** เราเข็ดแล้วกับการเขียนตอนหนึ่งเกือบยี่สิบหน้าอย่างเรื่องผีเสื้อ ดังนั้น เอาตอนนึงสั้นๆ ก็พอ ฮ่าๆๆ (ที่จริงไม่ีมีอะไรจะเขียนก็บอกมาเหอะหล่อนเอ๊ยยย

)
---------------------------------------------------
Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่2
เวลาที่เขียนเรื่องออกไหลลื่น เรื่องกินเรื่องนอนนี่ผมแทบจะลืมไปเลยล่ะ เข้าทำนอง จิตอยู่เหนือกายจริงๆ แต่อย่าหมายว่าจิตอยู่เหนือกายแล้วกายจะไม่ประท้วงอะไร เพราะผมก็ไม่ใช่คนหนุ่มๆ แล้ว เพลินเพลินกับการเขียนต้นฉบับจนแทบลืมหลับลืมนอนขนาดนี้ พอล่วงเข้าวันที่สาม ร่ายกายมันก็เริ่มจะประท้วงแล้วเหมือนกัน
วันนี้ผมตื่นเช้ามาด้วยอาการปวดหัวตึ๊บ สุดท้ายก็จำต้องนอนต่อและตื่นสายโด่ง ลงมาชั้นล่างก็มึนจนแทบทำกับข้าวไม่ไหว สุดท้ายก็ได้แกงจืดตำลึง ที่ดึงใบของมันมาจากชายคาข้างบ้านหม้อหนึ่ง พอทานข้าวแล้วก็ค่อยรู้สึกยังชั่วหน่อย
เรื่องมันมีอยู่ในหัวหรอกนะ แต่พิมพ์ด้วยสภาพแบบนี้คงจะเรียบเรียงออกมาเป็นตัวหนังสือสวยงามไม่ได้แน่ๆ
ดังนั้น พอทานข้าวและเก็บจานเสร็จแล้ว ผมก็ออกไปเดินยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายตัวเองสักหน่อย ผมรู้ตัวนะ ว่านี่มันเลยวัยจะทำงานหามรุ่งหามค่ำแล้ว แต่พอคิดเรื่องออกทีไร มันก็เผลอตัวทุกที วันหลังคงต้องตั้งนาฬิกาเสียแล้วล่ะ แต่ถ้าตั้งแล้วเรื่องมันสะดุดก็คงจะหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน เอาล่ะ วันนี้ผมพักให้เต็มที่ดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ตื่นขึ้นมาเขียนต่อได้อย่างสะดวกใจ
ผมเดินรอบบ้านรอบหนึ่ง แล้วก็กลับมาเปิดดูโทรทัศน์ ดูพวกสารคดีที่มากับเคเบิล จำได้ว่ากำลังดูสารคดีเกี่ยวกับสิงโตอยู่ แต่มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นนั่นแหละ
ผมสะดุ้งเฮือก หันซ้ายหันขวา ถึงได้รู้ว่าเป็นช่วงเย็นแล้ว เงยมองนาฬิกาก็สี่โมงพอดี โทรศัพท์เจ้ากรรมยังคงแผดเสียงลั่น ผมลุกจากเก้าอี้ยาว ตรงไปรับมันอย่างคนยังไม่ตื่นนอนดี
“สวัสดีครับ”
“คุณพนิต เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” เสียงปลายสายดูคุ้นหู แต่ผมไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ เลยกรอกเสียงกลับไป “นั่นใครครับ”
“สุภาพงษ์ครับ”
“อ่อ” ผมร้องออกไป “อืม... ผมหลับอยู่น่ะ”
“ขอโทษนะครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนเจือความรู้สึกผิดอยู่สักหน่อย ไม่สิ ผมว่าเขารู้สึกผิดเลยล่ะ ตลกดีเหมือนกัน เวลาคุยกับเขาตรงๆ ผมจับความรู้สึกเขาไม่ค่อยได้ คงเพราะหน้าเขานิ่งมากล่ะมั้ง ผมกรอกเสียงกลับไป “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ มีธุระอะไรล่ะ?”
“ผมมารับคุณไปทานข้าวน่ะครับ”
“?” ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงง จากนั้นถึงพอจะนึกเรื่องราวออกได้ “ขอโทษทีนะ พอดีผมมัวแต่เขียนต้นฉบับจนลืมไปสนิทเลยล่ะ คุณอยู่ไหนแล้ว?”
“หน้าบ้านครับ ผมเรียกอยู่นาน ไม่เห็นมีเสียงตอบ เห็นทีวีเปิดอยู่ เลยกลัวว่าคุณจะเป็นอะไร”
“อ้อ ผมแค่เผลอหลับไปน่ะ” ผมตอบ รู้สึกแปลกใจดีเหมือนกัน วันนี้ดูเขาพูดมากผิดปกติ สงสัยเพราะคุยโทรศัพท์กันด้วยล่ะมั้ง จากนั้นผมถึงเบือนหน้าออกไปมองผ่านประตูมุ้งลวด สุภาพงษ์ยืนอยู่หน้าประตูรั้ว มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีส้มอ่อน ซึ่งดูแปลกตาอยู่พอสมควร เพราะปกติเขาจะใส่ทีพื้นๆ กว่านี้ ผมถึงกับต้องกะพริบตาซ้ำ เพราะคิดว่าอาจจะเพราะแสงอาทิตย์ยามเย็นก็ได้ที่ทำให้ผมเห็นสีเสื้อเขาเป็นแบบนั้น แต่เขาใส่เสื้อสีส้มอ่อนมาจริงๆ นั่นแหละ เออ แปลกจริงๆ
“เดี๋ยวผมเดินออกไปเปิดประตูให้ วางสายนะ”
“ครับ”
ผมวางโทรศัพท์ แล้วเดินไปเปิดประตูรั้วให้เขา สุภาพงษ์มีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม เออ ถ้าไม่เห็นเขาคุยโทรศัพท์จะๆ ผมไม่เชื่อแน่ว่าใช่คนเดียวกัน เขาหน้าเฉย แต่งตัวเนี๊ยบ ถึงจะสีแปลกตาไปหน่อย ก็ดูดี อืม.. เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีจริงๆ นั่นล่ะ
“คุณพนิต?”
ผมสะดุ้งเฮือก รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีว่าเผลอจ้องหน้าเขาเพลินไปแล้ว เขามองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยแบบนั้นแหละ แต่คงจะสงสัยอยู่เหมือนกันมั้ง ไม่รู้สิ ผมดูสีหน้าเขาไม่ออกหรอก
“อืม วันนี้คุณใส่เสื้อสีแปลกดีนะ” ผมพูด ตีสีหน้าจริงจังว่าแปลกใจสุดๆ เข้าสู้ เขามองผม จากนั้นก็มองเสื้อตัวเอง “ไม่ดีหรือครับ?”
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่แปลกน่ะ” ผมว่า แล้วทำท่าเป็นพินิจพิเคราะห์เสื้อของเขาอย่างจริงๆ จังๆ สุภาพงษ์ขยับตัวอย่างอึดอัด สงสัยว่าผมจะทำให้เขาเสียความมั่นใจล่ะมั้ง
“คุณพนิต”
“หืม?”
“จะไปหรือยังครับ?”
ผมมองเขา แล้วกะพริบตาปริบๆ “อืม... ผมเปลี่ยนเสื้อแป๊บหนึ่งแล้วกัน”
“ครับ” เขาตอบ เรายืนมองหน้ากันอีกครู่หนึ่ง ผมเกิดกลัวสายตาตัวเองจะแสดงความรู้สึกให้เขาเห็นมากจนเกินไป ก็เลยยอมเข้าบ้านมาเปลี่ยนเสื้อในที่สุด
เสื้อในตู้ผมมีไม่มาก แต่ไหนแต่ไร ผมไม่เคยสนใจตัวเองอยู่แล้ว ว่าจะต้องดูดีเลิศประเสริฐศรีอยู่เหนือคนอื่น ผมไม่ใช่คนหน้าตาดี แค่พอไปวัดไปวาได้ แล้วก็ไม่ใช่ชายเจ้าสำอาง กระทั่งตอนหนุ่มๆ ก็เถอะ ในเมื่อเสื้อตัวไหนก็เหมือนกัน ผมเลยหยิบเสื้อคอโปโลสีเทาออกมาตัวหนึ่ง ห้านาทีผ่านไป ผมก็พร้อมจะไปทานข้าวเย็นกับสุภาพงษ์แล้ว
“คุณพนิต” สุภาพงษ์เรียกชื่อทันทีที่เห็นผมเดินลงมา ผมมองหน้าเขา เขาก็มองหน้าผม ขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ หันหน้าแล้วเดินออกไปที่ประตู
เขาไม่ได้พูดอะไรหรอก แต่ผมชักรู้สึกสงสัยว่าเขาอยากจะพูดอะไรตอนเห็นผมเดินลงมากันแน่
“คุณสุภาพงษ์ ตะกี้คุณจะพูดอะไรหรือ?” ผมถาม หลังจากเปิดประตูเข้ามานั่งในรถของเขาแล้ว เขาหันมามองหน้าผม “อะไรหรือครับ”
ผมนิ่งไปอึดใจ แล้วก็พูดออกมา “เปล่า ไม่มีอะไร ว่าแต่จะไปทานที่ไหนล่ะ?”
