***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon  (อ่าน 112848 ครั้ง)

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ชอบอ่ะ อ่านรวดเดียวมาจบตรงที่ค้างพอดี

alonezaxxx

  • บุคคลทั่วไป
ต่อเร็วๆเหอะน้าาาาาาา  :sad4: :sad4: ค้างสุดๆ กำลังได้ที่เลยอ่า :-[

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

zusuki

  • บุคคลทั่วไป
รุ่นพี่เป็นรุ่นที่จบไปแล้วน่ะ แต่ว่ายังมีส่วนร่วมงานโรงเรียนอยู่

zusuki

  • บุคคลทั่วไป




บทที่ 9 – รุกเร้า




โลกทั้งโลกคล้ายหยุดหมุนไปชั่วขณะ ดวงตาของภีมเบิกโพลงด้วยความตกใจ สติที่กระเจิดกระเจิงไปเมื่อครู่นี้กลับมาแทบครบถ้วน

“นาย...” ภีมพูดออกมาอย่างยากเย็น แม้สติจะกลับมาแล้วแต่ก็ยังตกใจกับคำพูดของฟิน

“ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเมื่อไหร่” ฟินพูดช้าๆ เสียงที่เปล่งออกมานุ่มนวลน่าฟัง

ภีมส่ายหน้าอย่างสับสนแล้วจ้องมองฟินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในใจของภีม ฉันไม่ใช่พวกผิดเพศ ไม่ใช่ ไม่คิดจะใช่ ฉันไม่ใช่คนพวกนั้นเด็ดขาด แต่ทำไมฉัน...ฉันถึง...

ภีมรวบรวมกำลังทั้งหมดผลักฟินให้พ้นไปจากร่าง ในใจเต็มไปด้วยความสับสนแต่ในส่วนลึกแล้วก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีกับคำพูดนั้น

“ภีม ฉัน...” ฟินพยายามอธิบายความในใจ ส่วนภีมก็พยายามจะไม่ฟัง มือเรียวสวยบีบหัวไหล่ของฟินจนแน่นก่อนจะออกแรงผลัก
แต่ก็ไม่สำเร็จ ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้แรงกดเพิ่มมากขึ้น

“โอ๊ย...” ภีมร้องออกมาเพราะเจ็บหลัง เสียงเปียโนดังขึ้นติดต่อกันอย่างไม่เป็นจังหวะเมื่อร่างของภีมดิ้นไปมาบนคีย์

“เจ็บเหรอภีม” ฟินถามเบาๆพร้อมกับหยุดการกระทำทุกอย่าง เขาอุ้มร่างบอบบางนั้นลงจากเปียโน “นั่งตรงนี้ละกัน” ฟินวางภีมบนเก้าอี้ตัวเล็กหน้าเปียโน

“ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย” ภีมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา สองมือกำแน่นอย่างสะกดอารมณ์

“ขอโทษ” ฟินพูดเบาๆ คงไว้ในน้ำเสียงนุ่มนวล แล้วเขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าภีมก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะของภีมอย่างเอ็นดู

“นายเป็นคนน่ารักมากนะภีม บางทีนายอาจจะไม่รู้” ฟินยืดตัวขึ้นจนร่างอยู่เสมอกับภีม จากนั้นก็ประทับริมฝีปากลงบนลำคอขาวที่เกร็งจนสั่นของภีม ฟินใช้มือโอบรอบตัวของภีมเอาไว้ก่อนจะลูบไล้ไปตามผิวเนียนละเอียดนั้นอย่างเบามือ

ภีมสะดุ้งเฮือกกับการจู่โจมของฟิน “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” ภีมพูดเสียงสั่น สูญเสียสติไปอีกครั้งหนึ่ง

ร่างของภีมสั่นสะท้านเมื่อจุมพิตเลื่อนลงมาตามแผงอก ต่ำลงมาจนกระทั่งหน้าท้อง ภีมเกร็งลำตัวเอาไว้ ทั้งร่างกายสั่นสะท้านไปกับความวาบหวิวที่แผ่กระจายไปทั่ว จุมพิตนั้นเลื่อนขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากได้รูปที่กำลังสั่นระริก มันเผยอ...ออกน้อยๆคล้ายกำลังรอรับสัมผัสที่แปลกใหม่ ไม่คุ้นชิน

ฟินโลมไล้กลีบปากนุ่มนั้นอย่างหลงใหล ก่อนจะดันลิ้นเข้าไปในปากของภีมแล้วซึมซับความหวานที่อยู่ข้างในบ้าง

จุมพิตที่อ่อนหวาน เนิ่นนาน ชวนหลงใหล ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ทำให้ภีมต้องพิศวง

ไม่ใช่ว่าภีมเพิ่งเคยจูบเป็นครั้งแรก ภีมเคยทำอย่างนั้นมาหลายครั้งแล้วแต่นั่นทำกับผู้หญิง ส่วนครั้งนี้ทำกับผู้ชาย

ภีมไม่ได้ผลักไสฟินแต่ก็ไม่ได้ตอบสนองเพราะในใจเต็มไปด้วยความสับสน ส่วนร่างกายที่สั่นสะท้านอยู่ตอนนี้จะห้ามอย่างไร มันก็ห้ามไม่ได้จริงๆ

ภีมหลับตาลงอย่างอ่อนใจ...อยากจะร้องไห้กับเรื่องที่เกิดอยู่ตอนนี้

มันทุเรศสิ้นดี

ฟินเลื่อนมือมาประคองใบหน้าของภีมไว้แล้วจูบลงบนเปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ รอยจูบนั้นไล้มาเรื่อยๆจนถึงใบหูอ่อนนุ่มที่เต็มไปด้วยรอยเจาะมากมาย ฟินขบเม้มใบหูนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม

ส่วนภีม...ร่างที่สั่นสะท้านอยู่แล้วยิ่งสั่นขึ้นไปอีกเมื่อฟินขบเม้มใบหูนั้นอย่างกระหาย

“อืมม...” เป็นอีกครั้งที่ภีมครางออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว

แต่...ฟินได้ยินชัดเจน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของคนเย็นชา

ฟินจู่โจมภีมอีกครั้งอย่างได้ใจ มือเรียวยาวกดลงไปที่หน้าท้องของภีมแล้วระดมจูบลงไปที่ริมฝีปากอย่างรวดเร็วจนไม่มีช่วงเวลาให้พักเพื่อหายใจ

จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน...

ฟินจึงปล่อยภีมให้เป็นอิสระ ทั้งคู่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่มีใครมองหน้าใครจนกระทั่งเสียงเรียกของแม่บ้านคนหนึ่งดังขึ้น

“คุณชายคะ อยู่ไหนคะ คุณพี่ภูมาหาแน่ะค่ะ” เสียงเรียกของแม่บ้านวัยกว่าสี่สิบปีเรียกคุณชายของบ้านเสียงดัง

“เดี๋ยวลงไป บอกให้พี่ภูรออยู่ที่ชั้นล่างนั่นล่ะ” ภีมพูดเสียงสั่น ก่อนจะหลับตาลงเพื่อเรียกสติที่วิ่งหนีไปให้กลับคืนมา ร่างสูงเพรียวลุกขึ้นยืนพร้อมกับติดกระดุมเสื้อที่หลุดลุ่ยให้เป็นระเบียบ

“ฉันช่วย” ฟินลุกขึ้นบ้างเพื่อช่วยภีม

“อย่ายุ่ง...” ภีมจงใจเน้นคำพูดนั้น ก่อนจะเดินหนีไปอีกทางหนึ่งเพื่อจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินลงไปข้างล่างโดยที่ไม่หันกลับมามองในห้องดนตรี

“รออยู่ในห้องนี่ล่ะ ไม่ต้องออกไปไหน ถ้าไม่อยากให้ใครเห็นนายในสภาพแบบนี้” คำพูดทิ้งท้ายของภีมที่พูดกับฟิน

ฟินก้มลงดูเสื้อผ้าของตัวเอง มันหลุดลุ่ยและยับยู่ยี่จนน่าสงสัยว่าไปทำอะไรมา เลือดที่ไหลซิบอยู่บนหัวไหล่ทำให้เขาต้องเข้าไปในห้องน้ำเพื่อถอดเสื้อผ้าออกดู  มันเป็นรอยเล็บของภีมที่จิกลงมา ฟินเอาน้ำลูบเบาๆที่รอยแผลนั้นก่อนจะใส่เสื้อดังเดิมแล้วเดินออกมารอภีมอยู่ที่เก้าอี้เปียโนสีดำมันวาว

ส่วนภีมที่รีบวิ่งลงไปหาพี่สาวที่รออยู่ที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างนั้นพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ ภีมยิ้มมาแต่ไกลก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆพี่สาวบนโซฟา

“ว่าไงคุณชายภีม ตั้งใจเรียนหรือเปล่า” ภูรดาลูบศีรษะน้องชายอย่างเอ็นดู

“แน่นอนอยู่แล้วว่าตั้งใจ” ภีมตอบ เสมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้มีพิรุธ

อย่างไรก็ตาม แม้ภีมจะไม่แสดงพิรุธใดๆออกมาแต่หลักฐานที่อยู่บนลำคอและริมฝีปากมันชัดเจนอยู่แล้ว

ภูรดาเชยคางของภีมขึ้นสูงเพื่อดูร่องรอยที่ลำคอนั้นให้ชัดขึ้น มันมีสีแดงจ้ำๆเหมือนกับว่า... “ไปทำอะไรกับใครมาภีม” ภูรดาถามเสียงแข็ง

ภีมผงะกับคำถามนั้น เขาอ้ำอึ้งอยู่นานก่อนจะตอบออกมา “ก็ผมไป เอ่อ...ไปเจอแมลงเข้าน่ะ จับมาเล่นแล้วมันก็ต่อยเอา”

ภูรดาทำหน้าไม่เชื่อ เธอรู้อยู่แล้วว่านี่มันรอยจูบชัดๆ “โกหก ไปทำอะไรมา”

“เบื่อสุดๆ พูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อเลย ทีหลังถ้าไม่เชื่อกันก็ไม่ต้องถาม” ภีมทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อนเรื่องราว

แต่มีหรือที่พี่สาวอย่างภูรดาจะไม่รู้ “ไม่บอกก็ตามใจแต่อย่าให้มันเลยเถิดนัก เข้าใจมั้ย แล้วฟินอยู่ไหน”

“มัน...เอ่อ...อยู่ข้างบนครับ” ภีมหน้าแดงขึ้นมาเมื่อพูดถึงฟิน

“ไปเรียกเขาว่ามันได้ยังไงกันไอ้น้องคนนี้นี่ ไปเลยขึ้นไปเรียน พี่แวะมาดูเราเท่านั้นล่ะ ตั้งใจเรียนล่ะภีม เพื่อตัวเองไม่ใช่เพื่อใคร” ภูรดาพูดจริงจัง แววตาของเธอดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน

ภีมพยักหน้าเบาๆ สวมกอดพี่สาวครั้งหนึ่งก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนห้องดนตรีอย่างรวดเร็ว

ภูรดามองน้องชายจนลับตาก่อนจะขับรถออกไปทำงาน

ภีมรีบวิ่งกลับเข้ามาในห้องดนตรีอย่างกระหืดกระหอบ ฟินที่นั่งนิ่งอยู่ทำเป็นมองไม่เห็นภีมที่วิ่งเข้ามา

“แกนี่สมควรตายจริงๆ” ว่าแล้วภีมก็เดินเข้าไปใกล้ฟิน ชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายอย่างเต็มแรง

“ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับแกเว้ย ฟังนะ...ไอ้ประธานจอมวิปริต” ภีมหยุดหายใจนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ฉันเป็นผู้ชาย ผู้ชายทั้งแท่ง ฉันไม่มีทางสกปรกอย่างแกหรอก”

“ทุกคนมีความต้องการที่ต่างกันมันไม่ผิดเลยที่คนเราจะเป็นอย่างไร” ฟินพูดเรียบๆ

“แต่แกผิดที่มายุ่งกับฉันนี่ล่ะ ฉันไม่ใช่พวกนั้นเว้ย ไม่ใช่ ไม่ใช่...” ภีมตะโกนเสียงดัง สับสน ปั่นป่วน หลายความรู้สึกเวียนวนในสมองจนน่าปวดหัวไปหมด

“เพราะฉันรู้ไงว่านายเป็น...”

