“มืดแล้ว รีบกลับเหอะ เด๋วพรุ่งนี้ต้องไปที่อื่นต่อ” ผมคะยั้นคะยอปิงให้กลับโรงแรมได้แล้ว
เพราะยิ่งนานไป ก็ยิ่งหารถยากขึ้นเท่านั้น
“อือ กลับก็กลับ ตอนนี้แรกว่าจะไปไนต์บาซาอีกคืนนะเนี่ย” ปิงบ่นกระปอดกระแปด
“ป่านนี้แล้วมันจะยังมีรถแดงอีกเหรอไง” ปิงว่า
“เราว่าขึ้นรถตุ๊กตุ๊กเหอะ เร็วดีด้วย”
“จะดีเหรอ” ผมถามด้วยความลังเล
“อือ ”ปิงพยักหน้า พลางโบกรถตุ๊กตุ๊กคันนึงที่เห็นอยู่ไวๆ
ชั่ววินาที ผมรู้สึกถึงลางบอกเหตุบางอย่าง รถกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาเรื่อยๆ
- ทำไม? - ผมนึกในใจพร้อมกับจิตใจที่เริ่มรู้สึกถึงพะว้าพะวนอย่างบอกไม่ถูก
รถเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ทุกที จนในที่สุดก็มาจอดเทียบอยู่ตรงหน้าเราสองคน
ผมเห็นปิงตรงเข้าไปบอกสถานที่พักของเรากับคนขับรถ ผมพยายามสังเกตท่าทางของคนขับ
พร้อมหันไปทางปิงซึ่งกำลังก้มตัวเข้าไปในรถ ผมอ้าปากตั้งใจจะบอกให้รอคันต่อไปจะดีกว่ามั้ย ....
ทว่าในที่สุดก็ไม่ได้พูดออกมา ปิงฉุดมือผมขึ้นไปนั่งข้างหลังรถตุ๊กตุ๊กคันนั้น
คนขับแรงเครื่องยนต์ทะยานออกจากจุดเดิมอย่างรวดเร็ว
“ปิง บอกให้เค้าขับช้ากว่านี้เหอะ” ผมกระซิบบอกปิง แต่ปิงก็ทำหน้าบู้บี้
“ไปเรื่องมากกับเค้า ระวังโดนขวดเหล้าตีหัวหรอก ไม่เห็นข้างหน้ารถเหรอไง” เมื่อเจอไม้นี้
เข้าผมก็เงียบกริบ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
“.......”
ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก
เฟี้ยววววววววววววววววว
“......”
ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก
เอี้ยดดดดดด
“......”
ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก
หัวใจผมเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับคนขับรถที่บิดเพิ่มความเร็วของรถให้เร็วขึ้น มันไม่ดีเลย
ด้วยความเร็วขนาดนี้ กับสภาพคนขับรถที่ผมเห็นก่อนขึ้น ... ถ้ามีอะไร อ๊ะ ไม่ซิ เราจะคิด
เรื่องแบบนั้นไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้
ผมภาวนาอยู่ในใจ
ในระหว่างที่กำลังจะถึงเลี้ยวทางแยกไฟแดง คนขับหันมามองดูข้างหลังว่ามีรถตามมาหรือไม่ ....
