ตอนที่ 26<< HoiHug’s Mode >>“ตอนนี้เลิฟมีโสดหรือว่ามีหวานใจคะ?”
“...”
ผมเงียบไปสักพัก ในหัวประมวลคำถามอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกที่ถูกถามเรื่องนี้แฮะ กูจะตอบไปยังไงล่ะเนี่ย ก็คงจะโสดล่ะมั้ง?...โสดสินะ ก็ผมกับไอ้วินเซอร์ยังไม่ได้เป็นแฟนกันนี่น่า ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็...ทั้งผมกับมันก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ไม่มีใครฝ่ายไหนเอ่ยคบกันหรือพูดว่าเป็นแฟนกัน นั้นสินะ ทำไมผมถึงได้มาคิดได้ตอนนี้กันนะที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ตอนนี้ผมก็มีความสุขดี
“นั้นแน่! หรือว่าเลิฟมีมีคนที่ชอบแล้วงั้นเหรอคะ คนในวงการหรือเปล่า!?”
พิธีกรสาวสวยและขึ้นชื่อเรื่องสัมภาษณ์ที่เข้มข้นรีบเอ่ยขึ้นจับผิดผมทันที อ่า คนที่ชอบน่ะเหรอ? มีสิ! มันอยู่ในวงการหรือเปล่าก็ไม่รู้สินะ ผมคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบที่เป็นความจริงไป
“...อ่า ตอนนี้ผมโสด”
“อะไรกันๆ ตอบไม่มั่นใจเหมือนตอนแรกเลยนะคะ หรือว่าจะมีคนที่ชอบจริงๆ!”
“แน่นอนว่าผมมีคนที่ชอบ”
“กรี๊ดดด! จริงๆ ด้วย แล้วคนที่คุณชอบอยู่ในวงการหรือเปล่าคะ?”
พอเข้าเรื่องนี้เสียงซุบซิบในสตูดิโอที่ถ่ายรายการยิ่งดังมากกว่าเดิม ตอนนี้ผมกำลังถ่ายรายการ ‘อัศวินโต๊ะกลม’ ซึ่งเป็นรายการวาไรตี้แบบทอร์คโชว์ที่เชิญแขกรับเชิญมานั่งรอบโต๊ะแล้วสัมภาษณ์ แขกรับเชิญคนอื่นๆ หันมาสนใจผมกันใหญ่ เฮ้อ จริงๆ เลยน่า เมื่อไม่กี่วันมานี่ผมก็ถูกประธานทิมเรียกตัวไปเตือนเรื่องนี้ซะด้วยสิ ด่าผมซะยับเรื่องที่ผมไปอ้ำอึ้งตอบไม่คิด
“หรือว่าในข่าวที่บอกว่าเลิฟมีพบรักแล้วจริงเหรอเนี่ย!?”
“ข่าวหน้าหนึ่งแน่! เลิฟมีมีแฟนแล้ว!!”
พวกดาราเอ่ยกันตื่นเต้นกับเรื่องของผม ส่วนผมก็นิ่งมองสถานการณ์ที่เริ่มวุ่นวายอย่างปวดหัว เรื่องของเขาทำไมทุกคนถึงได้ให้ความสนใจขนาดนี้กันนะ
“คุณไดผมยังไม่มีแฟนนะครับ”
“อ่า~ นายไม่ต้องแก้ตัวเมื่อกี้น่ะหลุดออกมาแล้ว! ฮ่าๆๆๆ”
“ผมยังไม่มีครับ”
ผมมองอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไดดารานายแบบที่เข้าวงการก่อนผมเล็กน้อยหยุดหัวเราะแล้วจ้องมาที่ผมเหมือนกันก่อนจะยิ้มแย้ม
“ล้อเล่นน่า! อย่าจริงจังสิ”
ผมรู้ว่าในใจของเขาไม่ได้ยิ้มแบบที่ยิ้มอยู่นี่หรอก เขาน่ะไม่ชอบผม! ผมรู้ดี
“ผมอยากรู้ว่าคนที่เลิฟมีชอบเป็นยังไง?”
“อ่า ใช่ๆ! พี่เลิฟมีสเปกยังไง!?”
คนแรกที่เอ่ยมาก่อนเป็นพี่นัทครับทำให้เรดที่อยู่ข้างๆ รีบสนับสนุนคำถามนี้ทันที พิธีกรก็ยิ้มพยักหน้าหันมาหาผมอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ผมไม่มีสเปก ผมเป็นประเภทที่เจอกันเรื่อยๆ แล้วค่อยสะดุดมากกว่า”
“เหมือนกับผมเลยนะ แบบที่เจอเรื่อยๆ แล้วค่อยสนใจ อ่า! คนๆ นี้น่าสนใจจังเลย! ผมก็เป็นแบบเลิฟมีเลย”
“แล้วสเปกของคุณยุ้ยล่ะครับ?”
ผมเงียบเมื่อประเด็นคำถามหันไปที่คนอื่น ทุกคนนั่งคุยกันเหมือนไม่ใช่กำลังถ่ายรายการอยู่นี่เป็นจุดเด่นของรายการนี้ล่ะนะ ใช้เวลานานพอสมควรถึงถ่ายทำเสร็จ พิธีกรบอกลาและปิดรายการ พวกผมถึงโล่งเมื่องานเสร็จสิ้นไปอีกอย่าง ผมนั่งอยู่ที่เดิมนิ่งในขณะที่คนอื่นๆ เริ่มลุกขึ้น
“ขอบคุณครับ! ขอบคุณที่เหนื่อยกันขนาดนี้นะครับ!”
“พยายามได้ดีมากเลิฟมี”
“ขอบคุณครับ”
“เลิฟมี~ ได้ไปเดตกับคนๆ นั้นหรือยัง?”
ผมกำลังเดินออกไปก็เจอกับไดเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้ายียวน ผมมองเขาด้วยหางตาแล้วเดินออกไปไม่ใส่ใจจะตอบแต่หมอนั้นก็ยังตื้อไม่เลิก เดินตามหลังผมมาแล้วเอ่ยน้ำเสียงหาเรื่อง
“ว่าแต่นายไปชอบใครเข้าเหรอ?”
“...”
“เอาน่า ฉันก็แค่อยากจะช่วยเท่านั้นแหละ”
“...ขอบคุณแต่ไม่ต้องหรอกครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกคนกันเอง ว้าว~! น่าตื่นเต้นนะ ถ้านายมีแฟนจริงๆ มันจะเป็นยังไง?”
“คงไม่เป็นยังไงหรอกครับ ขอตัว”
“ระวังไปทำใครท้องล่ะ”
คงไม่มีวันนั้นหรอก!
ผมก้มศีรษะรับแล้วถอนหายใจเมื่อหันหลังเดินตามพี่บอสออกมา เจ้าบ้านี่จะตามเซ้าซี้เพราะแค่อยากจะเห็นผมคะแนนนิยมตกน่ะสิ เหอะ! วงการบันเทิงเนี่ยหาเพื่อนต่างบริษัทไม่ค่อนได้เล๊ยเพราะมัวแต่อิจฉาริษยากันแบบนี้นะซี ช่วงปิดเทอมแบบนี้ผมอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วเพราะต้องไปทำงานนู้นนี้เยอะแยะไปหมดแล้วประธานทิมก็เล่นยัดงานให้ผมแบบหนักหน่วงเหมือนเดิมทำให้ผมกระดิกตัวไปหาไอ้วินเซอร์ไม่ได้เลยแล้วยังมาทำงานกับคนพวกนี้อีก ปวดหัววะ
“นี่บท ลองอ่านดูว่าจะรับไหม?”
“ครับ”
เมื่อขึ้นรถมาผมก็รับบทจากพี่บอสมาอ่านดู อืม นี่เป็นซีรี่ย์ค่อนข้างวัยรุ่นสักหน่อยครับเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยดนตรีซึ่งจะมีกลุ่มอัจฉริยะสี่คนรวมตัวเป็นแบรนด์ ซึ่งบทในมือของผมเป็นบทคุณชายศรุตซึ่งมีหน้าที่เล่นกีต้าร์และเป็นหัวหน้าวง คาเร็กเตอร์รวมๆ ก็เป็นคนสุภาพ พูดน้อย อบอุ่นก็ไม่ยากเท่าไรหรอกมั้งแถมเนื้อเรื่องก็น่าสนใจดีด้วย ผมตกลงรับงานนี้ไปโดยไม่ต้องคิดมากมาย อีกเดี๋ยวก็ถ่ายทำหนังนัมเบอร์เสร็จแล้ว
พี่บอสมาส่งผมที่บ้านของพี่ยิ้มเหมือนเดิมผมเดินเข้าไปในบ้านที่ดูเงียบผิดปกติแต่ไฟในบ้านก็ยังมีอยู่น่ะครับแถมตอนนี้ก็เพิ่งสามทุ่มเท่านั้นเอง พอเดินเข้าไปก็เห็นพี่เป๊บซี่และเจ้าหนูโคล่าที่ยังดูการ์ตูนทอมแอนด์เจอรี่แต่ยังมีอีกคนที่ไม่สมควรจะเสนอหน้าอยู่ที่นี้ ใครน่ะเหรอ?
ก็ไอ้พรีสต์น่ะสิ!
“ฮักกก~! กลับมาแล้วเหรอ~!?”
ไอ้พรีสต์หันมาเห็นผมเป็นคนแรกมันก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้ามากระโดดโหมตัวเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ผมทำหน้านิ่งใส่มันแล้วผลักมันออกไปอย่างไม่สนใจใยดีเดินไปหาพี่เป๊บซี่และหลานน้อยโคล่า ผมลืมไปได้ยังไงช่วงนี้มันปิดเทอมนี่น่า ไอ้พรีสต์มันก็ต้องกลับมาอยู่ที่บ้านอยู่แล้ว เฮ้อ ผมนั่งลงบนโซฟาแล้วก้มตัวแล้วอุ้มหลานตัวน้อยนั่งตัก
“แล้วพี่ยิ้มล่ะครับ?”
“อ้อ ยิ้มออกไปทำธุระน่ะจ้ะ”พี่เป๊บซี่ตอบ
“ฮักกก! ผลักกูทำไมฟะ!?”
“อ้าว มึงอยู่ด้วยเหรอวะ?”
“โห!! โคตรทำร้ายจิตใจเลยว่ะ!”
ไอ้พรีสต์ลุกขึ้นแล้วชี้หน้าประท้วงผม อะไรของมึง? ถ้าไม่พอใจก็กลับบ้านไป นู้น~! ประตูอยู่นู้นโว้ย ผมไม่สนใจไอ้พรีสต์ที่ทำสะดิ้งหน้าง้ออยู่ข้างๆ แล้วหันไปคุยกับพี่เป๊บซี่แทน ว่าแต่พี่ยิ้มไปทำธุระอะไรวะปกติช่วงนี้จะไม่ค่อยออกจากบ้านเพราะจะคอยอยู่เล่นเป็นเพื่อนลูกชายคนเดียวจนกว่าจะนอนนี่หว่า แปลกจริง
“แล้วนี่ฮักมาหายิ้มเหรอจ๊ะ?”
“อ้อ ครับ แวะมาเยี่ยมน่ะครับอีกเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว”
“ทำไมอ่า! มึงค้างที่นี้เถอะกูอุตส่าห์ได้เจอมึงทั้งที!!”ไอ้พรีสต์เริ่มโวยวายอีกครั้ง
“พรุ่งนี้กูต้องขึ้นเครื่องแต่เช้าว่ะ โทษทีค้างไม่ได้หรอก”
“โด่~”
มันทำหน้าง้อแล้วส่งเสียงขึ้นจมูก ผมอดหมั่นไส้มันไม่ได้จึงยื่นมือไปบีบจมูกมันแรงๆ ทีหนึ่ง ไอ้บ้านั้นก็รีบปัดมือของผมออกทำเป็นหายใจไม่ออกท่าทางโอเว่อร์มากอะครับ มึงเนี่ยเว่อร์ตลอดเลยเหอะ ไอ้พรีสต์ยังตัดพ้อต่อว่าเรื่องที่ผมไม่ค่อยมีเวลาให้มันทั้งๆ ที่ปิดเทอมอยู่แท้ๆ
“กูว่างอะ ไม่มีอะไรทำ อยากได้มึงมาช่วยฆ่าเวลา”
ช่วยฆ่ามึงน่ะได้อยู่!
