พี่เฮอร์มิต?
........อ๋อ~
พี่ชายของไอ้พรีสต์น่ะเองแล้วทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี้ได้ล่ะเนี่ย? อืม จะว่าไปแล้วจำได้ลางๆ ว่าพี่แกไปเรียนต่อเมืองนอกนี่น่า หรือที่บอกว่าไปเรียนต่อเนี่ยจะหมายถึงที่เวียนนา ที่นี้งั้นเหรอ? ผมมองพี่เฮอร์มิตที่ยิ้มกว้างตรงหน้าแล้วผงกหน้าทักทายเล็กน้อย
“สวัสดีครับ”
“ช้าไปนิดแต่ก็โอเค”
“งั้นขอตัวก่อนนะครับ”
ผมก้มตัวเล็กน้อยก่อนจะขอตัวเดินออกไปแต่โดนดึงแขนเอาไว้ก่อน อะไรหว่า? ก็ทักแล้วไงมีอะไรอีกหรือเปล่า ผมหันไปมองพี่เขาที่ขมวดคิ้วมุ่นแล้วรีบพูดรั้งผมเอาไว้
“เฮ้ย จะรีบไปไหนเล่า อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งทีนะ”
“...”
และนั้นทำให้ผมต้องมานั่งจมปลักอยู่กับพี่เขาที่ร้านอาหารในพิพิธภัณฑ์ อืม มันเป็นร้านที่หรูมากเลยล่ะ ตรงกลางเป็นรูมองทะลุไปข้างล่างได้ด้วยแต่ผมว่ามันดูเวียนหัวยังไงไม่รู้สิ พี่เฮอร์มิตถือถาดอาหารมาให้กับผม เลี้ยงแล้วยังบริการอีกต่างหาก เกรงใจจังว่ะ ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจนะครับแต่พี่เฮอร์มิตเป็นคนบังคับให้ผมนั่งรอเองนะ
“เธอมาทำอะไรที่นี้งั้นเหรอ?”
“ผมมาทำงานน่ะ”
“งาน?” พี่เฮอร์มิตเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย
“ตอนนี้ผมเป็นนายแบบน่ะครับ ช่วงปิดเทอมจะมีงานที่ต่างประเทศเข้ามา”
“จริงดิ!? ว้าว~ ตกใจสุดๆ”
พี่เฮอร์มิตหัวเราะพร้อมกับทำตาโตเป็นไข่เป็ด มันน่าตกใจขนาดนั้นเลยหรือไงวะ? ดูท่าทางเมืองเวียนนาจะไม่ทำให้พี่เขาเปลี่ยนไปสักเท่าไรนะครับ ที่ผมพอจำได้ก็มักจะเป็นหน้าพี่เขายิ้มแต่ตอนที่เห็นครั้งแรกกลับดูเศร้าๆ เหงาๆ คงจะคิดถึงครอบครัวล่ะมั้ง มาอยู่เมืองนอกคนเดียวแบบนี้ก็น่าจะคิดถึงอยู่หรอก
“เธอสบายดีไหม?”
“ผม? สบายดีครับแล้วพี่เป็นยังไงบ้าง?”
“พี่? ฮ่าๆๆ ก็ดีเป็นบางช่วง เรียนหนักน่ะ”
“จริงสิ พี่มาเรียนอะไรที่เวียนนา?”
“พี่จำได้ว่าเคยเล่าให้เธอฟังนะฮัก”
อ้าว เคยเหรอครับ? ผมเลิกคิ้วรับแล้วเงียบไป ขอโทษสงสัยผมจะลืมไปแล้วล่ะมั้งครับ พี่เฮอร์มิตมองผมด้วยสายตาผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด กูรู้สึกผิดน่ะเนี่ย พี่เขาถอนหายใจเฮือกก่อนจะยิ้มออกมาแล้วโบกมือไม่ถือสา
“ช่างมันเถอะ คนเราก็ต้องลืมกันได้แหละ พี่มาเรียนเปียโนน่ะปีนี้ก็จะจบแล้วล่ะ”
จะว่าไปแล้วพี่เขาก็เรียนเกี่ยวกับดนตรีตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้วนี่นะ แล้วนี่พี่เขาอยากจะเป็นนักดนตรีหรือยังไงกัน? แต่ว่าที่บ้านของพี่เขาเป็นทหารกันนี่น่าเพราะพี่เฮอร์มิตหรือเปล่านะที่ทำให้ไอ้พรีสต์ไม่เดินทางเส้นทางของบ้านที่วางแผนให้มันเป็นทหาร? ก็ไอ้พรีสต์น่ะติดพี่ชายมากเลยนี่ครับผมยังจำได้ว่าตอนที่พี่เขามาเรียนที่นี้ไอ้พรีสต์เนี่ยร้องไห้จะเป็นจะตายจิตตกไปหนึ่งเดือนเต็มๆ จากนั้นมันก็เลือกเรียนต่อสถาปัตย์เฉยเลยนี่น่า
“ว่าแต่พรีสต์เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ปกตินี่นะครับ บ้าๆ บอๆ เหมือนเดิมนั้นแหละครับ”
ผมหยุดคิดนิดหน่อยแล้วยิ้มที่มุมปากเมื่อคิดถึงเจ้าเพื่อนบ้านั้น เหอะ ป่านนี้แล้วยังไม่รู้อีกว่าจริงๆ แล้วผมเรียนอยู่ที่เดียวกับมัน นี่กะว่าถ้ามันไม่รู้จนเรียนจบล่ะก็ผมจะทำเซอร์ไพร้ส์ตอนรับปริญญาให้มันตกใจตายไปเลยในฐานะที่โง่นัก หึ!
“งั้นเหรอ แล้ว...ตอนนี้พรีสต์มีแฟนหรือยัง?”
“ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไร”
ผมส่ายหน้าแบบไม่ใส่ใจเท่าไร พี่เฮอร์มิตก็ถามขึ้นอีก
“แล้วฮักล่ะ มีหรือยัง?”
“ก็...”
ผมกำลังจะตอบแต่ก็ชะงักเมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายถามถึงตัวผมไม่ใช่คนอื่น ผมเงียบไปเล็กน้อยแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ พี่เฮอร์มิตก็ยิ้มละไมรับก่อนจะหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ
“ที่นี้มีที่เที่ยวเยอะนะ เธอสนใจให้พี่พาเที่ยวไหมล่ะ?”
“พรุ่งนี้ผมกลับแล้ว”
“น่าเสียดายแฮะ เราน่าจะเจอกันเร็วกว่านี้เนอะ อ่า เอาเถอะ รีบกินกันดีกว่าเพราะอีกเดี๋ยวจะมีการแสดงดนตรี เธอไปดูหน่อยนะ”
“น่าจะได้นะครับแต่ผมไม่มีบัตรนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่มีที่นั่งให้เธออยู่แล้ว”
พี่เฮอร์มิตยิ้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมพยักหน้ารับไม่คิดอะไรมาก ก็ดีเหมือนกันนะครับมาที่เวียนนาทั้งทีไม่ได้ฟังดนตรีสดก็เป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก ผมกับพี่เฮอร์มิตรีบยัดของใส่ปากแล้วเดินขึ้นไปอีกไม่กี่ชั้นพี่เขาพามาที่ห้องหลังเวทีที่มีคนเดินไปมาดูเหมือนรีบเร่งอะไรกันอยู่ ผมเดินตามจนมาถึงเวที มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีเก้าอี้เป็นขั้นบันไดขึ้นไป บนเวทีที่มีเครื่องดนตรีต่างๆ วางไว้เรียงรายอยู่เยอะแยะ
พอพี่เฮอร์มิตเดินเข้ามาก็มีคนเรียกไปคุยด้วย ผมหันไปมองอย่างอื่นเพราะพวกเขาพูดภาษาอะไรไม่รู้ผมฟังไม่เข้าใจ ที่แน่ๆ ไม่ใช่ภาษาอังกฤษน่าจะเป็นเยอรมันเพราะที่นี้เวียนนานี่น่า พี่เฮอร์มิตคุยอยู่สักพักก็หันมาหาผม
“รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่มา”
ผมพยักหน้ารับแล้วพี่เฮอร์มิตก็เดินจากไป ผมหาที่หลบมุมเพราะเกรงว่าจะไปยืนขวางทางคนทำงานรบกวนคนอื่นซะเปล่าๆ ผมยืนอยู่สักพักมือถือที่พกเอาไว้ก็ส่งเสียงดัง สงสัยพี่บอสจะโทรมาตามแล้วล่ะมั้งครับ ผมล้วงเอามือถือออกมาแล้วรับสาย ตามที่คาดไว้เป็นพี่บอสจริงๆ ด้วยครับ
“ว่าไงครับพี่?”
[ ตอนนี้อยู่ไหนน่ะ? ]
“อยู่ข้างนอกพิพิธภัณฑ์ กำลังรอดูการแสดงอยู่ครับ”
[ เหรอ เออ ดีแล้วล่ะ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปรับนายรออยู่ตรงนั้นแหละ ]
“ครับ”
วางสายจากพี่บอสปุ๊บก็ได้ยินเสียงของพี่เฮอร์มิตเรียกทันที ผมเก็บมือถือไว้ในกระเป๋าแล้วหันกลับไปทางต้นเสียง กะพริบตาปริบๆ กับลุคใหม่เอี่ยมของพี่เฮอร์มิตที่หายตัวไปไม่นาน ใส่ทักซิโด้เสยผมซะเรียบร้อยเชียวแถมยังไม่ใส่แว่นตาอีกต่างหาก ผมมองอยู่นานมันเป็นภาพแปลกๆ น่ะครับ
“อะแฮ่ม”
พี่เฮอร์มิตกระแอมไอเล็กน้อย อันที่จริงพี่เฮอร์มิตก็เป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งเลยนะครับพอมาใส่อะไรที่เป็นทางการแบบนี้แล้วมันดูดีมากเลยล่ะ ว่าแต่พี่ใส่แบบนี้ก็แสดงว่าพี่แกต้องแสดงด้วยน่ะสิ!?
“อีกเดี๋ยวจะได้เวลาทำการแสดงแล้ว เธอไปนั่งแถวด้านหน้าสุดเลยนะ เดี๋ยวพี่ให้เพื่อนพาไป พี่ขอตัวไปเตรียมตัวขึ้นแสดงก่อนแล้วเจอกัน”
พี่เฮอร์มิตบอกแล้วชี้ให้ผมเดินตามผู้หญิงคนหนึ่งไป สงสัยจะเป็นเพื่อนที่ว่าล่ะมั้ง ผมพยักหน้าแล้วเดินออกไปแต่หยุดแล้วหันมามองพี่เฮอร์มิตที่ยังยืนอยู่ที่เดิม พี่เขาเลิกคิ้วรับ
“ถอดแว่นแล้วดูแปลกๆ นะครับ”
“หา? อ้อ ฮ่าๆๆๆ! เวลาแบบนี้มันใช่เวลาทักเรื่องนี้หรือยังไงกัน”
พี่เฮอร์มิตทำหน้าเอ๋อก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วส่ายหน้าเอ่ยว่าอย่างไม่จริงจังนัก ผมยักไหล่เล็กน้อยแล้วเดินออกไป เห็นว่าดูซีเรียสๆ ก็เลยเล่นมุกให้ผ่อนคลายแต่ผมคงไม่เหมาะกับการเล่นมุกพวกนี้ล่ะมั้ง
“ขอบใจ”
เสียงขอบคุณเบาๆ ตามหลังมาผมยกมือโบกโดยไม่หันหลังไปมอง เอาน่า อย่างน้อยพี่เขาก็รู้ถึงความหวังดีของผมบ้างแหละ ผมเดินมานั่งแถวหน้าสุด คนดูก็เริ่มทยอยกันมาเรื่อยๆ เพื่อจับจองที่นั่ง ระหว่างที่ผมนั่งรอชมพี่บอสและทีมงานอีกสองสามคนเดินมาตามผมพอดี
“เอ๋~ เปียโนคอนแชร์โตงั้นเหรอเนี่ย? งั้นเรานั่งฟังกันหน่อยดีไหม?”
หัวหน้างานเป็นคนพูดแบบนั้นคนอื่นๆ ก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านครับ พี่บอสและทีมงานก็ได้จับจองที่นั่งถัดไปจากผมทันที เปียโนคอนแชร์โต? คงจะหมายถึงเล่นเปียโนกับออเคสตร้าล่ะมั้งครับ ก็เห็นมีเปียโนด้วยนี่น่า ปกติวงออเคสตร้ามันไม่มีเปียโนนี่น่า? เอาเถอะ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับดนตรีเท่าไร ถ้าเป็นไอ้วินเซอร์คงจะรู้ล่ะมั้งก็หมอนั้นบ้าดนตรีเลยนี่น่า พอคิดถึงมันขึ้นมาผมก็คอตกอารมณ์หดหู่ นี่มันผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้วผมยังไม่ติดต่อไปเลยสักครั้ง เฮ้อ
“อ๊ะ เริ่มแล้ว” เสียงใครสักคนเอ่ยเบาๆ ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเวที
วงออเคสตร้าประจำที่เรียบร้อยตอนนี้ผู้ชมเต็มห้องกำลังตบมือต้อนรับคอนดักเตอร์ที่เดินมาออกมา พี่เฮอร์มิตเดินตามหลังคอนดักเตอร์ขึ้นมา พี่เขาเล่นเปียโนสินะ? เมื่อพี่เฮอร์มิตนั่งลงตรงหน้าเปียโนประจำที่เรียบร้อย พี่เฮอร์มิตสูดลมหายใจลึกๆ แล้วกดนิ้วลงบนเปียโน ผู้ชมก็เงียบกริบทันที พี่เฮอร์มิตเล่นเปียโนไปเรื่อยๆ พอผ่านไปหน่อยคอนดักเตอร์โบกไม้บาตองในมือไปมาซึ่งผมไม่เข้าใจหรอกครับเสียงดนตรีวงออเคสตร้าก็เริ่มบรรเลงขึ้น
สีหน้าของพี่เฮอร์มิตตอนเล่นเปียโนไม่เหมือนปกติเลยแฮะ ดูจริงจังแบบสุดๆ เลย นิ้วมือที่พรมไปตามแป้นก็พลิ้วไหวสมกับมาเรียนไกลถึงที่นี้แหละครับ ผมนั่งฟังเพลินไปเรื่อยๆ เพราะไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไร แต่เริ่มรู้สึกว่าเสียงดนตรีเริ่มเปลี่ยนจากทำนองมืดมัวมาเป็นนุ่มนวลอ่อนหวานขึ้น ฟังดนตรีสดนี่มันแตกต่างจากฟังในแผ่นหรือที่อื่นมากเลยล่ะครับ เหมือนรอบตัวห้อมล้อมไปด้วยเสียงดนตรี
ทุกสรรพสิ่งเงียบกริบแล้วเสียงตบมือก็ดังขึ้นอย่างล้นหลามผมตบมือตามผู้คนไปอย่างเหม่อลอย ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้แต่นี่มันสุดยอดมากเลยล่ะครับ ฟังจากเสียงตบมือจากผู้ชมก็รู้เลยว่ามันยอดเยี่ยมแค่ไหน ไม่นานคอนดักเตอร์ก็โบกไม้บาตองในมือเริ่มเล่นอีกครั้ง
เป็นช่วงเวลาเพลิดเพลินที่ผมนั่งฟังพร้อมกับตบมือสุดท้ายแล้วเสียงตอบรับบทเพลงสุดท้ายก็ดังลั่นห้องโถง ผมตบมือแล้วหันไปมองผู้ชมที่ไม่รู้ว่าเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร มองคนข้างๆ ที่ตบมือร้องบราโว่กันยกใหญ่ขนาดผมไม่รู้เรื่องยังรู้สึกว่าสุดยอดเลยนี่นะ ทั้งวงออเคสตร้าลุกขึ้นรับเสียงตบมือนั้นแล้วค่อยๆ ทยอยกันออกไปอย่างเป็นระเบียบ สุดท้ายก็คือคอนดักเตอร์และนักเปียโน พี่เฮอร์มิตโค้งตัวรับเสียงตบมือครั้งแล้วครั้งเล่าและเหมือนจะเหลือบมองมาที่ผมด้วย ผมรีบยกนิ้วให้ทันทีพี่เขายิ้มพยักหน้าตอบกลับแล้วเดินเข้าไปหลังเวที
“สุดยอดดด! เคยฟัง Rachmaninov หมายเลข 2 มาเยอะแล้วนะแต่ครั้งนี้ทำเอาอยากร้องไห้เลยว่ะ เสียงเปียโนนั้นสุดยอดจริงๆ รวมทั้งวงแล้วเป็นอะไรที่ลงตัวสุดๆ! อ่า~! พัดพาความมืดมัวในจิตใจให้พบกับแสงตะวันอันอบอุ่นแล้ว Mozart ก็สนุกเพลินอิ่มสุดๆ โชคดีจริงๆ เลยที่ได้มาฟัง นี่ต้องขอบคุณเลิฟมีแท้ๆ!”
“อย่าไปสนใจเลย หัวหน้าบ้าเรื่องนี้น่ะเขาเคยเรียนมาด้วย”
พี่บอสแอบกระซิบกระซาบให้ผมฟังขณะที่เรากำลังเดินออกจากห้องโถงพร้อมกับผู้ชมคนอื่นๆ ที่พูดคุยกันเซ็งแซ่ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกเพราะผมไม่รู้เรื่องอยู่แล้วแต่หัวหน้าน่ะฝอยน้ำเสียงแตกกระเซ็นอย่างเมามันแบบนอนสต็อป และดูท่าทางจะปลาบปลื้มกับคนเล่นเปียโนมากเป็นพิเศษอีกด้วย
“คนเล่นเปียโนเป็นคนเอเชียหรือเปล่า? เล่นได้ลื่นมาก ยอดเยี่ยม อายุก็ยังน้อยๆ แถมยังหน้าตาดีอีก หายากน่ะจะเจอคนเอเชียได้เล่นบนเวทีใหญ่ๆ แบบนี้”
“ฮัก! เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป!”
ผมหันไปตามเสียงเรียกเห็นพี่เฮอร์มิตวิ่งออกมาจากประตูที่ผมเข้าไปตอนแรก พี่บอสเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยแถมยังเหล่มามองผมอีกต่างหาก
“ใครน่ะ ทำไมรู้จักเธอด้วยล่ะเลิฟ?”
“อ้อ คนรู้จักสมัยเด็กๆ น่ะครับ”
“อ๋อ”
พี่บอสพยักหน้ารับอย่างวางใจแล้วหันไปคุยกับคนอื่น พี่เฮอร์มิตหยุดยืนตรงหน้าผมหายใจหอบเล็กน้อย ก่อนที่พี่เฮอร์มิตจะได้เอ่ยอะไรกับผม หัวหน้าหันมาเห็นพี่เฮอร์มิตเขาส่งเสียงร้องดังแล้วถลาเข้ามาอย่างตื่นเต้น
“คนที่เล่นเปียโนเมื่อกี้นี่! ใช่ไหม!?”
“อ้อ ครับ”
“คุณ...คนไทยเหรอครับ?”
“ครับ ผมเป็นคนไทยครับ”
“สุดยอดดด! เมื่อกี้สุดยอดมากเลยครับ! ผมประทับใจสุดๆ คุณเป็นมืออาชีพเหรอครับ? หรือว่าเป็นนักศึกษา? แล้วนี่เล่นมากี่ปีแล้วครับ สนใจไปเล่นที่เมืองไทยหรือเปล่าครับ?”ยิงคำถามกระจุยกระจายเล่นเอาพี่เฮอร์มิตตอบไม่ทันเลยล่ะครับ สีหน้าของหัวหน้าเนี่ยวิบวับเหมือนเจอไอดอลในดวงใจ
“เอ่อ...ผมมาเรียนโทน่ะครับ”
“สุดยอดเลยยย!! แล้วจะกลับเมืองไทยหรือเปล่าครับ? หรือว่าจะเป็นมืออาชีพที่นี้ครับ?”
“ขอเรียนจบก่อนค่อยคิดอีกทีน่ะครับ”
“สนใจเป็นดาราหรือเปล่าครับ!?”
“เห?”
พี่เฮอร์มิตทำหน้างุนงงเมื่อจู่ๆ ก็โดนชักนำเข้าวงการ ผมทนยืนดูต่อไปไม่ไหวก็เข้ามาแทรกทั้งสอง
“หัวหน้าพอเถอะครับ จะทาบทามดาราใหม่ก็เอาไว้หลังจากที่พี่เขาคุยกับผมเสร็จก่อนล่ะกัน”
“หา? เธอรู้จักกับเขาเหรอ?”
“ครับ ก็เขาวิ่งมาหาผมไม่ใช่เหรอครับ?”
“อ๋อ โอเค!” หัวหน้าพยักหน้าเข้าใจแล้วผละออกไปอย่างรู้จังหวะ พี่เฮอร์มิตหันมาส่งยิ้มให้กับผมแล้วถามขึ้น
“เย็นนี้ว่างหรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิครับ เดี๋ยวขอถามผู้จัดการก่อน”
ผมส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วหันมาหาพี่บอสที่ได้ยินผมกับพี่เฮอร์มิตคุยกันก็หันมาตอบ
“ว่างน่ะ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ จะมีเดินแบบอีกก็มีพรุ่งนี้แหละ”
“เดินแบบ? เดี๋ยวสิครับพี่ พรุ่งนี้เรากลับไม่ใช่เหรอครับ?”
ผมรีบถามอย่างข้องใจ ก็บอกไว้ว่าพรุ่งนี้จะกลับไม่ใช่เหรอไง จู่ๆ บอกว่ามีงานต่ออีกนี่นะ เป็นไปได้ยังไงกัน? พี่บอสเงียบทำให้คนอื่นๆ เงียบไปด้วย อะไร? เกิดอะไรขึ้น? ผมเริ่มขมวดคิ้วแล้วมองพี่บอสเขม็ง
“คืองี้ ประธานเพิ่งจะโทรมาบอกทำให้พวกเราต้องอยู่ที่นี้ต่ออีกสามวัน”
“สามวัน!?”
ประธานทิม! บ้าเอ๊ย!! แค่อาทิตย์เดียวก็แย่อยู่แล้วนี่ยังเพิ่มมาอีกสามวันงั้นเหรอ? บ้าน่ะสิ! ผมเริ่มอารมณ์เสียอย่างช่วยไม่ได้ จู่ๆ ก็มาเพิ่มงานกะทันหันแบบนี้เป็นใครก็ไม่พอใจทั้งนั้นแหละครับ ผมตวัดสายตาไปมองพวกพี่ๆ อย่างโมโหแต่ก็จะไปว่าพวกพี่เขาไม่ได้หรอกครับเพราะตัวต้นเหตุน่ะคือคนที่อยู่เมืองไทยนู้น! คนอื่นๆ ในทีมก็หลบตาผมพัลวัน เหอะ!
“เอาน่า คิดซะว่ามาพักผ่อนล่ะกัน” พี่บอสพยายามไกล่เกลี่ยให้ผมใจเย็น
“พักผ่อน? ยังไงผมก็ต้องทำงานอยู่แล้ว นี่คงไม่ต้องบินไปเมืองอื่นหรอกใช่ไหม?”
“ไม่หรอกๆ! พรุ่งนี้เดินแบบจบก็หมดแล้วล่ะ ที่เหลือเธอก็เที่ยวได้ตามสบายเลย”
“หา? ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่กลับเลยล่ะครับ?”
“เอ่อ...”
พี่บอสขมวดคิ้วพยายามหาคำอธิบาย อีตาประธานทิมน่ะเหรอจะใจดีให้ผมพักผ่อนต่างประเทศแบบนี้? ปกตินี่จิกหัวโยนงานให้แน่นเอี๊ยดแบบไม่มีเวลาได้พักหายใจ ผมชักรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ ต้องไม่ใช่แค่เรื่องงานเพิ่มมาแน่ๆ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น ยิ่งพี่บอสอ้ำอึ้งแบบนี้ด้วยล่ะก็!
“ประธานอยากให้เธอพักผ่อนที่นี้น่ะ”
“จะไม่แปลกไปหน่อยเหรอครับ”
“เอาน่า ก็เธอทำงานหนักมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่แล้วไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวพี่ต้องคุยรายละเอียดงานกับทีมก่อนนะ เธอก็คุยกับเขารอก่อนล่ะกัน”พี่บอสรีบตัดบทแล้วเดินเลี่ยงออกไปทันที ผมมองตามพวกเขาที่รีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ผมถามอะไรอีก นี่มันอะไรกัน? ผมได้แต่มองพวกเขาอย่างหงุดหงิดแล้วหันมาเห็นพี่เฮอร์มิตที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ผมถอนหายใจ
“ก็อย่างที่ได้ยินนั้นแหละครับ”
“ฮักคงไม่รังเกียจไกด์คนนี้นะครับ เดี๋ยวพี่จะบริการให้ถึงใจเลย~”
TBC.มาต่อให้อีกตอนเพื่อเอาฟอร์มเดิมกลับมา แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าที่เท่าไร
แต่ก็ต้องหยุดก่อนเพราะจะทำงานวิจัยต่อและอ่านหนังสือสอบ ฮิๆ
ทุกคนอาจจะอยากรู้ว่าไอ้พระเอกมันหายหัวไปไหน เมื่อไรมันจะมีบท?
หรือว่าไม่มีใครคิดถึงไอ้วินเซอร์วะ!? 555 ตอนนี้ที่เมืองไทยกำลังดราม่า
แต่ฮอยฮักไม่รับรู้ดราม่าลันลาอยู่กับพี่เฮอร์มิตที่เวียนนาก่อน โฮะๆๆๆ