]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 163966 ครั้ง)

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องถอดหรือใส่แหวนเอาไว้เท่าไหร่หรอก ผมเองก็ไม่ได้อยากจะถอดมันออกหรอกนะ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมเช่นกัน เพราะว่าสำหรับผมแล้ว ผมคิดว่ามันสำคัญที่จิตใจมากกว่าสิ่งของ และที่สำคัญการถอดแหวนด้วยเหตุผลแบบนี้มันก็ยังดีกว่าถอดเพราะต้องการจะปิดบังตัวเองว่ามีเจ้าของแล้วเพื่อจะเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองหรือเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามามากกว่า เพียงแต่ผมเองก็เข้าใจเหตุผลและความรู้สึกของไอ้เมฆได้ดีทีเดียว แหวนสองวงนี้มันไม่ใช่แค่วัตถุ แต่เป็น “สัญลักษณ์” ที่แสดงถึงความผูกพันและความรักที่มั่นคงและยืนยาวอันไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา..........


อืม เริ่มมีลางมาแต่ไกลแล้ว  :m17:  :m17:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
เจ้าซันกับเมฆก็เรียนรู้กันมาถึงขนาดนี้
แต่อย่างว่าคนคบไปนานๆก็มีเบื่อ มีว๊อกแว๊กบ้างหล่ะนะ
เพียงแต่ปัญหาอาจหนักจนไม่อาจเยียวยา
 :a3: :a3: :a3:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
อ่านตอนแรกก็  :sad2:

ต้นใจร้าย คิดว่า ซันกะเมฆ จะรักกันไปได้แล้วนะ โผล่มาแบบนี้ เครียดเลย  :a5:

คืนนี้นอนไม่หลับแน่ กู  ไม่น่าโผล่มาอ่านก่อนนอนเลย  o22

wombat

  • บุคคลทั่วไป
มาบอกว่า เด่ยวจะตามอ่านนะครับ
ต้องออกไปข้างนอกแล้ว  o13

ออฟไลน์ kaporzung

  • miKapleXD
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1326
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-2
    • [Premier Сasual Dating  Living Women]
อ่านแล้วเคลิ้มค่ะ

ต่ออีกน้า  :impress:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 4


ตอนบ่ายโมงเป็นอะไรที่บ้ามากๆ เพราะเมื่อรถตู้มาถึง พวกเราสองคนก็ถูกรุมล้อมอย่างกับเป็นฮีโร่ผู้รอดชีวิตมาจากสงครามโลกยังไงอย่างนั้นเลยทีเดียว บนรถตู้นั้นมีเพื่อนๆของเราทั้งผู้หญิงและผู้ชายนั่งกันมาจนเต็มคันรถ ดังนั้นเมื่อรวมกับไอ้สามคนแรกที่มาถึงแล้ว ตอนนี้เราจึงมีกันอยู่ทั้งหมดสิบเก้าคนพอดี รวมทั้งผมสองคนกับไคล์ด้วย และอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงถัดมา เพื่อนของเราก็ขับรถตามมากันอีกสองคัน คันแรกนั้นมีเพื่อนของเราสองคนแต่มาด้วยกันทั้งหมดสี่ชีวิต นั่นก็เพราะเขาสองคนมากับแฟนของตัวเองด้วยนั่นเอง ส่วนรถคันสุดท้ายก็เป็นเพื่อนของเราที่มากับแฟนของเขาด้วยเช่นกัน

“ขาดนัทคนเดียวแล้วสินะ” ไอ้เมฆเดินเข้ามาพูดกับผมที่ถอยความวุ่นวายมายืนหลบมุมอยู่ที่นอกบ้าน

“เหรอ...... ว่าแต่มึงรู้ได้ไง นี่แปลว่าคนอื่นๆมากันหมดแล้วใช่มั๊ย”

“ใช่ เมื่อกี๊กูคุยกับไอ้ป๋อม มันบอกว่ามากันแค่นี้ แต่ก็เหลือนัทกับแฟนเค้าคู่เดียว เห็นว่าคงจะมาถึงเย็นๆน่ะ”

“อืมม งั้นก็ดี ว่าแต่มึงอยากจะคุยเรื่องนี้มั๊ย เมฆ มึงคิดมากรึเปล่า มึงเคยบอกกูว่ามึงไม่ได้คุยกับเขามาปีนึงแล้วนี่”

“ใช่ แต่ก็เพราะงั้นแหละ กูถึงคิดว่ามันไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก เค้าก็มีแฟนของเค้า กูก็มีแฟนของกู และยังเรื่องเรียนอีก เราก็เลยไม่ได้คุยกัน ซึ่งนั่นก็น่าจะดีที่สุดแล้วล่ะ แถมถึงยังไงๆเราสองคนก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่ดีไม่เปลี่ยนแปลงหรอก เรื่องนั้นกูมั่นใจ”

ผมยิ้มแล้วดึงเอวมันเข้ามากอดเบาๆ “มึงนี่มันมองโลกในแง่ดีจริงๆเลยนะ ทำไมแฟนกูมันถึงได้เป็นคนดีแบบนี้วะเนี่ย”

“หมายความว่าไงวะ พูดเหมือนมึงคิดว่าไอ้สิ่งที่กูคิดนี่มันผิดหรือมันไม่ดียังไงหยั่งงั้นแน่ะ” ไอ้เมฆพูดพร้อมหัวเราะในลำคอเบาๆ

“เปล่า ไม่ผิดหรอก แต่กูก็แค่คิดว่ากูคงคิดแบบมึงไม่ได้จริงๆว่ะ มึงดีเกินกว่าที่กูจะเป็นได้ขนาดนั้นจริงๆ และที่สำคัญ.......”

“เฮ้ยๆๆๆ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลังของเราสองคน เราทั้งคู่จึงผละออกจากกันแล้วหันไปมองที่มาของเสียงทันที ไอ้ป๋อมตัวดีกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา “จะหวานกันไปถึงไหนวะ เดี๋ยวถ้ามีคนมาเห็นก็ได้กลายเป็นหัวข้อเมาท์หรอกพวกมึง”

“กูว่ากูจะบอกเพื่อนๆอยู่แล้วว่ะ คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร” ผมพูด

“กูรู้แล้ว ไอ้กอล์ฟบอกกูและ เพราะงั้นกูถึงได้ตามหาพวกมึงอยู่นี่ไง คือตอนนี้มันเพิ่งจะเป็นตอนบ่ายเอง กว่าเราจะเริ่มสังสรรค์กันก็เย็นๆค่ำๆ เก็บไฮไลท์ไว้ตอนสำคัญๆดีกว่ามั๊ยวะ กูจะบอกว่าให้พวกมึงสองคนถอดแหวนออกก่อน เก็บไว้ดีๆจะได้ไม่มีใครสังเกตเห็น ไปเล่นน้ำเล่นทรายทำอาหารด้วยกันให้เรียบร้อย แล้วดึกๆค่อยใส่อีกที เพราะไม่งั้นเดี๋ยวมันจะเลอะจะเปื้อน หรือเผลอๆจะหลุดหายไปซะเปล่าๆก็ได้ พวกมึงคิดว่าไง”

“อืมมม ก็จริงนะเมฆ กูก็คิดเหมือนมันว่ะ แหวนสำคัญของพ่อมึงด้วย เกิดหล่นหายในทรายหรืออะไรไปคงซวยชิบหายเลย แถมกูไม่ได้เที่ยวทะเลมาสามปีแล้ว อยากเล่นน้ำทะเลเหมือนกัน”

“ถ้างั้นก็ถอดดิ่ กูก็ไม่ได้หมายความว่ากูอยากจะใส่มันติดตัวตลอดขนาดนั้น แบบนี้มันก็จำเป็นต้องถอดจริงๆ ไม่ได้ถอดเพื่อหนีหรือโกหกใครด้วย เพราะงั้นกูไม่มีปัญหาหรอก”

“ว่าแต่ไอ้เมฆ นัทเค้ารู้เรื่องของมึงสองคนรึเปล่า” ไอ้ป๋อมถาม ซึ่งจะว่าไปผมเองก็ไม่เคยถามมันเรื่องนี้เลยเหมือนกัน

“นัทเหรอ.........” เมฆดูเงียบๆเหมือนหลงอยู่ในความคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกันว่ะ เอาเป็นว่าถ้าเค้าสงสัยหรือแม้แต่รู้อยู่แล้วก็คงไม่แปลกก็แล้วกัน เพราะตอนที่กูไปเจอเค้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนบิน กูก็พูดถึงชื่อของมึงไปเหมือนกัน ซัน เพราะงั้นเค้าก็อาจจะปะติดปะต่ออะไรเอาเองได้ แต่ว่าเราก็ไม่เคยพูดถึงมันอีกเลย กูก็เลยไม่ได้ยินจากปากของเขาว่าเขามั่นใจและรู้เรื่องของเราสองคนแค่ไหนน่ะ”

“ถ้างั้นเราสองคนกลับบ้านกันก่อนเถอะ เมฆ แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาใหม่ ฝากบอกคนอื่นๆด้วยแล้วกัน และถ้ามีใครอยากเอาของไปเก็บไว้ที่บ้านกู มึงก็บอกให้พวกมันขนของตามไปได้เลยนะ ไอ้ป๋อม”

“ได้ ไม่มีปัญหา”

ผมสองคนเดินออกจากบ้านของไอ้วิทแล้วตรงกลับไปยังบ้านของตัวเอง จากนั้นเราก็ถอดแหวนออกเก็บใส่กลองไว้ในลิ้นชัก และอีกไม่กี่นาทีถัดมา เพื่อนๆหลายคนของเราก็ขนกระเป๋าสัมภาระของพวกเขามาเก็บไว้ในบ้านของเราบ้าง บางคนก็บอกอยากจะนอนกลางวันสักหน่อย ส่วนบางคนก็นั่งคุยกับพวกเราเรื่องหลายๆเรื่อง และหลังจากนั้นไม่นาน เสียงรถยนต์ของไอ้วิทก็มาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเรา

เมื่อผมแนะนำไคล์ให้เพื่อนๆรู้จัก เขาก็ตกเป็นเป้าความสนใจในทันที เพราะแทบไม่มีใครเคยรู้เลยว่าผมมีญาติหรือมีน้องชายอยู่ที่อังกฤษ แถมญาติคนนี้ยังเป็นหนุ่มลูกครึ่งที่หน้าตาดีมากอีกด้วย จากนั้นเมฆก็ย้ายไปที่บ้านของวิทเพื่อเตรียมอาหาร ตอนแรกผมก็จะขอตามไปด้วย แต่เมฆบอกผมว่าให้เราอยู่ห่างๆกันบ้างก็ดี คนอื่นจะได้ไม่ผิดสังเกตมากนัก และนอกจากนั้นเราจะได้พูดคุยและทักทายกับเพื่อนๆทุกคนได้ทั่วถึงมากกว่าที่จะไปไหนมาไหนตัวติดกันตลอดด้วย

รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ไอ้เมฆมันพูดแบบนี้ แต่ก็อีกครั้งที่มันพูดถูกและผมก็เข้าใจมันดี

หลังจากนั่งคุยกับเพื่อนหลายๆคนในบ้านตัวเองสักพักใหญ่ๆ ผมก็ขอตัวออกมาเดินเล่นที่ชายหาดคนเดียว เมื่อคืนนี้ผมกับไอ้เมฆเดินเลียบไปทางซ้ายแล้ว เพราะงั้นคราวนี้ผมจึงตัดสินใจที่จะเลี้ยวไปทางขวาบ้าง ผมเองก็ดีใจนะที่ได้เจอเพื่อนๆอีกครั้ง แต่ว่าผมเองก็ไม่ค่อยชอบการถูกซักถามและตอบคำถามอะไรมากมายนัก นี่แค่ถ้ามีไอ้เมฆอยู่ด้วยมันก็คงจะดีกว่านี้เยอะ

ขณะที่ผมเดินเท้าเปล่าเลียบชายหาดออกไปเรื่อยๆ ผมก็สังเกตเห็นผู้ชายสองคนอยู่เบื้องหน้าไกลๆ คนหนึ่งนั้นกำลังผลุบๆโผล่ๆอยู่ที่รกไม้ริมห่างออกไปราวๆร้อยเมตร และเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ผู้ชายคนนั้นก็เดินหายไปซะแล้ว ตอนแรกผมคิดว่านั่นอาจจะเป็นหนึ่งในเพื่อนของเรารึเปล่า แต่เมื่อคิดดูดีๆมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ในเมื่อตอนนี้ทุกคนยังคงยุ่งอยู่กับการจัดของ พูดคุย และทำอาหารกันอยู่ที่บ้านอยู่เลย เพราะงั้นเขาก็คงเป็นชาวบ้านแถวนี้นั่นแหละ

ส่วนผู้ชายอีกคนนั้นกำลังแช่ตัวอยู่ในน้ำเลยออกไปอีกหน่อย เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เขากำลังเดินขึ้นมาจากน้ำพอดี จนเมื่อเราเดินมาอยู่ในระยะที่พอจะเห็นหน้ากันได้แล้ว ผมจึงจำเขาได้ทันทีว่าเขาคืออาร์มนั่นเอง เมื่อเราสบตากัน เขาก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้แก่ผม ส่วนผมเองก็ทำแบบนั้นตอบด้วยเช่นกัน

“เดินเล่นเหรอครับ” เขาตะโกนถามขึ้นมาจากน้ำ

“ครับ ว่าแต่ทำไมมาเล่นน้ำอยู่ไกลขนาดนี้ล่ะ แล้วพี่แอมป์ล่ะไปไหน อยู่บ้านเหรอ”

“พี่แอมป์ไปซื้อของข้างนอกครับ เย็นๆถึงจะกลับ เพราะว่าไม่อยากจะไปงานของพี่สองคนมือเปล่าน่ะครับ” เขาเดินขึ้นมาจากน้ำช้าๆ

ผมสังเกตใบหน้าของเด็กหนุ่มชัดๆก็เห็นว่าเขาเองก็หน้าตาดีไม่เบาเลยทีเดียวเหมือนกัน ผมที่ลู่น้ำลงมาปรกหน้าผาก คิ้วเข้มๆ ตาเป็นประกาย และที่สำคัญ เขากำลังใส่กางเกงขาสั้นแค่เพียงตัวเดียว แถมตอนนี้ในเมื่อเขาเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ มันจึงทำให้แทบไม่เหลืออะไรให้ต้องจินตนาการกันเลยทีเดียว

“แปลว่าคืนนี้มาชัวร์แน่แล้วนะครับ ดีเลย ไอ้เมฆมันจะได้ดีใจ”

“เมื่อคืนขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพี่แอมป์เอาไว้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แถมที่สำคัญ ส่วนมากแล้วคนที่เหนื่อยและช่วยจริงๆก็คือไอ้เมฆ ไม่ใช่พี่หรอก”

“พี่เมฆนี่เก่งแบบนี้ตลอดเลยรึเปล่าครับเนี่ย เห็นพี่แอมป์พูดให้ฟังแล้วผมยังทึ่งๆอยู่เลย แถมดูไม่ออกเลยนะครับว่าพี่เขาจะทำได้ขนาดนั้น”

“ปกติมันก็ไม่ได้เป็นคนแบบนั้นหรอก เฉพาะเวลาฉุกเฉินๆหรือมีเรื่องเท่านั้นแหละถึงจะได้เห็นมันเป็นแบบนั้น แต่มันก็เป็นคนที่พึ่งพาได้มากจริงๆ”

“งี้ใครได้พี่เมฆเป็นแฟนก็คงโชคดีมากเลยสิครับเนี่ย หน้าตาดีแถมยังเก่งอีกต่างหาก”

เมื่อได้ยินอาร์มพูดแบบนั้นและเห็นสีหน้าของเขาผมก็รู้สึกเอะใจนิดๆขึ้นมาทันที บางอย่างในแววตาของเขามันบอกผมว่าความหมายของสิ่งที่เขาพูดมันมีมากกว่าสิ่งที่ผมได้ยินอย่างบอกไม่ถูก

“อืมม ก็คงงั้นแหละมั๊ง แต่ว่าตอนนี้พี่ว่าพี่กลับก่อนดีกว่าครับ ถ้าเกิดหายตัวไปนานเกินแล้วเดี๋ยวเพื่อนๆจะด่าเอา”

“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวไว้ค่อยเจอกันนะครับพี่” อาร์มพูดพร้อมกับเดินกลับลงน้ำไป

ผมเองก็หันหลังกลับเดินไปยังบริเวณหน้าบ้านของไอ้วิทเช่นกัน เพื่อนบางคนก็เริ่มที่จะลงเล่นน้ำแล้ว ส่วนบางคนก็ยังคงนั่งเล่นพูดคุยถ่ายรูปกันอยู่ที่ริมหาด ถึงแดดตอนบ่ายสามโมงกว่าจะยังค่อนข้างแรง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อผู้ใหญ่ใจเด็กพวกนี้เลยจริงๆ นึกๆดูมันก็น่าแปลกที่พวกเรานั้นก็เรียกได้ว่ากำลังจะเป็นวัยทำงานเต็มตัวที่ไม่ใช่แค่เด็กวัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อมาได้อยู่รวมกลุ่มกันแบบนี้อีกครั้ง ภาพของสมัยที่เรายังเรียนชั้นมัธยมปลายด้วยกันกับภาพตอนปัจจุบันนี้มันก็ซ้อนทับกันพอดีแบบที่แทบจะแยกกันไม่ออกเลยทีเดียว ถึงเวลาจะเปลี่ยนไปแต่ยังไง ถึงเราจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดตอนนั้นมานานมากแล้วขนาดไหน แต่พวกเราก็คงจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเลยจริงๆ

“ไปไหนมาวะ ซัน กูก็ตามหามึงอยู่”

เมื่อผมหันกลับไปมองตามที่มาของเสียง ผมก็พบกับแบ๊งค์ที่กำลังยืนยิ้มรอผมอยู่แล้ว

“ไง ไอ้แบ๊งค์ ไม่ได้เจอกันสองปีแล้วสิเนี่ย รถตู้นี่ก็รถมึงไม่ใช่เหรอวะ เห็นเพื่อนๆบอก”

“สามปี ไม่ใช่สอง ถ้าสองปีก็ต้องบอกว่าสองปีกับอีกสิบเดือนน่ะนะ” แบ๊งค์ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ แต่อีกครั้งที่ผมรู้สึกว่ามันมีความรู้สึกแปลกๆแฝงอยู่ในรอยยิ้มของเขา คล้ายกับที่ผมรู้สึกกับอาร์มเมื่อครู่นี้ “ว่าแต่มึงเป็นไงมั่ง มึงดูไม่เปลี่ยนเลยนะ เปลี่ยนไปแค่อย่างเดียวก็คือเห็นพวกสาวๆมันคุยกันว่ามึงหล่อขึ้นว่ะ แถมกูว่าพวกมันพูดถูกด้วยนะเนี่ย”

“กูก็หล่อของกูมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชินแล้วว่ะ” ผมหัวเราะ “มึงเองก็ดูดีขึ้นเยอะเลยนะ แต่ก่อนยังตัวเล็กๆอยู่เลย เดี๋ยวนี้แม่งเล่นกล้ามเหรอวะ”

“นิดหน่อยว่ะ อยากจะตามมึงให้ทันเท่านั้นเอง แต่ก่อนมึงชอบล้อกูว่าไอ้แห้ง กูก็เลยปั๊มตัวเองสักหน่อย”

“สงสัยจะพอๆกับไอ้เมฆเลยนะมึงเนี่ย ตอนกูเจอไอ้เมฆครั้งแรกที่อังกฤษ หุ่นแม่งก็เปลี่ยนไปเยอะเลยเหมือนกัน แต่จะว่าไปตอนนั้นมันก็ไม่ได้ผอมเหมือนมึงอยู่แล้วนี่นะ”

“ว่าแต่ไอ้เมฆเป็นไงมั่ง กูยังไม่ได้เจอมันเลย เพิ่งจัดของเสร็จก็เห็นมึงเดินมาพอดีเลยเดินเข้ามาคุยกับมึงก่อน”

“ก็ดีแหละ เรื่อยๆทั้งคู่ แต่ถ้ามึงบอกกูหน้าตาดีขึ้นมึงต้องเห็นไอ้เมฆมัน กูก็ไม่รู้ว่ะ กูอยู่กับมันทุกวันเลยอาจจะชิน แต่กูว่ามันดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลยนะ ไม่ได้ดูเด็กๆเหมือนแต่ก่อนแล้ว” ผมเดินนำแบ๊งค์ไปนั่งลงที่เก้าอี้ใต้ต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง

“แต่ไอ้เมฆมันก็หน้าตาดีของมันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ จริงๆแล้วพวกมันก็พูดกันนะว่ามึงสองคนน่ะดูดีขึ้นมากจริงๆ ทั้งคู่เลย เว้นแต่เมื่อไหร่มึงจะไว้ผมยาวบ้างก็เท่านั้นเอง ไอ้ซัน”

“อ๋อ กูเป็นเหมือนจัสติน ทิมเบอร์เลคน่ะ ค้นพบตัวเองก็ที่ผมทรงสกินเฮด”

“หน้าด้านได้อีกนะมึงเนี่ย ไอ้ซัน” ไอ้แบ๊งค์หัวเราะ

“แต่กูก็ติดแล้วนะ ไว้ผมเกรียนๆแบบนี้น่ะ........” ผมยกมือขึ้นลูบหัวของตัวเองเบาๆ “และไอ้เมฆมันก็บอกว่าแบบนี้ดูดีแล้วด้วย”

“เออ คือ กูมีเรื่องสงสัยนิดหน่อยว่ะไอ้ซัน....... ที่เค้าว่าไอ้เมฆมันไปเรียนที่นั่นเพื่อที่จะไปหามึงนั่นมันจริงรึเปล่าวะ” แบ๊งค์พูดด้วยน้ำเสียงซีเรียสจนทำให้ผมต้องถึงกับชะงัก

“ใครบอกมึงแบบนั้น” ผมหันไปถามมัน

ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะได้มาสนิทกับไอ้เมฆเสียอีก คนที่ผมคลุกคลีและไปไหนมาไหนด้วยบ่อยๆก็คือไอ้แบ๊งค์นี่แหละ ไม่ว่าจะก่อนที่ผมถูกรถชนหรือหลังจากที่ผมหายดีและหายไปจากไอ้เมฆช่วงหนึ่ง แบ๊งค์คือคนที่ผมสนิทด้วยมากที่สุด ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงแล้วมันก็เป็นความรู้สึกลึกๆที่ผมค่อนข้างจะมั่นใจและรู้สึกได้ว่าแบ๊งค์นั้นไม่ค่อยจะถูกกับเมฆเท่าไหร่นัก ตัวไอ้เมฆเองอาจจะไม่รู้สึกตัว และถึงแม้เจ้าตัวเองจะไม่แสดงออกหรือพูดออกมาให้ผมได้รู้ แต่ว่าเวลาที่เขารู้ว่าผมอยู่กับเมฆหรือทำอะไรๆกับเมฆ แบ๊งค์ก็จะมีอาการนิดๆหน่อยๆออกมาให้เห็นได้แทบทุกครั้งจริงๆ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นอาการของการแสดงความเป็นคู่แข่งนั่นเอง ตอนแรกนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ถึงจะรู้สึก แต่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะไม่คิดว่ามันจะมีอะไรมากมาย แต่เมื่อผมเริ่มชอบเมฆขึ้นมาจริงๆจังๆ ผมก็ยิ่งเห็นชัดว่าแบ๊งค์ก็คงจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงภายในใจของผมด้วย และนั่นจึงทำให้ผมเริ่มคุยกับเขาน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งช่วงที่ผมกับเมฆทะเลาะกัน ผมก็แทบปิดตัวเองจากเขาไปเลย

น่าแปลกนะที่ตอนนั้นผมแทบไม่คิดเลยว่าเขานั้นจะแอบชอบผมอยู่ แต่พอได้เจอหน้าเขาแบบนี้อีกครั้งผมถึงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์เหล่านั้นในตอนนั้นของเขามันไม่ใช่แค่อารมณ์หึงเพื่อนสนิท แต่คงเป็นอารมณ์หึงหวงคนรักเลยจริงๆมากกว่า

“เฮ้ย มึงอย่าเพิ่งซีเรียสสิวะ ก็แค่ตอนที่ไอ้เมฆมันไปตอนแรกๆ เขาก็แซวกันว่าพวกมึงนี่ตัวติดกันจริงๆเลยนะอะไรแบบนี้น่ะ ก็ใครๆเขาก็รู้ว่ามึงสนิทกัน แถมก่อนนั้นมึงยังมีปัญหากันอีก ก็เลยพูดกันขำๆน่ะ”

“ไอ้เมฆมันไม่ได้ไปหากูหรอก มันไปเรียน แต่ครอบครัวกูเองต่างหากที่ชวนให้มันมาเรียนที่เดียวกับกูและนอนบ้านกูด้วย”

“แล้วพ่อแม่มึงเป็นไงมั่งวะ สบายดีรึเปล่า”

“ก็ดีว่ะ เรื่อยๆเหมือนกัน ว่าแต่มึงเหอะมีแฟนรึยัง” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องให้ออกไปจากชีวิตส่วนตัวของผม

“ไม่มีว่ะ เคยลองคบคนนู้นคนนี้นะ แต่สุดท้ายแล้วกูก็ลืมรักครั้งแรกของกูไม่ได้ และบางทีกูก็อาจจะยังรอเขาอยู่ตลอดมาก็ได้.......” แบ๊งค์ก้มหน้าตลอดอยู่เวลาที่พูด แต่เมื่อถึงประโยคสุดท้ายเขากลับเงยหน้าขึ้นมามองผม และสายตานั้นของเขามันทำให้ผมต้องรู้สึกแปลกๆเป็นครั้งที่สามในคนที่สองของวัน

คนแรกคืออาร์มเมื่อไม่ถึงสองนาทีก่อนหน้านี้ คนที่สองคือแบ๊งค์ และมันยังทำให้ผมรู้สึกแปลกๆแบบนี้ได้ถึงสองครั้งเลยด้วย ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรจะอยู่คนเดียวแบบนี้อีกต่อไปแล้ว อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ตามลำพังกับคนที่ส่งความรู้สึกพิลึกๆแบบนั้นมาให้ผมโดยที่ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่แบบนี้แน่นอน

“กูขอตัวไปตามหาไอ้เมฆก่อนนะ มีเรื่องจะคุยกับมันหน่อยว่ะ” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่ได้รอคำตอบหรือหันกลับมามองแบ๊งค์อีกเลย

ผมเดินผ่านเพื่อนๆบางคนที่กำลังเล่นน้ำกันอยู่แล้วโบกมือให้พร้อมกับตะโกนบอกว่าเดี๋ยวจะมาเล่นด้วย ผมเดินผ่านคนที่นั่งคุยกันอยู่ที่ริมหาดแล้วบอกว่าเดี๋ยวจะมานั่งด้วย ผมเดินผ่านคนที่กำลังนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในบ้านของไอ้วิทแล้วบอกไปว่าเดี๋ยวจะมาคุยด้วยอีกเช่นกัน จนกระทั่งผมเจอไอ้เมฆกำลังง่วนอยู่ในครัว และมีอีฟ แป๊ะ ไคล์ และไอ้วิทอยู่ด้วย ผมจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมากที่มีแต่พวกเรากันเองเท่านั้น และเดินตรงเข้าไปโอบเอวของไอ้ตัวดีของผมพร้อมกับหอมแก้มมันฟอดใหญ่

ทำไมผมถึงได้รู้สึกสบายใจที่ได้เห็นหน้ามันมากขนาดนี้นะ

“เป็นอะไรมึง ไอ้แสบ เมาแดดเหรอวะ” ไอ้เมฆหัวเราะบาๆ ส่วนคนอื่นๆก็ส่งเสียงวี้ดวิ้วปนเสียงโห่แซวเล็กๆกันใหญ่

“เปล่า แค่พออยู่ข้างนอกแล้วรู้สึกแปลกๆนิดหน่อยว่ะ”

“แปลกยังไงของมึงวะ ไอ้ซัน” อีฟถาม

“กูก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ะ....... เอาเป็นว่าขอกูอยู่กับพวกมึงในครัวด้วยก็แล้วกัน” ผมมองตาเมฆและเห็นแววตาสงสัยของมันฉายแววอยู่ลึกๆ ผมแทบไม่เคยโกหก ปิดบัง หรือซ่อนความรู้สึกอะไรให้พ้นจากมันได้เลยจริงๆ

“มึงมีอะไรอยากจะคุยรึเปล่า” เมฆถามผมเบาๆ

ผมส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ ไม่ใช่ว่าผมอยากจะโกหกมัน แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับมันยังไงเหมือนกันจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องความรู้สึกแปลกๆที่ผมได้รับจากอาร์ม ซึ่งนั่นก็เป็นไปได้สูงว่าผมอาจจะแค่คิดไปเอง และเรื่องไอ้แบ๊งค์ที่ผมคงไม่ได้คิดไปเองแน่ แต่ผมก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์ยังไงที่เมฆจะรู้ในตอนนี้

นอกจากเมฆจะสอนผมเรื่องศิลปะการต่อสู้เล็กๆน้อยๆและลากผมให้ไปเข้าคลาสเทควันโดกับมันด้วยแล้ว มันยังสอนให้ผมทำอาหารและลากผมให้เป็นลูกมือช่วยมันในหลายๆครั้งอีกด้วย บอกตามตรงว่าผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครที่สนใจทำอะไรหลายๆอย่างเป็นเหมือนกับงานอดิเรก และยังคงทำสิ่งเหล่านั้นต่อไปได้เรื่อยๆไม่เคยทิ้งจนเป็นนิสัยได้เหมือนกับไอ้เมฆแบบนี้เลย มันทั้งเรียนยูโด เทควันโด และไอคิโดอีกนิดหน่อย มันชอบอ่านหนังสือ ฟังเพลง ชอบทำอาหาร และยังกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้การทำอาหารตะวันตกสูตรอื่นๆอีกด้วย นอกจากนั้นก็ยังคงใส่ใจเรื่องการเรียน เล่นบาสเป็นประจำ ทำงานบ้าน เคยให้ผมสอนยิงปืน แถมหลังๆมานี้ยังเริ่มชอบการถ่ายรูปด้วยอีกต่างหาก

ซึ่งแน่นอนว่ารูปส่วนมากที่มันถ่ายก็คือรูปวิวทิวทัศน์ หรือรูปท้องฟ้านั่นเอง

ผมเป็นลูกมือป้วนเปี้ยนอยู่ในครัวได้ราวๆครึ่งชั่วโมง การเตรียมอาหารขั้นต้นก็จบลง ส่วนที่เหลือก็มีแค่ลงมือทำตอนก่อนงานจะเริ่มเท่านั้นเอง

“เมฆ นัทมาถึงแล้วนะ” เดียร์ เพื่อนของเราคนหนึ่งเดินมาพร้อมไอ้ป๋อมเพื่อบอกข่าว

ผมกับเมฆมองหน้ากันแล้วผมก็พยักหน้า หลังจากนั้นเมื่อเมฆหันไปมองคนคนอื่นๆ ทุกคนในห้องครัวก็พยักหน้าให้กับมันด้วยเช่นกัน เมฆหันกลับมาหาผมอีกครั้งแล้วก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

“มึงไม่ไปด้วยเหรอวะ ซัน” อีฟถาม

“ไม่อ่ะ ไปทำแกะอะไรวะ ไม่เห็นว่ากูจะจำเป็นเลยนี่หว่า แค่นัทมาแล้วไอ้เมฆออกไปรับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ แถมมันก็บอกกูแล้วว่ามันรับมือได้”

“แต่นัทมันมาพร้อมแฟนมันนะ” ไอ้แป๊ะพูดขึ้น

“เออ แถมเขามาในฐานะแขกที่มาต้อนรับการกลับมาของมึงสองคนนะ ไม่ใช่ไอ้เมฆคนเดียว กูว่ามึงออกไปด้วยเหอะ เดี๋ยวพวกกูเก็บล้างเสร็จแล้วจะรีบตามออกไป” อีฟพูดเสริม

ผมพยักหน้าเบาๆจากนั้นก็เดินออกจากห้องครัวตามไอ้เมฆออกไป และเมื่อผมเดินมาถึงหน้าบ้าน ผมก็พบเมฆกำลังยืนคุยอยู่กับนัท และคนที่ยืนอยู่ข้างๆนัทก็คงเป็นแฟนของเขานั่นเอง ผมมองไปรอบๆข้าง เพื่อนหลายคนกำลังมองมาที่ทั้งสามคนอยู่ และบางคนก็เดินเข้ามาคุยกับนัทนิดหน่อยแล้วก็เดินกลับไป ผมตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาทั้งสามคน และเมื่อนัทเห็นผม เขาก็ส่งยิ้มกว้างมาให้ผมเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แต่ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับไม่ได้กำลังยิ้มให้แก่ผมไปด้วยเลยจริงๆ

“เป็นไงมั่ง ซัน คิดถึงจังเลย” นัททักผม จากนั้นก็หันไปหาแฟนของตัวเอง “พี่จ๊อบ นี่ซันเพื่อนนัท ไปอังกฤษก่อนเมฆปีหนึ่ง คนที่นัทเคยเล่าให้ฟังไง”

มันไปเล่าเรื่องผมอะไรให้แฟนมันฟังกันวะ

“สวัสดีครับ” ผมก้มหัวน้อยๆให้พี่จ๊อบ หน้าตาเขาก็ดูไม่เลวอยู่หรอก แต่ท่าทางการแสดงออกนี่สิที่เป็นปัญหา

“นี่พี่จ๊อบ แฟนนัท เป็นรุ่นพี่นัทสองปีตอนเรียนมหาลัยน่ะ เออ จริงสิ เมฆ ว่าแต่ตอนนี้เมฆมีแฟนรึยัง” นัทหันไปหาเมฆอีกครั้ง

“พี่จ๊อบกับนัทมีกระเป๋ารึเปล่าครับ ผมจะบอกให้ว่าเอาไปเก็บที่ไหน เพราะว่ามีบ้านสองหลังน่ะ หลังนี้ของไอ้วิทกับหลังของผมข้างในนั้น” ผมพูดขัดขึ้น

“ตอนแรกไอ้วิทบอกว่าให้ผู้ชายนอนหลังของเมฆน่ะนัท ส่วนผู้หญิงนอนหลังนี้ มันคงต้องนอนรวมๆกันน่ะนะเพราะคนเยอะ แต่ถ้านัทอยากนอนกับพี่จ๊อบก็คงไม่เป็นไร”

“ไปนอนบ้านของเมฆก็แล้วกันนะ นัท เผื่อนัทอยากนอนเร็วมันจะได้ไกลจากเสียงดังหน่อย” พี่จ๊อบหันไปพูดกับนัท

“ก็ได้ แล้วแต่พี่แหละ”

“งั้นพี่เอาของไปเก็บกับซันก่อนนะ ส่วนนัทก็คุยกับเมฆกับเพื่อนๆไปก่อนแล้วกัน รบกวนซันนำทางด้วยนะครับ” ประโยคหลังเขาหันมาพูดกับผม

“ได้ครับ” ผมพยักหน้า

ผมเดินนำพี่จ๊อบไปยังบ้านของตัวเอง แต่เนื่องจากตอนนี้เพื่อนทุกคนไปรวมตัวกันอยู่ที่บ้านของไอ้วิทกันหมด ทำให้ในบ้านไม่มีคนอยู่เลยสักคนเดียว และเมื่อผมบอกให้พี่เขาวางกระเป๋าลงในห้องแล้ว พี่จ๊อบที่เงียบมาตลอดก็เริ่มชวนผมคุย

“เมฆกับนัทนี่เขาเคยคบกันจริงๆใช่มั๊ยครับ ซัน”

“ครับ ผมคิดว่าพี่น่าจะรู้อยู่แล้วนี่”

“ก็รู้แหละครับ แต่นัทก็ไม่ค่อยได้พูดอะไรเกี่ยวกับเมฆมากนักหรอก รู้แต่ว่าคบๆเลิกๆกันตลอดช่วงมอปลาย จนกระทั่งเมฆไปอังกฤษนั่นน่ะ”

“ก็ประมาณนั้นมั๊งครับ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจมากนัก

“แล้วตกลงเมฆตอนนี้มีแฟนรึยังครับเนี่ย ซันรู้รึเปล่า ไปอยู่ที่นั่นมาด้วยกันน่าจะสนิทกันนี่ ใช่มั๊ย”

“สนิทครับ สนิทมากด้วย แต่เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเมฆมัน ผมไม่อยากเป็นฝ่ายพูดเองน่ะครับ ถ้าพี่อยากรู้ผมว่าพี่ไปถามเจ้าตัวเขาเองดีกว่า”

“ปกป้องกันดีจังเลยนะ เป็นมากกว่าเพื่อนกันรึเปล่าเนี่ย” พี่จ๊อบพูดพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก

“ก็อาจเป็นได้นะครับ” ผมหันไปตอบพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากและเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นด้วย ถ้าใครไม่ได้มาดีกับผม ผมก็ไม่คิดจะตอบกลับไปแบบดีๆเหมือนกัน และไอ้พี่จ๊อบคนนี้นี่ก็ท่าทางจะกวนตีนไม่เบาอย่างที่ไอ้วิทพูดจริงๆ “และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันจะทำไมเหรอครับ พี่จ๊อบ”

“ก็ไม่ทำไมหรอก พี่ก็แค่สงสัยเฉยๆ เพราะว่าพูดตรงๆนัทเขาก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกัน เขาคงแค่รอให้ได้ยินจากปากเมฆเท่านั้นเองมั๊ง ส่วนพี่ก็เลยอยากได้ยินจากปากซันไง”

“ก็อย่างที่ผมบอกแหละครับพี่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเรา ถ้าผมหรือไอ้เมฆอยากให้ใครรู้ เราก็คงบอกออกจากปากเองว่าตกลงเราเป็นเพื่อนกันหรือแฟนกันหรือมีแฟนเป็นใครอะไรยังไง ถ้าแค่เพื่อนๆของเราก็ยังไม่เท่าไหร่หรอกครับ เพราะเราสนิทกันมากมานานแล้ว แต่กับพี่ที่ผมเพิ่งเจอหน้าแค่ไม่ถึงสิบนาทีเนี่ย ผมยังไม่สนิทใจขนาดนั้นหรอกนะ”

“โอโห ดุจริงเว้ย สมคำร่ำลืมจริงๆ” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆ แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ

พอเราสองคนเดินกลับมาถึงหน้าบ้านของไอ้วิท พี่จ๊อบก็เดินตรงเข้าไปหานัท ส่วนผมก็เดินตรงเข้าไปลากไอ้เมฆออกมา พอผมถามว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีมั๊ย ไอ้เมฆก็ตอบว่าทุกอย่างโอเค ส่วนเมื่อมันถามผมว่าแล้วพี่จ๊อบล่ะเป็นยังไงบ้าง ผมก็อดไม่ได้ที่จะเล่าทุกสิ่งที่เราเพิ่งคุยกันไปให้มันฟัง จนเมื่อผมเล่าจบไอ้เมฆก็หาว่าผมใจร้อนเกินไปทันที แต่มันก็ยอมรับว่าท่าทางพี่จ๊อบจะกวนประสาทผมได้อยู่ไม่น้อยจริงๆเหมือนกัน

สรุปว่าวันนี้มีคนถึงสามคนแล้วที่สร้างความรู้สึกแปลกๆให้กับผมเวลาที่ผมคุยด้วย ผมหวังว่ามันจะเป็นอะไรที่ผมคิดมากไปเองนะ และก็หวังด้วยว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาในภายหลัง.........


แต่ตอนนั้นผมไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าลางสังหรณ์ของผมนั้นมันถูกต้อง และความหวังของผมมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเลย



น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
แหม ตัวละครแยะจริงหนา
มีคนมากก็มีปัญหามากตามมาแหงเลย
งึม.. งำ.. พยายามทำใจกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
อืม มือที่สามบวกสภาพแวดล้อม  :m17:  :m17: จะมีอะไรเพิ่มเข้ามาอีกมั๊ย  :m13:

No_ProMises

  • บุคคลทั่วไป
ขอติดไว้ก่อนนะพี่ เด๊วมาอ่านต่อ หุหุ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
ยังอ่านภาคที่แล้วไม่จบ แต่ขอแวะเข้ามาหวัดดีคุณต้นก่อนครับผม
ว่าแล้วก็ย่องออกไปเงียบๆ  :m7:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 5


ในบรรดาคนสามคนที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆวันนี้ อาร์มเป็นคนเดียวที่ผมรู้สึกสบายใจด้วยมากที่สุด เพราะว่าแค่คำพูดประโยคเดียวของเขานั้นมันอาจจะเป็นอะไรที่ผมคิดมากไปเองก็ได้ อย่างมากเขาก็คงสงสัยว่าผมกับเมฆเป็นอะไรกันรึเปล่าก็เท่านั้นเอง ซึ่งสำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อยู่แล้ว ยังไงๆวันนี้คนอีกหลายสิบคนก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี แต่ไอ้แบ๊งค์กับพี่จ๊อบนี่สิที่เป็นปัญหา สายตาของทั้งคู่ที่มองมายังเราสองคนมันชักทำให้ผมรู้สึกรำคาญใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับเมฆ จะมีอยู่หลายครั้งมากที่แบ๊งค์มองมาทางเราด้วยสายตาแปลกๆ เป็นสายตาของคนที่กำลังสงสัยและมีแววตาของความข้องใจนิดๆอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าไม่ติดว่ามันเป็นเพื่อนของเราและผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของมันอยู่แล้วล่ะก็ ผมคงไม่ทนแบบนี้แน่ ส่วนพี่จ๊อบนั้นถึงจะอยู่กับนัทตลอดเวลา แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหลายต่อหลายครั้งเขาถึงได้ชอบมองมาที่ผมกับไอ้เมฆนัก และผมรู้สึกว่าเป้าหมายสายตาของเขาส่วนมากแล้วก็คือไอ้เมฆซะด้วย

“มึงก็รู้ตัวใช่มั๊ย ไอ้เมฆ” ผมถามไอ้เมฆขณะที่เราเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาจังหวะคุยกันตามลำพังสองคน

“ก็นิดหน่อยว่ะ ทั้งพี่จ๊อบแล้วก็ไอ้แบ๊งค์........ กูก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกนะ แต่คือถ้าจะว่ากันตามตรงแล้ว พี่จ๊อบเนี่ยมันก็คงพอมีเหตุ แต่ไอ้แบ๊งค์นี่สิ.........” เมฆหันมามองผมด้วยแววตาสงสัย “มึงมีอะไรอยากจะบอกกูรึเปล่า”

นี่แปลว่าตลอดเวลาตอนมอปลายนั้นไอ้เมฆไม่เคยรู้สึกตัวหรือสงสัยเรื่องไอ้แบ๊งค์เลยจริงๆด้วย

“เปล่า ไม่มีหรอก มันอาจจะแค่สงสัยเราสองคนอยู่ก็ได้มั๊ง ไม่ใช่แค่ไอ้แบ๊งค์หรอก กูว่าไอ้พี่จ๊อบเองก็เหมือนกัน แถมยังเพื่อนคนอื่นๆอีกด้วยไม่ใช่แค่สองคนนั้น”

“อืมม มันก็จริงของมึง แต่ว่านี่ก็จะห้าโมงแล้ว มึงว่าเราจะบอกทุกคนยังไงตอนไหนดีวะ กูยังมองไม่เห็นช่องทางเลย”

“เมื่อเวลามาถึงเดี๋ยวเราก็รู้เองแหละ........” ผมมองหน้ามันที่กำลังก้มๆเงยๆเก็บของใส่ถุงอยู่ตรงเคาน์เตอร์แล้วก็เกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันที “นี่เมฆ กูถามไรหน่อยดิ่”

“หืมม” เมฆตอบกลับมาโดยไม่ได้หันมามองผม

“เมื่อตอนมอปลาย มึงคิดไงกะไอ้แบ๊งค์วะ”

“มึงหมายความว่าไง คิดยังไงกับไอ้แบ๊งค์” เมฆหยุดมือลงแล้วหันมามองผมตรงๆทันที

“ก็...... ไม่รู้ดิ่ กูมาคิดๆดู ตอนนั้นกูกับมันก็สนิทกัน แล้วมึงก็สนิทกับกู กูไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยจนมาวันนี้แหละ ว่าตอนนั้นมึงเคยหึงกูเรื่องไอ้แบ๊งค์หรืออะไรแบบนั้นมั่งรึเปล่า”

“อ๋อ เรื่องนั้นอ่ะเหรอ ก็ไม่นะ กูเฉยๆว่ะ ก็มีตงิดๆใจบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะไอ้แบ๊งค์มันก็ไม่ค่อยสนิทกับกูเท่าไหร่อยู่แล้ว กูก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากมายมั๊ง”

คำตอบของมันแทนที่จะทำให้ผมสบายใจว่านี่แหละคือไอ้เมฆ นี่แหละคือคนที่มองโลกในแง่ดีและรักคนอื่นอยู่เสมอๆ แต่ว่ามันมีอะไรบางอย่างในใจของผมที่ร้องเตือนว่า ถ้าไอ้เมฆยังคงมองโลกในแง่ดีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ความดีของมันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวมันเองเข้าให้ก็ได้

“นี่เมฆ มึงฟังกูนะ” ผมเดินเข้าไปจับไหล่มันให้หันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง “กูรักมึง มึงรักกู เรื่องนี้เป็นเรื่องของเราสองคนเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว มึงเข้าใจใช่มั๊ย มึงรับปากกูได้มั๊ยว่าความรักของเราก็จะมีเพียงแต่เราสองคนเท่านั้นที่เข้าใจ ไม่เกี่ยวว่าสายตาของคนอื่นจะมองเราว่ายังไงก็ตาม”

เมฆมองตาผมแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าออกมา “อืม กูรับปาก กูรักมึงมานานเท่าไหร่แล้วซัน เราคบกันมาเจ็ดปีแล้วนะ เป็นแฟนกันมาก็สามปี มึงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก........ เพียงแต่ว่าตอนนี้มึงต้องบอกกูได้แล้วว่าตอนนี้มึงเป็นอะไรอยู่กันแน่ มึงกำลังคิดมากเรื่องอะไร”

คราวนี้ถึงตาผมเป็นฝ่ายต้องนิ่งเงียบบ้างแล้ว แต่เมื่อผมกำลังอ้าปากจะพูดขึ้น พี่จ๊อบก็เดินเข้าในห้องครัวพอดี

“อ้าว ขอโทษนะครับ พี่ว่าจะเข้ามาหยิบเบียร์สักกระป๋อง” พี่จ๊อบพูดพร้อมรอยยิ้มแบบแปลกๆ สายตาของเขามองมายังมือของผมที่ยังคงวางอยู่บนหัวไหล่ของไอ้เมฆอยู่ แต่แทนที่ผมจะลดมือลง เมื่อผมเห็นสายตาแบบนั้นของเขาแล้วผมจึงตัดสินใจดึงตัวไอ้เมฆให้เข้ามาโอบเอวแทน

“อยู่ในตู้เย็นน่ะครับ พี่หยิบได้ตามสบายเลย” ไอ้เมฆตอบออกไป

พี่จ๊อบเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์ออกมาสองกระป๋อง แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไป เขาก็หันกลับมายิ้มให้เราสองคนอีกครั้ง........ แต่ถ้าพูดให้ถูกก็คือเขาหันกลับมายิ้มให้ไอ้เมฆซะมากกว่ายิ้มให้เราทั้งสองคน และนอกจากนั้นยังเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกชอบใจแม้แต่นิดเดียวเลยด้วย

“กูว่าเกลียดมันไปแล้วว่ะ กูเกลียดรอยยิ้มมัน” ผมพูดขึ้นเมื่อพี่จ๊อบเดินจากไปแล้ว

“ใจเย็นๆ ซัน กูพอเข้าใจมึงนะ แต่เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรเรานี่นา มึงอย่าไปสนใจเลย”

“ก็แล้วทำไมมันต้องมองมึงยิ้มให้มึงแบบนั้นวะ แบบนี้มันจงใจกวนโอ๊ยกูนี่หว่า”

“เอาน่า มึงใจเย็นๆ เมื่อกี๊มึงพูดเองไม่ใช่เหรอว่ามันเป็นเรื่องของเราสองคนเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยวน่ะ ว่าแต่เมื่อกี๊มึงจะพูดอะไรนะ บอกกูอีกทีได้มั๊ยวะ ก่อนที่จะมีใครมาขัดจังหวะเอาอีก”

“เออ....... คือจริงๆกูก็ไม่ได้คิดมากหรอก แต่แค่กูจะบอกมึงสองอย่าง อย่างแรกเลยก็คือไอ้พี่จ๊อบนั่นแหละ กูรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจมันยังไงไม่รู้ มันอาจจะหาเรื่องมากวนตีนมึงเพราะว่ามึงเคยคบกับนัทมาก่อนก็ได้ กูไม่รู้หรอก กูแค่ไม่ชอบมัน ส่วนอีกเรื่อง........ เรื่องไอ้แบ๊งค์น่ะ กูเห็นมันมองมาที่เราแปลกๆ และกูจะบอกมึงว่ามันเองก็น่าจะสงสัยเราสองคนมาตั้งแต่ตอนมอปลายแล้ว แต่ที่มึงบอกกูมาเมื่อกี๊ก็แปลว่ามึงเคยไม่รู้ตัวเลย ส่วนนอกจากนั้นยังมีนัทอีก คือหลักๆก็ไอ้พวกเนี๊ยแหละ ที่กูไม่รู้ว่าพอเราเปิดตัวแล้วปฏิกิริยามันจะเป็นยังไงน่ะ”

“ซัน มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่ามันเป็นเรื่องของเราสองคน อย่าเพิ่งกังวลล่วงหน้าไปเลย รอดูว่ามันจะเป็นยังไงกันก่อนดีกว่า ถ้ามันเกิดปัญหาขึ้นมาเราก็ค่อยช่วยกันแก้ไง นะครับ” เมฆยิ้มกว้างแล้วชะโงกมาหอมแก้มผมเบาๆ

มันก็จริงอย่างที่เมฆพูด แต่ว่าเรื่องของไอ้แบ๊งค์มันไม่ได้มีเพียงแค่นั้นน่ะสิ แต่ก็เอาเถอะ ผมคงจะคิดมากไปเอง ถึงจะยังไงมันก็ผ่านไปตั้งสี่ปีแล้ว และมันเองก็คงไม่กล้าพอที่จะเปิดตัวว่ามันแอบชอบผมมานานแล้วในวันที่ผมเปิดตัวว่าเป็นแฟนกับไอ้เมฆแบบนี้หรอก และนอกเหนือจากนั้น ต่อให้มันชอบผมจริง แต่ถึงยังไงๆความเป็นไปได้ที่เรื่องอื่นๆมันจะเกิดขึ้นก็ยังคงต่ำมากอยู่ดี

สงสัยจริงๆแล้วลึกๆผมคงจะกังวลเรื่องในคืนนี้มากกว่าที่ผมรู้ตัวเสียอีก นี่แหละนะ ที่ผมถึงได้รู้สึกว่าจริงๆแล้วคนที่เข้มแข็งที่สุดในความสัมพันธ์ของเรานั้นมันก็คือไอ้เมฆต่างหาก ไม่ใช่ตัวผมเอง

“ไปเล่นน้ำกันเหอะ” ไอ้เมฆยิ้มกว้างแล้วก็ถอดเสื้อของตัวเองออกตรงนั้นเลย ผมเองก็ยิ้มกว้างแล้วก็ทำแบบนั้นด้วยเช่นกัน ถึงผมจะเห็นร่างกายของมันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ผมก็ยังอดปลื้มในร่างกายอันสมส่วนของมันไม่ได้จริงๆ แม้ว่ามันจะเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย แต่ว่าพอดูจากรูปร่างโดยรวมแล้ว มันก็แทบจะมีขนาดร่างกายไม่ต่างไปจากผมเลยแม้แต่นิดเดียว

เราสองคนพาดเสื้อไว้ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น จากนั้นก็เดินเปลือยอกออกจากบ้านไปพร้อมๆกัน ทำให้เพื่อนหลายคนซึ่งตอนนี้ส่วนมากแช่อยู่ในน้ำกันหมดแล้วหันมาแซวเราทั้งคู่กันยกใหญ่

“มาแล้วว้อยยยยย สองหน่ออออ”

“แถมตอนเข้าบ้านไปมีเสื้อผ้าอยู่ครบ แต่พอออกมากลับแก้ผ้าออกมาซะอย่างนั้นเลยเฮ้ย”

“หุ่นดีมาก สาดดดดด หมั่นไส้ว้อยยยยย!”

“หล่อ หล่อมากกกกก!! ไอ้พวกเลวว! กูเกลียดพวกมึ๊งงงงงง!!”

“จับพวกแม่งโยนลงน้ำเลย!!”

พอสิ้นเสียงคนสุดท้ายซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นใครตะโกนขึ้นมา บรรดาผู้ชายนับสิบคนก็กรูขึ้นมาจากน้ำแล้วก็เข้ามารุมจับ รัด และช่วยกันหามผมกับไอ้เมฆทันที ผมพยายามจะดิ้นแต่ก็ดิ้นไม่หลุด พอเหลือบตามองไปที่ไอ้เมฆก็เห็นมันกำลัง “แกล้ง” ทำท่าขัดขืนพร้อมกับหลิ่วตาให้ผมแบบรู้ทัน.......... นั่นล่ะนิสัยมันล่ะ ใครทำอะไรมันไว้จะต้องได้ชดใช้คืนทีหลังแน่

เราสองคนถูกเพื่อนๆจับเหวี่ยงลงน้ำพร้อมๆกัน เสียงหัวเราะดังครืนไปทั่ว และเมื่อเราสองคนโผล่พ้นน้ำมาแล้ว ผมกับไอ้เมฆก็ออกวิ่งไล่เพื่อนๆที่หามเราเมื่อกี๊ทีละคนทันที จากนั้นเราก็ช่วยกันปล้ำแบบสองต่อหนึ่งแล้วก็เอาทรายยัดใส่ลงไปในกางเกงของพวกมันทีละคนๆ

ช่างเป็นการแก้เผ็ดและเป็นการกระทำของคนที่สมกับโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ

นอกจากผู้หญิงแค่สามสี่คน แฟนๆของเพื่อนเราที่ผมไม่รู้จัก และพี่จ๊อบที่นั่งอยู่บนชายหาด พวกเราที่เหลือต่างก็ดำผุดดำว่ายกันอยู่ในทะเลกันอยู่นานพอสมควรทีเดียว พวกเราทั้งเล่นไล่จับ แกล้งเพื่อน ปาทรายใส่กัน และดำน้ำไปแอบดึงกางเกงคนอื่น เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในน้ำที่ทำให้เรารู้ว่าไม่ว่าจะสี่ปีก่อนหรืออีกสี่ปีต่อไป พวกเราก็คงจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปอีกนานแน่ๆ

เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่มตรง เตาย่างบาร์บีคิวและเตาย่างอาหารทะเลที่เราเตรียมกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายก็พร้อมหมดทุกอย่าง และหลังจากที่เราเริ่มเอาอาหารออกมาปิ้งย่างกันได้ไม่นาน พี่แอมป์กับอาร์มก็เดินเข้ามาพอดี โดยคนแรกที่สังเกตเห็นทั้งคู่ก็คือไอ้เมฆนั่นเอง

“พี่แอมป์ อาร์ม ทางนี้เลยครับ” เมฆร้องเรียก

“นี่ค่ะ ของเล็กๆน้อยๆ พี่ไม่อยากจะมามือเปล่า” พี่แอมป์ยื่นกล่องแบล็คเลเบลให้กับเราสองคน พร้อมกับกับข้าวถุงใหญ่ๆอีกสองสามถุงด้วย

“ขอบคุณมากครับพี่ ว่าแต่ยังไม่ได้ทานอะไรกันมาใช่มั๊ยครับ หิวกันรึเปล่า หาที่นั่งได้ตามสบายเลยนะครับ จานกับแก้วก็อยู่ตรงนั้นเลย”

“ขอบคุณมากค่ะ ว่าแต่เพื่อนมากันเยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย เห็นอาร์มพูดไว้เหมือนกันว่าคนเยอะ แต่พอมาเห็นเข้าจริงๆก็ตกใจไปเลยเหมือนกัน”

ผมหันไปมองอาร์ม แต่ว่าเขาไม่ได้กำลังมองมาที่เราสองคนอยู่ ผมคิดว่าเขาคงกำลังมองเลยไปยังกลุ่มเพื่อนๆของเราทางด้านหลังนั่นมากกว่า

“ก็นิดหน่อยน่ะครับ เออจริงสิ ผมมีคนๆนึงจะแนะนำพี่แอมป์กับอาร์มน่ะครับ น้องชายของไอ้ซันมันเอง อายุน่าจะใกล้ๆกันกับอาร์มนะ”

“เออใช่ ลืมไปเลยว่ะ” ผมหันกลับไปมองหาไคล์ และเมื่อเห็นเขากำลังยืนอยู่กับไอ้วิท ผมก็ตะโกนเรียกเขามา

“ว่าไง ซัน” ไคล์เดินมาหยุดอยู่ข้างๆเราสี่คน และเมื่ออาร์มกับไคล์เห็นหน้ากัน เขาทั้งสองคนก็มีท่าทางประหลาดใจขึ้นมาทันที

“อ้าว ไคล์จริงๆด้วย”

“อาร์ม”

ผม เมฆ และพี่แอมป์ยืนมองคนทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ถ้าเราเดาท่าทางของทั้งคู่ไม่ผิดนั่นก็แปลว่าพวกเขารู้จักกันอยู่แล้วอย่างนั้นน่ะหรือ

“น้องชายของคนที่ศิลากับซันช่วยไว้เมื่อวานคืออาร์มเองน่ะเหรอ” ไคล์พูดขึ้น จากนั้นก็หันมาหาผมสองคน “นี่เพื่อนผมที่คณะเองครับ ชื่ออาร์ม แต่ผมไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะบังเอิญขนาดนี้”

“งั้นก็แปลว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วสินะเนี่ย”

“ใช่ ซัน แต่รู้อะไรมั๊ย มันทำให้ผมนึกถึงความบังเอิญเมื่อสี่ปีก่อนที่แกรนด์แคนยอนนะ” ไคล์พูดพร้อมด้วยแววตาแปลกๆที่ผมไม่เข้าใจ

“หมายความว่าไง ไคล์ เราตั้งใจจะพูดอะไรกับพี่กันแน่” ผมถาม

“ความบังเอิญมันเกิดขึ้นได้ ไคล์ ทุกสิ่งมันไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วยสิ่งเดียวกันกับเมื่อสี่ปีก่อนนี้หรอก” เมฆเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง

“ก็นั่นสินะ เอาเถอะ เราไปนั่งกันตรงนั้นดีกว่า อาร์ม อย่างนี้ก็ดีเลย ผมจะได้มีเพื่อนคุย” ไคล์หันมายิ้มกว้างกับอาร์ม ตอนแรกผมก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าเวลาที่ไคล์พูดภาษาไทยกับเพื่อนของมัน มันจะใช้สรรพนามแทนตัวเองและคนอื่นๆว่ายังไง แต่ผมก็เคยบอกมันไว้แล้วว่าให้ใช้คุณกับผมให้ติดปาก และดูท่าทางมันก็จะทำตามที่ผมสอนไว้ได้อย่างดีเลยด้วย

“พี่แอมป์ งั้นผมไปกับเพื่อนผมนะ” อาร์มหันไปบอกพี่สาวของเขา และเมื่อพี่แอมป์พยักหน้า อาร์มก็หันมายิ้มให้ไคล์ แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปพร้อมๆกัน

“เดี๋ยวไคล์” เมฆร้องเรียก และเมื่อไคล์หยุดเดินและหันกลับมา เมฆก็กวักมือเรียกให้เขาเดินกลับมา จากนั้นก็กระซิบอะไรบางอย่างกับไคล์ แวบแรกผมเห็นไคล์ทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ต่อมามันก็ยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นก็เดินกลับไปหาอาร์ม

“มึงคุยอะไรกับไคล์มันวะ” ผมถาม

“ให้เขาทำหน้าที่ล่วงหน้านิดหน่อยน่ะ” เมฆตอบพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย

“แต่โลกก็กลมจริงๆนะคะเนี่ย ที่อาร์มกับไคล์เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว แบบนี้ก็ค่อยดีหน่อย เพราะจริงๆแล้วอาร์มเขาเป็นคนไม่ค่อยชอบออกงานใหญ่ๆคนแปลกหน้าเยอะๆเท่าไหร่น่ะค่ะ แต่จะว่าไป ซันกับน้องชายนี่ดูไม่คล้ายกันเท่าไหร่เลยนะคะเนี่ย คนนั้นเขาเป็นลูกครึ่งรึเปล่า พี่ว่าเขาหล่อแบบแปลกๆดี ดูไม่ค่อยเหมือนฝรั่งแต่ก็ดูไม่เหมือนคนเอเชียด้วย”

“เป็นญาติผมน่ะครับ ไม่ใช่น้องแท้ๆหรอก เค้าเป็นลูกครึ่งไทย – ฮิสแปนนิคน่ะ สีผิวหน้าตามันก็เลยแปลกๆหน่อย”

“เอ้อ พี่แอมป์ครับ คือจริงๆแล้ววันนี้นอกจากที่เพื่อนๆผมมันมาเลี้ยงรับผมสองคนแล้วเนี่ย พวกมันส่วนมากยังไม่รู้หรอกนะครับ และผมกับไอ้ซันก็เลยคิดกันไว้ว่าจะบอกให้พวกมันรู้กันได้แล้ว แต่พี่แอมป์เป็นแขก ผมก็เลยไม่มั่นใจว่ามันจะทำให้พี่ตกใจรึเปล่า”

ผมหันไปมองไอ้เมฆด้วยความตกใจทันที และเมื่อหันกลับมามองพี่แอมป์ เขาก็กำลังมองมันด้วยสายตาสงสัยอยู่แล้ว

“คือ ผมกับซันเป็นแฟนกันน่ะครับ ไม่รู้ว่าพี่จะรังเกียจรึเปล่า”

เมื่อไอ้เมฆพูดจบ พี่แอมป์ก็มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที เขามองเราสองคนสลับกันไปมา แต่ว่าเพียงไม่นานสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติพร้อมกับส่ายหัวช้าๆ และรอยยิ้มก็ค่อยๆฉายกว้างบนใบหน้าขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่เลยค่ะ ไม่เลย เรื่องธรรมดาจะตาย พี่แค่แปลกใจนิดหน่อยที่น้องพูดออกมาตรงๆแบบนั้น แถมทั้งสองคนยังดูไม่ออกแม้แต่นิดเดียวเลยด้วยว่าจะเป็น เอ่ออ.... เกย์ แต่ถึงยังไงก็ยินดีด้วยนะคะ”

“ขอบคุณมากครับ เอาล่ะ งั้นพวกผมแนะนำพี่ให้เพื่อนๆเรารู้จักเลยดีกว่านะ” ไอ้เมฆพูดพร้อมกับหันกลับไปหาเพื่อนๆของเรา

“เฮ้ยพวกมึงๆ ฟังกูหน่อย” ผมร้องตะโกน และเมื่อทุกคนหันมามองพวกเราเป็นตาเดียวกันแล้ว ผมก็สังเกตเห็นว่าพวกไอ้ป๋อมไอ้วิทกำลังมองหน้าผมด้วยความตกใจระคนแปลกใจ ผมจึงยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็เริ่มต้นพูดต่อ “กูกับไอ้เมฆจะแนะนำแขกของเราเพิ่มอีกสองคน นี่พี่แอมป์ กับน้องของเขา น้องอาร์ม ยืนอยู่กับไคล์น้องกูตรงนั้น” ผมชี้ไปที่อาร์มที่ยืนอยู่ตรงกลุ่มของไอ้วิท

“เมื่อคืนมันมีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อยน่ะ ทำให้พวกกูรู้จักกัน แล้วกูก็เลยเชิญพี่เขามากินกับเราด้วย” ไอ้เมฆพูดเสริมขึ้น

“แต่ถ้าพวกมึงอยากรู้รายละเอียดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคืออะไร ก็ให้ไปถามไอ้วิทดูกันเอาเองก็แล้วกัน และเดี๋ยวมันจะเล่านิทานก่อนนอนให้พวกมึงฟังเอง” ผมหัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นทุกคนหันไปมองไอ้วิทเป็นตาเดียวกัน ส่วนมันก็ชูนิ้วกลางตอบกลับมาให้ผมที่จู่ๆผมก็ผลักภาระไปให้มัน

“เพราะงั้นดูแลแขกพิเศษของกูสองคนดีๆนะพวกมึง นี่พี่เขาเอาแบล็คมาสมนาคุณด้วย พิเศษพอมั๊ย” เมื่อไอ้เมฆพูดจบ เสียงกู่ร้องแสดงความดีใจดังขึ้นรอบทิศทันที “แล้วก็สาวๆอย่าแทะโลมน้องชายเขามากนักเกินไปด้วยนะเว้ย แก่แล้วนะพวกมึงน่ะ”

“ส่วนน้องชายกู ไคล์ มาจากอังกฤษได้ปีนึงแล้ว พวกมึงหลายคนคงรู้จักอยู่แล้ว แต่กูขอแนะนำอีกที มันเป็นญาติกูเอง ชื่อไคล์ ริเวอร์ ไรออซ ลูกครึ่งไทย – อเมริกันเม็กซิกัน เรียนอยู่มหาลัยเดียวกับไอ้วิท กูฝากดูแลมันด้วยอีกคน”

“พอเลย ซัน หุบปากไปเลยยยย” ไคล์ร้องโอดครวญ และเพื่อนๆของเราก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่

“แล้วมึงไม่มีเรื่องอื่นจะประกาศอีกแล้วรึไง” เสียงของไอ้ป๋อมทะลึ่งขึ้นมา ทำเอามันโดนพวกไอ้วิทไอ้แป๊ะรุมเขกกบาลกันยกใหญ่

“อ๋ออ ก็ไม่มีอะไรหรอก.......” ผมพูดพร้อมยิ้มกว้างพลางดึงตัวไอ้เมฆเข้ามาโอบเอวด้วย และทันใดนั้นเองที่สายตาของผมไปหยุดอยู่ที่พี่จ๊อบที่กำลังยืนอยู่ข้างๆนัท ผมมองตาเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตากวาดไปทั่วบริเวณอีกครั้ง “มันอาจจะช๊อคพวกมึงบางคนนะ แต่ถึงยังไงๆพวกมึงก็ต้องรู้อยู่ดีนั่นแหละ คือว่า กูกับเมฆเป็นแฟนกันว่ะ”

เมื่อผมพูดจบ ทุกคนก็เงียบเสียงลงทันที แต่ก็แค่ไม่นานเท่านั้นเพราะจู่ๆพวกไอ้วิทก็ตบมือส่งเสียงเชียร์ขึ้นมาเสียงดังโหวกเหวก ทำให้ทั้งผมและไอ้เมฆอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้

“เออ พวกมันรู้อยู่แล้ว ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าใครมีอะไรอยากคุยอยากถามก็เข้ามาคุยกับพวกกูได้ หรือจะไปถามพวกมันก็ได้ ไม่มีอะไรปิดบังอยู่แล้วว่ะ เพื่อนกันใช่มั๊ยล่ะ ขอแค่อย่างเดียว กูไว้ใจบอกพวกมึงทุกคน นั่นก็หมายความว่าแค่พวกมึงที่อยู่ตรงนี้เท่านั้นนะเว้ย ขอบใจทุกคนมาก”

“เอ้า ดื่มให้ไอ้สองคนนั้นหน่อยเว้ย” ไอ้วิทพูดพร้อมกับชูแก้วขึ้น จากนั้นเพื่อนคนอื่นทุกคนก็ทำตาม

และเมื่อบรรยากาศช่วงที่พีคที่สุดค่อยๆจางลง ผมกับไอ้เมฆก็ถูกรุมล้อมเกือบจะในทันที ซึ่งก็นับว่าปฏิกิริยาตอบรับของพวกเขาทุกคนนั้นค่อนข้างจะดีมากทีเดียว ถึงทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่อยากจะเชื่อ แต่ประโยคที่พวกเราได้ยินมากที่สุดก็ยังคงเป็น “ตั้งแต่เมื่อไหร่” กับ “กูไม่แปลกใจเลยจริงๆ” อยู่ดี

ผมกับไอ้เมฆดูเหมือนจะสังเกตไปยังตำแหน่งที่นัทและพี่จ๊อบยืนอยู่แทบจะพร้อมๆกันทันที ท่ามกลางผู้คนมากมายและความวุ่นวายที่รายล้อมเราสองคนอยู่นั้น เมื่อสายตาของเราสี่คนประสานกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูราวจะหยุดลงไปในทันที หลังจากที่เมฆกับนัทสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง นัทก็วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะแล้วก็หันหลังเดินจากไป

“ตามไป เมฆ” ผมพูด

เมฆรีบเดินผ่านเพื่อนๆของเราแล้วมุ่งหน้าไปหานัททันที แต่ที่ผมไม่เข้าใจนั่นก็คือทำไมพี่จ๊อบถึงไม่ยอมตามนัทไป แถมยังปล่อยให้เมฆเดินผ่านหน้าเขาไปหาแฟนของตัวเองได้อย่างง่ายๆเลยด้วย จนเมื่อเมฆกับนัทเดินหายไปได้ราวๆห้านาที พี่จ๊อบก็เดินเข้ามาหาผม

“พี่ก็กะแล้วว่าเราสองคนน่าจะเป็นแฟนกัน”

“ก็อย่างที่ผมบอกไงครับ ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของผมสองคน ถ้าผมอยากจะบอกผมก็จะบอกเอง” ผมพูดโดยไม่ได้มองหน้าพี่เขา

“แต่ก็กล้าดีนะ เล่นเปิดตัวกลางงานเลี้ยงแบบนี้เลยเนี่ย” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆไปด้วย

“เรื่องนั้นน่ะช่างเหอะครับ ว่าแต่พี่เถอะ ทำไมถึงไม่ตามแฟนพี่ไป”

“ก็นั่นสินะ........” พี่จ๊อบหัวเราะแล้วยักไหล่ “อาจจะเป็นเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่พี่จะทำอะไรได้ก็ได้มั๊ง ก็บอกไปแล้วไงว่านัทน่ะเค้าก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่พอมารู้เข้าจริงๆก็คงจะทำใจลำบากอยู่หน่อยล่ะนะ ก็คนที่ตัวเองเคยคบเคยมีอะไรด้วยดันกลายเป็นเกย์ไปซะอย่างนั้นนี่ ความผิดพี่ซะเมื่อไหร่”

“พี่จะพูดยังไงก็เรื่องของพี่นะครับ” ผมหันไปเผชิญหน้ากับพี่จ๊อบ “พี่จะหาว่าเป็นความผิดของผมหรือไอ้เมฆก็ได้ แต่ว่าผมสองคนรักกัน เราไม่เคยคุยกันว่าเราเป็นเกย์ เพราะเราต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนๆกันทั้งคู่ และเผลอๆผมคิดว่าเราเป็นผู้ชายที่มีความเป็นลูกผู้ชายมากกว่าคนบางคนในที่นี้อีกด้วยซ้ำ” ผมจ้องตาเขานิ่ง และตอนนี้รอยยิ้มของพี่จ๊อบก็หายไปแล้ว “เราก็เป็นแค่ผู้ชายสองคนที่บังเอิญรักกันและแคร์ความรู้สึกของกันและกันมาก และนั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่เราเพิ่งบอกเพื่อนทุกคนไปในวันนี้”

ผมกับพี่จ๊อบมองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะกลับฉายขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง

“ก็ดีครับ รักกันให้ได้นานๆก็แล้วกัน” เขาพูดพร้อมกับเดินจากไป

ผมมองพี่จ๊อบเดินหายไปยังทิศที่นัทกับเมฆเดินไป ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเดินตามไปด้วยอีกคนเหมือนกัน แต่ว่าถ้าทำแบบนั้นมันก็จะเท่ากับผมตามไปเป็นคนที่สี่ และยังเป็นคนนอกที่สุดอีกด้วย มันอาจจะไม่ใช่สถานการณ์เหมาะสมที่ผมจะเข้าไปยุ่งด้วยสักเท่าไหร่ คงต้องรอดูว่าถ้าอีกห้านาทีเมฆยังไม่กลับมา ผมก็คงต้องออกไปตามหาเพื่อดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตัวเองซะแล้ว

“เป็นไงมั่งวะ ซัน มึงโอเครึเปล่า” ไอ้วิทกับไอ้แบ๊งค์เดินเข้ามาหาผม

“ก็โอเค ทำไมมึงถามอย่างนั้นวะ” ผมตอบกลับไปพร้อมกับอดสังเกตสีหน้าท่าทางของแบ๊งค์ไปด้วยไม่ได้

“ก็กูเห็นและได้ยินที่มึงกับพี่จ๊อบคุยกันเมื่อกี๊นิดหน่อยว่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วมึงคุยอะไรกันแน่ ก็เลยเป็นห่วงน่ะ ดูเหมือนจะตึงเครียดน่าดูเลยนี่”

“ไม่มีอะไรหรอก ไอ้วิท กูไม่ทำอะไรบ้าๆกลางวงเหล้าแบบนี้หรอก และที่สำคัญ มันเองก็ไม่กล้าทำอะไรด้วยเหมือนกันหรอกกูรู้ มันแค่พูดจากวนตีนนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“นี่มึงไม่ถูกกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย ดูท่าทางเหมือนมึงจะตั้งป้อมใส่มันเต็มที่แล้วนะ”

“ตั้งแต่แรกที่เจอกันเลย กูว่ามันพูดจากวนตีนว่ะ บุคลิกมัน ท่าทาง น้ำเสียง แล้วก็รอยยิ้มมันด้วย กูไม่ชอบ มันดูเหมือนกับว่ามันมีเจตนาไม่ดีๆมาที่กูกับไอ้เมฆอยู่ตลอดเวลา ดูมันจงใจกวนตีนอย่างไร้เหตุผล กูก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจงใจหาเรื่องหรือนิสัยมันเป็นแบบนั้นของมันเอง และนี่ถ้าอีกห้านาทีไอ้เมฆไม่กลับมา กูก็คงจะออกไปตามแล้วเนี่ย”

“เออ เท่าที่กูรู้นิสัยมันก็เป็นแบบนั้นด้วยแหละ แต่ปกติเท่าที่พวกกูเจอมามันก็จะเงียบๆไม่ค่อยมาสุงสิงอะไรกับพวกกูมากนักนะ” ไอ้วิทพูดพลางทำท่าครุ่นคิด “ถ้ายังไงมึงก็ใจเย็นๆก็แล้วกัน มีอะไรก็เรียกก็บอกพวกกูได้ พวกกูจะได้มาช่วยเป็นไม้กันหมาให้ อ้อ แล้วก็นี่ แหวนของพวกมึงสองคน” วิทพูดพร้อมกับล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นแหวนของเราสองคนออกมาให้ผม “ไอ้เมฆวานให้กูไปหยิบมาจากบ้านมึงให้เมื่อครู่ใหญ่ๆนี้ เพราะมันกะไว้แล้วว่ามันคงไม่มีเวลากลับไปหยิบเองแน่ๆ แต่แค่นี้มึงก็ไม่ต้องถอดมันเพื่อหลบใครแล้วนะ บางทีกูว่าเราต้องขอบใจไอ้ป๋อมมันว่ะ เพราะความทะลึ่งของมันเลยทำให้มึงมีโอกาสดีๆได้พูดไปแบบนั้นน่ะ”

“เออ จริงของมึง มันก็เป็นแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นะ” ผมหัวเราะเบาๆพร้อมกับรับแหวนมาถือเอาไว้

“ยินดีด้วยว่ะ ซัน กูก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน” แบ๊งค์พูดขึ้นเมื่อไอ้วิทขอตัวเดินจากไปแล้ว “เมื่อกี้กูเห็นแหวนแล้ว สวยมากเลยว่ะ มึงสองคนนี่โชคดีจริงๆนะ”

“อืม ขอบใจ” ผมตอบกลับไปสั้นๆ พร้อมกับสวมแหวนของตัวเองเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายเหมือนเดิม

“ไม่รู้กูจะมีวันได้โชคดีเหมือนไอ้เมฆมันมั่งรึเปล่าว่ะ แต่สงสัยจะฟาวล์” แบ๊งค์พูดพร้อมกับถอนหายใจ

“ทำไมต้องเหมือนไอ้เมฆวะ” ผมถามทั้งๆที่คิดว่ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“มึงเอง..........” แบ๊งค์หันมาสบตากับผม “ก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วนี่ หวังว่ามึงคงยังไม่ลืมนะว่าเราสองคนเคยสนิทกันมากแค่ไหนน่ะ”

“เออ กูไม่ลืมหรอก” ผมเบือนหน้าหนีก้มมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “แต่ตอนนี้กูขอไปตามไอ้เมฆก่อนนะ เป็นห่วงมันว่ะ”

เมื่อพูดจบ ผมก็วางแก้วแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นทันที ผมเดินไปยังหน้าชายหาดแล้วเลี้ยวไปทางขวาตามทิศที่นัท เมฆ แล้วก็ไอ้พี่จ๊อบเดินหายไป และเมื่อผมเดินไปได้สักพัก ผมก็เห็นกลุ่มคนสี่ห้าคนหรือมากกว่านั้นอยู่เบื้องหน้าในความมืด ภาพของเหตุการณ์เมื่อคืนมันฉายซ้ำกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้งโดยอัตโนมัติทันที ผมรู้สึกว่าเลือดในกายมันเริ่มเย็บเฉียบ และขาของผมก็เริ่มออกวิ่งจนเต็มกำลัง จนเมื่อผมเข้าไปใกล้กลุ่มคนกลุ่มนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมถึงได้ยินเสียงร้องที่ผมจำได้ดีดังขึ้นมา

“เมฆ!!” เสียงของนัทกรีดร้องขึ้น และมันก็ทำให้หัวใจของผมแทบหยุดเต้น เมื่อหนึ่งในกลุ่มคนตรงหน้านั้นกำลังทรุดตัวลงไปนอนกองอยู่บนพื้น

“ไอ้เมฆ!!!” ผมร้องออกมาสุดเสียงพร้อมกับเร่งฝีเท้าขึ้น ในใจก็ภาวนาขออย่าให้สิ่งที่ผมคิดเป็นจริงเลย



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :a5: มากัน 5 คน เมฆจะรับมือไหวเรอะ  :a5: 
ดูท่าทางแล้ว ปัจจัยที่ทำให้เมฆห่างจากซัน ต้องไม่มีแค่สภาพแวดล้อม แล้วก็มือที่สามแน่  :m17: (หรือเราจะคิดมากไปเองวะ  :try2:)

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
อือ เมฆจะเป็นอะไรหรือเปล่า :m5: :m5: :m5:



ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
มาเป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ตามอ่านทันแล้วว เย้ ๆ  :m4:

เมฆจะเป็นอะไรรึเปล่า  หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ  แหวนก็ยังอยู่ที่ซัน  :m5:

sun

  • บุคคลทั่วไป
ตามอ่านทันแล่ว....

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกส์    :serius2:

เกิดอะไรขึ้น งึ่มๆ ง่ำๆ     :m16:

ดูท่า.... เรื่องของเมฆ กับ ซัน...จะกลายเป็นเรื่องของคนหลายคนไปซะแล่ะ

ดูท่า จะไม่ สงบเงียบ เรียบง่ายแล่ะล่ะ เหอๆ  น่ากลัวเจงๆ    :undecided:

eyukiz

  • บุคคลทั่วไป
 :o :o :o

เฮ้ย!!! เกิดไรขึ้นอ่ะเนี่ยยยย

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 6


เมื่อนัทได้ยินเสียงของผม เขาก็หันมาหาผมพร้อมกับพยายามจะวิ่งเข้ามาหาผมด้วย แต่ว่ามือของนัทก็กำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งจับเอาไว้อยู่ นัทร้องเรียกให้ผมช่วยพร้อมกับพยายามดิ้นอย่างสุดแรง จนเมื่อผมวิ่งเข้าไปใกล้ที่นั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงเห็นว่ามีผู้ชายสองคนกำลังนอนกองอยู่บนพื้น ส่วนผู้ชายอีกสี่คนรวมกับคนที่กำลังจับข้อมือของนัทอยู่ด้วยล้วนแต่ก็มีท่อนไม้และท่อนเหล็กถืออยู่ในมือทุกคน ส่วนคนที่กำลังยืนมือเปล่าอยู่เพียงคนเดียวนั่นก็คือ ไอ้เมฆ

“เมฆ มึงเป็นอะไรรึเปล่า” ผมร้องขึ้นด้วยความโล่งอกปนความกังวลกับเหตุการณ์ตรงหน้า

แต่เมฆก็ไม่ตอบ มันรีบพุ่งตัวเข้าไปหาคนที่จับข้อมือของนัทอยู่พร้อมกับเตะเข้าที่ข้อพับขาของหมอนั่น และเมื่อมันทรุดตัวลงแล้วไอ้เมฆก็เตะเข้าที่ข้อมือที่กำลังถือท่อนไม้อยู่ ทำให้อาวุธเพียงหนึ่งเดียวของมันหลุดกระเด็นไป จากนั้นเมฆก็เตะเข้าที่มือข้างที่จับแขนของนัทอยู่อย่างรวดเร็วอีกครั้ง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก ไอ้เมฆเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่ยอมเสียเวลาในแต่ละวินาทีไปอย่างไร้ค่าเลย จนเมื่อมือของนัทถูกปล่อยเป็นอิสระ คนอีกสามคนที่ยังคงมีอาวุธอยู่ครบมือก็พุ่งเข้าหาไอ้เมฆพร้อมๆกันทันทีกับที่ไอ้เมฆเตะเสยคางเข้าที่ปลายคางของไอ้หมอนั่นเป็นครั้งสุดท้าย

ผมรีบกระโจนพุ่งเข้าไปถีบใส่สีข้างของหนึ่งในนั้นได้ทันพอดี ส่วนเมฆก็กลิ้งตัวหลบลงบนพื้นทรายทัน ทำให้รอดจากการถูกรุมตีและสามารถลุกขึ้นมาตั้งหลักได้อีกครั้ง

“นัท รีบไปตามคนมาช่วย เร็ว!” เมฆร้องตะโกนบอกนัทพร้อมๆกับจังหวะที่ชันตัวลุกขึ้นยืน “ไอ้ซัน ระวัง!”

ผมรีบก้มตัวลงต่ำทันทีที่ได้ยินเสียงร้องเตือนของเมฆ ทำให้หลบท่อเหล็กที่ถูกเหวี่ยงหมายจะฟาดเข้าที่หัวของผมได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด และเมื่อผมได้ยินเสียงเท้าของนัทวิ่งออกไป ในที่นี้จึงเหลือเพียงผมกับเมฆสองคนยืนเผชิญหน้าอยู่กับผู้ชายมีอาวุธสี่คน เพราะคนที่ถูกเมฆเตะไปเมื่อครู่นี้มันฟื้นตัวขึ้นมาพอดีแล้ว ส่วนอีกสองคนที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นนั้นท่าทางจะมีอะไรสักอย่างในร่างกายหักไปคนละส่วนสองส่วนแล้วแน่ๆ

“มึงปลอดภัยดีรึเปล่า” ผมถามเมฆ

“ดีกว่าไอ้สองคนนั้นแน่ๆล่ะ” เมฆตอบกลับมาพร้อมเสียงหอบ ทำให้ผมรู้ว่านี่มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ

แต่ผมก็ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก เพราะสิ่งถัดมาที่ผมรู้ก็คือคนสองคนที่พุ่งเข้ามาหาผมพร้อมกับเงื้ออาวุธของมันขึ้นสูง ผมจำหนึ่งในนั้นได้ทันที มันเป็นคนหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้ามาทำร้ายพี่แอมป์เมื่อคืนนี่เอง และนี่ก็ทำให้ผมเริ่มเข้าใจอะไรๆมากขึ้นแล้วว่าทำไมเราถึงได้ถูกดักทำร้ายแบบนี้อีกครั้ง

ผมรีบเอี้ยวตัวหลบพร้อมกับก้มหยิบทรายขึ้นมาปาใส่หน้าของทั้งสองคน ทำให้ทั้งคู่ต้องคลายอาวุธทิ้งลงบนพื้นพร้อมกับยกมือขึ้นมากุมดวงตาเอาไว้อย่างเจ็บปวด ผมจึงรีบฉวยโอกาสหยิบท่อนไม้ท่อนหนึ่งนั้นขึ้นมาแล้วก็เหวี่ยงไปที่ต้นขาของทั้งสองคนทันที ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะฟาดลงที่ต้นคอหรอกนะ แต่ถ้าทำแบบนั้นมันก็อาจจะถึงตายได้ และไอ้เมฆก็เคยบอกผมเอาไว้ว่าไม่ควรจะทำอย่างนั้นนอกเสียจากจะจวนตัวจริงๆ ผมจึงเลือกฟาดลงไปที่ต้นขาและที่ข้อเท้าเพียงเพื่อที่จะสร้างความเจ็บปวดและหยุดการเคลื่อนไหวเท่านั้นพอ

ทั้งสองคนที่พุ่งเข้ามาหาผมเมื่อครู่นี้ล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นพร้อมกับเสียงร้องโอดครวญเพราะความเจ็บปวด ผมเหวี่ยงไม้ซ้ำลงไปที่ข้อเท้าข้างที่ยังดีอยู่ของทั้งสองคนอย่างแรงอีกครั้ง เพื่อเป็นการย้ำว่าพวกมันจะไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้อย่างแน่นอน จากนั้นผมก็เขวี้ยงไม้ทิ้งลงบนพื้นพร้อมกับหอบหายใจเบาๆเพราะความเหนื่อยและความตื่นเต้นจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น และเมื่อผมหันไปหาไอ้เมฆ ผมก็เห็นว่ามันกำลังหมุนตัวยกผู้ชายคนหนึ่งลอยขึ้นจากพื้น แต่เนื่องจากการใช้ข้อศอกดันเอาไว้ในตำแหน่งที่อันตราย ทำให้เมื่อตัวของผู้ชายคนนั้นลอยสูงขึ้นและถูกทุ่มลงบนพื้น เสียงดังกร๊อบของกระดูกที่แตกออกก็ดังลั่นออกมาพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ส่วนผู้ชายอีกคนก็นอนหมดสติไปแล้วอยู่ไม่ไกลนั่นเอง

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบลง นอกเหนือจากเสียงร้องโอดโอยเพราะความเจ็บปวดของคนที่นอนกองอยู่บนพื้นแบบไม่หมดสติทั้งสามคน ผมยังสามารถได้ยินเสียงหอบของไอ้เมฆได้อย่างชัดเจนอีกด้วย

“เมฆ มึงเป็นอะไรรึเปล่า” ผมรีบวิ่งเข้าไปพยุงมันเอาไว้ในวงแขน ไอ้เมฆทิ้งน้ำหนักตัวลงมาพิงผมทันที

“แม่งมากันเยอะว่ะ แถมมาแบบไม่ได้ตั้งตัวด้วย” เมฆตอบพร้อมรอยยิ้ม แต่ทว่าเสียงหอบนั้นกลับยิ่งดังยิ่งขึ้น

“เมฆ มึงเป็นอะไร มึงเจ็บตรงไหน” ผมร้องถามด้วยความตกใจ และทันใดนั้นเองตาของผมก็เหลือบไปเห็นว่ามือข้างขวาของมันกำลังกุมอยู่ที่บริเวณสีข้างข้างซ้ายของตัวเอง

ผมเหลือบไปเห็นว่าสองคนในนั้นกำลังพยายามจะลุกขึ้นหนี แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยให้มันหนีไปได้ง่ายๆแน่ อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่คราวนี้

“มึงจะไปไหน!” ผมตะโกนพร้อมกับผละออกมาจากไอ้เมฆแล้วกระทืบลงบนตัวของทั้งสองคน นอกจากนั้นยังหยิบไม้ที่วางอยู่บนพื้นฟาดลงไปบนหลังของคนพวกมันซ้ำด้วย เพื่อกันไม่ให้มันขยับตัวได้อีก “คราวนี้พวกมึงติดคุกแน่ ไม่ต้องหวังว่าจะรอดเหมือนเมื่อคืนเลยนะ ไอ้พวกสวะ!”

“ไอ้เมฆ ไอ้ซัน!” เสียงร้องของไอ้วิทดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของผม

“ไอ้วิท มึงมาเร็ว ไอ้เมฆเจ็บ” ผมโยนไม้ลงบนพื้นแล้วร้องตอบกลับไป จากนั้นก็วิ่งเข้าไปพยุงไอ้เมฆเอาไว้อีกครั้ง

นอกจากไอ้วิทแล้ว คนอื่นๆก็วิ่งตามมากันเกือบจะครบทุกคนเลยด้วย รวมทั้งไคล์และอาร์มก็มาด้วย ยกเว้นเพียงแค่พวกผู้หญิงเพียงบางคนเท่านั้นเอง

“นี่มันเกิดเหี้ยอะไรขึ้นวะ อย่าบอกนะว่าเหมือนกับเมื่อวานน่ะ” ไอ้วิทพูดพลางวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเรา และเมื่อมันมาถึงตรงที่เกิดเรื่อง มันก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ

“ไอ้พวกเหี้ยนี่มันก็กลุ่มเดียวกับเมื่อคืนนี่แหละ สงสัยแม่งมาแก้แค้น เชี่ยเอ๊ย เมื่อกลางวันกูก็นึกเอะใจอยู่แล้วเชียว พวกมึงทุกคนฟังกูนะ กูจะพาไอ้เมฆกลับไปที่บ้านก่อน ส่วนพวกมึงแจ้งตำรวจ มัดพวกแม่งไว้ อย่าให้มันหนีไปไหนได้”

เมื่อผมพูดจบ ไอ้วิทก็เริ่มสั่งการแจกจ่ายงานให้เพื่อนคนอื่นๆต่อทันที

“กูไม่เป็นอะไร ซัน” เมฆพูดขึ้นด้วยเสียงหอบพร้อมกับพยายามจะเดินด้วยขาของตัวเอง แต่มือของมันก็ยังคงกุมอยู่ที่สีข้างที่เดิมอยู่ “ว่าแต่นัทเป็นยังไงบ้าง”

“มึงเอาแผลมาให้กูดูเดี๋ยวนี้ ใครก็ได้เอาไฟฉายมาให้กูซิ” ผมรับไฟฉายมา จากนั้นก็ส่องไปยังบริเวณที่ไอ้เมฆกำลังกุมอยู่ และสิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ผมทั้งตกใจและก็โมโหมาก เพราะว่าผมเห็นเลือดกำลังซึมออกมาจากเสื้อเชิ้ตสีเขียวแก่ของมันอยู่ และนอกจากนั้นเลือดก็ยังคงไม่หยุดไหลเลยด้วย “ไอ้เมฆ มึงเลือดออกด้วย ไอ้พวกเหี้ยนั่นมันทำอะไรมึง!”

“โดนมีดว่ะ เฉี่ยวๆ แต่ก่อนนั้นเสือกโดนไม้ทุบเข้าไปเต็มๆเลย แผลเดิมด้วย ก็เลยจุกๆ......”มันหัวเราะแหะๆ “เฮ้ย ตกลงนัทเป็นไงบ้าง ตอนนี้เค้าอยู่ไหน”

“มึงไม่ต้องมาทำเป็นขำเลย ไอ้สัตว์นี่ เลือดหยดเป็นก็อกรั่วเลย ไม่ใช่น้อยด้วยนะมึง ส่วนนัทก็คงรออยู่ที่บ้านนั่นแหละ มึงไม่ต้องกังวลไปหรอก เอ้า กูให้มึงเลือกแค่สองอย่าง ข้างหน้ากับข้างหลัง มึงจะเอายังไง เพราะกูไม่ให้มึงเดินเองแน่นอน”

“เอ่ออ....... กูเดินไหวนะซัน กูอายเขาว่ะ”

“พูดมาก งั้นกูช้อนขึ้นหน้าเลยนะ” ผมก้มตัวลงไปทำท่าจะกวาดมือ แต่ไอ้เมฆก็รีบร้องห้ามซะก่อน

“เดี๋ยวๆๆ งั้นขึ้นหลังก็ได้ กูยังไม่ใช่เจ้าสาวมึงนะ”

“ดี ว่าง่ายๆซะก็จบ” ผมหันหลังให้ไอ้เมฆ จากนั้นก็มันก็ขึ้นคร่อมบนตัวของผม เมื่อไอ้เมฆเกาะแน่นดีแล้ว ผมก็อดหันไปถามมันด้วยวามเป็นห่วงอีกครั้งไม่ได้ “เจ็บรึเปล่า กระแทกหรือกระเทือนมั๊ย”

“เจ็บนิดหน่อย แต่ก็คงดีกว่าเดินเองมั๊ง เพราะถึงไงมึงก็ไม่ให้กูเดินเองอยู่แล้วนี่”

“ดี เฮ้ยนี่ พวกมึง” ผมหันไปหาเพื่อนๆคนอื่นๆ “ดูแลตรงนี้ด้วยนะ กูพาไอ้เมฆไปทำแผลก่อน และถ้ามีอะไรให้ติดต่อไปที่มือถือกูเลย อย่าให้พวกมันหนีไปได้นะเว้ย” ผมกำชับ

“เออๆ ไม่มีปัญหา มึงรีบๆไปดูแลมันเหอะ” ไอ้กอล์ฟตอบกลับมา

“อาร์ม กลับไปหาพี่แอมป์ซะนะครับ แล้วก็บอกพี่เขาด้วยเรื่องนี้น่ะ จะได้ให้ตำรวจเขาจัดการเรื่องเมื่อคืนไปด้วยเลยทีเดียว” ไอ้เมฆพูดขึ้น

“พวกผู้หญิงก็เหมือนกัน กลับไปกับกูเลย ตรงนี้ให้พวกผู้ชายจัดการ ส่วนไคล์ มากับพี่เถอะ อยู่ไปก็ไม่ได้อะไร มานี่จะได้ช่วยคุยกับพ่อไอ้เมฆด้วยว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมาก”

“โอเคครับ”

“เดี๋ยวก่อน ไอ้ซัน ไอ้เมฆ” เพื่อนของเราคนหนึ่งทักขึ้น “นี่พวกมึงสองคนจัดการกันเองหมดนี่เลยเหรอวะ เจ็บสอง แขนหักหนึ่ง กับสลบสามแบบไม่รู้อาการนี่นะ”

“สองคนที่นอนใกล้ๆกันนั่นแขนขวาหักทั้งคู่ แต่คนทางซ้ายไหล่ซ้ายหลุดด้วย ระวังไอ้คนที่เลือดกลบปากนั่นหน่อยก็แล้วกัน ส่วนอีกคนที่นอนน้ำลายยืดอยู่นั่นไม่มีอะไรหัก ปลอดภัยดี อีกไม่นานก็คงฟื้น ส่วนไอ้ตัวแขนหักที่ไม่ได้สลบนั่นคงจะจุกไข่มันด้วยว่ะ เวลาเคลื่อนย้ายพวกมันก็ระวังๆหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวอาการมันจะแย่ไปมากกว่านี้” ไอ้เมฆตอบ

“อย่างที่มันว่านั่นแหละ ของกูแค่สองว่ะ ข้อเท้าคงจะเจ็บหน่อย แตกมั๊ยไม่รู้ ก็ไอ้สองตัวที่กำลังก้มหน้าอยู่นั่นแหละ ส่วนที่เหลือไอ้เมฆแม่งเล่นหมดคนเดียวเลย”

“เมฆ กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ.......” ไอ้กอล์ฟพูดขึ้นแบบทึ่งๆ

“เออๆ กูฝากพวกมึงด้วยนะ เดี๋ยวไอ้เมฆมันจะเลือดหมดตัวตายซะก่อน” ผมบอกทุกคน จากนั้นก็เดินพาไอ้เมฆกลับมาที่บ้าน และเมื่อผมวางไอ้เมฆลง เราสองคนก็ถูกรุมกันยกใหญ่ โดยเฉพาะนัทกับพี่แอมป์ที่จะดูมีอาการมากกว่าใครเพื่อน นัทนั้นก็คงจะเป็นห่วงเมฆมากอยู่แล้ว ส่วนพี่แอมป์ก็เอาแต่พูดว่าเป็นความผิดของพี่เขาเองอยู่ตลอด

“กูไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้เมฆพูดพร้อมกับถอดเสื้อของตัวเองออก ผมเห็นสีหน้าของมันตอนเหยียดแขนแล้วก็รู้เลยว่ามันคงจะเจ็บไม่เบาแน่

“ซี่โครงหักรึเปล่า” ผมถาม

“ไม่หัก ไม่ถึงขนาดนั้น คงแค่ช้ำน่ะ กับเจ็บจี๊ดๆตึงๆตรงแผลมีดเนี่ย”

“จี๊ดเหี้ยอะไร เลือดยังไม่หยุดไหลเลย” ผมสบถเบาๆพร้อมกับเอาผ้าสะอาดมาปิดแผลเอาไว้

“แผลไม่ลึกมากนะ แต่ก็ดูไม่ใช่ตื้นๆเล็กๆเลยนะเมฆ นี่มันไม่ใช่แค่เฉี่ยวหรือเฉียดๆแล้ว กูว่ามึงไปหาหมอเหอะ” อีฟพูดขึ้นพร้อมกับเสียงตอบรับแสดงความเห็นด้วยของทุกคน

“เมฆ นัทว่าเมฆไปหาหมอเถอะนะ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่านะเมฆ”

“ก็ได้......” ไอ้ตัวดีตอบพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ “งั้น ซัน เราไปกันเถอะ ทุกคนฝากจัดการเรื่องที่นี่ด้วยนะ ถ้ามีอะไรก็โทรบอกไอ้ซันมันก็แล้วกัน กูขอโทษด้วยจริงๆที่ทำให้หมดสนุกกัน”

“มึงไม่ต้องมาทำปากดี ไอ้เมฆ รีบๆไปเลย เดี๋ยวกูจะไปกับมึงด้วย” อีฟพูด

“กูขับรถให้ เอารถตู้กูไปก็แล้วกัน จะได้นั่งสบายหน่อย” แบ๊งค์พูดขึ้นบ้าง

“ให้นัทไปด้วยนะ เมฆ”

“โอเค พอเลย เท่านี้พอ ใครจะไปกูก็ไม่ว่าหรอกนะ รู้ว่าเป็นห่วงมัน แต่อย่าให้มันหลายคนเกิน ไอ้เมฆมันไม่แย่ขนาดใกล้จะตายสักหน่อย กูอยากให้มีคนอยู่โยงทางนี้ด้วย ส่วนพี่แอมป์ครับ ผมรบกวนฝากพี่เคลียร์กับตำรวจตรงนี้ด้วยนะ”

พี่แอมป์พยักหน้าตอบ จากนั้นเราทุกคนก็ขึ้นรถตู้ของไอ้แบ๊งค์ไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลรอไอ้เมฆทำแผลและตรวจร่างกาย ผมก็คอยรับโทรศัพท์จากเพื่อนๆของเราอยู่เรื่อยๆ ในตอนแรกสำหรับตัวผมเอง เรื่องทุกอย่างก็เกือบจะออกมาเหมือนเดิมแล้ว นั่นก็คือผมกับเมฆคิดจะไม่แจ้งความเอาเรื่องไอ้เศษขยะพวกนั้น เพราะไม่อยากจะให้มันเป็นเรื่องวุ่นวายและขี้เกียจคอยตอบคำถามตำรวจด้วย แต่ทว่าก็โดนอีฟ นัท และไคล์กดดันจนผมต้องยอมคุยกับตำรวจอีกครั้งหนึ่ง ทำให้คราวนี้ไอ้หกเจ็ดคนนั่นเจอข้อหาหนักยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมซะอีก

“แต่ผมข้องใจอยู่อย่างนึงนะครับ” ผมพูดกับพี่จ๊อบที่มาพร้อมกับเราด้วยเมื่อนัทกับอีฟไปเข้าห้องน้ำ และถึงแม้แบ๊งค์กับไคล์จะยืนอยู่ไม่ไกลจากเรานัก แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอยู่แล้ว “พี่หายไปไหนมา ผมเห็นพี่เดินตามเมฆกับนัทไป แต่ทำไมตอนผมวิ่งตามไปอีกแค่ไม่กี่นาทีให้หลังพี่ถึงไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วล่ะ”

“พี่ไม่ได้ตามสองคนนั้นไปน่ะ พอเดินไปได้หน่อยนึงแล้วพี่ก็เดินกลับไปที่รถของตัวเองเลย”

“แปลกนะครับที่ผมไม่เห็นว่าพี่เดินกลับมาตอนไหนเลยน่ะ”

“พี่ก็แค่เดินเลี่ยงสายตาคนอื่นไปหน่อยเท่านั้นเอง แต่พอพี่กลับมาที่หน้าบ้านก็เห็นนัทวิ่งหน้าตาตื่นกลับมาแล้วก็โวยวายใหญ่ พี่ก็เลยคอยปลอบเขาให้สงบๆลงน่ะ ทำไมเหรอ”

“นั่นมันก็ดีครับ นัทเองก็คงตกใจมาก แต่ผมกลับหลงคิดไปว่าพี่คงจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วเกิดกลัว ก็เลยหลบหนีเข้าป่าข้างทางไปซะอีก เพราะที่ขากางเกงกับที่เสื้อพี่มันมีเศษกิ่งไม้ใบไม้ติดอยู่น่ะ เพราะว่าถ้าเดินแค่ที่ชายหาดอย่างเดียวมันก็ไม่ควรที่จะมีของพวกนั้นติดอยู่ใช่มั๊ยล่ะ” ผมหันไปสบตากับเขาและคราวนี้สีหน้าของเขามันก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าการสันนิษฐานของผมถูกต้อง

“สงสัยมันจะติดมาตอนพี่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้มั๊ง” พี่จ๊อบรีบปัดเศษกิ่งไม้เหล่านั้นออก

“ก็เป็นได้ครับ.......... แต่มันก็เหมือนที่ผมพูดไปใช่มั๊ยล่ะ ว่าไอ้เมฆน่ะ มันเป็นลูกผู้ชายจริงๆ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปากเพราะความสมเพชในตัวของผู้ชายคนนี้จริงๆ

สุดท้ายบทสนทนาของเราก็ต้องจบลงเมื่อนัทกับอีฟเดินกลับมาจากห้องน้ำ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับคนแบบนี้อยู่แล้วล่ะ ถึงจะโกรธที่มันทิ้งให้แฟนและเพื่อนของผมต้องตกอยู่ในอันตรายโดยไม่ลงมือทำอะไร แถมแฟนของมันกำลังได้รับอันตรายแท้ๆมันยังไม่กล้าจะเข้าไปช่วยเลย แต่ถึงจะโมโหไอ้คนพรรค์นี้ไปก็คงจะไร้ค่าและเสียเวลาเปล่าๆ

เมื่อเรื่องราวทุกอย่างในคืนอันแสนวุ่นวายนี้จบลง ผลที่ออกมานั้นก็คือไอ้เมฆเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ และมีดก็ไม่ได้เฉี่ยวไปอย่างที่มันบอกเลย แต่เฉือนเข้าไปเต็มๆเลยต่างหาก ยังดีที่มันเบี่ยงตัวหลบทัน หมอแนะนำให้มันนอนโรงพยาบาลหนึ่งคืน แต่เจ้าตัวยืนกรานไม่ยอม พ่อของไอ้เมฆก็เป็นห่วงลูกชายอย่างที่คาด แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงของไอ้เมฆแล้วเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะ ส่วนไอ้คนร้ายทั้งหมดก็ถูกตำรวจจับยัดใส่กรงขัง รวมถึงไอ้คนที่แขนหักเมื่อคืนและวันนี้ไม่ได้โผล่หน้าออกมาร่วมก๊วนกับเขาก็ไม่รอดด้วยเช่นกัน



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

เมื่อเรากลับมาถึงที่ชายหาดอีกครั้งก็เป็นเวลาราวๆเกือบห้าทุ่มแล้ว ซึ่งจะว่าดึกแล้วมันก็ใช่ แต่ถ้าจะบอกว่าดึกเกินไปที่จะทำให้งานเลี้ยงต้องเลิกรามันก็ยังไม่ใช่อีก ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงลงความเห็นทำตามคำขอร้องของไอ้เมฆที่ว่าให้ดื่มให้กินกันต่อไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะดีกว่า เพราะไอ้เมฆบอกว่ามันไม่อยากทำให้เพื่อนๆต้องหมดสนุกกันเพราะการที่มันต้องมาเจ็บตัวนิดหน่อยนี่

“นิดหน่อยกับผีอะไรวะ ไอ้เมฆ เมื่อคืนกูบอกมึงแล้วใช่มั๊ยว่าถ้าไอ้ที่มึงโดนที่ชายโครงนั่นมันไม่ใช่แค่หมัดแต่เป็นมีดหรืออย่างอื่นน่ะจะเป็นยังไง แล้วดูซิ ดูวันนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ผมพูดขณะที่กำลังนั่งรอเพื่อนๆเริ่มอุ่นเริ่มทำอาหารขึ้นอีกครั้ง

“กูขอโทษจริงๆ ตอนนั้นมันเกิดขึ้นไวมากน่ะ กูแทบไม่รู้ตัวเลย เพราะตอนนั้นกูก็แค่เดินตามนัทไป กะว่าจะคุยกับเค้า แล้วจู่ๆไอ้พวกเหี้ยนั่นก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้แล้วก็ฟาดกูเข้าให้เลย”

“มึงเล่าให้กูฟังอีกทีได้มั๊ยวะ ตกลงตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ใช่ๆ พวกกูก็อยากรู้เหมือนกัน ไอ้เมฆ เอาทั้งหมดเลยนะเว้ย” เสียงของไอ้วิทดังขึ้น เมื่อเราสองคนเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นทั้ง วิท ป๋อม กอล์ฟ ไคล์ และอีฟเดินเข้ามาหาเรากันครบเลยทีเดียว

“เออๆ ก็ได้ แต่กูเล่าครั้งเดียวนะ กูไม่เล่าให้เพื่อนคนอื่นๆฟังอีกแล้วนะเว้ย พวกมึงไปเล่าต่อกันเองก็แล้วกัน”

“เออ กูจัดการเรียบร้อยแล้ว กูบอกพวกมันตั้งแต่ตอนมึงอยู่โรงบาลแล้วว่าอย่าไปเซ้าซี้มึงกับนัทมากนัก”

“ว่าแต่นัทอยู่ไหน”

“อยู่กับพี่จ๊อบในบ้าน เดี๋ยวก็คงออกมาน่ะ มึงไม่ต้องห่วงหรอก มันสบายดี เมื่อกี๊กูไปคุยกับมันมา มันก็คงมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ มันยังคิดเลยนะว่าที่มึงเจ็บตัวแบบนี้น่ะเป็นความผิดของมัน” อีฟตอบ

“ก็ไม่ใช่ความผิดเขาหรอก กูผิดเองแหละที่ประมาท”

“ตกลงมึงจะเล่าได้รึยัง ไอ้ตัวดี กูชักจะโมโหแล้วนะเนี่ย” ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด

“ใจเย็นๆดิ่ ซัน คือตอนแรกเลยพอนัทเขาเดินไปใช่มั๊ยล่ะ กูก็เดินตามไปอย่างที่มึงบอก แต่พอกูเรียกเค้า เค้าก็ไม่หยุด แต่ก็ไม่ได้วิ่งหนีหรืออะไรหรอกนะ ตรงกันข้าม เค้าก็แค่บอกว่าแสดงความยินดีด้วยนะ ในที่สุดก็พูดออกมาได้สักทีอะไรประมาณนั้นน่ะ แต่พูดไปก็เดินหนีกูไป ไม่ยอมมองหน้ากูเลย จนเราไปไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ กูก็เลยคว้าข้อมือเค้าไว้ แล้วตอนนั้นแหละที่กูรู้สึกว่ามีคนโผล่มาจากด้านหลังแล้วเอาของแข็งมาฟาดกูที่แผลเดิม” ไอ้เมฆชี้ไปที่บริเวณผ้าพันแผล “แม่งจุกมากอ่ะ แต่มันน่าแปลกไงที่ปกติมันน่าจะทุบหัวหรือทุบหลังกู แต่นี่มันเหมือนกับจงใจเล่นงานแผลเก่ากู กูก็เลยค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเป็นไอ้พวกเมื่อคืนแน่ๆ และถ้ามันมาแก้แค้น กูก็คิดว่าหนนี้มันคงต้องมากันเยอะแน่ กูโชคดีที่กูไม่ล้ม แค่เซ แล้วก็เลยหันกลับไปคว้าแขนมันมาหักทิ้งได้ทันก่อนที่มันจะฟาดซ้ำ แล้วก็เตะก้านคอมันจนมันหลับไป ปากกูก็บอกให้นัทวิ่งนะ แต่ก็ไม่ทันว่ะ ตอนนั้นแหละที่กูโดนล้อมด้วยผู้ชายห้าคนแถมถืออาวุธกันครบเลยด้วยแล้ว”

“แล้วมึงรอดมาได้ไงวะ ไอ้เมฆ ทำไมมึงไม่โดนมันทุบตายไปแล้ววะเนี่ย”

“ไอ้เหี้ย! นี่มึงอยากให้เพื่อนมึงตายรึไง ไอ้ป๋อม” ไอ้กอล์ฟเขกหัวมันแรงๆ

“กูขอโทษๆ กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น แต่คือมันก็แบบสุดยอดเลยอ่ะ สถานการณ์แบบนั้นคือมึงเจ็บอยู่แล้วโดนคนรุมอยู่ตั้งห้าคน กูก็เลย.......”

“เออ กูเข้าใจมึง แต่ตอนนั้นถึงกูจะจุกก็จริงนะ แต่ก็ยังพอตั้งหลักไหว แถมมันมีคนนึงวิ่งไล่นัทจะจับตัวเอาไว้ไม่ให้หนีไปได้ด้วย เพราะงั้นตรงนั้นจริงๆก็เลยเหลือแค่สี่”

“แล้วมีดล่ะ มึงโดนมันแทงเอาได้ยังไง”

“ก็พอมันล้มไปคนนึงใช่ป่ะ แม่งมากันเยอะ แถมนัทยังโดนจับอีก ปกติแล้วกูจะใจเย็นนะ แต่ตอนนั้นมันลำบากว่ะเพราะว่ามันไม่ทันได้ตั้งตัว กูก็เลยเผลอหลุดไปหน่อย พอกูบอกพวกมันว่าพวกเพื่อนๆกูอยู่ไม่ไกล ถ้ามันคิดจะทำอะไรบ้าๆพวกมันซวยแน่ แต่มันก็กลายเป็นยิ่งแย่ใหญ่ เพราะพวกมันคิดว่ามันกำลังถือไพ่เหนือกว่ากู นั่นก็คือถ้ากูไปตามใครมาช่วยไม่ได้ก็เท่ากับกูกับนัทจบเห่แน่ พวกมันก็เลยกะเล่นงานกูให้ปางตายเลยมั๊ง มันไม่เหมือนที่เราเจอๆมาน่ะซัน ไอ้พวกนี้มันวางแผนและตั้งใจมาหาเรื่องกับพวกเราอยู่แล้ว และมันก็รู้ด้วยว่าเราทำอะไรได้ขนาดไหน คราวนี้มันก็เลยเตรียมตัวมาพร้อมต่างกับกู แถมเวลาคนเยอะๆแบบนี้เนี่ย ยังไงๆมันก็ต้องคลุกวงในแล้วตะลุมบอนว่ะ มันไม่เหมือนในหนังที่จะดวลกันแบบเดี่ยวๆแบบนั้น มันเลี่ยงไม่ได้หรอก”

“แล้วไงต่อ” ผมถาม

“เอาย่อๆนะ คือคนแรกสลบไปแล้วหนึ่งนะ คนที่สองจับตัวนัทไว้ เหลืออีกสี่คนล้อมกูอยู่กำลังดูเชิงมั๊ง ไม่ก็คงตกใจที่เห็นเพื่อนมันหลับไปแล้วด้วยแหละ ไม่รู้สิ แต่ก็นี่แหละที่ทำให้กูมีเวลา กูเลยคว้าไม้บนพื้นปาใส่ไอ้คนที่จับนัทอยู่แล้วเล่นงานมันก่อน ไม่งั้นมันต้องใช้นัทเป็นตัวประกันแน่ๆ และพอนัทหลุด กูก็พุ่งเข้าไปเตะมัน กะจะให้มันอยู่ห่างๆนัทหน่อย แต่ปรากฏว่าพอหลังจากนั้น มันเกิดขึ้นเร็วมากว่ะ มีคนนึงแม่งควักมีดออกมาปาดเข้าที่สีข้างกูจากทางด้านหลัง” ไอ้เมฆลูบผ้าพันแผลของตัวเองเบาๆ “ไอ้พวกที่เหลือก็ขยับตัวไปพร้อมๆกันด้วย พอมันเห็นกูเจ็บ พวกมันก็พุ่งเข้ามาหากูพร้อมๆกันเลย แต่ถึงไงก็ยังเข้ามาแบบเป็นตามลำดับนะ ไม่ได้โหมมารวดเดียวเป็นกระจุก กูเลยยังพอรับมือไหว ไอ้ตัวที่จับนัทไว้ตอนแรกก็หันกลับไปจะจับตัวนัทเอาไว้อีก แล้วตอนนั้นแหละที่ไอ้ซันวิ่งมาพอดี พวกมันก็คงตกใจ กูก็เลยได้โอกาสรีบจัดการไอ้คนที่พุ่งเข้ามาเป็นคนแรกซะจนมันสลบน่ะ”

“เออ ใช่ ตอนนั้นกูเห็นคนล้มลงไปพอดี ตกใจชิบหาย นึกว่าเป็นมึง เมฆ เพราะนัทกำลังร้องชื่อมึงออกมาพอดี”

“ก็น่าอยู่หรอก เพราะเขาโดนคนนึงจับตัวเอาไว้ จังหวะเดียวกับที่กูเพิ่งโดนมีดปาดเอาด้วยนี่น่ะ เค้าคงเห็นแผลกูเข้าพอดีล่ะมั๊ง”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ เกิดอะไรขึ้นอีก แล้วมึงล่ะไอ้ซัน มึงทำอะไรบ้าง”

“กูก็วิ่งเข้าไปน่ะสิ ตอนนั้นมีคนยืนอยู่สามคน ส่วนอีกคนนึงกำลังจับนัทเอาไว้อยู่ ตอนนั้นไอ้เมฆมันก็คงได้ยินกูแหละ แต่มันก็กลับรีบพุ่งเข้าไส่ไอ้คนที่จับนัทอยู่ซะก่อน ไอ้เหี้ยนั่นก็เลยโดนเตะไปหลายดอก”

“ก็กูไม่อยากให้มีตัวประกันน่ะ อย่างที่บอก”

“และสุดท้ายก็เลยแบ่งกันสองต่อสอง แล้วสุดท้ายก็ออกมาเป็นอย่างที่พวกมึงเห็นนั่นแหละ นี่ ไอ้เมฆ ถ้าให้กูเดานะ ไอ้คนที่จับตัวนัทไว้ มึงทุ่มแล้วก็ทำมันแขนหักใช่มั๊ย ส่วนไอ้คนที่ใช้มีดกับมึงก็คือคนที่แขนหักแล้วก็ไหล่ซ้ายหลุดด้วย ใช่รึเปล่า”

“ช่ายย” ไอ้เมฆตอบหน้าตาเฉย

“มึงไม่ต้องมาทำเป็น ‘ช่ายย’ เลย ไอ้ตัวดีเอ๊ย นั่นมันหกต่อหนึ่งนะ ถ้ากูไม่เข้าไปช่วยมึงจะเป็นยังไง” ผมชักเริ่มโมโห

“ก็คงแย่แหละ เพราะมีนัทอยู่ด้วยมันก็ยิ่งลำบาก ไอ้เจ็บตัวนิดหน่อยน่ะกูไม่ว่าหรอก แต่ถ้าคนอื่นต้องมาเป็นอะไรไปด้วยนี่สิ......”

“นิดหน่อยเหี้ยอะไรของมึง มีดนะเว้ย ถ้ามึงหลบไม่ทันมึงโดนเสียบตายไปแล้วนะ!” ผมตะคอก

“ตอนนั้นน่ะ กูก็อยากจะวิ่งหนีนะ แต่มันหนีไม่ได้นี่ นัทก็โดนจับตัวไว้ แถมกูก็ไม่รู้ว่าทำไมนะ ซัน แต่ว่ากูรู้สึกได้ว่ามึงจะต้องมาช่วยกูแน่ๆน่ะ กูรู้สึกแบบนั้น เพราะงั้นตอนที่มึงวิ่งมากูก็เลยไม่แปลกใจ แล้วก็เลยไม่ได้กังวลอะไรมากนักตั้งแต่แรกแล้วด้วย.......” ไอ้เมฆพูดพร้อมก้มหน้า และเมื่อได้ยินมันตอบออกมาแบบนั้น อารมณ์ร้อนๆในใจผมมันก็เลยพาลเย็นลงไปเยอะเลยเหมือนกัน

“กูเป็นห่วงมึงนะ เมฆ กูไม่อยากเห็นมึงต้องเจ็บตัวแบบนี้ กูพูดไปร้อยรอบได้แล้วมั๊ง เชี่ยเอ๊ย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มอ่อนลง

“กูรู้ ถ้าเป็นไปได้กูก็ไม่อยากให้มึงต้องเจ็บตัวหรือมาอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพราะกูเหมือนกัน แต่มึงก็รู้นี่ว่าถ้านี่มันไม่ได้เล่นทีเผลอกับกูตั้งแต่แรก กูก็คงจะปลอดภัยดีมากกว่านี้น่ะ”

“กูไม่รู้หรอก....... ไอ้เหี้ยเอ๊ยย แต่กูรักมึงนี่ ไอ้เมฆ นี่ถ้ามีดเล่มนั้นมันปักลึกลงไปกว่านี้อีกแค่สองเซ็นต์ มึงรู้มั๊ยว่ามันจะเป็นยังไง”

“เราจะไม่กังวลกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ใช่เหรอครับ ซัน ส่วนเรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป เราแค่ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด ใช่มั๊ยล่ะ กูสัญญา คราวหน้ากูจะระวังตัวให้มากกว่านี้ ส่วนมึงก็ต้องไม่กังวลเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว โอเคมั๊ย” ไอ้เมฆพูดพร้อมกับวางมือลงบนแก้มของผม

“เออๆ ก็ได้วะ......” ผมถอนหายใจเบาๆ

“นี่ๆ พวกมึงสองคนลืมกันไปแล้วรึเปล่าว่าพวกกูยังยืนกันอยู่ตรงนี้น่ะ” ไอ้ป๋อมร้องทักขึ้น ทำเอาเราสองคนผงะออกจากกันแทบจะทันที

“แม่งลืมกันไปสนิทแล้วจริงๆด้วยว่ะ เข้าโลกส่วนตัวกันไปเรียบร้อยแล้ว” อีฟหัวเราะเบาๆ

“เป็นอย่างนี้ประจำล่ะครับ ทะเลาะๆกันอยู่ดีๆก็ดีกันซะเฉยๆ แล้วโลกนี้ก็จะมีแค่เขาสองคนไปเลย” ไคล์พูดพร้อมยิ้มกว้าง

“ว่าแต่แหวนไอ้เมฆล่ะ ไอ้ซัน” วิทพูด

“เออ จริงด้วย” ผมตกใจและรีบตบที่กระเป๋ากางเกงของตัวเองทันที และเมื่อล้วงมือลงไปดูแล้วก็พบว่ามันยังคงอยู่ดีไม่ได้หล่นหายไปตอนที่เราไปปล้ำกับไอ้พวกนั้นที่ชายหาด “เอ้านี่ เมฆ มึงใส่กลับไปได้แล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องถอดแล้ว” ผมยื่นแหวนคืนให้แก่มัน

“ใส่ให้กูสิ” ไอ้เมฆยิ้มกว้าง และพวกที่ยืนอยู่รอบๆเราก็ส่งเสียงโห่ออกมาทันที

“โอ๊ยยยย จะอ้วกเว้ย ไปเหอะพวกเรา กูทนดูไม่ได้ว่ะ อิจฉาด้วย ขนลุกด้วย”

“แบบนี้กูไปหาหอยมากินมั่งดีกว่าว่ะ ล้างเลี่ยนไส้กรอกอิมพอร์ตจากอังกฤษ มึงสนใจมั๊ย ไอ้กอล์ฟ”

“หอยที่มึงว่านี่หมายถึงหอยไหนวะ ไอ้ป๋อม เพราะแถวนี้แม่งมีแต่หอยเหี่ยวๆของเพื่อนเรากับหอยปิ้งบนตะแกรงเท่านั้นนะ”

“ผมเองก็ไปหาอะไรกินมั่งดีกว่า ซันกับศิลาก็กินอะไรสักหน่อยด้วยนะครับ ยังแทบไม่ได้กินอะไรกันเลยนี่”

“คอยเดี๋ยวนะมึง กูจะไปเอาปูมาหนีบจมูกพวกมึงให้ดู โทษฐานทำตัวน่าหมั่นไส้ รออยู่ตรงนี้แหละ ไอ้ซัน คอยดูแลแฟนมึงด้วยนะ คืนนี้พวกกูบริการเอง พ่อฮีโร่ทั้งสอง” อีฟพูดตบท้ายพร้อมกับเดินตามหลังคนอื่นๆจากไป

ผมกับเมฆหัวเราะเบาๆ จากนั้นเราก็หันกลับมามองหน้ากันเหมือนเดิม ผมมองดูใบหน้าของมันแล้วก็อดอมยิ้มออกมาอีกไม่ได้ ดวงตาใสซื่อที่ดำขลับ คิ้วที่เหยียดตรงจนขนานไปกับดวงตาอันอ่อนโยน หางตาและแววตาที่ดูแฝงความเศร้าเอาไว้เล็กน้อย จมูกเรียวยาวเป็นสันได้รูป ริมฝีปากบางๆที่มักจะเหยียดออกด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอๆ หลายต่อหลายครั้งที่ผมเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เป็นคนที่วิเศษมากขนาดนี้กันนะ ถึงเขาจะดูบอบบาง แต่แท้จริงแล้วเขากลับแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อทั้งร่างกายและจิตใจ ผมไม่เข้าใจเลยว่าผมทำอะไรลงไปถึงได้คู่ควรกับการได้มีคนๆนี้มาคอยรักและห่วงใยอย่างในทุกวันนี้

“มองอะไรของมึง” เมฆพูดพร้อมรอยยิ้มกว้างอีกแล้ว รอยยิ้มที่ทำให้คนหลายต่อหลายคนแล้วเหลือเกินต้องหลงเสน่ห์

“มองแฟนของคนหล่อ”

“กูจะอ้วก ถุยๆๆๆๆๆ เหมือนทรายจะเข้าไปติดคอว่ะ แค่กๆ” ไอ้เมฆทำท่าขย้อน ผมจึงอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้

เราสองคนเงียบกันไปพักหนึ่งก่อนที่ผมจะยื่นมือออกมาขยี้ผมสั้นๆของมันเบาๆ “กูรักมึงว่ะ เมฆ”

“กูก็รักมึง ฟ้าคราม” ไอ้เมฆยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างออกมาหยิกแก้มผมเบาๆด้วยเช่นกัน

“จูบเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากทางด้านข้างตัวของพวกเรา และพอเราหันไปมองก็เห็นทุกคนกำลังยืนมองและส่งเสียงเชียร์กันอยู่ยกใหญ่ เราสองคนไม่ทันได้สังเกตเลยแม้แต่นิดเดียวว่าพวกมันทั้งยี่สิบกว่าชีวิตมายืนมุงดูกันแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน หรือว่ามันจะเป็นอย่างที่ไคล์พูดไว้จริงๆว่าเราสองคนชอบหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวกันอยู่เรื่อย

“ไม่เอาน่า ไอ้ป๊อดดด เวลาแบบนี้มึงต้องจูบนะเว้ยยย”

“เร็วๆๆๆ ยุงลงไปไข่ในเหล้าหมดแล้วเนี่ย วู้!”

เพื่อนของเราทุกคน แม้แต่นัท พี่จ๊อบ พี่แอมป์ และก็อาร์ม ก็ยังยืนอยู่ในฝูงคนที่กำลังส่งเสียงเชียร์พวกเราอยู่ด้วยเช่นกัน ทุกคนปรบมือและโห่ร้อง หลายคนเป่าปากและส่งเสียงยุให้ผมกับเมฆจูบกันไวๆ ถึงแม้ว่านัทจะมีท่าทางไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่เขาก็ดูรับสภาพได้ดีขึ้นกว่าเมื่อตอนหัวค่ำเยอะมากทีเดียว ส่วนแบ๊งค์เองก็ยังยืนตบมืออยู่ใกล้ๆคู่กับพี่จ๊อบ ซึ่งผมถือว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดี และเป็นตัวช่วยส่งความกล้าในสิ่งที่ผมกำลังจะทำต่อไปนี้ด้วย

ผมชะโงกหน้าเข้าไปจูบลงบนริมฝีปากของไอ้เมฆพร้อมกับเสียงโห่ร้องที่ดังกึกก้อง มันเป็นจูบเบาๆที่ริมฝีปาก แต่ก็ยาวนานและดูดดื่มมากพอที่จะแสดงความรักลงไปอย่างเต็มที่ และเมื่อผมถอนปากออก เสียงโห่ร้อง เสียงเป่าปาก เสียงแซว และเสียงปรบมือก็ยังคงดังอยู่ไม่จางหาย

“ยังกับงานแต่งงานเลยนะเนี่ย” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆ

“เหลือก็แค่ส่งตัวเจ้าสาวเข้าห้องหอเท่านั้นเอง” ผมยิ้มกว้าง

“ปากดีนะมึง.....” ไอ้เมฆหัวเราะ “คราวนี้กูให้มึงเลือกแค่สองอย่างมั่งล่ะ จะป้อนปูกับกุ้งกูตอนนี้ เพราะกูหิวมากๆ หรือว่าจะเป็นเจ้าสาวให้กูในตอนหลัง เพราะกูก็อยากแบบสุดๆแล้วด้วยเหมือนกัน”

“อืมมม........” ผมทำท่านึก จากนั้นก็ฉีกยิ้มกว้าง “ถ้าหลังจากอิ่มแล้วเจ้าบ่าวยังมีปัญญาทำ.......” ผมจิ้มลงไปที่แผลของมันเบาๆ “กูก็จะยอมเป็นเจ้าสาวให้มึงก็ได้”



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เมฆยังเก่งเหมือนเดิม  o13  ว่าแล้วทำใจต่อปายยยยย  :amen:  :amen:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
คิดเหมือนคุณทิพย์เลย อ่านเรื่องนี้แล้วใจมันตุ๋ม ๆ ต้อมๆ

ต้องทำใจให้สงบก่อนอ่านอยู่เรื่อยเลย

อ่านจบตอนทีก็ถอนใจที อ้อ เมฆกะซันยังปกติสุขอยู่  :เฮ้อ:

KevinKung

  • บุคคลทั่วไป
กำ พึ่งอ่านภาคสามจบ....ภาคใหม่ก็มาซะแหละ :m17:

แต่ก็ดี จะได้ไม่ต้องรอ  :m1:

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ย เครียดมากครับ  :serius2:
ยังผ่านภาคที่แล้วไม่จบเลยอ่ะ กะว่าต้องค่อยๆอ่าน ค่อยๆซึมซับอรรถรส
อย่างนี้เมื่อไหร่จะได้มาอ่านภาคใหม่เนี่ย  :sad2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
โอ๊ย เครียดมากครับ  :serius2:
ยังผ่านภาคที่แล้วไม่จบเลยอ่ะ กะว่าต้องค่อยๆอ่าน ค่อยๆซึมซับอรรถรส
อย่างนี้เมื่อไหร่จะได้มาอ่านภาคใหม่เนี่ย  :sad2:


งั้นแปลว่าต้องรีบๆซึมซับภาคที่แล้วให้ไวเลยคับ  :impress: อิอิ

ขอบคุณนะคับ

ทุกคนเลย


eyukiz

  • บุคคลทั่วไป
ตุ๊มๆต่อมๆจริงๆด้วยคู่นี้ :เฮ้อ:

แต่ยังอยู่ดีมีสุขเก๊าะแฮปปี้ค่า  :m13: 

ตื่นเต้นนนนนนนนนนนนนนนน

niph

  • บุคคลทั่วไป
คนอาร๊าย สมบูรณ์แบบได้ขนาดนั้น

ว่าแต่ ... ติดตามหาต้นเหตุแห่งความร้าวฉานด้วยคน

 :m7: :m7: :m7:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เก่งกันจริงๆ  :m3:  :m3:

ว่าแล้วก็เข้าโลกส่วนตัว ... ของตัวเอง  เอิ๊กส์   o17

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
โดนบังคับมาดัน :เฮ้อ:

เชอะๆๆๆ o12

พี่ๆคับ ดูจิ้ ไอ้พี่ต้นมันบังคับมาอ่ะ :m17:

ยื่นคำขาดว่า ถ้าไม่ดัน ไม่ให้ไปนอนด้วย  :a12: :m29:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
^
^

และใครชอบไอ้เมฆกะไคล์จะเป็นจะตาย  :เตะ1:




พี่ๆคับ ดูจิ้ ไอ้พี่ต้นมันบังคับมาอ่ะ :m17:

ยื่นคำขาดว่า ถ้าไม่ดัน ไม่ให้ไปนอนด้วย  :a12: :m29:

ฟังดูดีมากมายน้องชาย  :m29:


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด