***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon  (อ่าน 112853 ครั้ง)

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
ชอบบบ บบบบ บ บ บบ


มาต่อเร็ว ๆ ๆ

alonezaxxx

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักอ่าาาาาาาา  :-[ :-[ :-[ ติดแล้วเรื่องนี้ๆ กรี๊ดดดดดด  o13 o13 o13

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโรคจิต เพราะพออ่านมาถึงคำว่า "ครั้งที่สอง" มือก็ลากเม้าท์เลื่อนไปหาว่า "ครั้งที่ 1" มันอยู่ตรงไหนวะทันที   :m28: :haun4:

ว่าแต่..หงัยเพิ่งมาบ่นว่าเจ็บตอนจะทำครั้งที่ 2 ล่ะจ๊ะภีม ไม่บ่นแต่แรกฟินก็เลยนึกว่าชิวชิวอะสิ  :laugh:

e_new

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักดีค่ะ ครอบคัรวสุขสรร
นิวว่ายังอธิบายงงๆอยู่นะ มันยังไม่เข้าถึงอารมณ์
หรือนิวอ่านไม่รู้เรื่องเอง 55
นิวอยากให้อธิบายฉากนั้นมากกว่านี้อ่ะ >///<
(คิดได้เนาะ อีนิวเอ๊ย ย)
สู้ๆค๊า รอตอนต่อไป :) +1 +เป็ด
 :L2: :L2: :L2:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

tawan

  • บุคคลทั่วไป
รักต้องไม่มีอุปสรรคสู้นะ

 :call:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
เนื้้อเรื่องเริ่มเครียส หรือว่ามันเครียสมาแต่เริ่มเรื่องกันนะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

zusuki

  • บุคคลทั่วไป



บทที่ 18 – ฟาร์ม “กิตติกุล”




   แสงแดดยามเช้าลอดผ่านพุ่มไม้เข้าสู่หน้าต่างที่เปิดไว้ ตามด้วยเสียงนกร้องและเสียงฝีเท้าของม้าที่หน้าบ้าน
 
   ภีมค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วพยายามขืนตัวลุกจากเตียงเพื่อจะไปยืนริมหน้าต่าง แต่พอลุกขึ้นนั่งเท่านั้น ภีมก็ต้องนอนลงอีกครั้ง

   มันระบมจนภีมแทบอยากจะร้องออกมาให้ลั่นบ้านเพื่อระบายความเจ็บ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะฟินยังคงหลับอยู่

   ภีมจึงทำได้เพียงนอนมองนกตัวแล้วตัวเล่าที่บินผ่านหน้าต่างไป แต่ยิ่งนานเข้าดวงอาทิตย์ยิ่งส่องกระทบกับหน้าต่างจนเกิดประกายแดดจ้าเข้าตาภีมอย่างจัง

   แล้วโชคก็เข้าข้างภีม...เมื่อฟินตื่นขึ้นมาพอดี

   “ช่วยไปเอาม่านลงหน่อยสิ” ภีมหันไปบอกฟินที่กำลังขยี้ตาเพื่อขจัดความง่วง

   ฟินพยักหน้ารับยิ้มๆก่อนจะเดินไปดึงม่านลงพลางมองดูนาฬิกา

   แปดโมงตรง... ฟินจะตื่นเวลานี้ประจำแล้วก็ตื่นตรงเวลาทุกครั้ง

   “อาบน้ำแล้วลงไปกินข้าวกัน” ฟินพูดพลางฉุดร่างที่นอนคุดคู้ใต้ผ้าห่มให้ออกมา

   “เจ็บนะเว้ย ไม่ไป ลุกไม่ไหว” ภีมปฏิเสธรวดเดียวจบพลางขืนตัวไว้

   “เจ็บจนลุกไม่ไหวเลยเหรอ” ฟินแกล้งถามทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจ

   “เออสิ...เจ็บทั้งตัวเลย ไอ้บ้าเอ๊ย...ทำอะไรไม่คิด” ภีมต่อว่าฟินเข้าให้ หมอนี่เห็นเขาเป็นอะไร...ทำไมไม่รู้จักถนอมกันเสียบ้าง

   ฟินหัวเราะร่าก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วกอดเอวภีมเอาไว้ “ทีหลังจะเบาๆกว่านี้ ตอนนั้นมันลืมคิดไป” เมื่อนึกถึงตอนนั้นที่ว่า ฟินก็รู้สึกอยากจับน้องสาวที่น่ารักมาตีก้นสักหลายทีให้สมกับความผิดที่เข้ามาขัดจังหวะ

   “คงไม่มีทีหลังแล้วล่ะ เพราะเจ็บเว้ย” ภีมแกล้งทำเป็นหงุดหงิด พลางผลักศีรษะของฟินเบาๆ

   “แน่ใจเหรอ” ฟินพูดพลางขึ้นคร่อมภีมเอาไว้ ภีมรีบใช้มือดันหน้าอกของฟินไว้ทันที

   “พอเถอะ เจ็บจริงๆ” ภีมพูดคล้ายกับจะขอร้องให้ฟินหยุดเรื่องเจ็บๆแบบนี้เสียที

   ฟินหัวเราะอีกครั้งก่อนจะผันตัวกลับมานอนเคียงข้างภีม “ลุกไม่ไหวก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะบอกพ่อกับแม่ว่านายไม่สบาย คงพาไปดูฟาร์มไม่ได้ เลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้แทน”

   “บอกอย่างนั้นล่ะ ขอโทษพ่อกับแม่ด้วย” ภีมพูดก่อนจะแกล้งหลับตาเพื่อให้ฟินรู้ตัวว่าสมควรลงไปทำตามที่พูดได้แล้ว

   แต่ฟินก็ยังไม่ลง เขายืนกอดอกมองดูภีมอย่างนั้นเป็นเวลานาน แล้วคนที่ถูกจ้องตลอดอย่างภีมก็เป็นฝ่ายข่มตาไม่หลับเสียเอง

   “มองอะไรนักหนาเนี่ย คนนะเว้ยไม่ใช่หมู มองอย่างกับจะกิน” ภีมพูดจริงจัง
   ฟินยิ้มกับคำเปรียบเปรยนั้น หมูเหรอ...ฟินไม่ชอบหมูแต่ถ้าภีมเป็นหมูเขาก็คงต้องกิน

   “จะพาไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน” ฟินพูดอย่างขบขัน พลางเดินเข้ามาพยุงตัวของภีม

   “ไอ้นี่ก็...ไม่บอกให้รู้เรื่องตั้งแต่แรก ปล่อยให้แกล้งหลับตั้งนาน” ภีมพูดอย่างหงุดหงิดก่อนจะลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับฟิน

   ...ไม่เคยคิดว่ามันจะเจ็บขนาดนี้ แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าหน้านิ่งๆอย่างฟินจะแรงมหาศาลขนาดทำเขาเจ็บระบมไปทั้งตัวได้!...   
ฟินประคองให้ภีมนั่งลงในอ่างอาบน้ำ แล้วจัดการป้ายยาสีฟันลงบนแปรงส่งให้ภีมและให้ตัวเอง  เมื่อจัดการล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ฟินก็พาภีมมานั่งบนเตียงอย่างเดิม

   “ไปได้หรือยังล่ะ” ภีมออกปาก

   “ได้แล้วมั้ง” ฟินก้มลงจูบที่ริมฝีปากของภีมครั้งหนึ่งก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ภีมนั่งก่นด่าอยู่ในใจกับความร้ายกาจของเขา

   หมอนี่มันชักจะเหิมเกริมไปใหญ่แล้ว...

   ฟินบอกพ่อและแม่ตามที่พูดไว้ทุกประการ อาภาเป็นห่วงภีมและขอขึ้นไปดูอาการโดยมีฟางข้าวตามไปด้วย ฟินคิดจะห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะแม่และน้องสาวตัวดีรีบวิ่งขึ้นไปข้างบนอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนนทีก็จัดการหาหยูกยาพร้อมกับตักอาหารที่อาภาทำไว้ใส่จานเป็นที่เรียบร้อย

   “ส่วนเราก็มานั่งกินข้าวก่อน เดี๋ยวพ่อยกขึ้นไปข้างบนให้” นทีพูดพลางตักอาหารให้ลูกชาย

   ฟินลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “เดี๋ยวผมยกขึ้นไปเองครับ คุณพ่อจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”

   นทีหัวเราะออกมา “เหนื่อยอะไรกันเล่า แค่ยกข้าวขึ้นไปให้ภีม เพื่อนลูกก็เหมือนลูกคนหนึ่งเหมือนกัน”

   ฟินไม่อยากขัดความตั้งใจของพ่อจึงก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างรวดเร็วเพื่อจะตามพ่อขึ้นไปบนห้อง

   ทางด้านของภีม...นอนหลับตาได้ครู่เดียวเสียงฝีเท้าก็ดังลั่นบ้าน ประตูห้องถูกเปิดออกหลังจากฟินออกไปไม่นาน แล้วคนที่เข้ามาก็คืออาภาและฟางข้าว

   ภีมยิ้มบางๆให้กับคนทั้งสอง

   อาภาและฟางข้าวรีบวิ่งเข้ามานั่งบนเตียงทันที “เป็นอะไรมากมั้ยลูก เห็นฟินบอกไม่สบายหนักจนลุกไม่ไหวเลย” เธอพูดพลางเอามืออังที่หน้าผากของภีมอย่างเป็นห่วง “ดูสิ...หน้าซีดเชียว”

   วินาทีนั้นความอบอุ่นวิ่งวาบไปทั่วในหัวใจ...แล้วภีมก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบผู้หญิงตัวเล็กข้างๆกับผู้หญิงร่างเล็กทว่าทะมัดทะแมงกว่าที่อยู่อีกทวีปหนึ่ง

   ถ้าผมไม่สบายแล้วแม่จะทำอย่างนี้ไหม วิ่งมาหาผมทันทีที่รู้ว่าผมป่วย แตะหน้าผากของผมแล้วถามว่าเป็นอะไร แม่จะทำอย่างที่ผู้หญิงคนนี้ทำกับผมหรือเปล่า...ภีมได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจด้วยความปวดร้าว

   สักพักหนึ่งประตูก็เปิดออกอีกครั้ง ภีมนึกว่าครั้งนี้จะเป็นฟิน ปรากฏว่าเป็นนที พ่อของฟิน ชายร่างสูงใหญ่ กำยำ ถือถาดอาหารพร้อมยาและน้ำเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะนั่งริมหน้าต่าง

   “มาวันแรกก็ไม่สบายเลย” นทีพูดพลางหัวเราะ เขามองใบหน้าของภีมครั้งเดียวก็รู้ว่าเป็นลูกผู้ลากมากดีอย่างแน่นอน “เอาล่ะ ลุกขึ้นมากินข้าวปลาก่อน” นทีพูดพลางยกชามข้าวขึ้น “แล้วก็กินยาต่อ” มืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็ยกขวดยาขึ้นชู

   ภีมผงะไปในทันที ยาเหรอ...ไม่กิน ไม่แน่นอน

   “ผมไม่ชอบกินยาครับ” ภีมพูดพลางเบือนหน้าไปอีกทาง

   “เหมือนเจ้าฟินเลยนะเรา รายนั้นถ้าไม่จับกรอกล่ะก็ อย่าหวังว่าจะกิน” นทีพูดพลางหัวเราะ “งั้นคงต้องจับกรอกอีกคน”

   ผู้ชายคนนี้ก็ร่ำรวยเสียงหัวเราะเสียจริงๆ ทำไมฟินถึงไม่ได้ในส่วนนี้ของพ่อมาเลย...

   แล้วภีมก็หัวเราะไปกับเรื่องที่นทีพูดให้ฟัง ไม่น่าเชื่อ...ว่าคนอย่างฟินจะกินยาไม่เป็น

   ไม่นานนัก ฟินก็วิ่งขึ้นมาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบจนอาภาและนทีสงสัยว่าลูกชายเป็นอะไร ทำไมต้องลุกลี้ลุกลนอย่างกับคนทำความผิดแล้วปิดบังเอาไว้

   ทุกคนในห้องมองฟินเป็นตาเดียว ภีมส่ายหัวให้กับความรีบร้อนจนเกินเหตุของฟิน เขาจะรู้เรื่องกันหมดก็เพราะนายนี่ล่ะ...ทำพิรุธจนน่าสงสัย

   “ทำไมพี่ฟินต้องรีบขนาดนั้นด้วยคะ ตั้งแต่เกิดมา...ฟางยังไม่เคยเห็นพี่ฟินวิ่งขึ้นบันไดเลย” ฟางข้าวถามพี่ชายสลับกับมองหน้าของภีม ภีมส่ายหน้าไม่รู้ ส่วนฟินก็เงอะงะ ตอบอะไรไม่ถูก

   “เป็นอะไรไปฟิน ดูลุกลี้ลุกลนตลอดเวลาเลย ตั้งแต่ตอนลงไปข้างล่างแล้ว” นทีถามลูกชายด้วยความขบขันระคนสงสัยในท่าทางที่แปลกไป เพราะปกติฟินไม่ใช่คนรีบร้อนอะไร ออกจะเฉื่อยชาเสียด้วยซ้ำ

   “เอ่อ...คือ ผมต้องรีบขึ้นมาดูแลภีมไง เพราะพี่ภูบอกว่าต้องดูแลให้ดี เพราะอ่อนแอ ป่วยบ่อย แล้วที่สำคัญผมก็เป็นคนพาภีมมา ก็ต้องรับผิดชอบให้ดี...แล้วก็...” ฟินสาธยายไปเรื่อยตามแต่ใจจะคิดออก

   ส่วนภีมก็ได้แต่หัวเราะในใจแล้วยิ้มออกมาทางหน้าตา เอาเข้าไป...ยิ่งพูดยิ่งน่าสงสัย ฉันอ่อนแอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ป่วยครั้งสุดท้ายเมื่อตอน ม.1 แล้วที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะนายเลย...ฟิน

ภีมคิดพลางฟังคำอธิบายมากมายที่ออกมาจากคนพูดน้อยอย่างฟิน

   “พอแล้วๆ ตอบยาวเลย เมื่อก่อนไม่เห็นพูดมากอย่างนี้เลยนี่ ถามสิบประโยคตอบกลับแค่สองคำ ท่าจะเพี้ยนเว้ยเฮ้ย...ลูกเรา” นทีหันไปพูดกับอาภาพลางหัวเราะกันอยู่สองคน

   ฟินใจหายใจคว่ำในความพิรุธของตัวเอง

   “อ้าว...แม่ หนุ่มๆเขาอยากดูแลกันเองตามประสาผู้ชาย ออกมานี่เลยมา” นทีพูดพลางเดินมาดึงภรรยาให้เดินออกไปด้วยกัน “ฟินมันจะดูแลใครได้ล่ะเนี่ย” นทีพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไป

   พ่อและแม่ออกไปแล้ว จะเหลือก็แต่ก้างชิ้นโตแต่ตัวเล็กจิ๋วอย่างฟางข้าวนี่ล่ะ...ที่ไม่ยอมออกไปเสียที ฟินทำหน้าดุเดินมาใกล้น้องสาว “เมื่อคืนทำอะไรผิดไว้”

   ฟางข้าวทำท่าครุ่นคิด ทำผิดเหรอ...ทำไมไม่เห็นรู้ตัวเลยว่าผิด ทำอะไรล่ะ...ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เมื่อคิดทบทวนในใจเรียบร้อยแล้วพบว่าตัวเองไม่ผิดอย่างแน่นอน ฟางข้าวก็ยืดอกตอบอย่างห้าวหาญ “ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิดเดียว”

   “แน่ใจ” ฟินถามเสียงดุ จนฟางข้าวชักไม่แน่ใจ

   “แน่มั้ง ฟางยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ฟางข้าวทำท่าครุ่นคิดอย่างจริงจัง

   “เมื่อคืน” ฟินพูด

   ฟางข้าวคิดต่อไป เมื่อคืน...ทำไม...