สุภาพงษ์พูดชื่อร้านอาหารออกมา แต่ร้านอาหารในกรุงเทพฯมีเป็นร้อย รวมปริมณฑลเข้าไปอีก คนอย่างผมถึงจะเป็นนักเขียน แต่ก็ไม่มีปัญญาจะจำชื่อร้านอาหารทั้งหมดนี้ได้หรอก เอาว่าร้านที่เขาบอกชื่อผมไม่รู้จักก็แล้วกัน แต่ก็ดี เผื่อผมจะมีฉากเขียนนิยายเพิ่มบ้าง
สุภาพงษ์ค่อยๆ ขับรถออกจากถนนแคบๆ ในซอยบ้านผม ไปสู่ถนนใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ร่วมงานกัน ที่ผมได้นั่งรถเขา เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรหรอก เพราะสุภาพงษ์ขับรถนิ่มมาก ซึ่งก็ดูจะตรงกับนิสัยของเขาดี ไอ้ผมที่นั่งแต่รถเมล์รถแท็กซี่มาตลอดชีวิต เจอรถขับนิ่มๆ แบบนี้มันก็เลยพาลจะหลับเอาน่ะ ยิ่งเขาเปิดเพลงรุ่นผมยังหนุ่มคลอเบาๆ แบบนี้ ประกอบกับอาการพักผ่อนน้อยในหลายวันที่ผ่านมา ผมถึงกับเผลอตัวหลับไปในรถเขาจริงๆ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเขาเรียกนั่นแหละ
“คุณพนิต”
ผมพยายามปรือตาขึ้นมาอย่างคนง่วงนอน ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหน แต่พอเห็นภาพตรงหน้าก็ทำเอาผมต้องผงะตัวตามสัญชาตญาณ เอ่อ... ผมคิดไปเองรึเปล่านะ ตะกี้เหมือนว่าคนที่เรียกชื่อผมจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมตกใจเลยล่ะ
“เมื่อคืนนอนไม่พอหรือครับ” ผู้ชายหน้าตาหมดจดที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับเอ่ยถามผมด้วยสีหน้านิ่งสนิท ผมมองหน้าเขา และรู้สึกตัวขึ้นมาว่าอยู่บนรถของสุภาพงษ์ ความจริงมาเผลอหลับในรถของคนที่จะสนิทก็ไม่สนิท แถมยังเป็นเจ้านาย แล้วก็เด็กกว่าขนาดนี้ พูดไปแล้วมันก็น่าอายสำหรับคนอายุเท่าผมเหมือนกันนะ แต่ภาพที่เห็นตอนตื่นเมื่อครู่ ทำเอาผมตกใจจนลืมอายไปสนิทเลยล่ะ ผมมองเขาอีกครั้ง สุภาพงษ์นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงที่นั่งคนขับ อืม.. ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้
“จะกลับไปพักก่อนรึเปล่าครับ” เขาถาม ผมมองหน้าเขา แล้วสั่นศีรษะ “ไม่ต้องหรอก ออกมาแล้วนี่”
สุภาพงษ์มองหน้าผมอยู่พัก จากนั้นก็พยักหน้า เออ พิลึกคนจริงๆ อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ยังจะถามว่าผมจะกลับมั้ย ถ้าผมไม่ไหวจริงไม่ถ่อมากับเขาหรอก ขี้เกรงใจไม่เข้าเรื่องจริงๆ ทีไอ้เรื่องที่ควรเกรงใจล่ะไม่เคยทำจริงๆ สักที