ช่วงจังหว่ะนั้น รถมอเตอร์ไซต์คันนึงพุ่งออกมาจากอีกด้านของถนน
“เฮ้ยยย ไอ้เหี้ย” คนขับรถสบถออกมาด้วยท่าทีตกใจสุดขีด
“เฮือก ... ” ผมได้ยินเสียงหายใจตัวเองหยุดลง
ชั่ววินาทีต่อมา รถโดยสารพยายามเบรกตัวเอง ในขณะที่คนขับอยู่ในอาการตื่นตกใจ แต่พยายาม
หักพวงมาลัยให้ไปอีกด้าน รถเสียการทรงตัวทันทีพร้อมกับแรงที่เกิดจากความเร็วมหาศาลก่อนหน้านั้น
รถตุ๊กตุ๊กแฉลบออกผ่านเส้นเลน แล้วปะทะเข้ากับขอบทางกั้นถนน ตัวรถครูดเข้ากับขอบที่กั้น
เกิดเป็นสะเก็ดไฟร่วงลง
“หวา หวา!!!! ”
แรงกระแทกทำให้ตัวรถกระเด็นมาอีกด้านนึงของถนน ตอนนี้รถเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง และถลา
ตรงไปด้านหน้าแล่นตรงเข้าหาเสาไฟฟ้าคอนกรีต
ชั่ววินาที ผมสัมผัสได้ถึงร่างของปิงเข้ามาโอบกอดผมไว้ พร้อมๆกับเสียงโครมใหญ่ และแรงสั่นสะเทือน
มากมายที่เกิดจากการปะทะกันอย่างรุนแรง ผมรู้สึกว่า ร่างของตัวเองกระเด็นออกมาจากนอกรถ
พร้อมๆกับปิง ซึ่งบัดนี้ถูกแรงกระแทกกระเด็นหลุดจากตัวผมไปอีกด้านนึง
ครืด ครืด ครืด
“อือ อือ ” ผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่เจ็บปวดทั่วร่างกาย ก่อนจะค่อยลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น ผมเห็นล้อรถ
หมุนคว้างด้วยความมึนงง ดวงตาเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆอย่างพล่าเลือน พร้อมกับยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเอง
รู้สึกถึงของเหนียวเหลวๆตรงฝ่ามือ
เลือด !?
“อะ โอ๊ยย” ผมเริ่มร้อง แต่ก็นึกในใจถึงปิง ไม่ได้ยินเสียงปิงเลย ผมพยายามเงยหน้า เลือดเริ่มไหล
ลงมาด้านข้างศีรษะ มาที่แก้ม จนมาหยดลงที่คาง แต่ผมไม่สนใจ...
“ปะ ปิง ... ปิง ”
ผมพึมพำเรียกชื่อคนรักซ้ำไปมา ในขณะที่เริ่มมองไปที่รอบๆ ผมเห็นคนขับรถติดอยู่กับตัวรถตุ๊กตุ๊กคันนั้น
ปิงไม่ได้อยู่ในรถ !?
“อา ปิง ปิง” ผมเริ่มเพ่งมองไปรอบๆอีกครั้ง ผมเจ็บ ปวด ทรมาน แต่ผมอยากเจอปิง - -
บนพื้นถนนด้านข้างถัดออกไปเล็กน้อย - - แสงไฟฟ้ากระพริบถี่ ติดๆดับๆ ผมเห็นร่างอันชุ่มไปด้วย
เลือดของปิงนอนกลิ้งอยู่
“ปะ ปิง ปิง ปิง” ผมพยายามพยุงตัวด้วยแรงทั้งหมดเข้าไปหาเค้า มันยากลำบากเหลือเกิน ผมคิดในใจ
-ไม่ - ผมได้แต่คิด ไม่มีเสียงอะไรเปล่งออกมาจากตัวผม .... และตัวปิง
ผมพยุงร่างตัวเองมาถึงตัวเค้า จับแขนเขย่าไปมาด้วยความอ่อนแรง ผมไม่มีแรงเหลือแล้ว ...
ไม่มีแล้ว
“ปิง ได้ยินมั้ย ปิง ” ผมเริ่มเขย่าแรงขึ้น เลือดของผมหยดลงบนร่างของปิง รอยด่างดวงที่เกิดจากเลือด
ของปิงเริ่มขยายวงกว้างขึ้นบนพื้นถนน
“ปะ ปิง อย่าเป็นอะ อะ อะ ไร นะ ... ” ผมเริ่มร้องไห้ น้ำตาผมไหลออกมา ผสมกับเลือด
เหนียวข้นของตนเอง .....และทุกสิ่งก็ดับวูบลง
* * * * * * * * * * * *
(ดนตรีประกอบก๊อป url ไปวางหน้าต่างใหม่นะครับ
www.swn.ac.th/76.swf )
ในห้องคนไข้อุบัติเหตุนอก ผมรู้สึกตัวขึ้นพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอน ก่อนจะได้กลิ่นฉุนของยา
ในโรงพยาบาล ผมเกลียดกลิ่นนี้ ผมคิดว่า ถ้าได้กลิ่นนี้ มันจะนำความทุกข์มาให้ มันไม่มีอะไรดีเลย
ผมคิดในใจ ในระหว่างที่สติสัมปชัญญะยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนัก
- ที่นี่ที่ไหน ? -
ผมมานอนทำอะไรที่นี่กัน ผมเริ่มลำดับเหตุการณ์ แล้วจึงพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดรุกล้ำเข้ามาทันที
ผมเห็นพยาบาลที่อยู่ใกล้ตัวเดินเข้ามาหาผม
“อย่าพึ่งขยับเขยื้อนค่ะ น้องตอนนี้น้องได้รับบาดเจ็บอยู่ ยังเคลื่อนไหวไม่ - -”
“แล้วเพื่อนผมล่ะ”ผมโพล่งออกมา ผมนึกออกแล้ว รถโดยสารที่ผมนั่งมา เกิดอุบัติเหตุ รถหักหลบไป
ชนกับเสาไฟฟ้า แล้วจากนั้น .....
“ปิง .. ปิง เพื่อนผมอยู่ไหน” ผมละล่ำละลักถามพยาบาลที่มีท่าทีตกอกตกใจ
“ตอนนี้เพื่อนน้องอยู่ในห้องไอซียูคะ หมอกำลังรักษาอยู่ ใจเย็นๆนะคะ ตอนที่น้องสลบอยู่ทาง
โรงพยาบาลติดต่อกับญาติของน้องได้แล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางมาเชียงใหม่นะคะ”
พยาบาลพยายามอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง แต่ตอนนี้ใจผมยังพะวักพะวนอยู่ที่ห้องไอซียู
- ปิง ... ไม่นะ ... ทำไมตอนนั้น ถ้าเราไม่ยอมขึ้นรถตอนนั้น มันคงไม่ .....-
- ปิง เราขอโทษ ปิง ... ถ้าเรา ...........- ผมเฝ้าโทษแต่ตัวเอง
ตอนนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
“พี่คับ พาผมไปห้องฉุกเฉินนะคับ” ผมอ้อนวอนพยาบาลอยู่เป็นเวลานาน ในทีแรก เธอไม่ยอมอยู่ท่าเดียว
จนผมทรุดตัวลง แล้วยกมือไหว้พี่เค้าท่วมหัว
“พี่ครับ ได้โปรด พาผมไป - -” ผมเริ่มสะอึกสะอื้น แล้วในที่สุดพยาบาลสาวก็พาผมไปที่ห้องๆนั้น
ตอนนี้ไฟสีแดงที่ขึ้นว่าฉุกเฉินดับลงแล้ว ผมไม่รู้ว่าเค้ารักษาปิงเสร็จแล้วหรือยัง ย้ายปิงออกไปหรือยัง
แล้วหมอยังอยู่มั้ย เมื่อพยาบาลทำสัญญาณให้ผมเข้าไปได้ ผมจึงค่อยเดินเข้าไป
ตึก ตึก ...
ผมเดินอ้อมผ่านผ้าขาวที่ขึงปิดร่างปิงเอาไว้ มองให้เห็นคนรักผมชัดเจนยิ่งขึ้น ........
ผมคิดอะไรไม่ออก นอกจากเงยหน้าไปมองเครื่องตรวจระดับการเต้นของชีพจรภายในห้อง บัดนี้
เส้นสีเขียวนั้น ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงความมีชีวิตอยู่ของคนที่นอนอยู่
“ปิง” ผมเรียกชื่อเบาๆ ไม่จริง สมองผมเริ่มสั่งการณ์ขัดแย้งกับภาพที่เห็น
- มันเกิดอะไรขึ้น -
ผมเริ่มเบลอ พร้อมกับพึมพำชื่อคนรัก เท้าผมไม่มีแรงแม้กระทั่งเดินไปหาปิงที่เตียง
“ ปิง ยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย ยังมีชีวิตอยู่ - - ฮึก .... - - ฮึก - - ฮึก ”
ผมไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป แม้ว่าหยาดน้ำตาที่กำลังหยาดหยดลงบนพื้น หยดแล้วหยดเล่า จะมากแค่ไหน
แต่ผมก็ไม่รู้สึก ทุกอย่างชาและเงียบสงัด
- ปิงยังมีชีวิตอยู่ ............... ใช่มั้ย -
ผมตั้งคำถามในใจ เท้าผมเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า แม้จะอ่อนแรงเต็มที ผมเหนื่อยอ่อนเหลือเกิน
ชายในชุดขาวของโรงพยาบาลนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง ผมมองไปที่ใบหน้าของปิง มีร่องรอยที่
เกิดจากแรงกระแทกตามตัวของปิง แต่ใบหน้าของปิง ไม่มีร่องรอยบอบช้ำ ดวงตาปิดสนิทเหมือนกำลัง
หลับอยู่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือใบหน้าซีดขาวลงเรื่อยๆ
ผมค่อยๆเอื้อมมือไปจับที่ใบหน้าของปิง สัมผัสอุ่นๆ ที่เริ่มจะลดระดับลงเรื่อยๆ ความร้อนในร่างของปิง
เริ่มหายไปทีละนิด ทีละนิด ผมสัมผัสไปทั่วไปหน้า หน้าผาก ตา จมูก แก้ม ริมฝีปากบางสีชมพูเริ่มซีดลง
แม้ว่าร่างกายจะอิดโรยซักเพียงไหน แต่จิตใจที่แหลกสลายของผมตอนนี้ มันสร้างความเจ็บปวดและ
ทุกข์ทรมานแสนสาหัสนัก ผมไม่เคยต้องสูญเสียใคร ผมไม่ต้องการ .....แม้ว่าผมจะร้องไห้
จะทุรนทุรายแค่ไหน บัดนี้คนรักของผม จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ...
ร่างของผมทรุดลงไปกับพื้น เสียงร้องไห้ของผมดังขึ้น ดังขึ้น ผมไม่สามารถทำอะไรได้อีก
ไม่มีอีกแล้วคนที่ผมคอยดูแลผม ไม่มีอีกแล้วคนที่ห่วงหา คนที่เฝ้าบอกรัก เคยมีคนบอกว่า
การที่เราได้เลิกรักกับใครซักคนนึงมันเจ็บปวด แต่มันก็ยังรักษาหายได้ แต่ความทุกข์ทรมาน
ที่ต้องทนอยู่กับความรักที่ยังมีอยู่นั้น มันเจ็บปวดยิ่งกว่า ... ทั้งๆที่ความรักกำลังดำเนินอยู่
มันยังไม่ได้สิ้นสุดลงไป แต่มันจบลงด้วยความตายของอีกฝ่าย
แม่น้ำแห่งความทรงจำของปิง ผมอยากเห็นมันเหลือเกิน แต่บัดนี้ ผมคงจะต้องกลับไปชื่นชมมัน
แต่เพียงผู้เดียว เพียงลำพัง เพราะคนอีกคนนึง ได้จากไปแล้ว....
* * * * * * * * * * * *
รูปที่มีภาพผมถ่ายกับปิงร่วงหลุดมือโดยไม่รู้ตัว น้ำตาผมหยดแหมะลงไปบนหน้าสุดท้ายของบันทึกที่
ผมเขียนเอาไว้หลังจากที่กลับมาที่บ้าน สมุดบันทึกความรักที่ผมตั้งใจเขียนความทรงจำทุกๆอย่างเกี่ยว
กับผมกับมัน ผมตั้งใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะไม่กลับมาเปิดมันอีก เพราะทุกครั้งที่เปิด ทุกครั้งที่ผมเห็นรูป
ไอ้ปิง อดีตที่ฝั่งใจมันย้อนกลับมาหาผม เหมือนเกลียวคลื่นที่พัดเข้าฝั่ง ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
ปกติแล้ววันนี้ ผมคงต้องตามเจ้าปริ้นไปดูมันซ้อมลีดด้วย แต่ผมกลับอยากลงไปอุดอู้อยู่ในห้องใต้ดิน
ที่อยู่ใต้ห้องนอนปริ้นมากกว่า
ก่อนหน้าที่ปริ้นจะมาอยู่ที่นี่ ผมแอบเข้ามาปัดฝุ่น จัดตู้เตียงที่ห้องข้างล่างนี้ โดยไม่ให้ใครรู้ พร้อมกับ
วางสมุดบันทึกไว้ ผมอยากให้ปิงหลับอยู่ที่นี่ อยู่ข้างใต้นี้ เวลาที่ผมคิดถึงมันจนทนไม่ได้ ก็มักจะลงมา
ข้างใต้นี้ นอนร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า … ทำไม มัจจุราชต้องพรากคนที่ผมรักไปด้วยวิธีการที่โหดร้ายถึง
เพียงนี้ ?
คืนนี้ ก็เช่นกัน ผมค่อยเดินผ่านความมืด ไขประตูด้วยกุญแจสำรอง พร้อมกับเดินลงไปห้องใต้ดินด้วย
ความคุ้นเคย เวลานี้ ผมน่าจะคิดถึงปริ้นนี่นา ผมต้องคอยดูแลปริ้นนี่นา ทำไมผมถึงต้องมานั่งขลุกอยู่ในนี้
เพราะตลอดเวลา .. ผมยังลืมปิงไม่ได้ใช่มั้ย
ร่างกายผมค่อยๆนอนแผ่ลงบนเตียง ผมกลับมาเป็นคนขี้แย่ อ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
สายตาผมค่อยๆหรี่ลงเรื่อยๆ จิตใจผมมันช่างเปราะบางซะเหลือเกิน
* * * * * * * * * * * *
ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด
ปั้งงงง !? แคร๊ก
“…………………….”
หวา !! แย่แล้ว ... ผมคิดถึงในใจ หลังจากได้สติว่าเผลอเขวี้ยงนาฬิกาปลุกเข้าให้กับฝาบ้าน
พร้อมกับดันตัวเองขึ้นมาจากการหลับใหลอย่างขี้เกียจ
เช้าวันแรกของการเปิดเทอม โรคสุดฮิตของนักเรียนทุกคนของเช้าวันแรก ดูเหมือนไข้ขึ้นนิดหน่อย
ปวดเมื่อยตัว ตาลืมไม่ค่อยขึ้นถึงขั้นปิดทุกๆนาที และล้มตัวลงนอนอีก
5 นาที ...
ขออีก 10 นาทีน่า อีก .....
เฮ้ย สายแล้ว !!!
ผมยันตัวขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง หันไปหานาฬิกา ดูเหมือนมันแตกเป็นเสี่ยงจากแรงกระแทก
หันไปหยิบนาฬิกาข้อมือ
7.30 !?
ผมรีบกระวีกระวาดแต่งองค์ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้า จะถูกรีดไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำเมื่อวาน ก็แทบไม่ช่วย
ให้ผมรอดพ้นจากการต้องเข้าโรงเรียนสายเลย สุดท้ายผมก็เหมือนทุกคน ที่เมื่อเข้าสาย ก็ต้องมา
นั่งแตกแดดหัวแดง อีกฝั่งนึงจากเสาธง จนเมื่ออาจารย์พูดเสร็จนั่นแหละ ถึงจะได้หมดเวงหมดกรรม
และก็รู้ๆกันอยู่ เช้าวันแรกของการเปิดเทอม ทุกคนที่มีตำแหน่งในโรงเรียน ไล่มาตั้งแต่ ผอ.
ผู้ช่วยผ่ายบริหาร ธุรการ วิชาการ ปกครอง อ.หมวดโน้น หมวดนี้
“แม่ - ง พูดกันอยู่นั่นแหละ” ผมสบถ เสื้อที่พึ่งรีดมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“อ้าว มาสายด้วยเหรอเรา” อาจารย์ที่ผมสนิทคนนึงเข้ามาทักผม
“ฮ่ะ ฮ่ะ” ผมหัวเราะแห้งๆ
“เมื่อคืนดูเออ .. หนังสือดึกไปหน่อยน่ะครับ”
นั่นเป็นคำพูดแก้ตัวของผมซึ่งชอบใช้อยู่บ่อยๆ และมันก็ได้ผลซะด้วยซิ ผมยังคงรู้สึกงงๆ กับ
บรรยากาศที่คุ้นตา และพยายามหาอะไรบางอย่าง แล้วเสียงแรกที่ได้ยินก็คือ
เฟี้ยววววว เปี้ยยยยยยยยยะ
ผมสะดุ้งโหย่งเมื่อได้ยินเสียวหวดไม้เรียวลงบนเนื้อแน่นๆ ของเด็กเก(เร) คนนึงอยู่ ผมหัน
ไปมองว่าเป็นใคร อ้าว ไอ้เหี้ยเต้ยนี่เอง
“โดนตีอีกแล้วเหรอไงวันนี้” ผมถามด้วยความสมเพชหน่อยๆ
“ที่ถามนี่ เป็นห่วงกูเหรอว่า สมน้ำหน้ากู” ไอ้เต้ยถามผมเสียงเขียว
“ทั้งสองอย่างปนๆกันหว่ะ หนักไปอย่างแรก” ผมตอบหน้าชื่น
“ไอ้เวร เด๋วโดนต่อยเปรี้ยง” มันทำหน้ากำหมัดมาต่อย แล้วก็ตะคอกใส่ผม
“แย่งไอ้ปิงไปไม่พอ ยังทำให้มันตายอีก สาดดด” เต้ยพูด
“มึง โดนกูต่อยซะดีๆ เหอะ กูอยากมานานแล้ว” พูดไม่พูดปล่าว ผมเห็นไอ้เต้ยกำหมัดแน่น
พุ่งมาที่ผมด้วยความเร็ว
พลั๊กก ...
มีแขนของคนๆนึง รับหมัดของเต้ยเอาไว้ ผมหันไปมอง
“ปิงงงง” ผมตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ ระคนแปลกใจ
ปิงยิ้มให้ผม แล้วพูดต่อ
“ไม่เห็นต้องตะโกนขนาดนั้นเลย อยู่ใกล้แค่นี้เอง ปิงได้ยินแล้ว .... ” ปิงว่า
“ม่ะไหร่จะโตเป็นผู้ใหญ่ซะทีห่ะโอ้ต”
“ก็ ... ก็ เราฝันไปอะดิ ฝันว่า นาย .... นาย ตาย” ผมพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก
“นายทิ้งเราไป แถมยังผิดสัญญาที่ให้ไว้ด้วย”
ปิงยังคงยิ้มให้ผม พลางพูดขึ้นมา
“ก็ปิงก็ไม่ได้ไปไหนนี่นา ก็ยังอยู่เนี่ย เห็นป่ะ แล้วก็ไม่ได้ผิดสัญญาที่ให้ไว้ด้วย ”
“แต่มีคนบางคนนี่ดิ ไปแอบมีแฟนเด็กแล้วไม่ใช่เหรอไง” ปิงถามผมเสียงขุ่น
“หมายความว่ายังไง” ผมตอบแบบงงๆ
“ป่าว ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่วันนี้ไปเที่ยวกันเหอะ อยากเที่ยวหว่ะ” ปิงชวนผมพลางดึงมือ
“เฮ้ย เที่ยวได้ไง เรียน เรียน นี่อยู่ในโรงเรียนนะ” ผมแหวใส่
“โดดเหอะ วันนี้ ไม่ต้องเรียนมันหรอก ”
ไม่รู้วันนี้นึกคึกอะไร ผมเลยตัดสินใจโดดเรียนเป็นครั้งแรกไปกับปิงมัน และก็ถือว่าเป็นวันแรก
ที่ผมได้เที่ยวกับมันแบบหัวราน้ำเลยทีเดียว รู้สึกสนุกยังไงบอกไม่ถูก ทั้งเดินบิ๊กซี ดูหนัง หาอะไรกิน
เหมือนกับเวลามันผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว จนเราสองคนเดินกลับเข้ามาในโรงเรียนอีกครั้ง ก็พลบค่ำแล้ว
“หนุกป่ะ วันนี้” ปิงถามผม
“หนุกดีหว่ะ ฮ่ะฮ่ะ ไม่เคยโดดเรียนแล้วสนุกแบบนี้”
“อืมม หนุกก็ดีแล้ว” ปิงว่า พลางมองดูนาฬิกา
“จะมืดแล้ว เราแยกกันตรงนี้ล่ะกัน” ปิงบอกแล้วมองหน้าผม
ผมจับมือปิงไว้ เหมือนกับไม่อยากให้มันหนีไปไหนอีก
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ” ผมถามเสียงสั่น
ปิงส่ายหน้า พยายามดึงตัวออกห่างผมไป
ตาผมทั้งสองข้างปริ่มไปด้วยน้ำตา ภาพปิงข้างหน้าเริ่มพล่ามัว แต่มือผมยังคงจับมือเค้าไว้มั่น
“ปิง ... ถ้านายรักเราจริงๆ ทำไมนายต้องจากเราไปด้วย อยู่กับโอ้ตที่นี่เถอะ ... ฮึก ... ”
ผมเริ่มสะอื้นไห้ เพียงหวังว่าคนรักจะเห็นใจและไม่หนีไปไหนอีก
รอยยิ้มที่อบอุ่นเปื้อนหน้าปิงอีกครั้ง แต่ในแววตา ผมเห็นความเศร้าโศกที่ไม่อาจมองทะลุผ่าน
“ปิงสัญญาว่าจะอยู่กับโอ้ตตลอดไป ...... เวลาที่โอ้ตเหงา ปิงจะคอยอยู่ข้างๆ .....
เวลาที่โอ้ตไม่สบาย เราจะคอยดูแล ..... เวลาที่โอ้ตเสียใจ เราจะคอยปลอบโยน .....
แล้วเวลาโอ้ตมีความสุข เราก็จะมีความสุขด้วยกัน เข้าใจใช่มั้ย”
ปิงบอกผม พลางเดินเข้ามากอดตัวผม ที่กำลังสะอื้นไห้ กี่ปีแล้ว ที่ผมไม่ได้ร้องไห้กับใครแบบนี้
กี่ปีที่ผมต้องทนทุกข์กับความทรงจำอันโหดร้าย ความรู้สึกนี้ไม่มีใครที่จะมาทดแทนได้ หลังจาก
ที่ปิงจากไป ผมพยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น กลับเป็นคนที่เงียบขรึม ผมไม่อยากที่จะรักใครอีก
ผมรู้สึกเหมือนกับเค้าจะรับรู้ความรู้สึกนี้
“โอ้ต ... ในโลกนี้ ไม่มีใครที่ไม่เคยต้องสูญเสีย ไม่เคยมีใครสมหวังหมดทุกอย่าง ไม่มีใครมีความสุข
ได้ตลอดเวลา ”ปิงเอามือมาจับใบหน้าผมให้หันไปสบตาเค้า
“ปิงอยากให้โอ้ตใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีค่าที่สุด ตอนนี้โอ้ตมีคนที่ต้องคอยดูแล มีคนที่ต้องรัก ...
และที่สำคัญที่สุด เพื่อตัวเอง .... ” ปิงพูดทั้งน้ำตา พร้อมกับผมที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ ต่อไปโอ้ตจะต้องผ่านอะไรอีกมาก ... มากจนเกินกว่าจะคิดถึงแต่อดีต ปิงดีใจนะ
ที่โอ้ตไม่เคยลืมปิง ”
ปิงหยุดพูดพลางปาดน้ำตาตัวเอง
“ปิงจะรออยู่ตรงนี้ ... จะรอโอ้ตอยู่ตรงนี้นะ วันใดวันนึง เมื่อโอ้ตเหนื่อย เมื่อโอ้ตอยากพักผ่อน
เมื่อหมดสิ้นภาระทุกอย่าง .... ”
ปิงยิ้มให้ผมเป็นครั้งสุดท้าย
“เราสองคนจะได้เจอกันอีกแน่นอน ”
ปิงลูบหัวผมเหมือนกับที่เคยทำอยู่บ่อยๆ ความรู้สึกที่ผมสามารถจับต้องได้ ค่อยๆพร่ามัว ไปทีละนิด
ทีละนิด ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
นาทีแล้วนาทีเล่า ผมลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกชื้นแฉะบนเตียงที่กำลังนอนอยู่
ผมดันตัวขึ้นไปหยิบรูปถ่ายใบเดิมขึ้นมาดูอีกครั้ง ภาพที่บันทึกเรื่องราวต่างๆในอดีตของผม เรื่องราวที่
สนุกสนาน รอยยิ้ม มิตรภาพ และความโศกเศร้า ผมบรรจงวางรูปถ่ายนั้นลงในกล่อง แล้วเปิดตู้ เก็บไว้ใน
ลิ้นชักที่ลึกที่สุด รอวันที่จะหยิบมันขึ้นมาดูอีก และเมื่อถึงวันนั้น ... เมื่อหยิบมันขึ้นมาดู ผมคงจะนั่ง
หัวเราะอย่างมีความสุข พร้อมกับนึกถึงคนรักคนแรก .... คนที่รักผมสุดหัวใจ และมีผมเป็นคนรัก ...