   “เข้ามาในห้องตอนที่พี่กับพี่ภีม...” ฟินกำลังจะพูดต่อ แต่ถูกภีมรั้งให้ลงมานั่งด้วยกันแล้วปิดปากเอาไว้ทันทีเพื่อไม่ให้พูดอะไรไปมากกว่านี้อีก

   “แล้วไงต่อคะ” ฟางข้าวถาม

   “ไม่มีอะไรแล้วฟางข้าว ตอนนี้พี่ง่วงมากเลย ขอนอนก่อนนะ แล้วเย็นๆเรามาเจอกันใหม่” ภีมรีบพูดออกมา ฟินแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่กับท่าทางลุกลี้ลุกลนนั้น ว่าแต่เข้าอิเหนาเป็นเองแท้ๆ

   “งั้นฟางไปก่อนนะคะ แล้วเย็นๆจะขึ้นมาหาพี่ภีมใหม่” ฟางข้าวยิ้มหวานก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป ฟินรีบลุกขึ้นไปล็อคประตูทันที

   “เดี๋ยวเขาก็รู้กันหมดหรอก ไอ้บ้าเอ๊ย...” ภีมแกล้งสบถ

   “ใครจะรู้ล่ะ ฟางข้าวเหรอ...” ฟินหัวเราะครั้งหนึ่งพลางเอนตัวยืนพิงประตูเอาไว้ “เมื่อกี้ฉันจะบอกว่า...เข้ามาในห้องตอนที่พี่กับพี่ภีมกำลังจะ...” ฟินหยุดพูดไปนิดหนึ่งเพื่อกวนโทสะภีม

   “ไอ้นี่...วอนซะแล้ว” ภีมทำท่าจะเขวี้ยงขวดยาไปที่ฟิน

   “ใจเย็นสิ...ฉันบอกว่ากำลังจะนอนต่างหาก” ตอบเองก็หัวเราะเอง ฟินดูจะบ้าไปแล้วจริงๆ

   “เป็นคนแบบนี้นี่เอง มาทำเป็นนิ่ง...ความจริงร้ายกาจสุดๆ” ภีมว่าพลางปาขวดยาใส่ฟิน

   แต่มีหรือคนอย่างฟินจะรับไว้ไม่ได้ มือข้างซ้ายรับขวดยาไว้อย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะตกลงพื้น “เล่นอะไรไม่รู้เรื่องเลยภีม” ฟินว่าพลางเดินไปวางขวดยาไว้ที่เดิมแล้วส่งข้าวให้ภีม

   “กินซะ แม่ฉันทำอาหารอร่อยสุดๆเลย” ฟินพูดยิ้มๆ ส่วนภีมหน้าเศร้าไปในทันที อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบแม่ของฟินกับแม่ของตัวเอง

   ฟินมองภีมอย่างงุนงง เมื่อกี้เขายังร่าเริงอยู่นี่...ทำไมตอนนี้ “ภีม” ฟินเรียกเบาๆ

   ภีมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างรวดเร็ว เมื่อกินเสร็จแล้ว...ฟินก็เทยาลงในมือสองเม็ดแล้วส่งให้ภีมพร้อมกับน้ำ “เพื่อความสมจริง”

   ภีมแค่นหัวเราะเบาๆ นี่เขาต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ... คำตอบคือ ไม่เด็ดขาด

   “ไม่กิน ทิ้งๆไปเถอะ หรือไม่ก็เก็บเข้าไปตามเดิม นายไม่บอก ฉันไม่บอก แล้วใครจะรู้” ภีมยิ้มเจ้าเล่ห์

   นั่นสิ...ฟินยิ้มให้กับความคิดนั้นก่อนจะเก็บยาเข้าไปในขวดตามเดิม “ทำไมฉันคิดไม่ได้นะ”

   “ก็เพราะนายมันโง่ไง ฮ่าๆๆ” ภีมหัวเราะร่า รู้สึกร่าเริงขึ้น ในขณะที่ฟินก็หัวเราะตามไปด้วย

   แล้ววันทั้งวัน...ฟินกับภีมก็ขลุกอยู่แต่ในห้องโดยมีฟางข้าวแวะเข้ามาก่อกวนบ้างเป็นครั้งคราว

   เช้าวันต่อมา ความช้ำระบมที่เกิดขึ้นค่อยๆคลายไปบ้าง ภีมจึงสามารถลุกออกไปไหนมาไหนกับฟินได้อย่างอิสระ โดยมีฟางข้าวตามติดแจอยู่ตลอดเวลา ภารกิจแรกที่เลือกทำคือเที่ยวชมฟาร์ม

   ฟาร์ม “กิตติกุล” เป็นฟาร์มขนาดกลาง มีเนื้อที่ประมาณ 90 ไร่ ถัดจากบ้านพักไปทางด้านหลังประมาณ 100 เมตรจะพบโรงเรือนและโรงรีดนมวัวซึ่งกั้นแยกกันอย่างชัดเจน โรงเรือนจะอยู่ทางขวามือของทางเดิน และมีพื้นที่มากกว่าโรงรีดนมสองเท่า

   ทางด้านหน้าของโรงเรือนแยกพื้นที่เป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกสำหรับเก็บอาหารข้นและหยาบของโคนม ฝั่งถัดมาเป็นบ่อน้ำสะอาดสำหรับใช้ในฟาร์ม

   ประตูทางเข้าโรงเรือนและโรงรีดนมนั้นมีอ่างน้ำยาฆ่าเชื้อโรคสำหรับจุ่มเท้าก่อนเดินเข้าไป

   “จะไปดูโรงไหนก่อน” ฟินถามขึ้น

   “โรงนี้ก่อนแล้วกัน” ภีมชี้ไปที่โรงเรือนที่อยู่ทางขวามือ

   คนงานส่วนใหญ่ของที่นี่อยู่ในวัยกลางคนและมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเลี้ยงวัวและรีดนมวัวเป็นอย่างดี ในทุกๆปี นทีจะจัดส่งคนไปอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือและสร้างความรู้ใหม่ๆให้กับคนงานเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเองที่ต้องคอยหาความรู้ใส่ตัวตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีการเกษตรสมัยนี้ล้ำหน้าไปมากและเขาก็ต้องตามให้ทัน

   ฟินเดินนำเข้าไปในโรงเรือนตามด้วยภีมและฟางข้าว สองพี่น้องเจ้าของฟาร์มเคยชินกับการเดินเข้าที่นี่มาตั้งแต่เด็กจึงเดินเข้าอย่างสบายและไม่เกร็ง ส่วนภีมนั้นค่อยๆก้าวเข้าไปเพราะกลัวลื่น

   “ไม่ลื่นหรอก มันเป็นพื้นคอนกรีตขัดมัน” ฟินหัวเราะพลางหยุดฝีเท้าเพื่อรอภีม

   “ใหญ่มาก แล้วก็ดูสะอาดด้วย” ภีมกล่าวชม พลางหันไปยิ้มให้กับคนงานที่กำลังเทอาหารลงในรางหน้าคอกเลี้ยงโค “คุณพ่อกับคุณแม่ใส่ใจทุกรายละเอียดค่ะ” ฟางข้าวพูดอย่างอารมณ์ดี

   “พื้นที่ในนี้จะแบ่งเป็นสัดส่วนแล้วก็กั้นพื้นที่ไว้สำหรับโคแต่ละรุ่น” ฟินพูดก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าคอกวัวแรกที่อยู่ขวามือ “คอกนี้สำหรับโคสาว คอกถัดไปสำหรับโครุ่น แล้วก็คอดสุดท้ายโน่นสำหรับลูกโคแรกเกิด”

   ภีมมองดูด้วยความประหลาดใจ มันเจ๋งที่สุดเลย...

   ฟินอธิบายต่อ “ส่วนคอกทางซ้ายมือ คอกแรกสำหรับโครีดนม ต่อมาก็โคแห้งนม คอกสุดท้ายสำหรับโคที่กำลังท้องอยู่แล้วก็จะคลอด”

   โรงเรือนเลี้ยงของฟาร์ม “กิตติกุล” แบ่งสัดส่วนและพื้นที่อย่างชัดเจน พื้นที่มีความลาดเอียงและระบายน้ำได้ดี ทำให้น้ำไหลลงบ่อพักน้ำเสียได้อย่างสะดวก สรุปแล้วโรงเรือนของที่นี่มีความเป็นระเบียบดีเยี่ยม

   ฟิน ภีมและฟางข้าวเดินจนทั่วโรงเรือนแล้วก็เปลี่ยนมาเข้าโรงรีดนมวัวบ้าง ฟินเดินนำเข้าไปภายในก่อนโดยเอาเท้าจุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อที่อยู่ด้านหน้า สองคนที่เดินตามหลังทำตาม

   ในโรงรีดนมที่คนงานกำลังรีดนมวัวกันอย่างขันแข็ง ทันทีที่ฟินเดินเข้ามาเสียงทักทายก็ดังขึ้นเป็นระลอกๆ

   ฟินชี้ให้ภีมเห็นกรรมวิธีต่างๆกว่าจะมาเป็นนมวัวให้คนได้ดื่มกัน...

   ทางขวามือนั้นเป็นที่สำหรับรีดนมโคซึ่งกั้นแบ่งเป็นคอกไว้สำหรับโคหนึ่งตัวต่อหนึ่งคอก ทางด้านซ้ายมือมีห้องอยู่สองห้อง ห้องแรกใช้เก็บเวชภัณฑ์ต่างๆ และห้องสุดท้ายสำหรับเก็บอุปกรณ์รีดนมและพื้นที่เหลือต่อจากห้องนั้นเป็นที่สำหรับทำความสะอาดอุปกรณ์รีดนมก่อนจะนำเก็บเข้าห้องตามเดิม

   ภีมเดินดูโรงรีดอยู่นานด้วยความสนใจ...

   คนงานของที่นี่ส่วนหนึ่งกำลังวุ่นวายอยู่กับการรีดนม บางคนก็ยกถังนมที่รีดแล้วขึ้นรถเพื่อส่งต่อไปยังโรงผลิต ทุกคนดูวุ่นวายและตั้งใจกับงานที่ทำเป็นอย่างมาก แต่แม้จะยุ่งวุ่นวายสักเพียงใดคนเหล่านั้นก็ไม่ลืมที่จะเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มให้ภีม

   ภีมยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน

   “พี่ภีมอยากลองดูมั้ยคะ” ฟางข้าวถามขึ้น “ฟางกับพี่ฟินเคยทำทุกอย่างเลยค่ะ พ่อกับแม่สอนให้ทำเป็น ฟางนะ เข้าโรงเรือนตั้งแต่สามขวบ” ฟางข้าวคุยเรื่องตัวเองเป็นการใหญ่

   “แล้วนายล่ะ” ถีมหันไปถามฟินหลังจากที่ฟางข้าวพูดจบ

   “ฉันเข้าตั้งแต่สามขวบเหมือนกัน เข้ามาเดินเล่น พอหกขวบพ่อก็ให้รีดนม ให้อาหารโค บางทีก็ให้ล้างโรงเรือนทั้งหลัง แล้ววันดีคืนดีก็ให้ฉันเอาอึโคไปตากแห้ง” ฟินพูดพลางนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่พ่อฝึกให้เขาทำทุกอย่างเกี่ยวกับฟาร์มนี้

   “ลูกชายคนเดียวของก้องกิตติกุลมันก็ต้องทำทุกอย่างให้เป็นสิ เอ้า...เอาไป” นทีพูดพลางส่งถุงมือยางคู่หนึ่งให้ลูกชายพร้อมกับอุปกรณ์ทำความสะอาด “ทำความสะอาดโรงเลี้ยงให้เรียบร้อยล่ะ ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ ตั้งใจทำให้ดีที่สุด” นทีพูดแค่นั้นแล้วก็ทิ้งให้เด็กชายคนหนึ่งทำความสะอาดโรงเรือนเลี้ยงเพียงลำพัง

   กว่าจะทำเสร็จก็กินเวลาไปกว่า หกชั่วโมง

   “คิดอะไรอยู่ฟิน” ภีมสะกิดเบาๆที่ต้นแขนของฟิน

   “คิดไปเรื่อยๆน่ะ ไม่ได้เข้ามาที่นี่นานเหมือนกัน แต่มันก็ยังไม่เปลี่ยนเลย” ฟินพูดพลางเดินนำออกไป “ดูแค่นี้ก็พอ โรงอื่นๆไม่มีอะไรแล้ว ร้อนด้วย”

   “มีสิ ยังมีอีก” ฟางข้าวแย้งขึ้น ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “โรงม้าไงพี่ฟิน ลืมได้ยังไง ป่านนี้เจ้าฟ้าครามมันงอนแล้วเนี่ย”
   ‘ฟ้าคราม’ ฟินลืมม้าคู่ใจตัวนี้สนิทเลย

   “ใช่ พี่เกือบลืมฟ้าครามไปแล้ว น่ารักมาก...ฟางข้าว” ฟินพูดพลางอุ้มน้องสาวแล้วเดินไปขึ้นรถสองแถวรับส่งในฟาร์ม ภีมตามไปอย่างเงียบๆ ในใจรู้สึกอิจฉาชีวิตของฟินเป็นที่สุด

   “ไปโรงม้าครับ...ลุงสม” ฟินบอกพลขับ ลุงสมยิ้มตาหยีแล้วขับรถไปที่โรงม้าหลังฟาร์มทันที

   “ฟางข้าวดูแลฟ้าครามดีหรือเปล่า” ฟินถามน้องสาวพลางก้มลงจูบที่หน้าผากกลมมนนั้น

   “อยู่แล้ว ช่วงนี้ฟ้าครามมันเศร้าๆ คงรู้ตัวล่ะมั้ง...ว่าเจ้านายลืมมันแล้ว” ฟางข้าวแกล้งพูด ฟินมองน้องสาวอย่างขบขัน ไม่เจอกันแค่สี่เดือน ฟางข้าวพูดเก่งขึ้นเป็นกอง

   ภีมมองดูสองพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ ฟางข้าวคล้ายฟินในร่างผู้หญิงไม่มีผิด

   “ยิ้มอะไรคะพี่ภีม” ฟางข้าวพูด ฟินละสายตาจากใบหน้าน้องสาวไปมองภีมแทน มองด้วยสายตาโลมเลียสุดชีวิต ภีมแทบอยากจะชกหน้าฟินสักทีเพื่อหยุดสายตาแบบนี้

   “ยิ้มไปเรื่อย มีความสุขก็ยิ้ม” ภีมตอบพลางใช้มือจิกเข้าที่หัวไหล่ของฟินอย่างแรง “ใช่มั้ยฟิน”

   “ใช่มั้ง” ฟินยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น แม้จะรู้สึกเจ็บที่หัวไหล่แต่เขารับรองกับตัวเองว่า ความเจ็บครั้งนี้ภีมต้องได้รับผลตอบแทนแน่

   ฟ้าครามร้องเสียงดังเมื่อได้ยินฝีเท้าของนายเดินใกล้เข้ามา มันยกขาหน้าขึ้นสูงอย่างดีใจ ฟินรีบเปิดประตูคอกม้าทันทีเพื่อปลดปล่อยมัน

   “ไง ฟ้าคราม โกรธฉันหรือเปล่า” ฟินพูดพลางซบหน้าลงกับแผงคอนุ่ม ฟ้าครามร้องเสียงดังแทนคำตอบ

   “ฉันก็คิดถึงนายเหมือนกัน” แล้วฟินก็เหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม

   ภีมจับจ้องอยู่ที่ภาพนั้นแน่วนิ่งราวต้องมนตร์ ฟินควบม้าให้วิ่งรอบตัวภีมและฟางข้าว พลางยิ้มอย่างสง่างาม ภีมไม่อาจละสายตาไปจากใบหน้านั้นได้เลย

   รู้ตัวอีกทีก็ถูกดึงขึ้นมาอยู่บนม้าด้วยกันกับฟินเสียแล้ว “เฮ้ย...ทำอะไรเนี่ย เดี๋ยวมีคนมาเห็น”

   “แล้วยังไง ไม่มีใครมาที่นี่หรอก” ฟินพูดอย่างไม่ใยดี พลางใช้มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวของภีมไว้ “นิ่งไว้...ถ้าไม่อยากตก”

   “พี่ฟินเอาฟางข้าวขึ้นไปด้วย” ฟางข้าวร้องเสียงดังพลางชูมือขึ้นเป็นสัญญาณ

   “ไม่ได้หรอก พี่ภีมนั่งอยู่ ไม่เห็นเหรอ” ฟินพูดพลางหัวเราะ ภีมหันไปว่าฟินในทันที “ไอ้บ้า...ปล่อยฉันลงเหอะว่ะ แล้วเอาฟางข้าวขึ้นมาแทน”

   “ไม่ให้ลง ไม่อยากอยู่กับฉันหรือไง” ฟินก้มลงกระซิบเบาๆ ภีมขนลุกซู่กับคำพูดนั้น ที่สำคัญ ภีมกลัวว่าคนอื่นจะมาเห็นภาพนี้เข้า...ใครกันจะไม่สงสัย

   “จะลงโว้ย” ภีมโวยวายยกใหญ่ ฟินกอดเอวคนตรงหน้าให้แน่นขึ้นพลางก้มลงจูบที่ลำคอขาวเนียนของภีม “อยู่นิ่งๆสิ”

   “ไอ้นี่...เดี๋ยวคนเห็น”

   “มีแต่ฟางข้าว ไม่เห็นมีใครเลย” ฟินแก้ให้ก่อนจะหยุดม้าแล้วมองซ้ายมองขวา เห็นเพียงฟางข้าวที่อยู่หน้าคอกม้านั่งเด็ดหญ้าเล่นรอพี่ชาย

   “พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว อยากอยู่ที่นี่นานๆจัง” ฟินแกล้งทำเป็นเศร้า จังหวะนั้นมือข้างที่จับบังเหียนม้าอยู่ก็เลื่อนมาอยู่ที่รอบเอวภีมแทน “คิดเหมือนกันไหม”

   “ไม่คิดอะไรทั้งนั้นล่ะ ปล่อยฉันลงเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็น” ภีมพูดอย่างกระวนกระวาย

   “ไม่มีใครเห็นหรอก” ฟินพูดอย่างขบขัน

   “ฉันจะลง” ภีมบอกเสียงแข็ง

   “ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ” ฟินยิ้มเจ้าเล่ห์

   “ไอ้คนโลภมาก” ภีมผินหน้าหันไปว่าฟิน แต่ฟินกลับใช้จังหวะนั้นรั้งใบหน้าของภีมไว้แล้วประทับจูบลงไปอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางความเงียบสงบหลังคอกม้าและท้องฟ้าที่กำลังอ่อนแสงลง ยังมีคนๆหนึ่งยืนมองเด็กหนุ่มทั้งคู่อยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ริมคอกม้าตะลึงงันไปทันทีที่เห็นภาพนั้น... ใครก็ได้ช่วยบอกเขาทีว่าผู้ชายบนหลังม้าคนนั้น ไม่ใช่ฟิน...

   ลูกชายของเขา



 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

e_new

  • บุคคลทั่วไป
อ๊าย ย~~~~ เอาหล่ะสิๆๆๆ
จะเป็นยังไงหล่ะทีนี้ งานเข้าหล่ะ
รอตอนต่อไปว่า พ่อแม่จะยอมหรือจะร้าย :)
 :L2: :L2: :L2:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






zusuki

  • บุคคลทั่วไป



บทที่ 19 – ทางเลือก



   ฟินเดินเข้ามาในบ้านพร้อมภีมและฟางข้าว อาภาและนทีนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น อีกคนหนึ่งมีสีหน้ายิ้มแย้มในขณะที่อีกคนมีสีหน้าคร่ำเคร่ง

   คนที่มีสีหน้าคร่ำเคร่งนั้นคือ นที

   ทุกก้าวย่างที่ฟินเดินเข้ามามีสายตาของผู้เป็นพ่อตามติดอยู่เสมอ ฟินรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเพราะปกตินทีเป็นคนร่าเริงและไม่เคยเครียดกับอะไรง่ายๆ แม้ว่าสถานการณ์นั้นจะร้ายแรงเพียงใด

   แต่เวลานี้...มันมีอะไรบางอย่างแปลกไป เพียงแต่ฟินไม่รู้ว่าสิ่งที่แปลกไปนั้น...คืออะไร

   อาภายังคงยิ้มแย้มและดูมีความสุขเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เธอยิ้มให้ลูกชายครั้งหนึ่งก่อนจะหันมาภามภีมอย่างเอ็นดู “เป็นยังไงบ้างภีม เหนื่อยหรือเปล่า”

   ภีมกำลังจะเอ่ยปากตอบ นทีก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน “ขึ้นไปคุยกับพ่อบนห้อง...ฟิน”

   ทุกคนในห้องเงียบไปตามๆกัน นทีลุกขึ้นก่อนจะเดินนำขึ้นไปบนห้อง ฟินมองหน้าผู้เป็นแม่ก่อนจะลุกขึ้นตามไป

   แกร๊ก...ประตูห้องนอนของฟินเปิดออก

   “พ่อมีอะไรหรือครับ” ฟินพูดเรียบๆ

   นทีมองหน้าลูกชายด้วยแววตาผิดหวังระคนเสียใจ “อย่าคิดว่าพ่อไม่รู้เรื่องที่ฟินกำลังทำอยู่ตอนนี้” นทีเว้นจังหวะนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ตอนเย็นพ่อไปที่คอกม้ามา”

   ฟินใจเต้นแรงกับประโยคที่กำลังจะตามมา แค่คำว่าคอกม้าก็พอทำให้หัวใจของฟินเต้นผิดจังหวะได้แล้ว

   “รู้ไหม...พ่อเห็นอะไร” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ น้ำใสๆไหลรื้นรอบดวงตาของนที ฟินชาไปทั้งตัวกับภาพที่เห็น ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเห็นพ่อคนนี้ร้องไห้สักครั้งเดียว

   “พ่อ...” ฟินพูดพลางเดินเข้าไปหา แต่นทีกลับถอยห่างออกไป

   “อย่าฟิน...อยู่ตรงนั้นล่ะ อยู่ตรงนั้นแล้วบอกพ่อว่าผู้ชายที่อยู่บนหลังม้าไม่ใช่เรา” น้ำเสียงของนทีอ่อนแอเหลือเกิน “บอกพ่อ...ว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ฟิน”

   ฟินหลับตาลงอย่างเหนื่อยใจ ไม่คิดว่าวันนั้นที่เขาเพิ่งนึกถึงจะมาเร็วถึงเพียงนี้

   “คนบนหลังม้า คือผมเองครับพ่อ” ฟินพูดอย่างแน่วนิ่ง

   “ฟินเป็นอะไรไปแล้ว พ่อไม่น่าส่งลูกไปเรียนกรุงเทพฯเลย”

   “ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้นล่ะครับพ่อ มันเป็นที่ตัวผมเอง ผิดที่ผมคนเดียว ทุกอย่างมันเกิดเพราะผม ผมทั้งนั้น” ฟินพูดเรียบๆ สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คือ ยอมรับทุกอย่างกับพ่อ

   “ฟินเป็นผู้ชายนะลูก ผู้ชายที่ต้องคู่กับผู้หญิง” เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากลำคอของนที

   “จำเป็นด้วยเหรอครับที่ต้องเป็นอย่างนั้น” ฟินพูดเรียบๆ ประโยคนั้นของเขาทำเอานทีควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ตบหน้าลูกชายไปทีหนึ่ง

   ฟินไม่พูดอะไรอีก นอกจากยกมือไหว้ผู้เป็นพ่อแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป

   “ไม่อายคนอื่นหรือยังไงที่เป็นแบบนี้ ไม่คิดถึงหัวอกพ่อกับแม่บ้างเหรอ แล้วถ้าแม่แกรู้จะเป็นอย่างไร เลิกยุ่งกันไปซะ” นทีพูดเป็นครั้งสุดท้าย

   ฟินไม่หันกลับมามองและไม่พูดอะไรอีก เขาเดินออกจากห้องช้าๆ หัวใจของฟินแทบหลุดลอยไปแล้ว

   มื้อค่ำสุดท้ายก่อนที่ภีมและฟินจะกลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงา เมื่อหัวหน้าครอบครัวอย่างนทีปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโต๊ะครั้งนี้ ไม่ว่าอาภาจะเกลี้ยกล่อมถามความอย่างไร เขาก็ไม่ตอบท่าเดียว เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง

   ส่วนฟินที่เคยร่าเริงก็เงียบไป บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงเงียบเชียบ ต่างคนต่างกิน เสร็จแล้วก็แยกย้ายขึ้นไปนอน ฟางข้าวไม่ก่อกวนอะไรเหมือนเคย เธอเพียงกอดฟินและภีมคนละครั้งก่อนจะเข้าห้องนอนของตัวเอง

   อาภาเข้าไปช่วยภีมและฟินจัดกระเป๋า เมื่อจัดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับห้องนอนของตนเองไป

   ภีมไม่สบายใจอย่างมากที่เห็นความเปลี่ยนแปลงกะทันหันของนทีและฟิน สองพ่อลูกคู่นี้มีเรื่องอะไรต้องปิดบังทุกคน ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย แต่ภีมไม่อยากถามออกไปตอนนี้เพราะสีหน้าของฟินไม่สู้ดีนัก

   “ภีม” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงนั้น ฟินนั่งนิ่งอยู่ที่ริมหน้าต่างแล้วมองมาที่เขา ภีมเดินเข้าไปหาพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆโดยที่ไม่พูดอะไร

   “ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ” ฟินพูดแล้วซุกหน้าลงกับหัวไหล่ของภีม แม้ภีมจะไม่รู้ว่าเรื่องที่ฟินพูดคือเรื่องอะไร แต่ก็พอจะเดาได้ว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างแน่นอน

   “จะเป็นแบบไหนก็ช่างมันเถอะ แค่เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรก็พอแล้ว” มือเรียวสวยลูบไปตามศีรษะของฟินเบาๆ “นายไม่ใช่คนคิดมากนี่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม”

   “ชีวิตคนเรานี่มันไม่ง่ายเลยเนอะ” ฟินพูด

   “แต่มันก็ไม่ยากนี่ เพราะยังไงมันก็ชีวิตเรา เราเป็นคนเลือก” ภีมไม่คิดว่าตัวเองจะพูดอะไรดีดีกับเขาเป็นเหมือนกัน

   “เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้รักนาย” ฟินยิ้มออกมา “ขอกอดหน่อยนะ” แล้วฟินก็โถมกอดภีมเต็มแรง “เจ็บนะเว้ย...เบาๆหน่อย”

   สองชีวิตที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่...กับสิ่งที่ต้องเลือก

   หนึ่งชีวิตที่ไม่เคยขัดคำสั่งใคร จะขอขัดคำสั่งสักครั้งเพื่อเลือกทางของตัวเอง มันคงไม่ผิดมากกระมัง

หนึ่งชีวิตที่กำลังจะเดินไปตามเส้นทางของตัวเองกับอีกหนึ่งชีวิตที่มีแต่การแหกกฎ ต่อให้เดินเส้นทางอะไรก็คงไม่มีใครสนใจ

   สองชีวิตที่กำลังจะเดินไปพร้อมกัน...บนเส้นทางที่ตัวเองเป็นคนเลือก



   สัปดาห์ใหม่เริ่มต้นขึ้น...นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทุกคนต้องเตรียมตัวสอบวัดความรู้ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า

   วันนี้ฟินต้องเข้าประชุมร่วมกับคณะกรรมการนักเรียนและรุ่นพี่ เพื่อหารือเรื่องงานประจำปีของโรงเรียนที่จะจัดขึ้นหลังเสร็จสิ้นการสอบวัดความรู้

   การประชุมเริ่มต้นขึ้นและจบลงด้วยดี มติจากที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ในทุกเรื่องที่ฟินเสนอออกมา ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ฟินนั่งรวบรวมเอกสารต่างๆไว้เป็นหมวดหมู่แล้วเก็บใส่แฟ้ม ครู่หนึ่งภีมก็เดินเข้ามาพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่ง

   “ฝีมือนายใช่มั้ย” ภีมใสกระดาษที่ถือมาไปให้ฟิน แม้น้ำเสียงจะเฉียบขาดแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มประดับอยู่

   ฟินกวาดสายตาไปในกระดาษแผ่นนั้น


‘ชมรมดนตรี หัวหน้าชมรมรุ่นที่ 2 นายติณณ์  วิชญเศษ
สมาชิก นายนิวัตต์  กาญจนศิริ.........
...........................................ฯลฯ’


“นึกว่าอะไร ก็แค่ชมรมดนตรีมีรุ่นน้องสืบทอดแล้ว” ฟินพูดยิ้มๆพลางส่งกระดาษคืนให้ภีม

“ไปหาคนมาจากไหน แล้วเขายอมมาเข้าชมรมได้ยังไง” ภีมถามด้วยความสงสัย

“ก็มาจากวันที่นายขึ้นเล่นเปียโนในงานเลี้ยงรุ่นนั่นล่ะ น้องๆเขาอยากมีรุ่นพี่แบบนายไงก็เลยเลือกเข้าชมรมนี้” ฟินเฉลยออกมาก่อนจะเล่าเรื่องต่อ “นายติณณ์คนนี้น่ะ เป็นถึงแชมป์ไวโอลินระดับประเทศปีล่าสุดเชียวนะ เก่งไม่แพ้นายเลย อาจจะแพ้ตรงที่เล่นเปียโนสู้ไม่ได้ก็เท่านั้น”

“เก่งขนาดนั้นเชียว” ภีมแสร้งทำเป็นตกใจ

“แน่นอน นอกจากจะเล่นดนตรีเก่งแล้ว ยังเป็นนักกีฬาฟันดาบอีกต่างหาก คราวนี้ชมรมดนตรีดังเป็นพลุแตกแน่ มีหัวหน้าชมรมเทพๆแบบนี้” ฟินพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“แล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีก มืดแล้วนะ” ฟินถามภีมพลางลงมือเก็บกวาดขยะที่อยู่ในห้อง

“รอนายอยู่นั่นล่ะ” ภีมตอบพลางก้มลงช่วยเก็บขยะบ้าง “ช้าโคตรๆเลย”

“หัดรอคนอื่นเขาเป็นบ้างแล้วล่ะสิ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่คนอย่างนายรอฉัน” ฟินแกล้งพูดยั่วโมโห แต่ภีมกลับยิ้มตอบออกมา “อย่ามาพูดดี มีเรื่องให้ช่วยต่างหากเล่า ไอ้บ้า”

