ตอนที่ 6<< HoiHug’s Mode >>“เฮ้ย ไอ้ฮอย นั่งเหม่ออะไรวะ รีบๆ สั่งมาว่าจะกินอะไร?”
ไอ้พรีสต์มันแว้ดขึ้นเมื่อผมนั่งเหม่อปล่อยใจให้หลุดลอยไปไหนต่อไหน ผมเกาต้นคำของตัวเองแก้เก้อแล้วหันมาสั่งข้าว เอาแบบเดิมนั้นแหละครับ ข้าวหมูกรอบทั้งปี! ผมชอบหมูกรอบอะ ไอ้พรีสต์มันจดยิกๆ จ้องผมอย่างไม่พอใจที่ทำให้เวลากินข้าวมันช้าลง ผมไม่สนใจมันสั่งเสร็จก็กลับมานั่งเหม่อถอนหายใจเป็นพักๆ อีกครั้ง
“เป็นอะไรของมึงวะฮอย นั่งถอนหายใจอย่างกับคนมีปัญหาเรื่องหัวใจ ฮ่าๆๆๆ”
ไอ้โจ้ปากหมาเริ่มปฏิบัติการจิกกัดผมเป็นคนแรก คนอื่นๆ ก็หัวเราะตาม อะไรของพวกมึงวะ ถ้ากูมีเรื่องนั้นจริงแล้วมันตลกตรงไหน!?
“อย่างไอ้ฮอยฮักมันจะมีปัญหาเรื่องนี้ได้ยังไงวะ?”
ไอ้แซมมันก็เอ่ยเป็นคู่รับกับไอ้โจ้แล้วหัวเราะก๊ากกัน เออ เรื่องกูมันเป็นเรื่องตลกแล้วแค่กูคิดอะไรนิดหน่อยก็ไม่ใช่ว่าจะมีปัญหาเรื่องรักสักหน่อย ชิ! แค่คิดเรื่องไอ้วินเซอร์มันจะกลายเป็นปัญหาเรื่องหัวใจได้ยังไง!? ก็แค่หาวิธีแก้เผ็ดมันกลับเรื่องที่มันบังอาจมาทำลุ่มล่ามเท่านั้นเอง เชอะ~
“ไอ้พวกนี้นิ ไอ้ฮอยฮักมันก็คนน่ามึง ชอบใครรักใครก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วล่ะ”
ไอ้เตี้ยสตางค์มันแก้ตัวให้กับผมแต่อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นคนดีอะไรมากมายนะครับ มันยิ้มที่มุมปากแล้วเอ่ยต่อแบบน่าถีบตูดตกฟาก
“เอ๋ หรือว่ามึงจะไปชอบใครเข้าจริงๆ วะ?”
“เฮ้ย ใครมันซวยวะ ฮ่าๆๆๆ!”
พวกมันก็หัวเราะก๊ากอย่างสนุกสนาน ผมทำหน้านิ่งไม่พอใจที่พวกมันเอาแต่หัวเราะเรื่องของผม อยากจะลุกตบกบาลพวกมันสักปั๊กสองปั๊กแต่มันขัดกับภาพพจน์ไอ้จืดก็เลยได้แต่ปล่อยไปแล้วถ้าผมชอบใครจริงๆ ทำไมคนๆ นั้นต้องซวยด้วยล่ะ? ซวยตรงไหนวะ? ผมแอบงงๆ ตรงนี้เล็กน้อย ผมออกจะดีโคตรๆ(?)
พวกเรากินข้าวกลางวันกันอย่างสบายๆ เพราะวันนี้อาจารย์ไม่ได้สอนแต่ให้ไปค้นคว้าหาความรู้เองซึ่งนักเกรียนศึกษาอย่างไอ้พวกนี้มันก็นัดกันไปศึกษาหาความรู้กันที่หลังมอซอยเมรัย อืม ชื่อซอยก็น่าจะบอกแล้วนะครับว่าพวกมันจะไปศึกษาเรื่องอะไร ไม่มีอย่างอื่นนอกจากเหล้าหรอกครับ! ส่วนผมนั้นขอบายล่ะ
เอ่อ...อาจจะเป็นจุดด้อยหรือจุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ ของผมที่ไม่ค่อยอยากให้ใครรับรู้เอาซะเลย มีแต่พี่ยิ้มเท่านั้นแหละครับที่รู้หรืออาจจะรวมไปถึงไอ้พรีสต์อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ ผมน่ะคออ่อนสุดๆ ไปเลยล่ะ แค่สองแก้วผมก็เมามายคอพับคออ่อนจำอะไรไม่ได้เลย ช่วงนั้นไม่รู้ทำอะไรไปบ้างแต่มันน่าจะร้ายแรงขนาดพี่ยิ้มกับไอ้พรีสต์ห้ามผมไม่ให้ไปกินที่ไหนอีกเด็ดขาด ถ้าจะกินก็อย่าเกินหนึ่งแก้วดังนั้นผมเลยไม่แตะพวกแอลกอฮอล์อีก จริงๆ ก็อยากจะรู้นะว่าเมาแล้วผมทำอะไรลงไปทำไมสองคนนั้นถึงได้ห้ามผมไว้ขนาดนั้นด้วย แต่ก็ช่างมันเถอะ!
“ใครวะ? มึงไปชอบใครเข้าวะ?”
“...”
ไอ้เรื่องนี้พวกมันก็ยังล้ออยู่นั้นแหละผมก็ได้แต่นั่งเงียบ ไม่ได้ไปชอบใครสักหน่อยถ้าไปชอบใครล่ะก็ต้องคิดถึงคนๆ นั้น เวลาเจอก็ต้องเขินหน้าแดง หัวใจเต้นแรงอะไรพวกนี้น่ะสิ อะไรนะ? ผมเอามาจากไหนน่ะเหรอ? ดูจากละครน้ำเน่าหรือพวกนิยายรักบ้าบอไงล่ะ ผมไม่เห็นมีอาการพวกนี้เลย! พวกไอ้พรีสต์ก็ยังล้อผมอยู่นั้นแหละเดาไปถึงพี่สมหมายยามหน้าคณะพวกมึงก็เดาไม่ถูกหรอกโว้ยเพราะกูไม่มีคนที่ชอบ...
“ขอโทษนะครับ ขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหม? ที่คณะถาปัตย์มีผู้หญิงที่เป็นลูกครึ่งผมทองเป็นลอนยาวหรือเปล่าครับ?”
แค่กๆ!
ผมเบิกตากว้างเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นร่างสูงผมแดงที่เริ่มออกดำเดินเข้ามาระยะประชิดอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพไม่เข้ากับหน้าตาที่เหมือนมาหาเรื่อง พอผมทำท่าสำลักน้ำทุกคนก็หันมองมาเจ้าหมอนั้นก็หันมามองเหมือนกัน ผมก็หลบก้มหน้ามองพื้นทันที เหี้ย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ? ไอ้วินเซอร์มันมาอยู่ที่นี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ทำไมผมมองไม่เห็น! ผมเหลือบมองใบหน้าหล่อนั้นเงียบๆ แล้วดูดน้ำในแก้วไปด้วย
แง่ว!
ไอ้ปีศาจจูบ!!ผมหลบสายตาอีกฝ่ายที่กวาดมองมา เฮ้ย แล้วกูจะหลบตาทำไมวะไม่ได้ไปทำมิดีมิร้ายมันสักหน่อย ทำตัวแบบนี้มันจะยิ่งน่าสงสัยนะโว้ย ผมพยายามนั่งนิ่งเหมือนเดิมเป็นปกติ นั่งไปก็ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวอย่างชัดเจน มันจะเต้นแรงทำเบื้อกอะไรตอนนี้!? เนียนแสร้งทำเป็นมองคนอื่นๆ ที่กำลังทำหน้าแปลกๆ เมื่อเจอคำถามที่ไม่คาดคิด
ไอ้พรีสต์มองหน้าไอ้วินเซอร์เขม็งอย่างน่ากลัว มึงจะไปชกมันหรือไงวะ? ไอ้พรีสต์หันไปมองไอ้แซมอย่างกดดัน ทำให้ไอ้แซมมันตอบคำถามอย่างขอไปที สาวผมทองที่คณะเราไม่มีสักคนหรอกแต่ถ้าหนุ่มผมทองล่ะก็มีอยู่คนหนึ่งแหละ ก็ไอ้พรีสต์มันยังไงล่ะครับ ไอ้วินเซอร์มันมาถามหาทำไมวะ?
“ลูกครึ่งน่ะมีแต่ไม่มีผมทองว่ะ สงสัยจะซิวไปแล้วมั้ง”
พอตอบไปแบบนั้น ไอ้พรีสต์มันก็ชวนพวกเรายกพลลุกหนีไปก็มันกลัวว่าความลับที่มันโดนแกล้งแต่งหญิงจะแตกน่ะสิครับ ตอนปีหนึ่งมันถูกแกล้งให้แต่งชุดผู้หญิงแล้วไอ้วินเซอร์มันก็มาตามสาวผมทองก็คงจะเป็นไอ้พรีสต์ตอนนั้นล่ะมั้งครับ แล้วทำไมมันต้องตามหาด้วยวะ? คงไม่ใช่ว่า...
“เหรอ ขอบคุณ...เฮ้ย!”
ไอ้วินเซอร์มันเอ่ยขอบคุณขณะที่พวกผมกำลังลุกหนีไปนั้นแต่จู่ๆ มันก็เบิกตากว้างไปที่ไอ้พรีสต์อย่างตะลึง ไอ้พรีสต์มันกระซิบกับผมว่าซวยแล้วก่อนจะดึงผมออกวิ่งไปด้วยโดยเอาผมบังตัวมันไว้ ผมหันกลับไปมองไอ้วินเซอร์ที่ยังยืนทำหน้างงอยู่ที่เดิมแล้วหันกลับมามองไอ้พรีสต์
แปลกๆ ว่ะ!!
ไอ้ความรู้สึกนี้มันอะไร? กูจะหงุดหงิดทำแป๊ะอะไร? แค่คิดว่าไอ้วินเซอร์มันอาจจะชอบไอ้พรีสต์เข้าผมก็รู้สึกหงุดหงิด อะไรกันเนี่ย!? อาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร!? ผมเม้มปากแล้วผลักไอ้พรีสต์ออกจากตัวไปอย่างแรงแล้วมองมันตาขวางๆ ไอ้บ้าพรีสต์มันมองผมอย่างงุนงงๆ มองทำไมกูแค่ไม่พอใจมึงเท่านั้นแหละ ไอ้บ้าเอ๊ย!
“อะไรของมึงวะ ผลักกูซะแรง”
“เรื่องของกู!”
“เออ เรื่องของมึง เป็นเหี้ยอะไรเนี่ย?”
ไอ้พรีสต์มันโดนผมรวนใส่ทำหน้างงแล้วถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ผมมองหน้ามันแล้วหงุดหงิด ใช่ซี! มันน่ารักตรงสเปกมึงเข้าพอดี ชิ! ส่วนกูน่ะไม่ใช่แบบที่มึงชอบ โอ๊ยยย!!! ไอ้วินเซอร์ไอ้บ้า! โมโหโว้ย!!! ผมไม่ตอบไอ้พรีสต์สะบัดหน้าเดินหนีออกมาทันที
“เหวี่ยงอะไรของมันวะเนี่ย เฮ้ย! มึงงอนอะไรกู?”
ไอ้พรีสต์มันตะโกนไล่หลังมาแต่ผมไม่สนใจจะหันไปตอบมันเพราะตอนนี้เหมือนผมจะคิดอะไรบางอย่างได้และมันยิ่งทำให้ผมเครียดหนักกว่าเดิม เป็นอะไรของกูวะ กูบ้าไปแล้ว เอาสมองส่วนไหนไปคิดวะ ผมรู้ ผมไม่ได้งอนไอ้พรีสต์แต่ผม แม่ง! งอนไอ้บ้าวินเซอร์ต่างหาก!!!
ฮึ่ม! ไอ้บ้าวินเซอร์!
กูจะบ้า! งอนมันทำไม งอนเอาโล่งั้นเหรอ? ถึงงอนไปมันก็ไม่สนใจจะมาง้อผมหรอก ให้ตายสิ! ผมเดินย้ำต็อกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมายแล้วเมื่อขี้เกียจเดินก็นั่งลุกเขี่ยดินเล่นข้างๆ ทางนั้นแหละ ทำไมผมจะนั่งตรงนี้ ใครจะทำไม? อยากมีเรื่องก็เข้ามาเซ่ ตอนนี้ตูอารมณ์ไม่ดี!
ขีดเขียนไปๆ มาๆ ผมก็ชะงักมือ มองรูปหัวใจที่ตัวเองบรรจงวาดขึ้นจะลบแต่มันก็ไม่กล้าทำ อะไร? ผมแค่เห็นมันสวยดีไม่กล้าลบเท่านั้นเอง เชอะ~ ไม่ได้ซึน ไม่ต้องมาพูด โอเค! ยอมรับก็ได้ นับวันอาการบ้าๆ บอๆ พวกนี้ยิ่งหนักขึ้นไปเรื่อยๆ สงสัยผมคงจะ...เฮ้อ! ผมคงจะโดนเล่นของแหงๆ ว่ะ คนอย่างผมเนี่ยน่ะ? สเปกก็ไม่ได้มีหรอกแต่ไม่คิดว่าตัวเองจะไปชอบอะไรแบบนั้น! ไม่โดนเล่นของใส่ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะครับ ให้ตายสิวะ! ผมเนี่ยนะชอบไอ้...ไอ้...ไอ้บ้าวินเซอร์!!? ผมนั่งกอดเข่ามองพื้นอยู่เงียบๆ ในสมองมันตีกันวุ่นวายไปหมด
ปิ๊นๆ ปิ๊นๆ
ผมหันไปมองรถคันใหญ่ที่จอดอยู่ข้างๆ แล้วบีบแตรอยู่สองสามครั้ง รถคันใหญ่สีดำยาวเหยียดแบบนี้มีแค่สองคนเท่านั้นในมหาวิทยาลัยที่จะเอาวิ่งเฉิดฉายอวดชาวบ้านว่าตูรวย หนึ่งคือรุ่นพี่ที่อยู่คณะบริหารซึ่งนานๆ ครั้งจะเอามาแล่นเล่น สองคืออธิการมหาวิทยาลัยหรือเจ้าของมหาวิทยาลัยนี้นั้นเอง! ผมปัดมือปัดฝุ่นแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูรถด้านเบาะหลัง ก้มหน้าไปมองชายหนุ่มวัยกลางคนที่ใส่สูทสีดำสนิทนั่งเป็นสง่าบนเบาะด้านหลังของรถ ใบหน้าหล่อเหลาที่มีริ้วรอยแห่งวัยนั้นนิ่งสนิทหันมามองผม
“นั่งทำอะไรน่ะฮัก?”
“ศึกษาดินครับ”
“มีเรียนต่อไหม?”
เสียงเข้มเอ่ยถามต่อ ผมก็ส่ายหน้าแล้วขึ้นไปนั่งบนเบาะแล้วปิดประตูรถ ผมรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะบอกให้ขึ้นรถมาถ้าไม่มีเรียน ยังไงซะวันนี้ผมก็ตั้งใจจะกลับบ้านใหญ่อยู่แล้วน่า! ส่วนพี่ยิ้มน่ะปล่อยให้พี่แกอยู่กับครอบครัวเถอะ ผมรบกวนพี่เขามากแล้ว
“พ่อจะกลับบ้านเลยใช่ไหมครับ?”
“เปล่า ธุระนิดหน่อย”
ชายหนุ่มหน้านิ่งคนนี้ก็คือลุงที่รับผมไปเป็นลูกบุญธรรมไงครับ เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของพ่อผมก็เลยถือว่าเขาเป็นพ่อของผมเหมือนกัน คุณพ่อชื่อว่าดีเซลเรียกว่าดีซสั้นๆ ก็ได้ครับ ตอนที่พ่อแม่ของผมเสียชีวิตพวกผมยังเด็กอยู่เลยถึงพี่ยิ้มจะบอกว่าจะเลี้ยงผมเองแต่สมัยนั้นพี่ยิ้มยังเรียนมอปลายเอง ในที่สุดพี่ก็ต้องยอมให้พ่อดีซเอาตัวผมไปเลี้ยง ส่วนพี่ยิ้มน่ะเหรอพี่แกเรียนจบมัธยมแล้วไปทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองโดยเป็นนายแบบนั้นแหละครับ พี่ชายของผมเขาไม่ค่อยชอบพ่อดีซสักเท่าไรเพราะว่าพ่อดีซน่ะท่านไม่มีครอบครัวแต่มีคนรักอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ชาย ซึ่งผมเรียกว่า พ่อริน ชื่อเต็มๆ ของท่านคือมิรินด้า ทั้งสองคนสังคมทั่วไปเรียกว่าเกย์นั้นแหละครับ
ก็แล้วไงล่ะครับ? ผมไม่เห็นว่าพ่อดีซจะมีข้อเสียอะไรสักอย่าง ท่านเป็นคนที่เก่งเป็นคนดีกว่าพวกที่ไม่ได้เป็นเกย์ซะอีกแล้วไอ้พวกที่บอกว่ารังเกียจเกย์นักหนาเมื่อตอนที่เดือดร้อนก็วิ่งหน้าเหี่ยวเข้ามาขอร้องให้พ่อดีซของผมช่วยกันทั้งนั้น! พวกที่ปากดีแต่เหยียบหยามคนอื่นมันดีกว่าตรงไหนกัน? หึ! ถึงเป็นเกย์แต่เกย์ก็คือผู้ชายนั้นแหละ ไม่เห็นพ่อดีซกับพ่อรินจะแตกต่างจากผู้ชายทั่วไปยังไง ก็แค่บังเอิญรักผู้ชายเท่านั้นเอง!
“สวัสดีครับคุณหนู”
“สวัสดีครับพี่เจย์”
ผมทักกลับเมื่อเลขาหนุ่มผู้จริงจังขั้นสุดยอดของพ่อดีซชะโงกหน้ามาทักทายด้วยการโค้งตัวแทบจะเก้าสิบองศา พี่เจย์นั้นก็อีกคน อะไรน่ะเหรอครับ? ก็มีคนรักเป็นผู้ชายยังไงล่ะครับ! คิดๆ ไปแล้วรอบตัวของผมมีแต่พวกชายรักชายด้วยกันทั้งนั้นเลยน่ะเนี่ย ขนาดบริษัทก็ยังไม่เว้นเล๊ย! มิน่าพี่ยิ้มถึงไม่พอใจที่ผมอยู่ในสิ่งแวดล้อมพวกนี้พี่เขาแค่เป็นห่วงว่าผมจะเป็นไปด้วยอีกคน สมัยก่อนผมอาจจะมั่นใจว่าไม่เป็นหรอกแต่ตอนนี้ผมสักจะไม่แน่ใจว่าจะไม่เดินเส้นทางนี้ เหอะๆ
“...”
ชอบ...ไม่ชอบ...รัก...ไม่รัก...เฮ้อ...!
“ลูกเป็นอะไรวะ?”
“ไม่รู้”
“แล้วทำไมแกไม่ถาม เป็นพ่อเหี้ยอะไร?”
“แล้วนายไม่ถามล่ะ?”
“เหี้ยเอ๊ย!”
ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านใหญ่ผมก็เอาแต่นั่งเขี่ยน้ำในสระเล่น ในขณะที่พ่อทั้งสองก็เอาแต่เถียงกันเรื่องของผม เอาล่ะ ผมไม่ได้โง่แบบไอ้พรีสต์ ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไรแต่มันก็ทำใจรับไม่ได้อยู่ดีนั้นแหละ ทำไมผมต้องไปชอบไอ้หมอนั้นด้วย? ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ก็เคยได้ยินอยู่หรอกว่าความรักมันไม่มีเหตุผลแต่นี่มัน...เฮ้อ! เหนือเหตุและผลเกินไปแล้ว! ชีวิตต้องมีแต่ความทุกข์แน่ๆ ดันผ่าไปชอบคนแบบนั้นน่ะ!!
“ฮักเป็นอะไรน่ะเรา เอาแต่นั่งเล่นน้ำตั้งแต่มาแล้วนะ มีอะไรกลุ้มใจงั้นเหรอ?”
พ่อรินเดินเข้ามานั่งยองๆ ข้างผมแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง ผมเหลือบไปมองอีกฝ่ายแล้วกลับไปมองน้ำอีกครั้ง ปกติผมก็เป็นคนตรงๆ ถามตรงๆ ตอบตรงๆ แต่ตอนนี้มันลำบากที่จะตอบ ก็มัน...เขิน!
“ทำไมพ่อรินถึงรักพ่อดีซได้ล่ะ?”
“เอ่อ...”
“เพราะพ่อหล่อน่ะ”
“โอ๊ย ไอ้บ้า! แกน่ะหล่อโคตรๆ!”พ่อรินหันไปประชด พ่อดีซก็หันมาตอบด้วยใบหน้านิ่งสุดมั่นใจในตัวเองสุดๆ
“ไม่หล่อแล้วนายจะชอบ?”
“เอ่อออ!”
พ่อรินก็ส่งเสียงรับไปอย่างรำคาญแล้วหันมามองผมทำหน้าตาบ่นงุบงิบๆ ผมนั่งมองนิ่งด้วยความคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะทั้งสองก็ทะเลาะกันไปมาแบบนี้ตลอดแต่ก็เห็นเวลาอยู่ด้วยกันทีไรหวานไม่เกรงใจลูกชายคนนี้เลย ต้องขอบพระคุณพ่อทั้งสองที่ทำให้ผมสำเร็จวิชาทำเป็นไม่เห็นทำเป็นไม่ได้ยินได้ล่ะนะ!
“แล้วจู่ๆ ฮักมาถามแบบนี้ แสดงว่าไปชอบใครเข้าใช่ไหมเนี่ย?”
พ่อรินเอ่ยแล้วยิ้มๆ ที่มุมปากเย็นเชียบแต่นั้นแหละครับเป็นรอยยิ้มล้อเล่นของพ่อคนนี้เขาล่ะแต่ถ้าเป็นคนอื่นจะมองว่าพ่อรินกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่! ผมนิ่งไปไม่พูดไม่จาแถมยังค่อยๆ หลบตาจากอีกฝ่าย มันเป็นไปเองผมไม่ได้ตั้งใจจะหลบตาแบบนี้หรอก!
“อะฮ่า!! ดีซโว้ยยย!! ต้องหุงข้าวแดงฉลองรับลูกสะใภ้แล้วล่ะ! ดูสิ ถามแค่นี้หน้าแดงลามไปถึงคอแล้วแน่ะ ฮ่าๆๆๆ ฮัก~ น่ารักอ่ะ!!”
พ่อรินมองผมนิ่งแล้วค่อยๆ ยิ้มกลายเป็นหัวเราะเสียงดังหันไปพูดกับพ่อดีซที่กำลังมองมาด้วยใบหน้านิ่งแต่นั้นแหละครับ พ่อเขากำลังแปลกใจอยู่ พ่อรินคว้าผมเข้าไปกอดแล้วถูหน้าไปมากับคอของผม พ่ออ่ะมันจั๊กจี้นะมาถูมาไถอยู่ได้!
“แล้วเด็กนั้นน่ารักหรือเปล่าล่ะฮัก?”
พ่อดีซเปิดหนังสือพิมพ์หน้าต่อไปอ่านแล้วเอ่ยถามขึ้นโดยที่ตาไม่ได้มองมาเลยสักนิด พ่อรินยิ้มแล้วเงยหน้ามองผมด้วยความใคร่รู้ออกหน้าออกหน้า ผมหยุดคิดแล้วลองคิดถึงการกระทำแต่ละอย่างของมันก่อนจะถอนหายใจ
“ดื้อ”
“หึ ดื้อๆ นั้นแหละน่ารัก ดูจากรินของพ่อสิ ดื้อหัวแข็งไม่ได้ดั่งใจอะไรสักอย่าง น่ารักจะตาย”
“นั้นมึงชมหรือด่าวะ!?”
พ่อรินหันขวับไปอีกรอบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาชิ้งๆ อย่างน่ากลัว พ่อดีซก็ทำหน้านิ่งพลิกหนังสือพิมพ์อ่านไปเรื่อย
“ชมว่าน่ารักไง”
“เออ แล้วไป!”
“แล้วเด็กคนนั้นเรียนที่คณะสถาปัตย์หรือเปล่าฮัก เดี๋ยวพ่อจะได้แอบดูให้”
พ่อรินหันมาแล้วถามผม พ่อรินทำงานที่คณะผมเป็นคณบดีคณะสถาปัตย์เนี่ยแหละ ผมมองหน้าพ่อรินที่เฝ้ารอคอยคำตอบด้วยใจจดจ่ออย่างลำบากใจ คุณพ่อจะหวังดีหรืออยากรู้อยากเห็นก็คงจะไม่ได้เห็นหรอกครับ เพราะมันน่ะไม่ได้เรียนคณะสถาปัตย์แต่มันเรียนวิศวะต่างหาก หนุ่มวิศวะครับคุณพ่อ! ถ้าบอกไปเนี่ยพ่อของผมคงจะช็อกน่าดูแฮะ
“ไม่ได้เรียนคณะเดียวกันกับผมหรอกครับ คณะข้างๆ น่ะ”
“อ้อ! คณะบริหารงั้นเหรอ แหม คณะนี้ผู้หญิงแต่ละคนค่อนข้างแรงนะลูก แต่งตัวโป๊ๆ กันทั้งนั้นเลยแต่ถ้าฮักชอบแบบนั้นล่ะก็พ่อก็ไม่ขัดหรอกนะ”
พ่อรินทำหน้าผิดคาดเล็กน้อย เปล่าครับ มันไม่ได้แต่งตัวโป๊ไม่ได้เรียนบริหารแต่มันเรียนวิศวะครับ แถมตัวใหญ่ๆ ถึกๆ เถื่อนๆ อีกต่างหาก เฮ้อ
“ว่างๆ ก็พามาให้พ่อรู้จักบ้างนะ”พ่อดีซเอ่ยเสียงเรียบๆ ขึ้น พ่อรินก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ๆ แล้วตอนนี้ไปถึงขั้นไหนกันแล้วล่ะ?”
พ่อรินกระทู้ไหล่อย่างหยอกล้อ ใบหน้าหล่อของพ่อรินนั้นดูเจ้าเล่ห์ ผมกะพริบตาปริบๆ จะให้มันถึงไหนล่ะครับ กว่าลูกของพ่อมันจะตาสว่างและยอมรับความเฮงซวยนี้ได้ก็นานกินเวลาเป็นเทอมๆ แล้วล่ะ ตอนนี้อีกฝ่ายจำผมได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
“ยังไม่ได้ไปถึงไหนหรอกครับ จืดๆ แบบผมคงจะ...”
“เฮ้ยยย! ทำไมลูกเอาสภาพจืดๆ ไปจีบเขาล่ะ เขาไม่ถีบกลับมาก็บุญแล้ว!”
พ่อรินเอ่ยขัดผมทันทีใบหน้าอีกฝ่ายดูจะไม่พอใจอย่างแรงเลยน่ะครับนั้น ถึงขั้นถีบกลับเลยเหรอครับพ่อ? แล้วจะให้เอาสภาพไหนไปจีบล่ะครับ สภาพปกติแบบนี้น่ะเหรอ? โธ่! เลิฟมีเขาโดนบริษัทบล็อกเรื่องพวกนี้น่ะครับแล้วอีกอย่างผมอยากให้เลิฟมีตั้งใจทำงานมากกว่าไปยุ่งเรื่องพวกนี้ด้วย!
“แต่พ่อว่าแบบนั้นก็ดีนะ ถ้าได้ใครสักคนที่รักเราไม่มองจากภายนอกล่ะก็คงจะเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง”
พ่อดีซเอ่ยยาวๆ ออกเป็นเหตุเป็นผล ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อนแฮะ แต่ฟันธงได้ว่าไอ้บ้านั้นคงจะต้องเลือกหน้าตาดีน่าดูมากกว่าจืดๆ จางๆ แบบไอ้แว่นอย่างผมแน่ๆ!
“งั้นมึงก็เหมือนติดหนี้พันล้านน่ะสิ เพราะกูชอบมึงที่หน้าตา!”
“...”
พ่อดีซเงียบเมื่อเจอพ่อรินสวนฉับเข้าให้ ผมเนี่ยแอบหัวเราะนิดๆ พ่อรินหันไปแลบลิ้นให้กับพ่อดีซที่มองเขม็งมา พ่อรินหาเรื่องให้ตัวเองแล้วน่ะครับ! พ่อดีซพับหนังสือพิมพ์วางไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินมาลากแขนพ่อรินออกไป เสียงพ่อรินโวยวายดังแล้วเงียบเชียบลงเมื่อทั้งสองหายไปจากสายตาของผม ไม่ต้องตามไปผมก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องของผู้ใหญ่ผมไม่ขอยุ่งล่ะกันครับ กลับมาเรื่องของผมดีกว่า ผมนั่งใช้ไม้ตีน้ำในสระเล่นอีกครั้ง
“นี่กูชอบมันจริงๆ เหรอวะ? เฮ้อ~”
ผมถอนหายใจเฮือก จีบไอ้วินเซอร์เนี่ยน่ะ? คิดแล้วกูจะบ้าตายว่ะ! สเปกมันก็ไม่ใช่ผมเลยแล้วผมจะเอาอะไรไปสู้กับบรรดาสาวๆ สวยๆ หนุ่มๆ เอ๊าะๆ พวกนั้นล่ะ!? อย่างผมจะใช้วิธีไหนล่อมันให้มาติดกับดักไอ้แว่นจืดๆ ล่ะฟะ? ยิ่งคิดยิ่งเครียดดด!!!
“สงสัยจะต้องหาที่ปรึกษาดีๆ สักคนแล้ว หือ?”
ผมพึมพำกับตัวเองแล้วหันไปมองทางที่พ่อทั้งสองหายตัวไปด้วยกัน เฮ้ๆ! ตัวพ่อทั้งสองอยู่ตรงนี้แล้วทำไมผมจะต้องไปหาที่อื่นด้วยล่ะ อีกอย่างยังมีรุ่นพี่ที่บริษัทกลุ่มนั้นด้วยนี่หว่า!!! ผมค่อยๆ ยิ้มที่มุมปากของตัวเองนิดๆ ลงทุนขนมือโปรมายกทีมขนาดนี้มันจะหนีผมรอดเหรอ? หึๆ!
เสร็จโจรฮักล่ะมึง!!! TBC.มาต่อแล้ว เย้~!!!!!

ตั้งนานเลยเนอะ มัวแต่แต่งคู่กัดอยู่ ก็เลยไม่มีเวลาให้เรื่องนี้
แต่ก็จะพยายามแบ่งๆ กันไปล่ะเน้อ~! 
ฮอยฮักเขาไม่ได้บื้อเกินแก้แบบพรีสต์หรอกนะ ไม่ต้องห่วง
ถึงคราวฮอยฮักรุก(???)แล้ว ฮ่าๆๆๆ 
ปล. เห็นข่าวน้ำท่วมแล้วเป็นห่วงทางบ้านจังเลย ดีที่ไม่เป็นไร
ชาวเล้าที่ประสบภัยน้ำท่วมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะจ้ะ สู้ๆ! 
ปล.ขอลดชื่อเรื่องเอาแต่ภาษาไทยล่ะกัน เพราะมันยาวเกิ๊น ฮ่าๆ