ตอนที่ 4โอเดินมาตามคนที่แยกออกมายืนคุยโทรศัพท์ยิ้มกริ่ม และยังคงยิ้มค้างกระทั่งกดวางสายไปแล้วหันมาเห็นเพื่อนที่กำลังส่งแมสเซจหาคนอื่นเหมือนกัน
“ส่งข้อความหาสาวที่ไหนวะ”
“น้องกบนิเทศน์ปี 1 ไง ว่าแต่มึงเหอะ คุยกับใครวะ อารมณ์ดีกูมายืนทำตาร้อนใส่มึงตั้งนาน มึงยังไม่รู้ตัวเลย จนกูต้องส่งแมสเซจหาสาวแก้อาการอิจฉา” โอพูดไปเรื่อย เดินกลับเข้ามารวมกลุ่มที่โรงนอน เจอกับทูคู่หูที่เพิ่งวางโทรศัพท์
“น้องข้างบ้านน่ะ กูฝากให้เขาดูบ้านให้ตอนกูไม่อยู่”
“น่ารักมั้ย” โอถาม
“อือ”
“อ่าววววว ทำไมกูไม่เคยรู้วะ กูเคยไปบ้านมึงนี่หว่า แล้วทำไมมึงไม่เคยแนะนำวะ”
“เรื่องอะไรจะแนะนำ”
“สัด มึงจะเก็บไว้เองหรือไง”
“เขาเพิ่งอยู่ม 6”
“ม 6 ไอ้ต้อนสุดซ่าข้างบ้านมึงน่ะเหรอ” โอเสียงดังแล้วก็พยักหน้า “เออ มันก็น่ารักจริงแหละ ตลกดี กูก็คิดว่ามึงคุยกับเด็กผู้หญิงซะอีก” โอหันมาถามความเห็นจากทูที่พยักหน้าเห็นด้วย อ๋อมเลยพูดดักคอ
“ยิ่งเด็กผู้หญิงกูยิ่งไม่แนะนำมึง”
“แหมๆๆ ไอ้รูปหล่อขี้หวง กูสามารถจีบเองหรอก อย่างน้องกบนี่ก็เกือบใจอ่อนละ ว่าแต่มึงเหอะไอ้รูปหล่อ มาค่ายนี่อาจารย์สั่งไว้ว่าห้ามแตกแถวไปซ่าเด็ดขาด รีบทำงานรีบกลับ อยากซ่ากลับไปกรุงเทพค่อยจัดเต็ม” โอเตือนด้วยความหวังดี ลอกทุกคำมาจากอาจารย์
“กูรู้หรอกน่า”
หลายคนในกลุ่มที่มาด้วยกันเคยร่วมงานกันมาแล้วตั้งแต่เรียน ปี 1 ส่วนโอเริ่มออกค่ายตั้งแต่ปี 2 ขณะที่อ๋อมกับทู เพิ่งมาค่ายอาสาพัฒนาเป็นครั้งแรก ทั้งคู่เลยกลายเป็นคนที่ถูกเฝ้าระวังมากที่สุด และโดนแซวมาตลอดทาง
“สารภาพมาตามตรง มึง 2 คนหนีใครมาหรือเปล่าวะเนี่ย รอบนี้ถึงได้มาได้” เบิ้มประธานชมรมอาสาพัฒนาถามอีกครั้งก่อนเข้านอน
“เปล่า ก็เห็นมึงไปถามหาคนกล้าที่จะมาใต้ กูเป็นคนกล้าไงเลยต้องแสดงตน” ทูตอบเสียงดังฟังชัดเลยโดนโห่
พูดคุยกันไปเรื่อยจนครูฝึกต้องมาเตือนว่าจะออกเดินทางแต่เช้าแล้วงานหนักทั้งวันต่อเนื่องอีกหลายวัน ถึงได้ยอมหยุดคุย
แต่ก่อนทึี่จะล้มตัวลงนอน โอยังไม่วายแซวเพื่อนรวดเดียว 2 คน “กูเดานะ ไอ้อ๋อมแมร่งหนีหญิง แต่ไอ้ทูน่ะหนีผู้ชายที่ชื่อ...”
“เหี้ย” ทูด่าเสียงดังฟังชัด จนเบิ้มประธานชมรมค่ายอาสาพัฒนาต้องกระแอมเตือน
โอเลยหันไปยักคิ้วหลิ่วตากับอ๋อมแทน
เช้าวันเสาร์ต้อนออกจากบ้านตอนสายเพื่อไปเรียนพิเศษ เจอหญิงสาวหน้าตาคุ้นๆ ยืนอยู่หน้าบ้านพี่อ๋อม ข้างๆมีรถออดี้สีขาวคันเล็กจอดอยู่
“พี่อ๋อมไม่อยู่บ้านหรอกฮะ”
“เหรอ รู้มั้ยเขาไปไหน จะกลับเมื่อไหร่”
ต้อนหันไปมองหน้าพ่อที่เดินตามออกมาดู
“เห็นบอกว่าจะไปค่ายพัฒนา 2 อาทิตย์น่ะฮะ”
“เขาไปไหนนะ” หญิงสาวถามย้ำ เสียงแข็งจนต้อนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกลายเป็นพี่อ๋อม หนุ่มโรคจิตข้างบ้าน
พ่อก็เลยช่วยตอบให้ “เห็นเขาว่าไปค่ายสร้างโรงเรียนแถวใต้น่ะ”
“ใต้น่ะที่ไหน”
“ไม่รู้หรอกครับ ผมแค่เพื่อนบ้าน ไม่ใช่พ่อเค้า” พ่อที่มักอารมณ์ดีอยู่เสมอ กลับหงุดหงิดเมื่อเจอคนรุ่นลูกทำไม่มีมารยาทใส่
“เค้าแค่ฝากดูบ้าน รดน้ำต้นไม้แค่นั้นแหละฮะ”
มีรถสีเขียวมะนาวเข้ามาจอดหน้าบ้านอีกคันต่อท้ายรถสีขาวคันเล็ก พ่อเลยบ่น “อะไรกันนักหนาวะเนี่ย”
คนที่เพิ่งลงจากรถแค่กวาดตามองบ้านที่ปิดเงียบ มองหญิงสาวคนแรกที่หน้าบ้านด้วยหางตาแล้วยกมือไหว้พ่อ
“อ๋อมไม่อยู่หรือคะ”
“ไม่หรอก ไปค่าย”
หญิงสาว 2 คนทำเหมือนอีกคนไม่มีตัวตน ทำให้ต้อนกับพ่อแน่ใจว่าคู่นี้รู้จักกัน และโดยส่วนตัว ต้อนก็คุ้นกับทั้งคู่น่ะแหละ
โดยเฉพาะเสียง หุหุหุ
ได้คำตอบไปแล้ว แต่สาวคนแรกยังไม่ยอมขยับออกจากที่ สาวคนที่เพิ่งมาถึงปรายตามองแล้วยักไหล่ รู้สึกเหมือนกำลังนั่งดูละครหลังข่าวกับแม่ พ่อเลยบอกให้ต้อนไปเรียน
"คุณข้างบ้านครับ รักษาอาการเหวี่ยงนิดนึง"
"เออน่า แกไปพ่อก็เข้าบ้านเหมือนกันแหละ ธุระไม่ใช่"
ต้อนเดินมาเรียกรถมอเตอร์ไซค์วินไปส่งปากซอย หันไปมองอีกทีพ่อเข้าบ้านไปแล้วอย่างที่บอก เหลือแต่ผู้หญิง 2 คนยืนกอดอกมองหน้ากันอยู่
จนกระทั่งขึ้นมาที่สถานีรถไฟฟ้าเจอเกมยืนรอ ต้อนหน้าตาเลิกลั่กเพิ่งรู้ตัวเมื่อพลิกข้อมือดูนาฬิกา
“ขอโทษ กูสาย ไปกันเหอะ”
ขึ้นรถมาก็ต่างคนต่างยืนมองออกไปนอกรถกันจนถึงสถานีที่จะลง
“กูว่า พรุ่งนี้นัดกันที่นี่เลยก็ได้ มึงจะได้ไม่ต้องนั่งรถย้อนไปย้อนมา”
“ที่จริงกูอยากไปรับมึงถึงหน้าบ้านด้วยซ้ำ”
“เหรอ แต่เลิกเรียนมึงก็ไปบ้านกูอยู่แล้ว ตอนเช้า ก็ไม่เป็นไรมั้ง”
“รำคาญเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก มันเหมือนโดนเร่งอ่ะ”
“ก็จริง” เกมยอมรับ “กูเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงอยากให้มึงอยู่ในสายตาตลอดเวลา”
ต้อนหัวเราะเก้อๆ “เหอ เหอ อยู่ในสายตาเหรอ”
แล้วใจต้อนก็ลอย....ออกไปในที่แสนไกลอีกครั้ง เหมือนได้ยินเกมชวนคุยแต่ก็อือๆ ออๆ ไปตามเรื่อง จนมาถึงสถาบันกวดวิชา ต้อนมองหาเพื่อนคนอื่น ขณะที่เกมพูดไป
“กูถามมึงว่ารำคาญกูหรือเปล่า ถ้ากูเยอะไป ก็บอกกัน กูไม่อยากถูกมึงเกลียด”
“เฮ่ย ไรวะ มึงคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย”
“มึงเห็นกูเงียบ เลยคิดว่ากูไม่คิดละสิ”
“ก็เออ” ต้อนยอมรับ “กูคุยเล่นอะไรกัน ก็เห็นมึงเอาแต่นั่งยิ้ม ประหยัดคำพูด”
“เพราะกูกลัวว่า ถ้าพูดอะไรไปแล้วมึงจะไม่ชอบ”
“กูดูเอาแต่ใจขนาดนั้น” ต้อนทำหรี่ตามอง
“ไม่หรอก” เกมพูดยิ้มๆ
คุยกันอยู่ดีๆ ฝ่ามือใหญ่ผลักต้อนกับเกมจนแทบหัวคะมำ
“เฮ่ย จีบกันไม่มองเพื่อนเลยนะมึง”
ไอ้เล้งโวยวายเสียงดัง มีไอ้ปลากับนนท์อ้วนดำยืนยิ้มกว้างอวดฟันขาวอยู่ข้างๆ
“อย่ามาแหล มึงซ่อนอยู่ พอกูเดินผ่านแล้วมาทำโวย เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว” ต้อนโวยวายกลับ แต่หันไปดึงไอ้เล้ง เพื่อนไซส์ใกล้เคียงกันเดินเข้าห้องเรียน จับจองที่นั่งเรียงแถว สักพักก็มีข้อความเข้าเครื่อง
“....เป็นไงบ้าง...พี่อ๋อม...”
“....เรียนอยู่....ต้อน...”
“....ครับ...พี่อ๋อม...”
ต้อนมองหน้าจอแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า เกมก็เลยกระซิบถาม
“ไม่ตอบพี่เค้าไปล่ะ”
“ไม่อ่ะ”
เกมพยักหน้ารับรู้พอเรียนเสร็จก็ชวนกันไปกินสุกี้
เกมตักเนื้อปลาคีบกุ้งใส่ถ้วยให้ต้อน
“ตะกี้มึงสั่งบะหมี่กี่ก้อนนะ” เล้งถาม
“5” ต้อนบอก
“ดีมาก สั่งมาอีก”
“สัด กินที่มีอยู่ให้หมดก่อนเหอะ” ต้อนชี้ไปที่บะหมี่ในถ้วย
“ก็กูกลัวไม่อิ่ม”
“แล้วมึงจะกินแต่บะหมี่ ไม่กินอย่างอื่นหรือไง”
ต้อนทะเลาะกับเล้งไปเรื่อย รู้อีกทีคือปลากับนนท์ ตักสุกี้อีกถ้วย
“โห มึง 2 คนจะไปแข่งกินสุกี้เอาเหรียญโอลิมปิคกันหรือไงเนี่ย” ต้อนหันมาโวยวายเพื่อน
เกมนิ่งเงียบจนไอ้ปลาเริ่มไม่สบายตัวไม่สบายใจ หันมาสะกิดต้อน
“มึงเป็นไร”
“กูไม่ชอบที่มึงสนใจแต่คนอื่นไม่สนใจกู” เกมทำเหมือนพูดกับถ้วยสุกี้ข้างหน้า
ต้อนได้แต่มองหน้าเพื่อนอีก 3 คน “ก็เพื่อนกัน คนอื่นที่ไหน”
“แต่กูเป็นแฟนมึงนะ มึงถามกูซักคำมั้ยว่าจะกินอะไร ของที่กูคีบให้ มึงก็เขี่ยไว้ข้างๆ”
ต้อนกลืนน้ำลายหนืดๆ คีบปลาใส่ปาก “อ่ะ กูกินละ ยิ้มได้ละยัง”
“อือ” เกมยิ้มจางๆ “กินเยอะๆสิ”
ต้อนยิ้มยิงฟัน ขณะที่ไอ้เล้ง ปลา และไอ้นนท์อ้วนดำแอบหันไปมองหน้ากัน
กระทั่งเดินออกมาจากร้านสุกี้ขึ้นรถไฟฟ้า ไอ้เล้งคนไซด์ใกล้เคียงกันกระซิบถาม “ไอ้เกมมันหนักขึ้นเรื่อยๆว่ามะ”
“อือ” ต้อนรับคำเสียงจมอยู่ในคอ
“ถ้าไม่ไหวก็เรียกกูนะ พร้อม 24 ชั่วโมง”
“ไหว มันไม่ทำอะไรกูหรอก”
“มันไม่ทำมึง แต่มันจะทำตัวเอง เรารู้กันอยู่”
...เพราะเกมเป็นอย่างนั้นไง ถึงได้ไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง...
ได้แต่คิด ว่าควรพูด จะพูดอย่างนั้น จะทำอย่างนี้
แต่ก็ไม่กล้าอยู่ดี.....
เย็นมากแล้ว ที่บริเวณลานดินหน้าอาคารเรียนหลังใหม่ มีรถทหารจอดอยู่ นักศึกษาหลายคนช่วยกันยกเครื่องมือก่อสร้างที่ไม่ใช้แล้วขึ้นรถ ขณะที่เบิ้มประธานชมรม กับอ๋อม และทหารช่างอีกคนเดินตรวจดูรอบอาคารอีกครั้ง ระหว่างรออาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนนี้ กับอาจารย์ที่ปรึกษาชมรม คุยกัน
อาคารเรียนชั้นเดียวปลูกสร้างง่ายๆ ตามแบบก่อสร้างเดิม ใช้เวลาไม่นานนัก เพราะงานลงเสาเข็มกับก่ออิฐมีทหารช่างมาเตรียมพร้อมให้ก่อนแล้ว ที่กลุ่มนักศึกษามาทำก็คือการใส่หลังคา ประกอบกระดานอีกเล็กๆน้อยๆ
“กลับไปนอนค่ายทหารที่หาดใหญ่กันเลยสินะ” อาจารย์ใหญ่ถามเมื่อเห็นทุกคนพากันยืนเข้าแถวประสานมือ เตรียมพร้อมออกเดินทาง
“ครับ” เบิ้มบอกพลางยิ้มกว้าง
“ขอบใจทุกคนมากที่มาช่วย” อาจารย์ใหญ่พูดย้ำหลานครั้งหลายหน จนกระทั่งคนสุดท้ายก้าวขึ้นรถ
อ๋อมพลิกโทรศัพท์ในมือดูสัญญาณเป็นระยะจนกระทั่งโอสงสัย
“มึงจะพลิกดูให้มันขึ้นเลขหรือไงวะเนี่ย”
“ไม่ได้ดูเลข ดูว่ามีสัญญาณมั้ยต่างหาก”
“พ้นเขตป่ายางเข้าไปในเมืองคงมีสัญญาณน่ะอ๋อม” ทหารช่างที่นั่งรถทหารคันใหญ่มาด้วยกันหันมาบอก
ทุกคนพากันพยักหน้า
โอมองเข้าไปในป่าข้างทางที่รถแล่นผ่าน “เชื่อมั้ย ว่าแบบนี้กูคิดถึงแม่ชิบหาย”
เบิ้มประธานชมรมพลอยพยักหน้าตามไปด้วย “คิดถึงเพลงลูกทุ่งเพลงนั้นน่ะ”
ทหารช่างผิวดำคล้ำหันมาส่งยิ้มอวดฟันขาว
“ต้องจากบ้านนา ถูกเกณฑ์เข้ามากรมทหาร หนุ่ม ท.บ.2 ลูกอีสาน มาประจำการชายแดนมาเลย์
บ้านเมืองขัดแย้ง สายตาระแวงพาให้ว้าเหว่ ชีวิตดั่งเรือลำน้อยลอยเล
แขวนบนเส้นด้าย ปลายกระบอกปืน..........
เทือกเขาบูโด ทาบทะมึนไกล มากมายความลับ กี่ดวงชีวิตที่มอดดับ สังเวยความเชื่อแยกดินแบ่งฟ้า อยู่ป้อมน้อยๆ กอดปืนยืนยามตีสามกว่าๆ เสียงโอละเห่ของแม่แว่วมา
หัวใจครวญว่าคิดฮอดบ้านเด้”
(ไผ่ พงศธร – ทบ.2 ลูกอีสาน , คำร้อง / ทำนอง วสุ ห้าวหาญ
เรียบเรียง ศิลาแลง อาจสาลีเสียงเพลงทอดยาวขาดหาย ภายในรถทหารเงียบกริบ
โอก้มหน้าเช็ดน้ำตาเงียบๆ
อ๋อมโยกหัวเพื่อนทำหน้าตาล้อเลียน “เฮ่ย...กำลังกลับบ้านแล้วนี่ไง”
“มันก็ใช่ เรากลับบ้านแต่ว่า...” โอหันไปมองทหารช่างคนที่ยังคงส่งยิ้ม
“เราต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง” นายทหารช่างบอกเรียบๆ มีเพียงแววตาวูบหนึ่งที่บอกถึงความหวั่นไหว แต่มันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลือแต่ความมุ่งมั่น
โอหันไปมองนอกรถ “ที่จริงผมคิดถึงแม่ตั้งแต่เดินเข้าโรงเรียนแรกเมื่ออาทิตย์ก่อนโน่นแล้ว แต่ไม่อยากพูดว่าผมคิดยังไง ไม่อยากให้ทุกคนเป็นกังวล”
เบิ้มช่วยให้กำลังใจต่อ “ก็คิดทุกคนน่ะแหละ แต่ว่าเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ”
นายทหารช่างยังคงยิ้มกว้าง ชวนคุยเปลี่ยนไปเรื่องอื่น
“เวลาอ่านข่าวเด็กแว้น หรือพวกที่ตีกัน เราเคยคุยกันเล่นๆ ว่าน่าส่งมันมาช่วยสร้างโรงเรียนทางนี้”
“เหรอ เวลาผมอ่านข่าวก็คิดแบบพี่เหมือนกันน่ะแหละ” เบิ้มทำเสียงแปลกใจ แต่อ๋อมส่ายหน้า ทุกคนเลยหันมามอง
“มันจะจับฆ้อน จับตะปูเป็นเหรอ”
“เป็นสิ ก็เขาเรียนช่างนี่นา” ทหารช่างบอก “อยู่ที่ว่ามันจะทำหรือเปล่านั้นแหละ”
“เกิดส่งมาแล้วมันมาตีกันเอง พี่ๆน่ะแหละจะเครียดกว่าเดิม งานซ่อมก็เร่ง ยังต้องมาห้ามเด็กตีกันเสียอีก” ทูที่นิ่งเงียบมานานจนเหมือนหลับพูดเอาฮา
รถวิ่งหลายชั่วโมงกว่าที่จะกลับเข้ามาในค่ายทหาร แต่ละคนช่วยกันยกของลงจากรถเข้าไปที่โรงนอน
ทหารช่างที่มาด้วยกันหันมาถามด้วยความสงสัย
“อ้าว ตอนออกจากโรงเรียนเห็นทำท่าว่าจะโทรศัพท์กันไม่ใช่หรือไง”
“ก็เอาปลอดภัยไงพี่ ” ทูบอก ส่วนโอหันมาชวนอ๋อม
“มึงไปร้านค้าซื้อบัตรเติมเงินกับกู”
“ดึกแล้ว อาจต้องออกไปนอกค่ายนะ” เจ้าของพื้นที่บอก
แต่โชคดีที่ 3 หนุ่มไม่ต้องเดินไกล เพราะมีร้านค้าเล็กๆในค่ายยังเปิดอยู่
ได้บัตรเติมเงินทูก็รีบโทรกลับบ้าน
“พรุ่งนี้กลับบ้านแล้วนะแม่” ทูทำเสียงร่าเริงสุดฤทธิ์ หันมายักคิ้วกับอ๋อม แล้วสายตาก็เลยต่อไปที่เด็กสาวขี่รถมอเตอร์ไซค์ผ่าน ส่งยิ้มหวานเจี๊ยบจากคนที่กำลังคุยโทรศัพท์กับแม่
ส่วนอ๋อมวันนี้มาแปลก ส่งยิ้มกับพื้นอิฐ ต้นไม้ใบหญ้า อารมณ์ดีฟังเพื่อนคุยกับแม่ไปเรื่อยๆ จนวางสายทูก็หันมาถาม
“มึงไม่โทรกลับบ้านล่ะ”
“กูบอกแม่ตั้งกะอยู่ในรถแล้ว”
“ตอนไหนวะ”
“ตอนมึงนั่งหลับไง”
“แต่มางี้นะ กูคิดอะไรได้อีกอย่าง” ทูทำท่าจริงจัง แต่ไม่วายหันไปแจกยิ้มให้กับคนที่เดินสวนกันอีกครั้ง “ความกลัวก่อให้เกิดจินตนาการ”
อ๋อมยิ้มฟังเพื่อนคุย ...อารมณ์ดีอ่ะ ช่วยไม่ได้ กำลังจะกลับบ้านแล้วนี่นา...
“แต่กูกลับคิดได้อีกอย่าง” โอแตกประเด็น
“อะไร”
“เรามักได้ยินคนพูดเบื่อชีวิตในเมือง อยากไปใช้ชีวิตสงบในชนบทใช่มั้ย”
เพื่อน 2 คนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
“กูน่ะมาค่ายหลายครั้ง แต่ละครั้งถึงจะแค่เฉียดๆเนี่ย แต่ก็พอมองเห็นว่า ที่พูดว่าบ้านนอกสงบน่ะ มันเป็นมุมมองจากคนภายนอก แต่ที่จริงแล้วมันไม่สงบ มีอิทธิพล มีความกลัว ความกังวล น้ำท่วม ฝนแล้ง ราคาผลผลิตการเกษตร เจ็บป่วยหมออยู่ไกล” โอบรรยายไปเรื่อยแล้วหันมามองหน้าอ๋อม “อ่าว กูเอามามะพร้าวมาขายสวนซะแล้ว มึงเป็นเด็กบ้านนอกนี่หว่า”
“เออ กูมันบ้านนอก” อ๋อมประชดใส่
“ถ้าบ้านนอกแล้วมี 200 ไร่อย่างมึงกูขอบ้านนอกด้วยคน” ทูยื่นหน้าเข้ามาบอก อ๋อมเลยกอดคอทู หันมาหาโอ แอ๊คชั่นเหมือนเวลาถ่านรูปสติ๊กเกอร์...เอ่อ..ขอโทษรูปเฟสบุ๊ค..
“ไงเด็กเทพ มาอยู่บ้านนอกกะกูมั้ย”
“แหม ไอ้เด็กเทพอยากบ้านนอก” โอชี้หน้าทู
พอกลับมาถึงโรงนอนมีเด็กสาวหลายคนที่เป็นลูกหลานคนในค่ายทหารกำลังยืนคุยกับกลุ่มของเบิ้ม ทุกคนหันมามอง อ๋อมส่งยิ้มทักทายแล้วเดินต่อเข้ามาล้างหน้าล้างตา เข้าห้องน้ำ สักพักโอผู้มีมนุษยสัมพันธ์ชั้นเลิศก็เดินตามเข้ามา
“น้องๆเขาถามถึงมึงแน่ะ”
อ๋อมพยักหน้า ท่าทางเฉยๆ จนเพื่อนสงสัย
“เฮ่ย เกิดไรขึ้นวะ มึงไม่เคยไม่ถามต่อเลยนะโว้ย ว่าคนไหนอะไรยังไงหรือไม่สเปค”
“เหรอ กูเจ้าชู้ขนาดนั้น”
“มึงน่ะตัวพ่อ” โอชี้หน้าขำๆ “อย่าให้กูไล่เลยว่าที่กรุงเทพน่ะกี่คน”
อ๋อมส่ายหน้า “ไม่มีอะไรลึกซึ้งหรอกน่า แล้วกูก็ไม่ได้รับสาย ไม่ได้โทรหาเขาเลยด้วย”
“อ้าว นี่ที่มึงมาเพราะมึงหนีสาวจริงๆเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก กูมาเพราะกูอยากมา เหมือนมึงน่ะแหละ อ่านข่าวแล้วสงสารเด็ก กูบริสุทธิ์ใจสุด แต่เรื่องสาวๆนี่ กูลืมไปจริงๆ”
“อ้าว สัดอ๋อม เกิดอะไรขึ้นกับมึงเนี่ย”
“โห มึงนะ มาอยู่อย่างนี้ยังคิดถึงหญิง”
“มันก็ต้องมีบ้าง 1 วันมี 24 ชั่วโมง 1 ชั่วโมงมี 60 นาทีมันต้องมีสักนาทีที่มึงจะคิดถึงคนที่มาคอยพี่อ๋อมคะ พี่อ๋อมขา” โอทำเสียงอ่อนเสียงหวานเลียนแบบ
แต่อ๋อมแค่ยิ้ม เพื่อนเลยถามต่อ
“งั้นคนที่มึงคอยส่งแมสเซจหาเป็นระยะคือใคร”
“เด็กข้างบ้าน”
“ไอ้ต้อนน่ะเหรอ”
“เออ ฝากมันดูบ้าน เกรงใจมันเดี๋ยวมันโวย ว่าเอาแต่ใช้”
โอหยุดยืนนิ่ง มองหน้าเพื่อนตรงๆ “แค่นั้น”
“เออ”
“มันเป็นเด็กผู้ชาย”
“กูรู้”
“แล้วกูก็ว่ามันออกสาวหน่อยๆด้วย”
“เออ แต่มันก็ห้าวสุดใจเหมือนกัน”
โอยักคิ้ว “ถ้ามึงจะคิดกับมันแบบไม่มีเพศ สำหรับกูแล้วกูไม่อะไรกับมึงกับไอ้ต้อนอยู่แล้ว เพื่อนเราที่เป็นสาวก็มีตั้งหลายคน แต่ถ้าเป็นไอ้ทูละก็...มึงก็รู้ว่ามันไม่ค่อยชอบ”
อ๋อมพยักหน้าเพราะรู้ว่า ทูไม่ชอบเกย์ ตุ๊ด ทอม ดี้ แต่ความไม่ชอบนี้ ไม่ได้ถึงขนาดชักสีหน้าหรือกลั่นแกล้ง ทูแค่ไม่นั่งร่วมโต๊ะด้วย และหลีกเลี่ยงให้ห่างเท่าที่จะไม่เป็นการเสียมารยาท
“เออ น่า มึงคิดไกลไปละ”
“เราเพื่อนกัน ไม่อยากให้ขัดใจกันเพราะเรื่องนี้ แต่ถ้าถามใจกูนะ กูว่าที่ดีที่สุดคือถ้ามึงจะมีแบบเป็นตัวเป็นตน คนเดียวไปเลย”
อ๋อมฟังยิ้มๆ เหมือนเคย
“มึงพูดในฐานะที่มีน้องสาวล่ะสิ”
“เออ” โอยอมรับ “ตัวกูเอง กูก็ชอบมองสาว หยอดไปเรื่อย ได้ก็เอา แต่พอหันไปมองไอ้เอียด กูก็หวงมันนะ ถ้ามันจะมีแฟนกูก็อยากให้มันจริงจัง รักคนเดียวตลอดชีวิต”
เพื่อนรักเริ่มซึ้ง เดินคุยกันกลับมานั่งคุยกันต่อที่เตียงนอน
“มึงถึงดีใจที่กูไม่คิดจีบน้องมึงล่ะสิ”
“แน่นอน เพราะมึงเจ้าชู้ตัวพ่อ”
“โห สัดโอ ตรงไปตรงมาจนกลายเป็นการด่ากูจนได้”
โอได้แต่หัวเราะคึคึ ส่วนอ๋อมหันลงมองมือตัวเอง "ตอนขามา ที่คุยกันว่ากูหนีใครมาน่ะ"
"เออ กูจำได้"
"กูบอกว่ากูไม่ได้หนี กูมาเพราะมึงบอกว่าที่นี่อันตราย สมาชิกชมรมกว่าครึ่งมาไม่ได้ กูกับไอ้ทูก็เลยมาช่วย กูคอนเฟิร์มอันนั้น แต่มาถึงตอนนี้ กูคิดว่า นอกจากมาช่วยทำโีรงเรีียน กูยังมาเพื่อพิจาณาตัวกูเองด้วย"
โอนั่งฟังอย่างตั้งใจ แต่อ๋อมกลับหยุดพูด โอก็เลยท้วง "แล้วไงต่อ"
"แค่นั้น"
"สัด กูกำลังตั้งใจฟัง มึงเสือกจบ"
ทูที่เดินเข้ามาในโรงนอนเห็น อ๋อมกับโอคุยสนุกเลยถาม
“มึงคุยไรกันเนี่ย”
“กำลังด่ามึงอยู่” โอหันไปแกล้ง
“สัด นินทากูเหรอ” ทูโวยวายตรงเข้ามาล็อคคอโอ
อ๋อมพลิกดูโทรศัพท์มือถือที่มีข้อความเข้า แล้วยิ้มกว้าง เดินออกไปโทรศัพท์ที่ด้านนอก
======จบตอนที่ 4=======
ขอบคุณครับที่ติดตามและให้คำแนะนำเสมอมา ที่ซุ่มอ่านอยู่โปรดแสดงตน 5555
ขอบคุณมากหากคุณชอบ 
แต่หากคุณไม่ชอบ อย่าเพิ่งผ่านไป ไม่กล้ารีในนี้ พีเอ็มบอกกันก็ได้ ผมจะได้รู้ว่ามันมีข้อบกพร่้องอย่างไร ทำไมถึงไม่สนุก จะไ้ด้นำมาแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นครับ 
พบกันวันเสาร์นะครับ
ไจฟ์ครับ
พนักงานกดบวกวิ่งมากอดๆๆๆๆในทันใด
อิอิอิ
tea ครับv
v