ผมเผลอหลับในรถของสุภาพงษ์ มาตื่นอีกทีก็โพล้เพล้แล้ว แสงสีส้มแดงอาบท้องฟ้ากำลังสวย สุภาพงษ์เดินนำผมเข้าไปในร้านอาหาร ซึ่งดูจะเป็นแบบโอเพ่นแอร์ พอผมเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไป ถึงได้รู้ว่าเป็นร้านอาหารที่อยู่ติดแม่น้ำ ดูจากทัศนียภาพฝั่งตรงข้ามที่เริ่มกลายเป็นสีเทาขมุกขมัวแล้ว ผมก็พอจะเดาได้ว่าคงเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาแน่ๆ
ร้านตกแต่งแปลกตาดี เหมือนจะเป็นบรรยากาศเก่าๆ แต่ก็ไม่เชิงว่าจะเก่าเสียทีเดียว แปลกๆ แต่ก็ดูไม่ขัดหูขัดตาอะไรหรอก ผมไม่ใช่นักตกแต่งหรือออกแบบ ดังนั้นขอแค่ให้มันไม่น่าเกลียดจนเกินไปก็พอแล้ว
สุภาพงษ์พาผมเดินผ่านโต๊ะอาหารหลายสิบโต๊ะ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง มีคนนั่งทานอาหารกันอยู่พอสมควร ลมเย็นๆ ที่พัดมาจากแม่น้ำก็ทำเอาผมรู้สึกสบายตัวดี
ในที่สุดเขาก็นำผมมาถึงซุ้มเล็กๆ ที่มีโต๊ะอาหารตัวใหญ่ตัวหนึ่งตั้งอยู่ สุภาพงษ์เดินไปที่โต๊ะ จากนั้นก็หันมาหาผม แล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ “เชิญครับ”
ผมแอบอึ้งนิดๆ เออ รู้หรอกว่าเขาเชิญมาทานข้าวเพราะเกรงใจที่ผมทำกับข้าวให้เขาทานเมื่อคราวก่อน แต่... พอต้องมานั่งเผชิญหน้ากับเขานอกสถานที่แบบนี้ ผมก็แอบรู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน คงต้องพยายามระวังสายตาไม่ให้จ้องเขาจนน่าเกลียดแล้วสิ
สุภาพงษ์นั่งลงตรงเก้าอี้ตรงข้ามผม โอย คราวนี้เห็นหน้าเขาจะๆ ชัดเจนเลยล่ะ รูปหน้าเอย คิ้วเอย ปลายคางเอย ทำไมมันหมดจดน่ามองแบบนี้นะ เขาหยิบเมนูมาเปิด ขณะที่ผมนั่งจ้องหน้าเขาแบบลืมอายไปชั่วขณะ
“คุณพนิตไม่สั่งอะไรหรือครับ?” สุภาพงษ์เงยหน้าขึ้นมองผม แต่อย่าคิดว่าผมจะพลาด ผมกางเมนูมารอท่าไว้แล้ว พอเขาเงยหน้ามา ผมก็รีบก้มหน้างุด ทำเป็นจ้องเมนูอย่างจริงๆ จังๆ สักพักก็พูดออกมา “อืม.. เอาแกงส้มปลากะพงก็แล้วกัน”
“ครับ” สุภาพงษ์รับคำเสียงเรียบ ผมรออยู่ว่าเมื่อไหร่เขาจะก้มหน้ามองเมนู จะได้แอบมองหน้าเขาอีก สุภาพงษ์หน้าตาดีจริงๆ นะ ไม่รู้ว่าเขาแต่งงานแล้วหรือยัง นี่ถ้าแต่งงานแล้ว ยังต้องเจียดเวลามาทวงต้นฉบับผมอีกนี่ ผมคงทำบาปมากแน่ๆ
“จะสั่งอะไรเพิ่มอีกมั้ยครับ?” เขาถาม หลังจากเห็นผมเอาแต่ก้มมองเมนู เออ ผมไม่รู้จะสั่งอะไรแล้วล่ะ ปกติผมทานข้าวมีกับแค่อย่างสองอย่างเอง เขาน่ะสั่งไปตั้งสองอย่างแล้ว รวมของผมก็สาม ผมไม่สั่งอะไรเพิ่มดีกว่า
“คุณจะสั่งอะไรก็สั่งเถอะ ผมทานไม่เยอะ”
“ครับ” เขาตอบ จากนั้นก็บอกพนักงานจดรายการอาหารว่าพอแล้ว คราวนี้ไม่มีเมนูบังหน้า ผมเลยต้องหาเป้าหมายอย่างอื่นเพื่อมองแทนเขา ไอ้ครั้นจะก้มมองจานบนโต๊ะก็ดูจะทุเรศไป เขาอาจจะมองผมว่ากำลังหิวจัดก็ได้ ดังนั้นผมจึงมองออกไปยังท้องน้ำเจ้าพระยาที่กำลังสะท้อนแสงไฟจากสิ่งปลูกสร้างด้านข้างเป็นประกายระยับในความมืดยามหัวค่ำ
อืม... มองแล้วนึกถึงสมัยก่อนยังไงก็ไม่รู้สิ ตอนนั้นมันไม่มีอะไรเลอะเทอะระเกะระกะขนาดนี้ เรื่องหน้าลองเขียนชีวิตของเด็กที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดีไหมนะ ฉากชวนกันกระโดดสะพานเล่นน้ำกันคงดูน่ารักดี
“คุณพนิตครับ”
ผมสะดุ้งโหยง เพราะกำลังจินตนาการถึงชีวิตริมน้ำสมัยโบราณอย่างบรรเจิดอยู่ดีๆ ก็มาถูกเรียกขัดจังหวะความคิดเสียได้ พอเบือนหน้ากลับมามองก็เห็นสุภาพงษ์นั่งหน้าตายเช่นเคย
“มีอะไรหรือ?” ผมถาม เพราะเห็นเขาไม่พูดอะไรต่อ สุภาพงษ์เงียบไปอีกพัก จากนั้นก็พูดต่อได้เสียที “ต้นฉบับถึงไหนแล้วครับ?”
“.................” ผมอึ้งไปชั่วขณะ ความจริงก็น่าจะคิดได้อยู่แล้ว ว่าระหว่างเขากับผม จะคุยอะไรกัน คงไม่พ้นเรื่องต้นฉบับนี่แหละ เขาอาจจะอยากชวนผมคุย แล้วก็กระตุ้นผมไปในตัวก็ได้
“ก็ ใกล้เสร็จแล้วล่ะ พอดีวันนี้มึนนิดหน่อย เลยไม่ได้เขียนต่อ ผมส่งทันตามกำหนดแน่”
“ครับ... ยังไงก็ระวังสุขภาพด้วยนะครับ” เขาตอบกลับมาด้วยสีหน้าเฉยสนิท ผมชักนึกเซ็งว่าเขาไม่ต้องเอาคำพูดตามมารยาทมาประกอบกับสีหน้าแบบนี้ก็ได้ ดูแล้วมันชวนละเหี่ยใจพิกล เมื่อไหร่เขาจะหันไปสนใจอย่างอื่นแล้วปล่อยให้ผมมองหน้าเขาสักทีนะ
ฟ้ามืดแล้ว ไฟในร้านอาหารก็เปิดสว่าง ตรงซุ้มที่ผมนั่งกับเขาก็เปิดไฟ เป็นไฟสีส้มอ่อน แสงนวลตา พอทาบลงบนใบหน้าหมดจดนั่นแล้ว ดูน่ามองเข้าไปอีก
สุภาพงษ์นั่งอยู่ตรงข้ามผม อาหารยังไม่มา แต่เขาเริ่มมองจานแล้วล่ะ ผมนึกขำ อายุตั้งสามสิบสี่แล้ว ยังมานั่งมองจานต่อหน้าผู้ใหญ่อีก จริงๆ เขาก้มมองจานก็ดี เพราะผมจะได้มองหน้าเขาได้ แต่เห็นแล้วผมก็อดปากไม่ได้อีกนั่นแหละ
“คุณสุภาพงษ์ หิวมากหรือ?”
“?” เขาเงยหน้าขึ้นมองผม ผมปั้นหน้าขรึมไม่ทัน ก็เลยยิ้มไปตามเรื่อง เพราะไงมองหน้าเขาผมก็มีความสุขอยู่แล้ว และนี่ผมก็ตั้งใจแซวเขาด้วยน่ะ “ก็ผมเห็นคุณมองแต่จาน”
สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ “เปล่าครับ”
“อ้อ...” ผมลากเสียง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะสุภาพงษ์เลิกมองจานแล้ว หันมาจ้องหน้าผมแทน เจอแบบนี้ผมอยากจะขอโทษเขากลับจริงๆ ช่วยกลับไปมองจานต่อเถอะนะพ่อคุณ ไอ้ที่ทักตะกี้ถือว่าลมพัดก็แล้วกัน
แต่เขาไม่ใช่เพื่อนสนิทผม แล้วถึงเป็นเพื่อนสนิท ก็ใช่ว่าผมจะพูดออกไปได้จริงๆ เสียหน่อย
ขืนให้เขารู้ว่าผมชอบมองเขาแบบนี้ เดี๋ยวได้เข้าหน้ากันไม่ติดพอดี
“คุณพนิตครับ”
“หืม?”
“ชอบสีเทาหรือครับ?”
“เอ๋?” ผมมองหน้าเขาอย่างงุนงง สุภาพงษ์มองผม จากนั้นก็พูดต่อ “ผมเห็นคุณชอบใส่เสื้อสีเทาน่ะ”
ผมก้มลงมองเสื้อตัวเอง แล้วก็ร้องออกมา “อ้อ... อืม..”
เพิ่งมานึกได้เหมือนกันว่าในตู้เสื้อผ้าผมมีเสื้อสีเทาเยอะมาก ทำไมน่ะรึ ผมว่าสีมันดูหมองดีน่ะ แบบว่าเก่าตั้งแต่ซื้อมาแล้ว ซักให้ตายก็ไม่ดูเก่าไปกว่านี้หรอก จะใส่สีเข้ม เวลาไปไหนมาไหนตอนมืดๆ รถรามันจะมองไม่เห็นเอา เดี๋ยวจะกลายเป็นคนทับใต้ล้อรถ สรุปแล้วสีเทานี้แหละ สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับผมแล้ว
สุภาพงษ์กะพริบตาปริบๆ ทำท่าจะอ้าปากพูดอะไร แต่ก็ถูกขัดจังหวะจากอาหารที่บริกรยกมาเสิร์ฟเสียก่อน
เราสองคนนั่งทานอาหารกันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรอีก แน่ล่ะ ผมน่ะไม่มีอะไรจะพูดกับเขาอยู่แล้ว ส่วนเขา ไม่พูดน่ะดีที่สุด เพราะอ้าปากออกมาก็คงมีแต่คำว่าต้นฉบับเต็มไปหมด
ผมฉวยโอกาสระหว่างมื้ออาหารแอบมองหน้าสุภาพงษ์อีกแล้ว เขาหล่อดีจริงๆ ผมเริ่มคิดว่าปล่อยให้เขามาทวงต้นฉบับบ้างเดือนละครั้งก็น่าจะดี จะได้มีโอกาสมองหน้าเขาบ่อยๆ เอาจริงก็รู้สึกผิดๆ เหมือนกันนะเนี่ย เหมือนผมดูโรคจิตๆ ยังไงไม่รู้ นี่ถ้าเขามีลูกเมียแล้ว ผมคงต้องรู้สึกผิดมากกว่านี้แน่ๆ แต่ยังไม่ได้ถามเขาเลยว่ามีลูกเมียแล้วหรือยัง
“คุณสุภาพงษ์”
เขาเงยหน้าจากจานอาหารขึ้นมองผม “ครับ?”
“คุณแต่งงานหรือยังน่ะ?”
“ยังครับ” เขาตอบ ผมพยักหน้า รู้สึกโล่งใจอยู่หน่อยหนึ่ง ขณะที่กำลังจะก้มหน้าทานอาหารต่อ ทางนั้นก็พูดขึ้น “ถามทำไมหรือครับ?”
“เปล่า แค่อยากรู้น่ะ” ผมตอบ แล้วตักข้าวใส่ปาก ขณะที่กำลังนึกว่า กับข้าวร้านนี้อร่อยดี วันหลังคงต้องชวนเพื่อนฝูงมาทานบ้างซะแล้ว สุภาพงษ์ก็พูดขึ้นต่อ
“คุณพนิตครับ ที่จริงผมมีคนที่ชอบอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเล่าให้คุณฟังจะดีรึเปล่า?”
ผมเงยหน้ามองเขา อึ้งไปหน่อยหนึ่ง คือไม่ใช่ว่าอึ้งที่เขามีคนที่ชอบอยู่นะ แต่อึ้งที่คนอย่างเขามาพูดเรื่องนี้กับผม อึ้งได้แว้บเดียวเท่านั้นแหละ ความอยากรู้อยากเห็นก็ผุดตามขึ้นมาเป็นดอกเห็ด
ผมขยับตัวอย่างตั้งใจ มองหน้าสุภาพงษ์ พลางนึกว่า ดีล่ะ นี่อาจจะเป็นแรงบัลดาลใจใหม่ในนิยายของผมก็ได้ คิดได้ดังนั้นแล้ว ผมก็ตอบกลับไป “อืม.. เล่ามาสิ”
สุภาพงษ์นิ่งไปพัก จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง
“สมัยก่อน ตอนผมเด็กๆ ผมกับเพื่อนชอบไปวิ่งเล่นในสวนบ้านข้างๆ ”
“อืม...”
“เจ้าของสวนเป็นคุณลุงกับคุณป้า ใจดีมาก ลูกชายกับลูกสาวเขาแก่กว่าพวกผมหลายปี แต่ก็มาเล่นเป็นเพื่อนพวกผมบ่อยๆ บางทีก็มาเล่านิทานให้ผมฟังด้วย”
“อืม....” ผมส่งเสียง และนั่งรอให้เขาเล่าต่อ แต่เหมือนสุภาพงษ์จะลังเล สงสัยนึกไม่ออก หรือไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ประกอบกับผมเผอิญรู้สึกปวดเบาขึ้นมากะทันหัน พอเห็นเขาไม่มีวี่แววจะเล่าต่อ ให้เซ้าซี้ก็ไม่ใช่วิสัย ผมเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่กว้างอย่างกับห้องรับแขก ถึงอย่างนั้นก็สวยล่ะนะ ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้เป็นฉากอะไรได้รึเปล่า ผมทำธุระเรียบร้อย ก็เดินกลับออกมา พลางนึกว่าไม่รู้สุภาพงษ์จะอยากเล่าเรื่องของเขาต่อรึเปล่า เขาไปชอบใครกันนะ ลูกสาวคนข้างบ้านล่ะมั้ง อืม ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ..... ดูจะเป็นคนฝังจิตฝังใจจริงๆ นะเนี่ย
ผมนึกเพลินๆ ของผมขณะเดินไปที่โต๊ะ แล้วก็ขนลุกซู่ เมื่อเห็นแก้วใส่ดอกกุหลาบวางอยู่บนโต๊ะ จำได้ว่าตอนก่อนจะลุกไปไม่มีอะไรแบบนี้นี่นา ผมหันไปมองสุภาพงษ์ทันที
“กุหลาบใครน่ะ?”
“ผมขอเขามาน่ะครับ อยากจะให้โต๊ะมีสีสันหน่อย”
ผมมองกุหลาบในแก้ว กุหลาบกลีบซ้อน อย่างสวยเลยล่ะ มองแล้วไม่น่าจะขอกันได้ในร้านอาหารนะเนี่ย ผมเลยหันหน้ามามองเขา หน้าเขานิ่งสนิทเหมือนเดิม ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน
ช่างเถอะ เขาอยากจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขา หน้าเขานิ่งขนาดนี้ ผมเดาอะไรไปก็ป่วยการเปล่าๆ
ผมนั่งลงตรงข้ามเขา หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ก็หวังว่าเขาจะเล่าต่อหรอกนะ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าเขาจะเล่ารึเปล่า บางทีเขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ ครั้นจะถามเอง ก็ดูจะให้ความสนใจจนเกินไป
“คุณพนิต ที่ผมเล่าตะกี้น่ะ” เขาพูดออกมาหลังจากนั้นสักพัก ผมรออยู่แล้วก็เลยพยักหน้าออกไป “อืม.. เล่าต่อสิ”
“ครับ..” เขาส่งเสียง แล้วเม้มปากนิดๆ เหมือนยังชั่งใจอยู่อีกหน่อย ขณะที่กำลังจะอ้าปากเล่า โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันส่งเสียงขึ้นมา
“ขอโทษนะครับ” สุภาพงษ์พูด และรีบรับโทรศัพท์ ผมโบกมืออย่างไม่ถือสา ก่อนจะทานอาหารต่อ
ปรากฏว่าเหมือนโทรศัพท์ที่เข้ามาจะเป็นธุระสำคัญ สุภาพงษ์นั่งคุยอยู่ได้แว้บเดียวก็ขอตัวออกไปคุยนอกโต๊ะ ผมก็พยักหน้า ปล่อยให้เขาจัดการธุระตัวเองไป
ทานจนหมดจานแล้ว เขาก็ยังไม่กลับมา ผมกวาดตามองอาหารที่เหลือบนโต๊ะ พลางนึกเสียดาย หันไปก็เห็นสุภาพงษ์กำลังคุยโทรศัพท์หน้าเครียด เฮ้อ... เป็นนักธุรกิจก็วุ่นวายแบบนี้แหละนะ
ผมเริ่มเก็บจานวางซ้อนกันฆ่าเวลา อะไรที่จานใกล้หมดหรือหมดแล้วก็เก็บรวมๆ กันไว้ พนักงานจะได้สะดวกตอนเก็บ กว่าที่สุภาพงษ์จะกลับมา จานเปล่าบนโต๊ะก็ถูกเก็บไปหมดแล้ว เหลือแต่จานที่ยังมีเยอะ กับดอกกุหลาบดอกใหญ่ดอกนั้นแหละ
“ขอโทษจริงๆ นะครับ” เขาว่า ผมโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ เอาเถอะ ที่จริงทิ้งผู้ใหญ่ที่เชิญมาให้นั่งอยู่คนเดียวแบบนี้มันก็น่าเกลียดนะ แต่ผมเข้าใจว่ามันคงเป็นธุระสำคัญ คนอย่างเขาคงไม่คุยโทรศัพท์พร่ำเพรื่อ
สุภาพงษ์คุยโทรศัพท์แล้วกลับมานั่ง ก็มีท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดวิสัย ผมเลยถามออกไป “มีเรื่องด่วนต้องไปหรือไง จะเก็บโต๊ะเลยก็ได้นะ ผมไม่ทานอะไรแล้ว”
“อืม.... ขอโทษด้วยนะครับ” เขาพูดอีก สีหน้าดูร้อนใจจริงๆ ผมพยักหน้าอีก “ไม่เป็นไรหรอก”
จากนั้นเขาก็เรียกพนักงานมาเก็บค่าอาหาร ผมเลยลุกออกมาก่อน เดินไปรอเขาที่หน้าร้าน และถือโอกาสสอบถามทางมาด้วยรถเมล์กับพนักงานที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์เสียเลย คราวหน้าจะได้ชวนเพื่อนฝูงแวะมาบ้าง
“คุณพนิตครับ” สุภาพงษ์เรียกชื่อผม ขณะเดินจ้ำออกมาจากร้าน ผมมองเขา แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นว่าเขาหยิบดอกกุหลาบสีแดงดอกนั้นติดมือกลับมาด้วย แต่ก็นะ เขาเป็นคนสั่งมานี่นา ดอกมันก็สวย จะเอากลับบ้านก็ไม่แปลก
“จะกลับหรือยังน่ะ” ผมถามตามประสา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ามันได้เวลาแล้วล่ะ เขาพยักหน้า จากนั้นก็พาผมกลับไปขึ้นรถ
ขากลับผมไม่หลับแล้วล่ะ มัวแต่มองหน้าเขาเพลินสลับกับกุหลาบสีแดงดอกนั้น ไม่รู้ว่าอะไรดลใจผม ก่อนจะลงจากรถ ผมก็พูดกับเขาไปว่า
“คุณสุภาพงษ์ เรื่องรักสมัยเด็กน่ะ เป็นไปได้ก็ไม่ต้องไปจริงจังกับมันนักหรอก คุณลองมองหาคนใหม่ๆ ไว้ดีกว่านะ เวลาผ่านไป อะไรๆ มันก็เปลี่ยนตามทั้งนั้นแหละ”
สุภาพงษ์มองหน้าผมอึ้งๆ จากนั้นก็เรียกชื่อผมออกมา “คุณพนิต...”
“ขับรถกลับดีๆ ล่ะ แล้วก็ขอบใจมากที่เลี้ยงข้าว” ผมตอบ แล้วเดินเข้าบ้าน สักพักก็ได้ยินเสียงเขาแล่นรถออกไป ผมเผลอถอนหายใจเฮือก
ผมคิดอะไรของผมอยู่กันนะ ถึงเขาไม่มีคนที่ชอบเลย ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหันมาชอบผมสักหน่อย
ผมก็แค่ อยากจะได้มองหน้าเขาไปจนกระทั่งหมดสัญญาเท่านั้นแหละ
----------------------------------------------------------
**ทำไมไม่รู้ รักคุณพนิตจัง ถึงจะแอบสงสารคุณสุภาพงษ์อยู่นิดๆ หน่อยๆ แต่ฮาคุณพนิตมากกว่า แบบว่า เป็นจอมคิดเองเออเองจริงๆ นะเนี่ย

ส่วนคุณสุภาพงษ์ก็.... จะอ้อมค้อมไปไหนคะ ฮ่าๆๆๆ
