[รวมเรื่องไม่ยาว] สมาคมขนสั้น เรื่องที่ 4 (ตอนจบ) 27 ต.ค. 54 หน้า 4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [รวมเรื่องไม่ยาว] สมาคมขนสั้น เรื่องที่ 4 (ตอนจบ) 27 ต.ค. 54 หน้า 4  (อ่าน 69618 ครั้ง)

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
เรื่องที่ 1


เสียงรถที่คุ้นเคยแล่นเข้ามาหน้าบ้าน ผมปรือตาขึ้นข้างหนึ่ง หูกระดิก ก่อนจะลุกขึ้นเหยียดตัวอย่างเกียจคร้าน ผมจำเสียงรถลูกชายเจ้าของบ้านได้ ว่าไปผมก็จำเสียงรถทุกคนได้ แมวหูดีไม่แพ้หมา เพียงแต่จะแสดงออกอย่างไรก็เท่านั้น

พอรถจอดสนิทในโรงรถและทินลงมานั่นแหละผมถึงได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติไป วันนี้ทินกลับบ้านคนเดียวแถมยังทำท่าหงอยซึมเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ

แล้วที่แปลกมากก็คือ... เจ้าตัวเดินเนือยๆ เข้าบ้านโดยไม่วิ่งหาผมก่อนแล้วฟัดเป็นอันดับแรก

ปกติทินเป็นเด็กร่าเริง (ความจริงก็ไม่เด็กแล้วละ ทำงานแล้ว แต่ผมอยู่กับเขามาตั้งแต่เขายังเรียนปริญญาตรีนี่นา) เข้าขั้นคึก กลับบ้านทีไรไม่มีหรอกที่จะเงียบอย่างนี้ สงสัยว่าจะ...

อีกแล้วรึเนี่ย

ผมเดินอ้อมเข้าบ้านทางหลังครัวเพราะรู้ว่าประตูมักจะเปิดแง้มๆ ไว้ ทันได้ยินมะม้าของทินถาม

"ชนม์ไปไหนล่ะลูก ไม่กลับมาพร้อมกัน ตามมาทีหลังเหรอ"

"มะม้าอย่าพูดถึงมันเลย" เท่านั้นแหละทินก็ปรี๊ด แต่เสียงสั่นชอบกล "คนพรรค์นั้น เฮอะ มะม้าไม่ต้องพูดชื่อมันอีกนะ"

มะม้ามองลูกชายอย่างงงๆ ส่วนทินเดินลิ่วขึ้นบันไดไปห้อง ผมไถขามะม้าหนึ่งทีเป็นการปลอบใจแล้วขึ้นบันไดตามทินไป

ถึงทินจะนอนบ้านบ้างนอนคอนโด (ของแฟน - ชนม์ที่ว่า) บ้างทำให้ไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่เคยลืมว่าทินเป็นคนอุ้มผมจากหลังบ้านที่แม่แมวออกทิ้งไว้แล้วก็หายไปมาขอมะม้าเลี้ยง ประคบประหงมลูกแมวขี้โรคผอมแห้งจนกลายเป็นแมวสีส้มรูปหล่ออย่างนี้ ผมอดห่วงทินไม่ได้

ทินทิ้งประตูห้องนอนแง้มไว้ ผมเอาตัวเบียดนิดเดียวก็เข้าไปได้ เจ้าของห้องนอนคว่ำหน้าซุกกับหมอน จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทินกลับมาด้วยอาการงอนชนม์ ถ้าจำไม่ผิดเดี๋ยวโทรศัพท์ก็จะ...

“กริ๊ง...”
 
เริ่มด้วยมือถือก่อน และตามแพทเทิร์นทินก็จะ...

นั่นไง ผมมองนิ้วเรียวยาวล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดปิดอย่างไม่ไยดี ถ้าทินปิดโทรศัพท์มือถือละก็...

เสียงโทรศัพท์บ้านแผดลั่นก่อนเสียงมะม้าจะดังขึ้นจากข้างล่าง
 
“ทิน ชนม์โทรมาแน่ะลูก...”

ทินเงยหน้าขึ้น กัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะตะโกนลงไป

“มะม้าบอกมันให้หน่อยว่าทินไม่อยู่ ยังไม่กลับ อะไรก็ได้ ทินไม่อยากพูดกับมัน”

ผมว่าที่ทินพูดนั่นอีกปลายสายคงได้ยินเต็มสองรูหูเลยล่ะ เสียงมะม้าพูดกับชนม์แว่วๆ แล้วเดินขึ้นมา

“ทิน ชนม์ฝากบอกว่า...”

ลูกชายตัวดีเอาหมอนปิดหูร้องลั่น “ไม่เอา มะม้า บอกแล้วว่าอย่าพูดถึงมัน มันจะฝากอะไรมาทินไม่รับทั้งนั้น”

คนเป็นแม่ถอนใจเฮือก “เด็กแท้ๆ แล้วอย่าหาว่ามะม้าไม่บอกนะ ทินไม่ฟังเอง แล้วไม่ต้องมาซึมเลยนะถ้าชนม์ไม่โทรมาอีก”

พ่อลูกชายก็เอาหมอนปิดหูฟึดฟัดอยู่อย่างนั้นจนมะม้าเดินกลับลงไป
 
ถ้ามะม้าจำเหตุการณ์เดจาวูนี้ได้เหมือนผม ท่านก็ต้องรู้ว่าชนม์ไม่เลิกโทรหรอก เผลอๆ อาจจะมาง้อถึงบ้านด้วยซ้ำ แล้วไม่นานคนขี้งอนก็ใจอ่อนยอมกลับไปเอง หวานจี๋จ๋ากันเหมือนเก่า อาจจะมากกว่าเดิมอีกต่างหาก

ผมบอกแล้วว่ามันเป็นแพทเทิร์น แต่ไม่รู้ว่าคราวนี้ทินโมโหมาด้วยเรื่องอะไรเหมือนกัน

มะม้าเดินกลับขึ้นมาอีก คงวางหูจากชนม์เรียบร้อยแล้ว ท่านนั่งลงที่ข้างเตียง ลูบผมลูกชายหัวดื้อ

“ทินฟังมะม้านะลูก อยู่ในความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์อะไรก็ตาม ก็เหมือนแล่นเรือออกทะเลน่ะลูก มันเลือกไม่ได้หรอกว่าจะมีแต่วันฟ้าใส คลื่นลมสงบ แต่ถ้าไม่อยากให้เรือล่ม ก็ต้องประคับประคองไปให้ดีที่สุด เรือแข็งแรงน่ะไม่ล่มง่ายหรอกลูก แล้วพายุก็จะพัดผ่านไปเอง”

ทินนอนเงียบๆ แต่ผมว่าเขาได้ยินมะม้าทุกคำแหละ มะม้าตบไหล่ลูกชายอีกเบาๆ ก่อนจะลุกลงไปข้างล่าง
 
ผมโดดตุบขึ้นบนเตียงก่อนพังพาบลงข้างทินด้วยท่าเหมือนกันเป๊ะ เขาพลิกตัวนอนตะแคงเอาแขนหนุนศีรษะไว้ มองผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“ฉ่อยเหรอ มาตั้งแต่เมื่อไหร่...”

ถ้าเขาไม่มัวแต่เอาหน้าซุกหมอนอยู่คงเห็นผมไปตั้งนานแล้วล่ะ อ้อ ก่อนอื่น ความจริงผมชื่อส้มป่อย มะม้า ป๊า พี่ๆ คนทำงานในบ้าน ลูกน้องของป๊า ทุกคนเรียกผมว่าส้มป่อยหมด มีทินคนเดียวที่ดึงดันจะเรียกผมว่าฉ่อย ผมก็เลยมีสองชื่อ

แต่ถามจริงๆ เหอะว่าแมวที่ไหนชื่อฉ่อยบ้าง นี่เพราะว่าเป็นทิน เป็นทินคนที่เก็บผมมาฟูมฟักหรอกนะ ไม่อย่างนั้นให้ตายผมก็ไม่ยอมขานชื่อฉ่อยหรอก
   
ทินกัดปากอีก ผมดูออกว่าเขากำลังไม่สบายใจมาก อาจจะมากกว่าทุกคราวที่เคยเกิดเหตุการณ์ ‘งอนชนม์’ ขึ้นมา
 
อย่าหาว่าผมเข้าข้างคนบ้านตัวเอง แต่ถึงทินจะขี้งอน ผมว่าเขาก็มีเหตุผลของการงอนทุกครั้งนะ (เล็กบ้างใหญ่บ้างตามแต่กรณี) ไม่ใช่เอะอะอะไรก็งอนเรียกร้องความสนใจหรอก คงเป็นเพราะอย่างนี้ด้วยชนม์ถึงได้มาง้อทุกที

ผมลุกขึ้นเดินอ้อมไปทางหัวนอนเขา ตรงชั้นหนังสือมีเล่มหนึ่งที่ยื่นออกมาเหมือนวางไม่เรียบร้อย ผมก็เป็นแมวเห็นอะไรยื่นออกมาไม่ได้จะต้องขอเอาหัวไปถูทิ้งกลิ่นไว้สักหน่อย

ทินยันตัวขึ้นนิดหนึ่งก่อนจะเอื้อมหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา เขาเปิดมันออก ผมจำได้ว่าเป็นอัลบั้มรูปเล่มเก่าสมัยเขาเพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ

“ฉ่อยดูสิ” เขาเรียก “ตอนนั้นเราหน้าตาตล๊กตลก เด๋อด๋าเชียว ดูนี่ ใส่แว่นด้วย ยังไม่ได้เปลี่ยนมาใส่เลนส์เลย...”

ผมก็กลับมานั่งข้างๆ ตามใจเขา ทินพลิกเปิดอีกหน้าแล้วก็ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น ผมรู้ว่าเพราะอะไร ก็จากหน้านี้เป็นต้นไปจะมีรูปชนม์ยืนสูงหล่อแทรกอยู่ทุกหน้าเลยน่ะสิ
 
ไม่ใช่รูปคู่ดีๆ หรอก ตอนนั้นก็ยังไม่สนิทกันถึงขั้นนั้น เป็นรูปหมู่เสียส่วนใหญ่ กับรูปที่ผมจำได้ว่าเมื่อสองปีที่แล้วทินบอกว่าเป็นรูปตอนไปทริปของบริษัท
 
ถึงจะถ่ายกันหลายคน แต่รูปนั้น ‘เผอิญ’ ทินได้ยืนข้างชนม์พอดี

กลับจากทริปนั้นก็สนิทกันมากขึ้น รู้อีกทีทินกลับบ้านก็พูดถึงแต่เพื่อนร่วมงานคนนี้ ไม่นานชนม์ก็มาเที่ยวบ้าน กินข้าวกับป๊ากับมะม้า ออกไปดูหนังซื้อของกันสองคนกับทินเป็นปกติ

ก็ดูเหมือนเป็นเพื่อนกันตามธรรมดาใช่มั้ยล่ะ แต่ผมรู้สึกตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะว่าชนม์เป็นเพื่อน ‘พิเศษ’ แมวน่ะเซนส์แรงนะจะบอกให้ แต่ชนม์ดูเหมือนจะไม่ได้รีบร้อนอะไร ทินเองก็เรื่อยพอกัน
 
จนวันหยุดวันหนึ่งชนม์มากินข้าวบ้าน กินเสร็จก็นั่งอยู่กับทินที่เก้าอี้ในสวน ตอนนั้นตกบ่ายแก่ๆ ผมก็อยู่แถวนั้นด้วย เดินสำรวจต้นไม้ใบหญ้า ไม่ต้องเงี่ยหูฟังก็ได้ยินว่าเขาคุยอะไรกัน บอกแล้วว่าแมวหูดี

ทินคุยเรื่อยเปื่อยกับชนม์ถึงตอนสมัยเรียน บอกว่าตัวเองเป็นคนแปลภาษาท่าทางไม่เก่ง พูดง่ายๆ ก็เป็นพวกอ่านบรรยากาศไม่ค่อยออก ตอนทำงานถึงได้ดีขึ้นมาก

(ถ้าชนม์ฟังผมรู้เรื่องผมก็อยากบอกว่าถึงทินจะเป็นอย่างนั้นแต่เขาก็ป๊อบปูลาร์ เพื่อนเยอะ และเพื่อนรักมากอยู่ดี คงเป็นเพราะอาจจะรู้ว่าทินตั้งใจดีแล้วก็หวังดีละมัง สมัยเรียนงี้บ้านมีคนมาแทบทุกวันเลยละ)

“แปลภาษาท่าทางไม่เก่งเหรอ” ชนม์ทวน “ยังงั้นเอง”

“อื้ม ก็พอทำงานจริงถึงได้รู้ว่าแปลแค่คำพูดอย่างเดียวไม่พอต้องดูบริบทด้วย เลยพยายามปรับปรุงตัว”

“นอกจากภาษาจีนแล้วแปลภาษาอะไรได้อีก”

“อังกฤษละมัง”

“แล้ว... ภาษานี้ล่ะ” ผมเห็นชนม์ชี้ที่หัวใจ

ทินอึ้ง ผมก็อึ้ง ภาษาใจ... ชนม์ช่างคิดได้

“เป็นล่ามยังไงแปลไม่ออก”

ทินทำหน้าเหวอ ส่วนผมเนียนเข้าไปใกล้ ดูว่าชนม์จะทำไงต่อ
 
ชนม์จับมือคนบ้านผมมา ไม่สนใจอาการขืนเล็กน้อยเพราะตกใจ เขาใช้นิ้วเขียนลงบนกลางฝ่ามือนั้นเบาๆ

“รัก ทิน” ไม่เขียนเปล่า ออกเสียงด้วย “แบบนี้ก็ไม่ต้องแปลแล้วนะ”

