Love Sick
- 23 -
ผมนั่งเลื่อนดูสเตตัสของเพื่อนๆในเฟซบุ๊ค อันที่จริงผมไม่ค่อยเล่นเฟซบุ๊คเท่าไร แต่ว่าเวลาที่เราอยากจะรู้ความเป็นไปของเพื่อนโดยไม่กล้าถามนี่มันก็เป็นหนทางที่ดีเหมือนกันนะครับ
‘I’m here again...’
คำบรรยายใต้รูปภาพพระอาทิตย์กำลังจะจมหายลงไปในท้องทะเล ตรงด้านซ้ายของภาพมีต้นแก้วต้นเดิม มุมเดิมที่ผมเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว จากเรื่องของกิกับอั๋นในวันนั้นก็ผ่านมาสาม-สี่เดือนแล้ว ที่ริมทะเลในรูปนี้ ก็เป็นบ้านพักตากอากาศที่หัวหินของกิ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในรอบหนึ่งเดือนที่กิหลบมาที่นี่ มาคนเดียว และถ่ายรูปอัพลงเฟซบุ๊ค เหมือนจะเป็นการบอกกลายๆว่า ฉันยังอยู่ดี ไม่ต้องเป็นห่วง...
มันคงไม่ฆ่าตัวตาย... ละมั้ง?
คิดไปก็คงไม่ได้อะไรหรอก เพราะชีวิตของใครก็ต้องดูแลกันเอง คนนอกก็ทำได้แค่คอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆเท่านั้นละ โชคดีว่าเพิ่งสอบมิดเทอมไป การบ้านงานกลุ่มอะไรก็ไม่มี ให้มันไปพักเสียให้สบายใจดีกว่า
ตอนนี้พวกผมเหลือเรียนอีกแค่ครึ่งเทอมก็จะขึ้นปีสามแล้ว เวลามันผ่านไปเร็วแท้ๆ จะเอายังไงกับชีวิตไม่รู้เลย บางทีเรียนจบไปผมอาจเป็นศิลปินไส้แห้งก็ได้มั้ง
“นั่งอมยิ้มอะไรคนเดียวครับ” เสียงนุ่มกระซิบเบาๆข้างหูพร้อมกับแขนโอบรอบคอ ผมลูบที่แขนนั้นด้วยความเคยชินก่อนจะตอบปนขำ
“เอมกำลังคิด ว่าถ้าเอมเรียนจบแล้วเป็นจิตรกรไส้แห้ง พี่จินจะเลี้ยงเอมมั้ยครับ?” ในใจผมก็ลุ้นๆนะครับ อยากรู้ว่าพี่จินจะตอบกลับมายังไง
“อืม...แย่จัง เพราะพี่ก็กะว่า ถ้าเอมเรียนจบแล้วทำงาน จะให้เอมเลี้ยงพี่สักหน่อย”
“อ้าว ไหงงั้นละครับ ไม่ได้นะ พี่จินเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็ต้องเลี้ยงเอมสิ”
“หึหึ พี่ก็อยากให้เอมเลี้ยงมั่งสิ ไม่ได้เหรอครับ”
“งั้นเอมก็ต้องหางานทำจริงๆสินะ พี่จินกินจุเสียด้วย...”
“แต่พี่จะว่านอนสอนง่าย ให้ให้เอมต้องเหนื่อยมากหรอก” จินเจอร์ยังคงหยอกล้อต่อ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มทำหน้าครุ่นคิดว่าจะหาเลี้ยงตัวเองยังไงก็ยิ่งตลก ดูท่าว่าคงจะหมกมุ่นเรื่องนี้ไปอีกนานถ้ายังไม่เลิกแกล้ง ว่าแล้วก็อุ้มมันมาเลยดีกว่า
ร่างบางกว่าถูกหิ้วปีกจนตัวลอย จินเจอร์นั่งลงบนโซฟาอีกตัวและจับเอมนั่งตักตัวเอง มือใหญ่ลูบแก้มเอมเบาๆ รักเหลือเกิน... ชีวิตคนเราไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรื่องของเอมก็เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายสำหรับจินเช่นกัน
ใครจะไปคิดละว่าเราจะสามารถรักคนๆหนึ่งที่ไม่ใช่พ่อแม่ได้มากขนาดนี้...
“เอมรู้มั้ย ว่าพี่รักเอมมากเลยนะ” แค่ฟังก็หน้าแดงแล้ว แถมเจ้าคนพูดยังพูดด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนกับว่ากำลังพูดเรื่องคอขาดบาดตาย
“แล้วทำไมพี่จินต้องพูดด้วยสีหน้าจริงจังแบบนี้ละครับ!” ผมถามเสียงสูง ประเดี๋ยวก็เหนี่ยวสักทีดีมั้ย >//<
“ก็เพราะว่าพี่กำลังคิดน่ะสิ เอมรู้มั้ยว่าพี่เองก็แปลกใจเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่จะรักเอมมากขนาดนี้”
“อะไรกัน พูดอย่างกับว่ามันเป็นเรื่องประหลาดมากงั้นแหละ”
“ฮ่าๆ นั่นสิ แต่สำหรับพี่มันเป็นเรื่องอัศจรรย์มากเลยนะครับ เพราะว่าคนอย่างพี่ที่ไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา จะมีเอมอยู่ในความคิดมากขนาดนี้”
“แหวะ”
“หึหึ เขินอะดิ”
“อื๊อ อย่าหยิกตะหมูกดิ เดี๋ยวดั้งแหมบนะ”
“คนบ้านไหนเนี่ย เรียกจมูกว่าตะหมูก”
“อิอิ ก็คนบ้านเนี้ยแหละ” พี่จินยังไม่ยอมปล่อยมือจาก ‘ตะหมูก’ ของผม แต่กลับดึงหน้าผมให้เข้าไปใกล้ชิดขึ้นอีก
ผมชอบเวลาที่ริมฝีปากของเราแตะกันเบาๆ เหมือนเอาปากมาชนกันแบบนั้นแหละ แต่ดูเหมือนว่าคงไม่ทันใจพี่จินสักเท่าไร เพราะเจ้าตัวเริ้มใช้ฟันงับปากผมแรงๆ
“อื้อ เอมเจ็บนะ” เสียงผมไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบสักเท่าไร
“ไหนบอกชอบ” นั่นสิ... เถียงไม่ออกเลย ไม่ว่าพี่จินจะจูบ กอด หอม กัด สัมผัสแรง อ่อนโยน หรืออะไรก็ตาม ผมชอบหมดแหละ ผมชอบที่ได้เป็นที่รักของคนๆนี้...
ผมนับไม่ได้ว่าตลอดช่วงชีวิตที่เหลือของเราได้จูบกันอีกกี่ครั้ง คงเป็นเพราะว่ามันไม่สามารถนับได้ วันเวลาที่ผันผ่านไป ชีวิตของหลายคนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ยังคงอยู่สำหรับผม คือสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงชีวิตของผมไว้กับผู้คนเหล่านี้...
ไอ้มินท์ ได้สุขสมหวังในรักกับซินที่ใฝ่ฝัน มีลูกสาวลูกชายฝาแฝดที่น่ารักสองคน และยังคงพาหลานมาหาผมบ่อยๆ
ตอง วางแผนจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ โดยมีพี่พีร์พยายามจะขอวีซ่าเพื่อตามไปอยู่ด้วย
อั๋น ได้ยินว่าหลังจากทำงานได้แค่สองปี ก็เลิกกับน้องรหัสคนนั้น และตอนนี้กำลังคบหากับผู้หญิงที่เพื่อนเป็รฝ่ายแนะนำให้รู้จัก (มันเป็นไบ? ผมเพิ่งรู้ - -**)
กิ ยังเป็นพ่อพวงมาลัย ลอยไปลอยมา ไม่ได้คบใครเป็นเรื่องเป็นราว และส่วนมากก็ใช้ชีวิตอยู่หัวหินในฐานะเจ้าของบูติกรีสอร์ทที่กำลังมาแรง และดูเหมือนว่ารอยยิ้มของมันก้กลับมาสดใสขึ้นเรื่อยๆ บางทีกาลเวลาอาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น...
และคนในหัวใจของผม ยังเสมอต้นเสมอปลาย ผมยังมีความสุขทุกวันที่ตื่นมาและได้เจอหน้าพี่จินเป็นคนแรก ได้รับการยอมรับจากครอบครัวของเขา คุณแม่ของพี่จินตอนที่รู้เรื่องของเราดูจะอึ้งไปบ้าง แต่ท่านก็รับได้ (คงเพราะลูกชายคนโตผลิตหลานชายสาม หญิงหนึ่งให้ท่านสมใจแล้วนั่นละ) พี่จินยังคงต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างไทยและปารีส แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ผมก็ตามไปกับเขาทุกครั้ง เมื่อเจ็ดปีก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น และก็คงเป็นเช่นเดิมตลอดไป
สำหรับคนที่ไม่มีอะไร ไม่มีใครมาแต่แรกอย่างผม เพียงเท่านี้มันก็คุ้มค่าพอที่จะให้ผมใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว...
-- THE END --
จบแล้วนะคะ สั้นๆนิสนึง แต่ก็ยังดีกว่าคาราคาซังไว้ -..-
อันที่จริงเรื่องนี้มันก็ไม่ค่อยมีประเด็นอะไรมากมายหรอกค่ะ คิดว่าส่วนสำคัญๆก็ผ่านไปหมดแล้ว
และตอนนี้สมองก็มีแต่พล็อตเรื่องใหม่ด้วย อิอิ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