดเบาๆ พลางหันมาหามิก
   “ลงไปเหอะ" มิกว่า "บอกลาเขา ด้วยความเข้มแข็งดีกว่านะ"
   นัทก้มหน้าลงเล็กน้อย

   เรื่องราวเหล่านี้จะต้องจบลงในที่สุด
   การเดินทางที่แสนยาวนานนี้.....
…..............
   นัทไม่รู้ตัวว่าเขาสามารถไม่พูดคำใดใดมาได้อย่างไรตลอดเวลาเกือบสิบห้านาทีที่เขาขนของและยืนยันตั๋วกับเจ้าหน้าที่ และเตรียมตัวการเดินทางจนพร้อมสรรพเสร็จสิ้น สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้คือค่อยเดินๆมาหากายที่ยังคงยืนรอเขานิ่งสนิทอยู่ตรงนั้นที่เดิม เฝ้ามองดูเขาโดยไม่พูดสิ่งใดแม้แต่คำเดียว ขณะที่มิกยืนอยู่หลังกายห่างๆ มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
   นัทเดินเข้ามาใกล้กายมากขึ้น เขาก้มหน้าลง ไม่อยากสบสายตาคู่นั้นตอนนี้ สายตาที่เต็มไปด้วยคำขอร้องมากมาย สายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดปนความเหนื่อยล้า ทุกๆอย่างที่เขาทำให้กายแทบอยู่ไม่ได้ สิ่งที่กายเป็นอยู่ตอนนี้ นัทเคยมีสายตาแบบนี้มาแล้วที่สนามบินดินเมืองเมื่อหลายเดือนก่อน แต่มาครั้งนี้ เขาเป็นคนที่ต้องไปเสียเอง
   แต่ทำไมกันนะ เขาจึงเจ็บปวดอยู่ในใจเหลือเกิน
   ยืนอยู่อย่างนั้นหลายนาที มันเป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน นัทไม่อยากให้การจากลานี้มันต้องจบลงด้วยความเศร้า เขาอยากให้กายและเขา จากกันโดยที่เจ็บปวดน้อยที่สุด จบเรื่องนี้โดยเสียน้ำตากันน้อยที่สุด
   “เหนื่อยมั้ย" นัทพูดขึ้นเบาๆ "ที่ต้อง....วิ่งตามผม"
   กายเมินสายตาไปเล็กน้อยก่อนจะเงยหนาขึ้นกุมขมับ  และหันกลับมามองนัทอีกครั้งด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ
   “ถ...ถ้าคุณ..น...เหนื่อย....คุณเลิกซะก็ได้" นัทค่อยๆพูดออกมาทีละคำ "ผม...ไม่ว่าอะไรคุณหรอก"
   กายยังคงเงียบสนิทต่อไป ชายหนุ่มยืนแทบไม่อยู่ พลางถอนหายใจเป็นพักๆ
   “ผม....ผมต้องไปเร็วขึ้นเพราะว่า...ผมมีงานที่ต้องทำ" นัทพูด "มันยุ่งมากจน....ไม่ได้บอกคุณไว้ก่อน......แต่ยังไงคุณก็รู้แล้วนี่..แล้วตอนนี้ผม ก็ต้องไปแล้ว......”
   กายยังคงมองหน้านัทอยู่อย่างนั้น
   “ถ้าคุณ ไม่ว่าอะไร" นัทค่อยๆพูด "ผมจะไปลานที่พักผู้โดยสารเลยแล้วกัน"
   กายขำขึ้นมาในลำคอเบาๆ แม้ว่านัยน์ตาของเขาจะอ่อนล้าเต็มที
   “แล้วคุณอ่ะ เหนื่อยมั้ย" กายถามกลับบ้าง นัทมองหน้ากายทันที "เอาคืนผมแบบนี้น่ะ คุณไม่เจ็บบ้างเลยหรือไงนะ"
   นัทกลายเป็นฝ่ายเงียบเสียงลง
   “คุณน่ะมัน ยอดงี่เง่าเลยนะรู้ตัวหรือเปล่า" กายพูดขึ้น นัทขมวดคิวทันที "คุณคิดจริงๆน่ะเหรอว่าผมจะวิ่งตามคุณน่ะ ผมเป็นพ่อมดนะ ผมไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ ที่ต้องวิ่งตามคุณแบบนี้น่ะ"
   นัทก้มหน้าลงทันที
   “คุณคิดว่าคุณชนะแล้วใช่ไหม ที่ทำให้ผมแทบสติแตก ที่ทำให้ผมเหมือนตายทั้งเป็นแบบนี้ คุ...คุณคิดว่าคุณทำได้แล้วใช่ไหมนัท" กายพูดต่อ
   “ถ้าคุณจะขอผมเลิก" นัทค่อยๆพูดอย่างระมัดระวัง "ผ....ผม....ก็โอเคนะ"
   กายมองหน้านัทนิ่ง
   “ผมไม่ขอคุณเลิกหรอก" กายพูด "ผมเลิกเอง"
   นัทเงยหน้าขึ้นมองกายทันที เช่นเดียวกับมิกที่มองหน้ากายอย่างตกตะลึง
   “ต่อจากนี้ ผมจะเลิกตามคุณแล้ว" กายพูด "ผม....ผมคงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว"
   นัทยิ้มน้อยขึ้นที่ริมฝีปาก
   จริงสินะ...
   มันสมควรแก่เวลาแล้วจริงๆ......
   “เดี๋ยวก่อน" มิกถลาเข้ามาทันที "นายพูดบ้าอะไรของนายวะไอ้กาย ไหนสาบานกันแล้วไง ว่าแกจะปกป้องนัทให้ได้น่ะ ไหนแกบอกไง ว่าจะไม่ยอมเสียมันไปไง ไหนไม่รักษาคำพูดวะ"
   กายก้มหน้าลงอย่างไว้ท่า ขณะที่นัทหลับตาสนิท
   “ฉันบอกว่าฉันจะพยายาม" กายพูดขึ้น "และตอนนี้ ฉันก็พยายามมาจนถึงที่สุดแล้ว"
   “อ...อะไรนะ" มิกร้องออกมาอย่างไม่เชื่อว่า "น...นี่หมายความว่า.....ให้ตายสิ นายเอาจริงเหรอเนี่ย"
   กายนิ่งสนิท
   “ล....แล้วที่ผ่านมาล่ะ นายรู้หรือเปล่าว่านัทมัน....”
   “พอเหอะมิก" นัทพูดขึ้นทันที "ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ ตอนนี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีแล้ว ด...ดีซะอีก ฉันจะได้ไปปารีสอย่างสบายใจซะที"
   กายหันมามองหน้านัท
   “อะไรกันวะ" มิกร้อง "ฉันไม่ได้ทนนั่งดูเรื่องราวของแกสองคนให้มาจบลงอย่างนี้นะเว่ย แล้ว....แล้วที่ทุกๆคนสู้เพื่อแกสองคนมาล่ะ ฉัน สายัยเจน ทุกๆคนทำเพื่อหาทางออกให้แกนะเว่ยนัท"
   กายมองนัทที่ยืนมองพื้นตัวสั่นสะท้าน
   “ทั้งหมดที่ผ่านมา แกจะปล่อยให้เสียเปล่าไปเหรอวะ" มิกส่ายหน้า พลางหันมาหากาย "แกจะปล่อยให้เสียปล่าวจริงๆเหรอวะ ตอบดิวะ เห้ย"
   “มันไม่เสียเปล่าหรอกมิก" กายพูดขึ้น "ผมแค่ไม่อยากวิ่งตามใครเขาอีกแล้ว ผมแค่เหนื่อยมาพอแล้วกับคุณน่ะ....”
   กายหันไปตวาดใส่นัททันที มิกอ้าปากค้างพลางหันหลังออกไปจากตรงนั้น อย่างหัวเสีย เขาไม่อยากรับรู้เรื่องราวเหล่านี้อีกแล้ว มันเกินกว่าที่เขาจะรับไหวแล้ว
   “สำหรับคำถามของคุณว่าผมเหนื่อยมั้ย" กายพูด "ผมเหนื่อยแล้ว ผมวิ่งตามคุณมาเหนื่อยมาก ผม....ผมพอแล้ว....สี่ปีเชียวนะคุณ...ที่ผมวิ่งตามคุณน่ะ"
   คำพูดสุดท้ายของกายปลุกให้นัทตื่นขึ้นจากความเศร้าหมองทั้งปวง มิกหันหลังกลับมาหาทั้งคู่อีกครั้ง

    ชายหนุ่มเลี้ยวที่หัวมุมถนน ชนเข้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังรีบวิ่งโดยไม่ทันระวังตัว
   “Excuses” เด็กหนุ่มกล่าวขอโทษเป็นภาษาฝรั่งเศส ด้วยสำเหนียงที่แปลกแต่ดูคุ้นหู ชายหนุ่มหันหลังกลับไปมองร่างน้อยๆที่ซุกตัวอยู่ใต้เสื้อกันหนาวหนาเตอะ


   “จะมีใครหรือเปล่า ที่คิดจะตามหาใครซักคนได้นานเท่านี้ ที่รอเวลาพิสูจน์ใครซักคนได้นานเท่านี้" กายพูดเสียงสั่นเครือ "คนอื่น อาจจะคิดว่ามันเป็นเวลาที่ยังน้อยอยู่ดี แต่ผมไม่ได้มีความอดทนไปได้มากกว่าสี่ปีนี้แล้ว"
   นัทจ้องมองกายถลน
   “จากวันที่คุณสวมเสื้อกันหนาวสีฟ้าที่ฝรั่งเศสตรงหัวมุมถนนนั่น ที่แกลอรี่เลอ ดา คาเฟ่ จนคุณกลับมาได้งานที่ Lovable หรือวันที่ผมได้มีโอกาสเข้ามาในชีวิตคุณ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะนัท" กายพูด "ผมแค่อยากบอกคุณว่า ผมได้พยายามแล้ว ได้วิ่งตามคุณอย่างที่คุณต้องการแล้ว ไม่ว่าคุณอยากจะพิสูจน์อะไรผมก็ตาม ผมทำแล้ว ผมทำพอแล้ว"
   นัทนัยน์ตาเบิกกว้าง ขณะที่มิกก้มหน้านิ่ง
   “ถ้าคุณอยากจะให้ผมขอร้องคุณ" กายพูดพลางกัดฟัน "ถ้านั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมต้องทำ....เพื่อให้คุณมารักผมอีกล่ะก็ ผม.....”
   กายกำหมัดแน่น พลางหลับตาลง
   “ผม...ผมแค่อยากรู้ว่าคุณมีเหตุผลอะไร ที่ต้องทำร้ายผมขนาดนี้น่ะนัท" กายนัยน์ตาแดงก่ำด้วยความโกรธและเสียใจ "คุณโกรธอะไรผมเหรอ ผมทำอะไรให้คุณไม่สบายใจ ทั้งๆที่เรากลับมาจากลาว เรามีเวลาดีดีด้วยกันน่ะนัท ทำไมเหรอ คุณโกรธอะไร ทำไมไม่พูด"
   น้ำตาของนัทไหลลงเบาๆ ร่างกายของเขาชาไปทั้งตัว เหมือนกับว่า เขาถูกตีด้วยคลื่นความเจ็บปวดลูกใหญ่
   “คุณไม่พอใจอะไรอ่ะ คุณไม่พอใจเจนเหรอ ที่เขาเข้ามาวางแผนเรื่องของเรา ทั้งๆที่ผมไม่เคยโกรธที่คุณสาก็เข้ามาวางแผนใส่คุณเหมือนกัน" กายพูด "ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเรื่องของเราสองคนแท้ๆ ทำไมเราถึงจัดการกันเองไม่ได้ล่ะนัท คุณต้องการจะพิสูจน์อะไรอ่ะ พิสูจน์ว่าสุดท้ายแล้ว คุณกับผมเข้ากันไม่ได้จริงๆงั้นเหรอ คุณ....คุณแค่ต้องการเอาคืนผมเหรอนัท คุณโกหกผม ไม่ได้รักผมเลยงั้นใช่หรือเปล่า"
   กายหันไปหามิกครั้งหนึ่งที่หลบสายตาของกายไปด้วยอีกคน กายหันกลับมามองนัทที่ก้มหน้านิ่ง
   “สำหรับผม ที่ตัวเองต้องผมมาหาคุณตรงนี้ หรือส่งคุณวันนี้" กายพูดด้วยเสียงสั่นเครือ "มันมีเหตุผลเป็นร้อยเป็นพันที่ทำให้ผมลืมคุณไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมมาที่นี่ คุณคือคนที่พิเศษสำหรับผม แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมมาที่นี่เหมือนกัน ผมไม่ได้มาขอร้อง ให้คุณอยู่ และก็จะไม่ทำเด็ดขาด ผมจะไม่ขอร้องคุณอีกแล้ว......”
   กายกัดฟันพลางผ่อนอารมณ์ตัวเอง
   “ผมจะไม่ขอให้คุณอยู่ แต่ผมอยากจะให้คุณบอกผมซักคำก่อนคุณจะไป ว่าคุณยังมีความหมายกับผมบ้างหรือเปล่า" กายพูดประโยคสุดท้ายออกมาพร้อมกับน้ำตา
   “ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสกับสายการบินไทย เที่ยวบิน TG 926 กรุณาขึ้นเครื่องที่ประตู 4 ค่ะ”
   นัทหลับตาลงทันที
   “ขอบคุณที่อุตส่าห์เล่าเรื่องอัน....น่าประทับใจของคุณให้ผมกับมิกฟัง" นัทพูดเสียงสั่น "คุณมีเรื่องจะพูด....ค....แค่นี้ใช่ไหม......”
   กายก้มหน้าลง นัทเดินเข้ามากายช้าๆ ก่อนจะล้วงหยิบเอามือถือของกายขึ้นมา แล้วยื่นให้ตรงหน้าเขา
   “คุณเอาคืนไปเถอะ" นัทพูดขึ้น กายมองหน้านัทอีกครั้ง
   “น...นัท" กายย้ำชื่อคนที่เขารักอีกครั้ง แม้ว่ามันจะแผ่วเบามากก็ตาม
   “ผมไม่อยากเก็บมันไว้แล้ว" นัทพูดเบาๆ "ผมน่าจะคืนคุณ ซะตั้งแต่กลับมาจากลาวแล้วด้วย ไม่น่าจะให้มันยืดเยื้อมาจนวันนี้เลย"
   กายเอื้อมมือไปรับมือถือเครื่องนั้นมา อย่างเบามือที่สุด
   “เราจะได้.....ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" นัทพูดพลางเงยหน้าและยิ้มกว้างให้กาย แม้ว่าน้ำตาของเขาไหลอาบหน้า "ลาก่อน คุณกายสิทธิ์"
   นัทเดินหันหลังจากไป กายที่หมดเรี่ยวแรงแล้ว มองชายหนุ่มที่เขารักมากที่สุดบนโลกใบนี้เดินจากไปช้าๆ เขาก้มหน้าลงกัดฟันกรอด พลางกำหมัดแน่น
   เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน
   “งั้นจบกันแค่นี้นะ....นัทนนท์" กายพูดกับตัวเองเบาๆ ขณะคลายหมัดลง ดวงตาอึ้งตะลึงฉายไปเบื้องหน้า เขาหันหลังกลับทันที มิกมองเขาอยุ่ตรงนั้น
   “ผมขอโทษ" กายพูดขึ้น "ผมทำได้แค่นี้"
   มิกถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินจากกายไปโดยไม่ร่ำลาใดใด กายมองมิกหายไปท่ามกลางฝูงชน ขณะที่ตัวเองยืนร้องไห้เงียบๆอยู่เพียงลำพัง
   เสียงสะอื้นที่บาดลึกและหนาวเย็นไปจนถึงขั้วหัวใจ
   กายร้องไห้อย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเสียน้ำตาให้กับความรักได้
   การเดินทางที่แสนยาวนานจบสิ้นลงแล้ว
   อย่างน้อยๆ Loveless Society ก็ไม่ได้โกหกเขา
   ทางเดินนี้ มันก็แค่การมาเจอกันของคนที่เหงาๆสองคน มันไม่มีวันที่มาบรรจบกันได้ แม้ว่าจะพยายามแค่ไหน ในสังคมแบบนี้ คนแบบเขา ที่ใครๆก็ต่างตราหน้าว่าคือพ่อมดแห่งวงการ แห่ง Loveless Society เขาเข้าใจแล้วว่า สุดท้ายเขาก็ยังคงไม่มีความรักที่แท้จริง
   มันคือที่สุดของการไขว่คว้าแล้ว
   จากนี้คงไม่มีอีกแล้วสำหรับคนอย่างเขา
   กายสิทธิ์ พ่อมดที่แพ้จนหมดรูปตรงนี้........
…...........

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 44 Remember My Voice

   มิกจอดเจ้าเต่าทองนิ่งสนิทอยู่ที่คอนโดมิเนียมหรูกลางกรุงในไม่กี่วันถัดมา วันนี้เป็นอีกวันว่างๆของเขา ไม่รู้ว่าเจ้าเต่าทองเกิดมีจิตวิญญาณขึ้นมาเองหรืออย่างไรไม่ทราบ เท้าของเขาก็เหยียบมันมาถึงคอนโดแห่งนี้ได้ก่อนจะถึงเวลารถติดมหาโหด มันเป็นเหมือนสัญชาตญาณบางอย่างบอกว่า ไอ้ตัวแสบของเขาอยู่ที่นี่ ไอ้ตัวแสบที่ตอนนี้คงไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำอะไร ซึ่งมิกก็จะไม่แยแสอีกต่อไป หากว่าพี่สุเมธไม่ย้ำนักหนาว่าเขาต้องไปรับคอเลกชั่นคริสต์มาสมาจากกายสิทธิ์ภายในวันนี้ให้ได้ นอกจากจะกลัวว่าคำตอบของกายคือไม่ได้ทำแล้ว เขายังกังวลสภาพที่จะได้เจอ
   ร่างกายหอบขึ้นลิฟท์าถึงชั้น 46 ได้ในไม่นาที เขาก้าวเท้าไปถึงห้องหรูที่อยู่สุดปลายทางเดิน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนระดับกายสิทธิ์จะมีห้องคอนโดแบบไหน อยู่ตรงไหน หยุดอยู่หน้าประตูครั้งหนึ่งก่อนจะเคาะลงไปสามครั้ง ประตูแง้มออกทันทีเมื่อมือของมิกโดนประตูครั้งแรก เขาจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปทันที
   ภาพตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าที่คิดนัก แสงสว่างเพียงเล็กน้อยลอดผ้าม่านที่เปิดเอาไว้เพียงด้านเดียว ดูเหมือนว่ากองเสื้อผ้าจะถูกวางระเกะระกะอย่างไม่เป็นระเบียบอยู่มุมๆหนึ่ง ที่โต๊ะในครัวมีขวดวิสกี้สองสามขวดกลิ้งไปมา ในขณะที่มุมทำงานยังคงสะอาดเลี่ยม มีกระเป๋าเขียนแบบวางอยู่บนโต๊ะดราฟเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่กายดูเหมือนจะเลือนเอาเก้าอี้นวมไปนั่งอยู่ริมหน้าต่างกระจกที่เปิดออกเพียงเล็กน้อย พ่อมดหนุ่มอยู่ในชุดนอนที่เปลือยท่อนบนเอาไว้ มือยังคงกุมแก้ววิสกี้ที่หมดแล้ว สายตามองออกไปยังกรุงเทพภายนอกจากช่องที่เปิดออกนั้น มิกถอนหายใจครั้งหนึ่ง ทำทีเป็นไม่สงสัยในสภาพของกายตอนนี้
   “ผมมารับคอเลคชั่นคริสต์มาสสำหรับซูเม่" มิกพูด "ใช่ที่อยู่บนโต๊ะนั่นหรือเปล่า"
   ได้รับเพียงความเงียบกลับมา มิกเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะเดินไปเปิดกระเป๋าเขียนแบบดู เป็นงานที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วจริงๆ สภาพงานในกระเป๋ายังคงเนี๊ยบไร้ที่ติ ต่างจากสิ่งที่อยู่รอบๆโต๊ะดราฟทั้งหมด
   “งั้นเอ่อ.....ผมขอไปเลยแล้วกัน" มิกพูดต่อ "แล้วถ้าพี่สุเมธออกความเห็นอะไร หรือมีอะไรให้แก้ ผมจะรีบแจ้งให้คุณทราบ"
   “พี่สุเมธรู้" กายพูดขึ้นทันที มิกถึงกับตกใจเบาๆ "ถ้าเขาของานจากผม เขาจะรู้ว่าไม่มีทางที่ผมจะต้องแก้งานตัวเอง ผมไม่แก้งานตัวเองหรอก"
   มิกเลิกคิ้วครั้งหนึ่ง
   “งั้นก็ดีครับ" มิกพูด "งั้นผมกลับก่อนนะ"
   “ถ้านายไม่่ว่าอะไร ดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ" กายพูดเบาๆหามิก ที่มองกายอย่างพินิจ "ผมรู้ว่าจริงๆแล้วคุณก็มีเรื่องที่ไม่สบายใจเหมือนกัน มาดื่มกันก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร พี่สุเมธไม่ว่าอะไรหรอก ถ้างานถึงมือเขาไม่เกินเที่ยงคืนน่ะ"
   “ฉันต้องขับรถ" มิกว่า "ฉันดื่มไม่ได้อ่ะ"
   “งั้นอยู่เป็นเพื่อนผมแป้บนึงสิ" กายพูด "เป็นค่าจ้างงานที่อยู่ในมือคุณน่ะ"
   มิกส่ายหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะเดินมานงลงกับพื้นข้างๆเก้าอี้ของกาย อย่างเสียไม่ได้ กายยังคงมองนิ่งไปยังที่เดิม
   “นายจะตามเขาไปเมื่อไหร่เหรอ" กายถามขึ้นเบาๆ มิกหันมามองกายครั้งหนึ่ง
   “สิ้นเดือนธันวา" มิกพูด "ก็หลังจากที่งานนี้จบ ฉันก็ไปเลย"
   “ที่จริงแล้วฝรั่งเศสติดต่อนายมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ" กายพูด "ทำไมไม่ตอบตกลง"
   มิกก้มหน้าลง
   “ฉันเอ่อ....มีบางอย่างอยากจะรออยู่ที่นี่อีกพักนึง" มิกตอบ "ฉันก็เคยบอกนายไปแล้วนี่"
   “แล้วนัท เขาก็ยอมแลกตัวกับนายไปงั้นเหรอ" กายถามต่อ มิกคิดเอาไว้แล้ว ว่าจะต้องมีซักประโยคที่กายพูดเกี่ยวกับนัทขึ้นมา
   “ก็...ประมาณนั้น" มิกว่า "นี่ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ ฉันจะไม่มานั่งพูดเรื่องที่มันจบไปแล้วกับนายอีกนะกาย ไม่ว่านายจะยังสติแตกอยู่หรือไม่ว่าอะไรก็ตาม มันก็คือเรื่องที่นายกับมันได้ตัดสินใจไปแล้ว แล้วฉันก็จะไม่พูดถึงมันอีกโอเคป่ะ"
   กายเงีียบไปพักนึง ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา มือถือที่นัทคืนเขาเมื่อหลายวันก่อน ที่หน้าจอยังคงมีรูปเขากับนัทอยู่ใกล้กัน มิกส่ายหน้าพลางลุกขึ้น
   “ฉันบอกนายได้ก็แค่ ลืมมันซะ" มิกพูด "สภาพนายตอนนี้ก็ทุเรศพอยู่แล้ว อย่าให้มันยืดเยื้อเลยว่ะ"
   กายก้มลงกดไปมาในมือถืออย่างเหม่อลอย
   “ฉันเองก็เคยเป็นแบบนายเว่ย กับไอ้นัทเนี่ยแหละ" มิกพูด "เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเองแหละ.....แล้วมันก็จะเป็นแค่อดีตเว่ย.....”
   มิกถอนหายใจ
   “ฉันไปก่อนล่ะ" มิกพูดทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

   “หวัดดีกาย"

   เสียงของนัทดังขึ้น มิกหันหลังมาหากาย ที่หันมามองเขา โดยที่มือถือยังอยู่ตรงหน้า มิกมองมันอย่างไม่เชื่อสายตา


   “ผมไม่รู้ว่า คุณจะมีโอกาสได้ฟังเสียงของผมหรือเปล่า แต่ผมจะทำทุกอย่างให้คุณได้ไฟล์เสียงนี่" นัทพูดพลางมองไปยังกระเป๋าที่วางอยู่ข้างเตียงของตัวเอง นัทเอื้อมมือไปหยิบพวงกุญแจตุ๊กตามาถือเอาไว้
   “ตอนนี้ผมอยู่บ้าน กำลัง....จัดกระเป๋าไปเอ่อ....ปารีส" นัทพูดต่อ "แต่ก่อนที่จะไป ผมอยากจะบอกคุณในเรื่องบางอย่าง"
   นัทหลับตาลงครั้งหนึ่ง
   “ผมขอโทษ" นัทพูดขึ้น "ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้คุณต้องมาทำทุกอย่างเพื่อขอร้องผมในหลายเดือนมานี่ แต่...ผมแค่อยากให้คุณเข้าใจ ว่านี่คือตัวผม ว่านี่คือชีวิตที่บางครั้งเราก็ต้องเลือกในทางที่มันขัดกับความรู้สึกของตัวเอง
   ผมเข้าใจ ว่าคุณต้องการชีวิตแบบไหนกาย คุณอยากได้อิสระ และในขณะที่เวลาคุณอ่อนแอ หรือคุณเหงา คุณมองกลับมาแล้วก็จะเจอผมอยู่ที่เดิม คอยดูแลคุณ ซึ่งผมเองก็เคยคิดว่า ผมจะทำได้ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแล้วก็ทรมาณมากเวลาที่ผมเห็นคุณในข่าวต่างๆ กับผู้หญิงคนอื่นๆ ผม....คิดว่าผมจะทำได้.....
   แต่ผมก็รู้ว่า ผมทำไม่ได้กาย มันไม่ใช่ตัวผมเลย ถ้าผมจะรักใครซักคน ผมก็อยากที่จะให้เขาอยู่กับผม ตลอดไป และผมก็รุ้ว่าคุณ ไม่มีทางจะทำอย่างนั้น กับ...คนอย่างผม....
   ผมรู้ตัวว่าตัวเองไม่เคยทำอะไรในสิ่งที่เคยพูดเอาไว้ได้เลย ผมเคยบอกว่าคุณกับผมไม่มีทางเข้ากันได้ ทั้งที่อันที่จริงแล้ว ผมชอบคุณตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอคุณแล้วล่ะกาย ผมชอบที่คุณพาผมออกไปข้างนอกกับคุณ ที่คุณดูแลผม เหมือนกับว่าผมเป็นคนสำคัญ ที่เราสองคนมีช่วงเวลาดีดีด้วยกัน ถึงแม้ว่าชีวิตของเราสองคนจะต่างกันมาก และเหมือนว่าจะเข้ากันไม่ได้แต่ นั่นคือเวลาที่ผมมีความสุข ที่ได้อยู่กับคุณ"
   นัทหายใจเข้าครั้งหนึ่ง
   “กายครับ" นัทพูดต่อ "ผมรักคุณนะ ผมรักคุณมาก และผมอยากจะขอเวลาที่ผมไปปารีสครั้งนี้ ขอเวลาให้กับตัวเอง ขอเวลาให้ผมหน่อยนะกาย ผมรู้ตัวเองดีว่าผมเสียคุณไปไม่ได้ แต่ว่า....ตอนนี้ เราสองคนต่างกันมากขึ้นทุกทีแล้ว ผมอยากให้เราได้ลองทบทวนอะไรบางอย่าง ทั้งผมและคุณ ว่า เราต้องการอะไรในชีวิตคู่ของเรากันแน่
   วันนึง ผมอาจจะรู้สึกทนได้กับชีวิตที่คุณต้องการขึ้นมาก็ได้ หรือวันนึงคุณอาจจะเข้าใจผมขึ้นมาก็ได้ แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง เราสองคนมาเริ่มต้นกันใหม่นะกาย"
   นัทหลับตาลงอีกครั้ง
   “ผมรักคุณ" นัทพูดเบา "รักมากที่สุด แล้วผมอาจจะกลับมา ในเวลาที่เหมาะสม ดูแลตัวเองนะกาย"
   นัทวางโทรศัพท์ของกายลงเบาๆ

   กายกดปิดไฟล์เสียงลง พลางมองหน้ามิกอย่างเฉยฉา
   แล้วก้เข้าสู่ความเงียบ เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน
   “ผมแค่อยากจะถามคุณเฉยๆ" กายพูดขึ้นเบาๆ "ว่าคุณคิดว่าผมยังพอมีหวังไหม"
   คำพูดของสาแว้บเข้ามาในสมองมิก เขาหันหน้าไปทางอื่นพักหนึ่ง
   “มันขึ้นอยู่กับว่า.....นายกับมัน จากกันดีแค่ไหน" มิกพูดเสียงสั่น "ถึงการจากลาจะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ถ้าเราจากกันด้วยความหวัง หวังว่าซักวัน เขาจะกลับมา"
   กายก้มหน้าลง
   “ถ้ามันเป็นอย่างนี้ นัทมันบอกนายชัดเจนแล้วนะ" มิกพูดขึ้น "ใช้เวลาตรงนี้ทำใจเถอะกาย ค้นหาตัวเองดีดี ว่านายต้องการมันในแบบไหน แล้วมันต้องการนายในแบบไหน แล้วหาวิธีบาลานซ์มัน ทำให้มันหาจุดกึ่งกลาง แล้วใช้ชีวิตอยู่กับจุดกึ่งกลางนั้น"
   “นายทำได้เหรอ อยู่คนเดียวกับความหวังนี่น่ะ" กายถมขึ้น "นายทำได้เหรอ"
   มิกเงียบสนิทพลางหลับตาลง
   “แล้วถ้า...ถ้าเกิดว่า ฉันสามารถหาจุดกึ่งกลางได้ขึ้นมาวันหนึ่งแล้ว...แล้วมันไม่กลับมาล่ะ" กายพูดต่อ "ถ้า....สุดท้ายแล้ว....ไม่มีใครกลับมาล่ะ"
   “ฉันไม่รู้" มิกตอบ "ไม่มีใครอยากอยู่โดยที่หัวใจอีกครึ่งนึงหายไปหรอก แต่ในเมื่อมันต้องอยู่ มันก็ต้องอยู่"
   มิกพูดเสียงสั่นพลางกำหมัดแน่น
   “อยู่กับความหวังนี่แหละ" มิกพูดต่อ "มันอาจจะไม่มีใครกลับมาก็ได้ แต่.....พอถึงจุดจุดหนึ่ง นายก็ก็จะรู้สึกได้เอง ว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่จะ....เลิกรอได้แล้ว"
   กายหลับตาลง
   “มันกำลังเกิดขึ้นกับนายเหมือนกันใช่หรือเปล่า" กายถามขึ้นเบาๆ "ที่นายพูดกับฉันอยู่นี่"
   “ช...ใช่" มิกตอบ "ฉันก็กำลังรอเหมือนกัน....ต...แต่ว่า.....ฉันตั้งเวลาไว้แล้ว.......ว่าเมื่อไหร่ฉันจะเลิกรอ"
   “บอกเวลานายหน่อยได้ไหม" กายถามต่อ มิกยิ้มน้อยๆ
   “สำคัญด้วยเหรอ" มิกถามต่อ
   “ฉันจะได้มีเพื่อนรอไง" กายพูด "แล้วถ้านายเลิก ฉันก็จะเลิกเหมือนกัน"
   “เวลาของฉันคือสิ้นปี" มิกตอบทันที "ถ้าสิ้นปีนี้ คนที่ฉันรักไม่กลับมา ฉันก็จะเลิกรอ"
   “สิ้นปีงั้นเหรอ" กายทวนคำเบาๆ
   “แต่สำหรับนาย มันไม่ใช่แค่การรออย่างเดียวนะเว่ย" มิกพูด "นายต้องคิดทบทวนอย่างที่ไอ้นัทมันบอกนั่นแหละ ว่านายสามารถหาจุดกึ่งกลางระหว่างนายกับมันได้หรือเปล่า"
   มิกก้มหน้าลงพลางยิ้มกว้าง
   “เพราะฉันแอบคิดว่า" มิกพูดต่อ "ถ้านายหาได้ นัทมันก็คงกลับมาแหละ"
   “คิดงั้นเหรอ" กายถามต่อ
   “ไม่รู้สิ" มิกพูด "นายก็รู้จักมันดีพอๆกับฉัน นัทมันไม่เคยทำอย่างที่มันเคยพูดไว้ได้เลย"
   “ช่วงเวลาสองเดือนนี่ เรามาเจอกันบ่อยๆได้หรือเปล่า" กายถาม
   “อะไรของนายเนี่ย" มิกถามอีก "ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นหรอก"
   “ผมก็ไม่ได้ว่าง" กายว่า "นายคือคนสุดท้ายที่เป็นตัวแทนของอดีตที่มีค่าของผมน่ะมิก อย่างน้อยผมก็ไม่รู้สึกว่า อะไรๆ หายไปหมด"
   “งั้นนายก็โชคดีที่มีหน้าฉัน" มิกว่าพลางหันหลังกลับ "ฉันสิ ไม่มีอะไรเลย"
   มิกเดินจากกายมาเพียงเท่านั้น...
   แม้ว่าเสียงของนัทยังคงก้องอยู่ในหัว......
…............
   "เอาจริงเหรอคะเนี่ย" เสียงของอาร์มพูดโวยวายในสตูดิโอ "ทั้งหมดนี่อ่ะเหรอคะ"
   “ใช่" มิกตอบในตอนบ่ายของวันนั้น
   “โอ้โห พระเจ้าช่วย" อาร์มว่า "อะไรกันเนี่ย คือ...หนูมีสองมือนะ โยนมาให้กันแบบนี้ ไม่ไหวหรอก"
   “ใจเย็นๆ เดี๋ยวพี่ช่วย คอลเลกชั่นของกายสิทธิ์สุดหล่อเลยน้า" มิกพูดจาเอาอกเอาใจอาร์มใหญ่
   “หล่อมันไม่ได้ช่วยให้หายเหนื่อยนี่คะ" อาร์มพูดตอบ
   “อ้อจริงสิ มันช่วยให้เหนื่อยขึ้น เหนื่อยไปฟินไป" มิกพูดแซว อาร์มจ้องหน้ามิกถลนพลางเขินอาย
   “ลองดุก็ได้ค่ะ ยังไงก็ขอบคุณพี่มิกก็แล้วกันที่เอางานใหญ่ๆมาลงให้เสมอๆเลยอ่ะ" อาร์มว่า "แต่ว่ายังไงพี่อย่าลืมไปตามจิกเจ๊ผึ้งด้วยนะคะ เรื่องขอจูเนียร์ดีไซน์เนอร์มาเพิ่มสองคนน่ะ"
   “อือ.....” มิกรับคำหน่าย
   “งั้นหนูไปแสกนก่อน" อาร์มพูดพลางหอบแฟ้มไปยังห้องล้างอัดทันที ขณะที่มิกมองไปยังห้องเจ๊ผึ้งที่อยู่เยื้องออกไป เขาหลับตาครั้งหนึ่งก่อนจะเดินไปในห้องนั้น พลางเคาะประตูอีกครั้ง
   “มาอีกแล้วเหรอ" ผึ้งเงยหน้าขึ้นจากงานของตัวเอง เหล่มองมิกตาวาว
   “แหะๆ" มิกพูดติดตลกขณะที่เจ๊ผึ้งโยนแฟ้มเดิมๆให้มิดูอีกครั้ง แฟ้มรายชื่อผู้สมัครงานใหม่
   “นี่เข้าเดือนธันวาแล้วยังไม่คอนเฟิร์มมาล่ะก็ พี่จะบอกผ่านจริงๆด้วย" ผึ้งว่าเสียงหงุดหงิด
   “ขอเวลามันอีกหน่อยนะครับเจ๊" มิกพูดขอร้อง "มันต้องกลับมาแน่ๆ"
   “เห้อมิกเอ้ย" ผึ้งกอดอก "นายนี่น้า มีความสุขกับการทำงานที่นี่ขนาดนั้นเลยเหรอ กับทีมเดิมๆเนี่ยนะ"
   “ทำไมล่ะเจ๊ ทีเจ๊ยังอยู่ที่นี่มายันแก่เลย" มิกพูดแซว ผึ้งส่งสายตาค้อนขวับให้นิดนึง
   “ผู้หญิงน่ะ จะมีอะไรล่ะ เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน แล้วก็มีลูก" เจ๊ผึ้งกล่าว "แล้วพอเจ๊มีลูกแล้ว การงานที่มั่นคงทันก็สำคัญ แล้วที่นี่ก็ให้ในสิ่งที่ไม่มากไป ไม่น้อยไปสำหรับเจ๊"
   มิกพยักหน้ารับทันที
   “แต่แกน่ะ ยังมีโอกาสอีกไม่ใช่เหรอ" ผึ้งถาม "ไปเถอะน่า นี่ไม่ได้ไล่ แต่เสียกายความสามารถที่เรามีนะมิก"
   “แล้วทำไมเจ๊กับแฟน ไม่ลองย้ายไปที่อื่นบ้างล่ะ เมืองนอกอะไรอย่างนี้" มิกถามต่อ "แบบว่าถ้ามีโอกาส ก็น่าจะทำให้ไปด้วยกันทั้งครอบครัวได้ไม่ใช่เหรอ"
   “ได้น่ะมันได้อยู่ แต่ว่ามันก็ต้องคิดนู่นนี่นั่นเยอะน่ะ" ผึ้งตอบ "แล้วที่สำคัญพี่กับแฟนพี่ก็ไม่ได้โหยหาอิสระขนาดนั้น ซะด้วย ก้เลยคิดว่าที่เป้นอยู่นี่ก็ดีที่สุดแล้ว"
   “น่ารักจังเจ๊" มิกชมออกมาจากหัวใจจริงๆ
   “จำคำเจ๊ไว้นะมิก" ผึ้งพูด "คนเราถ้ามีอะไรเหมือนกันมากๆ รักอิสระเหมือนกันมากๆ ก้มักจะไม่รอกันหรอก ต่างคนก็ต่างโบยบินไปในทางของตัวเองกันทั้งนั้น อยู่ด้วยกันไม่ยืดซักราย"
   "เหรอครับ" มิกรับคำเสียงสั่น "ไม่มีโอกาสที่จะอยู่ด้วยกันเลยเหรอครับ ถ้ารักอิสระเหมือนกันทั้งคู่
   “มันก็มีแหละมั้งแต่หายาก" ผึ้งตอบ "คนที่รักอิสระส่วนใหญ่ก็จะรักตัวเองมากด้วยไงล่ะ แต่มันก็คงมีแหละ ถ้ารักอิสระแล้วรักคนอื่นด้วย น่าจะมีแหละมั้ง"
   “มีสิครับ" มิกรับคำ "ต้องมีแน่นอน"
   “โอ๊ยตายแล้วนายนี่" ผึ้งว่า "นี่จะเป็นคนที่เพ้อกับอะไรงมงายมากมายเลยสินะเจ้ามิก"
   “แหะแหะ" มิกหัวเราะแห้ง พลางหันกลับมาครุ่งคิดกับตัวเอง
   รักอิสระ และพร้อมที่จะรักคนอื่น.....
   มีอยู่แล้วคนแบบนี้....
   มิกรู้จักอยู่คนนึงที่เป็นแบบนี้แล้ว...
   แค่นี้ก็เพียงพอแล้วกับการรอคอยที่เหลืออยู่นี้ มีคุณค่าพอแล้ว....

