บอกแล้วนะว่า --รับเฉพาะมาโซฯ—เพราะฉะนั้น ใครไม่ชอบทำร้ายจิตใจตัวเอง กรุณาจรลี.นทันที ก่อนที่ความเกรียนจะฉุดรั้งท่านให้อ่านต่อ..
ผมอุตส่าห์บอกกับตัวเองว่าจะไม่เขียนคู่รักโลกแตกนี้อีก แม้จะมีคนอ่านที่เกรียนเอ่ยชื่อสองคนนี้ในรีพลายบ่อยครั้ง
มีปล.ว่าคิดถึงโจ-หนุ่ม อยู่สม่ำเสมอ แต่ผมก็ไม่หวั่นไหว!!
ทว่า..รีพลายนี้ในกระทู้คุยสบาย(?)สไตล์เกรียน..เป็นฟางเส้นสุดท้าย ก็รู้ว่าไม่มาต่อ..แต่อยากขอไปอย่างนั้น....(อันนี้เพื่อใจอ่อน)
อยากอ่าน โจ หนุ่ม..แบบโครตพ่อโครตแม่เลยอ่ะ....
..... ทำใจไม่ได้อย่างแรงงงง...เม่ง...เศร้ายิ่งกว่าตอนโกโบริตายอีกนิ (อันหลังนี้บ่งบอกอายุ)
เออ ในเมื่อชอบทำร้ายตัวเองกันนัก คนเขียนจะเกรียนใส่ ทำร้ายคนอ่านด้วยโจ-หนุ่ม!!
เอ่อ..ใครอยู่อยุธยา ถ้าเห็นนมแลตตาซอยจากพัทลุง กรุณาคว้ามาดื่ม เพราะอาจเป็นของผม
รักเกรียนคนอ่าน ขอให้น้ำลด เข้าสู่สภาวการณ์ปกติเร็วๆนะครับ
Warning : ห้ามอินเช่นเคยINDY special :: บทกวี(ที่ไม่อาจ)..สร้างโลก“ลมเพลมพัด ร้องขับขานเป็นลำนำ ว่าพี่นี้เป็นคนจร มาจากดินแดนด้ามขวาน..มาหาความรักแม่คนงาม แค่อยากให้เจ้ารับรู้..เพียงอยากให้เจ้ารับฟัง”
ผมอ้าปากร้องเพลงที่เคยฟังสมัยเด็กๆด้วยอารมณ์ติสท์เต็มที่..
“อะไรวะ เป็นคนเหนือ ไปร้องเพลงใต้ซะงั้น”
ไอ้โกทัก
ส่วนไอ้ทัศน์หัวเราะ “มันก็ร้องเพราะดี”
ผมยักไหล่ “บทกวีและดนตรีไม่มีพรมแดนเว้ย”
ผมนั่งอยู่กับไอ้โก,ไอ้ทัศน์และเตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของย้ายก้นไปจากที่นี่
เพราะรู้ว่าอีกไม่นานคู่รักคู่แค้นของผม ซึ่งนั่นก็คือ โคนัน ไอ้โจเว้ย
มันคงจะมานั่งที่ม้าหินอ่อนนี่ด้วย..
“อ้าว จะรีบไปไหนวะไอ้หนุ่ม?”
ไอ้โกทักเมื่อเห็นผมเก็บข้าวเก็บของ
“เอ่อ”
ผมนิ่งคิด แล้วก็คิดออก
“มึงไม่รู้เหรอ น้ำจะท่วมโลกแล้วนะ กูต้องรีบไปสร้างเรือโนอาห์ก่อน ถ้าพวกมึงว่างๆก็รวบรวมบรรดาสิงสาราสัตว์ไว้เป็นคู่ๆนะ ไปละ บาย”
.
.
<< หน้าเพื่อนผม
แต่ผมไม่สนใจว่าไอ้สองตัวนั่นจะทำหน้ายังไง ผมต้องรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีซะก่อน
.
.
“เป็นมุขขอตัวกลับที่ควายมาก”
เสียงขุ่นๆลอยมากระทบโสตประสาท..
ผมพ่นลมหายใจ เอามือเท้าเอว แล้วสะบัดหน้ากลับมาแบบนางสาวไทยที่โดนปลดเป็นพริตตี้ขายรถ
“กูมันเลว”
ผมบอกไอ้โจแทนความคิดมัน และเสริม
“กูมันร่าน นอกใจมึง เอากับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตามึง และกูขอโทษ แต่นั่นไม่ได้ช่วยอะไร และไม่ได้ทำให้กูเลวน้อยลง ถึงแม้กูจะรักมึงแค่ไหน แต่เมื่อกูทรยศต่อความไว้วางใจของมึง ความรักก็หมดความหมาย และกูเข้าใจดี”
ผมพูดเร็วแทบไม่หายใจ
“กูเข้าใจความเจ็บปวดของมึง และอยากให้มึงเข้าใจด้วยว่า..”
ผมกลืนน้ำลาย “คนที่ต้องอยู่กับตราบาปและรอยมลทินนี้ไปจนชั่วชีวิตจะเป็นยังไง ซึ่งคนคนนั้นก็คือกู..”
..ดวงตาผมแห้งผาก
คาดว่าต่อมผลิตน้ำตาคงไม่ผลิตไม่ทันหรอก เพราะถ้าคุณคิดว่าสองสามตอนดราม่าของ INDY in love
ไอน้องเกรย์ร้องไห้เรื่องพ่อ น้องกร และเรื่องในอดีตของเจ้าตัวจนน้ำท่วมอ่างแก้วนั้น ของผมคงต้องท่วมแม่น้ำปิง..
ไอ้โจดูจะอึ้งไปที่ผมยืนเท้าเอวแว๊ดใส่มันด้วยการประจานความเลวของตัวเอง
และมันก็ยังไม่พูดอะไรออกมา..
“กูรู้..”
ผมพยักหน้าอย่างยอมจำนนต่อฟ้าดินและต่อไอ้โจ
“แต่ตอนนี้กูก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะไสหัวไปให้ห่างจากชีวิตมึงอย่างที่มึงต้องการ แต่ทำไม..”
ผมมองตามัน “ทำไมมึงต้องคอยจิกกัดกูอยู่ตลอดเวลา?”
มันเป็นคำถาม แต่ผมไม่ได้ต้องการคำตอบจากมัน ผมกลับพูดต่อ
“มุขขอตัวกลับของกูอาจจะควาย แล้วมึงจะให้กูบอกพวกมันว่ายังไง ว่ากูต้องหลบหน้า ว่ากูกลัวเจอมึงงั้นเหรอ?”
ดวงตาไอ้โจยังคงเย็นชา..นิ่งเฉย..
ผมกัดฟัน “ถ้ากูบอกความจริง พวกมันก็ต้องสงสัยว่าทำไม มึงไม่อยากให้ใครรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าเราเคย..”
ผมหยุดไว้แค่นั้น..ไม่อาจพูดต่อได้
“เออ กูเข้าใจ”
ในที่สุดไอ้โจก็พูดออกมา แม้ดวงตามันยังคงเหี้ยมเกรียม
“แต่ก็ช่วยกรุณาทำตัวให้มีชีวิตชีวา ไม่ใช่ทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายน่าสมเพชให้คนอื่นสงสัย! เรียกร้องความสงสารรึไง!”
ผมพ่นลมหายใจออกมา แล้วว๊ากใส่มัน
“มึงรู้มั๊ย กูเครียด คนมันกำลังอ่อนไหว กำลังกดดัน แต่กูก็กำลังพยายามเต็มที่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมึงควรพยายามเข้าใจ ให้เวลากูหน่อย และที่สำคัญนะโจ เรียนรู้ที่จะหุบปากซะบ้าง!”
แล้วผมก็หันหลังกระทืบเท้าโครมๆจากมา
เพราะขืนอยู่ต่อไอ้โจคงลากผมไปฆ่า แล้วเสียบประจานไว้หน้าคณะวิศวฯนี่แหละ
. . . . . . . . . . . . . . . .
“พี่หนุ่มๆ”
เอ..ใครเรียกนะ?
ผมหันไปมอง
อ่าว ภรรยาสุดสวาทขาดใจของไอ้ทัศน์นั่นเอง มันคือ น้องนน เกรย์เว้ย!
“พี่หนุ่ม พรุ่งนี้ที่ชมรมวรรณศิลป์จัดกิจกรรม 'บทกวี..สร้างโลก' พี่หนุ่มย้ายก้นมาด้วยนะ”
เมียไอ้ทัศน์แจ้งข่าว
ผมพยักหน้ารับรู้ “ได้สิ เรื่องบทกวีพี่ไม่พลาดอยู่แล้ว”
ผมยิ้มให้น้องเกรย์และตั้งท่าจะเดินจากไปเรียน
“เอ้อ.. เจ๊หนุ่ม”
ไอ้น้องเกรย์จอมเกรียนเรียกอีกครั้ง
“หือ?”
ผมหันไปเลิกคิ้ว
“ชวนพี่โจมาด้วยนะ คนจะได้เยอะๆ รุ่นน้องจะได้รู้สึกว่าเราใส่ใจ”
.
.
<< หน้าผม
ขอโทษเถอะเทพยดาฟ้าดิน คนอื่นไม่มีปากชวนมันแล้วเรอะ!!
.
.
ผมนั่งยืดขาราบกับพื้นหญ้านั่งทำใจแอสไพรินอยู่ที่อ่างแก้ว
ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดเบอร์ที่ไม่อยากกดเลยซักนิดเดียว..
..ผมรอสายเรียก
แล้วก็ได้ยินเสียงกดรับ
“ถ้าจะโทรหาชู้ ก็ผิดเบอร์แล้วล่ะ”.
.
ผมถอนหายใจ ไม่สนใจคำที่มันถากถาง ตั้งใจจะบอกข่าวของชมรมอย่างเดียว
“พรุ่งนี้ชมรมจัดงานบทกวี..สร้างโลก อยากได้สต๊าฟไปช่วยดูแลน้อง เท่านี้แหละ”
ผมพูดอย่างรวดเร็วแล้วรีบกดวาง
..ไม่ต้องการรับฟังคำด่าใดๆอีกแล้ว
ไม่ใช่ผมไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง
ยอมรับสิครับ..ยอมรับมาสามปีแล้ว
ผมเองก็ประณามตัวเองต่างๆนาๆ และไม่เคยต้องการให้ใครเห็นใจคนเลว
แต่ตอนนี้..ผมเพียงแค่เหนื่อยและทรมานกับตราบาปนี้เหลือเกิน
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“กลอนกับบทกวีต่างกันยังไงน่ะครับพี่ๆ?”
รุ่นน้องถามขึ้นในห้องชมรมวรรณศิลป์
ไอ้โจหันมามองผมโดยอัตโนมัติเหมือนทุกครั้ง
“อืม..อันนี้พี่ไม่รู้นะ ว่ากูรูทั้งหลายให้ความเห็นว่ายังไง แต่ในความเห็นของพี่ กลอนเป็นสับเซตของบทกวีครับ”
ผมยักไหล่ บอกน้องอย่างจริงใจ
“กลอนกับบทกวีต่างก็เป็นวรรณกรรม เพียงแต่ที่มีคำว่ากลอน เป็นเพราะร้อยกรองมีหลายประเภท นอกจากกลอน ยังมีโคลง ฉันท์ กาพย์อีกด้วย ซึ่งแต่ละประเภทก็มีฉันทลักษณ์เป็นของตนเอง ส่วนบทกวีนั้นคือทุกอย่างรวมกัน”
น้องเกรย์ยิ้ม ลุกขึ้นมายืนเคียงข้างผม
“และนอกจากนั้น..แม้ถ้อยคำที่ไม่มีฉันทลักษณ์เลย แต่หากมีวรรณศิลป์ก็เป็นบทกวีครับ..”
. . . . . . . . . . . .
ผมปลีกตัวออกจากห้องชมรมมานั่งเล่นดูดาวพราวพรายที่ระเบียงอาคารกิจกรรมนักศึกษา
..ผมคิดถึงแม่ครับ
ฮ่ะๆ ไม่รู้สินะ
ไม่รู้ใครเป็นเหมือนผมบ้าง.. เห็นดวงดาวแล้วผมคิดถึงแม่
ทำผิดพลาดอะไรไป..ผมก็คิดถึงแม่
ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนเลว..ผมก็คิดถึงแม่
ผม..
“มานั่งอินดี้อยู่ตรงนี้คิดว่าเท่?”
.
.
ทายสิครับว่าใครเห่า..
“รู้มั๊ย ถ้ามึงยังไม่เรียนรู้ที่จะหุบปาก กูจะเริ่มคิดว่ามึงยังiydกูอยู่นะ”
กล้าพูดนะกู - -'
ผมสวนกลับนิ่งๆ ทั้งๆที่ไม่ได้คิดจริงจัง
“คิดได้นะ”
ไอ้โจแค่นหัวเราะ “มึงคิดว่ากูจะเอาคนอย่างมึงไปทำอะไรได้อีก?”
เจ็บครับ..
แต่ผมสมควรได้รับแล้วนี่นา..
“อือ..”
ผมพยักหน้า ตายังมองดวงดาว
“ด่ามาเลย ด่าเสร็จแล้วก็ช่วยไปด้วย กูจะได้ดูดาวต่อ”
ไอ้โจทำเสียง “เฮอะ” ในลำคอ แล้วทิ้งผมไว้ลำพังที่ริมระเบียงเหมือนก่อนหน้านั้น..
ผมหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กกับปากกาที่มักพกติดตัวเอาไว้เสมอขึ้นมา และรัวเขียนลงไป..
ก่อนจะกลับหอ..ผมฉีกหน้าที่เขียน..แปะติดไว้บนบอร์ด 'บทกวี..สร้างโลก' หน้าห้องชมรมวรรณศิลป์
ดวงดาวทอแสง..
..กายอ่อนแรง
หัวใจแฝงความสำนึกผิด..
..ม่านเมฆม้วนดำดิ่งลงใน..ห้วงความคิด
..ที่ซึ่งไม่มีสิทธิ์ แม้จะเอ่ย..ขอโทษ... . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ขอได้รับความขอบคุณจาก..เกรียนน้อย