ทินทำปากขมุบขมิบเหมือนจะพูดอะไร แต่ไม่ยักชักมือออก

โหย ผมละจำแม่นเลย ประทับใจในความน้ำเน่าของชนม์มาจนถึงทุกวันนี้

พอเลื่อนสถานะจากเพื่อนเป็นแฟน สองคนนี่ก็ลุ่มๆ ดอนๆ ชอบกล ช่วงที่ดีน่ะดีมาก (ผมเปล่าพูดเอง ก็ได้ยินทินเวิ่นในโทรศัพท์กับเพื่อน) แต่ชีวิตทินเป็นแบบที่ ‘ได้ดั่งใจ’ มาตลอด ลูกชายคนเดียว มะม้ากับป๊าตามใจ คนในบ้านก็พะเน้าพะนอ ขนาดมีแมวที่ทุกคนตั้งให้ชื่อหนึ่งแต่ทินก็เรียกอีกชื่ออย่างไม่สนใจใคร ไม่ว่าจะเรียนหรือทำงานก็จัดการได้เรียบร้อย
 
พอเจออะไรหรือใครที่ ‘ไม่ได้ดั่งใจ’ บ้าง ผมว่า... คงต้องอาศัยการปรับตัวน่ะ ความจริงทินก็ดูจะเรียนรู้ตั้งแต่อยู่กับผมแล้วว่าทุกอย่างจะให้มันได้ดั่งใจไปหมดน่ะไม่มีหรอก เขาเลิกคาดหวังว่าผมจะทำตามที่เขาบอกทุกอย่างหรือมาทุกครั้งเมื่อเรียก

“ไม่ได้อยู่ในสายเลือดของแกสินะฉ่อย” เขาว่า แล้วก็ยอมรับแต่โดยดีว่าไม่อาจสอนให้แมวยืนสองขาได้ถ้ามันไม่อยากทำ
 
แต่กับชนม์ทินยังคาดหวังอยู่ ไม่ได้ดั่งใจ... ก็ผิดหวัง ความจริงชนม์พยายามอยู่นะ แต่เหมือนงานของเขาเกี่ยวกับการวางระบบโปรแกรมอะไรสักอย่างที่ต้องให้ลูกค้าปรึกษาถามไถ่ได้ตลอด (ผมได้ยินทินบ่นๆ ให้มะม้าฟัง) ต้องเดินทางบ่อยด้วย ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวเอาเสียเลย

“แล้วมาขอเป็นแฟนทำไมก็ไม่รู้” ทินว่าอย่างนั้น
 
ก็ถูก ตอนเป็นเพื่อนกันไม่เห็นเป็นปัญหานี่ ร้อยละเก้าสิบของเหตุการณ์ ‘งอนชนม์’ เกิดขึ้นเพราะ ‘ชนม์ไม่มีเวลา’

ทินปิดอัลบั้มปกแข็งอย่างแรง เขายัดมันกลับเข้าชั้น แน่นอนว่าก็เอียงกะเท่เร่กว่าเดิมอีก แต่เจ้าตัวไม่สนใจ เขาลงนอนหงายมือลูบตัวผมอย่างใจลอย
   
“ฉ่อยรู้มั้ยชนม์ผิดนัดผิดสัญญากับเรามากี่ครั้งแล้ว” มีเสียงถอนใจ “จะว่าไปครั้งนี้... มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องหนักหนากว่าครั้งไหนๆ ผิดนัด... ด้วยเรื่องสุดวิสัย แล้วก็พยายามชดเชยให้ทุกที แต่... ไม่รู้สิ ตอนนั้นเราจี๊ดขึ้นมาเลย แล้วก็หนีกลับบ้าน บ้าเนอะ”

ผมกระพริบตามองเขาเป็นนัยว่ายังฟังอยู่
 
“เพราะว่าชนม์บอก... ถ้าอยากไป ไปกับเพื่อนก่อนก็ได้นี่ ไม่เข้าใจรึไงว่าจุดสำคัญไม่ใช่การไปเที่ยว!” เขาชักน้ำตาคลอขึ้นมาอีก “พูดออกมาได้ ถ้าไม่ไปด้วยกันจะมีความหมายอะไรล่ะ เฮ้อ”

ผมเอียงคอ ทินก็เปลี่ยนมาเกาคางให้โดยอัตโนมัติ อู้ย ใครเกาก็ไม่สบายเท่าทินเลยสิน่า ผมครางนิดๆ อย่างพอใจ

“มะม้าพูดมาเราก็คิดนะ ไม่ใช่เราไม่รู้ว่าน่าจะอดทนแล้วก็ใจเย็นกว่านี้ ชนม์มันไปทำงาน ไม่ได้เหลวไหลสักหน่อย แต่ก็อดไม่ได้ เรามันนิสัยเสียยังงี้ล่ะฉ่อย แต่พอชนม์พูดอย่างนั้น มันทำให้เรารู้สึกว่าจะเป็นหรือไม่เป็นแฟนกันก็คงไม่ต่างอะไร” เขาถอนใจอีกที “แต่มันบ้าตรงที่ถ้าให้เลิกก็ไม่เอา บ้าไหมล่ะ”

แล้วคนมีความรักบ้าอย่างนี้ทุกคนรึเปล่า ผมอยากจะถาม

“เอาเถอะ” ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น “ไปข้างล่างกันดีกว่า หิวข้าวมั้ย”

ผมว่าทินคงตัดบทเพราะยิ่งพูดเขาก็ยิ่งสูดจมูกหนักขึ้นทุกที ไม่อย่างนั้นอาจจะได้กินข้าวเคล้าน้ำตากันเป็นแน่
 
ทินเอาอาหารแมวให้ผมหลังจากที่ได้รับเสียงเมี้ยวพอเป็นพิธี เมื่อก่อนเขาก็ชอบให้ผมเมี้ยวนานหน่อย เดินวนไปวนมาแถวขาเขาอีกนิด แต่สงสัยวันนี้จะไม่มีอารมณ์แกล้งแมว

มะม้าอยู่ในครัวด้วยกำลังเริ่มเตรียมกับข้าว แป๊บเดียวลูกชายก็เข้าไปกอดเอวอ้อน
 
“มะม้า...” เขาลากเสียงยาว “ทินขอโทษน้าที่ทำยังงั้นไป แต่ทินยังไม่อยากพูดกับชนม์มันจริงๆ”

มะม้าก็คือมะม้า ใจอ่อนกับลูกชายเสมอ
 
“แล้วทินจะให้มะม้าเล่าที่ชนม์ฝากบอกได้หรือยัง ชนม์บอกให้บอกทินให้ได้นะลูก”

“ไม่เอา” ผมว่าทินดื้อมาก ดื้อเหมือนแมวไม่มีผิด “มันอยากบอกอะไรก็ให้มันมาบอกเอง”

“ตามใจ” มะม้าว่าก่อนจะหันไปง่วนกับกับข้าวต่อ ทินเดินรอบครัวหยิบโน่นจับนี่บ้างนิดหน่อย พอมะม้ารามือให้พี่ๆ ลูกมือทำต่อเขาก็ตามมะม้าออกมาด้วย

“ป๊าไม่กลับมากินข้าวบ้านเหรอ”

“ป๊าไม่อยู่หรอก ไปทำงานต่างจังหวัด”

“วันหยุดเนี่ยนะ”

“ทินก็รู้จักป๊า”

“บ้างาน” เขาย่นจมูก “มะม้ารักคนบ้างานอย่างป๊าได้ไงนะ”

“แล้วทินรักชนม์ได้ไงล่ะ”

“มะม้า!”

บทสนทนาเรื่องคนบ้างานจบแต่เพียงนั้น ระหว่างกินข้าวมะม้าชวนลูกชายคุยเรื่องสัพเพเหระ ทินก็ตอบสลับเหม่อบ้างใจลอยบ้าง มะม้าเองก็รู้ว่าทินใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เพราะถ้าไม่ได้มีเหตุการณ์ ‘งอนชนม์’ เขาคงพูดเป็นต่อยหอย
 
โทรศัพท์ไม่ดังขึ้นอีกเลยตลอดเย็น... กินข้าวเสร็จมะม้าชวนทินดูทีวี แต่ผมว่าทินเหลือบมองโทรศัพท์บ่อยไปนะ
 
คนเรา ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีค่ะทุกคน  :กอด1: ลงเรื่องนี้ในเล้าครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 ต.ค. แต่เล้าก็ประสบปัญหา ยูเซอร์เนมหายไปด้วยเลยต้องสมัครใหม่ล่ะ ชุดสมาคมขนสั้นนี่จะเป็นรวมเรื่องสั้นประมาณ 4 เรื่องนะคะ เล่าผ่านมุมมองแมวบ้าน 55 ก็พวกขนสั้นนั่นแหละ

กูเกิ้ลแคชทำให้เราเก็บเมนต์ไว้ได้ (ดีใจมาก) ขอบคุณคุณ fuku และคุณ Nichdia มากๆ นะคะมาอ่านเป็นคนแรกๆ เลย ขอบคุณคุณ fuku สำหรับบวกแรกด้วยค่ะ  :pig4: ลงตอนจบของเรื่องที่ 1 ต่อให้เลยข้างล่างนะคะ
 
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-04-2012 00:49:55 โดย เดหลี »

Nineน้อย

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องของคนรักกัน ที่เล่าผ่านแมวน้อย หุหุหุ น่าร้ากกกกกกก

ตอนจบอยุ่ไหนอ่ะครับ ไหงไม่เห็นเลยอ่ะ

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
เรื่องที่ 1 (ต่อจนจบ)

ชนม์ไม่โทรมาอีก โทรศัพท์ดังบ้าง แต่ไม่ใช่จากคนที่ (ผมคิดว่า) ทินคอยอยู่ และตามวิสัยแล้วเขาก็ยังดื้อพอจะไม่ยอมเปิดมือถือด้วย

สัปดาห์นั้นเป็นวันหยุดยาว วันจันทร์ทินจึงยังอยู่บ้าน ท่าทางหงอยหนักกว่าเก่า ป๊าก็ยังไม่กลับ ไม่อย่างนั้นอาจจะออกไปกินข้าวนอกบ้านกันบ้าง
 
ทินออกไปนั่งที่สวน จุดเดิมกับที่เกิดการสารภาพรักขึ้นเมื่อปีก่อนโน้นนั่นแหละ ผมก็ตามออกไปด้วย กระโดดขึ้นโต๊ะหมอบหันหน้าไปทางเขา
 
ปกติผมไม่ได้ตัวติดกับทินนะ เขากลับบ้านทีก็ต้องค้นต้องหาเหมือนเล่นซ่อนแอบ (ผมรู้เขาสนุก) ว่าผมจะไปซุกอยู่ส่วนไหนของบ้านบ้าง แต่คราวนี้...

เวลาทินมีเรื่องไม่สบายใจผมก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนเขาบ้างก็เท่านั้นล่ะ

"ฉ่อย..." ทินเรียกและเกาข้างหูผมอย่างใจลอย "ทำไมเขาหายไปสามวันแล้ว เมื่อก่อนต้องโทรมาทุกวัน"

ผมคร้านจะเถียงเขาแล้วว่าผมชื่อส้มป่อย ทินดูหงอยอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
 
จริงๆ แล้วทินน่ะชอบเล่นชอบแหย่ผมสุดๆ พูดเสียงดังด้วย (แอบรำคาญบ้างบางครั้ง) แต่ก็เป็นสีสันของบ้าน
 
ผมชอบให้เขาเป็นอย่างนั้นมากกว่ามานั่งหง่าว (นั่นมันหน้าที่ผม ผมเป็นแมวหง่าวไง)
 
ดูไม่ใช่ทินที่เคยรู้จักยังไงก็ไม่รู้
 
"เรางอนเขานานไปเหรอ" ทินยังครวญต่อ "เมื่อก่อนเขาก็ง้อทุกที ก็รู้นี่ว่าง้อไม่นานเราก็หาย... หรือว่าเขาเบื่อแล้ว"
 
อ่านะ ก็ทุกทีที่เกิดเรื่องชนม์โทรมาทินก็งอนต่อไม่ยอมรับ ให้เขาโทรมาเรื่อยๆ อยู่นั่นแหละ ปิดมือถืออีก แล้วเวลามะม้าเรียกบอกว่าชนม์โทรมาที่บ้าน ทินก็เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องบ้างล่ะ บอกให้มะม้าบอกว่าไม่อยู่บ้างล่ะ
 
เป็นผมเลิกพยายามตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ก็... ผมเป็นแมวนี่ แมวไม่ง้อใครหรอก

อยู่ๆ ทินก็น้ำตาร่วงเผาะจนผมตกกะใจ เขารวบผมไปกอดแน่น น้ำตาหยดใส่หัวผมด้วย ถ้าเป็นเวลาอื่นก็คงจะดิ้นขอลงอยู่หรอกนะ แต่เวลานี้ผมรู้สึกว่าเขาคงเสียใจมากเลยปล่อยให้กอด

ไม่รักจริงไม่ยอมนะเนี่ย ผมน่ะเกลียดทั้งขนเปียกทั้งการรัดแน่นๆ ที่สุดเลย

เสียงกดกริ่งที่หน้าบ้านดังขึ้น ทินสะดุ้งคลายมือจากผมหันไปมอง ผมโดดตุบลงบนเก้าอี้สนามที่ทินนั่งอยู่ชะเง้อดูบ้าง ก็เห็น...
จะใครเสียอีกล่ะถ้าไม่ใช่คนที่ทินเพิ่งโอดถึงว่าหายไปสามวันแล้วน่ะ!