“อะไรล่ะ บอกมาสิ” ฟินพูดโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมอง   

ภีมทำหน้าดีใจสุดขีด “ทำรายงานให้หน่อย”

ฟินวางถุงขยะลงก่อนจะยืนกอดอกมองภีมอย่างพิจารณา คนถูกมองทำหน้าบูดคล้ายกำลังมีโทสะ “มองทำไม”

“ทำไมไม่ทำเอง” ฟินพูดพลางมัดถุงขยะ “แค่รายงานจบการศึกษา”

ภีมทำหน้าตกใจ “รู้ได้ยังไง”

“ฉันก็ต้องทำเหมือนกันน่ะสิ” ว่าแล้วฟินก็หัวเราะออกมา ภีมหน้าเหยเกไปแล้ว “ทำไมต้องทำด้วยเนี่ย ไม่ทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหว่า”

“ก็ไม่จบไง สั้นๆง่ายๆ” ฟินเดินไปปิดหน้าต่างๆ ก่อนจะหยิบถุงขยะไปทิ้งแล้วกลับมารับภีม “กลับกันได้แล้ว” ฟินคว้าข้อมือภีมมากุมไว้แล้วเดินออกจากห้องไปด้วยกัน

“เดี๋ยวไปส่งที่บ้าน” ฟินสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์สีดำก่อนจะสวมหมวกกันน็อค “ขึ้นมาสิ”

ภีมยิ้มแหยๆแก้เก้อ เกิดมาไม่เคยนั่งรถมอเตอร์ไซค์...แต่เอาวะ...ขึ้นก็ขึ้น ภีมรีบกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ฟินดูก็รู้ว่าเขาไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์มาก่อน

เมื่อส่งภีมที่บ้านเรียบร้อยแล้วก็รีบกลับมาที่คอนโดของตน เหลือเวลาอีกสองสัปดาห์เท่านั้นก็จะสอบ สอบครั้งนี้ฟินต้องทำคะแนนให้ดีที่สุดเพื่อยื่นเข้าคณะสัตวแพทยศาสตร์

ทันทีที่เปิดประตูเข้าห้อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังรออยู่แล้ว

“ฟินพูดครับ”

“แม่เองนะลูก ฟินทำอะไรให้พ่อโมโหหรือเปล่า ช่วงนี้พ่อเขาอารมณ์แปรปรวนไปหมด” อาภาบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงร้อนรน

ฟินไม่อยากเล่าความจริงให้ผู้เป็นแม่รู้ เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่ ฟินจึงตัดสินใจที่จะโกหกออกไปคำโต เป็นคำโกหกแรกในชีวิตที่ฟินเคยพูด

“บอกคุณพ่อว่า...” ฟินสูดลมหายใจเข้าก่อนจะพูดต่อ “ผมทำตามความต้องการของพ่อแล้ว พ่อไม่ต้องเป็นห่วง”

“มันเรื่องอะไรกันน่ะฟิน เล่าให้แม่ฟังหน่อยซิลูก”

อย่าเลยครับแม่...แม่คงไม่อยากมองลูกคนนี้เปลี่ยนไปเหมือนอย่างที่พ่อกำลังมองผมหรอก ผมอยากเป็นฟินคนเดิมในสายตาของแม่...

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่เรื่องสอบเข้ามหา’ลัยน่ะ” ฟินโกหกอีกแล้ว

“เรื่องแค่นี้เอง พ่อนี้นะ เครียดอะไรเกินเหตุจริงๆ ไปนอนเถอะลูก ดึกแล้ว”

หลังจากวางสายโทรศัพท์ ฟินก็ไม่มีอารมณ์จะทำตามสิ่งที่ตั้งใจไว้แต่แรก มันถูกหรือเปล่า...กับสิ่งที่เลือกไป

ฟินซบหน้าลงกับท่อนแขนแล้วปล่อยให้น้ำตาเป็นตัวสลายความรู้สึกกดดันที่เอ่อล้นอยู่ในตอนนี้ “ผมต้องทำยังไงครับแม่ ผมไม่รู้เลยจริงๆ”



   ไม่เฉพาะแต่ฟินเท่านั้นที่ต้องเจอปัญหา ภีมก็มีปัญหาเช่นกันและเป็นปัญหาที่ใหญ่เสียด้วย

   ภูรดาเดินเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ไม่พูดไม่จาอะไรกับใคร “เรียกภีมมาพบฉัน” เธอสั่งแม่บ้านคนหนึ่ง ไม่นานนักภีมก็ลงมาจากห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

   “มาแต่เช้าเลยพี่ภู ผมต้องไปเรียนหนังสือนะ” ภีมแกล้งพูดเล่น พลางสวมกอดพี่สาว ภูรดามีสีหน้าลำบากใจ เธอลูบหลังน้องชายเบาๆก่อนจะดันตัวเขาออก “พี่ก็ไม่รู้ว่าแม่เขาคิดอะไรอยู่เหมือนกัน ถึงทำกับเราแบบนี้”

   เพียงคำพูดโปรยเข้าเรื่องของพี่สาว ภีมก็รู้ทันทีว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะแม่ของเขาทำอะไรที่เหนือความคาดหมายอยู่เสมอ “แม่ทำอะไรอีกครับ”

   ภูรดาแหงนหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ เธอรักน้องชายคนนี้เกินกว่าจะยอมให้ผู้เป็นแม่ทำกับเขาเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ

   “เป็นอะไรไปพี่ภู” ภีมฝืนยิ้ม เขย่าตัวพี่สาวเบาๆ “พูดมาเถอะ ชีวิตผมเจอมาเยอะแล้ว”

   “ภีม” ภูรดาสวมกอดน้องชายอีกครั้ง “เดือนหน้าแม่จะกลับมา”

   “กลับมาแล้วยังไง กลับมาก็อยู่ไม่ติดบ้าน เห็นหน้าลูกไม่เกินสองนาทีก็ต้องไปทำธุระต่อ จะสร้างบ้านให้ใหญ่โตทำไมก็ไม่รู้” ภีมพูดอย่างไม่ใส่ใจ เพราะความจริงมันก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ แล้วที่ภีมพูดมาก็จริงทุกประการเสียด้วย

   “มันไม่เหมือนครั้งอื่น แม่จะเอาภีมไปด้วย”

   ภีมยังคงยิ้มอยู่ “ปล่อยผมให้เดินเองมาห้าปีแล้ว เพิ่งคิดได้ว่าสมควรจะจับให้หัดเดินหรือไง”

   “ไม่ตลกเลย พอพี่บอกว่าภีมสอบติดดุริยางค์เท่านั้น แม่ก็โมโหใหญ่เลย บอกไม่ยอมให้เรียนท่าเดียว” ภูรดาทำหน้าอึดอัด
   “เพิ่งจะไม่ยอมเอาตอนนี้ มันไม่สายไปหน่อยเหรอ แม่น่ะ...หมดสิทธิ์ในชีวิตผมไปนานแล้ว”

   ดวงตาเฉียบคมของภีมแน่วนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้านี่คือทางที่ต้องเลือก เขาก็เลือกที่จะแหกกฏอีกครั้ง ...เลือกที่จะเดินไปตามทางของตัวเอง



   ผ่านไปสองสัปดาห์ เข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายของการสอบวัดความรู้ ฟินและภีมไม่ค่อยมีเวลาเจอกันเท่าไรนัก จะเจอกันก็วันเสาร์และอาทิตย์ แต่ก็อีกนั่นล่ะ...

   เพราะฟินตั้งหน้าตั้งตาติวข้อสอบอย่างเดียว ไม่ออกนอกลู่นอกทางให้เสียเวลาสักวินาทีเดียว พอสอนเสร็จก็รีบกลับทันทีเพราะต้องไปอ่านหนังสือสอบ ภีมเคยบอกว่าให้ฟินขนหนังสือมาอ่านที่นี่ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางกลับ แต่ฟินก็ปฏิเสธลูกเดียว โดยให้เหตุผลว่า... “ถ้าทำอย่างนั้นมีหวังฉันไม่ได้อ่านหนังสือหรอก คงมานั่งเล่นจ้ำจี้กับนายทั้งวันทั้งคืนล่ะ อยู่ใกล้กันแล้วมันร้อนทุกที คงอยู่นิ่งๆแล้วทำใจให้อ่านไม่ได้ กลับไปอ่านที่ห้องน่ะ...ดีแล้ว” เมื่อฟินพูดอย่างนั้น ภีมก็เลยไม่ห้าม ปล่อยให้ฟินได้ทำตามใจตัวเอง

   ฟินตั้งใจกับการสอบครั้งนี้มาก คะแนนทุกวิชาของต้องออกมาดีถึงดีที่สุด...ฟินบอกกับตัวเองว่าอย่างนั้น

   ส่วนภีม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตั้งใจเลย...พอสอบตรงติดดุริยางคศาสตร์ สิ่งอื่นใดที่ต้องใช้สมองก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป จะได้คะแนนเท่าไรก็ช่างมัน

   สองความแตกต่างบนเส้นทางเดียวกัน...

   แล้วสัปดาห์ที่อัดแน่นไปด้วยความตั้งใจก็พ้นไป สัปดาห์ใหม่ที่แสนมาราธอนก็เริ่มต้นขึ้น

   ฟินดูเครียดเกินกว่าปกติเพราะการสอบครั้งนี้ต้องออกมาดีถึงดีมากเท่านั้น

   “นั่นๆ หน้าจะแก่แล้วนั่น ขมวดคิ้วทั้งวันทั้งคืน ไม่เมื่อยรึไง” ภีมแกล้งแซวพลางนั่งลงข้างๆ ผู้คนที่เดินไปมารอบๆตัว ถ้าไม่ถือหนังสือก็นั่งไหว้พระคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองมีที่ยึดเหนี่ยวใจ จะมีก็แต่ภีมนี่ล่ะ...ที่ดูสบายใจอยู่คนเดียว

   “ไม่เห็นรู้ตัวเลย” ฟินว่าแล้ววางหนังสือลงกับตัก “กี่โมงแล้ว”

   ภีมยกนาฬิกาขึ้นดู “แปดโมงครึ่ง”

   ฟินยิ้มเจ้าเล่ห์ เหลืออีกครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าสอบ...น่าเสียดายที่ภีมไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นของฟิน “ไปกับฉันหน่อย”

   ฟินลากภีมให้เดินตามไปยังหลังห้องน้ำชาย บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเท่าหน้าตึกสอบ

   “จะทำอะไร” ภีมถามทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ

   ฟินยิ้มแทนคำตอบพร้อมทาบมือลงบนผนังห้องน้ำกั้นตัวภีมเอาไว้ “ส้รางกำลังใจก่อนเข้าสอบดีไหม”

   “ฉันไม่มีก็เข้าสอบได้ว่ะ” ภีมบอกพลางแลซ้ายแลขวา กลัวคนมาเห็นเข้าจับใจ

   ส่วนฟินก็ยังคงทำอะไรไม่สนใจใครอีกเช่นเดิม “ไม่ได้ทำอะไรกันเลยตั้งสามอาทิตย์ ฉันไม่มีกำลังใจเลย”

   “ไอ้บ้า นี่มันโรงเรียนนะเว้ย” ภีมยังคงวอกแว่ก ซ้ำร้ายใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะอีก ทั้งกลัวคนจะมาเห็นและหวั่นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

   “ใครจะเดินมาตรงนี้กันล่ะ” ฟินมองไปรอบๆอย่างขบขัน “เพราะมันแทบจะกลายเป็นป่าอยู่แล้ว”

   แต่ถึงจะเหมือนป่า แต่ก็เป็นป่าหลังห้องน้ำ...

   ไม่ว่าจะสรรหาเหตุผลใด ฟินก็ไม่สนใจแล้ว ร่างสูงกว่าโน้มตัวลงมาหาร่างเล็กที่อยู่ในวงแขน ก่อนจะใช้ริมฝีปากบดขยี้ที่กลีบปากสีสวยนั้นพลางดันลิ้นเข้าไปในปาก

   ภีมตอบรับลิ้นของฟินด้วยความร้อนแรงไม่แพ้กัน ฟินค่อยๆเลื่อนมือลงมาที่เป้ากางเกงของภีมส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ประคองศีรษะของภีมไว้

   ภีมอยากจะขัดขืนอยู่เหมือนกัน เพราะว่าใกล้จะเข้าสอบแล้ว แต่ทว่าตอนนี้อารมณ์มันเตลิดไปไกลเกินกว่าจะเรียกกลับมาแล้ว

   ไฟที่สุมอยู่ในกายร้อนขึ้นจนน่าแปลกใจ ต้องเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เท่านั้น...

   ฟินถอดกางเกงของภีมลงเพียงครึ่งเดียว เสร็จแล้วก็ถอดกางเกงของตัวเองบ้าง ภีมคล้ายจะรู้แล้วว่าตัวเองต้องทำอย่างไร ร่างสูงพลิกตัวหันหน้าเข้าผนังห้องน้ำ โดยมือข้างหนึ่งดันผนังไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งจับมือฟินอยู่

   ฟินขยับกายครั้งแรกด้วยความอ่อนโยน (ฟินกลัวภีมจะร้องเสียงดัง) ภีมกำมือแน่นด้วยความเจ็บ เหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าลงมาตลอดลำคอ

   เมื่อจังหวะแรกผ่านไป ฟินก็เพิ่มแรงเข้าไปอีก ภีมร้องครางออกมาเบาๆ ฟินขยับบั้นท้ายให้เร็วขึ้น เร็วขึ้น...จนความร้อนในร่างกายถึงขีดสุด

   ฟินจึงหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองพลางสวมกอดภีมเอาไว้แล้วจุมพิตลงไปที่ลำคอขาว ภีมครางออกมาอีกเช่นเคย สองขาบิดไปมาเพื่อขจัดความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในร่างกาย

   ทั้งสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้น จนภีมเป็นฝ่ายนึกได้ว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของวันนี้คือการเข้าสอบ

   “เก้าโมงสิบแล้ว” ภีมพูด

   “เวรกรรม” ฟินพูดแค่นั้นแล้วคว้ามือของภีมวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อไปทำความสะอาดร่างกาย เพียงครู่เดียวเท่านั้น ฟินก็กลับมาเป็นประธานนักเรียนมาดเท่ห์คนเดิม “เสร็จแล้วใช่มั้ย ไปกันเถอะ”

ภีมทำหน้าดุแล้วมองฟินอย่างโมโห “ไปได้ยังไงเล่า ซิปมันแตกเนี่ย เห็นมั้ย”

“เอาเสื้อมาคลุมไว้” ฟินพูดพลางดึงเสื้อออกมานอกกางเกง “ใช้ได้”

“บ้าแล้ว นี่มันวันสอบนะ แล้วเขาจะยอมให้ฉันเข้าสอบมั้ยเนี่ย”

ฟินทำหน้านึกขึ้นได้ เขาลืมไปสนิทเลย ตอนแก้ก็ว่าเบามือแล้วนะ...

“เดี๋ยวฉันบอกอาจารย์ให้” ฟินพูดพลางฉุดข้อมือภีมให้วิ่งไปด้วยกัน เพราะถ้าช้ากว่านี้มีหวังเข้าสอบไม่ทันแน่ แต่โชคยังดีที่ทั้งคู่ได้สอบห้องเดียวกัน

พอเดินขึ้นตึกสอบ ฟินและภีมก็แยกกันเดิน ฟินเดินนำไปก่อน ภีมเดินตาม แล้วฟินก็เข้าไปอธิบายเหตุผลที่มาช้ากับอาจารย์ผู้คุมสอบ ภีมไม่รู้ว่าฟินพูดอะไรไปบ้าง แต่ด้วยท่าทางน่าเชื่อถือและน้ำเสียงจริงจังของประธานนักเรียนคนนี้ สามารถทำให้อาจารย์เชื่อในเหตุผลนั้นและยินยอมให้ทั้งคู่เข้าไปนั่งสอบ ทั้งๆที่เกินเวลาสอบไปแล้วยี่สิบนาทีและทั้งๆที่ภีมแต่งตัวไม่เรียบร้อย

“โชคดีนะภีม แล้วเจอกันหน้าห้อง” ฟินหันมาบอกภีมก่อนจะเดินไปยังที่นั่งสอบของตัวเอง

ภีมไม่พูดอะไรแต่ใบหน้านั้นยิ้มออกมาแทนคำตอบแล้ว ร่างสูงเดินลิ่วๆไปที่นั่งสอบของตัวเองที่อยู่อีกมุมห้องหนึ่งซึ่งไกลกับฟินเหลือเกิน

แล้ววันสอบวันแรกก็เริ่มขึ้นด้วยความรีบเร่ง รวดเร็ว และทุลักทุเล ประการฉะนี้แล...




 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :laugh: :laugh: :laugh:

มี เอ้าดอร์ ด้วยน่ะ

ฟิน นี่ร้ายลึก น่ะ แอบมันส์ใน เบาๆ

ออฟไลน์ kp

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
อ่านไม่ไหวแล้วต่อพรุ่งนี้แล้วกัน
ง่วงมากกกกกกกก

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
ฟินอะเกือบทำภีมเข้าสอบไม่ทันซะแล้ววว  :really2:

เห็นใจคนเป็นพ่อเนอะ ความผิดหวังเสียใจทำให้คนเราเปลี่ยนท่าทีไปได้มากเลยเชียว เป็นกำลังใจให้ทั้งฟินและภีมจ้า  :L2:

wichaiP

  • บุคคลทั่วไป
ง่ะ ก่อนสอบเลยเหรอ แร๊งงงง

ออฟไลน์ EVE910

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 550
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
สุดยอด อ อ    o13

อยากอ่านอีกแล้วรับมาต่อนะ

จุ๊บ  ๆ

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
ก่อนสอบก็ยังจะ โฮกกก :jul1:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป



บทที่ 20 – ปัญหาที่ไม่จบสิ้น



   สัปดาห์แห่งการสอบวัดความรู้เพื่อแอดมิดชั่นนั้นผ่านพ้นไปแล้ว

   ฟินหมดสัญญาในการเป็นครูสอนพิเศษของภีมอย่างเป็นทางการ

   “รวยเลยล่ะสิ” ภีมแกล้งพูดเมื่อเห็นฟินกำลังเปิดสมุดบัญชีดูยอดเงิน

   “สอนสามเดือนได้มาสองหมื่นก็เยอะอยู่นะ สอนต่อดีมั้ยเนี่ย” ฟินแกล้งพูดบ้างพลางโน้มตัวไปจูบภีมที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่

   แม้ว่าจะไม่มีบทบาทของนักเรียนและครูสอนพิเศษแล้ว แต่ฟินก็ไม่ยอมปล่อยให้ภีมอยู่ห่างตัวโดยเด็ดขาด ภีมจะต้องมาหาฟินที่คอนโดทุกวันเสาร์และอาทิตย์...และนั่นคือข้อกำหนดที่ฟินตั้งขึ้น

   ตอนแรกฟินคิดว่าอย่างไรเสีย...ภีมก็คงไม่ยอม แต่กลับผิดคาด ภีมตอบตกลงหน้าตาเฉย โดยสาเหตุที่แท้จริงคือ ภีมไม่อยากอยู่บ้าน ยิ่งวันที่แม่กลับมาบ้านด้วยแล้ว ยิ่งไม่อยากอยู่เข้าไปใหญ่

   ฟินก็อยู่กับภีมทุกวันไม่ได้ เพราะวันจันทร์ถึงศุกร์ต้องไปสอนพิเศษ จะมีเวลาว่างอยู่ด้วยกันก็วันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น

   “ถามอะไรหน่อยสิ...ฟิน” ภีมพูดขึ้น ฟินวางสมุดบัญชีลงแล้วหันหน้ามาหาภีม “ว่ามา”

   “เอ่อ...” ภีมละล่ำละลัก พอจะพูดจริงๆกับไม่กล้า “เอ่อ...คือเรื่องที่นายชอบฉันน่ะ ทำไมถึงชอบ” กว่าจะพูดจบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรียบร้อยแล้ว

   ฟินยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะกระเถิบตัวเข้าไปใกล้ๆภีมพลางโอบไหล่ไว้ “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คงเป็นเพราะโชคชะตาล่ะมั้ง”

   “แล้วนายเป็น เอ่อ...” เรื่องนี้ก็เหมือนกัน จะถามออกไปภีมก็กระดากใจอยู่ไม่น้อย จะให้กล้าพูดตรงๆได้อย่างไรว่าเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่

   “ถามมาเถอะ ป่านนี้แล้วมีอะไรต้องเกรงใจกันอีก” ฟินยิ้มกว้างขึ้น

   นั่นสินะ... “เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

   ฟินเงียบไป

   “ไม่เข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย คือว่า...”

   “เข้าใจ” ฟินตอบพลางมองหน้าภีม “ก็ตั้งแต่ตอนที่รู้สึกตัวว่าเห็นหน้านายแล้วมันตื่นเต้นผิดปกติล่ะมั้ง”

   “ตื่นเต้น” ภีมทวนคำนั้น “ยังไงว้า”

   “ก็ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปไง ทั้งๆที่คุยก็ไม่ได้คุย แต่ว่าอาจจะเป็นเพราะดนตรีมั้ง ฉันเห็นนายเล่นดนตรีทีไร มันตื่นเต้นทุกทีเลย มารู้ตัวอีกที...ฉันก็อยากจะอยู่ใกล้นายซะแล้ว” ฟินยิ้มบางๆ เวลาพูดคล้ายคนกำลังมีความสุขอย่างไม่ปิดบัง   

   แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ในใจกลับคิดไปถึงคนที่อยู่บ้าน นึกถึงคำโกหกที่ตัดสินใจพูดออกไปเพื่อความสบายใจของผู้เป็นพ่อ นึกถึงเวลาที่แม่รู้ความจริง นึกถึงวันหลายๆวันที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า วันที่เขาและภีมต้องจากกัน...

   “พรุ่งนี้แม่ฉันจะกลับมา” ภีมพูดขึ้น ใบหน้าทะเล้นเปลี่ยนเป็นใบหน้าบูดบึ้งทันที “โชคดีเป็นวันอาทิตย์ จะได้อยู่ที่นี่”

   แต่ฟินกลับไม่คิดอย่างนั้น “กลับไปอยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ นานๆทีแม่จะกลับมาไม่ใช่เหรอ แล้วพ่อล่ะ กลับหรือเปล่า”

   ภีมส่ายหน้าแทนคำตอบ “อย่าว่าแต่เรื่องกลับเลย ป่านนี้ลืมไปแล้วมั้ง...ว่ามีลูกสองคนอยู่ที่นี่ เห็นวันๆสนใจแต่เรื่องหาเพชรหาพลอยเข้าร้าน”

   “อย่าพูดถึงพ่อแม่อย่างนั้นสิ มันไม่ดี” ฟินปราม

   “ก็มันจริงนี่หว่า ตั้งแต่ฉันเข้าเรียน ม.ปลาย ไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย เชื่อมั้ยล่ะ” ภีมหัวเสีย ยิ่งพูดยิ่งโมโห “เปลี่ยนเรื่องเหอะ มันหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ”

   ฟินขยี้หัวภีมเบาๆ “ใจเย็นๆสิ”

   “วันก่อนมีเบอร์แปลกโทรหาฉันด้วยล่ะ พอรับก็ไม่พูด ไอ้เราก็อุตส่าห์โทรกลับ แต่ก็ดันตัดสายทิ้ง”

   ฟินรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรพิกลกับเรื่องที่ภีมเล่าให้ฟัง เบอร์แปลกเหรอ...

   “ให้เบอร์ใครไปหรือเปล่า” ฟินตั้งข้อสงสัย

   “ไม่ค่อยได้พกโทรศัพท์นานแล้ว ถ้าให้ก็ให้แม่นายไปนั่นล่ะ”

   ฟินนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง เป็นไปได้ไหมว่า...พ่อของเขาจะขอเบอร์ภีมกับแม่ แล้วโทรมาหาภีมเพื่อจะถามเรื่องทั้งหมด รวมทั้งเรื่องที่ฟินโกหกออกไปด้วย แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้าพูด...

   “ฟิน เป็นอะไร” ภีมเขย่าตัวฟินเบาๆ ร่างของเขาชาไปแล้ว “ฟิน ฟิน” ภีมเรียกอีกครั้ง

   ฟินสะดุ้งอย่างคนรู้สึกตัว น้ำใสๆเอ่อคลอรอบดวงตา เขารีบยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดออกไปอย่างรวดเร็ว “ขอดูเบอร์หน่อย”

   “ไม่ได้เอาโทรศัพท์มา” ภีมบอก “มีอะไรหรือเปล่า”

   ฟินรีบปฏิเสธในทันที “ไม่มีอะไร” แต่ท่าทางนั้นลุกลี้ลุกลนจนภีมก็เริ่มสงสัยว่าฟินต้องปิดบังอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน

   “บางทีถ้าเล่าให้ฉันฟัง อะไรๆมันอาจจะดีขึ้นก็ได้นะ” ภีมพูดน้ำเสียงจริงจัง ฟินมองหน้าเขาอย่างพิจารณา ฉันไม่คิดอย่างนั้นเลยสักนิดเดียว มันยิ่งจะแย่ไปกันใหญ่น่ะสิ...

   “ว่าไง” ภีมรบเร้า

   “ก็บอกว่าไม่มีอะไรไง นายนี่...จริงๆเลย” ฟินพูดพลางลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป ภีมมองตามก่อนจะหันไปเล่นเกมต่อ

   เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ฟินก็กดโทรศัพท์หาผู้เป็นพ่อทันที “สวัสดีครับพ่อ”

   [………..]

   “แม่บอกพ่อแล้วใช่มั้ยว่า...”

   [...บอกแล้ว...]

   “แล้วพ่อโทรไปหาภีมอีกทำไมครับ ผมกับเขาเลิกยุ่งกันไปแล้วนะ” ฟินพูดเรียบๆ

   [แล้วถ้าเลิกกันจริงๆ แกจะรู้ได้ยังไงว่าฉันโทรไปหาภีม]

   ฟินนิ่งอึ้งไป นี่เขาตกหลุมพรางพ่ออย่างนั้นหรือ...แต่มันต้องมีทางออกสิน่า “ผมเจอกับภีมวันสอบวัดความรู้น่ะ คุยกันเฉยๆ”

   แต่ฟินคงลืมไปว่า “การโกหก” เป็นการกระทำที่ยิ่งเพิ่มความยุ่งยากให้กับชีวิต ยิ่งโกหก ปมปัญหาก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แล้วฟินก็ต้องตามแก้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

   แต่ ณ เวลานี้ ฟินคิดว่าไม่มีอะไรที่จะแก้ไขปัญหาได้ดีไปกว่าการโกหกอีกแล้ว เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เป็นพ่อสบายใจที่ได้ลูกชายคนเดิมกลับมา ยังทำให้ตัวฟินเองได้มีความสุขกับช่วงเวลาที่มีภีมอยู่

   [ถ้ายืนยันอย่างนั้นก็แล้วไป ฟินไม่ใช่คนโกหก พ่อรู้...] เสียงของนทีอ่อนลง

   คำพูดนั้นเสียดแทงใจฟินอย่างจัง พ่อยังคงเชื่อใจเขาอยู่...

   ทำไมนะ...การโกหกครั้งนี้มันกลับทำให้เขาไม่สบายใจเลย

   [ทำอะไรก็คิดถึงพ่อกับแม่ด้วย พ่อเลี้ยงเราให้เป็นผู้ชายก็ต้องเป็นผู้ชาย]

   “ครับ” ฟินรับคำเบาๆก่อนจะวางสายโทรศัพท์แล้วเดินออกมาหาภีมด้วยท่าทางอ่อนแรง

   “ไปไหนมา” ภีมถาม ความตั้งใจยังคงอยู่กับเกมที่เล่นอยู่

   ฟินมองอย่างน้อยใจ ขนาดนี้แล้วยังห่วงเล่นเกมอยู่อีก “หยุดเล่นก่อนไม่ได้เหรอ”

   “ไมอ่ะ กำลังหนุกเลย” ภีมยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่นต่อไป

   “ฉันเล่นเคลียร์ไปนานแล้ว ไม่เห็นสนุกเลย เกมอะไรไม่รู้ ไม่น่าซื้อมาเลย” พูดจบก็เอื้อมมือไปดึงปลั๊กออกเสียดื้อๆ ภีมมองตาค้าง....

   “ทำงี้ได้ไง...เห็นมั้ยว่าเล่นอยู่” ภีมว่า

   “ก็เห็นไงว่าเล่นอยู่ เลยถอดปลั๊กออก” ฟินพูดเรียบๆ รู้สึกตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำอะไรที่ไร้เหตุผลสิ้นดี ภีมจะโกรธมันก็สมควรอยู่

   แต่เรื่องกลับตรงกันข้าม ภีมไม่โกรธ แต่กลับพูดอะไรที่แทงใจฟินอย่างจัง “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายมีเรื่องอะไรให้คิดมากถึงต้องมาลงที่ฉัน เพราะในเมื่อนายไม่คิดจะบอก ต่อให้ฉันอยากช่วยนายเท่าไหร่ มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร” ภีมพูดพลางลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โซฟา

   ฟินรู้ว่าตัวเองผิดเต็มๆ ภีมไม่รู้เรื่องอะไรตั้งแต่แรก ฟินผ่อนลมหายใจเบาๆก่อนจะเดินไปหาภีมแล้วกล่าวคำขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขอโทษ”

   ภีมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนนิ่งราวท่อนไม้ แต่ท่อนไม้อะไรจะมีใบหน้าสำนึกผิดได้น่ารักขนาดนั้น ภีมยิ้มให้ก่อนจะชกแขนฟินเบาๆ “เออ...ไม่ได้โกรธสักหน่อย แต่มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ฟังสิ ไม่ใช่มาเครียดคนเดียว”

   ถึงภีมจะพูดอย่างนั้น แต่ฟินก็ไม่ยอมบอกอยู่ดีเพราะไม่อยากให้ภีมเครียดไปด้วย “ไม่มีอะไร กลัวว่าสอบจะได้คะแนนน้อย แค่นั้นล่ะ”

   “ไอ้บ้า...ไร้สาระสุดยอด เครียดทำไมล่ะ...นายเก่งอยู่แล้ว”

   ฟินยิ้มกลบเกลื่อนเรื่องราวในใจ แต่มีหรือที่ภีมจะไม่รู้ เพราะคนอย่างฟินแม้จะเย็นชาเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีหัวใจ ถ้ารู้สึกไม่สบายใจหรือมีอะไรปิดบังอยู่ ถ้าไม่แสดงออกทางสีหน้าก็ออกทางแววตาหรือไม่ก็ท่าทาง

   แต่ถึงภีมจะรู้...แต่ก็ไม่อยากถามให้มากความ รอให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายบอกเองดีกว่า



   เช้าวันอาทิตย์ ภูรดาโทรเข้าเบอร์โทรศัพท์ของฟิน ฟินรับสายทั้งๆที่ยังงัวเงียอยู่ “ฟินพูดครับ”

   “พี่ภูเองนะ ภีมตื่นหรือยัง” ภูรดาถามอย่างร้อนรน

   “ยังครับ พี่ภูมีอะไรหรือเปล่า”

   “บอกให้ภีมกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย นะ แม่กลับมาแล้ว” ภูรดาพูดแค่นั้นก่อนจะวางสายไป

   ฟินเขย่าร่างภีมเบาๆให้รู้สึกตัว แต่ไม่ว่าเขย่าเท่าไรเจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าจะตื่น ความจริงแล้วภีมตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงโทรศัพท์แล้วแต่แกล้งหลับต่อ

   ฟินปลุกภีมอยู่นานจึงรู้ว่าคนที่นอนนิ่งข้างๆนั้นแกล้งหลับ “ตื่นได้แล้วภีม” ฟินพูดเสียงเรียบ

   ภีมยังคงนอนนิ่งอย่างนั้น ไม่สนใจ

   “ไม่ต้องมาแกล้งหลับ ลุกขึ้นอาบน้ำ เดี๋ยวไปส่งบ้าน” ฟินดึงแขนภีมให้ลุกขึ้น

   “ยังง่วงอยู่เลย ขอนอนก่อนนะ” ภีมพูดเสียงอ่อน ก่อนจะแกะมือของฟินออกอย่างรวดเร็วแล้วล้มตัวลงนอนต่อ

   “ง่วงแค่ไหนก็ต้องกลับ แม่นายรออยู่ที่บ้าน”

   ก็เพราะแม่รออยู่น่ะสิ....ถึงไม่อยากตื่นไง ภีมคิดในใจ

   “จะหนีปัญหาไปถึงเมื่อไหร่ น่าเบื่อจริงๆ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไปจากห้องนอนทันที ไม่ใช่ว่าประโยคนั้นจะพูดแล้วผ่านเลย ตรงกันข้ามมันทำร้ายตัวผู้พูดเองด้วย เพราะฟินก็เข้าข่ายของคนหนีปัญหาคนหนึ่ง หนีแบบลูกโซ่เสียด้วย หนีต่อไปไม่มีวันจบ

   ภีมดีดตัวลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ฟินไม่เคยพูดกับเขาแบบนี้ ทั้งยังไม่เคยหงุดหงิดกับเรื่องที่สามารถคุยกันได้ เขาเป็นคนใจเย็นมาก แต่วันนี้...

   น่าเบื่อจริงๆ ทำไมคำนี้ถึงก้องอยู่ในหูภีมราวกับเป็นคำสาปที่ต้องจดจำ

   ความรู้สึกน้อยใจ ผิดหวัง และคำถามมากมายผุดขึ้นมาในความคิด ภีมลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจฟิน ฟินเดินตามบอกจะไปส่ง แต่ภีมยามนี้ไม่มีอะไรให้ต้องรออีกแล้ว

   พอออกจากคอนโดได้ก็เรียกแท็กซี่กลับบ้านทันที

   ฟินยืนมองอย่างนั้น นึกโทษตัวเองที่พูดจาไม่รักษาน้ำใจแบบนั้นกับภีม แม้ใจจริงอยากจะตามไปแค่ไหนก็คงทำไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรฟินก็เป็นคนนอกอยู่ดี

   ส่วนภีมพอไปถึงบ้านก็รีบตรงดิ่งไปยังห้องรับแขกทันที แม่ของเขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ภูรดาทำหน้านิ่งคล้ายกำลังกลั้นอารมณ์บางอย่างอยู่

   ภีมยกมือไหว้ผู้เป็นแม่ครั้งหนึ่งก่อนจะนั่งลงข้างๆพี่สาว

   ผู้หญิงร่างสูง ปราดเปรียว คนนี้คือแม่ของภีม เธอเป็นนักธุรกิจหญิงดีเด่นของวงการค้าเพชรพลอย และยังมีชื่อเสียงในเรื่องการออกแบบเครื่องประดับส่งออกจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก

   ใบหน้าสวยสง่า และท่าทางไว้ตัวนั้น ทำให้เธอดูสูงส่งยิ่งขึ้นไปอีก

   “เมื่อก่อนไม่เห็นอยากจะไปค้างบ้านใครนี่” ภีมดาพูดขึ้นเมื่อลูกชายคนเล็กนั่งลงอย่างสงบ

   “เมื่อก่อนที่ว่า...กี่ปีมาแล้วล่ะครับ” ภีมพูดเสียงยียวน

   ภีมดาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ลูกชายของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไรนัก “เข้าเรื่องเลยละกัน” เธอกระแอมครั้งหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ไปอยู่กับพ่อและแม่ที่อังกฤษ ไปเรียนต่อที่โน่น”

   ภีมยิ้มเยาะ “ไม่ไปครับ”

   “ถ้าไม่ไปก็เรียนเอกชน เรียนบริหารธุรกิจ” นี่คือข้อเสนองั้นหรือ

   “ไม่อีกนั่นล่ะครับ ผมสอบติดที่นี่ด้วยฝีมือผมเอง ผมจะไม่ทิ้งมันไปแน่นอน” น้ำเสียงของภีมจริงจังขึ้นจนน่าตกใจ ภีมดามองหน้าลูกชายอย่างพิจารณาครั้งหนึ่ง “ภีมต้องเลือกสักที่หนึ่ง”

   “แม่กลับมาเพราะเรื่องแค่นี้ใช่มั้ยครับ” ภีมชักเหลืออด คำแรกที่แม่ควรถามลูกน่าจะเป็น สบายดีมั้ยลูก เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ใช่เหรอ แล้วนี่แม่เขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ “ผมจะไปแล้ว” ภีมลุกขึ้นยืน

   “ไปไหน” ภีมดาถาม รู้สึกมีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว

   “ไปในที่ที่ไม่มีแม่นั่นล่ะ” ภีมเดินหนีออกไป ภีมดาจะเดินตามแต่ภูรดาขวางไว้ก่อน

   “ปล่อยภีมไปเถอะนะคะ แม่บังคับภูคนเดียวยังไม่พออีกเหรอคะ” ภูรดาพูดเสียงแข็ง

   “ภีมมันลูกฉันนะ แล้วมันก็น้องแก จะปล่อยมันได้ยังไง”

   “ปล่อยให้เขาได้เลือกทางเดินของเขาไป แม่อย่าเข้าไปยุ่งเลยค่ะ หนูขอร้อง”

   “ฉันกำลังทำเพื่อมันอยู่” ภีมดายืนยันเสียงแข็ง

   “แม่ทำเพื่อตัวเองต่างหาก ถ้าแม่ทำเพื่อเราจริง ทำไมไม่ให้ภีมได้มีความสุขกับสิ่งที่เขาเลือก”

   “แกอย่ามารู้ดี แล้วถ้าสิ่งที่แกเลือกมันผิดล่ะ”

   “นั่นเป็นบทเรียนค่ะ บทเรียนที่เราเต็มใจที่จะเรียนรู้เอง”

   “บ้าไปกันใหญ่แล้วลูกฉัน” ภีมดาพูดพลางทรุดตัวลงนั่ง รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันที นี่ลูกของเธอเป็นอะไรกันไปหมด...

   ภีมวิ่งขึ้นไปห้องนอนของตัวเองแล้วรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบวิ่งลงมาข้างล่าง ในใจคิดอย่างเดียวว่าต้องออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด

   ภีมดาเป็นลมไปแล้ว ภูรดาเรียกแม่บ้านมาคอยดูแล ส่วนเธอก็จะไปคุยกับภีมให้รู้เรื่องก่อนจะเตลิดไปไกลกว่านี้ แต่พอเดินออกมาเท่านั้น ภีมก็วิ่งผ่านหน้าไปแล้ว ภูรดาวิ่งตามจนทัน

   “ไปไหนภีม” เธอว่าพลางหอบแฮ่ก

   “ไปไหนก็ได้ที่ไม่มีแม่” ภีมไม่ได้เอาอะไรติดตัวมานอกจากกระเป๋าสตางค์ใบเดิม

   “แล้วจะไปที่ไหนล่ะ”

   ภีมก็ยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าจะไปที่ไหน ไปหาฟินเหรอ...ภีมไม่อยากไปแล้วเพราะโกรธที่ฟินพูดอย่างนั้นแล้วที่สำคัญ ฟินคงไม่ยอมให้อยู่หรอก ก็เขารักความถูกต้องเป็นชีวิตจิตใจเลยนี่...

   “งั้นไปอยู่คอนโดพี่ก่อน ให้ลุงชิดขับรถไปส่ง ลุงเขารู้ทาง” ภูรดาว่าพลางส่งกุญแจห้องให้น้องชาย

   “แม่ล่ะ”

   “เป็นลมไปแล้ว ไม่ได้ดั่งใจก็เป็นอย่างนี้ทุกที” ภูรดาพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

   “ผมอยากเรียนที่นี่จริงๆ พี่เข้าใจผมนะ” ภีมพูดเสียงอ่อน แววตาและท่าทางถือดีอย่างแต่ก่อนแทบไม่มีอยู่ในตัวแล้ว

   ภูรดาพยักหน้าเข้าใจก่อนจะรุนหลังน้องชายให้ขึ้นรถ ลุงชิดนั่งรออยู่บนรถก่อนแล้ว

   ใครจะว่าเขาหนีปัญหาอย่างไรก็ช่าง ภีมไม่สนอีกแล้ว หรือใครจะเบื่อ รำคาญ ภีมก็ไม่สนใจ ภีมจะไม่สนใจใครอีกแล้ว...




 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

e_new

  • บุคคลทั่วไป
เง้อ~~~ พ่อไม่รับเหรอเนี่ย เศร้าจังๆ
อยากรู้ว่าฟินไปสอบที่ไหนถึงเข้าไม่ได้ จะได้ไม่ไปสอบ 55555555
ถ้าคนอย่างฟินสอบเข้าไม่ได้ ก็อย่าพูดถึงมันเลย เหอๆๆๆๆ
 :L2: :L2:
 :กอด1: :กอด1:
---------------
นิวเพิ่งอ่านตอน 19 เสร็จ ตอน 20 มาพอดี เย้ๆๆ
ไม่ได้เครียด ไม่ได้เศร้าคนเดียวสักหน่อย - -
เครียดไปอีกคนสะแล้วหล่ะ -.- บู่ๆ รอๆ +เป็ด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2011 18:57:30 โดย e_new »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
ปัญหาของภีมอาจมีมากกว่าฟินก็ได้นะเนี่ย เพราะนี่ยังเป็นเพียงปัญหาเรื่องการเลือกทางเรียน และถ้าหากพ่อแม่พี่สาวรู้เรื่องของฟินอีกล่ะ โอ๊ยยยยย ไม่อยากจะคิด   :z3:

alonezaxxx

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
สงสารทั้งฟินและภีมเลย


เข้าใจเลยว่าปัญหาแบบนี้มันเครียดขนาดไหน


 :bye2: :mc4 :L1:

ออฟไลน์ lovely2min

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
มาขอเป็นแฟนคลับเรื่องนี้ด้วยนะจ๊ะ

แบบว่า ดราม่าได้อีกเนอะ ไมที่บ้านสองคนนี้เป็นแบบนี้เนี่ย
พาหนีเลยดีม่ะ
แหม่
สงสารภีมอ่ะ TT

zusuki

  • บุคคลทั่วไป

บทที่ 21 – งานประจำปีของโรงเรียน



   หลังจากวันนั้นที่ภีมออกจากคอนโดของฟินไป ทั้งคู่ก็ไม่ได้พบกันอีกเลย

   นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ราวๆ สองสัปดาห์

   วันนี้ฟินมาที่โรงเรียนแต่เช้าเพื่อเตรียมงานเลี้ยงประจำปีที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ บรรดาคณะกรรมการนักเรียนนับยี่สิบชีวิตกำลังวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมและตกแต่งเวทีให้สวยงามและตรงตามรูปแบบของงาน

   รุ่นพี่ที่จบไปแล้วหลายรุ่นก็มาช่วยกันในเรื่องของการจัดซุ้มกิจกรรม ซึ่งดูคร่าวๆแล้วไม่น่าจะต่ำกว่ายี่สิบกิจกรรม

   งานในครั้งนี้จัดขึ้นที่สนามกีฬาของโรงเรียนกินพื้นที่ไปจนถึงตัวอาคารอื่นๆอีกเพราะมีซุ้มกิจกรรมต่างๆ

   นอกจากเรื่องของการจัดงานแล้ว ยังมีเรื่องของที่ระลึกในงานซึ่งตอนนี้กำลังเกิดปัญหาเพราะจัดส่งไม่ทันตามกำหนดที่ตกลงกันไว้

   “ของที่ระลึกส่งให้ไม่ทันล่ะฟิน ทำไงดี” โจ๊ก คณะกรรมการนักเรียนคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาบอกฟิน จะไม่ให้เหนื่อยได้อย่างไรในเมื่อระยะทางจากห้องคณะกรรมการนักเรียนมาสนามกีฬามันยาวไกลอยู่ไม่ใช่น้อย

   ฟินละความสนใจจากการจัดเวทีมาที่โจ๊ก “เอาเงินคืนแล้วไปซื้อของมาแทนเลย”

   “จะเอาอะไรมาเป็นของที่ระลึกล่ะ” โจ๊กถาม

   “เรื่องแค่นี้คิดไม่เป็นหรือไง จัดการด้วยตัวเองบ้างสิ” แล้วฟินกลับไปสนใจกับเรื่องของการจัดเวทีต่อ โจ๊กมองอย่างงุนงง ช่วงก่อนยังเห็นประธานนักเรียนคนนี้ร่าเริงอยู่เลย ทำไมวันนี้มาโหมดเดิมอีกแล้วและดูท่าจะแรงกว่าโหมดเดิมที่เคยเป็นเสียด้วย

   กว่าการจัดเตรียมงานจะเรียบร้อยลุล่วงก็กินเวลาไปจนถึงช่วงเย็น รุ่นพี่ที่มาช่วยจัดเตรียมงานขอตัวกลับก่อน ส่วนคณะกรรมการรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไปต้องเข้าประชุมร่วมกันเรื่องกำหนดการของงานในวันพรุ่งนี้

   คณะกรรมการนักเรียนรุ่นปัจจุบันและว่าที่ในรุ่นต่อไปเดินกลับมายังห้องประชุมของกลุ่ม ระหว่างทางที่เดินมาห้องประชุมนั้นต้องผ่านห้องชมรมดนตรีก่อน ประธานนักเรียนร่างสูงใหญ่ที่เดินนำทุกคนมานั้นอยู่ดีดีก็หยุดเดินเอาเสียดื้อๆ ทำให้ทุกคนที่เดินตามต่างก็งงไปตามๆกัน

   ในห้องชมรมดนตรีไม่มีเงาร่างของคนที่เขาอยากเจอ มีแต่รุ่นน้องสี่ห้าคนกำลังร้องเล่นดนตรีกันอย่างสนุกสนาน ฟินมองดูเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะขยับฝีเท้าออกเดินต่อ

   ติณณ์ ประธานคนต่อไปของชมรมดนตรี มองกลุ่มคณะกรรมการนักเรียนเดินผ่านไปจนลับตา ใบหน้าทะเล้นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเคร่งเครียดทันที “ออกมาได้แล้วครับพี่ภีม พวกนั้นไปกันหมดแล้ว”

   สมาชิกชมรมอีกสี่คนซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมด มองตามสายตาของติณณ์ พบร่างสูงร่างหนึ่งค่อยๆยืนขึ้นจากข้างหลังเปียโน

   ภีม...   

   “ทำไมต้องหลบคนพวกนั้นด้วยล่ะพี่ภีม” ติณณ์ตั้งข้อสงสัย

   “พี่ไม่ค่อยถูกกับพวกคณะกรรมการนักเรียนน่ะ ไม่ถูกกันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ต่อให้หันหน้าเข้าหากันเท่าไร มันก็เหมือนเดิมอยู่ดี...มันเข้ากันไม่ได้หรอก” ภีมพูดเรียบๆ

   ความจริงแล้วเขาไม่ได้อยากมีส่วนร่วมในงานประจำปีของโรงเรียนครั้งนี้เท่าไรนัก เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยมีส่วนร่วมอยู่แล้วถ้าไม่ถูกบังคับจากคณาจารย์ที่เล็งเห็นในความสามารถด้านดนตรีของเขา

   ถ้าเหล่ารุ่นน้องที่จะเป็นกำลังสำคัญในการรักษาชมรมดนตรีในอนาคตไม่เอ่ยปากขอร้องให้เขาช่วยแสดงดนตรีเปิดงานให้ล่ะก็ อย่าหวังว่าใครจะได้เห็นหน้าของ...ภีม   พิริยะ ในงานนี้เลย

   “สรุปคือผมเล่นไวโอลินก่อนคนแรก” ติณณ์ชี้ไปที่ตัวเองก่อนจะมองไปยังหนุ่มน้อยที่ยืนข้างๆ “ส่วนวิน เป่าแซ็ก”

   วินพยักหน้ารับเบาๆทว่าท่าทางกระตือรือร้นเต็มที่

   ติณณ์พูดต่อ “ส่วนนายก็เป็นคนเปิดม่าน” ติณณ์ชี้ไปที่วัตต์ หนุ่มน้อยหน้าใสที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา “พอม่านเปิดแล้วก็เป็นหน้าที่ของพี่ภีม เล่นเปียโน”

   ภีมพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “แล้วนอร์ทล่ะทำอะไร” ภีมชี้ไปที่หนุ่มย้อยอีกคนที่ยืนหน้าเป็นพิงเปียโนอยู่

   ติณณ์ทำหน้าครุ่นคิด ไม่มีเวลาเหลือให้ทำอะไรได้อีกแล้วเพราะทางคณะกรรมการนักเรียนมอบหมายหน้าที่นี้มาพร้อมเวลาครึ่งชั่วโมง

   สิบนาทีแรกสำหรับการแสดงไวโอลินของติณณ์

   สิบนาทีต่อมาสำหรับเสียงแซ็กโซโฟนของวิน

   และสิบนาทีสุดท้ายสำหรับเสียงเปียโนของภีม

   “นอร์ทและคนอื่นๆก็คอยให้กำลังใจไงครับ พอพี่ภีมแสดงจบ พวกเราชมรมดนตรีก็ออกมาแสดงความขอบคุณที่กลางเวทีกันให้หมดทุกคน” ติณณ์บอกพร้อมกับยิ้มให้นอร์ท “โอเคมั้ย”

   นอร์ทยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เสียดายที่อดโชว์ฝีมือตีกลอง” นอร์ทพูดพลางทำท่าตีกลองอย่างคึกคัก

   “เอาเป็นว่าชมรมดนตรีเจ๋งสุด ยกเลิกการประชุม ณ บัดนี้” ติณณ์ว่าพลางตบมือสามครั้ง

   แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง มีเพียงติณณ์เท่านั้นที่กลับพร้อมกับภีมเพราะบ้านของติณณ์เป็นทางผ่านไปบ้านของภีม

   ภีมไปอยู่คอนโดของพี่สาวได้หนึ่งสัปดาห์ แม่ของเขาก็ต้องบินไปยังต่างประเทศเพื่อจัดการเรื่องธุรกิจค้าเพชรต่อ ภีมจึงกลับเข้าบ้านอีกครั้ง

   “ผมยังชอบเสียงเปียโนของพี่ไม่หายเลย” ติณณ์พูดขึ้นระหว่างทาง

   ภีมยิ้มน้อยๆ ไม่อยากพูดอะไรให้มากความ “เสียงไวโอลินของนายก็เยี่ยมนี่” ภีมชมไปอย่างนั้น เพราะคิดว่าเสียงไวโอลินของตัวเองไพเราะกว่าอย่างแน่นอน แต่ที่ไม่ลงแข่งขันระดับประเทศเพื่อชิงตำแหน่งชนะเลิศก็เพราะเห็นว่าชนะในเรื่องเปียโนมาแล้ว ดนตรีอย่างอื่นก็แบ่งให้คนอื่นเขาชนะบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าคนอื่นที่ว่าจะกลายมาเป็นรุ่นน้องในชมรมเสียนี่

   “ผมรู้นะ ว่ามันเยี่ยมสู้ไวโอลินที่พี่เล่นไม่ได้หรอก” ติณณ์ยิ้มกว้าง เหลือบมองใบหน้าภีมเป็นระยะๆอย่างสังเกตสีหน้าและการแสดงอารมณ์

   “แล้วรู้ได้ยังไง” ภีมมองไปนอกหน้าต่าง

   “ผมเคยได้ยินเสียงไวโอลินของพี่ที่ห้องชมรม ตอนนั้นก็ยืนฟังอยู่ตั้งนาน แต่ได้ยินครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็ไม่เคยได้ยินอีกเลย พอมาฟังอีกก็ได้ยินแต่เสียงเปียโน” ติณณ์ทำท่าทางเสียดาย

   “เมื่อยคอน่ะ ก็เลยไม่ค่อยเล่น เล่นเปียโนสบายกว่า” ภีมตอบยิ้มๆ

   “ไว้ว่างๆเรามาดวลไวโอลินกันมั้ยครับ” ติณณ์ทำหน้าลุ้นคล้ายกำลังรอคำตอบ

   ภีมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชกไหล่ของติณณ์เบาๆ “เอาสิ...ถ้าไม่กลัวแพ้”

   “ผมไม่กลัวเรื่องนั้นอยู่แล้วล่ะครับ...” ติณณ์บอกก่อนจะยิ้มออกมา

   สัญญาท้าดวลเริ่มต้นขึ้น เค้ารางความยุ่งยากก็ตามมาดุจดังคลื่นกระทบฝั่งที่ซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้จะจบสิ้นเมื่อไร

   วันที่ลมฟ้าสงบอย่างนั้นหรือ...



   เช้าวันใหม่ที่สำคัญของทุกคนในโรงเรียนแห่งนี้ งานประจำปีที่ทุกคนต่างรอคอย เช้าวันที่แสนวุ่นวายของผู้เตรียมงานทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการนักเรียนที่ต้องเตรียมตัวต้อนรับแขกรวมถึงการแจกของที่ระลึก ประสานงานในด้านต่างๆ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้

   ชมรมดนตรีเองก็มีงานสำคัญที่ต้องทำ คนที่มาถึงชมรมคนแรกคือติณณ์ ว่าที่ประธานชมรมคนต่อไป กระทั่งเข้าช่วงสายๆ สมาชิกคนอื่นจึงทยอยกันมาเพื่อเตรียมตัว

   เมื่อเห็นว่าเพื่อนๆเริ่มมากันเยอะแล้ว ติณณ์ก็หยิบไวโอลินสีขาวขึ้นวางไว้ที่บ่าด้วยท่วงท่าสง่างาม แล้วสีออกมาเป็นบทเพลงอันไพเราะให้ทุกคนได้ฟังกัน

   เสียงไวโอลินนั้นเรียกความสนใจจากผู้ที่เดินผ่านห้องชมรมได้มากมาย รวมทั้งประธานนักเรียนมาดขรึมที่กำลังจะก้าวผ่านประตูห้องชมรมนี้ มีผู้คนมากมายยืนออกันอยู่ที่ประตูทางเข้า แต่โชคดีที่ฟินเป็นคนรูปร่างสูงจึงสามารถมองเห็นข้างในห้องได้อย่างสบาย

   ทำไมยังไม่มานะ... ฟินคิดอย่างกระวนกระวายใจ

   จนเสียงไวโอลินเงียบลง คนก็เริ่มหายไป ฟินจึงเดินเข้าไปในห้องนั้นก่อนจะเรียกติณณ์ให้มาคุยด้วยเป็นการส่วนตัว

   ติณณ์ปรับสีหน้าให้เรียบเฉยก่อนจะเดินไปหาฟินที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องด้านในสุด

   “มีอะไรหรือครับ ประธานนักเรียน” ติณณ์พูดโดยไม่มองหน้าคนที่พูดด้วย

   ฟินกลอกตาครั้งหนึ่ง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังยั่วโมโหอยู่ “ก็น่าจะรู้ว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร”

   “ไม่ต้องห่วงครับ ชมรมดนตรีไม่ทำเสียหน้าอย่างแน่นอน” ติณณ์ยิ้มบางๆ

   ฟินยิ้มออกมาบ้าง ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดีสักเท่าไรนักในยามนี้ “ภีมอยู่ไหน”

   “ผมจะไปรู้ได้ยังไงครับ ผมก็เป็นแค่รุ่นน้องคนหนึ่ง” ติณณ์จ้องหน้าฟิน ไม่รู้สึกกลัวประธานนักเรียนคนนี้สักนิดเดียว ยิ่งผู้ชายคนนี้นิ่งสักเท่าไร เขาก็ยิ่งไม่กลัวมากขึ้นเท่านั้น

   “เมื่อวานภีมมาที่นี่” ฟินพูดช้าๆ “แล้วทำไมฉันไม่เห็นเขา”

   ติณณ์ยิ้มเยาะ “พี่เป็นอะไรกับพี่ภีมเหรอถึงต้องอยากรู้เรื่องขนาดนี้”

   ติณณ์พูดตรงจุด ฟินนิ่งไปครู่หนึ่ง “ภีมจะมาที่นี่กี่โมง” ฟินจงใจเปลี่ยนคำถาม

   “ผมไม่รู้หรอก มันเป็นเรื่องของพี่ภีม ถ้าพี่อยากรู้ทำไมไม่ถามเองล่ะ มาถามผมทำไม” ติณณ์พูดก่อนจะเดินหนีไปแล้วหยิบไวโอลินมาเล่นต่อ

   ฟินไม่เคยรู้สึกโมโหใครเท่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลย...ในใจอยากจะชกหน้าอวดดีนั่นสักครั้งเพื่อให้ความรุ่มร้อนในใจหายไป แต่ก็ทำไม่ได้ ฟินจึงได้แต่ถอนหายใจสลัดความรุ่มร้อนนั้นทิ้งไปแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อให้ลืมความกังวลที่มีอยู่

   จนกระทั่งช่วงบ่าย...

   ซุ้มกิจกรรมกว่ายี่สิบซุ้มเปิดให้บริการ...

   กองอำนวยการและกองประสานงานต่างๆเข้าประจำที่...

   ทุกอย่างเตรียมพร้อม...

   พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการและการแสดงต่างๆจะเริ่มขึ้นตอนหนึ่งทุ่ม ดังนั้น เวลานี้จึงเป็นหน้าที่ของซุ้มกิจกรรมที่ต้องให้บริการกับแขกที่มาในงาน

   ฟินนั่งอยู่ในห้องประชุมใหญ่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรในงานครั้งนี้ร่วมกัน

   “พอเราพูดประโยคนี้จบ ฟินก็พูดต่อเลย” น้ำหวานว่าพลางมองหน้าพิธีกรชายที่นั่งนิ่งราวกับรูปปั้น “ฟิน เป็นอะไรไปน่ะ” เธอสะกิดต้นแขนของเขาเบาๆ

   ฟินคล้ายรู้สึกตัว “มีอะไรเหรอ”

   “เป็นอะไรหรือเปล่า ดูไม่มีสมาธิเลยนะ งานจะเริ่มอยู่แล้ว ตั้งใจหน่อยสิ” น้ำหวานดุเข้าให้ ก่อนจะเริ่มพูดประโยคของเธอต่อไป

   ฟินถอนหายใจเบาๆ สลัดเรื่องกลุ้มใจที่เวียนวนในสมองออกไปแล้วจดจ่อกับบทพูดตรงหน้า

   บรรยากาศในงานคึกคักเป็นอย่างมาก ผู้คนก็ทยอยเข้างานกันมากขึ้น เสื้อผ้าหลากสีสันของแต่ละคนต่างเฉิดฉายแข่งกัน บางคนก็ใส่ชุดราตรีแสนสวยราวกับเจ้าหญิง บางคนก็แต่งตัวมาดมั่นราวนางร้ายในละคร ผู้ชายบางคนแต่งตัวเลียนแบบเจ้าชายในวรรณคดี บางคนขี้เกียจแต่งตัวก็ใส่ชุดสูทธรรมดาๆมา สรุปแล้ว ต่างคนต่างก็แต่งตัวตามใจชอบ...

   อยากแต่งอะไรก็แต่ง ไม่สนใจธีมของงานเท่าไรนัก

   ภีมเดินเข้างานมาอย่างงุนงง ไม่คิดว่าคนจะเยอะถึงเพียงนี้ เพราะปีก่อนที่ขึ้นเล่นดนตรีก็ไม่เห็นว่าคนจะเยอะเท่านี้เลย ภีมก็เลยแต่งตัวมาธรรมดาสุดๆ โดยสวมเสื้อยืดคอวีสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีดำ กางเกงสกินนี่รัดรูปสีดำ ปิดท้ายด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาว สรุปแล้วทั้งตัวภีมมีแต่สีดำและขาว ทั้งๆที่คนอื่นพยายามเลี่ยงใส่สีนี้กัน แต่กระนั้น...ชุดธรรมดาๆนี้พออยู่บนร่างสูง เพรียวบางของภีมก็ทำให้ผู้หญิงทั้งหลายเหลียวหลังมองได้แล้ว เพราะผู้ชายคนนี้น่ารักเหลือเกิน

   ภีมคิดแค่ว่า...พอเล่นเสร็จก็เผ่นกลับบ้านเลย แต่พอเดินเข้างานมาก็รู้สึกว่าตัวเองหดเล็กลงเหลือสองนิ้ว ทุกคนดูอลังการไปเสียหมด

   ภีมรีบวิ่งตรงไปยังห้องชมรมทันที

   “มาช้าจังนะครับ” ติณณ์พูดขึ้นเป็นคนแรก ตอนนี้ทุกคนในชมรมดนตรีอยู่ในชุดสูทสีขาวกันหมดทุกคน

   ภีมทำหน้าเหยเกนิดหนึ่งเมื่อมองรุ่นน้องชายล้วนนับสิบชีวิตที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่ในห้อง “เอ่อ...พี่แปลกกว่าคนอื่นเลยใช่มั้ยเนี่ย”

   ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันเบาๆจากนั้นเสียงหัวเราะก็ตามมา ภีมในชุดธรรมดาที่แปลกกว่าคนอื่น ทำไมกลับดูน่ารักและสง่างามได้เพียงนี้

   หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ทุกคนในชมรมดนตรีก็เดินไปยังด้านหลังของเวทีใหญ่เพื่อเตรียมตัวแสดงดนตรีเปิดงาน

   หลังม่านสีเลือดหมูใหญ่นั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เตรียมตัวขึ้นเวที ชมรมดนตรีจึงต้องค่อยๆแทรกตัวเข้าไปข้างหน้าเพราะเป็นคิวแรกที่ต้องทำการแสดง

   ทันทีที่ภีมเห็นร่างสูงคุ้นตาที่ยืนอยู่ตรงทางออกไปหน้าเวทีแล้วก็หยุดฝีเท้าตัวเองทันที “ยืนอยู่ตรงนี้ล่ะ รอให้เขาเรียกก่อนแล้วค่อยเดินออกไป” ภีมหันไปบอกน้องๆ

   ติณณ์มองตามสายตาของภีม พบว่าฟินกำลังยืนเตรียมตัวออกไปหน้าเวทีทำหน้าที่พิธีกรของงานนี้ ร่างสูงนั้นยืนนิ่งไม่ไหวเอน

   จนกระทั่งได้เวลาเปิดงาน ฟินในชุดสูทสีครีมกับหญิงสาวในชุดราตรีสีครีมที่เข้ากันก็เดินออกไปยังหน้าเวทีด้วยท่วงท่าสง่างามและมั่นใจ

   ภีมไม่มอง แต่กลับหลับตาลงอย่างใช้สมาธิ...

   ติณณ์จับจ้องมองภีมตลอดเวลา ดูคล้ายว่ากำลังจับผิด แต่แท้จริงแล้ว...ใครจะรู้ว่าเขาผู้นี้กำลังอ่อนไหวไปกับใบหน้าน่ารักนั้นต่างหาก

   พิธีกรกล่าวเชิญผู้อำนวยการโรงเรียนขึ้นเปิดงาน ทันทีที่กล่าวเปิดงานแล้ว ติณณ์ก็ก้าวเท้าออกไปพร้อมไวโอลินสีขาว พิธีกรหนุ่มสาวกลับเข้ามาหลังม่าน ครั้งนี้ฟินสบตาเข้ากับภีมอย่างจัง

   ภีมนั่งอยู่หน้าเปียโนสีดำสนิท ทั้งยังไม่ได้ใส่ชุดสูทเหมือนคนอื่นอีก ฟินขยับฝีเท้าจะเดินเข้าไปหาแต่ถูกน้ำหวานดึงไว้แล้วฉุดให้เดินเข้าไปหลังเวที

   ด้านหลังม่านสีเลือดหมูจัดวางเปียโนสีดำไว้ ทันทีที่เสียงแซ็กโซโฟนจบลง ม่านนี้ก็จะเปิดขึ้น

   ภีมนั่งสงบอยู่หลังม่านนั้นเพียงลำพัง เพราะต้องทำสมาธิ รุ่นน้องคนอื่นๆต่างก็ต้องยืนอยู่หลังม่านอีกชั้นหนึ่ง แต่พอได้สบเข้ากับดวงตานั้น สมาธิที่มีก็ค่อยๆหายไป

   การแสดงของติณณ์จบลงแล้ว ร่างสูงเดินกลับเข้ามาหลังเวทีสวนกับวินที่ถือแซ็กโซโฟนตัวใหญ่ออกไป ติณณ์หยุดยิ้มให้ภีมครั้งหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหลังเวที

   เสียงแซ็กโซโฟนของวินฟังดูเข้มแข็งทว่าอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ภีมรู้สึกชื่นชมรุ่นน้องคนนี้ขึ้นมาบ้าง แต่สำหรับติณณ์แล้ว ภีมคิดว่าเสียงไวโอลินนั้นมันขาดความเป็นตัวเองอย่างไรชอบกล กล่าวคือ ไม่มีความเป็นธรรมชาติเอาเสียเลย

   ภีมกำลังคิดอะไรอยู่เพลินๆม่านก็เปิดออกเสียอย่างนั้น เขาผงะไปเล็กน้อย...การแสดงแซ็กโซโฟนของวินจบไปเมื่อไรกัน ทันทีที่ตั้งสติได้

   ปลายนิ้วเรียวยาวก็บรรเลงเพลงขึ้น...

   ‘Tempest Sonata’ ของ Beethoven (Sonata ในบันไดเสียง D minor, op. 31, no.2: ‘Tempest’)

   เพลงนี้มีด้วยกันสามกระบวนท่า กระบวนท่าแรก Largo - Allegro [ช้าเหลือเกิน - เร็ว], กระบวนท่าที่สอง Adagio [ช้ามาก], กระบวนท่าที่สาม Allegretto [เร็วปานกลางกำลังพอดี]

   ภีมเลือกที่จะข้ามกระบวนท่าแรกไปแล้วเริ่มบทเพลงที่กระบวนท่าที่สองที่มีท่วงทำนองสงบนิ่ง ทิ้งความรู้สึกให้จมดิ่งอยู่กับความเงียบ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่กำลังปะทะใบหน้า เมื่อกระบวนท่าที่สองจบลง กระบวนท่าที่สามก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดหย่อน นิ้วเรียวสวยของภีมดูท่าจะช่ำชองกับบทเพลงนี้ไม่น้อยเพราะมันดูพลิ้วไหวและน่ามองเสียเหลือเกิน

   ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีคล้ายต้องมนต์ไปกับความพลิ้วไหวของบทเพลงและฝีมือของผู้เล่น จนกระทั่งเพลงบรรเลงจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นราวสายฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ

   บางคนลุกขึ้นยืนปรบมือและแสดงสีหน้าชื่นชม บางคนเดินมาที่หน้าเวทีพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ ภีมลุกขึ้นไปยืนกลางเวทีแล้วโค้งคำนับแสดงความขอบคุณด้วยท่วงท่าสง่างามก่อนจะเดินไปริมเวทีเพื่อรับช่อดอกไม้มากมายที่ผู้คนมอบให้

   ติณณ์วิ่งออกมาจากหลังเวทีพร้อมกับพิธีกรสองคน เขาแบ่งรับช่อดอกไม้ในมือภีมมาถือไว้เสียเอง ภีมยิ้มให้เป็นการขอบคุณ

   ฟินเดินหน้าชาเคียงคู่มากับน้ำหวาน “เราต้องสัมภาษณ์ภีม” น้ำหวานกระซิบบอกบทฟินที่ยืนนิ่งราวรูปปั้น

   “ไม่เห็นมีในสคริปนี่” ฟินพูดเบาๆ

   “อาจารย์เพิ่งบอกมา” น้ำหวานพูดแล้วก็เดินเข้าไปขนาบภีมทางด้านซ้าย ฟินไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากเดินไปอยู่ทางด้านขวา

   ภีมผงะไปนิดนึงเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

   “แนะนำตัวหน่อยค่ะ คนเก่งของเรา” น้ำหวานเริ่มพูดก่อน แล้วส่งไมค์ให้ภีม

   ภีมไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร จะให้วิ่งเข้าไปหลังเวทีตอนนี้ก็ขายหน้าแย่ เขาจึงต้องรับไมค์มาถือไว้อย่างงงๆแล้วเริ่มแนะนำตัวเอง

   “ฟิน พูดอะไรบางสิ” น้ำหวานกัดฟันกระซิบบอกฟินเบาๆ

   “แล้วทำไมถึงเล่นเพลงนี้ล่ะครับ” ฟินพูดออกไป

   ภีมตอบออกมาทันทีโดยที่ไม่หันมองหน้าคนถามคำถามเลย

   แล้วการสัมภาษณ์พูดคุยก็ยุติลงเพียงคำถามที่สอง ภีมเดินกลับเข้าไปหลังเวทีอย่างรวดเร็ว

   “ไม่เห็นเป็นไปตามที่บอกเลยติณณ์” ภีมพูดขึ้นเมื่อเห็นรุ่นน้องทำหน้าเศร้าที่ไม่ได้ออกไปโชว์ตัวหน้าเวที

   “ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ สงสัยพี่ภีมจะดังแล้วงานนี้ มีแต่คนอยากรู้เรื่องของพี่ทั้งนั้น วิ่งวุ่นมาที่หลังเวทีไม่หยุด” ติณณ์พูดยิ้มๆ

   ภีมส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “บ้าไปแล้ว”

   “พี่ภีมเล่นเปียโนเก่งนี่นา แถมยังเป็นแชมป์เปียโนอีกต่างหาก” ติณณ์พูดต่อ

   “เป็นแชมป์มาหลายปี เพิ่งจะมาสนใจปีนี้ คนเรานี่ท่าจะบ้า” ภีมไหวไหล่น้อยๆ “พี่กลับก่อนนะ อยู่นานเดี๋ยวเรื่องยาว” ภีมพูดพลางหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายแล้วเดินเลี่ยงออกไป

   ติณณ์คิดจะตามไปแต่ก็ต้องอยู่จัดการเรื่องทางนี้ เขาจึงทำได้เพียงมองด้วยแววตาเศร้าๆ

   ทันทีที่หมดหน้าที่ของพิธีกร ฟินก็เดินหาภีมไปทั่ว ติณณ์เห็นท่าทางกระวนกระวายนั้นก็กระซิบบอกเบาๆว่าภีมหนีกลับไปแล้ว

   ฟินถอดเสื้อนอกวางไว้ก่อนจะรีบวิ่งตามไปทันที น้ำหวานเรียกเท่าใดก็ไม่หันกลับมา

เขามั่นใจว่าภีมยังอยู่ในโรงเรียนนี้ แต่อยู่ที่ไหนล่ะ.......

   ฟินวิ่งไปที่ห้องชมรมดนตรีเป็นอันดับแรก แต่ก็ไม่พบภีม วิ่งย้อนกลับมาที่ซุ้มกิจกรรมแล้วเดินดูทีละซุ้ม แต่ก็ไม่พบ...

   จนเกือบจะถอดใจนั่นล่ะ จึงเห็นร่างสูงเพรียวบางกำลังถือปืนเล็งไปที่ส่วนหัวของเป้าเงารูปร่างคน ฟินยิ้มออกมาด้วยความดีใจก่อนจะเดินไปอยู่ทางด้านหลังของภีม

   วันนี้ภีมแม่นปืนดีเหลือเกิน ยิงแต่ละนัดล้วนแล้วแต่ถูกที่สำคัญ ภีมกัดฟันแล้วยิงนัดสุดท้ายออกไป หัวไหล่ซ้ายคือตำแหน่งที่ลูกปืนฝังอยู่

   ภีมวางปืนลงช้าๆก่อนจะยิ้มรับของรางวัลที่รุ่นพี่ส่งให้ ปืนสั้นของเล่นอันหนึ่ง... ภีมเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะหันหลังมาพบกับใครบางคนที่ยืนนิ่งอยู่

   ภีมแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินหนีทันที

ฟินเดินตามไปติดๆ

ภีมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

ฟินก็เร่งฝีเท้าจนตามทัน

“หยุดคุยกันก่อน” ฟินรั้งต้นแขนของภีมไว้

“ปล่อยเหอะว่ะ...ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” ภีมพูดเสียงแข็ง แล้วขยับฝีเท้าเพื่อเดินต่อ แต่แรงของฟินเยอะเหลือเกิน ภีมจึงก้าวไปไหนไม่ได้

   “มันเสียเวลานักหรือไงกับการที่เราต้องคุยกัน” ฟินพูด ยังคงจับต้นแขนของภีมไว้แน่น

   “เออ...เสียเวลามาก คุยไปอะไรๆมันก็ไม่ดีขึ้นหรอก ฉะนั้น...ปล่อยแขนเหอะว่ะ” ยิ่งพูด โทสะยิ่งขึ้น ภีมไม่อยากให้ตัวเองเป็นจุดสนใจของคนในงานเท่าไร

   “เราต้องคุยกัน” ฟินยังไม่ยอมปล่อย

   “ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว ชัดมั้ย” ภีมสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมนั้น ก่อนจะเดินลิ่วๆไปที่ลานจอดรถหน้างานอย่างรวดเร็ว ฟินเดินตามออกไป ระหว่างทางก็ถูกเพื่อนๆเรียกเอาไว้ถามว่าจะไปไหน แต่ฟินก็ไม่สนใจใครอีกแล้วนอกจากภีม

   “ถ้าไม่คุยจะรู้เรื่องได้ยังไง” ฟินพูดขึ้น

   ภีมหันมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วยิ้มเยาะ “รู้เรื่องแล้ว ทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้ว ฉะนั้น...จบ”

   “ฉันขอโทษ มีเรื่องให้คิดมากไปหน่อยก็เลยพูดแบบนั้น” ฟินยอมรับผิด แววตาคล้ายคนกำลังจะร้องไห้เมื่อคิดหาทางออกที่ดีในเวลานี้ไม่ได้เลย

   ภีมแสร้งทำเป็นถอนหายใจ อะไรก็ตามที่ภีมคิดว่าไม่มีวันเหมือนเดิมมันก็ยากที่จะต่อติดอีกแล้ว เช่นเดียวกับคำพูดของคน ในเมื่อมันหลุดออกมาจากปาก มันก็ยากที่จะทำใจให้คิดว่า คำพูดนั้นเกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ...

   ยิ่งคำพูดนั้นออกมาจากปากของฟิน...คนที่ไม่เคยผิดพลาดอะไรสักอย่าง ยิ่งทำให้ภีมเชื่อในถ้อยคำที่เขาพูดออกมายิ่งขึ้นไปอีก

   “แล้วกันไปเถอะ” ภีมโบกมือประกอบคำพูด ก่อนจะเดินตรงไปยังรถบีเอ็มสีดำที่มีคนขับรถนั่งรออยู่แล้ว

   “ต้องการอะไรอีกภีม จะให้ทำยังไงถึงจะเป็นเหมือนเดิม” ฟินพูดอย่างท้อแท้ใจ มันไม่สมควรจบลงด้วยคำพูดที่เขาไม่ได้ตั้งใจเพียงคำเดียว ไม่สมควรเลยจริงๆ

   ภีมหันกลับมาอีกครั้ง “ยังไงก็ไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกของฉันมันเปลี่ยนไปแล้ว”

   “มันไม่เปลี่ยนง่ายอย่างนั้นหรอก” ฟินพูดเสียงเบา หยุดฝีเท้าเพียงแค่นั้น แล้วมองดูภีมจากไป

   ฟินรู้ดียิ่งกว่าใคร แม้ภีมจะพูดอย่างนั้น...แต่มันก็ไม่ได้ตรงกับใจที่แท้จริงของเจ้าตัวเลยสักนิดเดียว

   ท่ามกลางความเงียบรอบกาย ภีมนั่งเหม่อมองออกไปนอกกระจกรถ นึกถึงคำขอโทษที่ออกมาจากริมฝีปากคู่นั้น นึกถึงใบหน้าสำนึกผิดและเต็มไปด้วยความสับสน และนึกถึงหัวใจของตัวเองที่กำลังสั่นไหวคล้ายกับต้นไม้ที่ต้องลมพายุครั้งแล้วครั้งเล่า

   แม้ว่าลมพายุครั้งนั้นจะไม่ได้แรงเท่าลมพายุครั้งก่อนแต่ก็สามารถทำให้ต้นไม้ที่ตรากตรำลมฝนมานานปีหักโค่นลงได้

   ภีมก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากต้นไม้ต้นนั้นเลย...



 :sad11: :sad11: :sad11: :sad11: :sad11:

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
รักกัน แต่ยังเข้าใจกันไม่มากพอหรือเปล่า
คงต้องเข้มแข็งกันมากกว่านี้นะ อุปสรรคข้างหน้ายังมีอีกเยอะ   :เฮ้อ:

forever-yunjae

  • บุคคลทั่วไป

tawan

  • บุคคลทั่วไป

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


อ่า... เหมือนจะมีอุปสรรคเยอะเลย อดทนนิดนึง...

 :a5: :a5: :a5: :a5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด