“น้องครับ สนใจสมัครชมรมกรีฑามั้ย”
“สนใจชมรมถ่ายภาพมั้ยคะ”
“น้อง”
“น้องครับ”
“ฯลฯ”
เสียงเรียกชักชวนมากมายทำให้บรรยากาศคึกคักเป็นที่สุด ผมได้ยินมาว่าวันเปิดเทอมวันแรกมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ชมรมโน่นนี่นั่นก็จะมาชักชวนให้รุ่นน้องปีหนึ่งมาสมัครกันอย่างกระตือรือร้น
สำหรับผม มันเหมือนกับว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ มาที่นี่คนเดียว... เอ่อ ไม่สิ บางทีอาจมีเพื่อนที่โรงเรียนเก่าย้ายมาด้วยก็ได้ แต่ผมก็ไม่เคยรู้จักใครที่โรงเรียนเก่านอกจากไอ้มิ้นท์กับซินหรอกครับ
แน่นอนว่าผมไม่คิดจะเข้าชมรมอะไรแน่นอน เอาเวลาว่างไปรับวาดรูปหาเงินดีกว่า แต่ที่แน่ๆวันนี้ผมต้องไปลงทะเบียนเรียนให้เสร็จก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อลงทะเบียนเสร็จแล้วผมก็ได้รับใบตารางเรียนมา ผมพลิกดูกระดาษในมือและเห็นวิชาเรียนปีหนึ่งส่วนมากจะเป็นวิชาเบสิคอย่างเช่นวิชาเลข ภาษาอังกฤษ ฯลฯ พอเทอมสองโน่นละจึงจะเริ่มเข้าวิชาเฉพาะ นึกถึงสมัยเรียนมัธยมต้องเรียนเช้ายันเย็น แต่พอเข้ามหา’ลัยแล้วบางทีก็เรียนแค่เช้า บางทีก็เรียนแค่บ่าย มีแค่บางวันเท่านั้นที่เรียนทั้งเช้าและบ่าย แต่ก็แค่สองวิชาเอง มันสบายจนน่าอิจฉาพวกเด็กมหา’ลัยจริงๆนะครับ
อีกเกือบสัปดาห์แหละครับกวาจะเริ่มเรียนจริงจัง ช่วงนี้ก็ถือโอกาสสำรวจสถานที่ไปก่อน...
ที่นี่ร่มรื่นไม่แพ้ที่โรงเรียนเก่า คงเพราะว่าเป็นมหาวิทยาลัยไกลกรุงเทพและยังคงรักษาสภาพแวดล้อมป่าๆเอาไว้ มองไปทางไหนก็มีต้นไม้เต็มไปหมด อาคารเรียนหลายคณะตั้งห่างกันมากจนต้องใช้มอเตอร์ไซค์หรือจักรยานในการเดินทาง สงสัยว่าผมคงต้องหาจักรยานเป็นของตัวเองแล้วละ
ตามแบบฉบับนักเรียนทุนอย่างผมแน่นอนว่าต้องอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยครับ ห้องที่ผมอยู่มีแค่ผมคนเดียวเอง ดูเหมือนว่าตอนนี้ยังไม่มีรูมเมทอีกคนมา เพราะว่าส่วนมากเขาก็จะไปอยู่หอนอกกัน ก็มันสบายกว่าหอในอะครับ หอนอกมีทั้งแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น แต่หอในมีแค่พัดลมเพดานก็หรูแล้ว พวกลูกคนรวยคงอยู่กันไม่ได้หรอกครับ แต่อย่างว่าแหละ ผมมันอยู่แบบตามมีตามเกิดมานานแล้วก็เลยชิน
“เฮ้อ~” พอได้เอนหลังลงบนที่นอนก็ถอนหายใจยาว สบายจริงๆครับ
แกรก..
ผมควานมือเข้าไปในกระเป่าเพื่อหยิบไอพอดมาเปิดเพลงดังๆ อา...อยากได้คอมพิวเตอร์จังแฮะ ไอ้มิ้นท์ไม่อยู่ให้ยืมแล้วคงต้องหาเป็นของตัวเอง แต่ผมไม่มีเงินนี่นา คงต้องเก็บอีกนานเลยละ
ลืมบอกไปว่ามือถือผมก็ไม่มีใช้นะ ฮามั้ยละ อิอิ
*********************************************************************************************
และแล้วในที่สุดวันเปิดเรียนจริงๆก็มาถึง เพื่อนในคลาสเดียวกับผมเยอะไม่ใช่น้อยเลยครับสำหรับเอกศิลป์ ผมมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้หญิงอีกแล้ว ฟังนามสกุลของแกแล้วคุ้นๆนะ แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากไหน อจ.แกชื่อรุจิรัตน์ครับ ดูท่าคงสามสิบกว่าแล้วแหละ แต่ว่าสวยโคตรเลย เดินไปทางไหนเนี่ยมีแต่ลูกศิษย์ชายมองตามเหมือนโดนมนต์สะกดเลย
วันแรกนี้เราเรียนแค่ครึ่งวันครับ เพื่อนร่วมคลาสส่วนมากเหมือนว่าเขาจะย้ายมาเรียนจากที่เดียวกันทั้งนั้น อย่างกลุ่มที่เข้ามาทักผมนี่ก็ย้ายมาจากที่เดียวกันครับ เห็นว่ามาจากโรงเรียนเตรียมฯน่ะ
“เราว่าเราเคยเจอนายมาก่อน นายเคยไปแข่งวาดรูปที่งาน xxx มาใช่มั้ย? ” คนหน้าใสตาตี่ที่ถามผมอยู่นี้คือคนแรกที่มาทัก ก่อนที่เพื่อนคนอื่นของเขาจะเดินเข้ามาสมทบ
“ไอ้กิมันจำคนแม่น มันคงเคยเห็นนายที่ไหนจริงๆแหละ” อีกคนที่หน้าตาดูไทยๆ ผิวเข้มสะอาดตาและตัวเบ้อเริ่มคือหมายเลขสองที่คุยกับผม
“เอ่อ... ผมก็เคยไปแข่งงานนั้นมานะ แต่จำไม่ได้จริงๆว่าเคยเจอนายหรือเปล่า” พอผมตอบไปแบบนั้นคนที่ชื่อกิก็ทำสีหน้าปวดร้าว
“เรายังจำนายได้เลยนะเว้ย นายคือคนที่ได้รางวัลชนะเลิศแล้วก็รีบกลับทันทีโดยไม่รับรางวัลใช่มั้ย” ผมอึ้ง ดูท่าเจ้ากินี่จะจำได้ฝังใจมากเลยนะ
“ไอ้นี่มันได้ที่สองน่ะ มันเลยอยากเห็นคนที่มันแพ้ก็เลยไปแอบดูหน้านาย ว่าจะเข้าไปคุยด้วยนายก็กลับแล้ว” คนหน้าไทยขยายความ ผมก็เลยถึงบางอ้อ ผมจำได้ว่าวันนั้นน่ะ ผมมีสอบตอนบ่ายที่โรงเรียนก็เลยรีบกลับก่อน
“อ๋อ” ผมพยักหน้า
“ว่าแต่นายชื่ออะไร เราชื่อกิ ส่วนไอ้นี่ชื่ออั๋น ไอ้นี่ชื่อตอง” คนชื่อกิแนะนำตัวเองและเพื่อน คนหน้าไทยๆคนนั้นชื่ออั๋นครับ ส่วนอีกคนที่หน้านิ่งไม่พูดอะไรเลยสักคำก็คือตอง กิเนี่ยดูท่าจะเป็นพวกอัธยาศัยดีครับ อั๋นด็ดูเป็นลูกคู่กับกิได้ดี ส่วนตองเนี่ย ดูเงียบเสียน่ากลัวเลยละ แต่ก็ดูพวกมันรักกันดีนะครับ
“เราชื่อเอม” ผมยิ้ม ในที่สุดก็ได้เพื่อนใหม่ละ
หลังจากที่เริ่มไปเรียนและคลุกคลีกับพวกนั้นได้สัปดาห์กว่าๆ ก็พอรู้ว่านิสัยดีใช้ได้ แถมยังอยู่หอในเหมือนกันครับ กิมันบอกว่าอยากลองลำบากดูบ้าง นอนแอร์มาทั้งชีวิตแล้ว ผมฟังละหมั่นไส้ อิจฉาลูกคนรวยจริงอะไรจริง
“ว่าแต่เอม ห้องนายอยู่แค่คนเดียวเหรอ?” กิมันถามผมหลังเลิกเรียนในวันหนึ่ง ผมก็พยักหน้า
“พอดีเลยเนี่ย ห้องเราต้องอยู่กันสามคนแน่ะ ปรกติเขาให้อยู่ห้องละสองใช่มั้ยละ ให้ตองไปอยู่กับนายได้ปะ” เหวอ! ไอ้หน้านิ่งนั่นอะนะ ตั้งแต่รู้จักกันมาหลายวันเนี่ย มันพูดนับคำได้เลยนะครับ ทำไมไม่เอาเป็นกิหรืออั๋นมาอยู่กับผมแทนละ พอผมจะอ้าปากถามก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมา
“พวกมึงอยากอยู่กันสองคนใช่มั้ย”
เสียงนิ่งห้าวๆของตองดังขัดจังหวะ มันเหมือนเป็นปฏิกิริยาอะไรสักอย่างอะครับ พอเวลาคนที่ไม่ค่อยพูด เขาพูดสักครั้งเนี่ย ทุกคนจะหันมาตั้งใจฟังโดยอัตโนมัติเลยนะครับ ผมเองพอได้ยินที่ตองมันพูดแล้วก็งง หันไปมองหน้ากิกับอั๋นก็...
เอ่อ...
สองคนนั้นมันหน้าแดงว่ะครับ...
อั๊ยย่ะ!!
“พวกนาย... สองคน...” ผมพูดแค่นั้นหน้ากิก็แดงกว่าเก่า บ๊ะ ไอ้นี่มันอายแล้วน่ารักไม่ใช่น้อยครับ
“เรากับกิคบกันอยู่น่ะ..” อั๋นพูดแทนกิที่เขินจนใบ้กินไปแล้วครับ ผมเองชักจะเขินตามแล้วสิ
“เอม...เอมคงไม่ได้รังเกียจใช่มั้ย?” กิถามเสียงอ่อน
“เฮ้ย ไม่ๆ ไม่เลย” ผมปฏิเสธทันทีครับ ผมเนี่ยนะจะเกลียดเกย์ ฮ่าๆๆ
“ถ้าตองจะมาอยู่กับเราก็มาเลยนะ ตามสบายเลย” ผมหันไปบอกตองที่ทำแค่สีหน้าเรียบเหมือนเคยแล้วมันก็พยักหน้า กิเอื้อมมือมาบีบมือผมแล้วยิ้มเขินๆ
“ถ้าไอ้ตองมันทำให้รำคาญใจก็บอกเรานะ”
“พ่อมึงแน่ะ” ป้าบ อูย... มือใหญ่ของตองฟาดเบาะๆที่หน้าผากกิ เห็นแล้วเจ็บแทนเลยครับ
“โอ๊ย ไอ้ตอง มึง! กูจะบอกให้เอมแกล้งมึงตอนนอน” กิเอามือลูบหน้าผากตัวเองแล้วด่าตองปาวๆ
“เหอะ” นั่นแหละ วันนั้นตองพูดแค่นั้นแหละครับ แล้วจนกระทั่งมันหอบข้าวของมาห้องผม ผมก็ยังไม่ได้ยินเสียงมันอีกเลย
สรุปแล้วผมได้รูมเมทคนใหม่เป็นใบ้??
นี่ก็เปิดเรียนมาได้ครบเดือนแล้วนะครับ พวกผมเรียนๆๆกันจนแทบลืมวันเวลา การบ้านกองพะเนินเป็นอะไรที่ผมเคยชินมาตั้งแต่สมัยมัธยม ผมเลยชิลๆ แต่กิกับอั๋นเนี่ยสิ สงสัยไม่ค่อยเจอการบ้านเยอะเลยทำไม่ค่อยทันต้องมาเร่งทำกันในวันหยุด สงสัยมั้ยครับว่าทำไมผมไม่พูดรวมตองไปด้วย นั่นก็เพราะว่าตองทำการบ้านเสร็จทันเสมอครับ พอเลิกเรียนกลับห้องมาก็ทำการบ้านทันทีเหมือนผม ทำเสร็จแล้วตองถึงจะออกไปเตะบอล เห็นว่าตองอยู่ชมรมฟุตบอลน่ะครับ
“เอาของมึงมาลอกหน่อยสิตอง” อั๋นพูดอย่างหงุดหงิดหลังจากที่แก้โจทย์แมทไม่ได้สักที
“ไม่ได้ ทำเองสิมึงอะ” กิเอ็ดเสียงเขียวทำเอาอั๋นสลด วันหยุดนี้พวกมันมาเทกันที่ห้องผมหมดเลยครับ ผมนอนฟังเพลงในไอพอดอย่างสบายอารมณ์ ส่วนตองก็นั่งเช็ดรองเท้าสตั๊ดอยู่ ตอนแรกที่ผมรู้ว่าตองเล่นบอล ผมก็ตกใจนะครับ เพราะส่วนมากพวกนักกีฬาจะเหม็นเหงื่อและซกมก(ใช่มั้ย?) ผมก็หวาดๆว่าตองจะเป็นพวกซกมกหรือเปล่าหว่า แต่พออยู่ไปก็รู้ครับ ว่าตองรักสะอาดมากกก
เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ที่นอน โต๊ะเขียนหนังสือเนี่ย ตองมันทำความสะอาดประจำครับ สะอาดกว่าผมอีก - -“
ก๊อกๆ
ตองที่อยู่ใกล้กว่าเดินไปเปิดประตู ตัวมันใหญ่จนบังมิดไม่เห็นเลยว่าใครมาเคาะ ได้ยินเสียงพูดคุยนิดหน่อยแล้วตองก็ปิดประตูห้อง
“ใครมาเหรอตอง” ผมถาม
“คนดูแลหอ เขาเอานี่มาส่ง” ตองวางกล่องพัสดุข้างตัวผม ความคุ้นเคยทำให้ผมดีดตัวขึ้นมาพรวดจนเพื่อนตกใจว่าผมจะตื่นเต้นอะไรนักหนากับพัสดุกล่องเดียว ผมยกกล่องมาวางไว้ที่โต๊ะหนังสือแล้วหยิบมีดคัตเตอร์มาค่อยๆกรีดเปิด ใจผมเต้นโครมครามจนลืมไปว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง เลยไม่ทันได้สังเกตว่าเพื่อนใหม่สามคนมายืนจ้องผมอย่างสนใจด้านหลัง
แกร่ก แกร่ก
ผมมือสั่นในขณะที่เปิดฝากล่อง ลายมือหวัดที่จ่าหน้าซองมายังเหมือนเดิม
To Mr.Rojchanakorn Tungchitr-paisalหลังจากที่ผมได้ตัดสินใจส่งรูปถ่ายงานจบการศึกษาของผมกลับไปให้พี่จินโดยจ่าหน้าช่องที่อยู่ของผมเป็นที่นี่ ผมจึงได้รับพัสดุกล่องนี้มา มันเป็นการบอกพี่จินอ้อมๆน่ะครับว่าผมย้ายมาอยู่หอในมหาวิทยาลัยแล้วนะ เอ่อ...ผมรู้สึกเขินจัง -//-
พี่จินส่งรูปมาให้เหมือนเดิม แล้วก็มีกล่องบุด้วยกำมะหยี่ขนาดเท่าฝ่ามือ ผมพอเดาออกว่ากล่องหรูหราขนาดนี้คงใส่เครื่องประดับ แต่จะเป็นอะไรนั่นล่ะ?
ผมเปิดกล่องออกแล้วเห็นสร้อยข้อมือสีเงินประดับด้วยจี้พลอยสีขาวรูปตัว G ผมพลิกมันไปมา สร้อยข้อมือส่งประกายล้อกับแสงที่ส่องมาทางหน้าต่าง การ์ดใบน้อยเขียนเพียงแค่ว่า ‘Congratulation’ เท่านั้น
“นี่มันแพลตตินั่มนี่...” เสียงกิจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง แล้วก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวเมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสามชะโงกดูกันอย่างสนใจ
“บ้านกิเป็นร้านขายเพชรน่ะ” อั๋นขยายความ
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่ก้มมองสร้อยข้อมือต่อ ไม่รู้หรอกครับว่ามันแพงแค่ไหน รู้แต่ว่ามันสวยจริงๆครับ สวยมาก ผมไม่เคยได้มีของแบบนี้เป็นของตัวเองมาก่อน แล้วอักษร G นั่นก็...
“ใครให้เหรอเอม~ แพลตตินั่มมันแพงไม่ใช่เล่นน้า แถมพลอยนั่นก็เป็นไวท์แซฟไฟร์เสียด้วยยยย” กิลากเสียงยาวจนผมขนลุก พอหันไปก็เห็นมันทำตาระยิบระยับเลยครับ
“..เอ่อ...คนรู้จักน่ะ..” ผมอ้อมแอ้มตอบ
“จริงหรา~~~~ คนรู้จักชื่อย่อ G” อั๊ยย่ะ กิมันเซ้าซี้ผมใหญ่แล้วง่ะ ผมหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากอั๋น อั๋นยิ้มขำๆแล้วลากคอกิให้ไปทางอื่น
“มึงง่ะ ให้กูเค้นถามจากเอมมันก่อนดิว้า!” เสียงแจ๋วๆโวยวายมาให้ได้ยิน ผมแค่ขำแล้วก็หันมาสนใจกับของในกล่องต่อ
ดูเหมือนว่าที่โน่นเป็นฤดูฝนเหรอ? เพราะในรูปส่วนมากมีแต่ฝนทั้งนั้น ผมเกลียดฝน เพราะฝนมันมักจะทำให้ผมเหงา และเสียงฟ้าผ่าก็ทำให้ผมกลัว แล้วพี่จินจะเหงาเหมือนผมหรือเปล่า?
“เอมมีแฟนแล้วเหรอ”
“ตองว่าอะไรนะ” เหมือนว่าผมจะได้ยินตองพูดอะไรสักอย่างแต่ฟังไม่ถนัด ผมหันไปถามตองที่นั่งพิงหัวเตียงใกล้กับโต๊ะที่ผมนั่ง ตองส่ายหัวแล้วก็บอกว่า “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
ผมขมวดคิ้ว บางทีผมอาจหูแว่วไปเอง สงสัยจะคิดถึงพี่จินมากเกินไป ผมพลิกดูรูปจนครบทุกใบแล้วก็มีกระดาษโน้ตร่วงลงมาจากรูปใบหนึ่ง ลายมือหวัดๆเขียนข้อความมาสั้นเหมือนเดิม
‘พี่เบื่อฝนที่ปารีสแล้วละ ’
‘คิก.’ ผมหลุดขำมานิดหนึ่ง ในใจคิดออกแค่คำว่า ‘น่ารัก’ ที่ทำตัวเหมือนเด็กๆ แค่เพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆมันก็ดึงดูดใจผมได้อีกแล้ว
“พี่จิน...” เพียงแค่นึกถึงใบหน้าผมก็เผลอเรียกชื่อพี่จินออกมาเสียแล้ว... จะได้ไหมนะ ถ้าผมจะบอกพี่ว่ากลับมาเมืองไทยสิ ถ้าเบื่อฝนที่ปารีสแล้ว...
ผมคิดถึง...
ภาพของชะเอมที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเพื่อนทั้งสามไปได้ คนหนึ่งอยากรู้อยากเห็นตามประสาคนเป็นเพื่อนกัน และหมายมาดว่าจะต้องรีดเค้นเรื่องราวมาให้ได้ คนหนึ่งคิดว่าจะต้องคอยห้ามคนแรกไม่ให้ไปเซ้าซี้เพื่อนใหม่จนเกินควร และคนสุดท้าย...ที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะต้องเจอปัญหาตัวใหญ่บิ๊กเบิ้มที่ชื่อว่า จินเจอร์...
** มาแบบสองตอนต่อเนื่อง ต้อนรับวันหยุดค่ะ