ออฟไลน์ M2M_Jill

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ตอนที่ 45 How Great Is Your Love


    อากาศหนาวเย็นเริ่มคืบคลานเข้าในช่วงปลายเดือนธันวาคม ความรู้สึกเงียบสงบเบาๆของเดือนแห่งวันสิ้นปีทำให้ Lovable Studio ว่างเปล่า สตูดิโอสามมีเพียงร่างของชายหนุ่มที่ผมเผ้าเริ่มรกรุงรังไม่เป็นระเบียบ นั่งจิบกาแฟอยู่เพียงลำพัง อากาศที่เย็นจนอาจจะทำให้รู้สึกไม่สบาย ทำเอาไม่อยากโหมงานใดใดหนัก มันจะทำให้อีกไม่กี่สัปดาห์ที่เหลือก่อนเทศกาลต้องลาหยุดไปยาวๆ และอาจจะทำให้เขาพลาดรับโบนัสก้อนสุดท้าย
   เมื่อหลายเดือนก่อน เหตุการณ์สะเทือนใจของเพื่อนรักที่เพิ่งจากไปไกลของเขา สอนให้มิกเรียนรู้ถึงคุณค่าของเวลา เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าตอนนี้เวลากำลังทำร้ายเขา มันกระชั้นชิดเข้ามาทุกที และเมื่อเขานั่งคิดถึงมันอย่างเข้มแข็งมากขึ้น มันกลับทำให้ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
   เสียงไออย่างหนักดังมากจากประตูของสตูดิโอ อาร์มเดินเข้ามาอย่างโงนเงนเต็มที่พลางไออย่างน่ากลัวไปด้วย ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะดราฟสีชมพูของตัวเอง
   “ดีขึ้นบ้างไหมเนี่ย" มิกเอ่ยทักขึ้นเบาๆ
   “เหมือนจะตายเลยล่ะพี่" อาร์มบ่นเบาพลางกุมขมับ "ให้ตายสิ อีเว้นท์นี้หนูทำมาเป็นเดือนๆเลยนะ หนูไม่ยอมป่วยหรอก"
   “เอาน่า เบาๆลงบ้างก็ได้ ต้องเสร็จวันนี้เลยเหรอ" มิกถาม
   “วันนี้วันศุกร์แล้วค่ะพี่มิก" อาร์มตอบเสีงเหวี่ยง "เทสกาลคริสต์มาสจะเริ่มจัดตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไปเลยนะ นี่งานของลูกค้าคนนี้ก็ถือว่าจัดช้าไปด้วยอ่ะ ที่อื่นๆเค้าเริ่มกันตั้งแต่ต้นเดือนไปแล้ว"
   “แล้วเหลืออะไรอีกล่ะ" มิกถามต่อ
   “นี่กี่โมงแล้วล่ะพี่" อาร์มถามต่อเสียงแหบแห้ง
   “บ่ายสาม" มิกว่า "ทำไมอ่ะ"
   “อืม ก็เหลือไปเอาของที่สั่งพิมพ์ทั้งหมด แล้วก็มุ่งหน้าไปจัดงานเลยน่ะ" อาร์มว่า "ที่สกายวอร์คตรงสี่แยกสาทรไง ที่เพิ่งทำเสร็จใหม่อ่ะ"
   “อ๋อ ใกล้ๆกับออฟิศที่สุเมธสินะ" มิกว่า
   “เอ๊า ก็งานเค้านี่คะ" อาร์มว่า "แต่ตรงนั้นหนูก้ว่าเก๋ดีนะ มันไม่วุ่นวายเท่าสยาม เหมาะกับการจัดการที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าไง"
   “อืมๆ" มิกว่า "งั้นเดี๋ยวคืนนี้ท่าปรินท์เสร็จแล้วยังไงก็บอกพี่ เดี๋ยวพี่ไปช่วยจัดงานตรงนั้นด้วย"
   “จริงเหรอพี่มิก ใจดีจังเลย" อาร์มว่า แต่ทันใดนั้น หนุ่มน้อยก็มองหน้าพี่มิกนิ่ง "แต่....เดี๋ยวพี่ก็ต้องไปแล้วไม่ใช่เหรอ"
   เงียบกันไปพักนึง มิกหันหน้าไปมองปฏิทันที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ วงกลมสีแดงวงล้อมรอบวันศุกร์หน้า วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม
   “อันที่จริงแล้ว พี่ต้องไปตั้งแต่วันพรุ่งนี้แล้วนี่นา" อาร์มว่า "ที่ยังอยู่นี่ ก็เพราะว่าเป็นห่วงหนูใช่ไหมล่า"
   “เหอเหอ" มิกหัวเราะแห้งๆ "คิดงั้นเหรอ"
   อาร์มนั่งลงข้างๆตัวมิกทันที
   “เฮีย" อาร์มเอื้อมมือมาจับมิกทันที มิกถึงกับตกใจตาลุกโพลง
   “อะไรของแกวะเนี่ย" มิกพูดเสีงสั่น ชายหนุ่มหัวใจสาวน้อยคนนี้มองหน้ามิกพลางทำหน้าตาหวานซึ้ง มิกถึงกับแอบขำเล็กน้อย
   “หนูขอบใจมากนะ" อาร์มพูดขึ้น "คือ...ตลอดเวลาที่หนูเข้ามาทำงานที่นี่แล้วเจอกับเฮียเนี่ย เฮียดีกับหนูมากๆเลย"
   “หา" มิกว่า "ดีอะไรวะ ฉันด่าแกทุกวัน"
   “ไม่ใช่เรื่องนั้น" อาร์มว่า "ไอ้ที่เฮียแซวหนูน่ะ ใครๆก็ทำได้ไหมล่ะโธ่ หนูหมายถึงเฮียเป็นพี่ซ๊เนียร์ดีไซน์เนอร์ที่ดีกับหนูมากๆเลยอ่ะ หนู ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะเลยกับเฮีย"
   “อ่าหะ" มิกยิ้มตอบ "แล้วต้องการจะบอกว่า....”
   “หนูแอบใจหาย แล้วก็เหมือนไม่อยากจะให้เฮียไปเลยอ่ะ" อาร์มว่า "กว่าเจ๊ผึ้งจะส่งคนมาประจำที่สตูดิโอ หนูก็คงเหงาแย่"
   “ไม่อยากทำงานคนเดียวมากกว่าล่ะสิคุณเธอ" มิกว่า
   “ไม่ใช่ซักหน่อย" อาร์มว่า "หนูพูดจริงๆนะ หนูคงคิดถึงพี่แย่เลย"
   มิกเอื้อมมือไปลูกหัวอาร์มทีนึง
   “เฮียก็คงคิดถึงเราเหมือนกันนั่นแหละ" มิกว่า "ถ้าว่างๆจากงานที่นู่น เดี๋ยวเฮียกลับมาหา"
   “จะจริงเหรอ ไปอยู่ฝรั่งเศสเชียวนะ ไม่ใช่เชียงใหม่ ถึงจะไปๆมาๆง่ายขนาดนั้นน่ะ" อาร์มว่า
   “เชื่อเหอะน่า" มิกว่า "ฉันจะกลับมาก่อนที่แกจะคิดถึงฉันซะอีก"
   “เอาเถอะ ถึงมันจะฟังดูไม่น่าเชื่อถือ แต่หนูก็ขอบคุณก็แล้วกัน" อาร์มว่า "ยังไงหนูก็ขอให้พี่โชคดีกับการเดินทางนะ งานคริสต์มาสปีนี้คงเป็นงานสุดท้ายที่เราได้ทำร่วมกันแล้วล่ะ"
   “อ่าหะ" มิกว่า "พี่ก็ ไม่รู้เหมือนกันว่าเจีผึ้งแกจะส่งคนมาประจำสตูดิโอนี้เมื่อไหร่ แต่ว่า ก่อนหน้าที่พี่จะไป พี่ก็จะทำทุกวิถีทางให้แกได้คนที่ดีที่สุดมาช่วยนะอาร์ม"
   อาร์มยิ้มกว้างให้กับมิกครั้งหนึ่ง ขณะที่ชายหนุ่มกำลังมองไปรอบๆสตูดิโอแห่งนี้ ภาพของสาและนัทกำลังส่งยิ้มมาให้เขา ภาพของไบร์ทท่ส่งสายตาน่าเกลียดน่าชังมาทางเขาเป็นระยะ เด่นชัดขึ้นในหัว หรือแม้แต่ภาพของเอิร์ธที่บ่นอิดออดอยู่ตรงหน้าแมคตรงนั้น มิกยิ้มขึ้นมากับตัวเอง
   “คิดอะไรอยู่น่ะ" อาร์มทักขึ้น ภาพเหล่านั้นจางลง เหลือเพียงโต๊ะที่เต็มไปด้วยข้าวของสีชมพูสดใส"
   “อีกเรื่องนึง" มิกว่า "ที่อยากให้แกรู้ก็คือ......สตูนี้น่ะ มีความหมายกับพี่มากเลยเว่ย แล้วก็.......พี่ยังไม่เคยบอกแกเลยก็คือ แกเองก็เป็นจูเนียร์ที่มีฝีมือมาก แกมาทำงานแทนคนถึงสามคนที่ออกจากสตูดิโอนี้ไปเลยนะรู้ตัวหรือเปล่า"
   “เหรอคะ" อาร์มว่า "หนูรู้ว่ามีพี่สาแล้วก็พี่นัท ใครอีกคนเหรอคะ"
   มิกมองหน้าอาร์มอย่างนิ่งสงบ ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วเม้มปาก
   “เขาคือคนที่พี่อยากจะให้กลับมาเป็นผู้ช่วยแกนั่นแหละ" มิกว่า "อย่างน้อยๆ แกก็จะได้มีคนมีฝีมือมาช่วยแกได้บ้าง"
   “ถ้าเขามีฝีมือพอๆกับพี่สาหรือพี่นัทจริงๆ เขาคงไม่กลับมาที่นี่หรอกค่ะเฮีย" อาร์มว่า "แต่ก็ขอบคุณค่ะ ที่เฮียอุตส่าห์หาคนมาทำงานกับหนูให้ได้ ปล่อยให้มันเป็นไปตามเวรกรรมที่หนูทำมาเถอะ ว่าจะได้ไม่ได้น่ะ"
   มิกยิ้มน้อยๆ
   “ไปเอาสิ่งพิมพ์ได้แล้ว" มิกว่า "มาเดี๋ยวพี่ไปส่ง ไปส่งถึงที่จัดงานเลย"
   “ขอบคุณมากๆเลยค่ะ" อาร์มว่า "แต่วันที่ 31 หนูคงไม่ได้ไปส่งพี่ที่สนามบินนะ ตอนกลางวันใช่ป่ะ"
   “อือ ไม่เป็นไร" มิกว่า "พี่ไปคนเดียวได้อยุ่แล้วน่า"
   “ค่ะ"
   อาร์มลุกขึ้นพลางเดินฉับๆออกไปยังห้องปริ้นท์ ขณะที่มิกลุกขึ้นมองไปรอบๆตัวอีกครั้ง
   เขาไม่เคยรู้สึก คิดถึงอะไรมากเท่านี้มาก่อนเลย
   มีคนเคยบอกเขาว่าการหลงรักอดีต หรือความรู้สึกที่อยากย้อนเวลากลับไปอดีต เป้นภาพสะท้อนของการไม่ยอมรับความจริงอันเจ็บปวด เขาเคยคิดว่านั่นเป็นความคิดของคนที่แย่เอามากๆ
   ไม่นึกเลยว่าวันนี้ เขากำลังรู้สึกอย่างนั้น
…......
   การจัดงานฉองคริสต์มาสของแบรนด์ซูเม่ในคืนวันศุกร์นี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มิกคิดเอาเองในใจว่าขอบคุรที่อาร์มเป็นกระเทย เธอใช้พลังงานที่มนุษย์คนใดไม่มีแน่ๆในการร่ายบทเป๋นแม่งานคุมการจัดการกับผู้คนนับห้าสิบชีวิตให้จัดงานเตรียมตัวรับเทศกาลแห่งความสุขนี้อย่างมืออาชีพทันที
   มิกนั่งนิ่งปลีกตัวเองออกจากความวุ่นวายของจัดงานตรงนั้นอยู่พักนึง ก่อนจะมีร่างๆหนึ่งนั่งลงข้างๆพร้อมกับยื่นถ้วยกาแฟอุ่นๆจากสตาร์บัคส์ให้ตรงหน้า เป็นกายนั่นเอง มิกยิ้มให้พร้อมกับรับมันมาถือ
   “ว่าไงนาย" มิกกล่าวทัก เมื่อกายนั่งลงข้างๆเขา "มาทำไรเนี่ย"
   “ผมก็มาดูงานผมน่ะสิ" กายตอบ "อยากรู้ว่าคอเลกชั่นที่คุณเอาไปทำต่อน่ะ ถูกใจผมหรือเปล่า"
   “แล้วว่าไงล่ะ" มิกถามพลางพยักเพยิดไปทางงานที่กำลังถูกตกแต่ง
   “ผมไม่วิจารณ์ได้ป่าว" กายว่าหน้าเคร่งขรึม "งานที่ทำออกมาดีดีส่วนใหญ่ ผมจะเกลียด เพราะมันทำให้ผมดูพ่ายแพ้น่ะ"
   “อย่างนี้นี่เล่า คนในวงการนี้เขาถึงเข็ดขยาดนายกันหมดน่ะ" มิกว่า พลางส่ายหัว
   “คนนั้นของนายกลับมาหรือยัง" กายถามขึ้น เป็นการถามที่ดูปกติมาก มิกถอนหายใจพลางจิบกาแฟ
   “ยังอ่ะ" มิกว่า "เอาจริงๆนะเว่ย นายไม่ต้องเอาฉันเป็นบรรทัดฐานก็ได้นะเว่ย ต่างคนก็ต้องต่างมีชีวิตเป็นของตัวเองนา ฉันว่าชีวิตก็ต้องเดินต่อไป และที่สำคัญ หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี่ ฉันก็เห็นนายดีขึ้นแล้วนี่ วันก่อนยังเห็นไปเดินกับนางแบบคนนั้นที่ชิดลมอยู่เลย"
   “อ่านะ" กายว่า "เปล่าที่ถามขึ้นมาน่ะก็เพราะฉันจะบอกนายว่า ฉันเลิกรอแล้ว"
   มิกหันหน้ามาหากายทันที
   “งั้นเองเหรอ" มิกว่า
   “ก็อย่างที่นายบอก ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป" กายว่า "ชีวิตผมก็อย่างนี้แหละ งาน งาน แล้วก็งาน วันนี้ผมก็ยังไม่ได้หยุดเลยดูดิ ก็....เลยคิดว่า ผมน่าจะใช้ชีวิตแบบเดิมดีกว่า แบบที่ไม่ต้องทรมาณกับใคร"
   “ใช้คำว่าทรมาณเลยเหรอวะ" มิกถาม
   “การคิดถึงใครซักคน มันไม่สนุกเลยนะมิก" กายว่า "วันนี้เห็นนายก็เลยจะแวะมาบอกว่าผมทำได้แล้ว"
   มิกก้มหน้าลงกับตัวเอง
   “งั้นเหรอ" มิกถาม
   “อ่าหะ" กายตอบ "แล้วก็อยากจะบอกนายอีกว่า นายเองก็น่าจะเลิกรอได้แล้วมั้งผมว่า อาจจะไม่มีใครกลับมาหานายหรอก ทุกคนล้วนมีชีวิตเป็นของตัวเอง นายเองก็จะต้องไปปารีสแล้วไม่ใช่เหรอ หลังจากนั้นก็คงมีอะไรเยอะแยะให้นายทำต่อจากนัทที่โน่น ส่วนนัทคงก็ไปอเมริกาต่อเลยสินะ ผมสิยังต้องอยู่ที่นี่แล้ว.....”
   “ฉันไม่เลิกรอหรอก" มิกพูดขึ้นมาทันที "ฉันจะรอจนกระทั่งวันสิ้นปี จนวินาทีสุดท้ายที่ฉันจะอยู่ที่นี่"
   กายหันมาหามิกที่ก้มหน้าลงกับพื้นนิ่งสนิท
   “การรอคอยใครซักคนมันไม่สนุกเลยก็จริงแต่.." มิกพูด "ฉันไม่ใช่คนที่สนุกกับชีวิตได้แบบนายหรอกกาย เวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิตฉันมันก็มีอยู่ไม่กี่เรื่อง และเขาคนนั้นของฉันก็ทำให้ชีวิตฉันตอนนั้นมันคุ้มค่ามากพอที่ฉันจะรอเขาจนถึงวันครบกำหนดเวลาของฉันน่ะ"
   “แล้วถ้าเขาไม่กลับมาจริงๆล่ะ" กายถามต่ออีก
   “ฉันบอกนายแล้วไงว่าฉันจะไป เมื่อถึงวันสิ้นปี" มิกว่า "ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไปแน่ ฉันจะเดินไปข้างหน้าต่อแน่นอน ฉันขออีกแค่อาทิตย์เดียว อาทิตย์สุดท้ายนี้เท่านั้นเอง"
   “อ่อ" กายรับคำเบาๆก่อนจะเงียบกันไป
   “ว่าต่นายเหอะ ยังไม่ถึงวันสิ้นปีแท้ๆ ทำไมยอมแพ้ซะแล้วล่ะ" มิกถามกลับบ้าง
   “อืม ไม่รู้สิ มันเหมือนเล่นพนันแล้วผมก็ไม่ชอบเล่นพนันเอามากๆ" กายว่า "เวลาที่เหมาะสมของนัทเค้าจะมาอีกเมื่อไหร่ล่ะ ผมก็ไม่รู้ แล้วกว่าจะถึงตอนนั้น ผมจะไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ป่านนั้นผมอาจจะกลายเป็นคาสโนว่าหนึ่งเดียวของเมืองไทยไปแล้ว แล้วถ้านัทเขากลับมาเห็นผมในสภาพนั้น มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เราสองคนจะรักกันมั้ง"
   “พูดแบบนี้แสดงว่าถ้านัทมันกลับมาตอนนี้ นายจะพร้อมรักกันกับมันจริงๆ" มิกถาม "นายหาทางออก หาจุดกึ่งกลางได้แล้วเหรอ"
   “ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะใช่จุดกึ่งกลางหรือเปล่าแต่.....ผมคิดว่าที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่ผมมี" กายว่า "ถึงผมจะมีข่าวคาวๆบ้าง แต่มันก็ไม่มีคยเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแบบว่า นี่ก็คือผมแหละ.....นัทเค้าก็เหมือนกัน ตอนนี้ผมก็โอเคแล้วนะที่เขาไม่อยู่ หรือ...เขาอาจจะไม่ได้รักผมแล้วก็ได้ แต่ผมว่าตอนนี้ผม.....เข้าใจอะไรๆมากขึ้นแล้วล่ะ....ผมรักอย่างที่มันเป็นอยู่อย่างนี้เข้าซะแล้ว"
   มิกมองหน้ากายพลางยิ้มกว้างทีหนึ่ง ไอ้ตัวแสบพูดจาเข้าหูเขาก็วันนี้เอง มิกหัวเราะน้อยๆ
   “งั้นก็" มิกยื่นมือออกไปตรงหน้า "แสดงความยินดีด้วยครับ คุณกายเพื่อนรัก....ที่วันนี้คุณพบความสุขที่แท้จริงแล้ว"
   กายมองมือมิกอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือตัวเองไปจับตอบ
   “ขอบคุณครับคุณมิกเพื่อนรัก" กายยิ้มตอบ "งั้นก้ขอให้หนึ่งอาทิตย์ที่เหลืออยู่ของคุณ ผ่านไปอย่างมีคุณค่านะครับ"
   “แน่นอน"
   นั่งหัวเราะกันอยู่อย่างนั้นจนดึกดื่นแทบลืมเวลา ลมหนาวพัดเอื่อยๆช้าผ่านใจกลางกรุงเทพที่ไม่หลับใหล ดวงไปของานเทศกาลแห่งความหวังถูกจุดขึ้นทุกหัวมุมถนน นาฬิกาของชายหนุ่มทั้งสองคนเดินช้าลงมานานแล้ว แต่ทว่ามันกำลังจะหยุดเดินทวนเวลาและเริ่มต้นเดินต่อไปอย่างปกติอีกครั้ง
   เมื่อทุกๆอย่างทำให้รู้ว่ามันไม่ได้ยากเย็นกับการลืมอดีตที่เจ็บปวด และเลือกที่จะจำแต่ความทรงจำดีดีที่มีคุณค่า มันไม่ใช่การวิ่งหนีปัจจุบันไปหาอดีต แต่มันคือการหาความสุขที่มีความหมายกับเรามากกว่าปัจจุบันที่มันเป็นอยู่ก็เท่านั้น
   มิกและกายโบกมือร่ำลากัน และเดินจากกันไปคนละมุมฝั่งของถนน ต่างคนต่างชื่นชมในความรักที่ิ่งใหญ่ของอีกคนอย่างซาบซึ้ง
   

   “ขอบใจนะกาย ขอให้นายใช้ชีวิตที่นี่ของนายอย่างมีความสุขก็แล้วกัน แต่ว่ายังไงซะ ซักวันไอ้นัทก็จะกลับมาหานายเองแหละ ไม่รู้นะ ฉันเชื่ออย่างนั้น"


   “นายคือคู่ต่อสู้ที่ถูกคู่กับผมมาโดยตลอดเลยมิก ผมเคยคิดว่านัทจะเลือกคุณซะแล้วตอนแรก แล้วผมก็ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ แต่....ผมเข้าใจแล้วว่าคุณเป็นลูกผู้ชายที่ดีมาก หากผมกับนัทไม่ได้มาไกลขนาดนี้ตั้งแต่แรก แล้วนัทอยู่กับคุณ คุณก็คงดูแลเขาได้ดีพอพอกับผมเหมือนกัน ขอให้คุณสมหวังกับการรอคอยที่คุณหวังนี่ก็แล้วกัน"


   “Merry Christmas นะเพื่อน"
…........

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด