ตอนที่ 29 จากดาร์ลิ้งถึงวินเซอร์ตรงหน้าของผมมีหญิงสาวสวย รูปร่างของเธอสูงโปร่งเพรียวลมดูกระฉับกระเฉ่ง ผมสีทองเป็นลอนใต้แสงตะวันอ่อนๆ ส่องประกายระยิบระยับ เธอยิ้มกว้างสดใส เสียงหัวเราะใสดั่งกระดิ่ง ภาพนั้นทำให้ผมรู้ว่าเธอมีความสุขมาก ไม่นานข้างๆ เธอก็มีชายหนุ่มลูกครึ่งผมทองปรากฏตัวพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่อบอุ่นน่าไว้ใจ ดวงตาคมกริบของเขาจ้องมองผู้หญิงคนนั้นเปี่ยมไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง หัวใจของผมเต้นรัว
ผมรู้จักพวกเขา รู้จักดี
และแล้วเด็กน้อยผู้มีรอยยิ้มไร้เดียงสาก็โผล่เข้ามาอยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสองหนุ่มสาว ชายหนุ่มก้มตัวลงอุ้มเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พวกเขาพูดคุยหัวเราะหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ช่างเป็นภาพครอบครัวแสนจะอบอุ่นและมีความสุขเสียจนผมตัวชาหนึบ ผมยิ้ม ยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา มันเป็นภาพแห่งความทรงจำที่เนิ่นนานเสียจนตัวผมเองยังลืมเลือน
ชายหนุ่มร่างสูงส่งเด็กน้อยให้กับหญิงสาวแล้วเขาก็เดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาอันนุ่มนวล
ไม่ อย่าไป!
ผมพยายามตะโกนบอกให้เขาคนนั้นหันกลับมา แต่ไม่ได้ผลเพราะอันที่จริง ผมไม่ได้ร้องออกไป เสียงมันจุกแน่นอยู่ในลำคอ ผมกุมขมับก้มหน้าขมวดคิ้ว อาการปวดหัวเริ่มรุนแรงมากขึ้น ดวงตาพร่าเลือน
ไม่นานหลังจากที่ชายคนนั้นหายตัวไปก็มีกลุ่มคนชุดดำเข้ามาฉุดกระชากตัวหญิงสาวและเด็กน้อย ทั้งสองตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน ท่ามกลางความเงียบเสียงกรีดร้องเจ็บปวดแทบขาดใจดังขึ้นก้องโสตประสาท ผมยืนมองเหตุการณ์ตัวแข็งทื่อ ในช่องท้องปั่นป่วน เบิกตามองภาพหญิงสาวโอบกอดเด็กน้อยแนบอก เธอวิ่งหนีทั้งๆ ที่ถูกกระสุนยิงครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ยังกัดฟันทนใช้ร่างปกป้องเด็กน้อยเอาไว้
มือของผมเย็นเชียบ ร่างกายเริ่มไร้ความรู้สึก ดวงตาที่พร่าไปด้วยบางอย่าง ขอบตาสั่นระริก มองพื้นที่นองไปด้วยเลือดสีแดงฉาด กลิ่นคาวฟุ้ง
เด็กน้อยหลั่งน้ำตาด้วยความหวาดกลัวและเริ่มอาเจียนออกมาพร้อมๆ กับที่ผมล้มตัวลงโก่งคออ้วก หญิงสาวคนนั้นอุ้มเด็กน้อยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ที่คับแคบและมืดมิด มองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง ผมหายใจติดขัด เด็กน้อยคนนั้นร้องไห้ตื่นกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นฉับพลัน ยิ่งอยู่ในที่ๆ ไร้แสงยิ่งทำให้เด็กน้อยสั่นกลัวมองไม่เห็นแม้กระทั่ง...
...แม่
ผมได้ยินเสียงของเด็กคนนั้นร้องเรียกแม่ทั้งสะอื้นร้องไห้และสั่นกลัวอย่างน่าสมเพช ของเหลวที่เหนียวหนึบไหลรดอาบใบหน้าของผม มือที่สั่นเทายกขึ้นไปแตะ หัวใจของผมตกวูบ มันคือเลือด!
เสียงลมหายใจแผ่วเบาท่ามกลางความมืด มือที่เย็นไร้ความอุ่นลูบไล้ตัวของเจ้าเด็กนั้นอย่างปลอบประโลม น้ำเสียงที่เบาแสนเบาราวกับอยู่ในที่ห่างไกลดังข้างหู สัมผัสเปียกชื้นตรงหน้าผากพร้อมกับน้ำหนักที่หนักอึ้ง หญิงสาวเอ่ยอะไรบางอย่างกับลูกของเธอ เจ้าเด็กคนนั้นยื่นมือไปท่ามกลางความมืดกอดร่างของแม่เอาไว้พร้อมกับเอ่ยกับอีกฝ่าย
ผมคุกเข่ายกมือปิดตาที่ร้อนผ่าวของตนเอง เวลาเลยผ่านไปอย่างช้าๆ เสียงของเด็กคนนั้นค่อยๆ แหบแห้ง ร่างในอ้อมแขนแข็งและเย็นชืด หูของผมยังได้ยินเสียงพูดพร่ำของเด็กคนนั้นท่ามกลางความมืด แม้จะไม่ได้รับคำตอบกลับมาเลยก็ยังเอ่ยต่อไปไม่หยุด
เจ้าเด็ก...เจ้าเด็กบ้านั้น!
ผมยิ้มขมขื่น
ไอ้เด็กงี่เง่านั้นไม่รู้แม้กระทั่งว่าแม่ของตัวเองตายไปแล้ว! ยังคงพยายามพูดกับแม่ของตัวเอง เนิ่นนานกว่าเจ้าเด็กนั้นจะหยุดพูด และเริ่มร้องไห้ฟูมฟายเมื่อรับรู้ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับแม่ของตน เริ่มโวยวายเสียสติร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ ผมยิ้มเยาะภาพน่าเวทนาแล้วก่นด่าเด็กคนนั้นอย่างดุเดือด ร้องไปก็ไม่มีใครช่วยแกหรอกไอ้โง่! ดวงตาชุ่มน้ำตาหันมาแล้วเบิกตากว้างพร้อมตะโกนขึ้น
“พี่ชาย! ช่วยแม่ของผมด้วย!”
ผมชะงักตัวกึก เผลอสบตากับเจ้าเด็กนั้นแล้วขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ผมขมวดคิ้วสะบัดหน้าหนีจากภาพชวนหวั่นไหว เสียงสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจ ภาพทั้งหมดถูกกลืนไปกับความมืดมิด
“เศร้าโศกให้กับความอ่อนแอของตัวเองอยู่รึ?”
ท่ามกลางความมืดก็มีเสียงเอ่ยถามขึ้น
เด็กคนนั้น...
ไม่สิ
ผมเมื่อครั้งยังเด็กเหลือบสายตาที่ไร้แววใดๆ ไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่สวมชุดโค้ตสีดำซึ่งก้าวเดินเข้ามายืนข้างๆ เก้าอี้ที่ผมนั่ง ในมือของเขาถือไม้เท้าที่มันวาว ใบหน้าหล่อเหลานั้นคล้ายกับพ่อของผม ผมรู้ว่าเขาคือใครแต่ผมไม่ตอบหรือส่งเสียงใดๆ ได้แต่นั่งนิ่งทอดสายตามองไปที่ไกลๆ ไม่อยากจะรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ปิดกั้นทุกๆ อย่างเอาไว้
“หากแกเข้มแข็งเรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น เด็กน้อยตอนนี้แกช่างดูอ่อนแอเสียจริง รู้ไหมถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคนที่จะตายต่อไปคือตัวแกเอง...”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นและกระด้าง ผมยังคงนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ผมตายไปก็ดีเหมือนกัน การอยู่แบบนี้มันทรมานมากกว่าซะอีก
“และพ่อของแก”
เปลือกตาของผมกระพือไหวกับคำสุดท้ายของเขา ไม่นะ ตอนนี้แม่ไม่อยู่แล้วผมเหลือแต่พ่อ! พ่อจะตายไม่ได้นะ ห้ามตาย! ห้ามตายเด็ดขาด!! มือของผมขยุ้มกางเกงบนหน้าตักแน่น ดวงตาวาวโรจน์ ชายหนุ่มตรงหน้าแย้มยิ้มที่มุมปากแล้วก้มตัวลงมาจ้องดวงตาของผมในระดับเดียวกันพร้อมกับเอ่ยปากชักชวนด้วยน้ำเสียงราบเรียบคาดเดาความรู้สึกใดๆ ไม่ได้เลย
“มาอยู่กับปู่ ปู่จะทำให้แกเข้มแข็ง มีอำนาจเหนือศัตรูของแกทุกคน”
“...”
“ไม่! คุณพ่อ! อย่าเอาลิ้งไป! เขาเป็นลูกของผม!!! คุณพ่อ!!!”
ตอนที่ผมจับมือของปู่เดินจากมา พ่อของผมร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อคลุ้มคลั่งราวกับคนเสียสติ ขนาดตอนที่แม่เสียเขาแค่ยิ้มเศร้าๆ เท่านั้น ภาพสุดท้ายก่อนจากลาคือภาพพ่อที่ร่ำร้องอ้อนวอนปู่และขอร้องให้ผมเปลี่ยนใจ ผมหันหลังให้กับภาพนั้น หลับตากล้ำกลืนความเสียใจ ขบริมฝีปากแน่น
ไม่ ผมต้องเข้มแข็งจะอ่อนแอไม่ได้!
“อย่าให้ศัตรูล่วงรู้ความรู้สึกของแกได้ อย่าให้ศัตรูรู้ว่าแกกลัวไม่อย่างนั้น แกนั้นแหละที่จะต้องตาย”
ปัง!
เสียงปืนดังลั่นหลังจากที่เขาพูดจบ ท่ามกลางความมืดสลัวผมเจ็บแปลบข้างแก้ม ใบหน้าของผมนิ่งเย็นชาไร้ความรู้สึก ดวงตาแทบไม่กะพริบไหว ข้างแก้มค่อยๆ มีเลือดซึมไหลออกมา ผมเอียงหน้ามองคนตรงหน้าอย่างไม่แยแส มันทำให้เขายิ้มอย่างพึงพอใจ แค่กระสุนเฉียดหน้าถ้าเทียบกับสิ่งที่ผมเจอมาตลอดเจ็ดปีล่ะก็เรื่องนี้ก็แค่ฝุ่นผงเล็กๆ น้อยๆ
ตลอดเจ็ดปีผมหลั่งน้ำตาจนตอนนี้ไม่มีแม้แต่น้ำตาสักหยด และบ่อยครั้งความเข้มงวดและโหดร้ายของปู่ก็ทำให้ผมอยากจะกลับบ้านใจจะขาด อยากวิ่งหนีไปให้พ้นๆ แต่ถ้าทำแบบนั้นผมก็กลายเป็นคนอ่อนแอน่ะสิ แม้จะทรมานแค่ไหนผมกัดฟันสู้ทนมาตลอด ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาความอดทนของผมเข้าขั้นเป็นเลิศทีเดียว แค่กระสุนเจาะร่างสองสามนัดมันไม่ได้ทำให้ผมหวั่นไหวง่ายๆ หรอก
“ดี พรุ่งนี้ฉันจะมาบอกที่อยู่ของศัตรูของแก”
“วันนี้”ผมเหลือบสายตาเย็นชาไปมองเขาก่อนจะเอ่ยเสียงห้วนที่เย็นไม่แพ้กันคล้ายเป็นคำสั่งกลายๆ ดวงตาสีดำเข้มของผมค่อยๆ ประกายคุโชนไปด้วยไฟแค้น ภาพความทรงจำในวัยเด็กกลอกกลับเล่นซ้ำไปซ้ำมาในหัว บรรยากาศตัวรอบของผมอัดแน่น ปู่หยุดมองผมเล็กน้อยก่อนจะแย้มยิ้มไม่รู้สึก
“อย่าใจร้อน”
เขาเดินออกไปพร้อมกับลูกน้องคนสนิทที่จ้องผมไม่วางตา ประตูเหล็กขนาดใหญ่ปิดตัวลงพร้อมกับเสียงดังโครม แสงไฟในห้องดับวูบจนมืดมิด ผมยืนนิ่งกลางห้องค่อยๆ ขยับตัวซุกมือที่กำแน่นจนสั่นซ่อนในเสื้อตัวหนา ความมืดทำให้ผมเริ่มลมหายใจติดขัดร่างทั้งร่างสั่นสะท้านหนาวเยือก มันทำให้ผมคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ความมืด กลิ่นคาวเลือด ลมหายใจเบาแผ่ว ตัวที่แข็งและเย็นชืด
เขารู้และจงใจให้ผมอยู่ในห้องนี้!
ผมกัดฟันกรอดข่มความกลัวแล้วก้าวเดินมานั่งแทบจะไม่ขยับเคลื่อนไหวใดๆ อีก ผมวางมือไว้บนโต๊ะค่อยๆ กรีดนิ้วจนเป็นเสียงแหลมบาดหู ดวงตาสีเข้มมองลอดกลุ่มผมที่ปกใบหน้าค่อยๆ มีประกายแสง
พรุ่งนี้ พรุ่งนี้แล้วที่ผมจะได้แก้แค้นให้กับแม่ รอหน่อยนะครับแม่!”
“หึ...หึๆ หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ!!!”
ผมเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เคียดแค้น พึงพอใจที่จะได้เอาคืนทุกๆ อย่างที่แย่งชิงลมหายใจของแม่ไป ศัตรูทุกคนที่มันมาทำให้ครอบครัวของผมต้องเป็นแบบนี้! ผมหัวเราะครั้งแล้วครั้งเล่า ระงับอาการตื่นเต้นจนเลือดในกายพุ่งพล่านไม่ไหว กระหายเหลือเกินที่จะสัมผัสเลือดอุ่นๆ ของพวกมัน กระหายที่จะได้ยินเสียงกรีดร้องเจ็บปวดของพวกมัน อยากเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของพวกมันเหลือเกิน เสียงหัวเราะที่แสนวิปริตยังคงดังก้องในห้องใต้ดินที่มืดมิด
ผมแสยะยิ้ม
อนิจจา เด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งถูกเลี้ยงดูด้วยกรรมวิธีเหี้ยมโหดอำมหิตทำให้จิตใจเริ่มบิดเบี้ยว หึ แล้วยังไงล่ะ ผมไม่สนเรื่องนี้อยู่แล้ว ที่ผมสนใจมันคือพรุ่งนี้ต่างหาก! ผมระเบิดหัวเราะอีกครั้งตามทางกำแพงมืดมิดมีเพียงเสียงสะท้อนก้องกลับไปกลับมาราวกับเสียงหัวเราะยินดีของปีศาจร้าย
มารู้สึกตัวอีกที ผมได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของปีศาจ มันกำลังบ้าคลั่งยินดีปรีดา เสียงหัวเราะนั้นมันดังออกมาจากปากของผมเอง รอบตัวของผมนั้นมีผู้คนที่ร้องโอดโอยขอความเมตตา ใบหน้าที่บิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดของบาดแผล น้ำตาไหลอาบดวงหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เป็นภาพที่รื่นหูรื่นตาของผมเป็นอย่างยิ่ง! ผมหยุดหัวเราะก้มมองคนตรงหน้าแล้วแสยะยิ้มเยือกเย็นพึงพอใจสุดขีด มือที่ถือปืนค่อยๆ ยกขึ้นเล็งจ่อใบหน้าของเจ้าคนที่กำลังอ้อนวอนขอความเห็นใจทั้งน้ำตา มันช่างดูเวทนาน่าสงสาร แต่ไม่ทันที่มันจะได้พูดไปมากกว่านี้ ผมเหนี่ยวลั่นไกปืนยิงแสกเข้าไปที่ปากของมันซ้ำๆ
“อ๊ากกกก!!!”
ปัง! ปัง! ปัง!
ใช่แล้ว แม่ของผมโดนเท่าไรพวกมันต้องโดนมากกว่าสองเท่า! ผมเดินตามยิงร่างที่กระเสือกกระสนหนีตายพยายามหลบกระสุนปืนอย่างใจเย็น มองหนูสกปรกตัวหนึ่งวิ่งหัวซุกหัวซุนด้วยใบหน้าเฉยชา ผมเปลี่ยนซองบรรจุลูกกระสุนรวดเร็วและกลับมายิงรัวกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำอีก ร่างของมันกระตุกเฮือกชักดิ้นอย่างทรมานก่อนจะล้มตัวลงหมดลม แต่ผมก็ยังคงสาดกระสุนใส่มันไม่หยุด แค่นี้มันยังไม่พอหรอก!
“นายท่าน! พอเถอะครับ เขาตายแล้ว!”
ผมชะงักมือเป็นจังหวะที่กระสุนหมดพอดี เสียงร้องอย่างตื่นตกใจทำให้ผมไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ผมเงยหน้าขึ้นจากซากศพที่พรุนเป็นกองเนื้อเหลียวหันไปมองข้างหลังจ้องเขม็งส่งสายตาคุมคามรุนแรงให้กับคนที่เข้ามาขัดขวาง เขาเข่าอ่อนล้มตัวลงกับพื้นแล้วตัวสั่นเทาเบิกตามองผมสะพรึงกลัว มือของผมเปลี่ยนใส่กระสุนคล่องแคล่วแล้วหมุนตัวกลับหลังยกปืนขึ้นเล็งเจ้าคนที่นั่งหมอบกับพื้น มันคือคนที่ปู่ส่งมารับใช้ผม ชื่ออะไรน่ะเหรอ? หึ! ผมไม่คิดจะจดจำไว้ใส่สมอง
เจ้านั้นสะดุ้งตัวแข็งทื่อมองผมด้วยสายตาหวาดหวั่น ผมค่อยๆ เหยียดยิ้มแล้วเก็บปืนไว้ในเสื้อโค้ตตัวยาวสีดำที่เข้มขึ้นด้วยหยาดโลหิต เท้าก้าวข้ามศพแล้วศพเล่า รองเท้าเหยียบย่ำลงพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำเลือดสีเลือดเข้มจึงไหลรินออกจากร่างจึงนอนกองดาดาษดื่น ระหว่างก้าวเท้าผมพยายามระงับจิตใจที่เดือดพล่านกระหายเลือดแม้ศัตรูจะดับสิ้นไปหมดแล้วแต่มันไม่หายจากอาการพุ่งพล่านนี้ ผมหยุดเท้าคงมั่นคงก่อนเหลียวไปมองกระจกบานใหญ่บนผนัง
กระจกเปื้อนเลือดสะท้อนภาพเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อย่างเฉยชา ใบหน้าขาวซีดที่เปื้อนเลือดเป็นดวงๆ ถูกผมยาวสีดำยุ่งเหยิงปกไปครึ่งหน้า ดวงตาสีดำเข้มลอยคว้างเหมือนคนบ้าเสียสติ ผมเหยียดมุมปากยิ้มเยาะตัวเองในกระจก
ครั้งแรกที่เห็นตัวเองผมตื่นตระหนก ร้องถามตนเองอย่างไม่เชื่อสายตา นั้นผมงั้นเหรอ!? ไม่จริง!! นี่ไม่ใช่ผม เจ้านี้มันเป็นใคร!!? เจ็ดปีที่ผ่านมามันทำให้ผมเปลี่ยนเป็นคนละคนแม้กระทั่งตัวเองยังตกใจ ผมก้าวถอยหลังออกจากกระจกบานนั้นแล้วสะบัดแขนก้าวเท้าเดินต่อไป ผมแทบจะไม่เหลือบแลคนที่ยืนอดหายใจตรงหน้า เดินผ่านเหมือนอีกฝ่ายเป็นธาตุอากาศแล้วเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ
“กลับ”
“ครับนายท่าน!”
ผมทำงานให้กับปู่ เรียนรู้ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างจากเขาทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง สภาพเด็กหนุ่มเสียสติคนนั้นกลายเป็นหนุ่มหล่อสุดเย็นชา ตอนนี้ผมเป็นทายาทคนสำคัญของวอลเธอร์ เอเรส ลูมิอัส มัวร์ ทุกคนรู้จักผมในชื่อใหม่ มันเป็นชื่อที่ตั้งโดยผู้ชายคนนั้น
‘วินเซอร์’พวกเขาเรียกขานผมด้วยชื่อนี้จนแม้กระทั่งในบางครั้งผมเกือบหลงลืมไปแล้วว่าชื่อที่พ่อและแม่ตั้งให้มันชื่ออะไรกันแน่ เพื่อเป็นทายาทที่สมบูรณ์แบบ เขาบังคับยัดเหยียดให้ผมเรียนรู้ทุกๆ อย่าง ทุกๆ อย่างทั้งดีและโสมม ฉากหน้าผมเป็นทายาทที่ใครๆ ต่างอิจฉา หลังฉากนั้นผมเป็นเครื่องมือ...ที่มีไว้ขจัดอุปสรรคที่มาขัดขวางเขา ยิ่งอยู่ในสังคมแห่งนี้นานมากเท่าไรยิ่งถลำลึกมากเท่านั้น ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามือตนไม่เคยเปื้อนเลือด ผมก็เช่นเดียวกัน
ผมควรจะกลายเป็นผู้นำหรือนายท่านคนต่อไปของบริษัทมัวร์และกลายเป็นสัตว์ป่าในคราบมนุษย์ แต่เพราะผู้ชายคนนั้นทุกอย่างจึงพังครืนลงไม่เป็นท่า เขาคนนั้นได้บุกมาหาผมอย่างบ้าบิ่น ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนเลย เขาคือคนที่ผมหลีกเลี่ยงมากที่สุด กลัวที่จะเจอหน้าเขามากที่สุดและเป็นคนที่ผมคิดถึงมากที่สุด เขาคือ...พ่อของผมเอง ในช่วงแรกๆ เขามาเพื่อจะพบผมแต่ปู่ไม่ยอมให้พบ เวลาผ่านไปนานเข้ากลายเป็นว่าไม่ใช่ปู่ที่ไม่ยอมให้พ่อเจอกับผม แต่เป็นผมเองที่ไม่ยอมเจอพ่อ
ผมกลัว... กลัวที่จะเห็นสายตาผิดหวัง ผมไม่ใช่ลิ้งเจ้าเด็กปัญญาอ่อนแสนอ่อนแอคนนั้นอีกแล้ว ผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ใช่ลูกที่น่ารักน่าเอ็นดูคนนั้น และไม่มีวันที่จะกลับไปเป็นแบบนั้นอีกด้วย ผมคือวินเซอร์ ผมเป็นแค่ไอ้โหดเหี้ยมเย็นชาจิตใจบิดเบี้ยวเท่านั้น ไม่มีอีกแล้ว ดาร์ลิ้ง เจ้าเด็กอ่อนแอพรรค์นั้น!
วินาทีที่ผมได้ยินเสียงที่พ่อเรียก... น้ำเสียงยังเหมือนในความทรงจำครั้งอดีตไม่มีผิด เอ็นดูและรักใคร่อย่างลึกล้ำ ในหัวของผมระเบิดและว่างเปล่า หยาดเหงื่อเย็นเฉียบหลั่งไหล หวาดกลัวยิ่งกว่าตอนที่มีคนเอาปืนมาจ่อที่หัว หัวของผมสั่งตัวเองให้หนีไปซะแต่ผมกลับยืนนิ่งเหมือนถูกขึงเอาไว้กับที่ เฝ้ามองพ่อที่แม้จะผ่านไปนานเจ็ดปีก็ยังเหมือนเดิม เหมือนที่ผมเห็นครั้งท้าย
เขาจำผมไม่ได้หรอก!
ผมร้องบอกปลอบใจตัวเองไปอย่างนั้น เผลอๆ เขาอาจจะคิดว่าเด็กแถวนี้เป็นผมก็เป็นไปได้ เพราะในบริเวณนี้มีคนที่เหมือนกับผมในครั้งอดีตยืนปะปนอยู่ ผมยืนมองพ่อที่นิ่งเงียบกวาดสายตามองหาลูกชายคนนั้นของตัวเอง ผมหายใจที่เขามองเลยผ่านตัวผมไป อ่า ทั้งๆ ที่คาดเดาไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้แต่ไม่คิดเลยว่าเอาเข้าจริง มันจะเจ็บปวดมากขนาดนี้…
เขาจำผมไม่ได้!
แน่ล่ะ แม้แต่ผมเองยังแทบจะจำตัวเองไม่ได้ นับประสาอะไรกับพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้านานถึงเจ็ดปี ฮึ! แค่นี้พ่อก็จะจดจำเพียงแค่ภาพของลูกชายผู้น่ารักคนนั้นแล้ว ผมยิ้มขมขื่นในใจแล้วหมุนตัวเดินจากไป แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเพราะถูกใครบางคนดึงเอาไว้ ผมหันกลับไปไล่ตามองแล้วเงยหน้าขึ้นก่อนจะนิ่งงัน มืออันอบอุ่นที่ผมเคยคิดว่ามันช่างใหญ่โตจับผมไว้แน่นราวกับกลัวผมจะหายตัวไปต่อหน้า พ่อยิ้มกว้างเรียกชื่อของลูกชายด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว
“ลิ้ง!”
ผมยืนนิ่งราวกับคนโง่งม ในใจงุนงงและสับสน ทำไม? นี่มันเรื่องอะไร? สมองเคยโลดแล่นแต่ตอนนี้พาลตันตื้อไปหมด
...ไม่ใช่ ผมไม่ใช่ลูกของคุณ... ผมไม่ใช่ลิ้งคนนั้น ไม่...
“กลับกันเถอะ พ่อมารับลูกช้าไปหน่อย ขอโทษนะลิ้ง”พ่อไม่สนใจฟังในสิ่งที่ผมพึมพำปฏิเสธ เขายิ้มกว้างเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสแต่มันแฝงไปด้วยการอ้อนวอนในที มือที่ฉุดรั้งผมค่อยๆ ออกแรงบีบแน่นมากขึ้น ผมหรุบตามองมือที่สั่นน้อยๆ นั้นแล้วเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาแบบลูกครึ่งที่เจือความเหนื่อยล้าเอาไว้ ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนราง ขอบตาของผมร้อนผ่าว
ผมเคยคิดว่าตอนนี้ผมเข้มแข็งกว่าแต่ก่อน แต่ทว่าผมคงจะคิดผิด... น้ำตาอุ่นๆ ค่อยๆ ไหลลงจากดวงตาทั้งสองข้าง ทั้งๆ ที่เจ็ดปีมานี่ผมเคยคิดว่าน้ำตามันเหือดแห้งหายจากผมไปหมดแล้ว แต่ทว่าตอนนี้ผมกลับหยุดยั้งน้ำตาในครั้งนี้ไม่ให้ไหลไม่ได้ ผมหลับตาปล่อยให้หยดน้ำตารินไหลหยดลงพื้น
ตั้งแต่ต้นจนจบ ผมก็ยังอ่อนแอเหมือนเดิม!
“ลิ้ง ลูกพ่อ”
ใช่... ผมคือดาร์ลิ้ง ไม่ใช่ วินเซอร์บ้าบอนั้น
“วินเซอร์!”
...แต่ก็นั้นแหละ ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะกลับไปเป็นดาร์ลิ้งอะไรนั้น ตอนนี้ผมคือ...วินเซอร์!!!
สายตาว่างเปล่าไร้วาวของผมผละจากใบหน้าของผมไปมองด้านหลัง ในที่สุด เขา...ก็มาแล้ว แค่ยกมือขึ้นเบาๆ คนรอบข้างก็ขยับรวดเร็วมือของพวกเขากุมอาวุธครบจำนวนเล็งเป้าหมายมาที่ผู้บุกรุก ผมไม่แปลกใจสักนิดและคิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ฮึ พ่อหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อของตัวองโดยเอาตัวบังผมไว้ราวกับกำลังปกป้องผมอย่างไรอย่างนั้น
“คุณพ่อ! ไม่ว่ายังไงวันนี้ผมก็ต้องพาลิ้งกลับ!”พ่อประกาศกร้าวไม่ยอมจำนน สายตาจ้องเขม็งไปที่ร่างสูงใหญ่ในชุดโค้ทยาวสีดำแต่ชายคนนั้นไม่มีอารมณ์ร้อนใจแต่อย่างใดเขายกยิ้มอย่างเย็นใจ
“ลิ้ง? ที่นี้ไม่มีคนชื่อนั้นลูกรัก แกเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า?”
“ผมไม่ได้เข้าใจผิดครับคุณพ่อ ลิ้งก็คือลิ้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็คือลูกชายคนเดียวของผม”พ่อเอ่ยกลับอย่างหนักแน่นและชัดเจน ชัดเสียจนผมกลั้นหายใจ ก้อนบางอย่างอุดตันในลำคอ ไม่แปลกที่ผมเปลี่ยนไปขนาดนี้แต่พ่อก็ยังจำผมได้ เหตุผลนั้นมันช่างเรียบง่ายเพราะผมคือลูกของพ่อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น... ผมก็ยังเป็นลูกชายของพ่อเหมือนเดิม
ผมสะท้านไหวไปทั้งร่าง ขนลุกซู่ ร้อนวูบ เรื่องที่ขึ้นเกิดทั้งหมดมันก็เพียงเพราะว่าผมคือลูกของพ่อและแม่ ก็แค่ความรักต่อลูกชายโง่ๆ คนนี้เท่านั้นเอง ผมกำหมัดแน่นจนสั่นระริกเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ หลับตาขบกรามแน่นข่มอารมณ์เครียดขึ้ง ผมทำบ้าอะไรอยู่? ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นแม่อุตส่าห์สละชีวิตเพื่อปกป้องผมเอาไว้แม้ๆ แต่ตอนนี้ผมกลับทำให้พ่อต้องมาเจอเรื่องบ้าบอคอแตกพวกนี้อีก
บัดซบ! บัดซด!! บัดซด!!!ผมพร่ำโทษตัวเองจมดิ่งกับห้วงความเศร้าโศกเสียใจ แต่ไม่นานผมก็รู้สึกว่าชายเสื้อถูกกระตุกอย่างรุนแรง ผมลืมตาขึ้นก้มหน้าลงไปมองข้างตัวอย่างโมโห ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง นะ...นี่มัน...ผมจ้องมองด้วยความตื่นตกใจ เด็กผู้ชายที่จับชายเสื้อของผมเขาเงยหน้ายิ้มแย้มดูสดใสบริสุทธิ์ ดวงตากลมๆ มองผมด้วยความเชื่อมั่นล้นเปี่ยม
“พี่ชาย ต้องปกป้องพ่อและฮอยฮักให้ได้นะ”
หัวใจของผมเต้นบ้าคลั่งในอก จ้องมองเจ้าเด็กน้อยดาร์ลิ้งหรือก็คือตัวผมในอดีตด้วยดวงตาเบิกกว้าง ปกป้องงั้นเหรอ? ผมตัวสั่นเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เบือนหน้ามองพ่อที่พยายามกางแขนปกป้องผมสุดความสามารถ ผมเม้มริมฝีปาก เอื้อมมือไปจับไหล่ของพ่อไว้แน่นเมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
ใช่! คราวนี้ผมจะเป็นฝ่ายปกป้องบ้าง!
"ฝากด้วยนะครับพี่ชาย"
ได้อยู่แล้ว ไอ้น้อง!
สัมผัสแผ่วเบาลูบไล่ตามตัวของผมอย่างนุ่มนวล ความเกร็งเครียดที่ขดตัวอยู่ภายใต้ค่อยๆ คลายลงเพราะความเย็นชุ่มชื่น ผมหายใจเข้าออกค่อยๆ ละเอียดรับรู้ถึงความเอาใส่ใจอย่างยิ่งของใครบางคน ผมรู้สึกเย็นจากใบหน้าระเรื่อยไปถึงคอ อืม... ผมกำลังฝันถึงแม่อยู่งั้นเหรอ? ตอนที่แม่ค่อยเช็ดตัวตอนผมไม่สบายมันผ่านไปนานแค่ไหนกันนะ ปลายนิ้วเรียวแตะลูบผ่านใบหน้าของผมมันช่างนิ่มนุ่มช่วยผ่อนคลายอาการตึงเครียดของผมได้อักโข อืม... ผมเกือบจะยกมือรั้งสัมผัสแสนอ่อนโยนนั้นเอาไว้แต่ก็ชะงักตัวได้ทัน
เดี๋ยวก่อน! ตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ห้องของตัวเองไม่ใช่เหรอ? หรือว่าตาแก่นั้นบุกห้องเข้ามาเอาตัวผมออกไปอีก!? ผมลืมตาโพล่งขึ้นมาทันที ก่อนที่สมองตื้อๆ จะหยุดนิ่งเมื่อเห็นดวงหน้าเรียวเล็กจึงสวยคมคายมีเสน่ห์ ดวงตาเรียวสวยสีดำสนิทที่ฉายแววห่วงใยมากจนล้มเอ่อ ผมได้แต่นอนจ้องเขาอยู่อย่างนั้น นี่ผมกำลังฝันอยู่สินะ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี้ได้ล่ะ? ผมอยากเจอฮักมากจนเก็บเอามาฝันเลยงั้นเหรอ? อ่า! งั้นก็ช่างมันเถอะ ดีกว่าเมื่อกี้ลิบลับ ฝันดีแบบนี้ผมก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลย ผมยังคงทอดสายตาด้วยความคิดถึงร้อนแรงให้กับภาพตรงหน้า
“ตื่นแล้วเหรอ?”
หือ? ภาพตรงหน้าเอ่ยถามด้วยเสียงเบาคล้ายกับว่ากลัวผมตกใจอย่างนั้นแหละ ผมกะพริบตาพยายามจ้องคนตรงหน้าแต่คนตรงหน้าก็ยังก้มมองผมด้วยใบหน้าราบนิ่งเป็นปกติ อ่า นี่มัน... ไม่ใช่ความฝัน! จู่ๆ ผมก็เกิดขี้ขลาด กลัวเหลือเกินว่า ณ ตอนนี้ผมกำลังจินตนาการไปเอง ผมค่อยๆ ขยับเปล่งเสียงถามออกไป
“...ฮัก?”
เวร! ทำไมเสียงกูถึงแสบแห้งเหมือนคนใกล้ตายแบบนั้นล่ะ!? ผมพยายามกลืนน้ำลายเพื่อหล่อลื่นลำคอไขว่คว้าหาเสียงตัวเองกลับมา และพยายามที่จะลุกขึ้น อ่า! ทำไมตัวของผมมันปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงแบบนี้กันล่ะ!? ผมขมวดคิ้วยุ่งไม่สบอารมณ์กับร่างกายอันอ่อนแอแสนบัดซบ ฮักพยักหน้ารับคำถามของผมขยับเข้ามาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นเขาก็เดินไปเอาน้ำมาให้กับผม
อ่า ช่างเป็นคนเข้าอกเข้าใจคนอื่นจริงๆ
พอได้ดื่มน้ำคอของผมก็ดีขึ้นมาก ผมจับจ้องท่าทางที่เอี้ยวตัววางแก้วบนโต๊ะข้างเตียง เฮ้อ คนๆ นี้ขนาดท่าทางธรรมดาทั่วไปแต่ทำไมถึงได้ดูน่าหลงใหลแบบนี้กันนะ? ผมทอดถอนใจกับท่วงท่าน่ามองของฮอยฮักแถมตอนนี้ไม่ใส่แว่นโคตรทวดนั้นซะด้วย ว่าแต่รีบมาหรือไงกันนะถึงได้มาสภาพเลิฟมีแบบนี้ ผมค่อยๆ เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“มาได้ยังไง?”
“นั่งรถแท็กซี่มา”
เออ ขอโทษล่ะกันที่ถามโง่ๆ ผมไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับคำตอบที่ได้รับอย่างใสซื่อและเถรตรงสุดๆ ผมเอ่ยอึกอักแต่ก็เงียบไป ฮอยฮักมองผมอย่างสงสัย เอาเถอะ ถ้าถามไปเดี๋ยวเจ้าตัวจะเอะใจว่าผมรู้เรื่องเจ้าแว่นฮอยฮักกะเลิฟมีเป็นคนเดียวกัน ก็เคยบอกไว้แล้วว่าเขาต้องเป็นคนบอกผมด้วยตัวของเขาเอง เพราะฉะนั้นผมก็จะแกล้งบื้อแบบนี้ไปเรื่อยๆ!
ผมเรียกเขาแล้วขยับตัวเข้าใกล้ใช้มือค่อยๆ ลูบไล้ใบหน้าสวยตาตรึงใจดวงนั้นอย่างทะนุถนอม จ้องมองเขาอย่างละเอียดทุกอณู ล่องลอยเหนื่อยล้าบางๆ เกาะเกี่ยวบนใบหน้าของเขา ผมใช้นิ้วลูบคลึงเบาๆ เพื่อไล่สิ่งนั้นออกไป ทำงานหนักแค่ไหนกันนะทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนี้กัน ทำไมไม่ดูแลตัวเองบ้าง ค่อยแต่เป็นห่วงคนอื่นจนหลงลืมตัวเอง เจ้าบ้านี่มันน่านักเชียว!
ผมเพ่งพิศผิวหน้าขาวนวลละเอียดเหมือนเนื้อหยกชั้นดี นิ้วหัวแม่มือลูบไล้คิ้วเรียวบางโก่งโค้งหมุนวนรอบดวงตาคู่สวยที่จ้องตอบผมไม่หลบหนีแม้จะสะเทินอายแค่ไหน ฝ่ามือทาบทับแก้มใสที่แดงระเรื่อและร้อนผ่าว ผมรู้นั้นเป็นเพราะผมอย่างแน่นอนมันทำให้ผมรู้สึกปลาบปลื้ม นิ้วของผมลากตามสันตรงของจมูกโด่งแล้วตกลงบนเรียวปากได้รูปสีแดงระเรื่อ ผมหรุบตามองลำคอแห้งเหือดกระหายที่จะแนบริมฝีปากลงบดเบียดรังแกซ้ำแล้วซ้ำอีก
ผมถอนหายใจเฮือก จริงๆ เลย! ก็แค่มองหัวใจดวงนี้ของผมก็เต็มตื้นแล้ว ผมยิ้มบางๆ กวาดสายตาสำรวจคนตรงหน้าแล้วโผเข้าไปโอบกอดร่างบางตรงหน้าเอาไว้แน่นแล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ ผมกลัว... ไม่อยากให้เขาหายไปจากผมเลย
“...ไม่ได้จริงๆ ด้วย”
ผมปล่อยเขาไปไม่ได้หรอก!!!ผมพยายามเก็บเกี่ยวกลิ่นกายของฮอยฮักเพื่อปลุกปลอบจิตใจว้าวุ่น สติค่อยๆ กลับมาทีละเล็กทีน้อยพร้อมกับไออุ่นจากคนในอ้อมแขน ผมนิ่งใคร่ครวญเรื่องต่างๆ ของหัวอย่างรวดเร็ว ไม่นานดวงตาของผมก็เปล่งประกายเจิดจ้าไปด้วยความชั่วร้ายเหมือนในอดีต ริมฝีปากแสยะยิ้มเย็นเยียบออกมา
“วินเซอร์?”
“...” ผมปล่อยฮอยฮักไปไม่ได้ จะให้มองเขาเริงรักกับคนอื่นน่ะเหรอ ไปตายซะเถอะ! เขาคือคนสำคัญของผม เป็นหัวใจของผม! เพราะฉะนั้นต่อให้ต้องชั่วร้ายลงมือโหดเหี้ยมแค่ไหนผมก็จะทำมันทุกอย่าง ขอแค่ให้เขาอยู่ข้างกายผมอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ผมไม่มีทางปล่อยมือนี้และฮอยฮักก็ไม่มีสิทธิ์หนีไปจากผมเหมือนกัน! อย่าว่าผมโหดร้ายหรืออะไรเลยเพราะเดิมทีผมก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว
ใช่แล้ว ทั้งหมดก็เพราะผมคือ...วินเซอร์ไงล่ะ!!!TBC.ตึงเครียดจริงๆ ช่วงนี้ ทั้งนักแต่งเองทั้งนิยายเอง เฮ้อ
จริงๆ เลยน่า ชีวิตของคนเรา เอาล่ะ ปลงตกซะปอย!!
ดราม่าเหรอ? คำๆ นี้ไม่รู้จักโว้ย!!! ฮือออออ!!! 