^
^
ขอโทษครับสายอีกแล้ว 
ตอนที่ 13 สอบไล่เสร็จต้อนก็เข้าคอร์สกวดวิชาเข้มข้นทันที ก้มหน้าก้มหน้าอยู่กับโค้งสุดท้าย จนแทบไม่ได้เจอกับพี่อ๋อมคนข้างบ้าน
ขีดเส้นใต้ที่คำว่าแทบจะ
เพราะแม้พี่อ๋อมกลับบ้านไม่ตรงเวลา บางวันกลับค่ำ แต่ไม่เคยมีหญิงกลับมาด้วย และอย่างน้อยทุกเช้าก็ได้ทักทายกัน
ส่วนเรื่องแมสเซจมีมาเรื่อยๆ
ต่างคนต่างรักษาระยะห่าง ไม่ใกล้ชิดกว่านี้ แต่ก็ไม่เคยห่างกัน
จนกระทั่งวันหนึ่งพี่อ๋อมก็เดินมาเรียกที่หน้าบ้าน ใช้ฟอร์มเดิมเป๊ะ
“ต้อนพี่สอบเสร็จจะไม่อยู่บ้าน 2 อาทิตย์นะ”
“กลับบ้านเหรอพี่” ต้อนเปิดประตูให้พี่เดินเข้ามาในบ้าน
“อือไปค่ายทางอีสานก่อน แล้วจะกลับบ้าน กลับมาก็รับปริญญา”
พี่อ๋อมบอกขณะที่กวาดสายตา ไปรอบบ้านแล้วยิ้มแปลกๆ
“อยู่คนเดียวนี่หว่า”
“อือ พ่อกับแม่ไปทำงานแต่เช้าไง”
ยิ้มกรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์จนต้อนรู้ทันจนได้
“โห ฟอร์มนี้หายไปนานแล้วนะเนี่ย”
“ก็แอบมองมาทีไร ต้อนมีคนอยู่ด้วยทุกที เดี๋ยวเพื่อนเดี๋ยวแม่”
“ทำไมต้องแอบมองด้วยหล่ะ”
พี่อ๋อมขยี้หัวเกรียน แต่เหมือนกำลังจับโยก
“พี่อยากมาหาใจจะขาด แต่ไม่อยากทำให้ลำบากใจน่ะ”
ต้อนยอมรับ เพราะยิ่งใกล้สอบเกมยิ่งเครียด
“เพราะผมไม่กล้า เลยทำให้พี่อึดอัด”
“ไม่หรอก พี่ได้เห็นว่าต้อนสบายดี ได้ยินเสียงหัวเราะก็ดีแล้ว” ที่สำคัญคือ “พี่ไม่อยากให้ต้อนอยู่ตามลำพังกับเกมสักเท่าไหร่”
“เกมมันไม่ทำอะไรผมหรอก มันอาจโกรธหงุดหงิดที่มาทีไร ไอ้ 3 คนอยู่บ้านด้วยทุกทีก็จริง แต่มันไม่ทำอะไรผมหรอก” ต้อนยืนยันมั่นใจ เดินไปนั่งพื้นเหยียดขาหน้าโทรทัศน์ พี่อ๋อมเดินมานั่งข้างๆ
“ตอนพี่มอ 6 นี่เวลาไปไหนก็ไปเป็นกลุ่มแบบนี้แหละ อาการติดเพื่อนกำเริบ”
“ใช่”
“แล้ววันนี้ไปไหนกันล่ะ”
“แยกย้ายกันตั้งแต่เรียนกวดวิชาเสร็จ ม้าไอ้เกมพาไปบนที่ศาลเจ้า อีก 3 คนเลยกลับไปนอน”
“ต้อนเลยกลับบ้านมาดูหนัง” พี่ทำเสียงรู้ทัน
“ช่ายแล้ว” ต้อนยิ้มหน้าบาน
มือแข็งแรงดันคางให้หันมาหา แตะริมฝีปากสัมผัสแล้วเกลี่ยจมูกเบาๆ
“หิวมั้ย พี่ทำอะไรให้กิน”
ต้อนพยักหน้าเขินๆ
พี่อ๋อมลุกไปในครัวแล้วกลับออกมาใหม่ “เดี๋ยวนะ นึกได้ว่า ที่บ้านมีกุนเชียงกับถั่วลิสง”
“แล้วไง”
“จะทำข้าวผัดกุนเชียงให้กิน เห็นมีข้าวเย็นอยู่”
“ไม่เย็นหรอก หุงเมื่อเช้า” ต้อนพาซื่อ ได้ยินเสียงพี่หัวเราะตอนที่ออกไปจากบ้านแล้วกลับเข้ามาใหม่ พร้อมกับของสด ของแห้งในมือ
ต้อนเดินตามไปยืนมองพี่หั่นกุนเชียงเป็นลูกเต๋า แครอท แกะถั่วลิสง หอมหัวใหญ่ แตงกวา มองซ้ายมองขวาของครบถึงได้เปิดเตาใส่น้ำมัน กุนเชียง เกลือ และข้าว
“ไมใส่เกลือ”
คนยืนมือไขว้หลังถาม หลังจากที่ยืนดูมาพักหนึ่ง
“ข้าวจะได้ไม่ติดก้นกะทะ”
“เหรอ ก็ใส่น้ำมันแล้วนี่นา”
พี่อ๋อมหัวเราะ คึคึเหมือนเดิม
ผัดเสร็จ ชิม แล้วก็ตักข้าวใส่จาน
“แล้วของพี่ล่ะ” ต้อนถามเพราะเห็นพี่ทำแค่จานเดียว
“ก็วันนี้มาทำให้ต้อนกิน” บอกขณะที่หันไปจัดการไข่เค็มคว้านมาแต่ไข่แดง วางคู่แตงกวาข้างจาน
“ดูก่อนนะว่ามีในตู้เย็นต้นหอมหรือเปล่า แม่บอกว่ามันเสียง่าย”
“อย่ากินเลย เพราะว่ามันเสียง่ายน่ะแหละ แล้วพี่ก็ใส่หอมหัวใหญ่ไปแล้ว”
“เหรอ”
ต้อนดึงใบหูตัวเองขณะที่นั่งลงที่โต๊ะจัดการข้าวในจาน ส่วนพี่อ๋อมเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เช็ดล้าง
ไม่น่าเชื่อว่า ตอนที่พี่กำลังเช็ดเตาแก๊ส ต้อนก็ลุกขึ้นประกาศ
“หมดแล้วคร๊าบ”
พ่อครัวถึงกับหันมามอง
“เคี้ยวหรือเปล่าเนี่ย”
“เคี้ยวสิ” ต้อนบอกขณะที่ดื่มน้ำ
“หรือพี่ทำน้อยไปหว่า”
ต้อนส่ายหน้าลุกขึ้นเอาจานมาล้าง “ไม่หรอก เดี๋ยวค่ำแม่มาก็กินกับแม่อีกรอบอยู่แล้ว”
“อร่อยมั้ย”
มันเขินๆเหมือนกันนะเนี่ย เวลาที่ต้องยิงคำถามที่ออกแนวทวงถามเพราะอยากให้เขาชมแบบนี้
“อร่อยสิ อร่อยมากกกกก” ต้อนลากเสียงยิ้มตาหยี จนพี่แตะแก้มใส
“รู้มั้ยว่าพี่เป็นห่วงต้อนมากขนาดไหน”
ยิ้มตาหยีจางไป กลายเป็นความเก้อเขิน เบี่ยงหน้าหนีจากมือใหญ่ที่เกลี่ยแก้ม
“ผมรู้ ถ้าเรื่องสอบไม่เท่าไหร่แล้ว คนอื่นยิ่งใกล้ยิ่งเครียด แต่ผมเข้าสู่ช่วงชิว เพราะพ่อกับแม่บอกว่า ยังไงก็ได้ขอแค่ไม่เอกชน ส่วนเรื่องเกม หลบได้ผมก็หลบ มันก็ค่อยๆห่างกันไปเองแหละ”
แขนแข็งแรงรวบต้อนเข้ามากอดไว้ ก้มหน้าแนบแก้มข้างหู “มองบวกมันก็ดีนะต้อน ถึงต้อนจะรู้จักเกมในมุมที่พี่ไม่เห็นก็เถอะ แต่พี่ก็อยากให้ต้อนจบเรื่องเกมให้เร็วกว่านี้”
“ผมก็อยากทำอย่างนั้นเหมือนกัน อีกนิดเดียวเอง...พี่...”
“พี่รอได้” พี่อ๋อมรีบบอก แต่ต้อนหัวเราะฝืนๆ
“ไม่อยากให้รอเลย”
“อยากรอ เมื่อบอกแล้วว่าจะรอก็รอได้ เพียงแต่กลัวเวลาที่ต้อนอยู่กับเกม 2 คนนั่นแหละ”
ต้อนหัวเราะตาหยี
“คนอื่นเขาไม่เป็นอย่างตัวเองหรอกน่า”
พี่ก้มลงกดจูบริมฝีปากบาง จูบเรื่อยมาถึงแก้มนิ่ม
“พี่รักต้อน”
คำต้องห้าม ที่ขอพี่ว่าอย่าเพิ่งบอก แต่พี่ก็บอกจนได้ บอกแบบรวดเร็ว ที่ทำได้ก็คือการก้มหน้าลงในทันที “จะไปอ่านหนังสือ”
“ก็ไปสิ”
...อย่าหันไปมองนะ เดี๋ยวพี่รู้ว่าเราเขินขนาดไหน...
เกือบเที่ยงวันถัดมาอ๋อมเดินออกจากห้องสอบอย่างอารมณ์ดี จนโอสงสัย
“อารมณ์ดีไปละมึง”
“อ้าว กูอารมณ์ดีก็บ่น”
“ก็นี่สอบนะโว้ย มีแต่คนออกมาจากห้องสอบในสภาพหมดแรง มีแต่มึงที่ทำเต็มเวลาแล้วยังดูสดชื่น”
“เพราะมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆมั้ง” อ๋อมบอก ยิ้มพราวดวงตาสดใสจนเพื่อนรู้
“เรื่องต้อนล่ะสิ”
“เออ พอได้คุยกัน ทำความเข้าใจมันก็ดีขึ้น”
“ตกลงมึงเป็นมือที่ 3 หรือเปล่าเนี่ย บาปนะโว้ยไปแยกเขาน่ะ”
“ไม่ใช่หรอก เพื่อนทูผู้ชาญฉลาดบอกไว้ไง แล้วก็อย่างที่บอกมึงครั้งก่อนน่ะ มันเหมือนว่าเกมจะมีปัญหาเรื่องเครียด แล้วพวกเพื่อน ๆ ก็ช่วยกันดึงไว้”
“แต่หัวใจไม่ใช่ของเล่น”
ประโยคนี้คือทูแน่นอน เพิ่งออกมาจากห้องสอบ แต่ดวงตาคมจ้องจนแทบทะลุ โอเลยต้องเปลี่ยนเรื่อง
“คุยไปกินไปได้มั้ย ออกจากห้องสอบกูหิวเป็นหมาแล้วเนี่ย”
โอท่าทางหิวจริง เพราะในถาดมีทั้งข้าวทั้งก๋วยเตี๋ยว ขณะที่ทูยังคงมาดกินช้าๆ ไม่เร่งร้อน
“พ่อแม่เขารู้เรื่องมึง เกม ต้อนหรือเปล่า” ทูถามเหมือนไม่คาดคั้นยกเว้นดวงตา
“คิดว่าไม่ แล้วพ่อแม่มึงรู้เรื่องไอ้เฟี๊ยตหรือเปล่าล่ะ” อ๋อมย้อนให้
ทูเบ้หน้า “รู้ก็ตายทั้งคู่น่ะสิ แล้วก็อย่าเอากูไปเปรียบกับมึงกับเกม เพราะกรณีนี้คนละสถานะ องค์ประกอบ และปัจจัยแวดล้อมต่างกัน”
“แต่ก็คล้าย” โอบอกทั้งที่ข้าวเต็มปาก
“ไม่ เพราะประเด็นสำคัญคือ กูไม่เคยตกลงอะไรกับมัน”
“เหรอ...” โอทำเสียงล้อเลียน แต่อ๋อมนึกขึ้นได้
“ต้อนก็ไม่เคยตกลงอะไรกับเกมเหมือนกัน แต่เหมือนเกมจะประกาศตัวว่าเป็นแฟน ต้อนก็เลยชิ่งได้ก็ชิ่ง”
“เกมมันอาจคิดแบบเด็กๆ ไง กูรักมึง มึงคือแฟนกู” โอทำเสียงลั๊ลลา
“เด็กคนนี้แมร่งมีปัญหาทางจิตจริงๆ รักข้างเดียวก็คือรักข้างเดียว” ทูพึมพัมกับข้าวในจาน
อ๋อมนิ่งมองทูแล้วถามอย่างเกรงใจ “ทู กูถามมึงตามตรง...กูทำให้มึงเจ็บหรือเปล่า”
“เปล่า...มึงคิดว่ามึงเป็นใคร มีอิทธิพลอะไรกับกูนักหนาหรือไง” หนุ่มตาคมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว เพราะเวลาที่กูแอบมองเข้าไปในบ้านต้อน แล้วเห็นต้อนกับเกม กับเพื่อนๆ กูก็คิดว่ากูเข้าใจว่าทำไม เด็ก 4 คนนั่นถึงได้ช่วยกับประคองไอ้เกมไว้ ถึงมันจะไม่ค่อยถูกทิศถูกทาง แต่เพราะว่าพวกมันเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก แต่พอมองวงแคบลงมาเฉพาะแค่ต้อนกับเกม กูกลับรู้สึกไม่อยากเข้าใจ”
“มึงกลัวกูเจ็บกลัวกูทำร้ายตัวเอง แล้วมึงจะฝืนดีกับกู อย่างที่ต้อนฝืนดีกับเกมหรือเปล่าล่ะ”
“ก็..ไม่รู้จริง ๆว่ะ”
“กูไม่เข้าใจวิธีคิดของเกมหรือเด็กพวกนั้นหรอกนะ แต่ในมุมของกู ถ้ามึงทำแบบนั้นกูจะเสียใจมาก” ทูเน้นคำพูดอีกครั้ง “ผิดก็คือผิดถูกก็คือถูก”
แต่โอแทรกเข้ามา “กูคิดว่ากูเข้าใจวิธีคิดของพวกมันนะ พวกมันก็เหมือนกูนี่แหละ ไม่มีประสบการณ์เรื่องความรัก มองเห็นแต่ในแง่บวก ไม่คิดว่ามันมีแง่ลบอยู่ด้วย”
“กูถึงบอกว่า เรื่องหัวใจไม่ใช่เรื่องล้อเล่น” ทูถอนหายใจหนักๆ “กูไม่ได้เจ็บหรอกนะ ถึงกูจะรู้ตัวช้าไปหน่อย แต่คงเพราะกูบอกตัวเองมาตั้งแต่แรกว่า กูไม่ได้อะไรกับมึง กูแค่ระเบียบจัด อยากไปจัดระเบียบชีวิตมึง พอมาเจอไอ้....” ทูพยักพเยิดไปหาคนที่ถูกเว้นชื่อไว้
ไอ้ตี๋โย่งคนนั้น เดินตรงเข้ามาในโรงอาหารพร้อมกับส่งยิ้มกว้างทักทาย
“ต้องเรียกว่า เพราะมัน ทำให้กูไม่มีเวลาเจ็บเพราะมึงน่าจะถูกต้องที่สุด”
เฟี๊ยตเดินเข้ามาส่งซีดีหนังให้ทูแล้วนั่งลงข้างๆ “อ่ะ ของแท้ลิขสิทธิ์แน่นอน”
“อือ เท่าไหร่” ทูขยับจะหยิบกระเป๋าสตางค์ เฟี๊ยตรีบจับข้อมือไว้
“ไม่ต้องกูซื้อมาให้”
“เนื่องในโอกาสอะไร”
“ก็ทูอยากดู”
“ก็มึงซื้อมา”
“เออน่า ไว้ก่อน”
“ก่อนอะไร”
“ดูก่อน จ่ายทีหลังเป็นค่าตั๋วดูหนังในโรง”
“งั้นมึงเอาค่าตั๋วหนังไปเลย เพราะกูไม่ดูหนังโรงรำคาญเสียงโทรศัพท์”
“งั้นเปลี่ยนเป็นค่าตั๋วคอนเสิร์ตที่มึงต้องไปดูกับกู”
โอกับอ๋อมหันมาส่งยิ้มยักคิ้วให้กัน ไอ้ท่าทางรู้กันอยู่ 2 คนแบบที่ทูไม่ชอบน่ะแหละ
ไอ้ทูมันโยกโย้ไปเรื่อย ไอ้เฟี๊ยตก็พลิ้วตามดักทางถูกทิศกันแบบนี้ ปล่อยให้มันปะทะคารมกันไปเถอะ
ทูหน้าตึง หันมาพลิกดูซีดีในมือแล้ว เงยหน้ามาถามอ๋อม “เรารับปริญญากับต้อนสอบเข้ามหาลัยเนี่ยอันไหนเสร็จก่อนกัน”
“เรารับปริญญาสิ”
“ต้อนกับเพื่อนไปเที่ยวหลังสอบเข้ามหาลัยใช่มั้ย”
“ใช่ แต่เห็นว่าสอบไล่เสร็จก็ยกแก๊งค์ไปดูหนังกันมาแล้วรอบนึง”
“แล้วเขาจะไปเที่ยวไหนกัน”
“น้ำตก”
“มึงไม่ชวนยกแก๊งค์ไปบ้านมึงล่ะ” ทูเสนอ
“ห๊ะ”
“ตอนมึงรับปริญญา พ่อแม่มึงต้องมาที่นี่ ได้เจอกับต้อนอยู่แล้ว มึงก็แค่แนะนำน้องกับเพื่อนเขาให้เนียนๆ ไปก่อนรอบนึง แล้วเราเองก็เรียนจบเหมือนกัน ยกแก๊งค์ไปเที่ยวบ้านมึงด้วย จะเป็นไรไป”
โอกับอ๋อม ตามเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยทันบอกตามตรง เมื่อกี้เหมือนมันจะคล้ายๆถูกไอ้เฟี๊ยตจีบอยู่ไม่ใช่หรือไง
หรือว่ารู้ตัวว่าสู้ความพลิ้วของไอ้ตี๋โย่งไม่ได้ ไอ้หนุ่มตาคมเลยหันกลับมาเรื่องไอ้เกม
“อะไรของมึงน่ะ” อ๋อมถาม
“เพราะกูอยากคุยกับไอ้เด็กเกมนี่แบบจริงจัง” ทูพูดนิ่งๆ “กูไม่เชื่อหรอกว่า เกมมองไม่เห็นว่าต้อนไม่ได้สนใจมัน แล้วมึงเองที่รอได้ก็เพราะมึงมั่นใจว่าน้องมีใจให้มึง ถึงจะเพื่อนมัน 3 คนนั่นก็เหอะ พวกมันอาจไม่รู้เรื่องมึง เพราะมึงกินลับหลังตลอด แต่มันก็ต้องเห็นท่าทีของต้อนกับเกม”
“สมการนี้ต้องแก้ที่เกม” เฟี๊ยตบอก
ทูตวัดหางตามองทันที “ใครถามมึงเนี่ย”
“ไม่เห็นต้องถาม กูอยากมีส่วนร่วม”
ก็บอกแล้ว ทูอยากเปลี่ยนเรื่องก็เปลี่ยนไป ยังไงไอ้ตี๋โย่งมันก็สามารถอยู่แล้ว
========จบตอนที่ 13========
ขอบคุณคุณผู้อ่านทุกคนและ คุณ pajaa ครับที่ชอบเรื่องที่เราเขียน
3p เรื่องแรกอย่าว่าแต่คุณจะไม่อ่านเลย หลายคนก็ไม่อ่าน และไม่ชอบ ทียิ่งไม่ชอบอยากให้ผมแจ้งพี่โมฯลบเรื่องนั้นด้วยซ้ำ
(ผมดิทท้ายเรื่องให้สั้นลง เพราะพอมาอ่านแล้วรู้สึกว่ามันยาวเกินไป)
คิดถึงทีหรือครับ รอเที่ยงๆก็คงมาไล่กดเป็ด กดบวก ตอนนี้กลายเป็นกิจกรรมยามว่างของเขาไปแล้ว
ปั๊ปปี้ ไฟไหม้ที่ไหน แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า
พี่แก้ว อบต.ได้เวลาลงพื้นที่ช่วยชาวบ้านอีกแล้วสินะ 555
เหมือนวันนี้อากาศจะเริ่มเย็นลง เราคงจะได้เข้าหน้า (เกือบ)หนาวกันแล้ว รักษาสุขภาพนะครับ
พบกันวันพุธนะครับ
ขอบคุณที่ติดตาม ขอบคุณทุกความเห็น และคำแนะนำครับ
ไจฟ์ครับ
(เราจะยังคงตอบในทู้เดิมต่อไปตามนโยบายประหยัดพื้นที่ อิอิอิ)
อะนั่นแน่ใครว่าคิดถึงผม ที่คิดถึงเพราะอยากอ่านสปอยล์ล่ะสิ งั้น....รู้กันแค่นี้นะ เกมอกหักหล่ะ ยังไม่รู้ใช่มะล่า 
พี่น้ำแข็งใส ห่วงเกมหรือครับ เนอะ เกมน่าสงสารมากเลยเนอะๆๆๆ
พี่ฝน ย้ำคำเดิมเหมือนในเฟส กินไก่ทอดผู้พันให้อร่อยต้องกินใน รร.หญิงล้วน...2เปียขาวน่ารัก
แต่ว่า...
ข้าวไข่เจียวปูอัด กับแกงส้มแตงโมอ่อน ฝีมือใครไม่รู้อร่อยมากกกกก 
tea ครับ