Love Sick
- 19 -
วันนี้พี่จินพาผมมาถอดเฝือกขาโรงพยาบาลตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อจะได้ไม่ต้องรอคิวนาน โรงพยาบาลรัฐบาลเนี่ย ยิ่งสายคิวยิ่งเยอะว่ามั้ยครับ
“เอม ดื่มนมก่อนครับ เดี๋ยวท้องว่าง” พี่จินยื่นกล่องนมมาให้ตรงหน้าผม มืออีกข้างหิ้วถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อ ผมรับกล่องนมที่เจาะหลอดดูดมาให้เรียบร้อยแล้วก็สัญญากับตัวเองไว้ในใจว่าถ้าหายดีจะขอเป็นฝ่ายดูแลพี่จินบ้าง T T
ผมแอบมองพี่จินที่ไม่น่าเชื่อว่าเอาเข้าจริงจะเป็นคนที่ดูใจดีมากกว่าท่าทางแข็งๆภายนอก นึกถึงเมื่อก่อนสิ แค่หน้าผมยังไม่อยากมองเลยอะ นับประสาอะไรกับการมานั่งใกล้กันแบบนี้...
“มองหน้าพี่ทำไมครับ?”
“มองก็ไม่ได้ ขี้งกจัง”
“ฮื้อ ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ละ” พี่จินยกแขนมาโอบไหล่ผมแบบไม่แคร์สายตาพี่ป้าน้าอาแล้วก็ยกกาแฟขึ้นมาดื่ม ว่าแต่กาแฟเนี่ยมันอร่อยนักเหรอ? ผมว่ามันขมออกจะตาย ผมไม่ค่อยชอบดื่มเท่าไรหรอกนะ
นั่งเล่นกันสักพักคุณพยาบาลก็เรียกให้ผมเข้าไปในห้องตรวจ พี่จินปฏิเสธตอนที่พยาบาลจะเข้ามาเข็นรถเข็นของผม และจัดการเข็นเข้าไปเองเสร็จสรรพ พี่จินเทคแคร์ดีจนผมรู้สึกว่าได้รับรังสีอำมหิตจากพยาบาลแถวนี้มากเป็นพิเศษ
“อืม ถือว่าฟื้นตัวไวมากนะครับ แสดงว่าดูแลรักษาร่างกายได้ดี ถ้าขยันเดินบ่อยๆ ไม่นานก็จะกลับมาเดินคล่องเหมือนเดิมเองแหละ” คุณหมอพูดไว้อย่างนี้น่ะครับ เสร็จแล้วพี่แกก็จัดการเอาเลื่อยมาตัดเฝือก ความรู้สึกแรกหลังจากที่เฝือกหลุดออกไปจากขามันโล่งแบบบอกไม่ถูกเลยครับ เหมือนจะบินได้ประมาณนั้นเลย
“เดินไหวมั้ยเอม?” พี่จินยื่นมือมาให้ผมจับขณะที่ลองพยุงตัวเอง ผมรู้สึกแปลกๆเหมือนเด็กหัดเดินแหะ...
“ไหวครับ”
“ก็ค่อยๆเดินนะครับ อย่าเพิ่งหักโหม” ผมก็คงไม่คิดจะวิ่งตอนนี้หรอกครับคุณหมอ เหอะๆ หักอีกรอบละจะยุ่ง
พี่จินพาผมมานั่งรอระหว่างที่ตัวเองไปจัดการเรื่องเงินๆทองๆ พอขาหายแล้วผมก็เริ่มซ่า อยากจะไปเรียนสุดๆ แต่ถึงไปผมก็คงทำอะไรไม่ได้หรอกครับ แขนเดี้ยงแบบนี้ T T
“ช่วงที่พี่ไม่อยู่น่ะ ก็ชวนพวกเพื่อนมาอยู่ด้วยนะ จะได้คอยช่วยเหลือกันได้” พี่จินพูดขึ้นมาผมก็นึกได้ วันมะรืนแล้วนี่นาที่พี่จินจะไปปารีส ฮือ...............
“อ้าว ทำหน้างอทำไมครับ”
“เปล่า”
“เปล่าอะไรละ พอพี่พูดเรื่องจะไปปารีสก็หน้าบูดเชียว”
“ก็เอมไม่อยากให้ไปเลยนี่ครับ” ผมจับแขนพี่จินไว้แน่น ทำไมที่จอดรถมันไกลแบบนี้นะ
“เดี๋ยวก็กลับมา พี่ไม่ได้ไปตายนะครับอย่าทำหน้าเศร้า” พี่จินพูดยิ้มๆ
“ก็รู้ครับ แต่เอมคิดถึงนี่...”
“ทำยังกับพี่ไม่คิดถึงแน่ะ” ตามนั้นแหละครับ พี่จินยืนยันหนักแน่นแบบนั้นผมก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไรแล้วแหละครับ ทำใจยอมรับและเลิกงอแงดีกว่านะ..
ผ่านไปสองวันผมก็กลับมาเดินได้คล่องแคล่วเหมือนเดิมแล้วครับ วันนี้คือวันที่พี่จินจะเดินทาง ผมเองก็ตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวง่ายๆให้พี่จินทาน แล้วก็มานั่งรอพี่จินอยู่หน้าบ้านเนี่ยแหละ
ผมลองนับวันดูเล่นๆว่าไม่ได้ไปเรียนมากี่วันแล้ว พวกอาจารย์แกก็ใจดีนะครับ อนุญาตให้ผมหยุดได้จนกว่าจะถอดเฝือกขา แต่จะต้องส่งงานให้ครับทุกชิ้น ถอดเฝือกขาเมื่อไรก็ค่อยไปเรียนครับ
ปิ๊งป่อง~
เสียงกดออดเรียกให้ผมเดินไปส่องดูว่าใครมาหา ผมเดินไปจนถึงประตูรั้วก็เห็นผู้ชายตัวสูงที่ยืนหันหลังให้ ผมเอียงคอด้วยความแปลกใจ ไม่มีเพื่อนผมคนไหนรูปร่างแบบนี้นา...
“!” เสียงเดินของผมทำให้ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามา พร้อมกับตัวผมที่แข้งขาอ่อนหมดเรี่ยวแรงเมื่อเห็นหน้าเขา คนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบแบบไม่คาดฝันกลับมายืนตรงหน้าผม...
“เอม...” ผมยังคงยืนนิ่งเมื่อเขาเรียกชื่อผม ใจสับสนว่าจะทำยังไงดี..
A: เดินเข้าบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
B: เปิดประตูให้และถามไถ่ทุกข์สุขว่าสบายดีไหม
C: กลับเข้าบ้านไปบอกพี่จินให้มาเปิดประตู
ผมยังคิดบ้าบอไม่ทันจบพี่จินก็เดินออกมาพอดี พอเห็นหน้าคนๆนั้นพี่จินก็มายืนขวางหน้าผมและถามพี่ชายตัวเองเสียงแข็ง
“มึงมาทำอะไร?” คนที่ถูกถามยิ้มหน้าปุเลี่ยน เมื่อถูกพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหินจากน้องชาย ผมที่ยืนอยู่หลังพี่จินเกาะเสื้อพี่จินไว้แน่น ทำไมเหมือนว่าอะไรก็ประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน....
“กูแค่จะมาพักผ่อน เห็นแม่บอกว่ามึงอยู่ที่บ้านคุณยาย กูก็เลยลองมาดู ไม่นึกว่าจะเจอ...”
ผมรู้ว่าพี่จินก็คงกระอักกระอ่วนเหมือนกัน กระเป๋าเดินทางของพี่เปปเปอร์บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงตั้งใจจะมาพักผ่อนที่นี่ แล้วไหนจะเป็นสายเลือดเดียวกันอีก จะไล่ก็ใช่ที่ แต่ก็ไม่ได้อยากให้อยู่ที่นี่
“พี่จิน... ให้เขาเข้ามาก่อนเถอะครับ” ผมกระซิบบอกพี่จินเบาๆ พี่จินเอื้อมมือมาบีบมือผมก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้พี่เปปเปอร์เข้ามา ส่วนผมก็เดินเลี่ยงเข้าไปในบ้านทันที
“มึงจะมาอยู่กี่วัน” พี่จินเดินมานั่งข้างผมแล้วโอบเอวผมไว้
“ก็คงสักครึ่งเดือน”
“แล้วไม่ไปเรียนหรือไง”
“ช่วงนี้ทำวิจัย ไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้”
ผมนั่งฟังพวกเขาคุยกันแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ผมไม่เคยจะสนใจอยู่แล้วว่าเขาจะเป็นยังไง เขาจะเรียนที่ไหน เรียนอะไรก็ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย แต่ไอ้เรื่องที่เขาบอกว่าจะมาอยู่เนี่ยสิ ทำเอาผมหงุดหงิดไม่ใช่น้อย
“จริงๆแล้ววันนี้กูจะต้องไปปารีส แล้วก็คงไม่อยู่อีกเกือบสองอาทิตย์ เพราะงั้นคงไม่สะดวกที่จะให้มึ-”
“อย่าใจดำสิวะ นี่กูอุตส่าห์ตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะเลยนะ”
ผมนั่งฟังสองพี่น้องเถียงกัน คนหนึ่งตื๊อ อีกคนหนึ่งพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่รู้ว่าหลังจากที่มีเรื่องของผมไปแล้ว พี่น้องคู่นี้มีความสัมพันธ์เป็นยังไงกันบ้าง ที่แน่ๆผมว่าพี่จินคงไม่ค่อยแฮปปี้กับพี่ชายตัวเองเท่าไรนัก
“แล้วกูจะไปอยู่ไหนวะ กูไม่อยากไปอยู่โรงแรม แถมแม่ก็เอาบ้านพักที่หัวหินให้พวกอายืมใช้อยู่” พี่เปปเปอร์ตื๊อจนพี่จินเองก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ผมเลยสะกิดที่แขนพี่จินเบาๆ
“ครับเอม?” พี่จินหันมาถามผมด้วยสีหน้าคนละแบบกับที่มองพี่เปปเปอร์เลยครับ ทำไมเปลี่ยนไวจัง =..=
“คือว่าพี่จินไม่ต้องห่วงเอมหรอกนะครับ เอมอยู่ได้...” พี่จินมองผมด้วยสายตาไม่มั่นใจ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วดึงแขนผมไปด้านนอกให้ห่างมากพอที่พี่เปปเปอร์จะไม่ได้ยิน
“เอมไม่จำเป็นต้องฝืนหรอกนะครับ ไอ้เปปมันจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว มันทำงี่เง่าไปเองแหละ” พี่จินพูดกับผมด้วยเสียงจริงจัง
“ไม่ฝืนหรอกครับ บ้านก็ตั้งกว้าง ยังไงก็ต่างคนต่างอยู่”
“แต่พี่ไม่อยากให้มันมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเอมตอนที่พี่ไม่อยู่”
“เอมก็รู้ครับพี่จิน แต่ว่าการที่เราจะไม่ให้เขาอยู่มันก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาก็มีสิทธิ์ในบ้านนี้เท่ากับที่พี่จินมี และถ้าเกิดว่าพี่จินเห็นแก่เอมจนไม่ยอมให้พี่ชายตัวเองมาพักก็น่าเกลียดเกินไปนะครับ” พี่จินทำสีหน้าครุ่นคิดเมื่อได้ฟังที่ผมพูด ผมเองก็ไม่ได้ทำใจได้อย่างที่พูดหรอกนะครับ แต่หากคิดถึงความเป็นเหตุเป็นผลแล้ว จะไล่ไม่ให้เขามาอยู่ก็คงไม่ได้ ผมเองก็ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรกับที่นี่ด้วย สิ่งเดียวที่จะทำให้ผมรู้สึกแย่ก็คือการที่ ‘ตัวตน’ ของคนๆนั้นจะเข้ามาแปดเปื้อนในสถานที่ของพี่จินกับผมต่างหาก...
สรุปแล้วพี่จินก็จัดให้พี่เปปเปอร์นอนในห้องชั้นล่างครับ เขาจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับผมที่ชั้นบน ตอนที่พี่จินจะขับรถไปสนามบินก็หันมาสั่งเสียผมไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ จนผมคิดว่าถ้าทำได้พี่จินอยากจะเอาผมเข้ากระเป๋าไปด้วยซ้ำ
“พี่จะโทรหาทุกวันนะ” พี่จินเอามือลูบแก้มผมตอนที่ผมเกาะอยู่ที่ประตูรถ นึกแล้วก็ใจหาย จะไม่ได้สัมผัสกันแบบนี้อีกนาน ผมหลับตาแล้วจับมือพี่จินให้แนบแก้มผมมากขึ้น ฮือ.. คิดถึงอะ
“เอมคิดถึงพี่จินนะครับ รีบทำธุระให้เสร็จแล้วก็รีบกลับนะ” เหมือนน้ำตาจะคลอๆอะ งือ..
“อืม ถ้ามีอะไรต้องบอกพี่ทันทีเลยนะครับ โทรมาเมื่อไรก็ได้ พี่เปิดบริการโทรข้ามประเทศให้แล้วนะ”
ถ้าผมไม่ตัดใจออกปากไล่ให้พี่จินไปละก็คงตกเครื่องแน่ๆครับ คุณลองนึกภาพในหนังดูนะ ฉากที่นางเอกโบกมือลาให้พระเอกน่ะ อารมณ์นั้นเลยแหละ T^T
หลังจากพี่จินขับรถออกไปแล้วผมก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน มองไปรอบๆไม่เห็นพี่เปปเปอร์นะครับ สงสัยจะเข้าห้องไปแล้ว ผมก็เลยขึ้นไปบนห้องตัวเองเหมือนกัน ตอนนี้ยังไม่อยากจะเผชิญหน้าน่ะครับ
..
........
.............
.......
....
..
.
..
.
.
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก พี่เปปเปอร์มาอยู่ได้สาม-สี่วันแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เคยเจอหน้าเขาอีกเลยตั้งแต่วันแรก ดูเหมือนว่าผมจะตื่นเช้าไปเรียน ส่วนเขาตื่นสาย ผมกลับไว ส่วนเขากลับดึก หลังจากที่ผมเล่าสถานการณ์ที่บ้านให้ฟังแล้ว บางวันกิมันก็ตามมานอนกับผมด้วย
วันนี้เป็นวันหยุดซึ่งผมไม่มีเรียน ผมอุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาเพื่อวางแผนว่าจะทำอะไรดี ชิ่งหนีออกจากบ้านไปเลยดีมั้ย มืดๆค่อยกลับ หรือว่าจะเล่นเกมมาราธอนดี? คิดไปคิดมาไม่โอสักกะอย่าง วันนี้ผมอยากนั่งวาดรูปอยู่บ้านอะ
ผมจัดแจงขนของกินและเครื่องดื่มสำหรับดำรงชีวิตในวันนี้ไปที่ห้องวาดรูปข้างห้องนอน ด้วยแขนข้างเดียวนี่มันก็ลำบากเหมือนกันนะ แต่ไม่มีอะไรที่ชะเอททำไม่ได้หรอกคร้าบ~
ผมที่หอบข้างเต็มแขนใช้เท้าถีบประตูห้องปิดเบาๆ เฟรมวาดรุปยังคงตั้งอยู่ที่เดิม กลิ่นผ้าใบ กลิ่นสีช่างชวนให้คิดถึง คอยดูนะ ถ้าผมถอดเฝือกแขนเมื่อไรละจะวาดรูปมันทั้งวันทั้งคืนเลย
“ยังเก่งเหมือนเดิมเลยนะครับ” เสียงจากด้านหลังทำเอาผมที่กำลังเพลินหยุดมือทันที ขนบนร่างกายผมมันก็ลุกซู่ขึ้นมาแบบไม่ได้นัดหมาย นี่ผมจะรู้สึกขนลุกอะไรได้ขนาดนี้เนี่ย
“พี่มีธุระอะไรหรือเปล่า” ผมถามเสียงเย็น โอ๊ย ทำไมผมถึงรู้สึกเกลี๊ยดเกลียดคนๆนี้ขนาดนี้นะ!
“พี่ก็แค่อยากมาพูดคุยทักทายด้วยไม่ได้เหรอครับ”
“แล้วพี่ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าผมจะอยากคุยกับพี่หรือเปล่า?”
“แหม ไม่เจอกันไม่กี่ปี วาจาเผ็ดร้อนขึ้นเยอะเลยนะ” ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าที่รู้สึกว่าน้ำเสียงของผู้ชายคนนี้มันฟังดูก้อร่อก้อติกน่าขยะแขยงพิกล อันที่จริงมันไม่สมเหตุสมผลด้วยซ้ำที่ผมจะต้องรู้สึกรังเกียจอะไรเขาขนาดนี้ มันเพราะอะไรกันนะ?
“แถมยังน่ารักกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ” อี๋ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ชัดเลย กลิ่นแบบนี้!! เมามาชัดๆ
“อย่ามายุ่งกับผม!” ผมปัดมือพี่เปปเปอร์ที่จับลงมาบนบ่าของผมอย่างถือวิสาสะ กลิ่นละมุดและกลิ่นอาเจียนโชยมาพอให้ผมคลื่นไส้ ความขยะแขยงมันพุ่งปรี๊ดขึ้นมาจนหยุดไม่อยู่
“แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยเหรอ ทีเมื่อก่อนละ พี่เปปเปอร์อย่างนั้น พี่เปปเปอร์อย่างนี้” เขาบีบไหล่ผมแน่นมากเลยครับ แถมยังล็อกแขนข้างที่ดีของผมไว้ ส่วนอีกข้างที่ใส่เฝือกน่ะเหรอ? ช่วยอะไรไม่ได้เลยแม่ง - -*
“เมาแล้วก็ไปนอนซะ อย่ามาทำตัวปัญญาอ่อนแบบนี้!”
“กูไม่ได้เมาโว้ย! แล้วก็มึงนั่นแหละที่ปัญญาอ่อน ร่าน แรด ไม่ได้พี่ก็ไปเอาน้อง ทำไม!! เห็นว่าบ้านกูรวยก็เลยอยากจับพวกกูทำผัวจนตัวสั่นสินะ ที่ร่านมาอยู่กับไอ้จินนี่คงเสร็จน้องกูไปนานแล้วสิ เอากันไปกี่ท่าแล้วละ!!”
โครม!
พี่เปปเปอร์ล้มกระแทกลงกับกองถังสีด้านหลัง ผมลุกยืนหอบแฮ่กๆเพราะว่าออกแรงถีบไปที่ท้องของมันจนเต็มแรง ผมไม่เคยโมโหใครจนต้องลงไม้ลงมือแบบนี้มาก่อนเลย ในเมื่อผมชกมันไม่ได้ ผมก็ถีบแทน แต่ดูท่าว่าเขาคงจะยังเมาไม่พอ เพราะตอนนี้ไอ้พี่เปปเปอร์ลุกมาจ้องหน้าผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อได้แล้ว
“เก่งนักเหรอมึง!” ผมลืมไปครับว่าสมัยเรียนเขาเป็นนักกีฬา แถมร่างกายก็ใหญ่โตกว่าผม รู้ตัวอีกทีผมก็ถูกจับโยนไปกับผนัง เจ็บจนจุก แต่ยังดีที่เฝือกแขนไม่กระแทกซ้ำ เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วคร่อมผมเอาไว้ ก่อนจะเอามือบีบคางผมเต็มแรง
“เก่งนักก็ขัดขืนกูให้ได้ตลอดรอดฝั่งนะ!!”
***********************************************************
*** เอ่อ... ดูเหมือนจะเข้าใจผิดกันไปเยอะ... คำว่างานใหม่ของบีไม่ได้หมายถึงที่ทำงานใหม่นะคะ
บีหมายถึงได้รับมอบหมายงานชิ้นใหม่ต่างหาก