ทินนั่งตัวแข็ง จากตรงนี้ไม่มีทางเดินเข้าบ้านโดยที่ชนม์ไม่เห็นแน่นอน จะปล่อยให้ชนม์กดกริ่งต่อแล้วให้พี่ในบ้านมาเปิดให้ ก็คงต้องบอกว่านั่งอยู่ที่สนามอยู่ดี เขาใช้แขนเสื้อซับน้ำตาจนแห้ง สูดน้ำมูกพรืด
 
คนยืนอยู่หน้าบ้านก้มมองลอดรั้วเหล็กดัดเข้ามา ตรงที่ทินนั่งมีสุมทุมพุ่มไม้บังพอสมควร แนวต้นแก้วริมรั้วก็หนา ผมเห็นชนม์พยายามเพ่ง แต่ทินน่ะ... หลังจากงอนจนพอใจมาสองสามวัน (โดยไม่มีอีกคนตามง้อเหมือนเคยด้วย) บวกกับได้มะม้าเตือนสติแล้ว เขาก็เลือกจะออกไปเผชิญหน้าด้วยตัวเอง

ทินเดินออกไปที่หน้าบ้านแต่ยังไม่เปิดประตู ยืนกันอยู่คนละฝั่งอย่างนั้นแหละ ผมโดดลงจากเก้าอี้ไปเมียงมอง จะว่าผมสอดรู้สอดเห็นก็เอาเถอะ เป็นแมวทำอะไรก็ไม่มีคำว่าเสียมารยาทหรอก

ชนม์ยิ้มรับ ถ้าเขายังตั้งใจจะง้อผมว่าตอนนี้คงกำลังประเมินสถานการณ์อยู่ละมัง
 
“เป็นไงหืม”

“ถามใครล่ะ”
 
ถามแมวส้มนี่มั้ง โอ้ย ทิน อยากให้เขาง้ออยู่หรือเปล่า ผมไกวหางอย่างลุ้นๆ

"ก็ใครกอดแมวนั่งร้องไห้ฮือๆ..."
 
แสดงว่าเขาเห็นนะนี่

"ร้องที่ไหน"

ฝั่งนี้ก็เถียงทันควัน ถึงน้ำตาจะเช็ดแห้งไปแล้วแต่ตาจมูกช้ำๆ นั่นดูไม่รู้เลยสินะ

“ตรงเก้าอี้ในสวนนั่นไง” ชนม์ยังมีอารมณ์จะกวน

แต่พอเห็นทินจ้องเขาหน้าง้ำชนม์ก็ยกมือขึ้นสองข้าง
 
"เอาล่ะ เอาล่ะ"
 
ว่าไปผมก็เห็นชนม์ยอมมาแต่ต้นอยู่แล้วนะ คราวนี้ก็น่าแปลกใจอยู่ที่หายไปตั้งสามวันกว่าจะมาง้อ

ทินเหลือบมองข้างๆ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที ตอนแรกผมนึกว่าทินคงมาแพทเทิร์นเดิมคือชนม์มาง้อก็จะฟอร์มไว้อีกนิดๆ แต่ตอนนี้ หายหมดเลย ฟอร์มน่ะ

สิ่งที่ทำให้ทินหลุดก็คือกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่ชนม์วางไว้ข้างตัว ผมก็แอบตกใจเหมือนกัน ชนม์กะจะย้ายเข้าบ้านแฟนหรือไง

"นั่น... ของทินเหรอ" ฟังจากเสียงแล้วผมว่าทินทำท่าจะร้องอีกแล้วนะ "ชนม์เอาของมาคืนทิน ชนม์เก็บของทินออกจากคอนโดหมดแล้วเหรอ"

"หา" เห็นชนม์ก้มมองกระเป๋า "ของทิน? ไม่ใช่ ของทินใส่กระเป๋าเท่านี้พอที่ไหน"
 
ประโยคสุดท้ายเขาพูดเบา แต่แมวหูดีเป็นทุนก็เลยได้ยิน

"อะไรนะ"

"เปล่า เราแค่จะมา..."

"ชนม์จะมาลาทินเหรอ" คราวนี้คนที่ยืนอยู่อีกฝั่งรั้วปล่อยโฮ "กระเป๋าเสื้อผ้า... ชนม์ไปไหน ฮือ..."

ผมเห็นชัดเลยว่าชนม์งงเป็นไก่ตาแตก แต่ก็ตอบ
 
"ลาอะไรกัน ก็เราไปสิงคโปร์..."

"ไม่... ฮึก... บอกกันเลย ทินจะไม่ได้เจอชนม์อีกเหรอ ฮือ..."

"ทินพูดอะไรฟังไม่รู้เรื่องเลย หยุดร้องก่อน นะ" ชนม์พยายามเอื้อมมือลอดรั้วเข้ามาอย่างทุลักทุเล
 
ผมก็ไม่เข้าใจมนุษย์ ยืนคุยกันข้ามรั้วอยู่ได้ แมวยังไม่ทำเลย

"ก็บริษัทที่สิงคโปร์เคยอยากได้ชนม์ไปทำงานด้วยไง ชนม์จะย้ายไปสิงคโปร์ ชนม์จะไม่กลับมาอีกแล้วใช่มั้ย"

"นี่ฟังให้จบก่อนสักประโยคจะได้ไหมเนี่ย" เสียงอีกฝ่ายเริ่มเหลืออด "ไม่ได้จะไป ไปมาแล้วเพิ่งกลับ งานมันด่วนมาก กลับมาก็ขึ้นแท็กซี่ดิ่งจากสนามบินมานี่เลย ก่อนไปโทรบอกก็ปิดมือถือ โทรเข้าบ้านก็ไม่ยอมรับ ฝากมะม้าบอกว่าไปสิงคโปร์ยอมฟังบ้างหรือเปล่า ได้เช็คข้อความในมือถือมั้ย อีเมล์ล่ะ"

ทินเงียบกริบ แม้ ชนม์นี่ก็รู้จักแฟนตัวเอง พูดยังกับตาเห็นแน่ะ ทินไม่ฟังมะม้า ไม่เปิดมือถือ ไม่ดูอะไรทั้งนั้น
 
เขาเปิดประตูให้ชนม์เข้ามา อีกฝ่ายก็ส่ายหัวดิกท่าทางอ่อนใจ แต่เขาไม่ได้โกรธ ดูๆ ไปแล้ว ชนม์ก็คงไม่มีทางโกรธทินได้ลงจริงๆ

"ไม่ร้องแล้วนะ" ชนม์พูดเสียงอ่อน "ร้องขนาดนี้นึกว่าโดนทิ้งเหรอเนี่ย ไม่ทิ้งหรอก"

"ใคร... ฮึก... โดนทิ้ง" ผมขอยกตำแหน่งปากแข็งที่สุดให้ทินโดยไร้คู่แข่ง "ตัวเอง... นั่นแหละ... ระวังโดนทิ้ง"

"รู้รึเปล่าว่าทำไมคราวนี้ถึงต้องไปสิงคโปร์ด่วน" ชนม์ก็พูดต่อไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็น “ลูกค้าที่โน่นต้องการคนไปให้คำปรึกษาแล้วก็วางระบบเร็วที่สุด...”

เอ่อ คือผมว่าเป็นแฟนกันเล่าสู่เรื่องงานที่ทำกันฟังมันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่นี่มันใช่เวลารึเปล่า หรือเป็นแผนการง้อของชนม์รูปแบบใหม่

ท่าทางทินจะคิดเหมือนผม แต่เขาก็ยอมฟังเงียบๆ

“หัวหน้าบอกว่า ถ้าเราไปคราวนี้ จะเปลี่ยนงานให้...”

ทินมองอีกฝ่ายตาโต “หมายความว่า...”

“หมายความว่า ถ้าไม่ใช่ตำแหน่งนี้ ก็ไม่ต้องเดินทางบ่อยๆ เหมือนเดิมแล้ว”

“แต่ชนม์ชอบทำนี่”

“ตำแหน่งใหม่ก็ดีเหมือนกัน คล้ายๆ เดิมแต่ได้วิเคราะห์แล้วก็ออกแบบมากกว่าเดิม”
 
“ก็ชนม์เคยบอกว่าชอบ” ทินยังพูดซ้ำ “บอกว่าเดินทางไปแก้ปัญหาให้ลูกค้า มันท้าทายดี”

“งานนั้นน่ะมันเหมาะกับคนโสด ไปโน่นมานี่ตลอด” ชนม์ตอบ “แต่ตอนนี้เราไม่โสดแล้ว ไม่อยากกลับไปโสดด้วย”

คนบ้านผมยืนก้มหน้าแก้มขึ้นสีอยู่ครู่ก่อนจะว่า “ขอโทษ ที่ตอนนั้นงอนอีกแล้ว ทินก็แค่อยากไปด้วยกันกับชนม์ สองคน...”

“รู้ไง” ฝ่ายนี้ก็ตอบง่ายๆ “ตอนเย็นๆ ก็ว่าจะมาขอข้าวมะม้ากินซักหน่อย พอดี หัวหน้าบอกงานด่วน เราก็เอ้า ถ้ามันจะทำให้ระยะยาวสถานการณ์ดีขึ้น ได้ทำงานชั่วโมงปกติอย่างคนอื่นเขาบ้าง ก็...”

“นี่จะมาตั้งแต่วันศุกร์แล้ว...?”
 
ชนม์พยักหน้า

"ไม่ง้อได้ไง" เขาว่า "แฟนทั้งคน"
 
ทินก็ยิ้มแป้นได้ทั้งๆ ที่เพิ่งจะบ่อน้ำตาแตกมาหยกๆ นั่นแหละ เฮ้อ นี่ถือว่าเรื่องลงเอยด้วยดีแล้วสินะ

“ไว้หยุดคราวหน้า เราไปด้วยกันนะ ที่ที่ทินอยากไปน่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก” ทินบอก ผมรู้ว่าเขาพูดจริง “ไม่ต้องไปที่ไหนก็ได้ ถ้าชนม์อยู่กับทิน”

ชนม์ยิ้มแล้วรั้งตัวคนตรงหน้าเข้ามากอด ผมเห็นอย่างนั้นก็อยากมีส่วนร่วมเลยแทรกเข้าไปตรงกลางแถวๆ ข้อเท้าทั้งคู่แล้วเดินวน ทินหัวเราะก่อนจะผละตัวออก

“งั้นทินบอกมะม้าก่อน จะได้กลับไปคอนโดกัน” ทินว่า สายตาเขากวาดดูอีกฝ่ายขึ้นลง คงกลัวจะเหนื่อยมั้ง เพิ่งลงจากเครื่องบิน พรุ่งนี้ก็วันทำงานแล้ว

ชนม์ก้มมาทักผม “ไงส้ม”

ผมกระดิกหูนิดหนึ่ง ขณะที่คนบ้านตัวเองวิ่งตึงตังเข้าบ้านตะโกนลั่น
 
"มะม้า มะม้า... ทินกลับไปกับชนม์นะ มันมารับแล้ว!"

มะม้ารีบออกมารับไหว้ชนม์ เขาก็คุ้ยกระเป๋าหาถุงยื่นให้

“ของฝากครับ”

“ขอบคุณจ้ะ ทีหลังไม่ต้องหรอกของฝากอะไรเนี่ย ม้าสิต้องฝากชนม์ ฝากดูแลทินด้วยนะจ๊ะ”

"ฝากกันไปฝากกันมา” ทินยืนบ่นอยู่ข้างหลัง “งั้นทินก็ฝากมะม้าบอกป๊าด้วยว่ามะรืนไปกินข้าวกันสี่คนนะ ห้ามไม่ว่าง”

“จ้ะ ทินอย่างอนชนม์ก่อนถึงวันนั้นแล้วกัน”

“มะม้า!” เขาร้อง ก่อนจะลดเสียงเบา “ทินไม่งอนแล้ว หรือถึงงอน ก็จะคุยกับชนม์ให้รู้เรื่องน่า”

มะม้าบิดแก้มลูกชายเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว “ให้มันจริงเถอะ”

เขาพนมมือไหว้มะม้าแล้วเรียกหาผม ก่อนจะก้าวยาวๆ มาอุ้ม ก้มลงกระซิบ "ฉ่อยรู้มั้ย เราคงเพลาๆ ลงจริงๆ แหละ เดี๋ยวครั้งต่อไป ชนม์ไม่ง้อ ยุ่งแน่ๆ"
 
ทินกอดผมเสียแน่นอีกทีหนึ่งก่อนจะขึ้นรถโดยที่ชนม์เป็นคนขับ
 
คราวนี้ผมยอมให้กอดก็เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว... คงอีกนานกว่าเขาจะกลับบ้านมาให้ผมปลอบอีก... มั้ง

หวังว่านะ


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จบเรื่องที่ 1  :3123: คนเขียนชอบแมวส้มแบบสีเข้มๆ ฝรั่งเรียกว่า ginger cat ทำไมไม่เรียก orange cat ก็ไม่รู้สิเนอะ

เรื่องที่ 2 จะตามมาเร็วๆ นี้ค่า ขอบคุณมากนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2011 03:15:45 โดย เดหลี »

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
กลับมาเม้นท์ใหม่ค่า คิดถึงแมวส้ม
ที่เค้าเรียกจิงเจอร์เพราะว่าในสมัยโบราณจริงๆ อังกฤษไม่มีส้มค่ะ
สีที่ใกล้เคียงที่สุดคือสีของขิง
อย่างคนที่ผมแดงอมน้ำตาลก็เรียกสีจิงเจอร์เหมือนกัน

ส้มมีต้นกำเนิดจากจีน เข้าสู่ประเทศอิตาลีในศต.ที่ 11 แต่มีรสขม ไม่เป็นที่นิยม
เริ่มขนส่งเข้าไปปลูกจริงจังในยุโรปประมาณปี 1500
แต่กว่าจะรู้จักกันทั่วไปก็ปี 1650
คุ้ยมาคร่าวๆ จากวิกิพีเดียค่า ^^

ออฟไลน์ POPEA

  • Blood Type :: Y
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • http://writer.dek-d.com/popae/writer/view.php?id=794488
เพิ่งเคยอ่านแนวนี้อะค่ะ
เล่าผ่่านแมว น่ารักดี
 :กอด1:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เข้าใจตั้งชื่อแมว น่ารักดี  เรื่องก็น่ารัก ชอบค่ะ อ่านแล้วสบายใจ

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ไอ้เหมียวน่ารักอ่ะ
ชอบอ่ะ กวนตีนดี^^
 :จุ๊บๆ:

Nineน้อย

  • บุคคลทั่วไป
และแล้วก็จบลงด้วยดีเน้อ แมวส้ม อิอิ

น่ารักดีครับผม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
คุณ Nineน้อย เห็นตอนจบแล้วสิเนอะ พยายามให้จบลงด้วยดีค่ะ 55
คุณ golove2 บางทีคนเขียนคิดอะไรไม่ออกก็มีแอบหันไปมองเจ้าแมวเหมือนกัน
คุณ fuku ขอบคุณมากค่ะอุตส่าห์ไปค้นข้อมูลให้ด้วย ได้ความรู้มากเลย
คุณ POPEA ขอบคุณค่ะ ตอนเขียนแทบนึกว่าตัวเองเป็นแมวกันเลยทีเดียว
คุณ roseen ขอบคุณค่ะ เจ้าส้มใช่มั้ยคะที่น่ารัก 55
คุณ dahlia ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า แมวเพื่อนของคนเขียนก็ชื่อเจ้าจ่อยล่ะ (ใกล้เคียง)
คุณ bulldog17 ถ้าคิดว่าส้มมันกวนติงแล้ว ยังมีตัวอื่นที่เป็นขั้นกว่าของเจ้าส้มนะ 55 เราชอบคิดว่าแมวทุกตัวมีความร้ายกาจอยู่นิดๆ (ถึงร้ายก็รัก เหอๆ)
คุณ sang som ขอบคุณที่เห็นถึงความน่ารักของเจ้าส้มค่ะ

อ่านเรื่องที่ 2 ต่อกันเลย

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องที่ 2

ตั้งแต่จำความได้ผมก็เห็นลานจอดรถนี้แล้ว มันไม่ใช่ที่จอดรถในอาคาร แต่เป็นลานกว้างเทคอนกรีตหน้าตึกหมู่หนึ่งที่ผมมารู้ภายหลังว่าเป็นสถานทูต มีป้อมยาม แล้วก็สวนหย่อม

นี่คือโลกของผมก่อนจะรู้จักเขา

พี่น้องร่วมครอกแยกย้ายกันไปนานแล้ว เหลือแต่ผมวนเวียนอยู่แถวนั้น มีแมวจากที่อื่นหลงมาบ้าง อยู่ได้ไม่นานก็ไม่เห็นหน้าค่าตากันอีก

ผมรอเขาทุกเช้า... และทุกเย็น
   
ผมเรียกเขาว่าคุณเกนเพราะได้ยินคนแถวนั้นเรียกอย่างนี้ คุณเกนทำงานข้างในตึก เขาเอาอาหารมาเลี้ยงแมวข้างหน้าบ่อยๆ แต่ผมอยากจะเข้าข้างตัวเองว่าเขาจำผมได้ตัวเดียว เพราะเขาเรียกผมว่าเสือ ในขณะที่เรียกตัวอื่นๆ ว่าเจ้าเหมียวโดยไม่เฉพาะเจาะจง
 
นอกจากแมวจรและแมวค่อนข้างประจำอย่างผมที่อยู่แถวนั้นแล้ว กับคนคุณเกนก็ไม่ได้ละเว้น เขาชอบซื้อกาแฟให้ยาม บางทีก็ซื้อขนมให้แม่บ้าน เอาเสื้อมาฝากลูกยามบ้างก็มี คุณเกนเป็นคนอย่างนี้แหละ

เอาข้าวมาเลี้ยงผมอยู่พักใหญ่ๆ ผมก็สังเกตว่าเขามักจะมองผมเหมือนคิดๆ อะไรอยู่สักอย่าง ผมก็มองเขากลับ คุณเกนยิ้ม

เขาแวะมาอีกทีตอนเย็น มองไปมองมาแล้วก็ถามลุงยาม

"ลุงครับ สรุปว่าเจ้าเสือนี่ของลุงเหรอ"

"ไม่ใช่หรอกคุณ" ลุงแกโบกไม้โบกมือ "เจ้านี่มันอยู่นานกว่าตัวอื่น คงติดใจว่าคุณเอาข้าวมาให้กินบ่อยๆ นั่นแหละ ผมไม่ได้เลี้ยงเป็นกิจจะลักษณะหรอก"

"ผมชอบแมวตัวนี้ครับ" คุณเกนประกาศ "ถ้าลุงไม่ได้เลี้ยงอยู่แล้วละก็ ผมขอเอากลับไปเลี้ยงที่บ้านนะ"

เขาเดินเข้ามาใกล้ ก้มลงบอกกับผมว่า "ไปอยู่ด้วยกันนะเสือ ไปด้วยกัน"

ผมเงยหน้ามองเขา รับรู้ว่าผมเชื่อใจเขาได้ ก็เลยร้องเมี้ยวตอบกลับไปเบาๆ และไม่ขืนตัวสักนิดเมื่อเขาก้มลงอุ้ม

คุณเกนคุ้ยๆ กระเป๋าตัวเองได้ผ้าขนหนูผืนย่อมมาปูที่นั่งข้างคนขับ

“ผืนนี้เคยใช้ตอนไปยิม แต่ไม่เป็นไรยกให้”
 
เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บอกให้ผมอย่าเดินซนมากเดี๋ยวจะกลับไม่ถึงบ้านทั้งคนทั้งแมว พอถอยรถพ้นสถานทูตได้ก็ต่อโทรศัพท์

ผมได้ยินเสียงจากปลายสายสะท้อนออกมาด้วย อาจจะเป็นคนที่บ้านคุณเกนก็ได้

“ครับ”
 
“พี่ป๊อบ!” เขาเรียกอย่างตื่นเต้น “เกนมีอะไรจะเซอร์ไพรส์ พี่ป๊อบถึงบ้านยัง”

“พี่เปิดประตูปุ๊บเกนก็โทรมาเลย”

“ดี อย่าออกไปไหนนะ”

“พี่จะไปไหนล่ะ ปกติมีแต่เกนแหละที่ติดเลี้ยงโน่นนี่” หางเสียงเขาระแวงชอบกล “นี่เกนคิดจะทำอะไรแปลกๆ หรือเปล่า”

“ไม่มี้” คุณเกนก็เสียงสูง เขาเหลือบมองผมที่โดดจากเบาะลงไปสำรวจผ้ายางข้างล่าง “จุ๊ๆ เสือ!”

“เสือ?” คราวนี้ผมว่าเสียงพี่ป๊อบเริ่มตระหนก “ทำไมมีเสืออยู่ในรถเกน”

“เอาน่า ถึงบ้านก็รู้เอง” คุณเกนตัดบทฉับ “เดี๋ยวเจอกันนะพี่ป๊อบ”

ไม่นานเขาก็จอดรถที่หน้าบ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่นัก ผู้ชายคนหนึ่งยืนชะเง้อชะแง้คอยอยู่ก่อนแล้ว ท่าทางเป็นห่วงไม่เบา คงเป็นคนที่คุณเกนเรียกว่าพี่ป๊อบนั่นแหละ

คุณเกนลงจากรถไปก่อน ตรงเข้าลากแขนพี่ป๊อบไปอีกฝั่งหนึ่งของรถ

“แต่น แตน แต๊น!”

เขาเปิดประตูรถแล้วอุ้มผมออกมา พี่ป๊อบชะงักนิดหนึ่งก่อนจะส่ายหัว

“นี่ไงเสือ ตกใจเปล่า”

“ถ้าเทียบกับที่เกนเคยทำๆ มาละก็ แค่นี้เรื่องเล็ก” พี่ป๊อบบอก ก่อนจะสงสัยว่าอยู่ๆ เอาแมวกลับบ้านแบบนี้ไม่รู้ได้ฉีดวัคซีนอะไรบ้างหรือยัง
 
“พี่ป๊อบก็พาไปหาหมอหน่อยสิพรุ่งนี้ วันเสาร์แล้วนี่นา”

ผมเริ่มดิ้น ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าวัคซีนคืออะไร แต่สังหรณ์ว่ามันคงจะไม่ค่อยดี

“เกนปล่อยก่อนเดี๋ยวข่วน เข้าบ้านไปล้างไม้ล้างมือซะทางนี้พี่จัดการให้”

ถึงจะแปลกใจที่อยู่ๆ คุณเกนก็มีแมวกลับบ้านมาด้วยจากที่ทำงาน แต่พี่ป๊อบก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับเช็ดเนื้อเช็ดตัวเอาข้าวให้กิน

และเพราะพี่ป๊อบคงรักคุณเกนมาก อะไรที่คุณเกนรักเขาก็รักด้วย ผมเลยได้เป็นแมวมีบ้าน และมีคนสองคนที่รักผม 

ชีวิตดูจะดีไม่หยอกเลยใช่มั้ยล่ะ

ทั้งบ้านเขาก็อยู่กันสองคนเท่านี้ ไม่มีคนมาช่วยงานอย่างอื่น ผมได้รู้ในเวลาต่อมาว่า จริงๆ แล้วมีพี่ป๊อบก็เหมือนมีพ่อบ้าน ช่างสารพัด และคนสวนพร้อมเสร็จสรรพ คุณเกนแทบไม่ต้องกระดิกนิ้วทำอะไรเลย พี่ป๊อบช่างบริการที่สุด

วันหนึ่งคุณเกนมีเพื่อนมากินข้าว ได้ยินว่าเป็นเพื่อนสมัยเรียน ทุกครั้งที่มีเพื่อนมาบ้านพี่ป๊อบก็เป็นคนทำกับข้าว คุณเกนดูออกจะภูมิใจที่แฟนมีเสน่ห์ปลายจวัก พี่ป๊อบไม่ค่อยอยู่กินด้วย ชอบทำไว้ให้แล้วออกไป ปล่อยคุณเกนคุยกับเพื่อนเต็มที่

เขานั่งกินกันที่นอกชาน ผมก็หมอบอยู่แถวนั้นเงียบๆ แต่พูดก็พูดเถอะ ผมอยากให้พี่ป๊อบอยู่ด้วยเสียจริง จะรู้ไหมเนี่ยว่าออกจากบ้านทีไรวงสนทนาชอบวกมาเรื่องตัวเอง มันเริ่มอย่างนี้
 
“ฉันไปฟิตเนสมานะแก ฮู้ย เจอคนหนึ่งหล่อมาก...” คนพูดเป็นผู้หญิง จีบปากจีบคอซะ “อยากให้แกไปดูด้วยจริงๆ นะเกน ถ้ากลุ่มเป้าหมายเขาไม่ใช่อย่างฉัน จะได้ยกให้แกไป”

“เราออกจากวงการแล้ว” คุณเกนบอกพลางหัวเราะ
 
“จะว่าไป คนที่ทำให้เกนเลิกกับกิ๊กทั้งหลายได้แล้วมาคบคนเดียวนี่ มันต้องมีอะไรดีน่ะ”

“ก็ดีสิ ดีมาก” คุณเกนตอบสั้นๆ เหมือนเคย

"แต่เราว่าพี่ป๊อบจืดออก" เพื่อนคนหนึ่งวิจารณ์อย่างไม่เกรงใจ
 
คุณเกนก็ไม่แก้เสียด้วย ได้แต่นั่งยิ้มๆ จนเพื่อนคนนั้นต้องพูดเสริมเสียเอง

"เราไม่ได้ตั้งใจว่าพี่ป๊อบนะ แค่รู้สึกว่าคนอย่างเกน... ไม่น่าจะอยู่กับคนอย่างพี่ป๊อบเท่านั้นเอง"

นี่มันดีขึ้นตรงไหนเนี่ย ผมนั่งหูลู่อย่างไม่สบอารมณ์
 
"แล้วเราควรจะอยู่กับคนอย่างไหนล่ะ" คุณเกนว่า "เผ็ดเปรี้ยว หวานหรือเค็มดี"

คนอื่นๆ หัวเราะกัน อีกคนบอกว่า "ก็ปกติเห็นชอบให้ชีวิตมีสีสัน มีรสชาติ"

"เผ็ดเปรี้ยวกินตอนแรกอาจจะอร่อย แต่เดี๋ยวก็แสบท้อง... หวานเกินก็เลี่ยน เค็มเกินก็ไม่ดีอีก" คุณเกนพูดเสียงจริงจัง "รสไม่จัดมากน่ะดีแล้ว กินได้เรื่อยๆ นานๆ"

ชีวิตของคุณเกนข้างนอก หน้าที่การงานของเขาคงหนักแล้วก็เครียดพออยู่แล้ว กลับบ้านเขาคงอยากได้ความสงบ... ซึ่งก็มีอยู่ในตัวพี่ป๊อบ (กับแมวอย่างผม)

เพราะฉะนั้น ถึงคุณเกนกับพี่ป๊อบจะดูแตกต่างกัน แต่ก็อยู่ด้วยกันได้อย่างราบรื่นดี พี่ป๊อบใจเย็นเป็นน้ำ ส่วนคุณเกนก็ไม่ขยันหาเรื่อง จริงอยู่เขาเพื่อนเยอะ สังคมจัด แต่ก็ไม่เคยให้มันมากระทบกระเทือนกล้ำกรายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ป๊อบ

จนกระทั่ง...


เย็นวันจันทร์คุณเกนกลับบ้านมาหน้าตายิ้มย่องผ่องใสจนพี่ป๊อบต้องถาม

“วันนี้มีเรื่องอะไรดีหรือเกน”

“นักการทูตเพิ่งมาประจำใหม่ พี่ป๊อบก็รู้ปกติเกนต้องทำงานแต่กับคนแก่ๆ แล้วก็เรื่องมากเป็นที่สุด แต่คนนี้ยังหนุ่มอยู่แถมน่ารัก นิสัยดี” คุณเกนเล่าจ้อ “เป็นลูกครึ่งไทยด้วย พูดไทยได้นิดหน่อย ให้เกนสอนให้อีก”

“เหรอ ชื่ออะไรล่ะ” พี่ป๊อบก็ถามเรื่อยๆ ผมว่าเขาคงชินเพราะคุณเกนทำงานที่ต้องเจอคนมาก กลับมาก็มักจะเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟังบ่อยๆ ไม่เหมือนพี่ป๊อบที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ วันๆ อยู่แต่ในแล็บ (นี่ผมก็ฟังจากเพื่อนคุณเกนพูดนั่นแหละ)
 
“แอรอน เกนตั้งให้ใหม่ว่าอรุณ เขาชอบใหญ่ ฮ่าๆ”

“แจนเจอรึยัง”

ในจำนวนเพื่อนของคุณเกน ผมชอบแจนที่สุด แจนทำงานที่เดียวกับคุณเกน ท่าทางใจดี ถ้าพูดถึงพี่ป๊อบก็มีแต่ในทางชื่นชมทั้งนั้น แล้วแจนก็ชอบลูบหัวเกาคางผมด้วย

“วันที่เขามาวันแรกแจนลากิจซะนี่ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เจอ”

หลังจากวันนั้นคุณเกนก็มีเรื่องของนายแอรอนกลับมาเล่าให้พี่ป๊อบฟังทุกวัน ผมก็เลยได้รู้ว่าเขาจบมหาวิทยาลัยดังจากอเมริกา บ้านรวย แต่ไม่ได้ติดหรู พาไปกินอะไรแถวข้างถนนก็นั่งได้ ทำงานเก่ง เก่งมากด้วย...

“วันนี้เลย เจ้าหน้าที่ทูตฝ่ายการเมืองคนหนึ่ง ที่เกนเคยเล่าให้พี่ป๊อบฟังว่าเป็นฝรั่งยะโสมาก จะเอาข่าวย้อนหลังไปตั้งปี วันที่อะไรก็ไม่รู้ทั้งสิ้น ให้เกนสรุปมาให้ได้เอาเดี๋ยวนั้น พอดีแอรอนได้ยิน ฮีจำได้หมดว่าเดือนไหน สื่ออะไร ทุ่นเวลาไปได้เยอะ เกนเลยทำทัน” คุณเกนว่า “แถมยังช่วยแนะนำตรงวิเคราะห์ข่าวให้ด้วย”

พี่ป๊อบยิ้ม บอกว่าดีแล้ว ก่อนจะบอกว่าวันนี้ทำของโปรดไว้ให้ทาน

ผมเดินตามเขาสองคนเข้าครัว ดูคุณเกนออกจะชื่นชมแอรอนอยู่ไม่น้อย คุณเกนก็เป็นคนทำงานเก่ง ไม่แปลกที่จะชอบคนเก่งเหมือนๆ กัน

เพียงแต่แอรอนเป็นคนแรกที่ผมเห็นคุณเกนชื่นชมออกนอกหน้าขนาดนี้เท่านั้นเอง


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ต่อตอนต่อไปพรุ่งนี้นะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
เรื่องที่ 2 (ต่อ)

บางทีคุณเกนก็ต้องไปงานเลี้ยงบ้าง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับงานในหน้าที่ที่เขาทำ คุณเกนว่า “ไปยืนถือแก้วคุยกัน กินอะไรก็ไม่อิ่ม” พี่ป๊อบที่ไม่ชอบออกงานสังคมเป็นที่สุดก็จะแค่ทำกับข้าวแล้วก็... รอ เหมือนเคย
   
“พี่ป๊อบ วันนี้ไม่ต้องรอกินข้าวนะ”

คุณเกนโทรมาตอนพี่ป๊อบกำลังปลดผ้ากันเปื้อนพอดี
 
“อ้าว มีเลี้ยงเหรอ”

“เย็นนี้เกนไปกินกับแอรอนน่ะ”

คิ้วพี่ป๊อบเริ่มขมวด แต่เสียงเขาก็ยังเรียบๆ ใจดีเหมือนเคย ผมรู้มาตั้งนานแล้วว่าไม่ว่าสีหน้าพี่ป๊อบจะเป็นอย่างไร แต่คนที่อยู่ปลายสายไม่มีทางรู้ เพราะมันจะไม่ออกไปในน้ำเสียงเด็ดขาด

“ไปกันสองคน?”

“อืม... เขาว่ามีอะไรต้องคุยกับเกนน่ะ คุยที่ทำงานไม่สะดวก แค่นี้ก่อนนะพี่ป๊อบเกนจะเข้าลิฟต์แล้ว เจอกันที่บ้านนะ”

คุณเกนวางหูไปแล้วพี่ป๊อบก็ยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ หน้าตาคิดไม่ตกก่อนจะถอนใจแล้วเอาโทรศัพท์ไปเก็บที่

"กินข้าวกันสองคนอีกแล้วเนอะเรา" เขาบ่นหงอยๆ
 
ถ้าคุณเกนกินข้าวบ้าน พี่ป๊อบถึงจะกุลีกุจอไปจัดโต๊ะกินข้าวเสียสวยไว้รอ (แล้วผมก็กินข้าวตัวเดียวในครัวอะ ไม่เห็นมีใครสนใจ) แต่ถ้าเป็นอย่างวันนี้เขาก็จะนั่งลงกินที่โต๊ะในห้องครัวเลย

เก็บสำรับเรียบร้อยพี่ป๊อบก็ไปเปิดทีวีที่ห้องรับแขก ถึงคุณเกนบอกว่าไม่กลับมากินข้าวบ้านแต่พี่ป๊อบก็เก็บกับข้าวไว้ให้ทุกครั้ง

เสียงกริ่งดังขึ้น พี่ป๊อบผุดลุกขึ้นท่าทางดีใจ แต่ก็ดีใจได้แป๊บเดียว เพราะเขาย่อมคิดได้ว่าคุณเกนไม่จำเป็นต้องกดกริ่ง

ผมโดดขึ้นไปดูที่ริมหน้าต่าง ปรากฎว่าเป็นแจน จอดรถติดเครื่องเอาไว้โบกไม้โบกมือมาจากประตูหน้าบ้าน
 
พี่ป๊อบเดินออกไปรับ จากตรงนี้ผมได้ยินเขาพูดกันค่อนข้างชัด

“เป็นไงแจน จะเข้าบ้านไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแจนรีบน่ะ แวะเอาเอกสารประชุมพรุ่งนี้มาให้เกน พอดีแจนต้องไปต่างจังหวัดด่วนเข้าประชุมด้วยไม่ได้”

“เกนไม่อยู่ พี่เก็บไว้ให้แล้วกันนะ” พี่ป๊อบบอก นิ่งไปนิดเหมือนชั่งใจ ก่อนจะเอ่ยถาม “เกนเขาไม่ได้บอกแจนเหรอว่าไปไหน”

“อ้าว เกนออกไปอีกเหรอคะ ตอนเลิกงานเห็นบอกจะกลับบ้าน”

พี่ป๊อบเพียงแต่ยิ้มนิดหน่อย รับเอกสารมาแล้วก็บอกให้แจนขับรถดีๆ
   
ผมนั่งรอพี่ป๊อบเปิดหน้าต่างให้ออกไปเหมือนทุกคืน เขาก็ใจลอยอยู่นั่นจนผมต้องแง้วเตือน
 
ย่ำไปย่ำมาในสวนแป๊บหนึ่งผมก็ไปแง้วที่หน้าต่างใหม่

สงสัยพี่ป๊อบจะยังนั่งเหม่ออยู่แน่ๆ ผมต้องแง้วอีกหลายครั้งเขาถึงลุกมาเลื่อนบานหน้าต่างเปิดออกให้
 
"โทษทีๆ ไม่นึกว่าจะกลับเร็ว"

จริงของเขา บางคืนผมท่องราตรีจนจะเช้า แต่คืนนี้ผมว่าพี่ป๊อบอยู่บ้านคนเดียวคงจะเหงานะ

เขากลับไปนั่งที่โซฟากดรีโมตเปลี่ยนช่องไปมา ผมโดดขึ้นนั่งข้างๆ เป็นที่ประจำ ถ้าคุณเกนอยู่บ้านเขาจะนั่งอีกข้างของพี่ป๊อบ แล้วเอื้อมมือมาลูบผมเป็นครั้งคราว ว่าไปทำไมเขาไม่กลับมาซะทีนะเนี่ย...
 
ผมเงยหน้ามองพี่ป๊อบ เห็นนั่งท้าวคางโน้มตัวไปข้างหน้า แต่ผมว่าไม่ได้ดูทีวีหรอก แป๊บๆ ก็ชะเง้อคอยดูรถ

ผมสงสารเขานะ อยากบอกว่าเขาไม่ได้รอคุณเกนอยู่คนเดียว ผมก็รอเป็นเพื่อนเหมือนกัน แต่จะปีนขึ้นตักเลยก็ใช่ที่ พอดีไม่ใช่แมวประเภทนั้น กระดากตัวเอง เลยเอาอุ้งเท้าหน้าไปวางทับมืออีกข้างของพี่ป๊อบที่วางอยู่บนโซฟา

เขาเอื้อมมือข้างที่ว่างมาลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะหันมองไปทางหน้าบ้านอีก

จนเกือบเที่ยงคืนนั่นแหละคุณเกนถึงได้กลับ แต่ว่ากลับแท็กซี่ ไม่ใช่รถตัวเองอย่างที่ขับออกจากบ้านไปเมื่อเช้า

พี่ป๊อบแทบจะกระโจนไปเปิดประตู คุณเกนลงจากรถด้วยท่าทางปกติ ควักตังค์ให้แท็กซี่ หันมาเจอคนรออยู่ก็ยิ้ม

อีกฝ่ายมองกวาดทั่วจนถึงแท็กซี่ที่ถอยออกไป ส่วนคุณเกนก็เดินอย่างสบายใจเข้าบ้าน

“พี่ป๊อบไม่ต้องสงสัย รถเกนอยู่ที่ร้านนั่นแหละ พอดีแอรอนเกิดครึ้มสั่งไวน์มา แต่เราก็รับผิดชอบต่อสังคม” เขาหัวเราะนิดๆ “ทั้งๆ ที่กินกันแค่คนละแก้ว เลยจอดรถทิ้งไว้แล้วแยกย้ายกันกลับแท็กซี่”

พี่ป๊อบทำหน้าผิดคาดนิดหน่อย แต่เขาก็ว่า

“ทีหลังบอกสิ พี่ไปรับ”

“โอ๊ยไม่เป็นไร สติสัมปชัญญะอยู่ครบถ้วนทุกอย่าง”

“พี่รู้ว่าเกนไม่ได้เมา แต่พี่ห่วง...” เขาเริ่มแล้วก็หยุด กลับถาม “แล้วนี่มีเรื่องอะไรฉลองกันสั่งไวน์ด้วย”

“หึๆ เรื่องดีๆ ของแอรอนเขาล่ะสิ” คุณเกนว่า “เออว่าแต่ ร้านที่เกนไปกินวันนี้สวยมากเลยนะ บรรยากาศโอเคเลย อาหารก็อร่อย ไว้เราไปกันมั่งเนอะ”

“ร้านอื่นก็ได้มั้ง” พี่ป๊อบพูดเบาๆ คุณเกนคงไม่ได้ยินแล้วเพราะว่าขึ้นบันไดไปอาบน้ำ “พี่ไม่อยากไปซ้ำ”

พี่ป๊อบไม่เคยซักคุณเกน ไม่เคยคาดคั้น เขาให้อิสระคุณเกนเต็มที่ เท่าที่ผ่านมา คุณเกนก็ไม่เคยเสียประวัติ

“ถ้าพี่คิดจะหาเรื่องหึงเกน คงหึงได้วันละเป็นร้อยรอบ” เขาเคยพูด

จริงๆ พี่ป๊อบก็มีเหตุผลสมควรทุกอย่างที่จะหึง ยกเรื่องที่คุณเกนเสน่ห์แรง หน้าตาดี อัธยาศัยเป็นเลิศซึ่งเป็นเรื่องช่วยไม่ได้แล้ว การที่คุณเกนไปกินข้าวสองต่อสองกับผู้ชายที่พี่ป๊อบไม่รู้จักนี่มันก็น่ากังวลอยู่ไม่น้อย

เพียงแต่... พี่ป๊อบเชื่อใจคุณเกนโดยไม่มีข้อแม้ ผมคิดว่านั่นแหละ
 
... ความรักของพี่ป๊อบ


แต่แล้ววันต่อมาคุณเกนก็บอกว่าอาทิตย์หน้าจะชวนแอรอนมาทานข้าวที่บ้าน เห็นบ่นอยากกินอาหารไทย แต่ใครทำก็ไม่อร่อยเท่าพี่ป๊อบเลยให้ตาย คุณเกนเลยอยากให้เขาได้กินที่มันไทยแท้ถึงเครื่อง
 
พี่ป๊อบจะทำอะไรได้นอกจากรับปากแล้วก็จดรายการออกไปซื้อของ ส่วนผมก็อารมณ์บ่จอยใส่คุณเกนไปทั้งวันจนเขาบ่นว่าเสือเป็นอะไร ฟ่อดแฟ่ดไม่ยอมให้อุ้มเหมือนเคย

... คุณเกนนะคุณเกน จะพาศัตรูหัวใจของพี่ป๊อบเข้าบ้าน แถมให้พี่ป๊อบทำกับข้าวเลี้ยงด้วย พี่ป๊อบก็ช่างทำตัวเป็นสามีทาส (ไม่ต้องถามว่าผมรู้ได้ไงว่าเขาเป็นสามี) ไม่มีปากเสียง ผมรู้ว่าพี่ป๊อบช่างอดช่างทน แต่ความอดทนของคนย่อมมีขีดจำกัดใช่รึเปล่า

ผมยังไม่อยากเป็นแมวบ้านแตกนะ!


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พบกับตอนจบของเรื่องที่ 2 พรุ่งนี้ค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
พี่ป๊อบขา แสดงออกว่าหึงบ้างหวงบ้าง นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอกนะคะ  ได้แต่หวังว่าคุณเกนคงไม่ทำร้ายพี่ป๊อบที่แสนดีได้ลงคอหรอกนะ แถมแมวบางตัวจะได้ไม่ต้องกลายเป็นแมวบ้านแตก 555555

ออฟไลน์ Gokusan

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
โฮ้ยยยย อ่านแล้วติดแมวทันใด ^^
กดเป็ดให้เพราะวรรคเกือบสุดท้ายเนี่ยแหละ
--แต่ความอดทนของคนย่อมมีขีดจำกัดใช่หรือเปล่า--

เรื่องแรก...นายเอกขี้งอนง่อนแง่น แต่ก็ไม่มีอะไรให้กังวล
ส่วนเรื่อง 2...ยังไม่จบ แต่แบบว่า...นายเอกมัวปลื้มคนอื่น บริหารเสน่ห์บ่อยๆ ระวังคนใกล้จะไปไม่รู้ตัว ขำไม่ออกนะเออ เหอๆ

รอตอนต่อ...หวังว่าจะแฮปปี้เนาะ ^^ คนอ่านไม่ปลื้มมาม่าซักเท่าไหร่ค่าาาา

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
:เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ก็คนมันขี้หึง...นึดนึงก็คิดไกล~

ปล้ำลิง.พี่เสือน่าร๊ากกกก
:m3:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
หวังให้แอรอนเป็นเผ่าเดียวกับเกน กร๊ากกกกกกกกกกกกกก
เค้าตะหงิดๆ ไงพิกลอ่ะ
แบบว่าเกนดูน่ารักๆ

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
เรื่องที่ 2 (จบ)

วันอาทิตย์มาถึงเร็วกว่าที่คิด ผมแอบดูจากชานพักบันไดโดยโผล่หน้ามาครึ่งซีก ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักผมขอประเมินจากระยะไกลว่าไว้ใจได้ไหม ถ้าได้ถึงจะเฉียดเข้าไปใกล้

สำหรับคนนี้ผมขออคติไว้ก่อน ก็ผมอยู่ฝ่ายพี่ป๊อบเต็มประตู แขกของคุณเกนเป็นคนยังไงจะได้รู้กัน

เพราะสุภาษิตเขาบอกให้ระวังคนที่ไม่ชอบแมวน่ะสิ

ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงรถจอดหน้าบ้าน คุณเกนออกไปรับแขกในขณะที่พี่ป๊อบทำกับข้าวเสร็จพอดี สองคนเดินคุยกันเข้าบ้านมาท่าทางชื่นมื่น แอรอนก็นับว่าเป็นลูกครึ่งที่หน้าตาดีคนหนึ่งล่ะนะ แต่ตอนนี้ผมเข้าข้างพี่ป๊อบแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ช่วยไม่ได้ที่แอรอนจะดูหล่อน้อยลงไปมาก

พี่ป๊อบออกมาจากครัว ปลดผ้ากันเปื้อนเรียบร้อยแล้ว ปกติถ้าคุณเกนมีเพื่อนมาบ้านโดยเฉพาะเป็นกลุ่มใหญ่เขามักจะทำกับข้าวไว้ให้แล้วออกไปข้างนอก แต่คราวนี้เป็นตายยังไงเขาคงต้องอยู่
 
พี่ป๊อบกวาดสายตามองแอรอนหัวจรดเท้า จริงๆ แล้วผมรับรองได้ว่าพี่ป๊อบน่ะใจดีมีเมตตามากๆ ไม่ว่าจะกับใครหรืออะไรก็ตาม แต่ตอนนี้รังสีคุกคามแผ่ชัดเลย
 
ก็แค่รังสีน่ะ เพราะสีหน้าเขายังเรียบเฉยเหมือนเคย
 
คุณเกนดูจะไม่สังเกต ส่วนแอรอนก็ส่งยิ้มให้พี่ป๊อบตามปกติ เสร็จสิ้นการแนะนำ (ที่พี่ป๊อบยื่นมือไปจับกับแอรอนอย่างเสียไม่ได้) คุณเกนก็นำไปโต๊ะอาหาร แต่แขกอุทานขึ้นเสียก่อนด้วยภาษาไทยออกจะติดสำเนียง

“นั่นแมวคุณรึเกน น่ารักมาก... เหมือนไทเกอร์”

แอรอนคงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรมากถ้าไม่รังเกียจแมว แต่เดี๋ยวก่อน ยังไงผมก็รักพี่ป๊อบที่สุดล่ะ

“ผมเอามาจากที่ทำงานนั่นแหละ ชื่อก็ไทเกอร์ด้วย ภาษาไทยเรียกว่าเสือ”

“เสื้อ?”

“ไม่ นั้นเชิ้ตแล้ว” คุณเกนแก้พลางหัวเราะขำ “เสือ”

“แมวเอมบาสซี่เหรอ ทำไมผมไม่เคยเห็น”

“ผมเอาเสือกลับบ้านก่อนเขาส่งคุณมาประจำอีก”

พี่ป๊อบกระแอม “อาหารอาจจะเผ็ดไปบ้าง ผมไม่ทราบว่าคุณชอบทานอะไร เกนไม่ได้บอกไว้”

“ผมทานได้ทุกอย่าง” แอรอนบอก “ขอบคุณครับที่เชิญมา เกนพูดถึงคุณบ่อยๆ”

พี่ป๊อบเลิกคิ้ว คงจะสงสัยเหมือนผมว่าที่ ‘พูดถึงบ่อยๆ’ นั้นพูดถึงอย่างไร แต่เขาก็ไม่ถาม กลับตักกับข้าวให้แอรอนอย่างมีมารยาท

แอรอนเริ่มกินก็น้ำหูน้ำตาไหล เหงื่อแตกเต็มกระหม่อม แต่ก็ชมเปาะว่าอร่อยจริงๆ ถึงใจ ไม่เหมือนอาหารไทยที่เขาเคยกิน

ผมป้วนเปี้ยนไปใกล้ ได้ยินคุณเกนกระซิบ “พี่ป๊อบ ทำเผ็ดกว่าทุกทีรึเปล่าเนี่ย”

“ปกติ” พี่ป๊อบตอบเสียงเรียบ “แขกก็ชมว่าอร่อย”

“แต่แอรอนเป็นฝรั่ง ไม่เคยกินเผ็ดขนาดนี้เดี๋ยวก็จู๊ดๆ หรอก”

ได้ยินเสียงแอรอนสูดปากพลางคว้าแก้วน้ำ คุณเกนก็หันไปดูแลแขกขอโทษขอโพย เห็นแอรอนสั่นศีรษะเชิงว่าไม่เป็นไรแล้วจับแขนคุณเกนยิ้มให้
       
พี่ป๊อบลุกขึ้นพรวดพร้อมๆ กับที่กริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เขารีบกลบเกลื่อนสีหน้าให้เป็นปกติแล้วพูดว่า

“พี่ไปดูให้”

สักพักเขาก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับแจน หน้าตางงๆ เล็กน้อย

“แจนบอกเกนนัดมาทานข้าว?”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” คุณเกนรีบไปหยิบจานช้อนส้อมผ้ารอง วางเพิ่มอีกที่บนโต๊ะให้เสร็จสรรพ “ได้ข่าวนัดเที่ยงนะแจน หิวเลยกินกันไปก่อนบ้างแล้วเนี่ย”

คุณเกนจับเพื่อนนั่งแล้วว่า “พี่ป๊อบ มีกับข้าวต้องไปดูเพิ่มไม่ใช่เหรอ เกนช่วยนะ” จากนั้นก็ลากพี่ป๊อบที่หน้าตายังงงไม่หายเข้าครัว

ผมตามเข้าไปด้วย คุณเกนแง้มประตูครัวไว้นิดๆ มีการหัวเราะอีก ท่าทางชอบใจเสียหนักหนา ส่วนสองคนที่ประจันหน้ากันอยู่ที่โต๊ะกินข้าวก็ดูขัดเขินชอบกล แต่... ทำไมผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศสีชมพู

“เกน นี่มันหมายความว่ายังไงน่ะ” พี่ป๊อบเท้าประตูครัวไว้แล้วถามคุณเกน ดึงความสนใจมาจากห้องอาหารเสีย

“ยังต้องถามอีกเหรอพี่ป๊อบ ก็แอรอนชอบยายแจนน่ะสิ” คุณเกนพูดเหมือนกับว่าใครๆ ก็ควรดูออก “เกนก็แค่... ช่วยนิดๆ หน่อยๆ ช่วยให้คนเขาสมหวังนี่ได้บุญแรงนะ”

พี่ป๊อบโบกมือก่อนจะชะงัก “เดี๋ยว งั้นที่เขาบอกมีเรื่องจะปรึกษา...”

“ก็เรื่องแจนเนี่ยล่ะ เกนก็บอกพี่ป๊อบไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าคุยที่ทำงานไม่สะดวกน่ะ”

“แล้วเราแน่ใจได้ยังไงว่าแจนจะไม่ปฏิเสธ เดี๋ยวก็เสียเพื่อนหรอก”

“เกนก็ไปเลียบเคียงยายแจนมาแล้วน่ะสิ ฝั่งเราก็ชอบเขาอยู่ บอกแอรอนถึงได้อารมณ์ดี สั่งไวน์มาฉลอง”

พี่ป๊อบถอนใจยาว “ที่ไปกินข้าวที่ร้าน...”
 
“แอรอนอยากจะพายายแจนไปเดต ลำบากเราอีก ตอนไปดูที่กับแอรอนก็หลบยายแจนเสียแทบแย่ ต้องบอกว่ากลับบ้าน แอรอนเห็นว่าเกนสนิทกับแจนที่สุดในที่ทำงาน เป็นคนเดียวที่เขาจะขอความช่วยเหลือได้ เกนน่าจะรู้ว่าแจนชอบไม่ชอบอะไร เลยขอแรงให้ไปดูร้านดูอาหารกับเขาหน่อยว่าจะถูกใจแจนไหม”

อ๊อ... มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ผมนั่งเอาหางเคาะพื้นฟังเขาคุยกัน

“แล้ววันนี้อีก”

“แอรอนอยากกินอาหารไทยจริงๆ เขาไม่รู้หรอกว่าเกนนัดแจนด้วย ขืนให้พี่ป๊อบจัดสี่ที่ตั้งแต่ต้น ไม่วายถามอีก... ความจริงเกนก็เพิ่งนึกได้ว่าควรจะนัดยายแจนเสียเลย มันจะมีที่ไหนดีไปกว่าบ้านเราล่ะ... จับมาเจอกันซะจะได้คุยให้รู้เรื่องกันไป ตัวเองก็ชอบเขา แอรอนก็ดีทุกอย่าง มัวแต่ขี้อายชาตินี้เมื่อไหร่จะมีแฟน ร้านที่อุตส่าห์ไปช่วยดูไว้เป็นหมันกันพอดี”

“เป็นพ่อสื่อพ่อชัก เหมือนวัวพันหลักชักเข้าตัวเอง” พี่ป๊อบว่าลอยๆ คุณเกนหัวเราะ

“อย่ามา กรณีนั้นมันพี่ไม่ใช่เหรอ เป็นพ่อสื่อให้เพื่อนแล้วมาหลงรักเกนเสียเองเนี่ย”
 
พี่ป๊อบยืนอ้ำอึ้ง พูดจาเข้าตัวเองชัดๆ นี่ผมก็เพิ่งรู้ประวัติความรักทั้งคู่เหมือนกัน

“พี่ป๊อบซักเกนขนาดนี้ แปลกนะเนี่ย” คุณเกนทำเสียงตื่นเต้นเหมือนกำลังประกาศข่าวอะไรสักอย่าง “ครั้งแรกในรอบร้อย... ปี พี่ป๊อบของเกนออกอาการหึง...”

“หึงอะไร้” พี่ป๊อบว่า ก่อนจะบอก “เกนมาเลือกพี่ก็เพราะพี่ไม่ขี้หวงขี้หึงไม่ใช่เหรอ”

“ส่วนหนึ่ง เกนไม่ชอบความวุ่นวาย... คนเรา ถ้าไว้ใจกันจริง ไม่จำเป็นต้องแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ถ้าเป็นของเรา ก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ สงสัยได้ ก็แค่... ถาม” คุณเกนบอก “พี่ป๊อบก็รู้ เกนตอบทุกอย่างแหละ เพราะเกนไม่มีอะไรจะปิดบัง”

“บางทีเกนตอบไม่หมด”

“จริงเหรอ ไม่ได้ตั้งใจ คราวหน้าก็ถามจนกว่าจะเคลียร์ก็ได้นี่” คุณเกนสบตาพี่ป๊อบแล้วอมยิ้ม ตาเป็นประกายวิบวับเชียว
 
พี่ป๊อบก็ว่า “พี่ยังเชื่อใจเกนเต็มร้อยอยู่ เคยเชื่อยังไงก็เชื่ออย่างนั้น เพียงแต่... เกนไม่เคยชมผู้ชายอื่นต่อหน้าพี่”

"นี่เองเหรอที่ทำให้คิดมาก ก็เขาดีจริงๆ นี่" คุณเกนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "แต่เป็นคนดี... ของคนอื่น ในกรณีนี้อยากให้เป็นแจน คนดีของเกนมีคนเดียว พี่ป๊อบก็รู้ว่าใคร"

คุณเกนล่ะปากหวาน ผมกลิ้งลงม้วนต้วนกับพื้น อายแทนพี่ป๊อบ

“ใครน้า”

“พูดขนาดนี้ไม่รู้ตัวอีกก็บ้าแล้ว ออกไปดูสองคนนั่นหน่อยดีกว่า” คุณเกนทำท่าจะเปิดประตูครัว แต่พี่ป๊อบดึงแขนไว้

“เดี๋ยวก่อนก็ได้ เกนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าให้เวลาเขาได้คุยกัน”

เห็นสองคนในครัวก้มหน้าลงใกล้กันทุกทีๆ ผมก็ออกจากห้องใช้เท้าหลังเขี่ยประตูปิดให้เสร็จสรรพ
 
ใครจะว่ายังไงผมไม่รู้หรอกนะ

แต่เอาเป็นว่า พี่ป๊อบน่ะไม่ได้ ‘จืด’ อย่างที่เพื่อนคุณเกนเขาพูดกันหรอก


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณทุกเมนต์ บวก และเป็ดมากๆ ค่า เป็ดคืนให้ทุกคน
 
คุณ dahlia พี่ป๊อบเป็นพวกขี้หึงหลบในอะค่ะ 55 แสดงออกได้แค่เนี้ย ส่วนเสือยังอยู่แฮปปี้ดี ^^
คุณ Gokusan ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่า เกนเขาปลื้มไว้ให้เพื่อนน่ะ แต่เห็นด้วยเรื่องคนชอบบริหารเสน่ห์นะ
คุณ bulldog17 จริงด้วย ไม่รู้รึไง... ว่าใครมันรักเธอ 55
คุณ fuku แอรอนฮีเผอิญสเตรทน่ะ (เผอิญ?) ยกให้แจนไปละกันเนอะ

สุภาษิตที่ว่าอย่าไว้ใจคนไม่ชอบแมวนี่เสือมันไม่ได้แต่งเองนะ เห็นว่าเป็นสุภาษิตของไอริชน่ะค่ะ

แล้วพบกันในเรื่องที่ 3 เร็วๆ นี้ นะจ๊ะ
  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2011 03:16:39 โดย เดหลี »

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ว้ายยยยยย~♥!!!
เสือเขิน คนก็เขินนะ
คู่นี้น่ารักจัง ชอบอ่ะ
 :m1: :m1: :m1:

ออฟไลน์ lidelia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-1
นึกว่าเกนจะนอกใจซะแล้ว  :เฮ้อ: :เฮ้อ:

 :กอด1:คนเขียน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ชะรอยน้อย

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 973
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0
อรั๊ยยยย พี่ป๊อบไม่ได้จืดดดจริงๆด้วยอ่ะ

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
น่ารักทั้ง 2 ตัวเลยน้า
รอเรื่องต่อไป

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
พี่ป๊อบน่ารักจังเลย แหมอยากเห็นพี่ป๊อบตอนเป็นพ่อสื่อนะ 555

วันนึกว่าจะได้รับอุปถัมภ์แมวบ้านแตกซะอีก อดเลยอะ 555555555555555555555

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
หึงนิดๆ พอให้รู้น่ารักออกนะ
แบบทำให้เรารู้ตัวว่าสำคัญ โหยยยยยยยยย พระเอกมาก
กอดทีนึงนะคะคุณป๊อบ

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
คุณ bulldog17 เสือเป็นแมวขี้เขินเล็กน้อย 555
คุณ lidelia ไม่นอกค่ะไม่นอก คนเขียนก็ไม่นิยมการนอกใจ  :กอด1: ตอบ
คุณชะรอยน้อย ของแบบนี้มันก็มีบ้างอะไรบ้าง อิอิ
คุณ sukie_moo ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่า พบกับตัวต่อไปได้เล้ย
คุณ dahlia พี่ป๊อบตอนเป็นพ่อสื่อเหรอ (คนเขียนถึงกับคิดไม่ออก) คงตรงๆ จนโดนเขาจับได้ 55 ดีใจแทนเสือมีคนรับอุปถัมภ์
คุณ fuku อยากเขียนพระเอกที่หึงแต่น้อยหรือไม่ค่อยแสดงออกมั่งน่ะ (ดันพี่ป๊อบไปรับกอด)

มาๆ อ่านเรื่องที่ 3 กันต่อค่ะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องที่ 3

"เช้านี้อากาศดีนะ... สีหมอก”

คนพูดประสานมือเข้าด้วยกันแล้วยืดแขนเหยียดไปข้างบน เงยหน้าขึ้นสูดอากาศยามเช้าไว้เต็มปอด

ผมร้องเมี้ยวรับเบาๆ ตอนเช้าอย่างนี้อานนท์มักจะออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน แล้วก็รดน้ำกล้วยไม้ของเขา ผมก็ตามออกมาด้วย

ทั้งบ้านนี้ มีผมอยู่กับอานนท์เพียงเท่านั้น ตั้งแต่ไหนแต่ไร ผมก็อยู่กับอานนท์แค่หนึ่งตัว กับอีกหนึ่งคนเท่านั้น

คงรู้กันแล้วว่าผมชื่ออะไร สีหมอก...

อย่าสงสัยว่าทำไมผมถึงชื่อเพราะ ก็ผมเป็นแมวของนักเขียนนี่นา

อานนท์เล่าให้ผมฟังว่านักเขียนดังๆ น่ะเลี้ยงแมวรักแมวกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นมาร์ค ทเวน, เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์, สตีเฟน คิง, นีล เกแมน, ฌอง-ปอล ซาตร์, ฮารุกิ มุราคามิ นี่แค่ส่วนน้อยนะ ไล่ชื่อกันไม่หวาดไม่ไหวเลยละ

ผมเงยหน้ามองเขา ก่อนจะเอาหัวถูเข้ากับขาของเขาเบาๆ

อานนท์ วิริยะ ก็เป็นนักเขียนที่เลี้ยงแมวรักแมวเหมือนกัน
 
"ใช่ๆ ฉันก็มีสีหมอก" เขาพูดเหมือนรู้ว่าผมบอกว่าอะไร
 
"แต่ฉันยังไม่ดังเท่านั้นเอง" สรุปแล้วก็หัวเราะ

ผมเดินตามอานนท์เข้าบ้าน เขาวางอาหารให้ผมเสร็จก็ชงกาแฟ ไปนั่งเขียนหนังสือที่โต๊ะ กิจวัตรประจำวันของอานนท์มีอยู่ไม่กี่อย่าง ผมไม่เคยเห็นใครมาบ้านเขา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ญาติ หรือใครก็ตาม

กินข้าวแล้วผมก็ไปหาเขาที่โต๊ะเขียนหนังสือ กิจวัตรประจำวันของผมก็คล้ายๆ กัน ที่ประจำของผมก็คือบนโต๊ะข้างๆ อานนท์

อานนท์เขียนหนังสือมือขวา เพราะฉะนั้นผมก็นอนข้างซ้าย บางทีตอนเขียนๆ อยู่เขาก็จะเอื้อมมือมาลูบผมเบาๆ บางทีก็หยุดเขียนเหมือนจะคิดต่อ แต่ตามองเลยไปข้างหน้า กล้วยไม้ของอานนท์แขวนอยู่ตรงกับหน้าต่างที่โต๊ะเขาพอดี

แต่บางครั้งผมก็ไม่แน่ใจว่าอานนท์มองกล้วยไม้ หรือว่ามองเลยไกลไปกว่านั้น ครุ่นคิดถึงเรื่องที่ผมก็เดาไม่ออกว่าคืออะไรแน่

"มาร์ค ทเวนบอกว่า แมวน่ะไม่ต้องฟังใคร เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในโลกใบนี้ที่ไม่มีนาย" อานนท์ว่า
 
แน่นอน ผมอยู่กับอานนท์มาตลอดตั้งแต่เขาเก็บผมมาจากริมทาง แต่ผมก็จะไม่พูดว่าเขาเป็น ‘นาย’ ผมหรอก ‘เพื่อนรัก’ จะเหมาะกว่า
 
ชักอยากรู้จักมาร์ค ทเวนขึ้นมาแล้วล่ะสิ
 
"ฉันก็อยากเป็นอิสระอย่างแกมั่งเหมือนกันนะ สีหมอก" เขาพูดเบาๆ

ถ้าถามผม ผมว่าอานนท์ก็อิสระนะ เขาทำงาน ‘อิสระ’ เป็นนักเขียน ‘อิสระ’ แต่บางครั้งอานนท์ก็มีท่าทีอึดอัด
 
พอเวลาอานนท์เป็นแบบนี้ ผมก็ได้แต่ฟังเขาพูดแม้ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะเวลาได้ระบายออกก็ดูเหมือนว่าอานนท์จะสบายใจขึ้นมาบ้าง... นิดหนึ่ง

พอตกบ่ายคล้อยเขามักจะเปลี่ยนบรรยากาศไปเขียนหนังสือต่อที่โต๊ะริมรั้ว ตรงนั้นเป็นอิฐปูแยกออกจากสนามหญ้าเล็กๆ ส่วนผมก็วนเวียนอยู่แถวนั้น บางทีก็ขึ้นไปนอนเกยทับกระดาษเขาบ้าง อานนท์ก็จะหัวเราะพลางขยับหนีแล้วบอกว่าจะไม่มีค่าปลาทูก็เพราะผมทำอย่างนี้นี่แหละ

วันหนึ่งอานนท์ออกไปนั่งเขียนหนังสือที่ข้างนอกเหมือนเคย มีรถบรรทุกคันใหญ่เข้ามาในซอย เป้าหมายก็คือบ้านข้างๆ เรานี้เอง ผมโดดขึ้นไปนั่งดูบนกำแพงเพราะไม่เคยเห็น คนงานลงมายกพวกเครื่องเรือนของใช้กันให้อึกทึก

“เพื่อนบ้านคนใหม่รึ” อานนท์พึมพำ บ้านข้างกันติดประกาศขายมาหลายเดือน ไม่รู้ว่ามีคนซื้อไปแล้วและกำลังจะย้ายเข้ามาอยู่วันนี้เอง

ผมเห็นชายคนหนึ่งลงจากรถเก๋งพร้อมกับเด็กหนุ่ม... อาจจะเป็นพ่อลูกกัน ดูความเรียบร้อยไปได้สักพักคนอายุอ่อนกว่าก็เร่มาริมกำแพงกั้นระหว่างสองบ้าน อาจจะเพราะเห็นผมนั่งเด่นเป็นสง่าละมัง

“เมี้ยวๆ แมวที่ไหนเนี่ยสวยจัง” เขาว่า

ผมนั่งมองเขานิ่งๆ ก็รู้ตัวอยู่หรอกนะว่าหน้าตาดี แต่คราวหลังช่วยดูเพศแล้วบอกว่าหล่อจะขอบคุณมาก

เขายื่นมือมาผมก็โดดแผล็วลงจากกำแพงไปบนโต๊ะของอานนท์ผู้หลังจากเห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านใหม่จะย้ายของเข้าแล้วก็ไม่ได้สนใจอีก เวลาเขาตั้งสมาธิเขียนจริงๆ จะไม่ค่อยรับรู้โลกภายนอกเท่าไหร่ เป็นลักษณะเฉพาะตัวของนักเขียนหรือเปล่านะ

ผมกระโดดลงตรงริมกระดาษที่อานนท์เขียน แต่ก็ทำให้แผ่นกระดาษนั้นยับย่นเข้าไปพอดู เขาทิ้งปากการ้องว่า “สีหมอก!” ก่อนจะเงยหน้าขึ้น

แล้วจึงได้เห็นว่ามีเพื่อนบ้านยืนเกาะรั้วยิ้มแป้นอยู่

อานนท์ผุดลุกขึ้นท่าทางตื่นๆ ผมคิดว่าเขาอาจจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนน้อยไปหน่อย วันๆ อยู่แต่กับแมวแล้วก็หนังสือเลยไม่รู้จะพูดอะไรดี กลายเป็นว่าอีกฝ่ายต้องเริ่มบทสนทนาก่อน

“ขอโทษครับ... ตอนแรกไม่ทันเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย มองแต่แมว” เขาว่าแล้วยิ้มกว้าง “แมวน่ารักนะ”

อานนท์พึมพำขอบคุณ คนยืนอีกฝั่งสาธยายว่าเขาย้ายบ้านมาอยู่กับพ่อสองคน ดีใจได้เจอเพื่อนบ้านท่าทางเป็นมิตร (ก็ว่าไป) แถมเลี้ยงแมวด้วย เขาอยากเลี้ยงแมวมาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่เคยมีโอกาส

“ปิดเทอมไม่ไปไหนเหรอครับ”

อานนท์งงอยู่อึดใจ ก่อนจะยิ้มบางๆ “ผมเรียนจบแล้ว”

เพื่อนบ้านหมาดๆ ทำตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อ ตอนนั้นเองที่พ่อเขาส่งเสียงเรียกจากข้างใน คงไม่แน่ใจว่าลูกชายหายตัวไปไหนแทนที่จะเข้าไปจัดของในบ้านใหม่

“คร้าบ” เขาขาน ก่อนหันมาบอก “ต้องไปแล้วละครับ ยังไม่ทราบชื่อพี่เลย”

“ผมชื่ออานนท์” คนโดนขัดจังหวะการเขียนหนังสือเป็นครั้งที่สองของวันพูดเบาๆ

"หมอกครับ" เขายิ้ม อวดเขี้ยวเสน่ห์ "ชื่อเหมือนแมวพี่นั่นแหละ จำง่ายเนอะ"


กิจวัตรของอานนท์อีกอย่างก็คือบางทีก่อนลงมือเขียนหนังสือ เขาจะเล่นไวโอลิน... แต่ไม่ได้ทำทุกวันหรอก ผมว่าอานนท์ไม่ได้เล่นเพื่อเป็นความบันเทิงหรืออะไรอย่างนั้น ค่อนไปทางรวบรวมความคิดมากกว่า แต่บางครั้งเวลาเล่นเขาก็เหม่อไปไกล ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

พอเขาออกไปข้างนอกเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ชื่อดันมาซ้ำกับผมก็กวักมือเรียกอยู่หยอยๆ

“พี่ครับ... พี่อานนท์”

อานนท์เหลียวไปมาด้วยความตกใจ พอเห็นว่าเป็นหมอกสีหน้าเขาก็คลายลง ยอมเดินไปที่ริมรั้ว

“ผมได้ยินเสียงไวโอลินจากในบ้าน พี่เล่นไวโอลินด้วยเหรอครับ”

อานนท์พยักหน้า “เล่นบ้าง... ให้มีสมาธิน่ะ”

“ผมก็เล่นอยู่เหมือนกัน เรียนมานานเลยละครับก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย พักนี้ร้างๆ ไป” หมอกว่า “ถ้ายังไงผมไปเรียนกับพี่ต่อได้มั้ย”

“เอ้อ... คือผมไม่เคยสอนใคร”

“พี่เล่นได้ขนาดนี้เสียดายแย่” เขาว่า แต่ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ

อานนท์ยิ้มน้อยๆ และบทสนทนาข้ามรั้วก็จบแต่เพียงเท่านั้น ผมว่าเพื่อนบ้านใหม่ของอานนท์ก็ออกจะดี คนเป็นพ่อนั้นผมไม่ค่อยเห็นบ่อย ท่าทางจะงานยุ่ง ถ้าอานนท์จะมีเพื่อนคุยที่เป็นมนุษย์บ้างก็ไม่เลว ปกติเขาคุยอยู่กับผม ไม่ก็กล้วยไม้ และพูดโทรศัพท์กับบรรณาธิการหรือสำนักพิมพ์เป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง


หลายวันต่อมาผมออกไปเดินเที่ยวนอกบ้าน ขากลับมุดเข้ารั้วผ่านทางบ้านของหมอก พอดีเจ้าตัวกำลังรดน้ำต้นไม้ เห็นผมเข้าก็รีบปิดน้ำ ทิ้งสายยาง ก่อนจะกรากเข้าหาท่าทางดีใจ ผมยอมให้หมอกอุ้มเพราะเริ่มคุ้นกันระดับหนึ่งแล้ว เขารี่ออกนอกบ้าน ไปกดกริ่งบ้านอานนท์

สักพักกว่าอานนท์จะยอมมาเปิด คงไม่ได้ยินเพราะอยู่ในภวังค์เขียนงานอีกตามเคย ผมดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนของหมอกเพราะไม่ชินกับการถูกอุ้มไว้นานๆ ความจริงผมก็กลับบ้านเองได้อยู่แล้ว ชะรอยหมอกจะคิดว่าเขาทำดีที่อุ้มผมมาส่งนะนี่

“แมวพี่ไปบ้านผมครับ” เขาว่า

อานนท์รับผมมาแล้วว่า “สีหมอก... ไปซนมาอีกแล้ว เป็นไงหืมเรา”

คนยืนหน้าบ้านเกาหัวท่าทางเขินๆ “พี่อานนท์พูดยังงี้แล้วผมรู้สึกเหมือนถูกดุซะเองเลย”

อานนท์จ้องคนตรงหน้าอยู่แป๊บหนึ่งแล้วหัวเราะเบาๆ “โทษที... ชื่อเหมือนกันนี่นา ขอบคุณมากนะหมอก” นิ่งไปอีกครู่แล้วเขาก็บอกเหมือนตัดสินใจได้ “จะ... เข้าไปกินกาแฟหรืออะไรหน่อยมั้ย”

ไม่รู้ว่าอานนท์ชวนเป็นมารยาทหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายก็ลิงโลดเสียปิดไม่มิด “ครับ ครับ... ขอบคุณครับ”

หมอกตามอานนท์ซึ่งอุ้มผมไปปล่อยในบ้านเข้าครัวไปด้วย แม้ว่าเจ้าของบ้านจะบอกให้นั่งรออยู่ห้องรับแขก เขาช่วยชงกาแฟอย่างคล่องแคล่ว ผมเห็นอานนท์ยิ้มขันๆ คงคิดว่าชวนมาแท้ๆ แต่แขกกลับเป็นฝ่ายหยิบจับโน่นนี่เสียเอง

“นี่พี่อยู่คนเดียวเลยเหรอครับ”

อานนท์พยักหน้า หมอกพูดต่อ “ช่วงนี้ผมก็เหมือนอยู่คนเดียวเพราะคุณพ่อไปสัมมนาต่างจังหวัดบ่อย”

“หมอกปิดเทอมไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ล่ะ”

“เรียนหนักมาทั้งปีผมก็อยากจะพักหน่อยน่ะครับ... ปลายเดือนหน้าจะมีไปออกค่ายอีก” หมอกบอก “พี่ทำงานฟรีแลนซ์เหรอครับ ผมไม่ค่อยเห็นพี่ออกไปไหน”

สองคนเดินออกมาที่ห้องรับแขกโดยที่หมอกแย่งถาดไปถือเสียเอง อานนท์ยกกองหนังสือที่โต๊ะรับแขกออกวางอีกทางแล้วตอบ
“ผมเขียนหนังสือ...”

“เป็นนักเขียนเหรอครับ เก่งจัง นี่คุณพ่อคุณแม่พี่เป็นนักเขียนด้วยหรือเปล่า”

“เปล่า...” เสียงอานนท์สะดุดนิดๆ “ทำไมหมอกถามอย่างนั้นล่ะ”

“ก็ที่ผมเรียนหมออยู่ทุกวันนี้สาเหตุใหญ่ก็เป็นเพราะคุณพ่อแหละครับ ท่านไม่ได้บังคับผมหรอกนะ ไม่ใช่ว่าเพราะคุณพ่อเป็นหมอผมเลยต้องเป็นเหมือนคุณพ่อ... แต่ไม่รู้สิครับ คงซึมซับมาเองมั้ง แล้วผมก็รู้ว่าถ้าผมเรียนหมอคุณพ่อคงดีใจมาก”

อานนท์นิ่ง แต่เขามองหมอกด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก หมอกก็พูดต่อ

"ผมเคยคิดอยากเป็นนักดนตรี... แต่อยู่เมืองไทยเล่นดนตรีคลาสสิกแบบนี้ถ้าไม่เก่งจริงคงไปไม่รอด ผมก็ไม่ได้อัจฉริยะอะไร แค่เล่นแล้วมีความสุขดีก็เท่านั้น"

คราวนี้แววตาอานนท์หม่นลง จนผมนึกสงสัย... อานนท์เคยไม่ได้เลือกทำสิ่งที่อยากทำจริงๆ หรือเปล่านะ...

แต่คงไม่หรอก เพราะตอนนี้เขาเป็นนักเขียน และผมก็รู้ว่าเขามีความสุขกับงานนี้ ผมรู้สึกอย่างนั้นทุกครั้งที่เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานเลยละ

"หมอกต้องเป็นหมอที่ดีได้แน่" เขาบอก

"เหรอครับ... เรียนมาสองปีแล้วผมก็ชอบนะ อีกอย่าง... ผมอยากให้คุณพ่อภูมิใจด้วย" หมอกว่า "ผมก็เลยสรุปว่า ผมเป็นหมอที่เล่นไวโอลินให้คนไข้ฟังบ้างก็ได้ ดนตรีบำบัดไงครับ"

“แล้วคุณแม่หมอก...”

“คุณแม่หย่ากับคุณพ่อแล้วย้ายไปอยู่เมืองนอกตั้งหลายปีแล้ว ไม่ค่อยได้ติดต่อกันหรอกครับ แต่ไม่เป็นไรหรอก ท่านก็คงมีครอบครัวของท่านต้องดูแล”

"คุยกับหมอกแล้วไม่เหมือนคุยกับเด็กมหาวิทยาลัย" อานนท์ว่า "บางทีผมรู้สึกว่าหมอกเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน บางทีหมอกอาจจะเป็นผู้ใหญ่กว่าผมด้วยซ้ำ"

"เพราะผมคุยกับเพื่อนคุณพ่อบ่อยแน่ๆ เลยครับ คุยแล้วสบายใจดี พวกคุณลุงคุณอานี่เขาจะมีวิธีมองชีวิตอีกอย่าง" หมอกหัวเราะ แล้วเสริม "คุยกับพี่ก็สบายใจ แต่ผมไม่ได้ว่าพี่แก่นะ"

“หึ นี่คิดว่าผมอายุเท่าไหร่”

“ยี่สิบ... เอ็ดยี่สิบสองมั้ยครับ” หมอกว่า

อานนท์มองหมอกอยู่ครู่แล้วบอก “ปีนี้ผมก็เบญจเพสแล้ว”

“จริงเหรอ... ที่ทายอย่างนั้นก็เพราะผมรู้ว่าพี่จบมหาวิทยาลัยแล้ว แต่บอกว่าเพิ่งเข้าปีหนึ่งผมก็เชื่อ พี่หน้าเด็กออก”

“น้อยๆ หน่อย เข้าปีหนึ่งน่ะมันก็รุ่นราวคราวเดียวกับหมอกเลยนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาว่าหนักแน่น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอกไม่เป็นไรเรื่องอะไร แต่หลังจากนั้นอานนท์ก็หยิบไวโอลินมาให้หมอกลองเล่นดู แล้วก็บอกว่าถ้าหมอกอยากจะมาที่บ้านอีกเขาก็ยินดี

หมอกมาเรียนไวโอลินกับอานนท์อาทิตย์ละครั้ง แต่บางทีกลางสัปดาห์ก็แวะมาบ้าง คุยโน่นคุยนี่ ถึงอานนท์จะพูดตั้งแต่ในคราวแรกแล้วว่าหมอกเก่งเกินจะให้เขาสอน แต่ดูท่าคนอยากฝากตัวเป็นศิษย์จะไม่สนใจ ผมก็ชินกับการที่หมอกเข้านอกออกในบ้านนี้ มาทีไรเขามักจะมีของมาฝากผมประจำ ส่วนฝากอานนท์นั้นแน่อยู่แล้ว

ผมก็ไม่ใช่แมวเห็นแก่อามิสสินจ้างรางวัลอะไรหรอกนะ ถ้ารู้สึกได้ว่าหมอกเป็นคนไม่ดี ยังไงผมก็ไม่สนิทด้วยหรอก

แมวก็เลือกคบคนนะจะบอกให้


หมอกอ่านหนังสือของอานนท์ทุกเล่ม ผมตลกก็ตอนที่เขาหอบหนังสือมาขอลายเซ็นอานนท์ ท่าทางนักเขียนแปลกใจระคนดีใจ พอเรียนไวโอลินเสร็จหมอกมักจะอยู่คุยต่อ อานนท์ก็ไม่ได้มีท่าทีรำคาญ ผมเองก็ดีใจที่อานนท์มีเพื่อนคุยที่นอกเหนือไปจากแมวและกล้วยไม้เสียที

วันหนึ่งหมอกแวะมาบ้านเหมือนเคย เขาเอ่ยปากขอยืมหนังสือไปอ่าน อานนท์ก็บอกให้เข้าไปดูชั้นหนังสือในห้องทำงานได้ตามสบาย แต่พอกลับมานั่งที่ห้องรับแขกเรื่องก็เกิด

“ผมเห็นหนังสือเรียนกฎหมายในห้อง” หมอกว่าโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอานนท์ “พี่กำลังเขียนเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายหรือครับ ตัวละครเรียนนิติเหรอ เป็นทนาย หรือว่าเป็นอัยการ"

"เปล่า" อานนท์ตอบ แต่เสียงเขาห้วนอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน

ปกติอานนท์พูดช้าๆ เสียงเขานุ่ม ไม่ว่าพูดกับผมหรือพูดกับคนก็จะเป็นแบบนี้ อ่อนโยนและเจือเสียงหัวเราะ ผมรู้สึกราวกับว่าได้เห็นอีกแง่มุมของอานนท์ที่ผมไม่เคยรู้จัก

หมอกก็คงรู้สึกเหมือนกัน เขาชะงัก "ขอโทษครับ"

“หมอกไม่ผิดหรอก ผมเองนั่นแหละ” อานนท์ถอนใจ แต่เขาก็พูดแค่นั้นโดยไม่ขยายความอะไรเพิ่มเติมอีก

วันนั้นหมอกกลับไปโดยไม่ได้หนังสือ และไม่ได้กินกาแฟ... อานนท์เงียบจนผิดปกติ พอหมอกไปแล้วเขาก็กลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน แต่ไม่ได้เขียนหนังสือสักตัว

เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอานนท์ไม่มีความสุขต่อหน้ากองกระดาษและปากกา

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องที่ 3 มาแล้ว เปลี่ยนอารมณ์จากสองเรื่องแรกเบาๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
สีหมอก...กวนได้ใจ :-[
พี่นนท์มีอะไรในใจกันแน่นะ o2

+1 นะตัว:P
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2011 20:12:41 โดย bulldog17 »

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ไม่รู้จะตอบอะไรดี แต่อยากอ่านต่อเร็วๆ
เรื่องเล่าแบบนี้น่ารักมากกกกก

สีหมอกมาเล่าต่อเร็วๆ
บวกหนึ่งและบวกเป็ดค่า

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
เรื่องที่ 2 แบบเครียดนิด ๆ

เรื่องที่ 3  ติดตามต่อจ้า
อานนท์มีอดีตอะไรที่ปิดอยู่

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ lidelia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-1
อยากรู้อดีตของอานนท์เหมือนกันค่ะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
อานนท์ มีความหลังฝังใจแน่เลย แบบนีี้ต้องให้ว่าที่คุณหมอช่วยบำบัดนะ ฮิๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด