ตอนที่ 31 “คุณย่า” ผมเดินขึ้นบันไดมาเป็นคนแรก คุณย่ากานต์ยิ้มเก๋ไก๋รับแบบคนทรงเสน่ห์ทำ เจอกันครั้งไหนๆ ผมก็ยังรู้สึกว่าคุณย่าท่านช่างเป็นคนเฮ้วจริงๆ ผมยกมือไหว้ตามแบบฉบับไทยแท้ตามด้วยยื่นมือจับเขย่า คุณย่าคว้ามือหมับออกแรงดึงผมเข้าไปกอดไว้แน่น สาวสองพันปีหัวเราะคิกในคอ
“อุ้ยตาย แต่งแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบนะจ้ะหนูฮัก”
ผมหน้าแดงด้วยความอับอาย ให้ตายสิ ให้คุณย่ากานต์มาเจอสภาพแบบนี้จนได้ นี่คงไม่ได้เข้าใจผมผิดไปหรอกใช่ไหม? ถ้าถูกเข้าใจว่าชอบแต่งหญิงขึ้นมาล่ะก็ซวยแน่ ผมหันหลังไปขึงตาใส่เจ้าคนที่เป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมด วินเซอร์ยืนเยื้องไปจากผมไม่ไกลกันนัก เขาพิงสะโพกกับระเบียง กอดอก ทำหน้าขรึม หรี่ตามองคุณย่าอย่างจับผิด ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูดสักที
“เข้าบ้านก่อนจ้ะ ย่าเตรียมห้องพักให้ทุกคนแล้ว” คุณย่าผละจากผมแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ เอ่ยเชื้อเชิญพวกเราเดินเข้าไปในบ้านแสนสวยหลังนี้ และไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าคุณย่าเน้นคำว่า ‘ทุกคน’ เป็นพิเศษ แถมยังทอดสายตาจอดที่วินเซอร์ราวกับต้องการสื่อคำนั้นให้ใคร เจ้าตัวที่ถูกพาดพิงหน้ากลายพันธุ์เป็นบลูด็อกไปเรียบร้อย คุณย่าดันพวกเราเข้ามาในบ้าน ข้างในเต็มไปด้วยเครื่องเรือนไม้ที่สวยงาม เหมาะเจาะกับบ้านไม้เข้ากันได้ดีมากถึงมากที่สุด ผมเหลียวมองไปรอบๆ ทึ่งแกมสนอกสนใจ
วินเซอร์เดินตามมาแต่ก็หยุดยืนตัวแข็งทื่อ ขมวดคิ้วเครียดขึ้งขึ้นมาฉับพลัน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มผมบรอนซ์สวย ซึ่งกำลังนั่งเอนตัวอ่านหนังสือพิมพ์ต่างประเทศที่กลุ่มโซฟานุ่มสีน้ำตาลอ่อน ชายคนนั้นทำให้ทั้ง ‘นายท่าน’ กับ ‘ลูกน้อง’ พร้อมใจกันตัวแข็งทื่อเป็นตอ เขาลดหนังสือพิมพ์ลงทำให้มองเห็นหน้าตาชัดเจน ชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบ ใบหน้าหล่อเหลานุ่นนวล เรือนผมหนาสลวยสีบรอนซ์ ดวงตาสีม่วงหรี่มองมาที่พวกเรา เขาค่อยๆ คลี่ยิ้ม ผมมองอีกฝ่ายด้วยความทึ่ง ช่างเป็นชายหนุ่มที่มีท่าทางงามสง่าเหมือนผู้ดีตระกูลเก่าแก่ มันดูมีมนเสน่ห์เหลือล้น
“ยินดีต้อนรับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามแบบไม่ต้องปรุงแต่ง มันดูธรรมชาติเอามากๆ สำเนียงนิวยอร์กอันเปี่ยมเสน่ห์ในน้ำเสียงทุ้มต่ำ ฟังดูน่าพึ่งพิง วินเซอร์สบถอยู่ด้านหลัง อะไร เกิดอะไรขึ้นเหรอ?
“โอ ดูนั้นสิ นั้นหลานเองเหรอวินเซอร์? ปู่ไม่เคยรู้เลยว่าหลานจะเปลี่ยนสไตล์ที่ดูแปลกตาแบบนี้”
ห๊ะ ปู่!!!? ผมพยายามเบิกตากว้างให้คนอื่นรู้ว่าตอนนี้กำลังตกใจโคตรๆ! คนๆ นี้คือปู่ของวินเซอร์? ทำไมหนุ่มขนาดนี้ล่ะ? ผมเหลือบไปมองคุณย่ากานต์แล้วยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ ให้ตายสิ! พวกเขาไม่แก่ขึ้นบ้างหรือยังไงกัน วินเซอร์เดินต่อเข้ามาด้วยสีหน้าเซ็งๆ ให้ตายเถอะครอบครัวมันหน้าตาดีแถมยังเหมือนพ่อมดแม่มดที่อ่อนเยาว์ตลอดกาล! มันชักจะน่ากลัวแล้วสิ
“ก็แค่ลองเปลี่ยนดู”
“ตลกดี” คุณปู่ยังหนุ่มยังแน่นมองหลานหน้าบลูด็อกแล้วส่ายหน้าไม่เห็นชอบกับสไตล์ดิบเถื่อนไร้อารยธรรมของผู้หลาน วินเซอร์พ่นลมหายใจผ่อนคลายนั่งลงโซฟาตรงกันข้ามกับผู้เป็นปู่ เขากอดอกจ้องเขม็งไปอีกฝั่ง ทำไมผมถึงรับรู้ถึงความเป็นศัตรูระหว่างปู่หลานคู่นี้กันนะ?
“ยังไม่กลับไปอีกเหรอ?”
“การทำงานต้องมีพักหยุดบ้าง”
“อย่าหยุดนานนักล่ะ” วินเซอร์แยกเขี้ยวคล้ายยั่วยุ
“หลานเองก็เหมือนกัน หมดเวลาเล่นแล้ว” คุณปู่ของวินเซอร์ย้อนกลับด้วยใบหน้าราบเรียบ เขาพับหนังสือพิมพ์ในมือวางไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินมาโอบไหล่ภรรยาอย่างรักใคร่ เขาหันมามองพวกผมพร้อมกับเอ่ยด้วยท่าทางเป็นมิตร
“ไม่รีบไปพักกันรึ? เย็นนี้เป็นบาร์บีคิวเชียวนะ ใช่ไหมจ๊ะที่รัก?”
“แน่นอนค่ะ สุดฝีมือสำหรับวันหยุดพักร้อนของคุณ” คุณย่ายิ้มหวานเมื่อคุณปู่ก้มลงมาถาม ท่านเขย่งเท้าจูบแก้มคุณปู่อย่างเอาใจ ผมมองคู่รักแสนหวานพร้อมกับลูบต้นแขนที่ลุกซู่ด้วยความหวานเลี่ยน วินเซอร์ทำหน้าบิดเบี้ยวคล้ายกินของผิดแปลกเอาไปแล้วหันไปทางอื่นอย่างเอือมระอา อย่างนี้แหละ ผมเข้าใจดีเลยล่ะว่าตอนนี้เขารู้สึกยังไงอยู่ เพราะที่บ้านของผมก็มีคู่รักรุ่นใหญ่คู่หนึ่งที่หวานชื่นไม่เลือกที่
“เอ้อ จริงสิ ลืมทักทายว่าที่สะใภ้ไปเลยแฮะ สวัสดีจ้ะหนู” คุณปู่ทำหน้าเพิ่งคิดออก รีบหันมาส่งยิ้มมุมปากนิดๆ แล้วเอ่ยทักเป็นกันเอง “ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าหลานโง่เง่าของฉันจะมีแฟนที่สวยน่ารักแบบหนู ลำบากแย่” ปิดท้ายด้วยการส่งสายตาสงสารเห็นใจ ผมไม่รู้จะตอบกลับยังไง แต่ในใจก็พยักหน้ารับความเห็นใจนั้นอย่างยินดี มีคนเข้าใจเราด้วย!
“ของมันแน่อยู่แล้ว!” วินเซอร์พูดเสียงสูงขึ้นจมูก เขาขยับตัวหันมาพูดกับคุณปู่อย่างรวดเร็ว “แฟนของผมต้องเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักแน่อยู่แล้ว” เจ้าตัวไม่พูดเปล่า ลุกขึ้นคว้าตัวผมไปโอบไหล่กระชับแน่นด้วยกำลังปกป้องผมจากศัตรูอยู่อย่างไรอย่างนั้น มือบีบหัวไหล่ของผมเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ผมกะพริบตาเล็กน้อย แม้จะไม่รู้ว่าเขามีแผนอะไรในใจแต่ก็ให้ความร่วมมือตามน้ำไป ผมฉีกยิ้มเล็กๆ ก้มหน้าเขินไม่พูดไม่จา ทำตัวเป็นแฟนสาวไปไม่ติดขัด ฮึ!
“ยินดีที่ได้พบค่ะมิสเตอร์” ผมเงยหน้าเอ่ยทักทายเสียงเบา คุณปู่ยิ้มกว้างยื่นมือมาจับเขย่าเบาๆ คุณย่าไม่มีท่าทีจะแปลกใจอะไรใดๆ กับพฤติกรรมไม่แจ้งชัดของหลานชาย ท่านฉีกยิ้มอยู่ในอ้อมกอดของคุณปู่เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
“โอ เรียกฉันว่าคุณปู่วอลเธอร์เถอะ”
“ค่ะ คุณปู่”
หลังจากแนะนำตัวเล็กๆ น้อยๆ กันจบ คุณปู่โบกมือเชิญพวกเราไปพักผ่อน ผมรู้สึกตัวว่าถูกจับจ้องเป็นพิเศษ หว่า ถึงจะเป็นผมก็เถอะ แต่มันก็อดจะรู้สึกประหม่าเขินอายไม่ได้เลย แหงล่ะ นั้นทั้งปู่ทั้งย่าเลยนะ แถมยังใช้สายตาแสกนแบบแนบเนียนโคตรๆ สายตาไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย สัญชาตญาณของผมมันร่ำร้องว่าคุณปู่คนนี้ต้องมีดีกว่าการหน้าเด็กแน่ๆ แถมยังเป็นอะไรที่อันตรายซะด้วย อ่า มันไม่ทำให้ผมแปลกใจเลยสักนิด ก็เขาช่างเหมือนกับหลานชายตัวเอ้ของเขาขนาดนั้นนี่น่า ได้มาเห็นคุณปู่ทำให้รู้เลยว่าวินเซอร์ถอดแบบออกมาจากคุณปู่มากกว่าคุณพ่อของเขาซะอีก
คุณย่าจัดห้องให้เราทุกคนจริงๆ ย้ำว่าทุกคนนะครับ วินเซอร์หน้าหงิกเป็นม้าหมากรุกบ่นออดแอดไม่ปล่อยผม คุณย่าเดินฉับๆ เข้ามาตัดมือที่จับตัวผมไว้แล้วดันเข้าห้องพัก จัดการปิดประตูห้องรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้หลานชายทำตัวประดุจเงาแทรกตัวตามเข้ามาทัน ผมมองประตูห้องได้ยินเสียงโวยวายของหลานชายเจ้าของบ้านก็ไหวไหล่นิดๆ ไม่ใส่ใจ ผมหมุนตัวนั่งลงบนเตียงนุ่ม
แฟนสาวงั้นเหรอ!?
ให้ตายเถอะ ผมอยากรู้ใจจะขาด มันหมายความว่าถ้าพูดออกไปว่าผมไม่ใช่แฟนสาวแต่เป็นแฟนหนุ่มล่ะก็คุณปู่ท่านจะไม่ยอมรับใช่ไหม? ผมไม่ได้ตกใจอะไรมากนักหรอก บางครั้งก็เคยคิดไว้อยู่เหมือนกันว่าจะมีใครสักคนไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของเรา บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้วินเซอร์หน้าหงิกหน้างอแบบนั้นก็ได้ ถ้าให้ผมเดาล่ะก็เขาคงไม่คิดว่าจะได้เจอกับคุณย่ากานต์และคุณปู่วอลเธอร์ที่นี้ล่ะมั้ง ตอนเจอหน้ากันยังทำหน้าตกใจขนาดนั้นนี่น่า ผมถอนหายใจเบาๆ นี่หมายความว่าผมต้องอยู่ในสภาพผู้หญิงแบบนี้ต่อไปอีกงั้นเหรอ? เฮอะ บ้าชะมัด!
ผมล้มตัวนอนแนบเนื้อผ้านุ่มลื่นของเตียง ได้ยินหอมอ่อนๆ เหมือนเพิ่งทำความสะอาดมาหมาดๆ มันชวนให้หนังตาหนักยกไม่ขึ้นเลยทีเดียว ห้องนี้อยู่ชั้นสอง ระเบียงห้องถูกเปิดกว้างเอาไว้ทำให้ลมพัดแผ่วเย็นสบาย ทั้งกลิ่นต้นไม้ ใบหญ้าทำให้รู้สึกว่ามันอบอุ่นและน่าอยู่จริงๆ เสียงเคาะประตูรัวๆ ดังขึ้นขัดจังหวะการนิทรา ผมขยับตัวเกียจคร้านแบบไม่เต็มใจจะลุก ให้ผมเดานะ ต้องเป็นเจ้าวินเซอร์ที่หน้างอเป็นตะขอแน่เลย ผมถอนหายใจแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตูแต่คนที่ยืนอยู่นั้นทำให้ผมเกร็งเล็กน้อย
“ยังเหลือเวลาบาร์บีคิวอีกนิดหน่อย พ่อหนูสนใจขี่ม้าเล่นไหม?” คุณปู่เอ่ยชวนด้วยท่าทางกระตือรือร้น ใบหน้าแย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร น้ำเสียงก็เป็นกันเอง แต่คำพูดกลับทำให้ผมชะงัก ข้างในตัวผมกำลังร้องเสียงแหลม ส่ายหน้าไม่ให้รับคำชวนนี่ด้วยสีหน้าน่ากลัว มันรู้ว่านี่ต้องไม่ใช่คำเชิญชวนเป็นมิตรอย่างที่เจ้าตัวแสดงออกแน่ๆ ผมรับรู้ด้วยสัญชาตญาณ คนๆ นี้ไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์นี้!
“ว่าไงล่ะ?” ท่าทางยังสบายๆ แต่สายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจเด็ดขาดนั้นกำลังคุมคามคาดคั้นเอาคำตอบจากผม และแน่นอนว่าไม่ต้องการคำปฏิเสธด้วย ผมพยักหน้ารับนิดๆ คงไม่มีอะไรมากนัก เพราะยังไงเขาก็คงไม่โหดเหี้ยมขนาดล่อผมไปสังหารแน่ สายตาของเขาถึงจะแฝงไปด้วยความป่าเถื่อนโหดร้ายแต่ก็มีประกายความยึดหยุ่นในนั้นเหมือนหลานชายของเขา ผมถึงได้บอกว่าวินเซอร์เหมือนคนๆ นี้มากกว่าพ่อของตัวเองยังไงล่ะ
“ได้ครับ คงไม่ว่าอะไรถ้าจะให้เวลาผมเปลี่ยนชุดที่ไม่เหมาะกับการขี่ม้านี่เล็กน้อย” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบนิ่ง ใบหน้าไม่แสดงความตกตื่นใจใดๆ ไม่จำเป็นต้องแสร้งเป็นผู้หญิงต่ออีกในเมื่อเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าผมเป็นผู้ชาย คุณปู่วอนเธอร์เลิกคิ้วเผยความประหลาดใจเล็กน้อยกับท่าทางของผม
“อ้อ ได้ ฉันจะรออยู่ระเบียงหน้าบ้าน” เขาพยักหน้าแล้วเดินออกไป
ผมกลับเข้ามาในห้อง รีบสะสางของในกระเป๋า และเปลี่ยนชุดที่เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วทะมัดทะแม่ง ดีนะที่วินเซอร์คิดรอบคอบแวะซื้อของจำเป็นก่อนมาถึงที่นี้ ผมถอดวิกผมออกแล้ววางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ภาพในกระจกสะท้อนเป็นตัวของผม ใช่ ผมเป็นผู้ชาย ไม่มีวันเป็นผู้หญิงและไม่มีทาง แต่นั้นก็ไม่ทำให้ผมเสียใจหรอกนะ ผมเป็นผู้ชายก็ดีอยู่แล้ว
ผมสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติแล้วเดินออกไปจากห้อง ผมไม่เห็นใครอยู่ในบ้านเลย คนอื่นๆ คงยังวุ่นวายกับการพักผ่อนอยู่ในห้องล่ะมั้ง ผมมองไปที่ประตูใหญ่ด้านหน้า ชายรูปร่างสูงยืนพิงสะโพกสอบสบายๆ กับระเบียงไม้ เขาสวมเสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้ม ก็อย่างที่บอกไปแล้ว เขาเหมือนหลานตัวเองเปี๊ยบ ท่าทางยังเหมือนกันเลย ผมยังไม่ทันได้เดินเข้าไปใกล้ คุณปู่ก็เหลือบมามองแล้วพยักหน้าให้ผมเดินตามไป อุตส่าห์เดินเบาแทบจะย่องยังได้ยินเสียงอีก ผมกลอกตาขึ้นฟ้าแล้วเดินตามไปติดๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายบ่นว่าผมชักช้า
คุณปู่พาผมมาที่คอกม้าที่อยู่ไกลจากตัวบ้านเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปในคอกเดินเลาะมองม้าแต่ละตัวอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะฉายแววพึงพอใจในสีหน้า ผมมองท่าทางที่แสนจะผ่อนคลายของเขา มันไม่ได้ช่วยให้ผมเบาใจเลย ตรงกันข้ามมันกลับทำให้ผมเครียดมากกว่าเดิมอีก ผมละสายตาจากคุณปู่วอลเธอร์ไปมองม้าในคอกแทน ให้ตาย ม้าแต่ละตัวทั้งสวย ทั้งดูสมบูรณ์แข็งแรง มีม้าพันธุ์ยิปซีแวนเนอร์ด้วยแน่ะ! คนดูแลม้าคอกนี้คงจะใส่ใจดูแล ทุ่มเทหยาดเหงื่อไปไม่ใช่น้อย คุณปู่เดินหยุดที่หน้าคอกม้าตัวสูงใหญ่สีขาวนวล เขาทักทายมันและลูบศีรษะอย่างนุ่มนวล ผมยืนดูอยู่ข้างนอกทำตัวเงียบเหมือนไม่อยู่ที่นี้ ไม่อยากรบกวนท่าทางสุขสงบของคุณปู่วอลเธอร์น่ะครับ
“สุภาพบุรุษผู้หล่อเหลาท่านนี้ชื่อว่า ไวท์วินด์” คุณปู่วอลเธอร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเราเงียบมานานแสนนาน เขาหันมามองผมแล้วพูดต่อ “พันธุ์โธโรเบรด สีขาวหายากมาก แข็งแรง ฝีเท้าเร็วเหมือนพายุ เกิดมาเพื่อแข่งขัน ไม่รู้จักแพ้ จงรักภักดีต่อคนๆ เดียว และคว้าชัยชนะมาให้กับคน ‘พิเศษ’ ของมันเท่านั้น สุดยอดเลยใช่ไหมล่ะ?”
ผมพยักหน้าเรียบๆ ส่องสายตาสำรวจสุภาพบุรุษไวท์วินด์ มันเป็นม้าที่มีโครงร่างสวยมัดกล้ามเนื้อหนาแน่นปราดเปรียว ดวงตาสีดำสนิทสงบนิ่ง เป็นม้าที่เชื่องไม่รู้สึกถึงความพยศเลยแม้แต่น้อย หลังจากทักเสร็จมันก็หันไปเคี้ยวหญ้าต่อ คุณปู่วอลเธอร์ตบมือลงบนหลังมันเบาๆ แล้วเดินออกมา
“ปกติพันธุ์โธโรเบรดค่อนข้างพยศแต่ไวท์วินด์เป็นข้อยกเว้น” คุณปู่เอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาใกล้ผม เขาเผยมือให้ผมเดินต่อด้วยท่าทางสง่างามเป็นสุภาพบุรุษ ผมเดินตามหลังไปเงียบๆ เมื่อกี้ไม่ใช่ม้าของคุณปู่งั้นเหรอ? แต่ท่าทางเขาจะรักมันมากนี่น่า ผมหันไปเหลือบมองไวท์วินด์ผู้หล่อเหลาแล้วเลิกคิ้ว เมื่อมันเอียงหน้ามองมาทางผมเช่นกัน จากนั้นมันก็ส่ายศีรษะนุ่มนวล กะพริบตาปริบๆ ให้ ผมยิ้ม เจ้าม้านี่น่ารักแฮะ
“ไง เลดี้คนสวย ยังดูดีเหมือนเดิมเลยนะ” คุณปู่วอลเธอร์เอ่ยทักม้าสีน้ำตาลอ่อนเกือบเป็นเหลืองนวลผ่อง มันสวยจริงๆ นั้นแหละ นัยน์ตาโตสีเข้ม คองามระหงส์ แผงคอสีขาวอย่างกับใส่วิกผมแน่ะ มันกะพริบไหวแล้วหันขวับไปไม่สนใจ โอ เลดี้ผู้หยิ่งยโส!
“ม้าพันธุ์ Haflinger พันธุ์ดี คอหงส์สวย ฝีเท้าเร็ว วิ่งเรียบ ขี่สบาย เหมาะสำหรับผู้หญิง เลดี้คนนี้ชื่อ เอราเบล่า ม้าของเดียร์หวานใจฉันเอง” คุณปู่พิงศีรษะมาคุยกับผม ทำสีหน้าจนใจ ไม่รู้จะจัดการกับความเฉยชาของเอราเบล่า เลดี้คนสวยผู้เย่อหยิ่งยังไงดี เดียร์? คุณปู่เรียกคุณย่ากานต์แบบนี้เหรอ? โธ่เอ๊ย ครอบครัวตัวที่รักทั้งนั้นสินะ เดียร์ ฮันนี่ ดาร์ลิ้ง! ผมขำในใจ
คุณปู่แนะนำม้าแต่ละตัวๆ ไปเรื่อยๆ ผมเองก็สนใจเรื่องม้าอยู่เหมือนกัน ไม่นานมานี่ผมเองต้องฝึกขี่ม้าเพื่อนำไปใช้แสดงในละคร โชคดีที่ได้พี่ยูไนเต็ดสอนทำให้ฝีมือในการขี่ม้าของผมค่อนข้างพอใช้
“ม้าของฉัน เฟอดินานด์ พันธุ์อาหรับ” คุณปู่วอลเธอร์สะบัดหน้าแนะนำเจ้าม้าสีดำทมิฬขนาดได้สัดส่วนที่สวยงาม ตั้งแต่ที่มันเห็นเจ้าของเดินมาใกล้ก็เกิดอาการคึกคะนอง สับขาสูงๆ ไปมาราวกับอดทนรอให้เจ้านายขี่มันไปบนทุ่งกว้างแทบไม่ไหว ผมมองดูเจ้าเฟอดินานด์ที่กระตือรือร้นกับเจ้านายแล้วหาคำบรรยายไม่ได้ คุณปู่ช่างเลือกม้าได้เข้ากับตัวเองดีนะครับ ปู่วอลเธอร์เรียกคนดูแลม้าเข้ามาใส่บังเหียน
“เธอเองก็ลองเลือกมาสักตัวสิ จะได้ออกไปวิ่งด้วยกัน”
“ครับ”
ผมหันหลังกลับมามองม้าแต่ละตัว โอย! ตัวไหนๆ จะไปสู้กับเจ้าเฟอดินานด์นั้นได้ยังไงกันล่ะ!? ท่าทางม้าดำนั้นอยากจะโชว์ฝีเท้าเต็มแก่ ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปที่ท่านไวท์วินที่ดูจะต่อกรกับเจ้าดำเฟอดี้ได้ แต่สุภาพบุรุษสุดหล่อก็ไม่มีวาสนากับผมเพราะคนดูแลบอกว่านอกจากเจ้าของแล้วไวท์วินไม่ยอมให้ใครขี่ทั้งนั้น พระเจ้า แล้วผมจะเอาอะไรไปสู้เจ้าดำเฟอดี้ได้ล่ะ! ผมหันไปมองปู่วอลเธอร์ที่กอดอกทอดมองผมรอคอยอย่างใจเย็น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังทดสอบผมอยู่แน่ๆ ให้ตายเถอะ
เจ้าไวท์วินด์ใช้เท้าของมันถีบคอกเสียงดัง ทำให้ม้าคอกข้างๆ ตกใจลุกขึ้นยืน ผมกวาดสายตามองไปแล้วสะดุดกึกกับม้าตัวที่อยู่ข้างคอกเจ้าไวท์วินด์ ผมเดินมาหยุดตรงหน้าม้าสีขาวๆ แต่ก็ออกเหลืองนิดๆ อาจจะเพราะม้าตัวนี้นั่งอยู่ทำให้ผมไม่ทันสังเกต ผมหันไปมองเจ้าไวท์วินด์ที่หันหน้าไปเคี้ยวหญ้าอีกด้าน ส่งสายตาอย่างขอบคุณ ช่างเป็นม้าที่แสนรู้จริงๆ! ผมหันมาพิจารณาม้าตรงหน้า ว้าว! ให้ตาย มันเป็นม้าที่งดงามจริงๆ นะครับ
“สาวน้อยแสนงดงามตัวนี้ชื่อว่า แซนด้า เป็นม้าพันธุ์พาโลมิโนซึ่งสีจะพิเศษ สีเฉพาะที่เรียกตามสายพันธุ์ของมัน เป็นม้าแข่งพันธุ์ดี บังเอิญจริง” ปู่วอลเธอร์เดินเข้ามาเอ่ย เขามองหนูแซนด้าด้วยสายตาพินิจ จากนั้นก็มองไปที่เจ้าไวท์วินด์แล้วบ่นพึมพำเบาๆ ผมถอนหายใจโล่ง บังเอิญจริงๆ นั้นแหละ บังเอิญเลือกได้ดี! ผมส่งสายตาไปขอบคุณเจ้าไวท์วินด์อีกครั้ง ถึงจะไม่ให้ขี่แต่ก็อุตส่าห์ช่วย มันเป็นม้าที่ดีจริงๆ เจ้านายคงจะสั่งสอนมาดีสินะ
ต่อรีถัดไป 