“มึงลองหาแฟนมาช่วยฆ่าเวลาสิว่ะ”
“กูหาใครก็ไม่ดีเท่ามึงอะฮัก”
“...งั้นกูจะหาให้มึงล่ะกัน”
ผมชะงักตัวไปเล็กน้อยเกือบจะใช้โคล่าฟาดปากไอ้คนพูดอยู่แล้วเชียว อะไรของมึงวะ มาพูดเสี่ยวๆ แบบนี้ ไปแดกอะไรผิดปกติมาหรือไง!?
“เฮ้อ งั้นขอสวยๆ ขาวๆ หุ่นสะบึม อกตู้มสะโพกดินระเบิดระโว้ย”พูดไม่พอมันยังทำไม้ทำมือประกอบว่าต้องตู้มยังไงแถมยังทำหน้าหื่นอีกต่างหาก ไอ้นี่นิมีเด็กอยู่อย่าพูดอะไรไม่ดีเข้าหูเด็กได้ไหม
“ถ้ากูหาได้แบบนั้นคงไม่ให้มึงหรอก”
เสียดายทรัพยากรผู้หญิงว่ะ!
ผมกับไอ้พรีสต์คุยกันต่อไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งสี่ทุ่มพี่สาวของไอ้พรีสต์ก็มาตามกลับบ้านของมันไป พี่เป๊บซี่เอาโคล่าไปนอนบนห้องส่วนผมก็เดินมาส่งไอ้พรีสต์ที่บ้านมันเกือบถูกพี่เซนต์กับไอ้พรีสต์ลากไปค้างที่บ้านมันแล้ว เฮ้อ ถึงไอ้พรีสต์มันจะไม่ชอบหน้าพี่เซนต์แต่ผมว่ามันกับพี่สาวมันน่ะโคตรเหมือนกันเลยแหละ ผมเดินกลับมาที่บ้านเห็นพี่ยิ้มกลับมาพอดี ผมเดินเข้าบ้านเห็นพี่ยิ้มลงมาจากรถ ผมกำลังทักแต่หยุดเอาไว้ได้ก่อนเพราะบรรยากาศรอบตัวพี่ยิ้มดูหนักๆ จนผมลำบากใจจะทัก เกิดอะไรขึ้น?
“อ้าว ฮัก? มานานหรือยัง?”
พี่ยิ้มหันมาเห็นผมแล้วฉีกยิ้มเอ่ยทักขึ้นบรรยากาศหนักๆ เมื่อกี้ก็หายวับไปทันที ผมเดินเข้าไปหาพี่แล้วตอบ เมื่อกี้คงจะไม่มีอะไรล่ะมั้งผมคงคิดไปเอง
“มานานแล้วล่ะครับ นี่ว่าจะกลับแล้ว”
“อะไรกัน ทำไมไม่ค้างล่ะ? พี่เพิ่งเสร็จธุระเอง โทษทีนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ที่ผมไม่ค้างเพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศน่ะครับ”
“อ้อ มาๆ เข้าบ้าน มีอะไรหรือเปล่าถึงได้มาหาพี่น่ะ”
พี่ยิ้มกวักมือเรียกผมแล้วฟาดแขนไว้บนไหล่ของผมดันให้เดินไปข้างๆ ผมส่ายหน้า
“เปล่า แค่แวะมาหาเฉยๆ”
“โห อะไรกัน นึกว่าคิดถึงพี่ซะอีก”
พี่ยิ้มหัวเราะอย่างเป็นปกติไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด อืม สงสัยผมจะคิดไปเองจริงๆ แฮะ นึกว่ามีปัญหาอะไรหนักใจซะอีกเห็นแบบนี้ผมก็เป็นห่วงพี่ชายคนเดียวอยู่แล้วล่ะครับ ผมคุยกับพี่ยิ้มไม่ถึงสามสิบนาทีก็ลากลับเพราะต้องตื่นแต่เช้า ก่อนจะกลับพี่ยิ้มก็เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด
“กลับดีๆ ล่ะ”
“ครับ”
“เลิฟ! ให้เวลาเดินเล่นสักสองชั่วโมงเดี๋ยวพี่มารับนะ”
“คร้าบ”
พี่บอสโบกมือให้กับผมแล้วขึ้นรถไปกับพวกทีมงานส่วนผมขอตัวเที่ยวพักผ่อนหลังจากทำงานหนักมาเป็นอาทิตย์ ทั้งอาทิตย์ผมต้องเดินสายทำงานตัวเป็นเกรียว พอได้มาเมืองนอกประธานทิมก็เล่นรับงานแหลกไม่สนใจสวัสดิภาพของนายแบบอย่างผมเลยสักนิด คิดดูสิครับต้องบินวันละสองสามเที่ยว ปวดตับเป็นบ้า! จากปารีสไปลอนดอนแล้วยังต้องไปเบอร์ลินต่ออีก โคตรจะอึดอะผม วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปต่างประเทศแล้วล่ะครับ เป็นการถ่ายแบบง่ายๆ ที่เมืองเวียนนาประเทศออสเตรีย
ที่นี้ร้อนนะครับแต่มันร้อนต่างจากเมืองไทยเป็นคนละแบบกันน่ะครับ ผมเดินตามถนนมองวิวทิวทัศน์ของเมืองเวียนนา เมืองของเขาน่าอยู่มากเลยล่ะครับ ความสะอาดไม่ต้องพูดถึงสุดยอดมากเลยแหละ จุดมุ่งหมายของผมคือพิพิธภัณฑ์ศิลปะแค่ภายนอกที่เหมือนปราสาทก็น่าสนใจแล้วล่ะครับ จ่ายค่าเข้าชมแล้วเริ่มเดินทัวร์ไปรอบๆ ถ่ายรูปแชะไปหลายรูป เดินตามใจเพราะยังไงผมก็ไม่รีบเร่งอะไรอยู่แล้ว กว้างใหญ่ขนาดนี้สองชั่วโมงจะเดินทั่วหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลยครับ
ว้าว~
ข้างนอกว่าดูดีแล้วนะเทียบกับข้างในไม่ติดเลยครับ เข้ามาทำเอาผมต้องอ้าปากด้วยความทึ่ง เหมือนทุกอย่างเป็นสีทองนวล บันไดหินอ่อนที่มีแยกไปหลายทางจนเลือกไม่ถูกว่าจะไปทางไหนก่อนดี ผมเลือกเดินขึ้นบันไดที่มีรูปปั้นหินผู้ชายใส่หมวกทำท่ากำลังฆ่าเซนเทอร์คนครึ่งม้า สองข้างเชิงบันไดมีสิงโตหินสลักสุดยอดแห่งความน่าเกรงขาม
ทั้งผนังทั้งเสาสลักไว้อย่างอลังสุดๆ สมัยนี้ถ้าจะสร้างแบบนี้บ้างมันต้องใช้เงินทองสักเท่าไรกันวะ ผมเดินดูภาพวาด สังเกตเห็นว่าส่วนใหญ่ภาพจะเป็นสาวเปลือยทั้งนั้นเลยวะ! ผมเดินมองนู้นมองนี้ในตู้ตั้งโชว์ก็มีของสำคัญๆ โบราณบ้าง เดินจนปวดน่องแล้วก็ยังไม่ถึงครึ่งครับ ผมนั่งเอนตัวนอนมองรูปภาพไปพลางๆ พอหายปวดก็ลุกขึ้นเดินชมใหม่
ผมเดินลอดประตูซุ้มหยุดดูภาพข้างๆ ประตูมันเป็นภาพบนผนังห้องครับ แถมเป็นรูปของอียิปต์โบราณขนาดอียิปต์ก็ไม่พ้นจะเป็นรูปสาวเปลือยอีกแล้ววะ แต่ถ้าว่ากันตามตรงผมว่ารูปนี้หุ่นดีกว่ารูปที่ผ่านๆ ที่นะครับ เฮ้อ ศิลปะสินะ เดินเข้ามาเป็นโซนของอียิปต์หรือไงก็ไม่รู้สิครับเพราะมีตั้งแต่หินอักษรอะไรก็ไม่รู้ ภาพบนผนังก็เป็นภาพแบบอียิปต์โบราณ แถมยังมีโลงศพฟาโรห์อีก
ผมเดินออกมาจากโซนอียิปต์โบราณเดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ ก็เจอห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีรูปวาดมากมายติดตามผนังห้องต่างขนาดกันไป ผมมองซาบซึ้งอารมณ์ในแต่ละรูปแล้วมาหยุดที่รูปขนาดใหญ่อยู่สูงเป็นภาพพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนครับ ผมเงยหน้ามองดูแป๊บหนึ่งแล้วเหลือบสายตามองไปที่ผู้ชายที่ยืนเงยหน้ามองภาพพระเยซูอยู่นานสองนาน ผมสังเกตเห็นตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้แล้วนะครับเห็นเขาแหงนหน้ามองภาพนี้อยู่นานแล้วจนผมสนใจว่าเขามองภาพอะไรอยู่ ภาพพระเยซูมันซาบซึ้งขนาดมองด้วยสายตาเศร้าสร้อยขนาดนั้นเลยเหรอ?
ไม่นานเขาก็ก้มหน้าลงยกมือที่กุมอยู่ขึ้นแนบอกเหมือนภาวนาอะไรบางอย่างก่อนจะเดินผละออกไป แถมยังทำของตกอีกแน่ะผมมองตามเขาไปแล้วมองกระดาษที่เขาทำตกเอาไว้ก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาดู นี่มันกระดาษเขียนโน้ตเพลงนี่น่าแถมยังเขียนเนื้อเพลงเป็นภาษาไทยด้วย คนไทยเหรอ!? ผมตัดสินใจเดินตามหลังผู้ชายคนนั้นไปติดๆ และพยายามส่งเสียงเรียกเบาๆ เพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่นๆ
“คุณครับ คุณครับ คุณทำของตก”
แน่ะ ยังเดินต่อเฉยเลย ผมก็พยายามเรียกต่อ
“คุณครับ คุณทำโน้ตเพลงตก”
“คุณครับ คุณครับ!”
“ครับ!?”
ในที่สุดเขาก็หันมาแบบตกใจนิดๆ กับเสียงที่ค่อนข้างดังของผม ก็แหงล่ะ เหลืออดฟะ เรียกตั้งนานไม่หันมาสักที พอหันกลับมาแล้วทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก เอ่อ...มารยาทน่ะมีไหม? ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วยื่นโน้ตเพลงคืนให้ เขากะพริบตาปริบๆ ขยับแว่นขึ้นแล้วยื่นมือมารับโน้ตคืนจากผม
“พระเยซู...จริงๆ เหรอเนี่ย?”
เอ่อ...ผมไม่ใช่พระเยซูนะครับ
อะไรของเขาวะ? มองผมเป็นพระเยซูได้ยังไงกัน เพี้ยนเปล่าวะ? ผมโค้งตัวเล็กน้อยแล้วกำลังเดินแยกออกไปแต่เขาก็เรียกผมไว้ก่อน
“เดี๋ยว! เธอ...ฮอยฮักใช่ไหม?”
เอ๋? ทำไมเขารู้จักผมล่ะ!?ผมทำหน้างุนงงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เอ่อ...หน้าแบบนี้ นั้นสิ คุ้นๆ อยู่เหมือนกันนะ ใส่แว่น? แถมยังยิ้มๆ แบบนี้อีก เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อนจริงๆ ด้วย ที่ไหนกันนะ? ผมขมวดคิ้วมองเขาเหมือนจะนึกออกแต่ก็นึกไม่ออก เขายิ้มออกมาอย่างปลงตก
“พี่ไง พี่เฮอร์มิต”“...โอ๊ะ” TBC.ไม่ได้ต่อมานาน ถือโอกาสช่วงสอบไฟนอลเว้นช่วงอ่านหนังสือนาน
ก็เลยลองมาต่อ โอ้โห รู้สึกว่าไม่ได้จับนานแล้วรู้สึกขัดๆ ไม่ลื่นสักเท่าไร
ขออภัยที่หายไปนานเพราะไม่น่าเชื่อเลยว่าขึ้นปีสามแล้วจะเรียนหนักกิจกรรมแยะแบบนี้
จะพยายามทำกู้ฟอร์มกลับมา เฮ้อ ห่างหายไปนานฝีมือขึ้นสนิมไปเยอะเลย
ปล. สุดท้ายพี่เฮอร์มิตก็โผล่มามีบทสักที 555