ผมเดินไปตามทางเดินริมชายหาดของรีสอร์ทที่ทอดสายยาวสุดตา กลับมาจากเที่ยวรอบเกาะก็ได้เวลาเย็นๆ แสงแดดอ่อนลมพัดเย็นๆ ข้างหน้าของผมเป็นวินเซอร์ที่เดินไปอย่างช้าๆ นำหน้าไปก่อน อันที่จริงผมอยากจะเดินอยู่ข้างๆ มันเหมือนกันนะแต่ว่าผมรู้สึกเขินจนทำแบบนั้นไม่ได้ก็เลยหลบมาเดินข้างหลังมันแทน มองแผ่นหลังกว้างที่สวมเสื้อยืดธรรมดาๆ กับกางเกงเลสีขาวแต่ก็ยังดูเท่เหมือนเดิม
วินเซอร์หยุดเดินก้มเก็บอะไรบางอย่างบนพื้นขึ้นมาแล้วหันมาหาผมที่ยืนดูอยู่ข้างหลัง วินเซอร์เดินเข้ามาหาผมหยุดตรงหน้าจับผมด้านข้างทัดหูแล้วเสียบดอกลีลาวดีที่ก้มลงเก็บจากพื้น ต้นลีลาวดีที่มีอยู่ตามรายทางครับ ดอกสีขาวๆ หล่นเกลื่อนทราย วินเซอร์มองผมแล้วยิ้มเล็กน้อย
“เหมาะกว่าที่คิดไว้อีก”
“ทัดดอกไม้? ทำอย่างกับฉันเป็นผู้หญิงไปได้”ผมพึมพำกลบความเขินของตัวเอง
“ไม่พอใจก็ทิ้งไป”เจ้านั้นตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ทำเอาผมหน้างอ ก็รู้อยู่ว่าทิ้งไม่ได้ยังจะมาพูด
“เอาน่า ผู้ชายทัดก็สวย”
“งั้นนายก็ทัดไว้สิ”ผมจับดอกลีลาวดีที่หูรีบทัดใส่หูของวินเซอร์ทันที เจ้านั้นทำหน้าแปลกๆ
“ใครมาเห็นคงจะเข้าใจว่าเป็นคนบ้าแหงๆ”
“สวยออก”ผมพูดหน้านิ่งๆ ไป วินเซอร์เหล่มองผมแล้วถอนหายใจ อันที่จริงมันก็ดูแปลกๆ ผู้ชายตัวใหญ่ผมสีเงินทัดดอกลีลาวดี แอบหัวเราะมันในใจ วินเซอร์จับดอกลีลาวดีออกจากหูแล้วเอามาทัดใส่หูผมเหมือนเดิม
“แบบนี้ดีกว่า”
“ดีกว่าตรงไหน?”
“ก็สวยกว่า ถูกใจกว่าไง”ตอบแบบด้านๆ แล้วจับมือผมเดินออกไปไม่ให้ผมมีโอกาสเถียงกลับ เราเดินกันเงียบๆ ผมเหลือบมองมือที่ถูกจับไว้แล้วยิ้มออกมา ช่วงเวลาแบบนี้ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีเลย ยิ่งกับเจ้าหมอนี้แล้วด้วย รู้สึกสุขแบบสุดๆ วินเซอร์จูงมือผมเดินมานั่งบนเปลริมหาด ลมจากทะเลก็พัดมากระทบแผ่วๆ ต่างคนต่างไม่พูดอะไรท่ามกลางความเงียบสงบของทะเลผมรู้สึกสบายใจ บรรยากาศชวนนอนเอนตัวซบไหล่คนข้างๆ แล้วทอดสายตามองท้องทะเลว่างเปล่า
เฮ้อ เขาว่าเวลาคนมีความรักโลกทั้งใบก็จะเป็นสีชมพู แต่ผมว่านั้นไม่ใช่ผมแน่ โลกทั้งใบก็ยังเป็นเหมือนเดิมเพียงแต่ว่าผมมองมันดูสดใสและสวยขึ้นเท่านั้น แค่การนั่งมองทะเลสีครามเฉยๆ ก็ยังมีความสุขเลยครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้านั้นจะทำตัวดีๆ กับเขาเป็นด้วย ถึงจะปากแข็งพูดวกวนไปมาไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ ก็เถอะ แต่นั้นก็ทำให้ผมตัวลอยเบาเดินแต่ละก้าวเหมือนเหินได้แน่ะ
“ฮัก”
“หือ?”
“ฉันจะกลับไปอาบน้ำ นายจะอยู่ตรงนี้ต่อก็ได้นะ”วินเซอร์ดันตัวผมออกแล้วลุกขึ้นเดินกลับไป ผมมองวางเขาแล้วหันกลับมาถอนหายใจเบาๆ อะไรหว่ากำลังดื่มด่ำบรรยากาศหวานๆ ได้ที่แล้วเชียวดันลุกออกไปซะนี่ ผมนอนลงบนเปลแล้วไกวเบาๆ หยิบเจ้าดอกลีลาวดีที่ทัดหูไว้มาดู หมุนก้านมันไปมาแล้ววางไว้บนอกก่อนจะหลับตานอน
ระหว่างที่ผมหลับอยู่นั้นเหมือนจะยินเสียงขลุ่ยบรรเลงพลิ้วมาเข้าหู ค่อยๆ ลืมตาขึ้นนิ่งฟังเสียงขลุ่ยนั้น เสียงขลุ่ยที่พลิ้วไหวและอ่อนหวานทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ใครมาเป่าขลุ่ยที่ทะเลกันนะ? เสียงขลุ่ยก็ยังดำเนินบรรเลงเป็นเพลงหวานต่อเนื่อง ผมลุกขึ้นนั่ง เสียงขลุ่ยเหมือนจะอยู่ใกล้ๆ แถวนี้น่ะครับ หันมองไปรอบๆ ตัวแล้วตัดสินใจลุกขึ้นเดินตามเสียงขลุ่ยที่บรรเลงหวานละมุน ผมชอบเสียงดนตรีไทยมากโดยเฉพาะขลุ่ยไทย เคยถูกสัมภาษณ์เรื่องนี้เหมือนกันดูเหมือนไม่มีใครเชื่อเท่าไรว่าผมชอบอะไรพวกนี้ แต่ผมชอบจริงๆ นะครับ ผมเดินตามเสียงนั้นฟังเสียงขลุ่ยอย่างเพลินจนมาหยุดที่หน้าบ้านพักที่ผมพักอยู่
หือ? เสียงขลุ่ยมาจากบ้านพักของผม!!?ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ยิ่งฟังก็ยิ่งแน่ใจว่าต้นเสียงมาจากข้างในนั้น แล้วใครล่ะเป็นคนเป่า? คนที่อยู่ข้างในนั้นก็มีแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่อยากจะเชื่อ! หมอนั้นเนี่ยนะเป็นคนเป่าขลุ่ยเพลงหวานขนาดนี้ ผมเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ สามสี่ขั้นแล้วผลักประตูเข้าไป พอผมเดินเข้ามาข้างในเสียงนั้นก็เงียบหายไป
“ลูกพี่หาอะไรอยู่เหรอครับ?”อับดัลที่นั่งอยู่โต๊ะกินข้าวถามผมขึ้นเมื่อเห็นผมเดินเหลียวซ้ายขวาไปทั่ว ผมหันไปถามอับดัลทันที
“เห็นวินเซอร์ไหม?”
“นายท่าน? นายท่านออกไปทำธุระได้ครู่ใหญ่แล้วครับ”
วินเซอร์ออกไปทำธุระ? แล้วใครล่ะเป็นคนเป่าขลุ่ย? ผมเริ่มแปลกใจ อับดัลนั่งอยู่ตรงนี้? งั้นลองถามเขาดูดีกว่าเผื่ออีกฝ่ายจะรู้
“นายได้ยินเสียงขลุ่ยจากที่นี้ไหม?”
“เสียงขลุ่ย? ไม่นี่ครับ ผมนั่งตั้งนานแล้วไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”อับดัลตอบผมด้วยใบหน้ายิ้มๆ ยิ่งทำให้ผมงงมากขึ้น ไม่ได้ยิน!? เป็นไปได้ยังไง ขนาดผมไปนั่งเปลอยู่ข้างนอกยังได้ยินเลย!! ผมมองอับดัลอย่างแปลกใจ เจ้าหมอนี้คงไม่ได้โกหกผมหรอกนะ ผมเดินขึ้นไปข้างบนเพื่อค้นหาตัวคนเป่า บางทีอับดัลคงจะโกหกผมไปเพื่อช่วยนายท่านจากข้อหานี้แน่ๆ! ผมเปิดห้องนอนเข้าไปก็ไม่เห็นเงาของใครอยู่เลยสักคน
มันเป็นไปได้ยังไงกัน!!?
ผมได้ยินเสียงขลุ่ยจริงๆ นะ!!“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”อับดัลเดินตามผมเข้ามาในห้องแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ผมส่ายหน้าโบกมือปฏิเสธไป ให้ตายสิ อย่าบอกนะว่าผมหลอนเสียงขลุ่ย!!? อันที่จริงใครมันจะบ้ามาเป่าขลุ่ยกันที่ทะเลวะ สงสัยผมจะหูแว่วไปเองล่ะมั้ง นึกว่าไอ้วินเซอร์มันจะเป่าขลุ่ยซะอีก แต่ว่าอย่างมันเนี่ยนะเป่าขลุ่ย? เออ ผมก็ช่างคิดเนอะ มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว!!
“ว่าแต่เบคโก้ไม่อยู่เหรอ?”ผมหันไปถามอับดัล ปกติจะอยู่เป็นคู่ดูโอกันตลอดนี่น่าแล้วไหงถึงโผล่มาสนองหน้าอยู่คนเดียวแบบนี้
“ไอ้เบคมันตามนายท่านไปทำธุระครับ”
“แล้วนี่วินเซอร์จะทำธุระเสร็จตอนไหนเหรอ?”
“ไม่ทราบครับ นายท่านสั่งไว้ให้ลูกพี่ทานข้าวก่อนเลยครับ”
“งั้นเหรอ?”
“ครับ เดี๋ยวสักประมาณทุ่มครึ่งผมจะพาลูกพี่ไปทานข้าวนะครับ ระหว่างนี้ลูกพี่ก็อาบน้ำพักผ่อนได้เต็มที่ ผมขอตัวก่อน”อับดัลพยักหน้ารับแล้วบอกผมก่อนจะก้มศีรษะเดินลงไปข้างล่าง ผมมองตามเขาไปแล้วเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง ให้ตายเถอะ เมื่อกี้ผมหูแว่วไปจริงๆ งั้นเหรอ!? ไม่อยากจะเชื่อ! ผมว่าผมได้ยินจริงๆ นะ หูแว่วอะไรจะได้ยินนานขนาดนั้นกัน มันต้องมีอะไรแน่ๆ
ผมพลิกตัวนอนแผ่อยู่บนเตียง วินเซอร์ไปทำธุระ? ไปทำธุระอะไรกัน? แล้วหมอนั้นจะกลับมาตอนไหนวะ ผมกินข้าวแล้วต้องรอมันไหม? หรือผมจะนอนก่อนดี? ผมใช้ความคิดอยู่นานก็ยังตัดสินใจไม่ได้ อาบน้ำก่อนดีกว่าแล้วค่อยคิดใหม่ว่าจะทำยังไง ผมลุกขึ้นเพื่อจะอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย
เมื่อถึงเวลาอับดัลก็พาผมไปร้านอาหารจึงอยู่ใกล้ๆ รีสอร์ทที่พัก เป็นบ้านเรือนไทยสวยเชียวครับ พอเดินมาถึงชานบันไดเรือนไทยก็ได้ยินเสียงบรรเลงดนตรี และตรงเชิงบันไดทางขึ้นก็มีสาวสวยในชุดไทยประยุกต์ยืนยิ้มต้อนรับแขก พวกเธอยกมือไหว้กันอย่างสวยงาม ผมมองเธอสองคนอย่างละเอียด มันสวยจริงๆ นะครับ นี่แหละเสน่ห์อย่างไทย ทั้งคน ชุดและกริยาท่าทาง นี่ท่าไม่ติดว่ามีคนที่รักอยู่แล้วสองคนนี้เสร็จผมน่ะเนี่ย
“เชิญข้างบนเลยค่ะ”
ผมพยักหน้ารับแล้วฉีกยิ้มตอบกลับทำเอาสองสาวนั้นมองตามผมเคลิ้ม อ๊ะ ไม่สิๆ ถึงจะชอบแต่ผมก็ไม่ควรไปหว่านเสน่ห์ใส่คนอื่น ขอโทษนะวินเซอร์แอบนอกใจนายไปแวบหนึ่ง! ผมเดินขึ้นบันไดมาถึงชานบ้านที่เป็นลานกว้าง ผมยืนอึ้งอยู่กับที่ มองไปรอบๆ ชานนั้นอย่างตะลึงในความงามอันประณีต
ชานเรือนไทยที่ตกแต่งแบบไทยคลาสสิค แสงสว่างสีส้มนวลจากโคมไฟกะลามะพร้าวที่แกะสลักเป็นลายไทยชดช้อย ดอกไม้สดที่แต่งตกเป็นพุ่มไม้เสริมความงามมากขึ้น วงดนตรีบรรเลงดนตรีไทยที่ไพเราะเสนาะหู พนักงานทุกคนใส่ชุดไทยที่งดงามกลมกลืนกับบรรยากาศ สาวในชุดไทยเดินเข้ามาหาผมแล้วถามน้ำเสียงสุภาพ
“ไม่ทราบว่ามากี่ท่านคะ?”
“สองครับ”ผมหันไปตอบเธอ
“โต๊ะวีไอพีที่จองไว้ครับ”อับดัลเอ่ยบอกเธอ พนักงานสาวก็ทำหน้านึกได้แล้วแย้มยิ้มหวานละมุนมาให้ คนนี้ก็สวยเหมือนกันแฮะ จะว่าไปแล้วสังเกตดูดีๆ พนักงานทุกคนหน้าตาเหมือนผ่านการคัดสรรมาอย่างดี พนักงานสาวสวยในชุดไทยก็พาเดินมาที่โต๊ะวีไอพี
“เชิญนั่งคะ”
ผมกับอับดัลนั่งลงบนเบาะนั่ง ที่ร้านนี้โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะเตี้ยๆ แล้วให้นั่งพื้นครับ ให้บรรยากาศไทยมาก โต๊ะไม้อย่างดีมันวับ ผมมองไปรอบๆ รู้สึกว่าโต๊ะวีไอพีมันจะเด่นมากเลยแฮะ โต๊ะวีไอพีอยู่บนพื้นที่ยกขึ้นตรงกลางแถมยังอยู่บริเวณที่ใกล้วงดนตรีอีกแน่ะ ทำเลยอดเยี่ยมสมเป็นวีไอพี! ส่วนโต๊ะธรรมดาก็จะอยู่รอบๆ พื้นที่ยกขึ้นสูงครับ วีไอพีให้อารมณ์ดุจเป็นเจ้านายของบ้านเลยแหละครับ ที่โต๊ะวีไอพีนี้มีอยู่สามโต๊ะด้วยกันครับ พอผมมานั่งโต๊ะวีไอพีก็หมดพอดีแถมโต๊ะที่ผมนั่งยังอยู่ตรงกลางอีกแน่ะ ใครจองไว้เนี่ย จองได้ดีมาก!!!
“นี่รายการอาหารคะ”พนักคนเดิมส่งเมนูอาหารให้ผมกับอับดัล เจ้าอัลดัลขมวดคิ้วมุ่นแล้วให้ผมเป็นคนสั่งครับ หมอนั้นอ่านไทยไม่ออกล่ะมั้ง ผมดูเมนูแล้วร้องอ้อในใจ ตัวอักษรไทยที่ตวัดหางอย่างสวยงามแต่อาจจะทำให้คนต่างชาติอย่างอับดัลอ่านไม่ออก ผมเปิดอ่านรายการอาหารอยู่สักพักก็สั่งที่อยากกิน
อืม อะไรเนี่ย? ข้าวผัดชมพูพาน? ข้าวอบผอบทิพย์? สกุณาชมสวน? เอ่อ...ภาพตัวอย่างอาหารมันชวนให้น้ำลายไหลจริงๆ สวยมากครับ น่ากินทุกอย่างเลย ผมก็เลือกที่อยากจะลองกินมาสามสี่อย่างเผื่ออับดัลด้วยคน พนักงานสาวสวยยิ้มรับแล้วขอตัวออกไป พนักงานสาวคนใหม่ในชุดไทยสวยเดินเข่าเข้ามาวางขันน้ำขนาดใหญ่แล้วบรรจงตักน้ำใส่ขันเล็กๆ วางให้ผมกับอับดัล น้ำลอยมะลิด้วยครับ! หอมกลิ่นมะลิ ว้าว~ ร้านนี้แบบว่าโดนใจผมสุดๆ!!
น่าเสียดายจังที่วินเซอร์ไม่ได้มาด้วย เฮ้อระหว่างนั่งรออาหาร บรรยากาศในเรื่องที่มีเสียงดนตรีไทยบรรเลงคลอกับเสียงคุยเบาๆ มีมารยาทโดยไม่รบกวนเสียงเพราะๆ ของดนตรี ทำให้ร้านนี้แตกต่างจากร้านอื่นๆ ที่มักจะมีเสียงพูดคุยกันเสียงดัง ผมเงยหน้ามองดวงจันทร์เพ็ญดวงใหญ่ วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงซะด้วยยิ่งได้บรรยากาศเข้าไปใหญ่
แสงจากโคมไฟกะลามะพร้าวส่องสว่างนวลตาเข้ากับแสงจันทร์บนฟ้าทำให้บรรยากาศโรแมนติกแบบไทยๆ ผมเหลือบมองบรรดาแขกที่มาเป็นคู่ๆ นั่งดื่มด่ำบรรยากาศนี้แล้วสบตากันหวานเชียว ทำให้ผมคิดถึงวินเซอร์ขึ้นมา นี่ถ้ามาด้วยกันก็คงจะดีกว่านี้ ผมหันไปสนใจการแสดงรำตรงหน้า ดูเหมือนจะเป็นรำมาลัยนะครับ ทำไมผมรู้น่ะเหรอ? ก็นางรำเขาถือมาลัยไว้ในมือนี่ครับ! พอการแสดงนี้จบเรียกเสียงตบมือจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี
จบจากรำมาลัยก็ต่อด้วยการแสดงชุดอื่นๆ ผมนั่งดูแล้วก็ตบมืออย่างพึงพอใจ วันนี้มาเสพของไทยๆ เต็มที่เลยแฮะ พอการแสดงรำจบอาหารที่ผมสั่งก็ทยอยมาวางบนโต๊ะ ผมมองอาหารบนจานแล้วอ้าปากเหวอ แบบนี้ใครหน้าไหนมันจะกล้ากินลงไปฟ่ะ!!? ไม่ใช่ว่ามันขี้เหร่จนไม่กล้ากินนะครับ ตรงกันข้าม! มันถูกจัดตกแต่งสวยจนผมกินไม่ลงเลยน่ะสิ!! จานข้าววางตรงหน้า กลิ่นข้าวผสมกะทิหอมฟุ้งยั่วน้ำลายสุดฤทธิ์
ผมกับอับดัลก็ลงมือทานกันอย่างเงียบๆ อร่อยมาก! ไม่ใช่แค่หน้าตาที่สวยแม้กระทั่งรสชาติก็ดีเยี่ยม ร้านนี้ต้องแพงมากแน่ๆ ผมพกเงินมาเท่าไรหว่า หวังว่าร้านนี้จะใช้บัตรเครดิตจ่ายได้นะถ้าเงินสดไม่พอ ข้าวหอมและนุ่มมากครับ ทุกๆ อย่างลงตัวไปหมด จำชื่อร้านไว้หน่อยดีกว่าเดี๋ยวจะได้แนะนำพ่อมาลองทานด้วยกัน ระหว่างที่ผมกินข้าวก็มีนักร้องหญิงมาร้องเพลงขับกล่อมด้วยเพลงไทยเก่าๆ นักร้องสวยแล้วยังเสียงหวานไพเราะมากทำให้ผมเจริญอาหาร กินเข้าไปมากแทบไม่ได้สังเกตว่าข้าวหมดจานไปแล้ว
อับดัลจ้องนักร้องตาวาวเชียวครับ โธ่ๆ สงสัยเจ้าหนุ่มนี้ตกหลุมความสวยและมนต์เสน่ห์แห่งเสียงนั้นไปแล้วแน่ๆ พนักงานมาเก็บจานและซากอารยธรรมที่ผมกับอับดัลทิ้งไว้ทำความสะอาดโต๊ะอย่างว่องไวแล้วยกขนมไทยและผลไม้ที่สลักแกะจัดเรียงบนถาดใบตองกล้วย สุดยอดดด!!! นี่ผมอุทานคำนี้ไปกี่ครั้งแล้วเนี่ย ร้านนี้มันสุดยอดจริงๆ แฮะ
อ๊ะ เพลงนี้ผมรู้จักพ่อดีซเปิดฟังบ่อย ผมใช้ไม้จิ้มขนมและผลไม้กินเพลินแล้วขยับปากร้องคลอเบาๆ รักที่แสนหวาน รักที่แสนหวาน รักฉันนั้นเพื่อเธอ~ ผมโยกตัวเข้าจังหวะ เมื่อจบเพลงเสียงตบมือก็ดังขึ้นพร้อมกับนักร้องหญิงโค้งตัวเดินออกไป อับดัลหันมายิ้มให้กับผม
“ผมขอตัวก่อนนะครับ คือแบบว่า...หึๆ ลูกพี่คงจะเข้าใจนะครับ”เจ้าตัวหยุดพูดแล้วหัวเราะออกมา ผมพยักหน้าปล่อยให้อับดัลไปตามล่านักร้องคนสวย ผมหันมาจิ้มชมพูเข้าปากแล้วถอนหายใจอย่างเซ็งๆ นี่ถ้าวินเซอร์มาด้วยก็คงจะดีกว่านี้ อยากให้หมอนั้นมาด้วยจังร้านนี้น่ะอาหารก็อร่อย บรรยากาศก็ดี ดนตรีก็เพราะ
ต่อรีล่าง 