“เงียบปากไปเลย ฉันไม่ใช่ ไม่มีทางเด็ดขาด” ภีมถลันเข้าไปกระชากคอเสื้อของฟิน “อย่ามายุ่งกับฉันอีก ไอ้ทุเรศ”

ฟินยิ้มเยือกเย็น ทำสีหน้าคล้ายกับผู้ชนะที่ขึ้นรับรางวัล

“แก...” ภีมโมโหจนแทบจะฆ่าคนได้ เขาเกลียดท่าทีอวดดีของผู้ชายคนนี้ที่สุด “ถ้ายังไม่เลิกทำแบบนี้กับฉันอีก อย่าหวังว่างานเลี้ยงรุ่นฉันจะโผล่หน้าไปหา”

ฟินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตานั้นฉายแววขบขันอยู่ “ตกลง ฉันไม่ยุ่งกับนาย แค่นี้ก็คุ้มเกินจะคุ้มแล้ว” ประโยคสุดท้ายฟินแกล้งพูดเพื่อกระตุ้นโทสะของภีม แต่คิดไม่ถึงว่าจะนำพาหมัดที่หนักหน่วงกว่าเดิมมาเข้าที่เบ้าตาขวา

“โอ๊ย...” ฟินอ้าปากร้องเสียงดัง สองมือยกขึ้นกุมเบ้าตาเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด

ภีมยิ้มอย่างสะใจ “จำคำพูดเอาไว้ ไอ้ประธานจิตป่วง จำไว้ๆ”

แล้ววันนั้นฟินก็ต้องขอตัวกลับก่อนเพื่อไปหาหมอรักษาเบ้าตาที่เขียวช้ำเป็นหมีแพนด้าทั้งสองข้าง

ภีมรีบอนุญาตในทันทีแล้วยังให้เขาลาหยุดพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน บรรดาแม่บ้านสาวน้อยสาวใหญ่ต่างเข้ามาถามไถ่เรื่องรอยเขียวช้ำนั้นอย่างเป็นห่วง

ทั้งๆที่ทุกคนต่างก็รู้ดีแก่ใจว่าคนสร้างรอยช้ำที่ว่าคือคุณชายของบ้าน

คุณชายตัวร้ายแห่งคฤหาสน์พิริยะ...

คุณชายภีม...




 o22 o22 o22 o22 o22

ramgaythai

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักอ่า ^^  :-[

ปล.เวลาลงแล้วช่วยแก้ชื่อเรื่อง แล้วเขียนตอนล่าสุดด้วยได้มั้ยอ่า

ออฟไลน์ EVE910

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 550
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
ติดตามตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
น่าสงสารเนอะ

MooZee ^6^

  • บุคคลทั่วไป
ภีมน่ารัก กกก

Infinite Love

  • บุคคลทั่วไป
ภีมเขินโหดว่ะ  :m3:
ส่วนฟินเนี้ย หื่นเงียบนะ ง่ะ! น่ากัว  o3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






alonezaxxx

  • บุคคลทั่วไป
น่าร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก >///< :o8: :o8: o13

zusuki

  • บุคคลทั่วไป




บทที่ 10 – เมินเฉย




เช้าวันจันทร์...

ภีมไปโรงเรียนอย่างมีความสุขที่สุดในรอบหลายสัปดาห์เพราะวันหยุดที่ผ่านมาเขาไม่ต้องเรียนพิเศษกับฟิน

วันนี้สมองจึงปลอดโปร่งเป็นพิเศษ

ภีมสะพายกระเป๋าสีดำใบโปรดแล้วเดินไปตามสนามหญ้าอย่างอารมณ์ดี เดิมทีภีมคิดจะแวะไปนั่งเล่นที่โต๊ะหินอ่อนหลังโรงเรียนแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเวลาว่างที่มีอยู่น่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ จุดมุ่งหมายใหม่ของเขาก็คือ ห้องชมรมดนตรี

ระหว่างทางที่เดินไปยังชมรม ภีมได้พบกับฟิน ใบหน้าคมบูดบึ้งแทบจะทันทีที่เห็นหน้าของฟินซึ่งตอนนี้มีรอยช้ำอยู่ที่รอบดวงตาทั้งสองข้าง มันจางไปบ้างแล้วแต่ก็ยังปรากฏรอยให้เห็นอยู่

ภีมคิดว่าฟินต้องพูดจากวนโมโหตนเป็นแน่แต่กลับผิดความคาดหมายไปโดยสิ้นเชิง

เพราะ...ฟินเดินผ่านภีมไปโดยที่ไม่พูดอะไร ซ้ำยังไม่มองมาที่เขาแม้แต่หางตา

ภีมลูบท้ายทอยด้วยความงุนงงระคนแปลกใจ

ทำไมวันนี้หมอนี่มันแปลกๆวะ ไม่พูดจากวนโอ๊ยสักคำเลย ภีมคิดในใจ แล้วเดินต่อไปยังห้องชมรมดนตรี

ทั้งชมรมมีภีมเพียงคนเดียว...

ร่างสูงวางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กหน้าเปียโน ภีมสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมสมาธิ

จากนั้น...บทเพลงก็ถูกบรรเลงขึ้น

แม้ท่วงทำนองจะไพเราะและหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลงแต่ก็ขาดความมีชีวิตชีวาไปโดยสิ้นเชิง

บทเพลงนี้คล้ายว่าจะบรรเลงไปตามรูปแบบที่กำหนดไว้ หาใช่ออกมาจากหัวใจของผู้เล่นแม้แต่น้อย

ภีมรับรู้ถึงสิ่งที่ขาดหายไปนี้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าขาดสิ่งนี้ไปได้อย่างไร

ความมีชีวิตชีวาในเสียงเพลง...

นิ้วเรียวยาวหยุดการเคลื่อนไหวในทันทีที่ไม่สบอารมณ์ในท่วงทำนองนั้น คิ้วหนาขมวดเป็นปมอย่างขัดใจเมื่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมถึงขาดสิ่งนี้ไป

“โธ่เว้ย...อะไรกันวะเนี่ย แค่เล่นเปียโนทำไมทำให้ดีไม่ได้ ไอ้บ้าเอ๊ย” ภีมต่อว่าตัวเองด้วยเสียงอันดัง ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปจากห้องเสียดื้อๆด้วยความโมโห


“อีกสามวันงานจะเริ่มแล้ว ขอให้ทุกคนจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม แม้มันไม่ใช่งานใหญ่อะไร แต่มันก็แสดงถึงศักยภาพของรุ่นเรา” ฟินพูดเรียบๆ แฟ้มเอกสารตรงหน้าถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว

ร่างสูงลุกขึ้นยืนตรงก่อนจะเผยรอยยิ้มที่นานๆทีจะมีให้เห็นไปยังเพื่อนร่วมทีมทุกคนที่ยืนจ้องมองด้วยความงุนงง
ประธานนักเรียนเปลี่ยนไป...

ฟินเดินออกจากห้องคณะกรรมการนักเรียนแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนทันที

ระหว่างทางสายตาพลันสะดุดเข้าที่ประตูห้องชมรมดนตรีที่เปิดอ้าอยู่ ฟินเดินเข้าไปแล้วมองรอบๆห้อง

ไม่มีใครสักคนเดียว...

ร่างสูงเดินออกมาจากห้องและไม่ลืมที่จะปิดประตูให้เรียบร้อย

พลันความคิดก็แล่นไปถึงเจ้าของห้องชมรมดนตรี แม้เจ้าตัวจะเป็นคนใจร้อน ขี้โมโหแค่ไหนแต่กับสิ่งอันเป็นที่รักอย่างห้องดนตรีนี้ไม่น่าจะละเลยไปได้

คิดแล้วก็แปลกใจว่าทำไมภีมไม่ปิดห้องให้เรียบร้อยก่อนจะออกไป...

แต่นอกจากความแปลกใจแล้วยังมีความเป็นห่วงแฝงอยู่ด้วย
ภีมเป็นอะไรหรือเปล่า

ร่างสูงวิ่งตรงไปยังห้องเรียนของภีม มองผ่านหน้าต่างไปรอบๆห้องก็ไม่เห็นเงาของคนที่ตามหา ฟินจึงวิ่งไปที่หลังโรงเรียนซึ่งเป็นที่ประจำของภีม

“แฮ่กๆๆ” ฟินหอบหายใจเสียงดังกว่าจะวิ่งมาถึงหลังโรงเรียน มันไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆเลยจากตึกเรียนมายังหลังโรงเรียนนี้
โต๊ะหินอ่อนว่างเปล่า...

ภีม นายหายไปไหนเนี่ย ฟินคิดอย่างหัวเสีย ทั้งโมโหและเป็นห่วงปนๆกันไป

ในที่สุด ฟินก็แทบไม่ได้เข้าเรียนเพราะมัวแต่เดินตามหาภีม ฟินอยากจะตามไปบ้านของภีมเพื่อดูว่าเขายังอยู่ดีหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้าเพราะสัญญาไว้ว่าจะไม่ทำเรื่องวุ่นวายให้ภีม

มิเช่นนั้น...วันงาน ภีมอาจจะไม่ยอมมาปรากฏตัว

คิดแล้วก็กลุ้มใจ ฟินต้องเมินเฉยอย่างนี้ไปอีกสามวัน
ตั้งสามวัน ฟินย้ำในใจกับตัวเอง


วันต่อมา ภีมต้องเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการนักเรียนในเรื่องการขึ้นแสดงดนตรี ทุกคนให้ความสนใจกับหนุ่มน้อยมากความสามารถคนนี้ ทั้งรุ่นพี่และเพื่อนๆต่างก็ชื่นชมในความสามารถของเขากันทุกคน ยกเว้นฟินที่ทำหน้าเรียบเฉย และยืนนิ่งอยู่ตรงมุมห้องเพียงลำพัง

เสียงปรบมือและรอยยิ้มมีให้ภีมไม่ขาด แม้เขาจะเป็นคนอารมณ์ร้ายแต่เมื่อได้อยู่ใกล้กับดนตรีแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนภีมจะยิ้มได้เสมอ

ยกเว้นในกรณีของฟินเพียงคนเดียว...

ภีมค่อนข้างแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ฟินไม่ทักทายหรือไม่พูดอะไรกับเขาเลยสักคำ และนั่นทำให้ภีมคาดเดาไปต่างๆนานาว่าเป็นเพราะเหตุใด

โกรธที่เราชกหน้างั้นเหรอ...

หรือว่าโกรธที่เราไม่ยอมเรียน...

หรือมันคิดจะลาออกก็เลยเมินเราแบบนี้...

หรือว่ามันคิดได้ว่าไม่สมควรทำลามกอนาจารก็เลยอาย ไม่กล้าสบตา พูดคุย... เมื่อนึกถึงข้อสันนิษฐานนี้แล้ว ภีมอดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรงและรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า

“ภีมจ๊ะ เป็นอะไรหรือเปล่า พี่เรียกตั้งนานแล้ว ภีมก็เอาแต่นั่งเหม่อ คิดอะไรอยู่เหรอ” เสียงเรียกภีมดังขึ้นจากรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง

“ครับ” ภีมสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นก็รีบกำจัดความรู้สึกร้อนที่อยู่ในใจให้ออกไปแต่ดูเหมือนมันจะโหมกระพือมากขึ้นเมื่อสายตาคมของฟินจับจ้องมาที่เขา

ภีมหลบดวงตาคมคู่นั้นที่จ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แม้มันจะเป็นสายตาธรรมดาที่เจ้าตัวใช้มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายแต่สำหรับภีม มันเป็นสายตาที่ซ่อนไปด้วยเล่ห์กลอันตรายมากมายที่คนอื่นไม่สามารถล่วงรู้ได้

ภีมไม่เคยกลัวสายตาคู่ไหนเท่าสายตาคู่นี้ของฟินเลย...

ปกติภีมเป็นคนไม่กลัวใครหน้าไหนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร ใหญ่มาจากไหนก็ไม่เคยกลัว แต่ถ้าเป็นฟิน เขากลับมีความรู้สึกที่ว่าต้องออกห่างจากคนๆนี้ไว้ อย่าไปท้าชนเป็นดีที่สุด

“เล่นต่อซีจ๊ะ พี่กำลังเคลิ้มเลย” รุ่นพี่สาวสวยอีกคนหนึ่งพูดเมื่อเห็นว่าดนตรีหยุดบรรเลงไปนาน

และคำพูดนั้นทำให้ภีมหันกลับมาจดจ้องกับเปียโนตรงหน้า นิ้วเรียวยาววางทางลงบนแป้นเปียโนแล้วเริ่มบรรเลงเพลงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

บทเพลงที่ไพเราะ ท่วงทำนองที่พลิ้วไหว และมีชีวิตชีวา

มีชีวิตชีวา...

รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของคนที่ยืนอยู่มุมห้องเพียงลำพัง

เป็นรอยยิ้มของความยินดี...ที่ไม่มีใครได้เห็น แม้แต่เจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังยิ้มอยู่

รอยยิ้มที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว...และ...


ความมีชีวิตชีวาที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลาค้นหา...

“สุดยอดเลยภีม เพชรน้ำงามของโรงเรียนจริงๆ” รุ่นพี่สาวสวยคนเดิมพูดขึ้น

ภีมไม่ยินดีกับคำชมนั้นเท่าไรนัก เขาเพียงพยักหน้ารับคำชมของเธอคนนั้นเบาๆ “อยากให้ผมเล่นเพลงอะไรในวันงาน” ภีมถาม
 
คณะกรรมการนักเรียนและรุ่นพี่กว่ายี่สิบคนที่ยืนล้อมภีมกันอยู่ทำท่าครุ่นคิด บ้างก็ปรึกษากันไปมา ไม่ได้คำตอบสักที ภีมจึงพูดตัดบทขึ้น “เอาเป็นว่า...ผมขอเลือกเพลงเอง”


ทุกคนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าหนุ่มน้อยคนนี้จะทำอะไรล้วนถูกใจทุกคนเสมอ

ภีมเผลอมองไปที่ใบหน้าเรียบเฉยของฟินที่ยืนอยู่มุมห้องเพียงลำพัง เขายืนอยู่ตรงนั้นในท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาคมมองไปยังประตูห้อง ไม่แม้แต่จะหันมามองที่ภีมเลยแม้แต่น้อย

เมินไปให้ตลอดเถอะ แค่ชกหน้าไปไม่กี่ที ทำเป็นเคือง... ภีมบ่นอุบอิบในใจ คิดไปว่าสาเหตุที่ทำให้ฟินเป็นแบบนี้ก็เพราะเรื่องรอยช้ำรอบดวงตา ภีมลืมคำขู่ของตนเองไปเสียสนิทว่าเคยบอกกับฟินว่าอย่างไร

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ทยอยกันกลับบ้าน ฟินออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย ภีมทำเป็นไม่สนใจเขา แต่พอเห็นว่าฟินกำลังล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร

ฟินค่อยๆล้วงเอากระดาษแผ่นหนึ่งที่พับจนเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆวางไว้บนเปียโน จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลยแม้สักคำเดียว

ภีมมองตามอย่างงงๆ อยากจะวิ่งไปถามให้รู้เรื่องแต่ก็กลัวเสียฟอร์ม จึงทำได้แค่เพียงหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู

ภีมคลี่กระดาษที่พับไว้ออกช้าๆ

แล้วสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษยับๆนั่นก็คือ โน้ตเพลง ท้ายกระดาษเขียนกำกับไว้ว่า ‘ฉันว่าเพลงนี้เพราะและซึ้งใจดี ทุกคนน่าจะชอบ ลองเอาไปเล่นดูแล้วกัน เก็บไว้เป็นตัวเลือกหนึ่งในบทเพลงที่นายจะใช้เล่น’

ลายมือที่เป็นระเบียบเรียบร้อยของฟินทำให้ภีมปั่นป่วนในท้องแล้วยังโน้ตเพลงที่เขียนด้วยลายมือทั้งหมดนั่นอีกเล่า

ภีมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แค่เพียงเห็นลายมือของเขาเท่านั้นทำไมรู้สึกอย่างกับว่าเขาวนเวียนอยู่ข้างๆกาย และจับจ้องมองดูอยู่

ภีมรีบพับกระดาษแผ่นนั้นแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อของตนเองทันที... รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ขยำทิ้งไปหรือคืนให้กับเจ้าของเดิม

ถึงจะแปลกใจอย่างไรแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่านี่คือความหวังดีที่ได้รับจากประธานนักเรียนคนหนึ่งที่ชอบทำหน้าเฉยเมยต่อสรรพสิ่งรอบข้างเป็นนิจ

และสิ่งที่ภีมสมควรทำคือ...

ขอบคุณ

สิ่งแรกที่ภีมทำเมื่อกลับถึงบ้านแล้วคือการเล่นเปียโน ร่างสูงเพรียววิ่งตรงดิ่งไปยังห้องคนตรีที่ชั้นสามของบ้านอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าแต้มรอยยิ้มของภีมทำให้บรรดาแม่บ้านพลอยยิ้มตามไปด้วยที่เห็นคุณชายแห่งพิริยะมีความสุข

“ระวังนะคะคุณชาย รีบมากเดี๋ยวตกบันได” เสียงพูดไล่หลังของแม่บ้านวัยกลางคนทำให้ภีมต้องชะลอฝีเท้าของตัวเองลงหน่อยเพราะกลัวจะตกลงบันไดไปจริงๆ

“ขอบคุณครับ” ภีมกล่าวด้วยน้ำเสียงทะเล้น ไม่เคยรู้สึกสดชื่นอย่างนี้มานานแล้ว

เพราะทุกวันหลังเลิกเรียน ภีมจะกลับบ้านด้วยความห่อเหี่ยวใจเสมอ...

ไม่มีใครรอต้อนรับหรือไถ่ถามความเป็นไปในแต่ละวัน นอกจากแม่นมและแม่บ้าน

แต่วันนี้ภีมรู้สึกเหมือนมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ...

ทำเพื่อ...คนส่วนรวม เพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้ม

ภีมคลี่กระดาษโน้ตเพลงที่ฟินให้แล้วกางไว้เบื้องหน้า...

มันไม่ใช่เพลงพิเศษหรือพิสดารอะไรเลย หากแต่เป็นเพลงธรรมดาที่อยู่ในท่วงทำนองที่แปลกใหม่

...เพลง ดาว...

นิ้วเรียวยาวทาบลงบนคีย์เปียโน ท่วงทำนองแรกเริ่มขึ้น...

สายตาของภีมไล่ไปตามโน้ตเพลงแต่ละตัวที่ถูกเขียนขึ้นใหม่...ทำนองใหม่

แต่...เพลงเดิม

ท่วงทำนองของเพลงนี้เศร้าและสะเทือนใจอยู่แล้ว...

ไม่น่าจะเศร้าไปมากกว่านี้อีก...

แต่...ทำนองใหม่ที่ฟินให้มากลับเศร้ากว่าเดิมเป็นเท่าทวี

ใครเป็นคนคิดทำนองเพลงนี้ขึ้นมากันนะ คำถามนี้เวียนวนอยู่ในหัวของภีมและเจ้าตัวคงไม่สบายใจนักถ้ามันไม่ได้รับการคลี่คลายอย่างเร่งด่วน

ภีมคิดจะโทรหาฟินเพื่อสอบถามปัญหาที่คับข้องใจ ว่าไปเอาทำนองเพลงนี้มาจากไหน แต่ก็นึกได้ว่า ช่วงนี้ฟินดูแปลกไป แม้แต่หน้าภีมก็ยังไม่มอง พูดก็ไม่พูด

นี่เป็นสัญญาณของการตัดขาดกันชัดๆ... ภีมคิด

ท้ายที่สุดแล้ว ภีมจึงอดทนเก็บปัญหานี่ไว้กับตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ภีมเชื่ออย่างแน่นอนก็คือ ฟินไม่มีทางเขียนทำนองเพลงนี้ขึ้นมาเองเด็ดขาดเพราะเขาไม่มีความรู้เรื่องนี้นี่ จะเขียนได้อย่างไร

แม้แต่ภีมที่รอบรู้เรื่องดนตรี ต้องยอมรับกับตัวเองอย่างเงียบๆว่า ทำไม่ได้

สรุปว่า ทั้งสัปดาห์ก่อนงานเลี้ยงรุ่น ภีมและฟินต่างก็ไม่พูดจากันเลยแม้แต่คำเดียว





 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

alonezaxxx

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Maprang_W

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2
น่าติดตามมาก แม้ว่าช่วงแรกๆจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วแล้วก็ค่อนข้างงงแต่ตอนหลังๆสนุกขึ้นจ้ะ
เดาอารมณ์ฟินไม่ถูกเหมือนกัน น่ากลัว จู่ๆก็รักมาอีกวันเมินเลย
แล้วจบงานไปฟินจะทำยังไงนะ อยากรู้ๆ รอตอนต่อไปนะคะ

alonezaxxx

  • บุคคลทั่วไป
ในอนาคต ภีมอาจจะกลายเป็นเคะ มาดราชินีก็เป็นได้ คิคิ :o8:

จบงานนี้ ฟินจับกดเลยค้าบบบบ!!!!  o13 o13

ออฟไลน์ EVE910

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 550
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1

ออฟไลน์ kp

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
ตายหล่ะ ทำงัยละทีนี้
รีบๆมาต่อนะ
อยากรู้เรื่องของชาวบ้านอย่างแรง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






e_new

  • บุคคลทั่วไป
สู้ต่อป๊าย 555
อยากรู้แล้วว่าเมนทำไม?
หรืองอนไรกันแน้ เรียกร้องความสนใจอ่ะเปล่า หึหึ :)

ramgaythai

  • บุคคลทั่วไป

zusuki

  • บุคคลทั่วไป




บทที่ 11 – งานเลี้ยงรุ่น




‘ราตรีสีมืด’ เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้

เสียงพลุดังขึ้นติดต่อกันหลายนัดเป็นสัญญาณบอกว่างานเลี้ยงรุ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก รุ่นปัจจุบันได้เริ่มขึ้น(อย่างไม่เป็นทางการ)แล้ว

บรรดานักเรียนในรุ่นแต่ละคนเดินเข้างานกันอย่างรื่นเริง บ้างก็ควงแขนมากับคนรู้ใจ บ้างก็มากับกลุ่มเพื่อน แต่ที่น่าเศร้าใจก็เห็นจะเป็นคนที่มาเพียงลำพัง

งานจัดขึ้นที่สระว่ายน้ำใหญ่ของโรงเรียน เปียโนสีดำสวยงามตั้งไว้ตรงกลางของพื้นที่ทั้งหมด  ส่วนทางด้านซ้ายและขวาเป็นมุมของอาหารที่วางเรียงรายให้เลือกสรรกันได้ตามใจชอบ และในพื้นที่รอบๆที่เหลือเป็นพื้นที่สำหรับการเต้นรำ

และยังมีมุมนั่งเล่นที่จัดไว้สำหรับคนที่อยากนั่งผ่อนคลาย พูดคุย

รอบๆงานประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด เริ่มตั้งแต่ซุ้มประตูเข้างานที่ประดับด้วยไม้เลื้อยอย่างเถาไอวี่

ดอกกุหลาบหลากสีที่มีอยู่ทั่วทุกมุมในงาน ทั้งบนโต๊ะอาหาร ลานเต้นรำ ซุ้มลงทะเบียน ลานเกมส์ นอกจากดอกกุหลาบแล้วยังมีดอกกล้วยไม้ เดซี่ เยียบีร่า ลิลลี่

เพิ่มสีสันให้งานด้วยลูกโป่งหลากสีที่ประดับเคียงคู่กับเหล่าดอกไม้ ในงาน

ธีมของงานในครั้งนี้คือราตรีสีมืด ผู้ร่วมงานจึงใส่ชุดสีดำเสียส่วนมาก

พวกผู้ชายมักไม่ค่อยพิถีพิถันกับเรื่องเสื้อผ้าเท่าไรนักจึงไม่มีใครที่โดดเด่นเป็นพิเศษในงานนี้(แต่พวกผู้ชายเหล่านี้ก็มักมั่นใจในหน้าตาของตัวเองเอาเสียมากๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว)

ผิดกับพวกผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการแต่งตัวและการเข้าสังคม แม้จะเป็นงานเล็กๆพวกเธอเหล่านั้นก็ยังคงคิดว่าจะให้เสียหน้าไม่ได้เด็ดขาด ชุดของบรรดาคุณหนูแต่ละคนจึงมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันไปตามสไตล์ คงจะเหมือนกันแต่เพียงสีของชุดเท่านั้น

   ครึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากการเปิดงานอย่างไม่เป็นทางการด้วยพลุหลากสีสันแล้ว ก็เข้าสู่ช่วงการเปิดงานอย่างเป็นทางการเสียที

   คนสำคัญของงานอย่างภีมเดินออกมาจากห้องแต่งตัวที่อยู่ทางด้านหลังของสระว่ายน้ำด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าเขาจะผ่านการแข่งขันมานับไม่ถ้วน ต้องพบเจอกับผู้คนที่ล้นหลามมากกว่านี้ยังไม่ตื่นเต้นเท่างานเล็กๆแบบนี้เลย

   ภีมเดินมาถึงหน้าประตูแล้วหยุดอยู่แค่นั้นเพราะไม่กล้าโผล่หน้าออกไป ภีมประสานมือไว้ด้วยกันที่หน้าอกแล้วรวบรวมลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่

   ยังมีผู้ชายอีกคนยืนอยู่อีกฝั่งของห้องแต่งตัวแล้วคอยมองทุกอิริยาบถของภีม รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากนั้น

   ภีมไม่ได้สนใจมองไปที่อื่นเลยนอกจากเปียโนสีดำที่ตั้งอยู่กลางงาน มันโด่ดเด่นจนทำให้เขารู้สึกเขิน แก้มสีขาวของภีมแดงปลั่งขึ้นไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ

   “ได้เวลาแล้ว ออกไปเถอะภีม” เสียงที่ดังมาจากฝั่งตรงข้ามทำให้ภีมสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก่อนเขาไม่เคยขวัญอ่อนและตกใจง่ายขนาดนี้แต่พออะไรหลายๆอย่างในชีวิตเปลี่ยนไปเลยพลอยทำให้ความเป็นเขา เปลี่ยนไปด้วยทีละน้อยๆ

   ภีมสบตากับเจ้าของเสียงนั้น ทิฐิในใจเกิดขึ้นแทบจะทันที

   วันก่อนยังทำเมินเฉยอยู่เลย มาวันนี้ทำเป็นพูดดี...

   “ทุกคนรออยู่นะภีม ออกไปเถอะ” น้ำเสียงที่นุ่มนวลและแผ่วเบานั้นทำให้ภีมหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก เขาพยายามปฏิเสธความรู้สึกแปลกที่เกิดขึ้นในใจทุกวิถีทาง

   ไม่จริง ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่...แบบนั้น

   สมาธิที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นค่อยๆหายไป ความมั่นใจที่มีอยู่น้อยนิดอยู่แล้วยิ่งลดทอนลงไปอีก “นายจะเอายังไงกับฉันกันแน่ แน่จริงก็เลิกยุ่งกับชีวิตฉันไปเลยสิ”

   “ฉันทำตามความต้องการของนายแล้ว” ฟินพูดเรียบๆ รอยยิ้มที่มีอยู่ค่อยๆจางหายไป

   ภีมงุนงงกับคำพูดนั้น นึกสงสัยว่าคนอย่างเขาเคยเรียกร้องอะไรจากประธานนักเรียนคนนี้ด้วย “ฉันเคยต้องการอะไรจากนายด้วยเหรอ”

   “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้นายมีหน้าที่ที่ต้องทำ แล้วนายก็ต้องทำมันให้เต็มความสามารถด้วย” ฟินพูดเรียบๆ ร่างสูงเดินมายังฝั่งที่ภีมยืนอยู่ “ออกไปเดี๋ยวนี้”

   ภีมไม่พอใจกับคำสั่งนั้นของฟินเป็นที่สุด... หมอนี่กล้าดียังไงมาสั่งคนอย่างฉันวะ

   และเขาก็ขัดคำสั่งด้วยการนิ่งเฉย...

   ฟินพยักหน้าสองครั้งเป็นเชิงรับรู้การขัดคำสั่งนั้นของภีม “ตกลงกันแล้วไงว่าจะทำ” ความใจเย็นที่มีอยู่มากมายจนเหลือเฟือของฟินมันเหลืออยู่น้อยนิดมากเมื่อเจอกับคนอย่างภีม

   “ฉันไม่ชอบให้ใครมาสั่ง ฉันจะทำก็ต่อเมื่อฉันเต็มใจ” ภีมพูด

   “ฉันไม่ได้สั่งนาย แต่นี่เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ” ฟินเดินเข้าไปใกล้ภีมมากขึ้น

   “เพราะนายเป็นคนบอกว่าจะทำมัน” ใกล้เข้าไปอีก

   “แต่ถ้าไม่ทำ...” ใกล้จนทำให้ภีมหน้าเสีย

   “ฉันก็จะ...” ใบหน้าของฟินก้มลงไปหาใบหน้าของภีม

   “ตกลง...ฉันจะทำ” ภีมละล่ำละลักพูดออกมา ใบหน้าแดงปลั่งด้วยความอาย
   เป็นอีกครั้งที่ภีมต้องยอมให้กับฟิน...

   “ทุกคนรอนายอยู่” ฟินถอยหลังออกห่างภีมไปสามก้าวเพื่อเปิดทางเดินให้กับเขา

   เมื่อภีมเดินเข้ามาในงาน ทุกคนต่างจับจ้องมาที่เขา ร่างสูงเพรียวในชุดสูทสีดำเดินมายังเปียโนที่อยู่กลางงานอย่างสง่างาม

   เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อร่างสูงนั้นทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้แล้วทาบนิ้วเรียวงามลงบนเปียโน

   บทเพลงที่มีท่วงทำนองสนุกสนาน ครื้นเครงดังขึ้น

   เสียงปรบมือก็ดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม...

   ภีมกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนในงาน

   เปลือกตาของภีมปิดสนิท ศีรษะเล็กโคลงไปมาตามท่วงทำนอง และรอยยิ้มก็เกิดขึ้นที่ริมฝีปากได้รูปนั้น มันชวนมองเสียจนทำให้ใครบางคนถึงกับยิ้มออกมาและเป็นรอยยิ้มที่กว้างที่สุดที่เจ้าตัวเคยยิ้มมา

   ...ฟิน...

   ฟินไม่พยายามเป็นจุดสนใจในงานนี้ แม้ใครต่อใครจะถามถึงเขามากมาย แต่เขาก็จงใจที่จะอยู่เบื้องหลังของงาน มีก็แต่คณะกรรมการนักเรียนด้วยกันเท่านั้นที่ได้เห็นหน้าประธานนักเรียนสุดเนี้ยบของโรงเรียน

   และภีม...

   ฟินยืนพิงประตูทางออกของห้องแต่งตัวมองดูภีมที่กำลังเล่นเปียโนด้วยท่าทางของคนที่มีความสุข ฟินรู้สึกมีความสุขไปกับภาพที่ได้เห็น


   ทำไมกันนะ...เวลาที่เห็นผู้ชายคนนี้มีความสุข รู้สึกว่าพลอยมีความสุขไปกับเขาด้วย ราวกับว่าความสุขนั้นเป็นของตัวเราเอง

   ฟินหัวเราะกับตัวเองเบาๆราวกับคนบ้า นี่เขาบ้าไปหรือเปล่า...ดูท่าจะบ้าไปจริงๆแล้วด้วย

   บทเพลงแรกจบลง เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงโห่ร้องและชมเชยของผู้ร่วมงาน ดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่แทนคำขอบคุณของทุกคนมอบให้ภีมด้วยอาจารย์คนหนึ่งในโรงเรียน

   “ขอบคุณครับ...”ภีมพูดอย่างเขินอาย อายที่นึกชื่ออาจารย์คนนี้ไม่ออก ก็ภีมเข้าเรียนบ่อยเสียที่ไหนกัน...

   “นวลพรรณจ๊ะภีม พิริยะ เห็นไหมครูยังจำชื่อเธอได้เลย” อาจารย์นวลพรรณพูดพร้อมรอยยิ้ม จะไม่ให้จำได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อทุกครั้งที่เช็คชื่อ ภีม พิริยะ มักจะหายไปอยู่เสมอ

   “เอ่อ...ครับ” ภีมย้ำกับตัวเองในใจว่าจะไม่ลืมชื่อนี้อีกเลยตลอดชีวิต

   เมื่อรับช่อดอกไม้จากอาจารย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภีมก็แสดงความขอบคุณให้ทุกคนด้วยรอยยิ้ม เป็นการขอบคุณที่ธรรมดาแต่ตราตรึงอยู่ในใจของผู้คนไปอีกนาน

   เพราะไม่บ่อยครั้งนัก ที่จะมีใครเห็นรอยยิ้มของพ่อหนุ่มน้อยคนนี้

   ภีมถือช่อดอกไม้เดินเข้ามาที่ห้องแต่งตัวด้วยรอยยิ้ม แต่พอพบกับคนที่ยืนขวางทางอยู่ก็ทำเอารอยยิ้มนั้นหายไปเสียดื้อๆ
   “ไม่มีที่อื่นจะสิงหรือไง” ภีมพูดเรียบๆ

   “ก็ฉันอยากอยู่ตรงนี้” แต่ฟินพูดด้วยรอยยิ้มและยียวน “กับ...” ฟินเว้นช่องว่างเอาไว้เพื่อให้คนตรงหน้าได้เติมคำเอาเอง ดวงตาคมคู่นั้นฉายแววซุกซนจนน่าตกใจ

   ภีมถอยหลังโดยอัตโนมัติ ช่อดอกไม้ที่ถือด้วยมือขวาเพียงมือเดียวเปลี่ยนมาถือด้วยมือสองข้างแทน ภีมอุ้มมันไว้ข้างหน้าของตน

   “ถอยไปไอ้โรคจิต ฉันจะเข้าห้อง” เหตุการณ์เริ่มยืดเยื้อ ภีมเริ่มโมโห

   “อยากไปก็ไปสิ ที่ว่างเหลือตั้งเยอะ” ฟินมองไปยังพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่น้อยนิดทางด้านซ้ายขวาของตัวเอง

   ภีมแทบอยากบีบคอเขาในทันที มันแทบไม่มีที่ว่างให้เดินเลยต่างหาก ถ้าจะเดินไปจริงๆมันก็ต้อง...

   เอาวะ...เดินก็เดิน ภีมขี้เกียจคิดว่าจะต้อง...อะไร ร่างสูงเดินตรงเข้าไปในที่ว่างเพียงน้อยนิดนั้น ภีมเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อให้ถูกตัวฟินเพียงนิดเดียว

   แต่เสียดาย...ภีมตกหลุมพรางฟินเข้าแล้ว

   จังหวะที่ภีมเดินเข้ามาใกล้ๆ ฟินก็หันตัวไปทางเดียวกันแล้วกางมือทาบไว้กับผนังกั้นภีมเอาไว้

   รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของฟิน “ไม่ได้คุยกันหลายวันเลยนะภีม” ฟินพูดพลางก้มหน้าดอมดมดอกกุหลาบที่อยู่ในอ้อมอกของภีม

   ความร้อนแล่นขึ้นสู่ใบหน้าของภีมในทันที ภาพเหตุการณ์ที่น่าตกใจในช่วงสัปดาห์ก่อนปรากฏขึ้นในมโนภาพจนชัดเจน
 
   เขาจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นอีก...

   ภีมทำหน้าเคร่งขรึมใส่ฟิน หวังจะให้ตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์นี้

   แต่เสียดายที่ฟินไม่ได้สนใจว่าภีมจะทำหน้าแบบไหน เพราะความสนใจของฟินอยู่ที่ริมฝีปากได้รูปที่กำลังเชิดขึ้นอย่างถือดีนั้นของภีมต่างหาก

   “นายทำดีมาก ฉันอยากให้รางวัล” ฟินพูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จังหวะนั้นภีมนึกอยากจะเปิดโปงธาตุแท้ของประธานนักเรียนคนนี้ให้โลกได้รับรู้โดยทั่วกันว่ามันไม่ใช่คนเงียบๆอย่างที่คิด

   มันเป็นปิศาจชัดๆ...

   “กำลังว่าฉันอยู่ล่ะสิ” ฟินพูดอย่างรู้ทัน

   “แสนรู้อย่างกับ...” คำพูดต่อว่ามากมายที่ภีมกำลังจะมอบให้ฟินถูกดูดกลืนไปพร้อมกับริมฝีปากของคนพูด

   จุมพิตที่ร้อนแรงเริ่มขึ้น...

   ฟินเบียดร่างของตนเข้ากับร่างของภีม ดอกกุหลาบช่อโตตกจากมือคนถือเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ร่างของทั้งสองแนบชิดติดกันเสียแล้ว

   ภีมทาบมือลงที่หน้าอกของฟินเพื่อผลักไสแต่จุมพิตนี้เร่าร้อนจนแรงต่อต้านหายไปเกือบหมด ภีมอยากจะร้องไห้กับสภาพที่เผชิญอยู่ตอนนี้เสียจริงๆ

   ฟินดูดกลืนริมฝีปากของภีมอีกครั้ง มือทั้งสองค่อยๆเลื่อนลงมาโอบรอบเอวของภีมไว้อย่างทะนุถนอม

   ภีมเริ่มหายใจไม่ออกกับจุมพิตที่ไม่มีช่วงเว้นวรรคให้หายใจ “อื้อ...” ภีมร้องประท้วงในลำคอ ฟินหยุดริมฝีปากแค่นั้น

   ทันทีที่เป็นอิสระ ภีมรีบหายใจเอาอากาศเข้าสู่ปอดอย่างรวดเร็ว เขาจะตายเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

   “ฉันมีของจะให้” ฟินเป็นฝ่ายพูดก่อน ภีมมองอย่างหวาดระแวง ไม่รู้ว่าฟินจะมาไม้ไหนอีก

   ฟินล้วงกระเป๋ากางเกงที่อยู่ข้างหลังแล้วส่งของสิ่งนั้นให้ภีม...


   ...ฮาโมนิก้า...

   ภีมมองดูด้วยความประหลาดใจ นี่มันฮาโมนิก้าที่เขาทิ้งไปนานแล้วนี่ มาอยู่ที่หมอนี่ได้ยังไง

   ภีมกำลังจะเอ่ยปากถามแต่ฟินก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน “ฉันเห็นนายปาทิ้งอย่างไม่ใยดีเมื่อเดือนก่อน แค่เป่าไม่ได้ไม่เห็นต้องทิ้งนี่ คนเก่งอย่างนายซักวันก็ต้องเป่าเป็น ของที่เล่นยากกว่านี้ยังทำได้เลย นับประสาอะไรกับของแค่นี้”

   “อย่ามารู้ดี” ยังไม่วายที่ภีมจะต่อปากต่อคำ

   “จะเอามาคืนนายหลายครั้งแล้ว แต่ก็ลืมทุกที” ฟินยื่นให้ภีม

   “ของที่ทิ้งไปแล้ว ฉันไม่มีทางเก็บขึ้นมาใช้อีกหรอก” ภีมพูดอย่างไม่ใส่ใจ

   ใจเย็นกับคนแบบนี้ไม่ได้จริงๆ ฟินคิด

   “ไหนบอกว่ารักนักไม่ใช่เหรอ เครื่องดนตรีพวกนี้น่ะ พอเอาชนะมันไม่ได้ก็ทิ้งมัน นี่น่ะเหรอ...คนที่บอกว่ารักดนตรี นายก็แค่อยากเอาชนะมันเท่านั้นล่ะ” ฟินพูดประชด ในชีวิตไม่เคยต้องพูดกับใครแบบนี้มาก่อน

   “เฮ้ย...อะไรวะ มาว่าแบบนี้เดี๋ยวเจอดีหรอก” ภีมคงลืมมองไปว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในสภาพไหน ถูกเขาล้อมตัวอยู่ยังจะกล้าพูดมาก

   “นายจะมีดีสักเท่าไหร่เชียว ก็ดีแต่ปากนี่ล่ะที่เที่ยวว่าคนโน้นคนนี่เขาไปทั่ว” นอกจากไม่เคยพูดประชดแล้วยังไม่เคยพูดจาอะไรยาวเหยียดเท่านี้มาก่อนอีกด้วย

   “ออกไปให้ห่างฉันเลย ออกไป๊” ภีมตวาด

   แม้จะเป็นคนใจเย็นและรู้จักควบคุมอารมณ์ แต่ฟินก็ยังเป็นคนที่มีขีดจำกัดในทุกๆเรื่อง ถ้ามันมากไป คำว่าใจเย็นคงใช้ไม่ได้อีกกับผู้ชายคนนี้

   “หยุดนิสัยแบบนี้ซักที ใช้สมองให้มากกว่าอารมณ์ได้มั้ย” ฟินตวาดกลับ ใบหน้าหล่อเคร่งเครียดในทันที

   “แล้วมายุ่งกับฉันทำไมล่ะ ต่างคนต่างอยู่มาตั้งนาน เกิดประสาทอะไรตอนนี้วะ ไอ้บ้าเอ๊ย...ถ้านายไม่มายุ่งกับฉันชีวิตฉันคงมีความสุขมากกว่านี้ ฉันทำเวรทำกรรมอะไรกันวะ” ภีมไม่ยอมให้กับฟิน แม้จะตกใจอยู่บ้างกับคำตวาดนั้น

   ฟินในอีกมุมที่ไม่มีใครรู้ นอกจากภีม...(มุมโมโห – ปกติฟินไม่ใช่คนพูดมากเกินความจำเป็นแต่พอมาเจอกับคนอย่างภีม ฟินต้องเปลืองคำพูดและสมองไปมากพอตัว)

   พอเจอคำพูดของภีมเข้า ฟินถึงกับผงะไป ร่างสูงถอยห่างออกมาจากภีมในทันที ถอยออกมาจนชิดกับผนังอีกฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกัน

   “นั่นสิ ต่างคนต่างอยู่มาตั้งสองปี แต่ทำไมตอนนี้ฉันถึง...” ฟินพูดเบาๆคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่า

   แต่...ภีมได้ยิน

   “อยากอยู่ใกล้นาย” ประโยคนี้แผ่วเบาเหลือเกิน แต่สำหรับภีมมันกลับก้องอยู่ในหัวราวกับเสียงตะโกน

   “บ้าไปแล้ว ฉัน...โธ่เว้ย อะไรกันวะเนี่ย” ภีมนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง ไม่ใช่โมโหฟิน แต่โมโหความรู้สึกตัวเองที่พอใจกับคำพูดของฟิน

   “ตอนปิดงานอย่าลืมว่านายต้องเล่นเปียโนอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เม้าท์ออแกนอันนั้น อย่าทิ้งมันไปอีกล่ะ เพราะสักวันนายอาจจะเสียใจที่ทำไมไม่เก็บมันเอาไว้” ฟินพูดเบาๆน้ำเสียงยังคงไว้ในความอ่อนโยน

   แล้วฟินก็เดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่หันกลับมามองภีมอีกเลย

   งานเลี้ยงรุ่นที่แสนสนุกสุขสันต์สำหรับใครหลายคน แต่มันกลับเศร้าสำหรับคนสองคนที่กำลังหันหลังให้กัน

   ฟินเดินออกไปจากห้องด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยและแววตาที่ไร้ความรู้สึก แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ความว่างเปล่าที่แสดงออกมานั้นกลับเต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึกที่ยุ่งยากมากมายเกินจะคาดคิด

   ภีมมองร่างสูงที่เดินออกไปจนลับตา...จากนั้นความคิดของเขาก็จมอยู่กับความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงในใจ เขาควรจะดีใจที่หมอนั่นไปสิ...ไม่ใช่มานั่งเศร้าอยู่แบบนี้

   จนกระทั่งงานเลิก...

   พิธีกรของงานประกาศเรียกภีม

   คำพูดของฟินก้องอยู่ในหัวของภีมทุกประโยค ภีมลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปหน้างาน...

   มีผู้หญิงมากมายที่ตั้งความหวังว่าจะได้เต้นรำกับเขา แต่ก็หมดหวังกันถ้วนหน้าเพราะภีมไม่ปรากฏตัวออกมาจากข้างหลังเลย

   ร่างสูงสง่างามในชุดสีดำเดินมายังเปียโนช้าๆ สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา ไม่มีใครพูดคุยและทำสิ่งใดให้เกิดเสียง

   ทุกคนรอฟังบทเพลงปิดท้ายงานครั้งนี้...

   ภีมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วทาบนิ้วลงบนเปียโน

   เขาสูดลมหายใจเข้า...

   แล้วบทเพลงก็เริ่มขึ้น...

   ท่วงทำนองที่แสนเศร้า...ถ้าใครเคยได้ฟังเพลงนี้คงจะรู้ว่ามันเศร้าอยู่แล้ว เมื่อเพลงนี้มีท่วงทำนองใหม่ที่เศร้ากว่า มันจะกินใจผู้คนได้สักเพียงไหน

   ทำนองที่บาดลึกในใจ เนื้อเพลงกลายเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้เพลงสมบูรณ์เท่านั้น ตอนนี้มันไม่ได้มีความสำคัญเลย

   ท่วงทำนองที่แสนเศร้านี้ต่างหาก...ที่สำคัญ

   ทำนองที่เขียนขึ้นใหม่โดยใครสักคนที่มีฝีมือและหัวใจที่อ่อนโยน ใครสักคนที่ภีมคิดว่าต้องไม่ใช่ฟินแน่ๆ

   ทุกคนในงานราวกับต้องมนตร์สะกด เพลงที่แสนธรรมดากลับมีเวทมนตร์สะกดคนได้ถึงเพียงนี้ ฟังดูไม่น่าเชื่อ...

   แต่...มันก็เป็นไปแล้ว

   เมื่อถึงท่อนของเนื้อร้อง ทุกคนในงานต่างก็พยายามร้องตาม ยิ่งคิดว่าอีกสองเดือนข้างหน้าต้องแยกย้ายกันไปเรียนที่อื่นยิ่งพาให้น้ำตาจะไหลออกมา (ทั้งๆที่เนื้อเพลงไม่ได้เศร้าอะไรปานนั้นเลยสักนิด ทำนองต่างหากที่เศร้า แต่ความความรู้สึกของคนยามนี้มักจะอ่อนไหวเป็นธรรมดา ยามที่ต้องคิดว่าต้องจากลาคนที่เรารัก)

   ใครว่าโรงเรียน...ไม่สำคัญ

   ถ้าไม่สำคัญ...ทำไมคนถึงมีน้ำตาเมื่อต้องจากมันไป

   ท่ามกลางเสียงร้องของทุกคนในงาน ยังมีอีกเสียงหนึ่งที่กำลังร้องเพลงนี้ออกมาอย่างแผ่วเบา

   เขากำลังจะกลับอยู่แล้ว แต่พอได้ยินทำนองนี้ก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจหยุดฟังอยู่ที่ข้างนอกงาน

   เขาไม่คิดว่าจะได้ยินเพลงนี้ในงานนี้ ไม่คิดว่าเพลงนี้จะเป็นเพลงที่ภีมเลือก

   เพลงธรรมดา...กับทำนองธรรมดา...

   ที่เขาเป็นคนเขียนขึ้นเอง

   ...ฟิน...

   “ค่ำคืนที่ใครต่างมองบนท้องฟ้า
   ค่ำคืนที่ฟ้าพร่างพราวด้วยแสงดาว
   ค่ำคืนที่ฉันต้องอยู่กับความเหงา
   เพราะไม่มีใครสักคน

   ดาวอาจไม่เหงาเพราะว่าดาวมีเต็มฟ้า
   บนฟ้าไม่เหงาเพราะว่าฟ้าไม่ได้อยู่...ลำพัง
   แต่ฉันคนนี้นั่งอยู่ตรงนั้น...นั่งอยู่เพื่อมองดาว

ดาวที่เปล่งประกายอยู่บนฟ้า
โปรดบอกฉัน...ว่าความเหงาที่อยู่บนโลกนี้เป็นอย่างไร
แล้วรู้ไหม...ว่าฉันเหงาแค่ไหนกับการที่ต้องมองดาวอยู่ลำพัง
   
โปรดตอบฉัน...จะมีไหมสักวัน
   ที่จะมีใครมานั่งอยู่ด้วยกัน...ตรงนี้
   ตรงที่ที่เราจะได้มองดวงดาวด้วยกัน...

   มีเพียงฉันและเธอ”



 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

Infinite Love

  • บุคคลทั่วไป
ฟินคร้าบ หมายความว่าหลังจากจบงานนี้ก็จะกลับไปเจ๊าะแจ๊ะกะภีมเหมือนเดิมอะดิ  :laugh3:
เอ๊ะ! รึจะรุกหนักกว่าเดิน  :laugh: ถ้าได้อย่างนี้ก็  o13

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

forever-yunjae

  • บุคคลทั่วไป
ยังไงกันแน่จร่ะ ฟิน :)

ออฟไลน์ EVE910

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 550
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1

zusuki

  • บุคคลทั่วไป




บทที่ 12 – สารภาพ





   ฟินนั่งมองโทรศัพท์อย่างชั่งใจอยู่นานกว่าจะยกหูแล้วเรียกสายปลายทางไปยังสถาบันกวดวิชาที่เขาทำงานอยู่

   “สวัสดีค่ะ สถาบัน(.....)ยินดีรับใช้ค่ะ” เสียงของพนักงานประชาสัมพันธ์ที่ปลายสายพูดขึ้นมา

   “ผมฟินเองครับ ผมขอยกเลิกตารางการสอนในวันเสาร์อาทิตย์แล้วกลับไปสอนในตารางเดิมเหมือนแต่ก่อน” ฟินพูดเบาๆ พยายามระงับความรู้สึกขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจ

   “สักครู่นะคะน้องฟิน กรณีพิเศษแบบนี้ต้องปรึกษาผู้จัดการก่อนนะคะ” ประชาสัมพันธ์บอกเสียงหวานก่อนจะต่อสายไปที่ผู้จัดการคนที่เสนองานนี้ให้กับฟิน

   เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ฟินก็ได้รับคำตอบ..

   “ไม่ได้เด็ดขาดเลยค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

   “ทำไมล่ะครับ” ฟินถามอย่างงุนงง นึกสงสัยว่าทำไมไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงตารางงานของตัวเอง

   “สัญญามันผูกมัดค่ะ น้องฟินจะออกจากงานนี้ไม่ได้จนกว่าจะครบสามเดือน” เธอพูดอย่างใจเย็น

   ฟินยิ่งงงขึ้นไปอีก สัญญาอะไรกัน เขาเคยเซ็นสัญญาอะไรที่มีข้อผูกมัดบ้าๆนี้ด้วยเหรอ

   แต่พอได้รับคำอธิบายจากคุณประชาสัมพันธ์ ฟินก็ร้อง...อ๋อ ขึ้นมาทันที

   สัญญางานที่เขาตกลงรับงานสอนพิเศษภีมนี่นา งานที่ภูรดาเป็นคนจ้าง ฟินนึกแล้วก็ต้องถอนหายใจ จะโทษใครได้เล่าในเมื่อเป็นความสะเพร่าของตัวเองที่ไม่ได้อ่านรายละเอียดและข้อตกลงต่างๆให้ชัดเจน

   “ผมทำอะไรไม่ได้เลยใช่มั้ย นอกจากทำใจจนกว่าจะครบสามเดือน” ฟินถามเรียบๆ

   “อย่างงั้นแหละค่ะน้องฟิน ทนหน่อยเถอะนะคะ อีกสองเดือนเอง” คุณประชาสัมพันธ์พูด ในน้ำเสียงนั้นคล้ายกับปลอบใจฟิน
   “มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะครับ” ฟินวางหูโทรศัพท์อย่างเหม่อลอย

ตอนแรกเขาไม่มีความคิดที่จะเลิกทำงานนี้ จนกระทั่งได้เห็นท่าทีรังเกียจและคำพูดที่น่าสงสารนั้นของภีม เลยทำให้ฟินตัดสินใจที่จะออกห่างจากผู้ชายคนนี้

ไม่ใช่ไม่อยากอยู่ใกล้...

แต่ไม่อยากให้ภีมเกลียดเขาไปมากกว่านี้ต่างหาก

ฟินถอนหายใจพลางเดินไปนั่งบนโซฟาที่หันหน้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ เขานึกขอบคุณพ่อและแม่ที่มองการณ์ไกลเลือกที่สวยๆแบบนี้ให้โดยที่ไม่สนใจว่าราคาจะแพงแค่ไหน
ฟินนั่งเหม่อมองตึกระฟ้าที่เรียงรายกันอยู่รอบๆแม่น้ำ นั่งอยู่อย่างนั้นจนนาฬิกาตีบอกเวลา 10:00 น.


ร่างสูงวิ่งลงบันไดจากชั้นสามลงมายังห้องเรียนหนังสือที่อยู่ชั้นสองอย่างรวดเร็ว

ได้เวลาเรียนพิเศษของคุณชายแห่งพิริยะแล้ว...

ภีมหวังว่าเปิดประตูห้องเข้าไปจะได้เจอครูสอนพิเศษที่มีใบหน้าขรึมนั่งรออยู่บนเก้าอี้ท่ามกลางเอกสารประกอบการสอนมากมาย

แต่...พอเปิดเข้าไปจริงๆกลับไม่มีใคร

มีเพียงเก้าอี้ที่ปราศจากคนนั่ง

แวบแรกของความรู้สึกคือผิดหวัง

ภีมพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ทำไมวันนี้มาช้า ไม่เคยผิดเวลานี่”

ภีมมีเรื่องมากมายอยากคุยกับเขา...

ร่างสูงเดินไปนั่งยังเก้าอี้ของตัวเองที่หันหน้าเผชิญกับเก้าอี้ของครูพิเศษ

ภีมตัดสินใจรอ...

เป็นครั้งแรกที่ภีมเลือกจะรอ...

ในชีวิตของคุณชายภีมแห่งพิริยะ ตระกูลใหญ่ชื่อดังที่แสนจะมีชื่อเสียงไม่เคยต้องรอใครและก็ไม่มีใครที่ทำให้เขาต้องรอ

นอกจากเป็นครั้งแรกที่ภีมต้องรอแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่คิดจะเอ่ยคำขอบคุณและขอโทษในเวลาเดียวกัน

ภีมนั่งรออย่างใจเย็น ไม่เคยมีครั้งไหนที่คนอย่างเขามีความอดทนเท่านี้มาก่อน

ชั่วโมงแรกของการรอผ่านไป ความใจเย็นที่พยายามสร้างขึ้นก็เริ่มหายไปทีละน้อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ชั่วโมงที่สาม ความอดทนของเขาก็สิ้นสุดลงในทันที

เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงที่ภีมนั่งรออยู่ในห้องโดยปราศจากเงาของฟิน ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกดโทรศัพท์ไปยังพี่สาวทันที

“ว่าไงจ๊ะภีม จะโทรมาถามว่าทำไมวันนี้พี่ถึงไม่ไปดูเราใช่มั้ย คือวันนี้พี่ไม่ว่างมีประชุม ลืมโทรบอกไปน่ะ แล้วเรียนเป็นยังไงบ้างล่ะ” ภูรดาพูดเองตอบเองเสียยืดยาว

“ไม่ใช่เรื่องนั้นซักหน่อย พี่ไม่มาน่ะดีแล้ว วุ่นวาย” ภีมพูดเสียงห้วน คนเป็นพี่ผงะไปเล็กน้อย นึกสงสัยว่าน้องชายไปโกรธใครมาอีกแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป

“วันนี้ครูสอนพิเศษของพี่น่ะ เบี้ยวงาน” ภีมพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

ภูรดารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะจากคำบอกเล่าของเพื่อนซี้ที่เป็นผู้จัดการสถาบันการสอนแล้ว ฟินเป็นเด็กดีและไม่เคยหยุดงานถ้าไม่จำเป็น หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฟิน ภูรดาคิดพลางร้องออกมาอย่างลืมตัว “หรือว่า...”

“หรือว่าอะไร อยู่ดีดีก็ร้องเสียงดัง บ้าหรือเปล่า” ภีมไม่วายต่อว่าพี่สาว

“แกน่ะเงียบไปเลย ฟินไม่เคยหยุดงานถ้าไม่จำเป็นนี่นา หรือว่าเขาอาจเป็นอะไรไป หรือ...” ภูรดาคิดไปต่างๆนานา ภีมเริ่มหงุดหงิดกับคำสันนิษฐานมากมายของพี่สาว

“หยุดคิดไปเองได้แล้วพี่ภู ฟินมันก็คนนะ มันอยากหยุดงานขึ้นมาวันนี้ใครจะไปรู้ล่ะ เข้าข้างอยู่ได้ รู้จักกันดีก็ไม่ใช่”
“งั้นก็ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ก็คงมาสอนเองล่ะ พี่ไปทำงานก่อนนะ” ภูรดาทำท่าจะวางสาย แต่มีหรือที่ภีมจะยอมง่ายๆ ก็เรื่องสำคัญยังไม่ได้ถามออกไปเลยนี่นา

“มีที่อยู่ของฟินมั้ย” ภีมถามห้วนๆ คล้ายไม่ใส่ใจอะไรแต่ข้างในกลับปั่นป่วนไปด้วยเรื่องของเขา

ภูรดาแปลกใจกับคำถามของน้องชาย แต่ก็ยอมให้ที่อยู่ไปแต่โดยดี

“จะไปหาเขาหรือไงภีม” ภูรดาถามน้องชายซึ่งกำลังจดที่อยู่ที่พี่สาวบอกลงบนกระดาษแผ่นเล็กๆที่อยู่บนโต๊ะ

“คงอย่างนั้นล่ะมั้ง อยากถามอะไรหมอนั่นนิดหน่อย” แล้วภีมก็วางสายภูรดาไปเสียดื้อๆ

ถ้าวันนี้คุยกันไม่รู้เรื่องก็ไม่ใช่คุณชายภีมแล้วล่ะ ภีมตัดสินใจจะไปหาฟินตามที่อยู่ที่ภูรดาให้ไว้

คอนโด(...) ชั้น 19  ห้อง 1901...

“คุณชายจะไปไหนครับ” คนขับรถวัยสี่สิบปีเอ่ยถามคุณชายของบ้านอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะปกติแล้ว วันเสาร์อาทิตย์ ภีมจะไม่ออกไปไหนจะใช้เวลาซ้อมดนตรีอยู่กับบ้านมากกว่า แต่วันนี้มาแปลก

ภีมมองคนขับรถที่เลิ่กลั่กไปมาจนน่ารำคาญ “ผมหน้าเหมือนผีหรือครับ ทำไมต้องกลัวขนาดนั้นด้วย” น้ำเสียงยียวนแกมประชดของภีม ทำให้คนขับรถยิ้มออกมาได้บ้าง

“ไปตามที่อยู่นี้ ให้เร็วที่สุดล่ะ” ภีมพูดพลางยื่นแผ่นกระดาษเล็กๆให้กับคนขับรถ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีดำคันงามก็จอดอยู่เบื้องหน้าคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ภีมมองอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เชื่อว่าคนอย่างฟินจะอยู่ในที่หรูหราขนาดนี้เพราะดูอย่างไรเขาก็เป็นคนที่แสนจะธรรมดา

คอนโดหรูที่มีความสูงประมาณสามสิบชั้น มีที่จอดรถเป็นสัดส่วนทางด้านขวา มีมุมพักผ่อนที่โอ่อ่าทางด้านซ้าย และยังมีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม กว่าภีมจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในคอนโดได้ก็ต้องคุยอยู่นาน ทางพนักงานขอโทรไปบอกเจ้าของห้องก่อนแต่ภีมขอไว้โดยบอกเหตุผลว่าต้องการจะเซอร์ไพรส์วันเกิดเพื่อนคนนี้

กว่าจะได้รับความยินยอมให้ขึ้นมาได้ ภีมก็แทบถอดใจ

นิ้วเรียวสวยกดลิฟท์ไปยังชั้น 19 รู้สึกเหนื่อยกับการใช้สมองคิดเหตุผลเมื่อครู่

“ติ๊ง” ประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้น 19

ความเงียบรอบตัวกดดันภีมอย่างบอกไม่ถูก เขานึกสงสัยว่าทำไมถึงได้เงียบขนาดนี้ พื้นทางเดินที่ปูพรมอย่างดีมีความหนานุ่มจนทำให้เสียงที่เกิดขึ้นจากฝีเท้าหายไป ภีมเดินไปทางซ้ายมือของลิฟต์

ไปยังห้องที่หนึ่งของชั้นสิบเก้า

1901 หมายเลขหน้าห้องแรกสุดของชั้น

ภีมเคาะประตูดังๆสามครั้ง แล้วจังหวะการเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก ภีมรู้สึกอยากหันหลังแล้ววิ่งหนีหายไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนตัวเองไม่เคยมาที่นี่

มาหาฟิน...

แต่ถึงอย่างนั้น ต่อให้ภีมวิ่งเร็วเท่าไหร่ก็คงไม่ทัน เพราะเจ้าของห้องเปิดประตูออกมาแล้ว

ฟินในชุดนอนลายทางสีฟ้า ผมเผ้ายุ่งเหยิงและมีใบหน้าซีดเซียว ทำให้ภีมชะงักไปพักหนึ่ง ทั้งนี้เพราะภีมไม่เคยเห็นฟินในสภาพนี้มาก่อน เขาดูไม่มีมาดของประธานนักเรียนเลยสักนิดเดียว

ฟินมองคนมาเยือนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ

ภีมมองเข้าไปในห้องของฟินโดยไม่รู้ตัว อดคิดไม่ได้ว่าภายในห้องจะเป็นอย่างไร ฟินเหมือนจะรู้ความคิดนั้น ร่างสูงที่ดูสูงขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ในชุดนอนกางเกงขายาวเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้ภีมเดินเข้ามาข้างใน

ภีมรู้สึกตัว เขาดึงสายตากลับมาที่ใบหน้าเรียบเฉยนั้นทันที “ทำไมไม่มาสอน” ภีมถามออกไป

ฟินไม่พูดอะไร นอกจากมองหน้าเจ้าของคำถาม นายน่าจะชอบไม่ใช่เหรอที่ไม่ต้องเห็นหน้าฉัน แล้วทำไมนายถึง...

“ฉันถาม ทำไมไม่ตอบ” ภีมตวาดเสียงดังก้องไปทั่วทั้งชั้น

“ถ้าจะมาแหกปากโวยวายก็กลับไปซะ” ฟินบอกเสียงเรียบก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาตัวโปรดในโซนนั่งเล่นที่อยู่ทางขวามือของห้อง “แต่ถ้าจะคุยก็เข้ามานั่งคุยกันดีดี”

ภีมหอบหายใจแรงด้วยความโมโห คิดจะกลับตัวเดินไปขึ้นลิฟต์แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวเข้าไปในห้องเสียนี่ ซ้ำร้ายยังปิดประตูให้เสียเสร็จสรรพ

ห้องของฟินเป็นห้องชุดที่แบ่งเป็นโซนอย่างชัดเจน มีห้องนอน ห้องครัว และมุมนั่งเล่น ภีมมองไปรอบๆห้องอย่างตะลึง

สมกับที่เป็นประธานนักเรียนจริงๆ ทุกอย่างเนี้ยบไปหมด

ทั้งความสะอาด และความเป็นสัดส่วนของสิ่งต่างๆที่อยู่ในห้อง

ภีมเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวเยื้องกับโซฟาตัวที่ฟินนั่ง ทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ภีมรู้สึกปลอดโปร่ง ยิ่งบริเวณนั้นกั้นด้วยกระจกใสๆไม่มีอะไรมาบดบังด้วยแล้วยิ่งทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับทิวทัศน์เบื้องหน้าขึ้นไปอีก

“นายจะมาขอบคุณฉันใช่มั้ยที่ไม่ไปสอน” ฟินพูดขึ้นก่อน ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าที่หันมาเพียงเสี้ยวของภีม

ภีมคิดจะบอกปฏิเสธแต่ด้วยทิฐิจึงทำให้เลือกที่จะพูดประชดกลับไป “ก็อย่างนั้นล่ะมั้ง ขอบคุณที่ไม่ไปสอนแล้วถ้าจะให้ดีไม่ต้องไปอีกเลย จะเป็นพระคุณมาก” ภีมพูดไปอย่างนั้นไม่ได้คิดอย่างที่พูดจริงๆ

แต่...ฟินไม่รู้ว่าภีมคิดอย่างไรกับคำที่พูดมา

“เมื่อเช้าฉันโทรไปยกเลิกงานนี้มาแล้ว” ฟินพูดพร้อมกับมองตาของภีม คล้ายรอดูปฏิกิริยาตอบรับของเขา

ส่วนภีมก็ชะงักไป รู้สึกเหมือนถูกชกหน้าอย่างจัง ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวฉายแววสงสัยระคนเสียใจอยู่แวบหนึ่ง แวบเดียวเท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นแวบเดียว...แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของฟินไปได้ หัวใจที่แฟบลงกลับพองโตขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ดีมาก ฉันจะให้รางวัลอะไรดีล่ะ รถเบนซ์สักคันดีไหมที่นายอุตส่าห์ลาออกจากงานนี้” ภีมพูดประชด ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่เคยเป็นคนชอบพูดประชดประชัน ออกจะเกลียดเสียด้วยซ้ำ มาวันนี้กลับกลายเป็นคนชอบประชดไปเสียนี่

ฟินไม่พูดอะไร แต่ดวงตากลับฉายแววขบขันออกมา

“หรือว่าอยากได้เงิน” ภีมแกล้งมองไปรอบๆห้องอย่างชื่นชมก่อนจะเบ้ปากเย้ยหยันออกมา “แต่ดูแล้วนายก็ไม่ใช่คนจนที่กระหายเงินเลยนี่ ข้าวของที่ใช้ก็แบรนด์เนม ที่อยู่ก็แสนจะหรูหรา แล้วยังจะมาทำงานทำไม สู้นั่งกินนอนกินไม่ดีกว่าหรือ”

ฟินยังคงไว้ในใบหน้าเรียบเฉย ทว่าความจริงแล้วแทบกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ ประชดเก่งจังเลยนะภีม ดูซิ...จะพูดอะไรอีก

“อืม...หรือว่านายอยากได้บ้านสวยๆสักหลังแทนคอนโดนี้ อะไรดีล่ะที่จะแทนคำขอบคุณของฉันที่นายอุตส่าห์ลาออกจากงาน” พูดไปพูดมาเริ่มถึงทางตัน ภีมไม่รู้จะพูดอย่างไรเพื่อให้คนอย่างฟินเจ็บช้ำน้ำใจ

“หรือว่านายอยากได้ตัวฉันล่ะ” ภีมโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว ฟินนิ่งไปในทันที ส่วนภีมก็นิ่งไปเช่นกัน สมองส่วนที่ใช้ประมวลผลของภีมเริ่มทำงานประมวลผลความอายที่เกิดขึ้นจากคำพูดนั้นในทันทีที่รู้สึกตัว

“ถ้าอยากได้แล้วจะให้มั้ยล่ะ” ฟินตอบกลับไป ในเมื่อชอบประชดนักเขาก็จะสนองตอบเอง “พูดออกมาแล้วนะ” ดวงตาคมสบเข้ากับดวงตาภีมที่ตอนนี้ถลึงขึ้นด้วยความตกใจ

“ฉัน...” สมองของภีมแทบโล่งว่างเพราะไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูดแก้ตัว เขานึกอยากจะเย็บปากตัวเองเอาไว้กับสมองเผื่อว่าคราวหน้าคราวหลังจะได้คิดก่อนแล้วค่อยพูด ไม่ใช่มานั่งแก้ไขคำพูดเอาตอนนี้ “ฉันพูดไปอย่างนั้น นายก็อย่ามาเล่นด้วยสิ”

“แต่ถึงนายจะให้ ฉันก็ไม่รับหรอก” ฟินเหยียดริมฝีปากคล้ายไม่ใส่ใจ ภีมรู้สึกอับอายยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นใบหน้าของฟิน “เพราะว่าสัญญาที่ฉันเซ็นต์ไปมันผูกมัดอยู่ ฉันจะลาออกจากงานนี้ไม่ได้จนกว่าจะครบสามเดือน”

ภีมยิ่งอับอายขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินดังนั้น คนคิดสัญญาบ้าๆนี้ขึ้นมาจะเป็นใครได้ นอกจากพี่สาวตัวแสบของเขา ‘ภูรดา’

“สรุปก็คือ ถึงฉันอยากจะออกก็คงไม่ได้ ยังไงก็ต้องทำงานให้ครบสามเดือนตามสัญญา” ฟินพูดเรียบๆ

“แต่ถ้านายอยากจะเลิกทำจริงๆฉันจะช่วย” ภีมพูดเรียบๆ ก่อนจะก้มหน้ามองพื้น “ฉันก็ไม่อยากเรียน นายก็ไม่อยากสอน เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะบอกพี่ภูเอง”

“อีกสองเดือน นายจะทนไม่ได้เลยเหรอ มันลำบากมากนักหรือไงกับการที่ต้องอยู่ใกล้คนอย่างฉัน” ความใจเย็นของฟินเริ่มจะหายไปเมื่อภีมยังคงดื้อรั้นและเชื่อแต่ตัวเองเพียงอย่างเดียว

“ลำบาก ลำบากใจมาก” เป็นอีกครั้งที่พูดออกไปโดยที่ไม่ได้คิด ภีมเม้มปากเก็บความรู้สึกขัดแย้งที่มันวิ่งวนอยู่ในใจ

ฟินแค่นเสียงหัวเราะอย่างผิดหวังก่อนจะมองใบหน้าของภีมด้วยความสงสัย “แล้วนายจะมาที่นี่ทำไม มาหาฉันทำไม ทำไมไม่เลิกยุ่งไปเลย ในเมื่อฉันคิดจะเลิกยุ่งกับนายเพื่อตัดปัญหาทุกๆอย่าง...”

ฟินยังพูดไม่จบประโยค ภีมก็พูดแทรกเสียก่อน “หยุดพูดได้แล้ว ฉันมาหานายก็เพื่อ...” ภีมตั้งใจจะทำตามจุดประสงค์ที่วางไว้

แต่พอเอาเข้าจริงก็พูดไม่ออกเสียอย่างนั้น เมื่อความรู้สึกกดดันเริ่มขึ้นร่างของภีมจึงเริ่มสั่นระริกตามไปด้วย

“ถือซะว่าฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วกัน พูดออกมา” ฟินพูดเป็นเชิงบังคับ แม้น้ำเสียงจะฟังนุ่มนวลแต่ทว่าแฝงไปด้วยความกดดัน

คิ้วของภีมขมวดเข้าหากัน จะให้ถือซะว่าไม่อยู่ได้ไงวะ นั่งข้างๆตัวเบ้อเริ่มขนาดนี้ ไอ้นี่...ท่าจะบ้าเว้ย

“ไม่คิดว่านายจะเล่นเพลงนั้นปิดงาน” อยู่ดีดีฟินก็เปลี่ยนเรื่องพูดเสียเฉยๆ ภีมเงยหน้ามองคนที่นั่งนิ่งข้างๆอย่างงุนงง

“ได้ยินด้วยเหรอ นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก” น้ำเสียงของภีมอ่อนโยนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ฟินเริ่มเห็นความหวังลางๆอีกครั้งหนึ่ง

แต่...ฟินก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าภีมอาจจะคิดเหมือนเขาอยู่ในตอนนี้

คิดเรื่องความรู้สึกที่เปลี่ยนไป

“ก็กำลังจะกลับ แต่ว่าได้ยินซะก่อนก็เลยอยู่ฟัง อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าใช้เปียโนเล่นจะเพราะแค่ไหน” ฟินพูดยิ้มๆ พลันนึกถึงตอนที่แต่งทำนองเพลงดาวใหม่ด้วยเม้าท์ออแกนของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแต่งทำนองเพลงเองโดยเฉพาะคนที่มีความรู้เรื่องดนตรีเพียงน้อยนิดอย่างฟิน

“นายไปเอาทำนองเพลงนี้มาจากไหน” ภีมถามออกมา เป็นคำถามที่คาใจเขามานานแล้ว

ฟินยิ้มอ่อนโยน ภีมคล้ายต้องมนตร์เมื่อมองดูรอยยิ้มนั้น “จากหัวฉันนี้ล่ะ เทียบเสียงเอากับเจ้านั่นน่ะ” ฟินพยักเพยิดหน้าไปทางเม้าท์ออแกนที่วางอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ข้างๆภีม

“นายนี่นะ แต่งเพลงได้” ภีมถามอย่างไม่เชื่อ

“แต่งได้แต่เพลงนี้นั่นล่ะ” รอยยิ้มของฟินกว้างขึ้นอีก

“ไม่น่าเชื่อ” ภีมพึมพำกับตัวเอง ระหว่างนั้นฟินลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ

ฟินมองดูตัวเองในกระจก เป็นครั้งแรกที่ฟินยอมรับกับตัวเองอย่างชัดเจนว่า...

เขาได้เปลี่ยนไปแล้ว และอาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาล เปลี่ยนไปเพราะผู้ชายคนที่นั่งอยู่ข้างนอก

เปลี่ยนไปเพราะภีม...

ในช่วงที่ฟินอยู่ในห้องน้ำเพื่อสงบใจนั้น ภีมก็ลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบๆห้อง มุมนั่งเล่นนี้เป็นบริเวณเดียวที่กั้นด้วยกระจกใส มันโปร่งเสียจนคล้ายไม่มีอะไรมากั้นอยู่ นอกจากโซฟาหรูหราแล้วยังมีโต๊ะคอมพิวเตอร์ ทีวีพลาสมาและโฮมเธียร์เตอร์รุ่นล่าสุด บริเวณที่นั่งหน้าทีวีนั้นเต็มไปด้วยเบาะรองนั่ง ผ้าห่ม หมอนหนุน หมอนข้างซึ่งของแต่ละชิ้นล้วนเข้าชุดกันกับชุดที่ฟินใส่อยู่
และจากการเดินสำรวจเพียงมุมนี้มุมเดียวทำให้ภีมรู้ว่า เจ้าของห้องนี้ชอบสีฟ้า...

แล้วฟินก็เดินไปที่โซนห้องครัวที่แสนเรียบร้อยคล้ายกับไม่เคยมีคนใช้งาน จะมีก็แต่ไมโครเวฟเท่านั้นที่มีรอยเปรอะเปื้อนคราบอาหาร

ถัดไปเป็นห้องนอนที่ประตูปิดสนิท ภีมจึงไม่เข้าไปยุ่ง ร่างสูงหมุนตัวจะเดินกลับไปยังที่เดิมแต่ด้วยความรีบร้อนจึงชนเข้ากับแผ่นหลังของคนที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำพอดี

ราวกับนาฬิกาหยุดหมุนไปชั่วขณะ...ฟินและภีมยืนนิ่งอยู่กับที่

มีแต่เสียงหัวใจเท่านั้นที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้ยิน

ใบหน้าภีมชนเข้ากับแผ่นหลังของฟิน มันแข็งแกร่งเสียจนภีมรู้สึกเจ็บ แม้จะรู้สึกอย่างนั้นแต่ภีมก็ไม่ได้หันหน้าหนีหรือขยับตัวออกห่างแต่อย่างใด

ฟินยืนนิ่งคล้ายรูปปั้น ดวงตาคมมองตรงไปเบื้องหน้า ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะหันกลับไปแล้วกอดร่างของภีมเอาไว้ให้แน่นที่สุด
ลมหายใจของภีมรดแผ่นหลังของฟิน สำหรับฟินแล้วลมหายใจนั้นไม่ต่างอะไรไปจากเชื้อไฟชั้นดีเลย
โชคดีที่แปรงฟันแล้ว... ฟินคิดในใจ

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของฟิน เขารู้สึกว่าพักนี้ตัวเองยิ้มบ่อยขึ้น...

ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้...ภีมซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างของฟิน “ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้ ไม่อยาก แต่ทำไมฉันถึง...” ภีมสารภาพออกมาด้วยเสียงสั่นเทา

“ฉันก็เหมือนกัน ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นแบบนี้” ฟินสารภาพออกมาเช่นกัน

“ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้ ไม่อยากเลยจริงๆ” ไม่เพียงแต่น้ำเสียงเท่านั้นที่สั่นแต่ร่างของภีมก็สั่นตามไปด้วย

ฟินหันกลับมาแล้วโอบกอดภีมเอาไว้ มือข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นมาประคองศีรษะเล็กของภีมแล้วลูบเบาๆอย่างปลอบใจ “ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนี้หรอกภีม แต่หัวใจของคนเราน่ะ มันเลือกไม่ได้ว่าจะรักใคร”

“ฉันไม่รู้ตัวเลย ฉันไม่อยาก...” ภีมคล้ายจะร่ำไห้กับคำสารภาพนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับกับตัวเองว่าเขาหลงรักผู้ชาย

ฟินสงบนิ่งราวกับรูปปั้น ในยามนี้ที่พึ่งของภีมต้องแข็งแกร่ง ฟินเลือกที่จะแข็งแกร่งเพื่อปกป้องคนที่อยู่ในอ้อมอก

แต่...ฟินยิ่งแข็งแกร่งเท่าใด ความอ่อนแอของภีมยิ่งเพิ่มขึ้น ภีมไม่เคยกอดใครมานานแล้ว ทั้งพ่อแม่หรือพี่สาว นานแล้วกับความรู้สึกที่ไม่เคยถูกใครรักอย่างจริงใจ

และนานแล้วอีกเช่นกันกับความรู้สึก...รักใครสักคน

“ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่” ฟินใช้มือกดศีรษะภีมให้ซบลงบนไหล่กว้างของตน “แต่ตอนนี้ฉันรักนายเหลือเกิน” ประโยคท้ายแผ่วเบาราวสายลมที่พัดผ่าน

แต่กลับดังก้องในหัวใจของภีม...

ริมฝีปากของภีมเริ่มขยับ “ฉัน...”

“ช่างเถอะ...ฉันรักนายคนเดียวก็พอ”




 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:       :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ EVE910

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 550
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
 :impress2: :impress2:

น่ารักอ่ะ


“ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนี้หรอกภีม แต่หัวใจของคนเราน่ะ มันเลือกไม่ได้ว่าจะรักใคร

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด