[แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55  (อ่าน 316430 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2016 14:57:56 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
** หนีความจริงอีกแล้วล่ะ!! (โดนคนอ่านโบก :beat:)
แบบว่าข้าพเจ้าเขียนเรื่องผีเสื้อเดี่ยวๆ ไม่ไหวจริงๆ (ยิ่งต้องทำต้นฉบับสายลับสำหรับรวมเล่มพ่วงด้วยเนี่ย นรกชัดๆ เลยนะ :sad4:)

สุดท้าย ข้าพเจ้าก็หนีความจริงอีกแล้วล่ะ!! (หนีจนนกยูงแดงจบไปเรื่องหนึ่งแล้ว หล่อนยังจะเอาอีกเร้ออออ :angry2:)

เรื่องนี้เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับนักเขียนรุ่นเดอะ (45เดอะมั้ย?) กับบก.หนุ่ม?(34) ว่าด้วยสองหนุ่มซึนต่างวัย(เรอะ?) ที่ต่างคนต่างซึน... (โอ๊ย มึนค่ะ!! :really2:)

ยังไงก็ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ส่วนเรื่องเดิม ขอบคุณที่ติดตามเหมือนกันค่ะ (แต่ห้ามทวงค่ะ ห้ามทวง!!)

----------------------------------------


Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่1

   “สายคุณสุภาพงษ์ครับ” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ พลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เมฆฝนเริ่มตั้งเค้าเข้ามาแล้ว แต่กระดาษที่สอดอยู่ในเครื่องพิมพ์ดีดตรงหน้ายังคงว่างเปล่าปราศจากตัวอักษร สักพัก เสียงปลายสายก็ตอบกลับมา “คุณสุภาพงษ์ออกไปธุระค่ะ จะฝากโน้ตไว้รึเปล่าคะ?”
   “อ้อ ครับ” ผมกรอกเสียงลงไป “ช่วยบอกเขาว่า ต้นฉบับของสัปดาห์นี้ผมส่งไม่ทันนะครับ”
   “เอ๋?” เสียงปลายสายซึ่งเป็นของเลขาหน้าห้องสุภาพงษ์ดังลอดหูโทรศัพท์ออกมา “คุณพนิตหรือคะ คุณสุภาพงษ์เพิ่งบอกว่าจะออกไปหาคุณเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ อีกสักพักคงถึงมั้งคะ... โทรมาเลี่ยงตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะคะ”
   “เอ้อ...” ผมลากเสียงค้างอย่างไร้ความหมาย “งั้นคุณอรนภาช่วยโทรบอกเขาหน่อยได้ไหมครับ แบบว่ามีงานด่วนที่บริษัทอะไรแบบนั้น ให้เขารีบกลับด่วนๆ น่ะครับ”
   อรนภาหัวเราะออกมา “คุณพนิตคะ มุขนั้นคุณสุภาพงษ์เขาไม่หลงกลแล้วล่ะค่ะ คุณพนิตหาข้อแก้ตัวเองนะคะ ดูเวลาแล้ว ดิฉันว่าคุณสุภาพงษ์คงใกล้ไปถึงแล้วล่ะค่ะ”
   ผมกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบไปดี ขณะที่ยังนั่งอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่กับโทรศัพท์และกระดาษเปล่าในเครื่องพิมพ์ดีด เสียงออดหน้าบ้านที่ดังขึ้นก็ทำเอาผมสะดุ้ง
   “แค่นี้ก่อนนะครับ” ผมพูด แล้ววางสายโทรศัพท์ จากนั้นรีบปั้นหน้าอิดโรยไปเปิดประตูบ้าน
----------------------------------------------
   “สวัสดีครับ” คนที่มากดออดประตูยกมือขึ้นไหว้ผมตามมารยาท เขาชื่อสุภาพงษ์ เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ที่ผมทำงานให้อยู่ในตอนนี้ ปีนี้คงอายุสักสามสิบสี่ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพิมพ์สายเส้นเล็กๆ ตามยาวสีดำ กับกางเกงยีนส์สีเข้ม อายุรุ่นเขา ใส่อะไรแบบนี้ก็ดูไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ ที่ด้านหลังเป็นรถเก๋งโตโยต้าสีขาว สีที่ดูแลยากที่สุดแต่เขาก็ล้างเสียวาววับทุกที ผมยกมือไหว้ตอบเป็นพิธี
   “ผมไม่ค่อยสบาย คุณมีธุระอะไรหรือ?” ผมรีบตอบไป แล้วตีสีหน้าป่วยไข้เต็มที่ ขณะเปิดประตูให้เขาเข้ามา สุภาพงษ์เป็นคนรูปร่างสูงโปร่ง ตัดผมเป็นระเบียบเรียบร้อยดี เขาเดินผ่านประตูรั้วเข้ามาแล้วก็ยกมือแตะหน้าผากผม ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก
   “ก็ไม่เห็นมีไข้นี่ครับ” สุภาพงษ์ตอบ ผมขมวดคิ้วมองเขา แค่นเสียงออกไป “ผมเพิ่งส่างไข้เมื่อตะกี้ แล้ววันหลังจะแตะตัวผมช่วยขออนุญาตก่อนเถอะ”
   “ขอโทษนะครับ” สุภาพงษ์พูด แต่ก็นั่นแหละ ฝันไปเถอะว่าเขาจะบอกอะไรผมก่อน ยิ่งโดยเฉพาะวันใกล้ส่งต้นฉบับแบบนี้ เขาคงจะทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าผมจะมีแรงปั่นต้นฉบับส่งเขาได้ทันปิดเล่ม แต่ถ้าเป็นวันปกติ ไม่ใช่ช่วงใกล้ส่งงาน เขาไม่เคยเยี่ยมหน้ามาด้วยซ้ำ เรื่องทำอะไรไม่เคารพผู้ใหญ่แบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พอผมไปที่บริษัทเขาทีไร เขาจะต้อนรับผมอย่างกับญาติผู้ใหญ่ เรียกว่าเคารพกันสุดๆ แต่ถ้าวันใกล้ส่งต้นฉบับล่ะก็ กลับกันเลยล่ะ
   “ต้นฉบับล่ะครับ ถึงไหนแล้ว?” สุภาพงษ์เอ่ยถามตั้งแต่ยังไม่เข้ามาในตัวบ้าน ผมทำหน้ารำคาญอย่างที่สุด “ผมไม่สบาย คุณไม่เห็นหรือ?”
   “ครับ แต่ผมอยากเห็นต้นฉบับ” เขายืนยัน พร้อมสีหน้าเรียบเฉยอย่างปกติ ผมนึกสงสัยตัวเองว่าทำไมถึงไม่ยอมนั่งเงียบๆ อยู่ในบ้าน ปล่อยให้เขากดออดจนเลิกไปเองนะ แต่ก็นั่นแหละ ผมเกลียดเสียงออด มีครั้งหนึ่งเขากดจนผมแทบประสาท เหลือสัญญากับเขาอีกกี่เดือนนะเนี่ย หมดสัญญานี้แล้ว ผมควรย้ายสำนักพิมพ์ได้แล้วล่ะมั้ง
   “ยังไม่เสร็จเลยน่ะ” ผมตัดสินใจตอบไปตามความจริง อาชีพของผมคือนักเขียนนิยายครับ เขียนมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ถึงไม่ดังเป็นพลุแตก ถูกเอาเรื่องไปทำเป็นบทภาพยนตร์ แต่ก็พอจะมีชื่อเสียงอยู่ในระดับหนึ่ง นิยายที่ผมเขียนส่วนใหญ่จะเป็นแนวความรักในครอบครัว บางทีก็เป็นนิยายแนวปรัชญาไปเลยก็มี เรื่องนิยายรักๆ ใคร่ๆ ไม่ใช่สิ่งถนัดของผม แล้วพอดีกับว่าสำนักพิมพ์ของสุภาพงษ์ทำหนังสือเกี่ยวกับครอบครัวเป็นหลัก เลยมาติดต่อให้ผมช่วยเขียนเรื่องลงให้ ตอนแรกๆ ก็พอจะส่งต้นฉบับตรงตามกำหนดอยู่หรอก แต่เขียนติดกันไปนานๆ เริ่มคิดเรื่องไม่ออกเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นกับเขาเจ้าแรก นักเขียนทุกคนก็ต้องมีช่วงเวลาแบบผมทั้งนั้นแหละ ติดแต่สุภาพงษ์เป็นบรรณาธิการที่ทวงต้นฉบับได้เก่งจนน่าตกใจ เขาไม่ให้คนโทรมาจิก ไม่โทรมากดดันด้วยถ้อยคำแดกดันที่ชวนให้ปาโทรศัพท์ทิ้ง แต่จะมาด้วยตัวเองแบบเงียบๆ ใช้ความเงียบและสุภาพกดดันผมแทน มันอาจจะไม่บาดใจ แต่ก็ทำให้ผมอึดอัดเหมือนกันนั่นแหละ
   “ครับ” สุภาพพงษ์พูดเสียงเรียบ “เขียนไปได้กี่หน้าแล้วล่ะครับ”
   “เจ็ดหน้า” ผมตอบ หลังจากเดินไปรินน้ำมาให้เขาแล้ว “เหลือช่วงสุดท้ายยังคิดไม่ออก”
   “ขอบคุณครับ” สุภาพงษ์กล่าวขณะรับแก้วน้ำ แล้วมองหน้าผม “ขอผมดูที่เขียนเสร็จแล้วได้ไหม?”
   พอเห็นผมนิ่ง สุภาพงษ์ก็วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ แล้วผุดลุกขึ้น ทำให้ผมต้องพลอยลุกขึ้นไปด้วย “เดี๋ยวผมหยิบให้แล้วกัน คุณขับรถมาเหนื่อยๆ ก็ทานน้ำเสียหน่อยเถอะ” ผมว่า เขาพยักหน้า แล้วยอมนั่งลงในที่สุด ส่วนผมก็จำต้องลากเท้าไปตรงโต๊ะที่มีเครื่องพิมพ์ดีดวางอยู่ ยกตุ๊กตาเรซิ่นรูปสุนัขพันธุ์ชิสุที่ใช้ทับกระดาษออก แล้วหยิบกระดาษปึกที่วางอยู่ด้านล่างขึ้นมา
   “เมื่อไหร่คุณพนิตจะเปลี่ยนไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ล่ะครับ” เสียงของสุภาพงษ์ดังขึ้นด้านหลังของผม แทบจะชิดใบหู ผมสะดุ้งเฮือก เกือบจะปล่อยต้นฉบับร่วงลงบนพื้น ด้วยความตกใจ ผมหันมาเอ็ดเขา “คุณสุภาพงษ์ วันหลังให้ซุ่มให้เสียงหน่อยสิ นี่ถ้าเกิดผมเป็นโรคหัวใจขึ้นมา จะแย่เอานะ”
   “ขอโทษครับ” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย จากนั้นก็ยื่นมือมารับต้นฉบับไปจากมือผม เรียกว่าดึงไปจากมือผมเลยมากกว่า เขาทาบมือลงบนมือผม แล้วดึงไปทั้งอย่างนั้นเลย กลัวผมจะเม้มต้นฉบับหรือไงนะ
   “ถ้าคุณพนิตเปลี่ยนมาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการพิมพ์ต้นฉบับ คุณจะมีเวลาเขียนมากกว่านี้นะครับ” สุภาพงษ์พูดหลังจากหยิบต้นฉลับไปจากมือผมแล้ว ผมสั่นศีรษะ “ไม่เอาล่ะ ผมแพ้แสงจากจอมัน อีกอย่าง วันมันก็เพิ่มมาแค่วันสองวันเองนี่”
   สุภาพงษ์มองต้นฉบับในมือแล้วพยักหน้า “ขอผมอ่านได้ไหมครับ”
   “เอาสิ” ผมว่า เขาเป็นบรรณาธิการ ยังไงก็ต้องอ่านอยู่แล้ว จะอ่านต่อหน้าหรือลับหลังผม ก็ไม่ต่างกันนั่นแหละ อ่านตรงนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าจะแก้อะไรผมจะได้แก้ได้เลยทันที
   ความจริงมีน้อยบริษัทที่บรรณาธิการจะมาตรวจและทวงต้นฉบับเองอย่างนี้ ว่าไปแล้วสุภาพงษ์เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ผมนี่สิแย่ ที่เขียนงานเสร็จไม่ทันส่งให้เขา
   แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ก็มันคิดไม่ออกนี่นา
   พอเห็นสุภาพงษ์เดินไปนั่งอ่านต้นฉบับตรงเก้าอี้ยาวที่ใช้สำหรับรับแขก ผมก็เลยนั่งปุลงหน้าเครื่องพิมพ์ดีด มองดูกระดาษเปล่าที่สอดอยู่ด้านใน โดยที่ยังคิดอะไรไม่ออกเช่นเดิม
   เฮ้อ.... เจ้ากระแตที่ไต่เถาไม้อยู่ด้านนอกหน้าต่างนั่นกำลังจะไปไหนกันนะ....
   ผมนั่งดูกระแตตัวใหญ่ สีออกน้ำตาลดำซึ่งกำลังปีนขึ้นปีนลงเถาไม้เลื้อยซึ่งพันสูงขึ้นไปบนต้นมะเฟืองซึ่งปลูกอยู่ข้างบ้าน ผมอยู่บ้านหลังนี้มาเท่าอายุของผมเองนี่แหละ พอดีว่าพ่อแม่ผมมีลูกแค่สองคน ผมเป็นลูกคนโต และน้องสาวก็แต่งงานออกไปตั้งแต่อายุยี่สิบสาม ผมเลยอยู่บ้านหลังนี้มาโดยตลอด เรียกว่าต้นไม้บางต้นก็แก่กว่าผมเสียอีก แต่ต้นมะเฟืองนี่ผมปลูกเมื่อสักยี่สิบกว่าปีก่อนล่ะมั้ง ตอนนี้มันก็ต้นใหญ่ เป็นบ้านของพวกกระรอกกระแต และนกสารพัดชนิดไปเรียบร้อย
   “คุณพนิต”
   เสียงเรียกชื่อทำเอาผมสะดุ้งเฮือก พอหันไปก็เห็นสุภาพงษ์เดินเข้ามา ในมือเขาถือกระดาษต้นฉบับ สีหน้าเรียบเฉยอีกเช่นเคย “กำลังสนุกเลยนี่ครับ ยังคิดไม่ออกหรือ?”
   ที่จริงถ้าเขาทำหน้าตื่นเต้นสนใจอีกสักหน่อย ผมอาจจะมีกำลังใจเขียนขึ้นบ้างก็ได้ แต่นี่เขาทำหน้าตาย เหมือนพูดตามมารยาทเพื่อกดดันให้ผมเขียนต่อมากกว่า ผมสั่นศีรษะ บอกเขาไปตามความจริง “ยังคิดไม่ออกหรอก เลื่อนไปเป็นสัปดาห์หน้าได้มั้ย?”
   ผมต้องส่งต้นฉบับเขาเรื่องละสองครั้งต่อเดือน ตีว่าเท่ากับมีเวลาเขียนตอนหนึ่งสองสัปดาห์ แต่ตอนนี้ผมเขียนให้เขาอยู่สองเรื่อง ถึงเรื่องหนึ่งจะส่งแค่เดือนละครั้งเพราะเป็นตอนยาวก็เถอะ ตีว่าผมแทบจะต้องส่งต้นฉบับทุกสัปดาห์นั่นแหละ
สุภาพงษ์มองหน้าผม จากนั้นก็พูดเสียงเรียบเหมือนเดิม
   “อีกแค่หน้าเดียวเองนี่ครับ”
   ผมมองหน้าเขา อยากจะพูดออกไปจริงๆ ว่า ถึงจะบรรทัดเดียว ถ้าคิดไม่ออก มันก็คือเขียนไม่ได้นั่นแหละ แล้วนี่มันก็งานที่ต้องตีพิมพ์เลย เกิดเขียนอะไรผิดพลาด มันก็จะวุ่นวายกันไปทั้งเรื่อง
   ในที่สุดผมก็ถอนหายใจเฮือก ตอบเขาออกไป “ขออีกสักสามชั่วโมงแล้วกัน”
   สุภาพงษ์มองหน้าผม ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาเรือนงามในมือ จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ตกลงครับ”
   ผมรู้ ว่าถ้าผมส่งต้นฉบับเลท มันจะพลอยทำให้หนังสือทั้งเล่มเลทไปด้วย อีกอย่าง เหลืองานแค่หน้าเดียว ผมคงยกเมฆอะไรมาอ้างส่งเขาในรอบถัดไปไม่ได้ นี่ถ้าเขาไม่ได้มาดูเอง ผมก็พอจะโมเมไปได้นั่นแหละ
   ผมหันกลับไปจ้องกระดาษเปล่าในเครื่องพิมพ์ดีดอีกครั้ง ยังมองไม่เห็นว่าจะต้องเขียนประโยคต่อไปยังไง แต่กลับเห็นรอยยิ้มที่สุภาพงษ์ยิ้มให้ผมเมื่อครู่
   ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่ยิ้มน่ารักพอดูเชียวล่ะ ติดแต่เขายิ้มเพราะผมบอกว่าอีกสามชั่วโมงนี่แหละ...
   ผมวางมือบนแป้นแคร่ แต่ก็ยังไม่กดอะไรลงไป นั่งอยู่ได้สักพัก ผมก็เรียกหาเขา “คุณสุภาพงษ์ ขอต้นฉบับที่เหลือก่อนสิ”
   “ครับ” เขาพูดเสียงเฉยเช่นเคย จากนั้นก็เอาต้นฉบับมาคืนให้ผม ผมเปิดดูตั้งแต่หน้าแรก ใช้เวลาอ่านอยู่ราวๆ สักสิบนาที จากนั้นก็หันกลับมามองกระดาษเปล่าบนเครื่องพิมพ์ดีดต่อ
   คำว่า “คิดไม่ออก” นี่เป็นปัญหายิ่งใหญ่ในชีวิตนักเขียนจริงๆ
   ผมมองกระดาษ มองต้นไม้นอกหน้าต่าง จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่มอายุสามสิบสี่ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ยาว
   สุภาพงษ์กำลังอ่านหนังสือที่สอดเอาไว้ใต้โต๊ะรับแขก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือของเขาที่ให้ผมตามธรรมเนียมที่ต้องให้นักเขียนนั่นแหละ ผมทำงานกับเขามาได้หกเดือนแล้ว ตอนนี้หนังสือที่วางอยู่ตรงนั้นก็มีแต่หนังสือเขา จะมีพวกรีดเดอร์ไดเจส ปนอยู่บ้างล่ะมั้ง แต่ส่วนใหญ่มันจะอยู่ในห้องน้ำล่ะ บ้านผมแทบจะมีหนังสือวางอยู่ทุกที่ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นงานแปล งานของนักเขียนไทยมีบ้าง แต่ก็น้อยคนที่ผมจะติดตาม
   กระดาษบนเครื่องพิมพ์ดีดของผมยังคงขาวสะอาด ผมเงยหน้ามองนาฬิกาแขวนผนัง สิบโมงครึ่งแล้ว... นี่ผมอ้างช่วงเที่ยงว่าพักทานข้าวอีกชั่วโมงได้ไหมนะ
   ผมถอนหายใจเฮือกอีก ยังคงไม่รู้ว่าจะเริ่มพิมพ์อะไรลงบนกระดาษสีขาวแผ่นนั้น ไล่มองดูนกดูสัตว์เล็กๆ ที่วิ่งวุ่นวายอยู่บนต้นไม้นอกหน้าต่างอีกครั้ง จากนั้นสายตาผมก็เบนกลับไปหาเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ...
   สุภาพงษ์กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ท่าเดิม เขาเป็นคนที่ทำอะไรได้เป๊ะตามระเบียบจริงๆ เสื้อก็รีดเรียบร้อย หน้าตาก็หมดจด อืม... เขาเป็นผู้ชายหน้าตาดีพอสมควรเลยล่ะ ตาเรียว ขนตายาว คิ้วเรียงได้รูปสวย จมูกก็โด่งกำลังดี ริมฝีปากก็บางพอสวย
   ผมมองแล้วก็ถอนหายใจอีก
   ถ้าไม่ติดว่าเขากำลังมาทวงต้นฉบับผมอยู่ ได้มองเขาแบบนี้ก็พอจะทำให้หัวใจที่โรยราลงไปทุกทีของผมพอจะสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง
   ปีนี้ ผมอยู่ดูโลกมาใกล้จะครบสี่สิบห้าปีเต็มแก่แล้ว เรียกว่าเต็มแก่จริงๆ ตอนอายุสี่สิบยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่พอมันผ่านมาเรื่อยๆ อะไรที่เคยเรียบอยู่ มันก็เริ่มจะมีร่องขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงจะหน่อยเดียวมันก็มีนั่นแหละ ผมยังไม่มีลูกมีเมีย แต่ก็ไม่หน้าด้านพอจะประกาศตัวว่าเป็นพวกไม้ป่าเดียวกันหรอก ความจริงแล้วผมก็แค่ชอบมองเท่านั้นแหละ เพียงแต่จะรู้สึกพอใจเวลาได้ดูผู้ชายหน้าตาดีๆ มากกว่าผู้หญิงอยู่สักหน่อยหนึ่ง
   เฮ้อ... ยังคิดไม่ออกเลย.........
   ผมมองกระดาษเปล่าอีกครั้ง เรื่องที่ผมเขียนอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวกระแตน้อยในสวน ซึ่งก็อาศัยไอเดียจากบรรยากาศนอกหน้าต่างนั่นแหละ ตอนที่กำลังเขียนอยู่ พ่อกระแตกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เพราะเจ้าของสวนจะตัดต้นไม้ออก เพื่อต่อเติมบ้านเพิ่ม ต้องเลือกเอาระหว่าง พาครอบครัวหนีไปหาต้นไม้อื่นอยู่ หรือจะพยายามทำให้เจ้าของบ้านเปลี่ยนใจไม่ตัดต้นไม้
   ผมไม่ใช่พ่อกระแต แต่เป็นคนเขียน ใจจริงผมอยากเลือกข้อหลัง ติดแต่ฝ่ายหนึ่งเป็นกระแต อีกฝ่ายเป็นคน ผมยังนึกไม่ออกว่าจะให้พ่อกระแตน้อยทำอะไร ถึงพอจะทำให้คนเป็นเจ้าของบ้านเปลี่ยนใจไม่ตัดต้นไม้ต้นนั้น ผมเองก็ไม่เข้าใจอารมณ์ของคนจะตัดต้นไม้เสียด้วยสิ เพราะเป็นผม ผมคงจะตัดไม่ลงหรอก เขียวชอุ่มแถมให้ร่มเงาขนาดนี้ แต่ก็นะ เรื่องมันจะต้องมีจุดตื่นเต้นบ้าง
   ผมกะพริบตาปริบๆ มองกระดาษเปล่า จากนั้นก็หันหน้าไป
   “คุณสุภาพงษ์ ขอผมถามอะไรสักหน่อยสิ”
   “ครับ” สุภาพงษ์ตอบเสียงเรียบไร้อารมณ์ แล้วเงยหน้าขึ้นมองผม หน้าเขาหล่อหมดจดจริงๆ นั่นแหละ ผมอึ้งไปพัก ถึงพอจะนึกคำถามได้
   “คุณเห็นต้นไม้นอกบ้านผมมั้ย?”
   “ครับ”
   “ถ้าคุณต้องต่อเติมบ้าน คุณจะทำไงกับต้นไม้ต้นนั้นน่ะ”
   ใบหน้าเรียบเฉยของเขาปรากฏรอยยิ้มอีกครั้ง ผมใจเต้นตุบๆ เขาคงพอจะเดาออกหรอก ว่าผมกำลังตันอย่างหนัก จนต้องมาถามหาทางออกกับเขา ก็เขาอ่านต้นฉบับไปแล้วนี่ รอยยิ้มของเขาทำเอาผมรู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก
   “เป็นผมผมจะล้อมเอานะ” เขาตอบ “เดี๋ยวนี้ต้นไม้ใหญ่เป็นที่ต้องการของตลาดแต่งสวนนะครับ ถ้ามีเงินสักหน่อยก็จ้างรถมาขุดขึ้นไปทั้งรากเลย เอาไปล้อมเอา แล้วค่อยปลูก อย่างที่ขายอยู่ตามจตุจักรนั่นแหละครับ”
   “อ้อ....” ผมร้องออกมา และนึกขึ้นได้ถึงต้นไม้ใหญ่ๆ ที่รากถูกหุ้มด้วยพลาสติกซาเลนสีดำบ้างสีเขียวบ้างพวกนั้น นึกแล้วก็น่าสงสารต้นไม้พวกนั้นจริงๆ
   “ขอบใจ”
   ผมหันกลับไปมองกระดาษเปล่าในเครื่องพิมพ์ดีดอีกรอบ เห็นหน้าพ่อกระแตลอยมาแล้ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะแป้นพิมพ์ ผสมกับเสียงตอกของจานพิมพ์ดังแต๊กๆ
   เวลาคิดเรื่องออกมันก็เหมือนผีสิง เวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ตัวเลย ผมจบบรรทัดสุดท้ายเรียบร้อย พอเงยดูนาฬิกาก็เป็นเวลาบ่ายกว่าไปแล้ว ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทันคิดอะไร สุภาพงษ์ก็เดินเข้ามา “เสร็จแล้วหรือครับ?”
   “อืม” ผมส่งเสียง และบิดลูกกลิ้งเพื่อดึงกระดาษให้เขา เออ เขาคงรอว่าเมื่อไหร่เสียงแป้นพิมพ์ดีดของผมจะเงียบล่ะมั้ง พอเงียบปุ๊บ ก็เดินมาหาทันที หรือว่าเขาจะรีบนะ มันก็น่าจะใช่อยู่หรอก เขามาทวงต้นฉบับตั้งแต่เก้าโมงกว่าแล้ว นี่ปาเข้าไปบ่าย ใครมันจะว่างมานั่งบ้านคนอื่นทั้งวันกันล่ะ งานที่บริษัทเขาก็คงมีต้องทำอีกนั่นแหละ
   “คราวหน้าผมจะพยายามเขียนให้ทันส่งก็แล้วกัน คุณไม่ต้องลำบากมาเองหรอก” ผมบอกเขา สุภาพงษ์เงยหน้าขึ้นมองผม ก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไรหรอกครับ มาเองดีกว่า”
   “...................” ผมมองหน้าเขา พลางนึกว่าผมเพิ่งส่งต้นฉบับเลทแค่สองสามครั้ง เขาก็มองผมเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบรึเปล่านะ ถึงได้พูดออกมาแบบนี้ ผมนึกหงุดหงิดใจขึ้นมาที่ต้องมาโดนเด็กรุ่นน้องแก่กว่ากันเป็นสิบปีดูถูก แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้เขาเป็นเจ้านายผม แล้วผมก็ผิดเองที่ส่งงานเลท งวดหน้าผมคงต้องพยายามให้มากกว่านี้
   แต่เรื่องคิดไม่ออกนี่มันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ ไม่มาลองเป็นนักเขียนเองคงไม่รู้
   สุภาพงษ์รับต้นฉบับไปแล้วก็ยืนอ่านตรงนั้น ผมรู้สึกอิหลักอิเหลื่อขึ้นมา เลยบอกเขาให้ไปนั่งตรงเก้าอี้ยาว จากนั้นตัวเองก็เดินไปที่โต๊ะทานข้าว ถ้าเขายังมีเวลาอ่านหน้าสุดท้าย ก็คงพอจะมีเวลาทานข้าวล่ะมั้ง เป็นต้นเหตุให้เขาเลยเวลาอาหารเที่ยงแบบนี้ ผมก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
   ผมเอื้อมมือไปเปิดฝาชี ในนั้นมีแกงเหลืองกับปลาทอดเหลืออยู่หน่อยๆ ข้าวในหม้อก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะผมไม่คิดว่าจะมีใครมาบ้านวันนี้ ก็เลยไม่ได้ทำอะไรเผื่อไว้เลย
   “คุณสุภาพงษ์ รีบรึเปล่า?”
   “ทำไมหรือครับ?” เขาเงยหน้าจากต้นฉบับขึ้นมองผม ผมมองหน้าเขา แล้วก็พูดออกมา “อยู่ทานข้าวกันก่อนไหมล่ะ เดี๋ยวผมจะทำกับข้าวเผื่อ”
   สุภาพงษ์เงียบไปพัก ทำเอาผมคิดว่าเขาเกรงใจผมรึเปล่านะ บางทีเขาอาจจะมีธุระรีบอยู่ก็ได้ แต่เพื่อความแน่ใจ และไม่เสียเวลา เขาคงต้องรีบอ่านต้นฉบับเพื่อให้ผมแก้ในทันที พอคิดได้แบบนั้นผมก็พูดออกไปต่อ
   “ผมเห็นคุณยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงน่ะ แต่ถ้ารีบก็ไม่เป็นไรหรอก”
   เขาเงียบไปอีกอึดใจ ในที่สุดก็พูดออกมา “ไม่เป็นไรหรอกครับ รบกวนเปล่าๆ เดี๋ยวผมไปทานข้างนอกก็ได้”
   “อืม..” ผมพยักหน้า ความจริงก็ไม่ได้รบกวนอะไรผมมากหรอก ถ้าเทียบกับการทวงต้นฉบับน่ะนะ แต่คนรุ่นเขา อาจจะไม่ถูกปากกับอาหารพื้นๆ อย่างที่ผมทำทานเองก็ได้ แล้วถ้าเกิดไม่ถูกปากขึ้นมา เขาก็คงต้องกล้ำกลืนลงไปเพราะเกรงใจผม ไอ้ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีฝีมือทำอาหารดีเด่อะไร พอทำเลี้ยงตัวไปวันๆ เท่านั้นแหละ
   กระเพาะผมเริ่มส่งเสียง หลังจากลืมมันไปนาน ผมก็เริ่มรู้ว่าผมเองก็หิวขึ้นมาแล้ว แต่ครั้นจะนั่งทานข้าวต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ มันก็ดูจะเสียมารยาทอยู่ ดังนั้นผมเลยเดินเลียบออกไปที่ประตูหน้าบ้าน ใจคิดว่าจะไปพ่นน้ำกล้วยไม้ที่อยู่ตรงชายคาเสียหน่อย ถ้าบ้านผมจะเต็มไปด้วยต้นไม้ ร่มรื่นอยู่พอสมควร แต่อากาศเดี๋ยวนี้ประมาทไม่ได้ นี่ยังไม่ทันเข้าช่วงหน้าร้อนดี ยังพอมีฝนบ้าง ต้นกล้วยไม้บางต้นก็แสดงอาการขาดน้ำให้ผมเห็นบ้างแล้ว
   ผมตั้งใจจะไปดูกล้วยไม้ แต่พอเดินผ่านเก้าอี้ยาวที่เขานั่งอยู่ ก็อดจะเหลือบมองเขาไม่ได้
   ผมของเขาดำสนิท ขนาดนั่งอ่านหนังสือยังนั่งตัวตรงแด่ว ดูเรียบร้อยไปทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ ผมชักเริ่มคิดว่า ถ้าเอาเขาใส่ไปเป็นตัวละครในนิยายอาจจะสนุกดีก็ได้ ติดแต่ว่าตอนนี้ผมเขียนนิยายส่งเขาอยู่สำนักพิมพ์เดียว ขืนเขียนตัวเขาลงไปด้วย ถูกจับได้แล้วมันจะมองหน้ากันไม่ติดน่ะสิ
   ขณะที่ผมกำลังคิดนั่นคิดนี่ ตาสีดำคู่นั้นก็เงยขึ้นมา และประสานกับตาของผมเข้าอย่างจัง
   ผมอึ้งไปชั่วขณะ.....
   ทำงานให้สำนักพิมพ์ของเขามาหกเดือน เจอเขามาก็หลายครั้ง เขาเองก็มาบ้านผมครั้งที่สามแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมสบตาตรงๆ กับเขา แถมยัง..........
   “ต้นฉบับมีปัญหาอะไรรึเปล่า?” ผมพูดเสียงขรึม กะว่ายังไงๆ ก็ต้องทำให้เขาเข้าใจไว้ก่อนว่าผมกำลังจ้องเขาเพราะสงสัยเรื่องต้นฉบับ พอเห็นเขาทำหน้าแปลก ผมก็รีบพูดสำทับ “ผมเห็นคุณทำหน้ายุ่งตอนอ่าน ถ้ามีปัญหาก็บอกเถอะ ผมจะได้รีบแก้”
   ความจริงผมว่าเขาไม่ได้ทำหน้ายุ่งหรอก แต่ใครมันจะไปรู้ตัวเองกันล่ะ คนเราเวลาอ่านหนังสือทำหน้าแปลกๆ โดยที่ไม่รู้ตัวทั้งนั้นแหละ
   ผมปั้นหน้าขรึม ขณะที่สุภาพงษ์ดูจะยังงงๆ อยู่ สุดท้ายเขาก็พูดออกมา “เปล่าครับ”
   ไม่มีความเห็นอะไรตามมาอีกหลังจากนั้น นอกจากเรื่องทวงต้นฉบับแล้ว สุภาพงษ์ไม่ค่อยจะพูดอะไรอีก ผมคิดว่าเขาอาจจะเป็นพวกไม่ชอบพูดอะไรที่ไม่เป็นสาระก็ได้ อืม.. ก็น่าอยู่หรอก เขาทำงานตรงแด่วเป็นไม้บรรทัดขนาดนี้ นิสัยก็สมควรจะต้องเป็นแบบนั้นแหละ
   จ้องกันอยู่พัก ผมก็เป็นฝ่ายเบือนหน้าก่อน เพราะขี้เกียจมองดวงตาที่เหมือนเม็ดนิลของเขา เขาคิดอะไรผมขี้เกียจจะเดา ให้ต้นฉบับผมไม่มีปัญหาก็พอแล้ว
   ในที่สุดผมก็ได้ออกมาดูกล้วยไม้ตรงชายคาอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตอนแรก ขณะที่กำลังมองระหว่างเมฆฝนและกระบอกฉีดน้ำ ว่าควรจะรอน้ำจากเทวดาหรือว่าช่วยเหลือตัวเองก่อนดี สุภาพงษ์ก็เดินออกมาจากตัวบ้าน “คุณพนิต... ไม่ทานข้าวหรือครับ”
   “ยังไม่หิวน่ะ” ผมตอบอย่างรักษามารยาท ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงน่ะหิวจนแสบไส้แล้ว สุภาพงษ์มองหน้าผมอยู่พัก ผมรู้สึกเหมือนเขาลังเลจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็พยักหน้า “ครับ งั้นผมกลับนะครับ”
   “อืม” ผมส่งเสียงในลำคอ นึกดีใจว่าในที่สุดจะได้ทานข้าวเสียที แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเดินพ้นชายคา ฝนก็เทกระหน่ำลงมาแบบไม่มีการอารัมภบทหรืออะไรทั้งนั้น ฝนเม็ดใหญ่หล่นปุๆ ลงมา จนสุภาพงษ์ต้องถอยกลับเข้ามาในตัวบ้าน
   “เปียกรึเปล่า?” ผมถามเขา สุภาพงษ์หันกลับมา เสื้อเชิ้ตของเขามีรอยหยดน้ำฝนเป็นหย่อมๆ ผมตัดสินใจ ให้เขากลับเข้าไปในบ้านอีกรอบ
-------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2011 17:31:31 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “เช็ดตัวก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะเป็นหวัดน่ะ” ผมพูดพลางส่งผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ให้เขา สุภาพงษ์ยื่นมือมารับผ้าพร้อมมือผมไปด้วย ไอ้นิสัยชอบรับเกินของเขานี่คงไม่ใช่จะเฉพาะต้นฉบับเสียแล้วล่ะมั้ง แต่เพราะท่าทางนิ่งๆ และขรึมสุดๆ ของเขา ผมเลยไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรออกไปดี อีกอย่าง ก็ไม่ได้เหมือนว่าเขาตั้งใจจะจับหรืออะไร คล้ายๆ กับว่ามือมันบังเอิญเลยมาโดนด้วยความเคยชินมากกว่า ผมว่าถ้าจะหาความไม่เนี๊ยบในตัวเขานะ ก็ตอนที่ยื่นมือมารับของนี่แหละ
   “คุณสุภาพงษ์ เวลาคุณรับของน่ะ รับถึงมือแบบนี้ตลอดเลยหรือ?” ในที่สุด ผมก็อดถามออกมาไม่ได้ เขามองหน้าผม จากนั้นก็พูดออกมา “ขอโทษนะครับ”
   เจอประโยคตอบไปแบบนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี จะเทศนาเขา มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น
   ฝนตกหนักมากเสียจนกระเซ็นมาถึงหน้าต่าง ผมจำต้องรีบไปปิดก่อนจะสาดโดนพื้นเปียก สุภาพงษ์เลยเดินมาช่วยปิดด้วย เสียงฝนดังจนหูอื้อ ผมปิดหน้าต่างเสร็จแล้ว ก็หันมามองเขา ก่อนจะนึกได้ว่าทั้งผมทั้งเขายังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงกันเลย เขาเองก็หันมามองผมเหมือนกัน ท่ามกลางเสียงฝนกระหน่ำ ผมจึงพูดออกไป
   “ทานข้าวที่นี่ก็แล้วกัน ฝนตกหนักๆ แบบนี้ ขับรถออกไปอันตราย”
   “ครับ” สุภาพงษ์ตกลงในที่สุด เพราะฝนมันตกหนักจริงๆ นั่นแหละ ผมเดินไปหลังบ้าน เปิดตู้เย็น มองหาวัตถุดิบมาทำกับข้าวให้เขา โชคดีมีหมูหมักเอาไว้อยู่ แล้วยังมีคะน้าที่เก็บเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานเหลืออยู่ ผมเลยตั้งหม้อหุงข้าวใหม่ แล้วก็ทำหมูทอดกระเทียมพริกไทย กับผัดผักคะน้าน้ำมันหอยให้เขาทาน
   ระหว่างที่ผมทำกับข้าว สุภาพงษ์มาถามว่าช่วยอะไรได้บ้าง ถามด้วยสีหน้าเฉยๆ ของเขานั่นแหละ ผมดูแล้วไม่เหลืออะไรให้เขาช่วย เลยบอกให้เขาไปนั่งอ่านหนังสือรอไปก่อน จากนั้นเขาก็เดินหายกลับเข้าบ้านไป แต่ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่านะ เหมือนว่าเขาจะเดินวนเวียนอยู่แถวๆ ประตูครัวนั่นล่ะ อาจจะหิวจริงๆ ก็ได้
   เรานั่งทานข้าวกันท่ามกลางเสียงฝนตกจั๊กๆ สุภาพงษ์ทานข้าวเรียบร้อยสมกับบุคลิกของเขานั่นล่ะ เขาก้มหน้าก้มตาทานอย่างคนหิวจัดที่พยายามจะรักษามารยาท ตอนแรกผมเองก็หิวเหมือนเขานั่นล่ะ แต่พอทานไปได้สามสี่คำ เงยหน้าขึ้นเห็นหน้าเขากำลังทานอย่างตั้งใจ ตาผมก็ดันไปเกาะติดอยู่กับหน้าเขาเสียอย่างนั้น
   สุภาพงษ์เป็นคนหน้าตาดีจริงๆ นั่นล่ะ นี่ถ้าเขามานั่งให้ผมมองเฉยๆ แบบนี้ทุกวันคงเจริญหูเจริญตาดี แต่เผอิญว่าเขาเป็นบรรณาธิการ แล้วที่มาก็เพราะต้นฉบับที่ส่งเลทของผม ดังนั้น ต่อให้เขาหน้าตาดีกว่านี้อีกสิบเท่า ผมมองให้ตายก็รู้สึกสบายใจไม่ได้หรอก
   ฝนซาตอนที่เรากำลังจะทานข้าวเสร็จพอดี เขารู้มารยาทอยู่ พอทานเสร็จก็ช่วยเก็บถ้วยเก็บชามไปล้าง ผมเลยปั้นหน้าขึงขัง ไปดูเขาล้างจาน ประหนึ่งเป็นบรรณาธิการมาทวงต้นฉบับอย่างไรอย่างนั้น อยากจะแกล้งเขาน่ะส่วนหนึ่ง แต่ก็อยากมองเขาเวลาล้างจานด้วยเหมือนกัน
   สุภาพงษ์แขนยาวขายาว สามสิบสี่รูปร่างยังดีอยู่ เอ่อ... ถึงผมจะสี่สิบห้า ก็อย่าคิดว่าอ้วนแผละเป็นขุนช้างอะไรแบบนั้น ถ้าอ้วนแบบขุนช้างแล้วมีเงินใช้ไม่ต้องมานั่งเขียนนิยายให้โดนทวงแบบนี้ ผมก็ยอมนะ
   ประเด็นคือผมไม่อ้วน แต่ก็ไม่ได้หุ่นดี หุ่นผมมันประมาณพวกนักเขียนทั่วไป คือผอม พยายามมองโลกในแง่ดีว่า ผอมก็ดี จะได้ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่บ่อยๆ แต่เวลาเพื่อนฝูงเจอหน้าทีไร มักจะทักว่า ถ้าไม่กินให้อ้วนบ้าง ระวังตีนกามันจะโผล่ขึ้นมาเร็วนะ เจอแบบนี้บางทีผมก็จุก แต่ผมเช็กแล้ว ตีนกาผมกับตีนกาพวกมัน ขึ้นมาพอๆ กันนั่นแหละ เผลอๆ ผมจะมีน้อยกว่าด้วยซ้ำ เพื่อนอีกคนบอกว่า เพราะผมทานอาหารถูกสุขลักษณะล่ะมั้ง
   ผักหญ้าข้างบ้านนี่ล่ะ ยอดยาดี และประหยัดเป็นที่สุด
   กว่าสุภาพงษ์จะล้างจานเสร็จ ฝนก็หยุดตกพอดี ผมที่ดูจนอิ่มอกอิ่มใจแล้วเลยอารมณ์ดีพอจะเดินไปส่งเขาขึ้นรถ จากนั้นก็ยืนมองโตโยต้าสีขาวคันนั้นขับหายไป
----------------------------------------------------------------------
   ต้องขอบคุณความขยันทวงของสุภาพงษ์ หนังสือปิดเล่มได้ทันเวลาพอดี คราวนี้ก็ถึงเวลาผมคิดเรื่องสำหรับส่งในอีกสองสัปดาห์ถัดไปแล้ว
   เดือนนี้อากาศยังไม่ร้อนเท่าไหร่ แค่พัดลมเบอร์ต่ำๆ ก็พอจะทำให้ผมสามารถนั่งพิมพ์ต้นฉบับต่อไปได้โดยไม่ทุกข์ไม่ร้อน เพราะบริเวณรอบๆ บ้านมีแต่ต้นไม้ใหญ่ บ้านผมพอถึงหน้าร้อนทีไร มักจะอากาศเย็นกว่าบ้านอื่นในละแวกเดียวกันทุกครั้ง ซึ่งความจริงแล้ว สมัยก่อน บ้านแถวนี้ก็ร่มรื่นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ แต่พอเวลาผ่านไป เปลี่ยนมือบ้าง ลูกหลานต้องการปรับปรุงบ้าง บางบ้านถอนต้นไม้ออก สร้างตึก ต่อเติมบ้านใหม่ พวกสัตว์เล็กๆ ทั้งนกทั้งกระรอกกระแตมันไม่มีที่อยู่ ก็เลยอพยพกันมาอยู่บ้านผมหมดล่ะมั้ง ตอนนี้บ้านผมนอกจากจะร่มแล้ว ยังเป็นที่อยู่ของสารพัดสิงห์สาราสัตว์อีกด้วย
   บนกระดาษในเครื่องพิมพ์ดีด มีตัวอักษรอยู่ราวๆ สองสามบรรทัดแล้ว ความจริงไม่ใช่ว่าผมจะต่อต้านเทคโนโลยีอะไร น้องสาวผมเคยเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ของหลานที่ตกรุ่นแล้วมาให้ เพราะเห็นว่าผมแค่พิมพ์งานคงไม่ต้องใช้สเป็กอะไรมาก ซึ่งก็จริง แต่ปัญหาคือผมรู้สึกว่าเมื่อยตาเวลาจ้องจอภาพ สุดท้ายก็เลยหันกลับมาใช้เครื่องพิมพ์ดีดเหมือนเดิม คอมพิวเตอร์ตัวนั้นก็บริจาคให้มูลนิธิไป
   สมัยก่อนตอนเริ่มเขียนนิยายแรกๆ ผมเขียนลงในสมุด ต่อมาก็พัฒนาเป็นเครื่องพิมพ์ดีด เพราะทางสำนักพิมพ์ขอร้องมา เนื่องจากไม่สะดวกในการแกะลายมือ อันที่จริงลายมือผมก็ไม่ได้แย่อะไร เพียงแต่บางทีพอคิดเรื่องออก มันก็ต้องรีบเขียน พอเขียนมันก็หวัด พอหวัดแล้ว จะกลับมาคัดให้มันสวยลงกระดาษใหม่ มันก็จะพาลส่งไม่ทันเอา ยังจำได้เลยว่าเครื่องพิมพ์ดีดตัวแรก เป็นของรุ่นพี่ที่รู้จักกันบริจาคให้มา แป้นติดอยู่บ่อยๆ แต่ก็พอจะใช้ได้ หลังจากนั้นพอมีเงินก็เอาไปซ่อม แล้วก็ใช้เรื่อยมา จนกระทั่งพังจนซ่อมไม่ได้แล้วนั่นแหละ ถึงได้ซื้อตัวใหม่กับเขาเสียที ตัวเดิมก็บริจาคให้พิพิธภัณฑ์ไป เพราะมาอยู่บ้านผมก็คงไม่มีใครแวะมาดูเท่าไหร่
   ผมนั่งคิดเรื่องอยู่หน้าเครื่องพิมพ์ดีด ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะติดกับหน้าต่าง สายลมเอื่อยๆ ยามบ่ายพัดมาพอให้รู้สึกสบาย มารู้สึกตัวอีกทีว่าเผลอหลับก็ตอนสะดุ้งเพราะเกือบตกเก้าอี้น่ะแหละ
   ผมกะพริบตาปริบๆ หลังจากแน่ใจว่าไล่ความง่วงไปไม่ไหวแน่ และยังอีกหลายวันว่าจะถึงกำหนดส่งต้นฉบับ จึงพาตัวเองมางีบหลับตรงเก้าอี้ยาวที่ใช้รับแขก
   บ้านผมมีบริเวณอยู่ แต่ตัวบ้านค่อนข้างจะเล็ก สมัยก่อนตอนมีกันครบครอบครัวก็ใช้ลานบ้านทำนั่นทำนี่ พอเหลือผมตัวคนเดียว ลานบ้านก็กลายเป็นที่ปลูกต้นไม้ไป ที่ใช้อยู่จริงๆ ก็คือส่วนของตัวบ้านที่เป็นไม้กึ่งปูน ซึ่งผมสร้างขึ้นใหม่โดยอาศัยไม้จากบ้านหลังเดิม และเงินทุนจากเพื่อนฝูงที่ขอยืมมาในสมัยนั้น ก็สักเกือบยี่สิบปีได้แล้วล่ะมั้ง ตอนนี้ก็เริ่มเก่าไปตามเวลา แต่สภาพยังสมบูรณ์ดีอยู่
   ขณะที่ผมกำลังเคลิ้มๆ หลับ ก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อได้ยินเสียงเรียกแว่วๆ
   “ลุง! ลุงอยู่มั้ยครับ”
   ผมกะพริบตาอยู่พักหนึ่ง พลางหรี่ตาผ่านประตูมุ้งลวดออกไปยังประตูรั้ว ที่ด้านนอกประตู เด็กผู้ชายอายุหกเจ็ดขวบสองสามคนยืนออกันอยู่ ได้ยินเสียงตัวเองตะโกนกลับไป “อยู่ รอเดี๋ยวนะ”
   จากนั้นก็กุลีกุจอไปล้างหน้า แล้วออกไปเปิดประตูให้เด็กพวกนั้น
   ถัดจากบ้านผมไปไม่เยอะเท่าไหร่ เป็นตึกแถวให้เช่า เปิดให้เช่ามาตั้งแต่สมัยผมยังหนุ่มๆ ซ่อมและต่อเติมไปก็หลายรอบแล้ว ปัจจุบันก็ยังมีคนมาขอเช่าอยู่ เจ้าเด็กพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกคนในบ้านเช่าน่ะแหละ เห็นบ้านผมดูร่มรื่นดีล่ะมั้ง เลยชอบมาเล่นกัน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว แล้วผมเองก็ชอบเวลามีเด็กๆ มาเล่นที่บ้าน ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานแล้วมันทำให้ผมรู้สึกสดชื่นดีน่ะ
   “ลุงครับ แม่ผมทำมาเผื่อ”
   เจ้าเด็กน้อยคนหนึ่งที่รู้สึกจะชื่อว่าปอนด์ยื่นถ้วยใบหนึ่งมาให้ผม ด้านในเป็นต้มข่าไก่ดูน่าอร่อย ผมบอกขอบใจ จากนั้นก็รับถ้วยมาจากเขา หายเข้าไปในบ้านเพื่อถ่ายต้มข่าไก่ในถ้วยใส่ถ้วยตัวเอง จากนั้นก็ล้างถ้วย แล้วเอาออกมาคืน
   “นี่ เดี๋ยวขากลับฝากน้ำเต้าไปให้แม่ด้วยสิ มันกำลังออกงามเลย เดี๋ยวลุงเก็บไว้ให้”
“ครับ” เจ้าเด็กน้อยรับปากอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะขอผมไปเล่นตรงต้นก้ามปูต้นใหญ่ที่ด้านล่างมีบริเวณพอสมควร กิ่งบางกิ่งของพวกมันผูกชิงช้าเอาไว้ สมัยก่อนผมกับน้องเล่น พอผมโตขึ้น ก็ให้เด็กแถวนี้เล่นกันต่อ ชิงช้าน่ะเปลี่ยนเชือกเปลี่ยนกระดานไปหลายรอบแล้ว แต่กิ่งที่แขวนก็ยังใช้กิ่งเดิม แถมแข็งแรงขึ้นทุกปีด้วย ด้านล่างต้นไม้ นอกจากชิงช้าแล้ว ผมยังวางม้านั่งและโต๊ะหินเอาไว้ เผื่อเพื่อนฝูงมาแล้วจะได้ตากบรรยากาศบ้านสวนกลางเมือง ระลึกอดีตเก่าๆ
พวกเด็กๆ เริ่มเล่นชิงช้ากัน บางคนก็เล่นวิ่งไล่จับกัน ส่งเสียงโหวกเหวกไปหมด ผมเดินไปตรงสวนครัวเล็กๆ ด้านหลัง แล้วเด็ดน้ำเต้าที่กำลังสุกได้ที่สองลูก เพื่อจะเอาไปฝากเจ้าของต้มข่า พอดีตอนหันหน้ากลับมา เห็นกอต้นกล้วยกำลังออกใบสวย คงเพราะได้น้ำฝนเมื่อวันก่อน ผมเอาน้ำเต้าไปวางตรงโต๊ะเล็กหน้าบ้าน แล้วหยิบมีดออกมาจากครัว ตรงไปที่ต้นกล้วย แล้วฟันก้านใบมันลงมาสามสี่ใบ จากนั้นก็เอามีดเฉือนใบออก บากโคนนิดหน่อย จากนั้นก็จับหัก สักพัก ในมือผมก็มีม้าก้านกล้วยสามตัว พร้อมจะเอาไปเป็นอุปกรณ์เสริมการเล่นของเจ้าเด็กพวกนั้นแล้ว
“อะไรน่ะลุง” เด็กคนหนึ่งถาม เมื่อเห็นผมเดินออกมาพร้อมก้านกล้วยสามอันในมือ
“ม้าก้านกล้วย” ผมว่า “เคยเห็นรึเปล่า?”
“เคยเห็นในหนังสือ” เด็กผู้ชายอีกคนตะโกนตอบมา แล้วผละจากชิงช้า ตรงมาหาผมทันที “ลุงทำมาเหรอ โห.. ขอผมนะ”
“ขอผมด้วย”
ปรากฏว่าม้าก้านกล้วยของผมได้รับความนิยมดีเกินคาด ผมเลยต้องไปตัดใบกล้วยมาอีก จนได้กันครบทุกคนนั่นแหละ
พวกเด็กๆ เล่นกันเสียงดังโหวกเหวก ฟังดูมีชีวิตชีวาดี แต่เสียงดังขนาดนี้ ผมคงเขียนนิยายต่อไม่ได้หรอก ก็เลยออกมาเดินดูนั่นดูนี่ ใส่ปุ๋ยต้นไม้บ้าง ตัดกิ่งบ้าง รดน้ำบ้าง พลางคอยดูว่าเจ้าเด็กพวกนี้จะเล่นอะไรหวาดเสียวจนดูอันตรายเกินไปรึเปล่า
ฟังดูเหมือนบ้านผมจะเป็นบ้านนอก หรือว่าอาจจะยังไม่ได้รับการพัฒนา แต่บ้านผมอยู่ในเมืองน่ะ กรุงเทพฯนี่เอง อยู่ในย่านชุมชนเก่า สมัยก่อนเป็นสวนเยอะ เวลาผ่านไป อะไรๆ มันก็เปลี่ยนตาม ถึงสมัยนี้เหลือบ้านร่มๆ มีต้นไม้แบบผมอยู่ไม่กี่หลังแล้ว มีของผมหลังหนึ่ง แล้วของพี่สองคนที่ทำไร่ส้มอยู่ซอยถัดไป
เจ้าเด็กพวกนี้ แรกๆ มาก็ทโมนน่าดู มาขโมยเด็ดดอกไม้บ้างอะไรบ้าง ผมเลยเปิดบ้านให้เข้ามาเล่น จากนั้นก็ค่อยๆ สอนกันไป เด็กๆ น่ะสอนง่ายหรอก พูดอะไรให้ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เดี๋ยวก็เชื่อและก็ทำตามแล้ว จะสอนอะไรก็สอนกันเสียแต่อายุยังน้อยนี่แหละ
ความจริงผมเองก็ชอบเลี้ยงเด็กนะ น้องสาวยังเอาหลานมาฝากให้ผมเลี้ยงอยู่หลายปีเลย แต่ผมไม่ยักคิดจะอยากมีลูกเป็นของตัวเองสักที คงเพราะไม่แน่ใจว่าจะดูแลแม่เด็กได้ตลอดรอดฝั่งล่ะมั้ง
ก็ชีวิตผมมันเอื่อยเฉื่อยไปวันๆ แบบนี้ เลี้ยงตัวเองมาได้ก็เป็นบุญถมถืดแล้ว
แถมผมยังไม่เคยเจอใครถูกใจขนาดอยากแต่งงานด้วยสักคน อย่างมากก็แค่ชอบมองเท่านั้นแหละ

ขณะที่ผมกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวนหลังบ้าน ท่ามกลางเสียงเจี๊ยวจ๊าวของพวกเด็กๆ เจ้าเด็กคนหนึ่งก็วิ่งมาหาผม “ลุง มีคนมาหาแน่ะ”
“ใครน่ะ” ผมถามกลับไป
“ไม่รู้จักเหมือนกัน เป็นผู้ชายสูงๆ ขับรถสีขาวมาน่ะ”
“หืม?” ผมมองเด็ก พลางพูดตอบ “นี่ เวลาพูดกับผู้ใหญ่น่ะ ต้องมีครับด้วยรู้มั้ย?”
“ครับ” เจ้าเด็กน้อยตอบ “ผมไม่เคยเห็นหน้าเขาน่ะ เลยบอกให้รอด้านหน้าก่อน แม่ผมบอกว่าคนแปลกหน้าเดี๋ยวนี้อันตราย แต่เขาบอกว่ามาหาเจ้าของบ้าน คงจะเป็นลุงน่ะ..อ้อ ครับ”
“อ้อ เดี๋ยวลุงออกไปดูแล้วกัน” ผมว่า แล้วเอาบัวรดน้ำไปแขวนเก็บ จากนั้นก็เดินตรงไปที่ประตูรั้ว

“สวัสดีครับ” คนที่ยืนหน้าประตูรั้วพูดและยกมือไหว้ทันทีที่เห็นหน้าผม ผมอึ้งไปหน่อยหนึ่ง ถึงขั้นอยากเดินกลับไปเปิดปฏิทินในบ้านว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่กันแน่
“เอ่อ.. สวัสดี มีอะไรหรือ?” ผมถามกลับ พลางนึกสงสัยว่ามีเหตุอะไรทำให้สุภาพงษ์มาปราฏกตัวที่บ้านผมวันนี้ แถมยังเป็นช่วงเย็นอีก ปกติเขาจะมาวันใกล้ส่งต้นฉบับ และจะมาตั้งแต่ช่วงเช้า
หรือว่าต้นฉบับจะมีปัญหา แต่หนังสือมันออกไปแล้วนี่นา ฉบับพิพม์จริงเพิ่งส่งมาถึงมือผมเมื่อวานนี้เอง
“ผมอยากชวนคุณพนิตไปทานข้าวน่ะครับ” สุภาพงษ์ตอบ ผมเกือบจะร้องหาออกไป เพราะตกใจคิดว่าฟังอะไรผิด เขาว่าไงนะ ทานข้าว? หรือจะบอกเลิกสัญญาผมกลางคัน? เคยมีกรณีแบบนี้เหมือนกัน ที่เจ้าของสำนักพิมพ์หรือบรรณาธิการชวนผมไปทานข้าว แล้วจบลงด้วยการแก้ไขสัญญาหรือบอกยกเลิกอะไรทำนองนั้น
ผมจ้องเขาเขม็ง ก่อนจะพูดตอบไป “มีอะไรพูดกันที่นี่ก็ได้ ไม่ต้องเสียเงินเสียทองขนาดนั้นหรอก ผมไม่ใช่คนคุยยากอะไร”
สุภาพงษ์ดูจะอึ้งไปอยู่เหมือนกัน คงไม่คิดว่าผมจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้ล่ะมั้ง ผมรอเขาพยักหน้า จะได้บอกให้เด็กๆ พวกนี้กลับบ้านไปก่อน ระหว่างที่ผมคุยธุระกับเขา
“คุณพนิตครับ ผมไม่ได้มีธุระอะไร...” สุภาพงษ์เงียบไปพัก แล้วก็พูดออกมา “ผมแค่อยากเลี้ยงตอบแทนค่าที่คุณทำอาหารให้ผมทานวันก่อน”
“อ้อ...” ผมหน้าแตกสนิท นึกไม่ถึงว่าเขาจะมีจิตสำนึกมากมายขนาดนี้ เขาคงพูดถึงอาหารมื้อจำเป็นที่ผมทำให้เขาเมื่อคราวฝนตกวันนั้นล่ะมั้ง
ผมปั้นหน้าขรึม รุ่นนี้แล้ว ผมไม่มีอาการเคอะเขินหรืออะไรออกไปให้ยิ่งเสียหน้ามากกว่าเดิมหรอก
“ไม่เป็นไร เรื่องนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ผมตอบเขา พยายามแสดงบทผู้ใหญ่ใจกว้างเต็มที่ ที่จริงผมก็ใจกว้างอยู่แล้วนะ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะมาชวนผมทานข้าว เพราะอยากจะตอบแทนมื้ออาหารเท่านั้นแหละ
สุภาพงษ์นิ่งไปอีกพัก ในที่สุดก็พูดออกมา “ไม่สะดวกหรือครับ?”
ผมอึ้งไปบ้าง สะดวกมั้ยน่ะเหรอ ถ้าเขาไปรับไปส่งผมถึงที่ผมก็สะดวกทั้งนั้นแหละ เพราะปกติผมไปไหนมาไหนก็ขี่จักรยาน ไม่ก็นั่งรถเมล์เอา แบบนั้นผมยังไม่คิดว่าไม่สะดวกเลย เพียงแต่...
“ผมว่ามันเรื่องเล็กน้อยนะ คุณสุภาพงษ์ คุณไม่ต้องเก็บเอาไปคิดให้มากนักหรอก ข้าวแค่มื้อเดียวเอง”
สุภาพงษ์นิ่งไปอีก หน้าเขาก็เฉยเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ผมว่าผมเห็นเขาเม้มปากนิดๆ นะ บางทีอาจจะรู้สึกเสียความมั่นใจล่ะมั้ง ไม่รู้จะคิดมากอะไรนักหนา กับแค่ข้าวมือเดียวเท่านั้นเอง เขาอายุสามสิบสี่แล้ว อาจจะดูเป็นผู้ใหญ่ในสายตาหลายคน แต่ในสายตาผม เขาก็เป็นเด็กคนหนึ่งนั่นแหละ
“อืม... จะไปทานที่ไหนล่ะ?” ผมถามกลับไป ใจตกลงว่าจะไปทานข้าวกับเขาล่ะ ไหนๆ เขาก็ตั้งใจมาชวนขนาดนี้แล้ว แต่จะตกลงเลยก็ใช่ที่ มันก็ต้องมีถามรายละเอียดกันพอเป็นพิธีสักหน่อย
“คุณพนิตอยากทานที่ไหนล่ะครับ?” สุภาพงษ์พูดตอบทันที ถ้าผมฟังไม่ผิด ผมว่าน้ำเสียงเขาดูดีใจอยู่นะ แต่ผมอาจจะฟังผิดก็ได้ เพราะหน้าเขาเฉยสนิทเหมือนเดิม
“คุณไม่ได้คิดที่ไว้แล้วหรือไง?”
“คุณพนิตเลือกเถอะครับ”
ผมมองเขางงๆ ปกติจะชวนใครไปทานข้าว มันก็ต้องนึกที่ไว้แล้วสิ ไม่ใช่มาบอกให้คนถูกชวนนึกที่แบบนี้ ยิ่งโดยเฉพาะชวนผู้ใหญ่อย่างผมด้วยแล้ว เขาควรจะมีมารยาทมากกว่านี้หน่อย
“ถ้ามันฉุกละหุกขนาดนี้ล่ะก็ ไม่ต้องลำบากหรอกนะ คุณสุภาพงษ์ ผมคิดว่ารบกวนเปล่าๆ ”
สุภาพงษ์เม้มปาก คราวนี้เขาเม้มให้ผมเห็นจริงๆ ผมถึงกับกะพริบตาปริบๆ แล้วนึกว่าเขาใช่สุภาพงษ์คนเดียวกับที่มาทวงต้นฉบับผมแน่หรือ?
“ขอโทษนะครับ งั้น ผมลานะครับ”
“อืม..” ผมพยักหน้า และยกมือไหว้ตอบเขา ยังงงๆ อยู่เหมือนกัน เขามา บอกว่าจะชวนผมไปทานข้าว แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้เตรียมอะไร พอโดนผมตอกหน่อยหนึ่ง ก็รีบลากลับไปเลย เป็นอะไรของเขานะ เห็นมาหลายเดือนไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้นะเนี่ย
---------------------------------
   สุภาพงษ์กลับไปแล้ว พวกเด็กๆ ก็ยังเล่นกันที่บ้านผมต่อจนใกล้ค่ำ ผมจึงต้องบอกให้กลับบ้านกลับช่องกัน บางคนก็พ่อแม่มาตามเองเลย ผมไม่ลืมเก็บผักเก็บหญ้าที่ปลูกเอาไว้ฝากพ่อฝากแม่เด็กพวกนั้นเผื่อจะเอาไปทำนั่นทำนี่ด้วย
   จัดการเก็บกวาดลานที่พวกเด็กๆ ใช้เล่นเสร็จ ฟ้าก็มืดสนิทพอดี ผมเข้าบ้านไปอาบน้ำ ทานข้าวต้มรองท้องก่อนนอนชามหนึ่ง แล้วนั่งปุลงหน้าเครื่องพิมพ์ดีด จากนั้นก็เริ่มพิมพ์ต้นฉบับต่อ
   ระหว่างที่กำลังอินจัดจนน้ำตาแทบร่วง ในตอนที่เด็กหญิงพิมชนกกำลังจะต้องจากบ้านหลังเก่าไปอยู่กับย่า เพราะหนี้สินที่พ่อก่อไว้ทำให้บ้านต้องถูกยึด จู่ๆ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งเฮือก แทบจะอุทานออกมา ก่อนจะเดินไปรับโทรศัพท์ด้วยอาการอารมณ์เสียอยู่พอสมควร
   “สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงลงไป พลางคิดว่าใครก็ตามที่โทรมา ถ้าเป็นธุระไม่ได้เรื่องล่ะก็ ผมจะด่าให้เช็ดเลย
   “สวัสดีครับคุณพนิต ผมสุภาพงษ์นะครับ” ปลายสายตอบกลับมา ผมถึงกับกลืนน้ำลายอย่างลืมตัว สุภาพงษ์? คราวนี้อะไรอีกล่ะ ปกติเขาไม่เคยโทรหาผมหรอก ขนาดบ้านผมเขายังมาถูกโดยไม่เคยโทรถามเลย วันนี้นึกอะไรจู่ๆ ถึงโทรมานะ ตอนเย็นก็มาหนหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือไง
   “มีธุระอะไรน่ะ ผมกำลังเขียนต้นฉบับอยู่” ไม่ใช่ว่าผมอ้างเพื่อให้ตัวเองดูขยันนะ เพราะผมกำลังเขียนต้นฉบับอยู่จริงๆ อย่างลื่นไหลเสียด้วย ถ้ามันเกิดขาดตอนและติดขัดไป ก็โทษเขาได้เลย
สุภาพงษ์เงียบไปพัก สงสัยจะอึ้งที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้ผมต้องลุกจากเครื่องพิมพ์ดีดออกมา ผมก็รอฟังว่าเขาจะพูดเรื่องอะไรแน่ อึ้งไปพักเดียว ทางนั้นก็พูดตอบกลับมา “วันพฤหัสฯนี้ไปทานข้าวเย็นกับผมนะครับ ผมจะขับรถไปรับ”
“เรื่องนี้อีกแล้วหรือ?” ผมถามกลับไป ได้ยินทางนั้นตอบกลับมาทันควัน เหมือนว่าเตรียมตัวเอาไว้แล้ว “ครับ มานะครับ”
“อืม..” ผมส่งเสียง พลางนึกประหลาดใจกับความตั้งอกตั้งใจแบบแปลกๆ ของเขา
“ก็ได้ เลือกที่ไว้แล้วยัง?”
“ครับ เรียบร้อย”
“อืม...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรอีก เขาเองก็คงไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกันล่ะมั้ง เราสองคนเงียบไปสักพัก สุดท้ายเขาก็พูดตอบมา “งั้นแค่นี้นะครับ”
“อืม” จากนั้นผมก็วางสาย แล้วถอนหายใจเฮือก

กะอีแค่กับข้าวมื้อเดียว มันจะอะไรกันนักหนานะ....
ไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ
-------------------------------------------------------
**แอบกรี๊ดคุณพนิต ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใส่แว่น ไม่น่ารักอย่างคุณไพฑูรย์ แถมแอบหื่นนิดๆ โรคจิตหน่อยๆ แต่ไม่ขนาดหงคงฉ่วย แต่แอบกรี๊ดอ่ะ สงสัยเพราะเราหัวอกเดียวกันกับคุณพนิต :o8: (โดนคนอ่านกระทืบทันใด!! :z6:)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2011 21:18:04 โดย juon »

ออฟไลน์ วิหคท่องนภา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
กรี๊ดดดดด!!!  เล่นตัวซะ 5555+   ตอนแรกสงสารที่โดนเด็กแอบแต๊ะอั๋ง   แต่ตอนนี้สงสารคุณ บก.แทนแล้วล่ะค่ะ โดนผู้ใหญ่ว่าบ่อยจริงจริ๊ง

ออฟไลน์ Lilyrum

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
น่าสนุกมากๆเลยค่ะ

มาอัพต่อเร็วๆน้า  :bye2:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
กริ๊ดดดดดดดดดดดด หนุ่มเคะรุ่นลุง(ที่จริงก็ลุงทั้งคู่)
ชอบบบบบบบบบบ

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
 :impress2: กรี๊ดด้วยคน
แอบสงสารคุณ บก

ออฟไลน์ nolirin

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +274/-5
กรี๊ดดดดดดดดดดด เรื่องใหม่ของคุณ Juon แปะก่อนอ่าน เดี๋ยวกลับมาเม้นค๊า
รัก(เกือบ)ต่างวัย  :m3: คุณนักเขียนก็แอบมองเค้า คุณบก.ก็แอบจับมือ ถือว่าเสมอกันเนอะ
เด็กเค้ามาชวนไปกินข้าวคุณลุงก็ตัดเค้าซะ ดีน่ะคุณสุภาพงษ์ไม่ถอดใจไปซะก่อน


อันนี้คาดว่าพิมพ์ตกนะคะ
ฝนตกหนักมากเสียจนกระเซนมาถึงหน้าต่าง
เปิดตูเย็น
ใส่ปู๋ยต้นไม้บ้าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2011 19:43:12 โดย nolirin »

meawza

  • บุคคลทั่วไป
คุณ บก. พยายามเข้าน่ะค่ะ !!! o13

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
โหะโหะ แบบนี้เราชอบบบบบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ powvera

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
บก.ขยันชวนคุณพนิตไปทานข้าวมันต้องมีอะไรแหงมๆ   :impress2:    :impress2:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
กรี๊ดดดดดดดดด
ให้คอแตก  :laugh:
ชอบจริงชอบจังที่นายเอกอายุมากๆเนี่ย
แต่ตอนนี้รู้สึกสงสารสุภาพงษ์เล็กน้อย
ว่าแต่ตั้งชื่อเชยได้ใจจริงๆ ทำให้เข้าถึงความแก่ของตัวละคร :z2:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
กรี๊ดดดดดดดดด
ให้คอแตก  :laugh:
ชอบจริงชอบจังที่นายเอกอายุมากๆเนี่ย
แต่ตอนนี้รู้สึกสงสารสุภาพงษ์เล็กน้อย
ว่าแต่ตั้งชื่อเชยได้ใจจริงๆ ทำให้เข้าถึงความแก่ของตัวละคร :z2:

ถนัดอะไรแบบนี้ค่ะ (ภูมิใจดีไหมเนี่ย=[]=!!)

ปล. คอมเม้นต์คำผิดของคุณnorillinแก้ให้เรียบร้อยแล้วนะคะ^^ ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Goldfishmaron

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
ชะๆ มีหญ้าแก่มาให้เคี้ยวเล่นอีกแล้ว o13
มิพลาดๆ
 
+1เป็ดค่ะ

zhiki

  • บุคคลทั่วไป
แก่อีกแล้ว.................  :a5:


เจ๊ก็แก่ๆตลอดอ่ะ  :laugh: เขียนเด็กๆไม่ได้มันสวนกับอายุจริง  o18



จิ้มครับ +1ด้วยๆ มาม่ะ กอดเจ๊  :กอด1:

ชอบครับ ชอบบ  :-[ ชอบคาแรกเตอร์สุภาพงษ์.. แต่คาแร็กเตอร์พนิต .... คุ้นๆเลยเนอะ  o22
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2011 03:14:08 โดย zhiki »

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :-[
อารมณ์แบบบ้านๆ  เหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กๆ

ออฟไลน์ RoseBullet

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1027
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
ตามมา*กรี๊ดดด*ด้วยคนค่ะ
โฮกกก เคะสว. อีกแล้ว
โดนใจอย่างจัง ชอบนักแลแนวเคะแก่(ประสบการณ์) กร๊ากกกก

คิดถึงพี่ไพกับคงฉ่วยจัง จ๊วบๆ (พูดถึงเฉยๆจ้า ไม่ได้มีนัยสำคัญ กรั่กๆๆ)
ส่วนเรื่องผีเสื้อขอมีเวลาว่างเยอะๆหน่อย จะตามโลดเลยจ้า

เป็นกำลังใจให้ต่อไปค่ะ
(ท่องในใจ : ไม่ทวง ไม่ทวง ฮ่าๆๆๆ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2011 02:44:26 โดย RoseBullet »

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เมื่อก่อนไม่ค่อยนิยมคนมีอายุเท่าไรนัก อ่านแล้วไม่ค่อยเร้าใจเลย  แต่พอได้มาอ่านเรื่องของคุณ juon  กลายเป็นตกหลุมรักคนแก่ซะแล้วเรา เพิ่งรู้ว่า คนแก่ก็น่ารัก  :z1:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
** เราเข็ดแล้วกับการเขียนตอนหนึ่งเกือบยี่สิบหน้าอย่างเรื่องผีเสื้อ ดังนั้น เอาตอนนึงสั้นๆ ก็พอ ฮ่าๆๆ (ที่จริงไม่ีมีอะไรจะเขียนก็บอกมาเหอะหล่อนเอ๊ยยย :angry2:)
---------------------------------------------------

Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่2

   เวลาที่เขียนเรื่องออกไหลลื่น เรื่องกินเรื่องนอนนี่ผมแทบจะลืมไปเลยล่ะ เข้าทำนอง จิตอยู่เหนือกายจริงๆ แต่อย่าหมายว่าจิตอยู่เหนือกายแล้วกายจะไม่ประท้วงอะไร เพราะผมก็ไม่ใช่คนหนุ่มๆ แล้ว เพลินเพลินกับการเขียนต้นฉบับจนแทบลืมหลับลืมนอนขนาดนี้ พอล่วงเข้าวันที่สาม ร่ายกายมันก็เริ่มจะประท้วงแล้วเหมือนกัน
   วันนี้ผมตื่นเช้ามาด้วยอาการปวดหัวตึ๊บ สุดท้ายก็จำต้องนอนต่อและตื่นสายโด่ง ลงมาชั้นล่างก็มึนจนแทบทำกับข้าวไม่ไหว สุดท้ายก็ได้แกงจืดตำลึง ที่ดึงใบของมันมาจากชายคาข้างบ้านหม้อหนึ่ง พอทานข้าวแล้วก็ค่อยรู้สึกยังชั่วหน่อย
   เรื่องมันมีอยู่ในหัวหรอกนะ แต่พิมพ์ด้วยสภาพแบบนี้คงจะเรียบเรียงออกมาเป็นตัวหนังสือสวยงามไม่ได้แน่ๆ
   ดังนั้น พอทานข้าวและเก็บจานเสร็จแล้ว ผมก็ออกไปเดินยืดเส้นยืดสายผ่อนคลายตัวเองสักหน่อย ผมรู้ตัวนะ ว่านี่มันเลยวัยจะทำงานหามรุ่งหามค่ำแล้ว แต่พอคิดเรื่องออกทีไร มันก็เผลอตัวทุกที วันหลังคงต้องตั้งนาฬิกาเสียแล้วล่ะ แต่ถ้าตั้งแล้วเรื่องมันสะดุดก็คงจะหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน เอาล่ะ วันนี้ผมพักให้เต็มที่ดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ตื่นขึ้นมาเขียนต่อได้อย่างสะดวกใจ
   ผมเดินรอบบ้านรอบหนึ่ง แล้วก็กลับมาเปิดดูโทรทัศน์ ดูพวกสารคดีที่มากับเคเบิล จำได้ว่ากำลังดูสารคดีเกี่ยวกับสิงโตอยู่ แต่มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นนั่นแหละ
   ผมสะดุ้งเฮือก หันซ้ายหันขวา ถึงได้รู้ว่าเป็นช่วงเย็นแล้ว เงยมองนาฬิกาก็สี่โมงพอดี โทรศัพท์เจ้ากรรมยังคงแผดเสียงลั่น ผมลุกจากเก้าอี้ยาว ตรงไปรับมันอย่างคนยังไม่ตื่นนอนดี
   “สวัสดีครับ”
   “คุณพนิต เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” เสียงปลายสายดูคุ้นหู แต่ผมไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ เลยกรอกเสียงกลับไป “นั่นใครครับ”
   “สุภาพงษ์ครับ”
   “อ่อ” ผมร้องออกไป “อืม... ผมหลับอยู่น่ะ”
   “ขอโทษนะครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนเจือความรู้สึกผิดอยู่สักหน่อย ไม่สิ ผมว่าเขารู้สึกผิดเลยล่ะ ตลกดีเหมือนกัน เวลาคุยกับเขาตรงๆ ผมจับความรู้สึกเขาไม่ค่อยได้ คงเพราะหน้าเขานิ่งมากล่ะมั้ง ผมกรอกเสียงกลับไป “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ มีธุระอะไรล่ะ?”
   “ผมมารับคุณไปทานข้าวน่ะครับ”
   “?” ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงง จากนั้นถึงพอจะนึกเรื่องราวออกได้ “ขอโทษทีนะ พอดีผมมัวแต่เขียนต้นฉบับจนลืมไปสนิทเลยล่ะ คุณอยู่ไหนแล้ว?”
   “หน้าบ้านครับ ผมเรียกอยู่นาน ไม่เห็นมีเสียงตอบ เห็นทีวีเปิดอยู่ เลยกลัวว่าคุณจะเป็นอะไร”
   “อ้อ ผมแค่เผลอหลับไปน่ะ” ผมตอบ รู้สึกแปลกใจดีเหมือนกัน วันนี้ดูเขาพูดมากผิดปกติ สงสัยเพราะคุยโทรศัพท์กันด้วยล่ะมั้ง จากนั้นผมถึงเบือนหน้าออกไปมองผ่านประตูมุ้งลวด สุภาพงษ์ยืนอยู่หน้าประตูรั้ว มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีส้มอ่อน ซึ่งดูแปลกตาอยู่พอสมควร เพราะปกติเขาจะใส่ทีพื้นๆ กว่านี้ ผมถึงกับต้องกะพริบตาซ้ำ เพราะคิดว่าอาจจะเพราะแสงอาทิตย์ยามเย็นก็ได้ที่ทำให้ผมเห็นสีเสื้อเขาเป็นแบบนั้น แต่เขาใส่เสื้อสีส้มอ่อนมาจริงๆ นั่นแหละ เออ แปลกจริงๆ
   “เดี๋ยวผมเดินออกไปเปิดประตูให้ วางสายนะ”
   “ครับ”
   ผมวางโทรศัพท์ แล้วเดินไปเปิดประตูรั้วให้เขา สุภาพงษ์มีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม เออ ถ้าไม่เห็นเขาคุยโทรศัพท์จะๆ ผมไม่เชื่อแน่ว่าใช่คนเดียวกัน เขาหน้าเฉย แต่งตัวเนี๊ยบ ถึงจะสีแปลกตาไปหน่อย ก็ดูดี อืม.. เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีจริงๆ นั่นล่ะ
   “คุณพนิต?”
   ผมสะดุ้งเฮือก รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีว่าเผลอจ้องหน้าเขาเพลินไปแล้ว เขามองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยแบบนั้นแหละ แต่คงจะสงสัยอยู่เหมือนกันมั้ง ไม่รู้สิ ผมดูสีหน้าเขาไม่ออกหรอก
   “อืม วันนี้คุณใส่เสื้อสีแปลกดีนะ” ผมพูด ตีสีหน้าจริงจังว่าแปลกใจสุดๆ เข้าสู้ เขามองผม จากนั้นก็มองเสื้อตัวเอง “ไม่ดีหรือครับ?”
   “ก็ไม่เชิงหรอก แค่แปลกน่ะ” ผมว่า แล้วทำท่าเป็นพินิจพิเคราะห์เสื้อของเขาอย่างจริงๆ จังๆ สุภาพงษ์ขยับตัวอย่างอึดอัด สงสัยว่าผมจะทำให้เขาเสียความมั่นใจล่ะมั้ง
   “คุณพนิต”
   “หืม?”
   “จะไปหรือยังครับ?”
   ผมมองเขา แล้วกะพริบตาปริบๆ “อืม... ผมเปลี่ยนเสื้อแป๊บหนึ่งแล้วกัน”
   “ครับ” เขาตอบ เรายืนมองหน้ากันอีกครู่หนึ่ง ผมเกิดกลัวสายตาตัวเองจะแสดงความรู้สึกให้เขาเห็นมากจนเกินไป ก็เลยยอมเข้าบ้านมาเปลี่ยนเสื้อในที่สุด
   เสื้อในตู้ผมมีไม่มาก แต่ไหนแต่ไร ผมไม่เคยสนใจตัวเองอยู่แล้ว ว่าจะต้องดูดีเลิศประเสริฐศรีอยู่เหนือคนอื่น ผมไม่ใช่คนหน้าตาดี แค่พอไปวัดไปวาได้ แล้วก็ไม่ใช่ชายเจ้าสำอาง กระทั่งตอนหนุ่มๆ ก็เถอะ ในเมื่อเสื้อตัวไหนก็เหมือนกัน ผมเลยหยิบเสื้อคอโปโลสีเทาออกมาตัวหนึ่ง ห้านาทีผ่านไป ผมก็พร้อมจะไปทานข้าวเย็นกับสุภาพงษ์แล้ว
   “คุณพนิต” สุภาพงษ์เรียกชื่อทันทีที่เห็นผมเดินลงมา ผมมองหน้าเขา เขาก็มองหน้าผม ขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ หันหน้าแล้วเดินออกไปที่ประตู
   เขาไม่ได้พูดอะไรหรอก แต่ผมชักรู้สึกสงสัยว่าเขาอยากจะพูดอะไรตอนเห็นผมเดินลงมากันแน่
   “คุณสุภาพงษ์ ตะกี้คุณจะพูดอะไรหรือ?” ผมถาม หลังจากเปิดประตูเข้ามานั่งในรถของเขาแล้ว เขาหันมามองหน้าผม “อะไรหรือครับ”
   ผมนิ่งไปอึดใจ แล้วก็พูดออกมา “เปล่า ไม่มีอะไร ว่าแต่จะไปทานที่ไหนล่ะ?”
   สุภาพงษ์พูดชื่อร้านอาหารออกมา แต่ร้านอาหารในกรุงเทพฯมีเป็นร้อย รวมปริมณฑลเข้าไปอีก คนอย่างผมถึงจะเป็นนักเขียน แต่ก็ไม่มีปัญญาจะจำชื่อร้านอาหารทั้งหมดนี้ได้หรอก เอาว่าร้านที่เขาบอกชื่อผมไม่รู้จักก็แล้วกัน แต่ก็ดี เผื่อผมจะมีฉากเขียนนิยายเพิ่มบ้าง
   สุภาพงษ์ค่อยๆ ขับรถออกจากถนนแคบๆ ในซอยบ้านผม ไปสู่ถนนใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ร่วมงานกัน ที่ผมได้นั่งรถเขา เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรหรอก เพราะสุภาพงษ์ขับรถนิ่มมาก ซึ่งก็ดูจะตรงกับนิสัยของเขาดี ไอ้ผมที่นั่งแต่รถเมล์รถแท็กซี่มาตลอดชีวิต เจอรถขับนิ่มๆ แบบนี้มันก็เลยพาลจะหลับเอาน่ะ ยิ่งเขาเปิดเพลงรุ่นผมยังหนุ่มคลอเบาๆ แบบนี้ ประกอบกับอาการพักผ่อนน้อยในหลายวันที่ผ่านมา ผมถึงกับเผลอตัวหลับไปในรถเขาจริงๆ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเขาเรียกนั่นแหละ
   “คุณพนิต”
   ผมพยายามปรือตาขึ้นมาอย่างคนง่วงนอน ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหน แต่พอเห็นภาพตรงหน้าก็ทำเอาผมต้องผงะตัวตามสัญชาตญาณ เอ่อ... ผมคิดไปเองรึเปล่านะ ตะกี้เหมือนว่าคนที่เรียกชื่อผมจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมตกใจเลยล่ะ
   “เมื่อคืนนอนไม่พอหรือครับ” ผู้ชายหน้าตาหมดจดที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับเอ่ยถามผมด้วยสีหน้านิ่งสนิท ผมมองหน้าเขา และรู้สึกตัวขึ้นมาว่าอยู่บนรถของสุภาพงษ์ ความจริงมาเผลอหลับในรถของคนที่จะสนิทก็ไม่สนิท แถมยังเป็นเจ้านาย แล้วก็เด็กกว่าขนาดนี้ พูดไปแล้วมันก็น่าอายสำหรับคนอายุเท่าผมเหมือนกันนะ แต่ภาพที่เห็นตอนตื่นเมื่อครู่ ทำเอาผมตกใจจนลืมอายไปสนิทเลยล่ะ ผมมองเขาอีกครั้ง สุภาพงษ์นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงที่นั่งคนขับ อืม.. ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้
   “จะกลับไปพักก่อนรึเปล่าครับ” เขาถาม ผมมองหน้าเขา แล้วสั่นศีรษะ “ไม่ต้องหรอก ออกมาแล้วนี่”
   สุภาพงษ์มองหน้าผมอยู่พัก จากนั้นก็พยักหน้า เออ พิลึกคนจริงๆ อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ยังจะถามว่าผมจะกลับมั้ย ถ้าผมไม่ไหวจริงไม่ถ่อมากับเขาหรอก ขี้เกรงใจไม่เข้าเรื่องจริงๆ ทีไอ้เรื่องที่ควรเกรงใจล่ะไม่เคยทำจริงๆ สักที
   ผมเผลอหลับในรถของสุภาพงษ์ มาตื่นอีกทีก็โพล้เพล้แล้ว แสงสีส้มแดงอาบท้องฟ้ากำลังสวย สุภาพงษ์เดินนำผมเข้าไปในร้านอาหาร ซึ่งดูจะเป็นแบบโอเพ่นแอร์ พอผมเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไป ถึงได้รู้ว่าเป็นร้านอาหารที่อยู่ติดแม่น้ำ ดูจากทัศนียภาพฝั่งตรงข้ามที่เริ่มกลายเป็นสีเทาขมุกขมัวแล้ว ผมก็พอจะเดาได้ว่าคงเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาแน่ๆ
   ร้านตกแต่งแปลกตาดี เหมือนจะเป็นบรรยากาศเก่าๆ แต่ก็ไม่เชิงว่าจะเก่าเสียทีเดียว แปลกๆ แต่ก็ดูไม่ขัดหูขัดตาอะไรหรอก ผมไม่ใช่นักตกแต่งหรือออกแบบ ดังนั้นขอแค่ให้มันไม่น่าเกลียดจนเกินไปก็พอแล้ว
   สุภาพงษ์พาผมเดินผ่านโต๊ะอาหารหลายสิบโต๊ะ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง มีคนนั่งทานอาหารกันอยู่พอสมควร ลมเย็นๆ ที่พัดมาจากแม่น้ำก็ทำเอาผมรู้สึกสบายตัวดี
   ในที่สุดเขาก็นำผมมาถึงซุ้มเล็กๆ ที่มีโต๊ะอาหารตัวใหญ่ตัวหนึ่งตั้งอยู่ สุภาพงษ์เดินไปที่โต๊ะ จากนั้นก็หันมาหาผม แล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ “เชิญครับ”
   ผมแอบอึ้งนิดๆ เออ รู้หรอกว่าเขาเชิญมาทานข้าวเพราะเกรงใจที่ผมทำกับข้าวให้เขาทานเมื่อคราวก่อน แต่... พอต้องมานั่งเผชิญหน้ากับเขานอกสถานที่แบบนี้ ผมก็แอบรู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน คงต้องพยายามระวังสายตาไม่ให้จ้องเขาจนน่าเกลียดแล้วสิ
   สุภาพงษ์นั่งลงตรงเก้าอี้ตรงข้ามผม โอย คราวนี้เห็นหน้าเขาจะๆ ชัดเจนเลยล่ะ รูปหน้าเอย คิ้วเอย ปลายคางเอย ทำไมมันหมดจดน่ามองแบบนี้นะ เขาหยิบเมนูมาเปิด ขณะที่ผมนั่งจ้องหน้าเขาแบบลืมอายไปชั่วขณะ
   “คุณพนิตไม่สั่งอะไรหรือครับ?” สุภาพงษ์เงยหน้าขึ้นมองผม แต่อย่าคิดว่าผมจะพลาด ผมกางเมนูมารอท่าไว้แล้ว พอเขาเงยหน้ามา ผมก็รีบก้มหน้างุด ทำเป็นจ้องเมนูอย่างจริงๆ จังๆ สักพักก็พูดออกมา “อืม.. เอาแกงส้มปลากะพงก็แล้วกัน”
   “ครับ” สุภาพงษ์รับคำเสียงเรียบ ผมรออยู่ว่าเมื่อไหร่เขาจะก้มหน้ามองเมนู จะได้แอบมองหน้าเขาอีก สุภาพงษ์หน้าตาดีจริงๆ นะ ไม่รู้ว่าเขาแต่งงานแล้วหรือยัง นี่ถ้าแต่งงานแล้ว ยังต้องเจียดเวลามาทวงต้นฉบับผมอีกนี่ ผมคงทำบาปมากแน่ๆ
   “จะสั่งอะไรเพิ่มอีกมั้ยครับ?” เขาถาม หลังจากเห็นผมเอาแต่ก้มมองเมนู เออ ผมไม่รู้จะสั่งอะไรแล้วล่ะ ปกติผมทานข้าวมีกับแค่อย่างสองอย่างเอง เขาน่ะสั่งไปตั้งสองอย่างแล้ว รวมของผมก็สาม ผมไม่สั่งอะไรเพิ่มดีกว่า
   “คุณจะสั่งอะไรก็สั่งเถอะ ผมทานไม่เยอะ”
   “ครับ” เขาตอบ จากนั้นก็บอกพนักงานจดรายการอาหารว่าพอแล้ว คราวนี้ไม่มีเมนูบังหน้า ผมเลยต้องหาเป้าหมายอย่างอื่นเพื่อมองแทนเขา ไอ้ครั้นจะก้มมองจานบนโต๊ะก็ดูจะทุเรศไป เขาอาจจะมองผมว่ากำลังหิวจัดก็ได้ ดังนั้นผมจึงมองออกไปยังท้องน้ำเจ้าพระยาที่กำลังสะท้อนแสงไฟจากสิ่งปลูกสร้างด้านข้างเป็นประกายระยับในความมืดยามหัวค่ำ
   อืม... มองแล้วนึกถึงสมัยก่อนยังไงก็ไม่รู้สิ ตอนนั้นมันไม่มีอะไรเลอะเทอะระเกะระกะขนาดนี้ เรื่องหน้าลองเขียนชีวิตของเด็กที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดีไหมนะ ฉากชวนกันกระโดดสะพานเล่นน้ำกันคงดูน่ารักดี
   “คุณพนิตครับ”
   ผมสะดุ้งโหยง เพราะกำลังจินตนาการถึงชีวิตริมน้ำสมัยโบราณอย่างบรรเจิดอยู่ดีๆ ก็มาถูกเรียกขัดจังหวะความคิดเสียได้ พอเบือนหน้ากลับมามองก็เห็นสุภาพงษ์นั่งหน้าตายเช่นเคย
   “มีอะไรหรือ?” ผมถาม เพราะเห็นเขาไม่พูดอะไรต่อ สุภาพงษ์เงียบไปอีกพัก จากนั้นก็พูดต่อได้เสียที “ต้นฉบับถึงไหนแล้วครับ?”
   “.................” ผมอึ้งไปชั่วขณะ ความจริงก็น่าจะคิดได้อยู่แล้ว ว่าระหว่างเขากับผม จะคุยอะไรกัน คงไม่พ้นเรื่องต้นฉบับนี่แหละ เขาอาจจะอยากชวนผมคุย แล้วก็กระตุ้นผมไปในตัวก็ได้
   “ก็ ใกล้เสร็จแล้วล่ะ พอดีวันนี้มึนนิดหน่อย เลยไม่ได้เขียนต่อ ผมส่งทันตามกำหนดแน่”
   “ครับ... ยังไงก็ระวังสุขภาพด้วยนะครับ” เขาตอบกลับมาด้วยสีหน้าเฉยสนิท ผมชักนึกเซ็งว่าเขาไม่ต้องเอาคำพูดตามมารยาทมาประกอบกับสีหน้าแบบนี้ก็ได้ ดูแล้วมันชวนละเหี่ยใจพิกล เมื่อไหร่เขาจะหันไปสนใจอย่างอื่นแล้วปล่อยให้ผมมองหน้าเขาสักทีนะ
   ฟ้ามืดแล้ว ไฟในร้านอาหารก็เปิดสว่าง ตรงซุ้มที่ผมนั่งกับเขาก็เปิดไฟ เป็นไฟสีส้มอ่อน แสงนวลตา พอทาบลงบนใบหน้าหมดจดนั่นแล้ว ดูน่ามองเข้าไปอีก
   สุภาพงษ์นั่งอยู่ตรงข้ามผม อาหารยังไม่มา แต่เขาเริ่มมองจานแล้วล่ะ ผมนึกขำ อายุตั้งสามสิบสี่แล้ว ยังมานั่งมองจานต่อหน้าผู้ใหญ่อีก จริงๆ เขาก้มมองจานก็ดี เพราะผมจะได้มองหน้าเขาได้ แต่เห็นแล้วผมก็อดปากไม่ได้อีกนั่นแหละ
   “คุณสุภาพงษ์ หิวมากหรือ?”
   “?” เขาเงยหน้าขึ้นมองผม ผมปั้นหน้าขรึมไม่ทัน ก็เลยยิ้มไปตามเรื่อง เพราะไงมองหน้าเขาผมก็มีความสุขอยู่แล้ว และนี่ผมก็ตั้งใจแซวเขาด้วยน่ะ “ก็ผมเห็นคุณมองแต่จาน”
   สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ “เปล่าครับ”
   “อ้อ...” ผมลากเสียง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะสุภาพงษ์เลิกมองจานแล้ว หันมาจ้องหน้าผมแทน เจอแบบนี้ผมอยากจะขอโทษเขากลับจริงๆ ช่วยกลับไปมองจานต่อเถอะนะพ่อคุณ ไอ้ที่ทักตะกี้ถือว่าลมพัดก็แล้วกัน
   แต่เขาไม่ใช่เพื่อนสนิทผม แล้วถึงเป็นเพื่อนสนิท ก็ใช่ว่าผมจะพูดออกไปได้จริงๆ เสียหน่อย
   ขืนให้เขารู้ว่าผมชอบมองเขาแบบนี้ เดี๋ยวได้เข้าหน้ากันไม่ติดพอดี
   “คุณพนิตครับ”
   “หืม?”
   “ชอบสีเทาหรือครับ?”
   “เอ๋?” ผมมองหน้าเขาอย่างงุนงง สุภาพงษ์มองผม จากนั้นก็พูดต่อ “ผมเห็นคุณชอบใส่เสื้อสีเทาน่ะ”
   ผมก้มลงมองเสื้อตัวเอง แล้วก็ร้องออกมา “อ้อ... อืม..”
   เพิ่งมานึกได้เหมือนกันว่าในตู้เสื้อผ้าผมมีเสื้อสีเทาเยอะมาก ทำไมน่ะรึ ผมว่าสีมันดูหมองดีน่ะ แบบว่าเก่าตั้งแต่ซื้อมาแล้ว ซักให้ตายก็ไม่ดูเก่าไปกว่านี้หรอก จะใส่สีเข้ม เวลาไปไหนมาไหนตอนมืดๆ รถรามันจะมองไม่เห็นเอา เดี๋ยวจะกลายเป็นคนทับใต้ล้อรถ สรุปแล้วสีเทานี้แหละ สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับผมแล้ว
   สุภาพงษ์กะพริบตาปริบๆ ทำท่าจะอ้าปากพูดอะไร แต่ก็ถูกขัดจังหวะจากอาหารที่บริกรยกมาเสิร์ฟเสียก่อน
   เราสองคนนั่งทานอาหารกันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรอีก แน่ล่ะ ผมน่ะไม่มีอะไรจะพูดกับเขาอยู่แล้ว ส่วนเขา ไม่พูดน่ะดีที่สุด เพราะอ้าปากออกมาก็คงมีแต่คำว่าต้นฉบับเต็มไปหมด
   ผมฉวยโอกาสระหว่างมื้ออาหารแอบมองหน้าสุภาพงษ์อีกแล้ว เขาหล่อดีจริงๆ ผมเริ่มคิดว่าปล่อยให้เขามาทวงต้นฉบับบ้างเดือนละครั้งก็น่าจะดี จะได้มีโอกาสมองหน้าเขาบ่อยๆ เอาจริงก็รู้สึกผิดๆ เหมือนกันนะเนี่ย เหมือนผมดูโรคจิตๆ ยังไงไม่รู้ นี่ถ้าเขามีลูกเมียแล้ว ผมคงต้องรู้สึกผิดมากกว่านี้แน่ๆ แต่ยังไม่ได้ถามเขาเลยว่ามีลูกเมียแล้วหรือยัง
   “คุณสุภาพงษ์”
   เขาเงยหน้าจากจานอาหารขึ้นมองผม  “ครับ?”
   “คุณแต่งงานหรือยังน่ะ?”
   “ยังครับ” เขาตอบ ผมพยักหน้า รู้สึกโล่งใจอยู่หน่อยหนึ่ง ขณะที่กำลังจะก้มหน้าทานอาหารต่อ ทางนั้นก็พูดขึ้น “ถามทำไมหรือครับ?”
   “เปล่า แค่อยากรู้น่ะ” ผมตอบ แล้วตักข้าวใส่ปาก ขณะที่กำลังนึกว่า กับข้าวร้านนี้อร่อยดี วันหลังคงต้องชวนเพื่อนฝูงมาทานบ้างซะแล้ว สุภาพงษ์ก็พูดขึ้นต่อ
   “คุณพนิตครับ ที่จริงผมมีคนที่ชอบอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเล่าให้คุณฟังจะดีรึเปล่า?”
   ผมเงยหน้ามองเขา อึ้งไปหน่อยหนึ่ง คือไม่ใช่ว่าอึ้งที่เขามีคนที่ชอบอยู่นะ แต่อึ้งที่คนอย่างเขามาพูดเรื่องนี้กับผม อึ้งได้แว้บเดียวเท่านั้นแหละ ความอยากรู้อยากเห็นก็ผุดตามขึ้นมาเป็นดอกเห็ด
   ผมขยับตัวอย่างตั้งใจ มองหน้าสุภาพงษ์ พลางนึกว่า ดีล่ะ นี่อาจจะเป็นแรงบัลดาลใจใหม่ในนิยายของผมก็ได้ คิดได้ดังนั้นแล้ว ผมก็ตอบกลับไป “อืม.. เล่ามาสิ”
   สุภาพงษ์นิ่งไปพัก จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง
   “สมัยก่อน ตอนผมเด็กๆ ผมกับเพื่อนชอบไปวิ่งเล่นในสวนบ้านข้างๆ ”
   “อืม...”
   “เจ้าของสวนเป็นคุณลุงกับคุณป้า ใจดีมาก ลูกชายกับลูกสาวเขาแก่กว่าพวกผมหลายปี แต่ก็มาเล่นเป็นเพื่อนพวกผมบ่อยๆ บางทีก็มาเล่านิทานให้ผมฟังด้วย”
   “อืม....” ผมส่งเสียง และนั่งรอให้เขาเล่าต่อ แต่เหมือนสุภาพงษ์จะลังเล สงสัยนึกไม่ออก หรือไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ประกอบกับผมเผอิญรู้สึกปวดเบาขึ้นมากะทันหัน พอเห็นเขาไม่มีวี่แววจะเล่าต่อ ให้เซ้าซี้ก็ไม่ใช่วิสัย ผมเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
   ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่กว้างอย่างกับห้องรับแขก ถึงอย่างนั้นก็สวยล่ะนะ ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้เป็นฉากอะไรได้รึเปล่า ผมทำธุระเรียบร้อย ก็เดินกลับออกมา พลางนึกว่าไม่รู้สุภาพงษ์จะอยากเล่าเรื่องของเขาต่อรึเปล่า เขาไปชอบใครกันนะ ลูกสาวคนข้างบ้านล่ะมั้ง อืม ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ..... ดูจะเป็นคนฝังจิตฝังใจจริงๆ นะเนี่ย
   ผมนึกเพลินๆ ของผมขณะเดินไปที่โต๊ะ แล้วก็ขนลุกซู่ เมื่อเห็นแก้วใส่ดอกกุหลาบวางอยู่บนโต๊ะ จำได้ว่าตอนก่อนจะลุกไปไม่มีอะไรแบบนี้นี่นา ผมหันไปมองสุภาพงษ์ทันที
   “กุหลาบใครน่ะ?”
   “ผมขอเขามาน่ะครับ อยากจะให้โต๊ะมีสีสันหน่อย”
   ผมมองกุหลาบในแก้ว กุหลาบกลีบซ้อน อย่างสวยเลยล่ะ มองแล้วไม่น่าจะขอกันได้ในร้านอาหารนะเนี่ย ผมเลยหันหน้ามามองเขา หน้าเขานิ่งสนิทเหมือนเดิม ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน
   ช่างเถอะ เขาอยากจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขา หน้าเขานิ่งขนาดนี้ ผมเดาอะไรไปก็ป่วยการเปล่าๆ
   ผมนั่งลงตรงข้ามเขา หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ก็หวังว่าเขาจะเล่าต่อหรอกนะ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าเขาจะเล่ารึเปล่า บางทีเขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ ครั้นจะถามเอง ก็ดูจะให้ความสนใจจนเกินไป
   “คุณพนิต ที่ผมเล่าตะกี้น่ะ” เขาพูดออกมาหลังจากนั้นสักพัก ผมรออยู่แล้วก็เลยพยักหน้าออกไป “อืม.. เล่าต่อสิ”
   “ครับ..” เขาส่งเสียง แล้วเม้มปากนิดๆ เหมือนยังชั่งใจอยู่อีกหน่อย ขณะที่กำลังจะอ้าปากเล่า โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันส่งเสียงขึ้นมา
   “ขอโทษนะครับ” สุภาพงษ์พูด และรีบรับโทรศัพท์ ผมโบกมืออย่างไม่ถือสา ก่อนจะทานอาหารต่อ
   ปรากฏว่าเหมือนโทรศัพท์ที่เข้ามาจะเป็นธุระสำคัญ สุภาพงษ์นั่งคุยอยู่ได้แว้บเดียวก็ขอตัวออกไปคุยนอกโต๊ะ ผมก็พยักหน้า ปล่อยให้เขาจัดการธุระตัวเองไป
   ทานจนหมดจานแล้ว เขาก็ยังไม่กลับมา ผมกวาดตามองอาหารที่เหลือบนโต๊ะ พลางนึกเสียดาย หันไปก็เห็นสุภาพงษ์กำลังคุยโทรศัพท์หน้าเครียด เฮ้อ... เป็นนักธุรกิจก็วุ่นวายแบบนี้แหละนะ
   ผมเริ่มเก็บจานวางซ้อนกันฆ่าเวลา อะไรที่จานใกล้หมดหรือหมดแล้วก็เก็บรวมๆ กันไว้ พนักงานจะได้สะดวกตอนเก็บ กว่าที่สุภาพงษ์จะกลับมา จานเปล่าบนโต๊ะก็ถูกเก็บไปหมดแล้ว เหลือแต่จานที่ยังมีเยอะ กับดอกกุหลาบดอกใหญ่ดอกนั้นแหละ
   “ขอโทษจริงๆ นะครับ” เขาว่า ผมโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ เอาเถอะ ที่จริงทิ้งผู้ใหญ่ที่เชิญมาให้นั่งอยู่คนเดียวแบบนี้มันก็น่าเกลียดนะ แต่ผมเข้าใจว่ามันคงเป็นธุระสำคัญ คนอย่างเขาคงไม่คุยโทรศัพท์พร่ำเพรื่อ
   สุภาพงษ์คุยโทรศัพท์แล้วกลับมานั่ง ก็มีท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดวิสัย ผมเลยถามออกไป “มีเรื่องด่วนต้องไปหรือไง จะเก็บโต๊ะเลยก็ได้นะ ผมไม่ทานอะไรแล้ว”
   “อืม.... ขอโทษด้วยนะครับ” เขาพูดอีก สีหน้าดูร้อนใจจริงๆ ผมพยักหน้าอีก “ไม่เป็นไรหรอก”
   จากนั้นเขาก็เรียกพนักงานมาเก็บค่าอาหาร ผมเลยลุกออกมาก่อน เดินไปรอเขาที่หน้าร้าน และถือโอกาสสอบถามทางมาด้วยรถเมล์กับพนักงานที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์เสียเลย คราวหน้าจะได้ชวนเพื่อนฝูงแวะมาบ้าง
   “คุณพนิตครับ” สุภาพงษ์เรียกชื่อผม ขณะเดินจ้ำออกมาจากร้าน ผมมองเขา แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นว่าเขาหยิบดอกกุหลาบสีแดงดอกนั้นติดมือกลับมาด้วย แต่ก็นะ เขาเป็นคนสั่งมานี่นา ดอกมันก็สวย จะเอากลับบ้านก็ไม่แปลก
   “จะกลับหรือยังน่ะ” ผมถามตามประสา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ามันได้เวลาแล้วล่ะ เขาพยักหน้า จากนั้นก็พาผมกลับไปขึ้นรถ
   ขากลับผมไม่หลับแล้วล่ะ มัวแต่มองหน้าเขาเพลินสลับกับกุหลาบสีแดงดอกนั้น ไม่รู้ว่าอะไรดลใจผม ก่อนจะลงจากรถ ผมก็พูดกับเขาไปว่า
   “คุณสุภาพงษ์ เรื่องรักสมัยเด็กน่ะ เป็นไปได้ก็ไม่ต้องไปจริงจังกับมันนักหรอก คุณลองมองหาคนใหม่ๆ ไว้ดีกว่านะ เวลาผ่านไป อะไรๆ มันก็เปลี่ยนตามทั้งนั้นแหละ”
   สุภาพงษ์มองหน้าผมอึ้งๆ จากนั้นก็เรียกชื่อผมออกมา “คุณพนิต...”
   “ขับรถกลับดีๆ ล่ะ แล้วก็ขอบใจมากที่เลี้ยงข้าว” ผมตอบ แล้วเดินเข้าบ้าน สักพักก็ได้ยินเสียงเขาแล่นรถออกไป ผมเผลอถอนหายใจเฮือก
   ผมคิดอะไรของผมอยู่กันนะ ถึงเขาไม่มีคนที่ชอบเลย ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหันมาชอบผมสักหน่อย
   ผมก็แค่ อยากจะได้มองหน้าเขาไปจนกระทั่งหมดสัญญาเท่านั้นแหละ
----------------------------------------------------------
**ทำไมไม่รู้ รักคุณพนิตจัง ถึงจะแอบสงสารคุณสุภาพงษ์อยู่นิดๆ หน่อยๆ แต่ฮาคุณพนิตมากกว่า แบบว่า เป็นจอมคิดเองเออเองจริงๆ นะเนี่ย :o8: ส่วนคุณสุภาพงษ์ก็.... จะอ้อมค้อมไปไหนคะ ฮ่าๆๆๆ :laugh:

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
ลำดับอารมณ์ตอนอ่าน
เขิินนิดๆ>>อมยิ้ม>>สงสารคุณสุภา  :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






pmnet

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
แววแห้วมาเยือนคุณสุภา (สำนวนนี้น่าจะเหมาะกับวัยคุณพนิด)
คนอายุไม่น้อยแล้ว ยังอ้อมไปอ้อมมา กว่าจะคุยกันรู้เรื่องไม่ปาไป ห้าสิบเหรอเนี่ย
ลงไม้ลงมือไปเลย


อ๊ะไม่ได้ ผิดคอนเซปต์ ซึนฯ
อ๊ากกกกกกกกกกก อึดอัด

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
กรี้ด เรื่องใหม่   สว. อีกแล้ว   แต่คู่นี้ห่างกันแค่สิบกว่าปี ไม่เยอะเท่าไหร่ ช่องว่างไม่เยอะๆ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ไม่ใจเลยอ่ะคุณสุภา  ตีกรรเชียงรอบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อยู่นั่นแหละ  เมื่อไหร่จะเข้าประเด็นซักที

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :a5:
ความสัมพันธ์กระดึบได้แค่คืบ  สรุปยังไม่ก้าวหน้า

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
กริ้ดดดดดดดดดด ชอบเรื่องแบบนี้อะ ซึนเจอซึน กร้ากกกกกก

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
ลุ้นว่าเมื่อใหร่สองคนนี้จะคุยกันรู้เรื่องเสียที
น่าลุ้น

zhiki

  • บุคคลทั่วไป
เหนด้วยครับ ซึน เจอ ซึน 555

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ทั้งคู่ต่างหน้านิ่ง แต่ในใจของแต่ละฝ่ายคงจะอยู่ไม่เป็นสุข

MM.Dog

  • บุคคลทั่วไป
** หนีความจริงอีกแล้วล่ะ!! (โดนคนอ่านโบก :beat:)

ดีใจจังค่ะที่คุณหนีความจริงอีกแล้ว  เพราะนั่นหมายความว่าพวกเราจะมีเรื่องใหม่ให้อ่านอีกแล้วเช่นกัน 555
เรื่องนี้ก็น่ารักเหมือนเดิม  แสดงให้เห็นฝีมือของคนแต่งเลยค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด