บทที่ 62
ที่จริงแล้ว...
...
(8ปีที่แล้ว)
ผมนั่งฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะในห้องสมุดที่มีคนบางตา แอร์เย็นทำให้เริ่มเคลิ้ม การบ้านที่เปิดกางไว้ไม่มีความคืบหน้า ผมถอดแว่นวางเอาไว้ หลับตาลง นึกถึงช่วงกีฬาสีที่ผ่านพ้นไป หน้าที่ที่ผมรับผิดชอบผลงานออกมาดีเกินคาด พอหมดหน้าที่นี้ชีวิตผมก็เหมือนจะมีเวลาว่างมากมาย เวลาเลิกเรียนผมไม่ต้องคอยวิ่งไปที่สนามจัดการเรื่องชวนปวดหัว ไม่ต้องนั่งแก้โค้ดซ้ำๆ ไปๆมาๆ เถียงกับไอ้ชุนจนสติแทบแตก รวมถึงไม่ต้องแบกหน้าไปรบกวนรุ่นพี่อย่างพี่กันต์ ผมไม่เคยสนิทกับรุ่นพี่คนไหนมาก่อน พี่กันต์ถือว่าเป็นคนแรก สนิทในเวลารวดเร็ว คุยถูกคอ แต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆความรู้สึกที่ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงตะขิดตะขวงใจทุกครั้งเวลาที่เจอพี่กันต์ ความรู้สึกนั้นไม่ได้ทำให้ผมอยากจะหลบหน้า หรือไม่ชอบ แต่มันทำให้ผมเกร็ง และเกรง กลัวอะไรบางอย่างที่ผมก็ไม่รู้อีกว่ามันคืออะไร
เสียงฝีเท้าเดินไปเดินมาในห้องสมุดเป็นปกติ เป็นจังหวะซ้ำๆที่ทำให้ผมยิ่งง่วง แต่สักพักก็มีเสียงเท้าคู่หนึ่งที่ก้าวเข้ามาใกล้ ถึงตาจะหลับแต่ผมก็ไม่ได้หลับจริงๆ เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามถูกเลื่อนและมีคนนั่งลง ผมขยับหัว ลืมตาขึ้นมาดูว่ามีใครที่นั่งตรงข้าม เผื่อผมกองหนังสือเกะกะจะได้ย้ายออกมาให้ และพอเงยหน้าขึ้นก็เจอกับรอยยิ้มขี้เล่นเป็นกันเองของพี่กันต์
ในเวลาที่ผมอยู่คนเดียวและกำลังต้องการคนคุยด้วย น่าแปลกที่พี่กันต์มักจะโผล่มาถูกจังหวะเสมอ
“เป็นไง” คำทักทายธรรมดาๆ ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้น คว้าแว่นมาใส่ ภาพตรงหน้าชัดเจน
“ขี้เกียจทำการบ้าน” ก็ผมเบื่อการบ้าน แต่พอมองกองชีทเรียนที่พี่กันต์ถือมาด้วยผมว่าการที่ผมนั่งทำการบ้านอาจจะดีกว่าชีททั้งปึกเตรียมสอบแบบนั้น
“ง่ายๆก็ทำไป” พี่กันต์ชำเลืองมองการบ้านผมแล้วก็พูดเหมือนจะกระตุ้น มันง่ายซะที่ไหน แต่พี่กันต์ก็คือพี่กันต์ ผมสงสัยว่าพี่กันต์ทำไมถึงดูเข้าใจอะไรง่าย เหมือนถ้าได้เรียนหรือฟังก็สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง และทำได้ดี รุ่นพี่ตรงหน้าผมเปิดชีทตัวเอง ใช้ดินสอขีดเขียนจนทั่วหน้ากระดาษเร็วๆเหมือนทุกอย่างไม่มีอะไรยาก
“ยาก ทำไม่เป็น ทำให้หน่อยดิ” บางครั้งไม่รู้ทำไม ผมก็อยากจะลองพูดอะไรแบบนี้ อยากจะเอาแต่ใจ อยากจะไร้มารยาทกับพี่กันต์ อยากจะรู้ว่าจะโมโหไหม แล้วถ้าผมขอให้ทำอะไรแบบนี้ให้พี่กันต์จะดุผม จะสอน หรือจะยอมทำให้
“ทำไม่เป็นหรือขี้เกียจทำ” คำถามดูห่วง แต่สายตากลับรู้ทัน
“ทำไม่เป็นจริงๆ” ผมพูดเสียงแข็ง แต่ความจริง ผมแค่ขี้เกียจทำ ให้ทำก็ทำได้ แต่ก็แค่อยากรู้อีกนั่นแหละว่าถ้าผมบอกทำไม่เป็น คนแสนดีแบบพี่กันต์จะทำยังไง
“ให้สอนไหม” พี่กันต์วางงานตัวเองลง ผมยิ้มแล้วพักหน้า
“เอาเข้าใจง่ายๆ แบบเร็วๆ” ผมพูด พี่กันต์ยื่นมือมาขยี้หัวผมเดินอ้อมโต๊ะมานั่งที่ว่างข้างๆ เปิดสมุดออก กางหนังสือ อธิบายคร่าวๆ ผมพยายามตั้งใจฟัง แต่ไม่รู้เพราะอะไร ผมกลับรู้สึกว่าคำพูดมันไม่ค่อยเข้าหัว แต่พอจับใจความได้เท่านั้น ลายมือพี่กันต์ก็เหมือนพี่กันต์ ไม่ได้เรียงสวย เหมือนจะหวัด แต่อ่านง่าย ผิดกับลายมือผมที่โย้เย้ เบียดชิดตัวเล็ก แทบอ่านไม่ออก
“เอาตรงนี้ใหม่” ผมชี้ไปที่สมการที่แล้ว พี่กันต์ก็พยักหน้าอธิบายใหม่ให้ผม...
ทำไมคนคนนึงถึงดีกับผมขนาดนี้ พี่กันต์ดีแบบนี้กับทุกคน หรือแค่บางคน
“เข้าใจยัง ทำให้ดูดิ” พี่กันต์วางดินสอ ยื่นโจทย์คืนให้ผม ผมพยักหน้า ทำโจทย์ไปเรื่อยๆ อย่างที่บอก ผมทำเป็นตั้งแต่แรก แต่ผมแค่อยากให้พี่กันต์ลองสอนดูแบบไม่มีเหตุผลว่าทำไม
“ทำได้แล้วให้สอนทำไม” ผมทำเสร็จแล้ว พี่กันต์แค่ชำเลืองมองแล้วพูดยิ้มๆเหมือนรู้ทัน
“ก็พึ่งทำได้เมื่อกี้” ผมโกหกหน้าตาย
“เอ้า ไม่ใช่อยากให้มานั่งข้างๆเหรอ” พี่กันต์พูดแล้วยักจะยักคิ้วให้ผมอีก ไม่ได้รู้สึกขนลุกหรือรังเกียจ แต่ทำให้ผมขำมากกว่า ผมแกล้งขยับเก้าอี้เข้าไปชิดพี่กันต์กลับบ้าง พี่กันต์ก็ยังไม่ยอมหยุดเล่นเอาแขนเอาโอบไหล่ผมแล้วทำท่าเอนหัวลงซบ ผมหัวเราะขำกับพี่กันต์ที่ชอบเล่นอะไรชวนให้คิดไปไกล ตลกที่ผมเองก็ยังจะเล่นตาม
เสียงคนเดินมา ผมกับพี่กันต์ขยับตัวออกจากกันแทบจะในทันที ผมกลั้นหัวเราะ ส่วนพี่กันต์ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ แต่หัวเราะไม่มีเสียงจนตัวสั่น ผมเปิดสมุดการบ้าน สุดสายใจลึกๆเพื่อให้หยุดขำ แต่นอกจากความรู้สึกตลกสั้นๆเมื่อครู่ มันน่าแปลกไหมที่ทำไมหัวใจผมถึงรู้สึกอุ่นๆ ในความจริงที่หัวใจมันรู้สึกร้อนหรือเย็นไม่ได้ แต่ผมว่าคำอธิบายนี้ใช้บอกความรู้สึกผมได้มากที่สุดแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะผมเป็นลูกคนเดียว ผมเลยรู้สึกเหมือนพี่กันต์เป็นพี่ชายหรือเปล่า รู้สึกเหมือนเป็นคนที่พึ่งพาได้ สบายใจที่จะคุยด้วย...
ลอกโจทย์ทำงานต่อ ตาเหลือบมองคนที่เดินเข้ามาในห้องสมุดตอนเย็นๆแบบนี้ คนคนนั้นเดินมาหาพี่กันต์
“เอ้ากันต์ นึกว่ากลับบ้านไปแล้ว ไม่ไปเรียนพิเศษเหรอ” ผมเงยหน้ามองดูรุ่นพี่ที่เข้ามาทักพี่กันต์ เป็นผู้ชายตัวเล็ก ผิวขาวจัดแต่ไม่ได้ดูอมโรค หน้าตาดี ไม่ใช่ตุ๊ดแต่ดูก็รู้ว่าเป็นเกย์ อยู่ที่อื่นอาจจะไม่รู้ แต่ในโรงเรียนชายล้วนแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ผมว่ายังไงก็เป็นไม่น่าจะพลิกโผ
“อ้อ มาหาที่นั่งอ่านหนังสือ ขี้เกียจไปเรียน โทษทีไม่ได้บอกกานต์เอาไว้ รอเราป่ะเนี่ย” ผมก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน แต่หูก็ฟังชัดเจน
“ก็นิดนึง แต่ก็ขี้เกียจไปแล้วเหมือนกัน เลยมาหาที่นั่งทำข้อสอบดีกว่า” เป็นรุ่นพี่ผมเหมือนกันงั้นเหรอ ชีวิตเด็กม.6 ก็ต้องมีแต่เรียนพิเศษกับอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่แล้ว ผมเหลือบสายตาขึ้นไปมองพี่ที่ชื่อกานต์อีกรอบ ขนาดผมเป็นผู้ชายก็ยังคิดเลยว่าพี่เขาน่ารักมาก แล้วพี่กันต์ที่มีข่าวหนาหูว่าเป็น จะเหลือเหรอ
หรือจะเป็นแฟนกัน ชื่อก็ดูพ้องๆ กันต์-กานต์
“นั่งด้วยกันดิ ธามๆ เพื่อนพี่นั่งด้วยนะ” ชวนแล้วค่อยสะกิดถามผม ถ้าผมบอกไม่จะทันไหมล่ะ ผมพยักหน้ายิ้มๆอย่างมีมนุษยสัมพันธ์ไปให้
“แน่ะกันต์...” คำพูดแหย่ๆของพี่กานต์ดังขึ้นเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปยิ้มทัก
“อะไร” พี่กันต์รรีบพูดสวนกลับไป
“น้องไหน ให้เคลียร์” ผมคือคนที่ถูกกล่าวถึง แต่กลับพูดซะเหมือนผมไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ซะงั้นล่ะ
“จะมาน้องไหน ก็น้องสีเดียวกัน ช่วยงานกันตอนกีฬา ทำไมๆ หึงอ่ะดิ ฮึๆ” พี่กันต์ก็ตอบไปตรงๆ แต่ผมชักจะรู้สึกตึงๆ
“อ้อๆ งั้นก็แล้วไป” เหมือนรัศมีความหวานมันจะกดดันให้ผมอยู่ยากแล้วตอนนี้ ไอ้เลขที่ทดๆไว้เมื่อกี้ก็ดันลืมต้องมานับนิ้วคิดใหม่ เสียงหัวเราะพี่ของกานต์ก็ดังขึ้นเป็นระยะ ผมไม่แน่ใจว่าสองรุ่นพี่ที่ทีแรกบอกจะอ่านหนังสือแต่ตอนนี้นั่งคุยกันคืออะไรกันแน่ เพื่อนที่คุยเล่นสองแง่สองงามตามนิสัยพี่กันต์ หรือแฟนที่กำลังคุยกัน แต่ที่รู้ๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน
ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ บางทีผมน่าจะกลับได้แล้ว เงยหน้าจากสมุดมองพี่กันต์กับพี่กานต์นั่งช่วยกันทำข้อสอบแล้วรู้สึกแปลกๆ แปลกแบบที่ผมว่าผมไม่น่าจะรู้สึก ความรู้สึกที่ผมพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดจากอะไรแต่มันไม่ควรจะเกิดกับผมตอนนี้เกิดขึ้นมาแล้ว
ผมว่ามันไม่ใช่แล้วล่ะ...
ผมคิดว่าผมรู้สึกสนิทกับพี่กันต์ และสบายใจที่จะอยู่ด้วยคือในฐานะพี่น้อง ตอนนี้สมองผมเริ่มตีความความรู้สึกตัวเองเพี้ยนแล้ว ความรู้สึกที่มันโหวงๆ มันผิดปกติ ถึงจะไม่ได้ชัดเจนหรือรุนแรงจนต้องวิ่งหนี แต่มันก็มากเกินกว่าที่ผมจะรับความรู้สึกนั้นได้...
พี่กันต์กำลังช่วยเพื่อนแก้โจทย์ตรงหน้า พี่กานต์ตั้งใจฟัง คิ้วขมวดคงจะไม่เข้าใจจริงๆ ไม่เหมือนผมที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าทำได้แล้วทำไมยังจะอยากให้สอนอีก ผมน่าจะกลับบ้านแล้วอยู่ห่างๆจากพี่กันต์สักพักก่อนที่ผมจะสับสนอะไรไปมากกว่านี้
“พี่กันต์ ธามกลับและ” ผมกวาดสมุดหนังสือใส่อ้อมแขน พี่กันต์เงยหน้าขึ้นมามองผมเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มให้
“บ้ายบาย แล้วเจอกัน”
“บาย” พี่กานต์เงยหน้าขึ้นมาบอกลาผมพร้อมกับยิ้มกว้างๆ
...ก็ดูเหมาะกันดี
ตั้งแต่วันนั้นมา ผมก็เริ่มถอยห่างออกมา เพราะผมรู้สึกแล้วว่าถ้าใกล้กว่านี้มันจะยุ่งยากแน่ๆ ผมไม่ใช่คนที่รังเกียจเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าเลี่ยงได้ผมก็อยากจะเลี่ยง ผมไม่รู้ว่าพี่กันต์คิดอะไร แต่แค่ผมรู้ว่าความคิดผมมันกำลังจะเปลี่ยนไป มันก็พอแล้วที่ผมต้องเริ่มที่จะรักษาระดับ และจัดการมันให้อยู่ในที่ที่ถูกที่ควร
......................................... ............................................ ...................................................
ผมนั่งกอดอกนั่งมองน้ำเต้าหู้ในแก้ว ควันสีขาวลอยเอื้อยขึ้นมาก่อนจะจางหายไป ผมนั่งรอจนควันนั้เริ่มหายไปจนหมด ระหว่างที่นั่งรอความทรงจำของเรื่องที่นานมาแล้วจนเกือบจะลืมไปก็กลับขึ้นมา นึกแล้วก็ขำตัวเอง กับคนบางคนนึกว่าจะพ้นแต่ก็ไม่พ้น สุดท้ายก็ต้องกลับมาเจอ แถมคราวนี้ยังยิ่งกว่าเดิม ผมอมยิ้มจนไอ้ตัวแสบที่ตื่นแต่เช้าต้องเขย่าแขนผมเรียกร้องความสนใจ
“กู๋ๆ ไปโรงเรียนยัง” ไอ้หมูตอนกระโดดเขย่าแขนผมอยู่นั่นแหละ ส่วนผมยังเบลอๆอยู่เลยเพราะนอนไปแค่สามสี่ชั่วโมง เมื่อคืนผมนอนค้างบ้านอาม่า ตอนเช้าพอไอ้หมูภาสเห็นผมนอนอยู่ในห้องพ่อมันเท่านั้นล่ะก็แหกปากดังลั่นปลุกผมใหญ่
“กู๋ไม่ได้ไปส่งนะ กู๋ไม่มีรถ” รถอยู่บ้านพี่กันต์ เดี๋ยวก็ต้องนั่งแท็กซี่ไปเอารถที่บ้านพี่กันต์
“รถกู๋ไปไหน ไปส่งภาสหน่อยๆ” ไอ้เด็กนี่มันกระจองอแงจริงๆเลยวันนี้ ผมแกล้งทำเป็นส่ายหน้าใส่มัน เฮียธนเดินขยี้ตาลงมาเรียกลูกชายไปนั่งกินข้าวเช้าดีๆ
“แล้วนี่ธามจะไปไง” เฮียลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับผม แกะน้ำเต้าหู้อีกถุงเทใส่แก้ว
“ก็เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไป” ผมเอาปาทองโก๋จิ้มน้ำเต้าหู้ ไม่ได้กินแบบนี้นานมากๆแล้วตั้งแต่ออกมาอยู่คนเดียว
“ไม่ให้พี่เขามารับวะ” เฮียธนหัวเราะคิกๆ เมื่อคืนนี้ทำผมจะประสาท เช้ามามาแหย่ เอาไงแน่วะ จะกดดันหรือจะล้อผมกันแน่
“ตลก” ผมสวนกลับ
“เอาจริงนะ คิดดีๆนะเว้ย เป็นแล้วเป็นเลยนะธาม” แล้วก็มาพูดให้ผมคิดหนักอีกทำไมวะ
“บอกแล้วว่าห่วงอาม่าไม่ต้องห่วงธาม”
“เอ้า มึงก็น้องเฮีย ก็เตือนๆไว้ให้คิดดีๆ”
“ไว้ก่อนเหอะ ปวดประสาท ธามออกไปเอารถและ เดี๋ยวรถติดเข้าคลีนิคไม่ทัน” ผมลุกขึ้นยืน เฮียธนมองผมแบบปลงๆ ผมรู้ว่าเฮียก็ไม่อยากก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวผม แต่ในฐานะเฮีย ก็คงไม่อยากให้ผมเลือกแบบนี้หรอก ไม่ใช่ว่าผมอยากจะเป็น แต่ในบางที ผมก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ เหมือนยิ่งเสี่ยง ยิ่งต้องปิดมากเท่าไหร่กับสิ่งที่ได้มา มันก็ยิ่งล่อให้ผมเดินเข้าไปหาเรื่อยๆ
“กู๋ธามๆ จะมาหาภาสอีกตอนไหน” พอผมจะก้าวขาเดิน ไอ้หมูตอนก็วิ่งโร่มาเกาะขาผมอีกแล้ว
“เย็นนี้เดี๋ยวเจอกันอีก ปล่อยกู๋ๆ จะไปแล้ว” ผมเขย่าขา แต่ไอ้ตัวแสบก็ไม่ยอมปล่อย ตัวมันใหญ่และหนักมาก ผิดกับผมตอนอายุเท่านี้ ผอมแห้ง มีแต่กระดูกเพราะไม่ชอบกินข้าว
“ไอ้หมูตอน ปล่อยกู๋ ไม่ปล่อยป๊าไม่ให้ตังค์นะ” เท่านั้นแหละ ไอ้หมูตอนภาสก็ทำตาลุกวาว ปล่อยผมแทบจะในทันที วิ่งพุงกระเพื่อมไปหาเฮียธนที่ส่งยิ้มเหนื่อยๆมาให้ผมตามประสาพ่อเด็กแสบ ไอ้เด็กสมัยนี้นี่มันหน้าเงินจริงๆ
เดินออกมาโบกแท็กซี่หน้าร้านทองอาม่าที่ติดป้ายว่าหยุดขายสามวันจากที่ไม่เคยหยุดมานาน แท็กซี่เขียวเหลืองมาจอดเทียบ ผมก้าวขึ้นรถ การจราจรเริ่มติดขัด แต่ก็ยังขยับได้ บ้านพี่กันต์อยู่ตรงเส้นรอบนอกย่านเศรษฐกิจ เลยไม่ต้องเสียเวลาและเสียงเงินมากนักในการนั่งแท็กซี่มาแต่เช้า
ผมโทรหาพี่กันต์ให้เปิดประตูบ้านให้ เสียงงัวเงียก็ตอบอือๆเหมือนละเมอ สักพักประตูรั้วอัตโนมัติก็เลื่อนเปิดออก พี่กันต์เดินออกมายืนที่หน้าระเบียงพร้อมสมุนทั้งสี่ที่ออกมาประจบประแจงกันแต่เช้า พี่กันต์ตื่นสายมาก ตอนนี้เจ็ดโมงครึ่ง มีสอนตอนเก้าโมงครึ่ง แต่พี่กันต์ก็ยังไม่อาบน้ำแต่งตัว จะสอนทันไหมผมก็สงสัย ออกมาต้อนรับผมในชุดนอนประจำคือกางเกงย้วยๆ เสื้อไม่ใส่ ถ้าเป็นผมในชุดสภาพแบบนี้ก็คงทุเรศ แต่พี่กันต์จะทำอะไรก็ดูดี ต้นทุนเขาดีก็ยอมๆกันไป รวมทั้งรอยแดงๆที่แถวๆคอนั่นมันชวนให้ผมรู้สึกเลือดสูบฉีดพิลึก... ผมทำลงไปแล้ว กับผู้ชาย (หล่อมากด้วย) ตัวเป็นๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อรุณสวัสดิ์” ผมทักทายเจ้าบ้านพร้อมยื่นของฝากมา เป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งแถวหน้าร้านทองอาม่า หอมมาก ลองชิมไปแล้วสองไม้ อร่อยจนหยุดไม่ได้ หมาสี่ตัวแย่งกันยื่นจมูกมาดมถุงหมูปิ้งกันใหญ่ มันก็ดูน่ารักแบบรุงรังดีเวลาที่หมาตัวใหญ่ๆสี่ตัวพยายามจะประจบประแจงเจ้านาย
“ไหนล่ะมอร์นิ่งคิส” ขนาดยังตื่นไม่เต็มตา ยังจะถามหา ผมไม่สนใจแบมือขอกุญแจรถท่าเดียว
“กุญแจรถ”
พี่กันต์วางกุญแจใส่มือผมอย่างรู้งาน รวมทั้งเก็บค่าบริการด้วยการแตะจมูกลงบนแก้วผมแล้วก็หอมแรงๆ หน้าผมร้อนฉ่า ไม่ต้องให้ใครบอกผมก็รู้ว่าตัวเองคงหน้าแดงถึงหู และนั่นสร้างความพอใจให้พี่กันต์ ดูจากยิ้มโชว์ฟันเรียงเต็มปากแบบนั้นก็รู้
“ช่วงนี้ธามไม่ว่างตอนเย็นนะ ไปเฝ้าอาม่า แล้วก็เฮียธนรู้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน” ผมไม่รู้ว่าควรบอกพี่กันต์ไหม แต่ผมก็พูดไปแล้ว รอยยิ้มของพี่กันต์เปลี่ยนเป็นสีหน้าครุ่นคิด แล้วก็พยักหน้ารับ ในสายตาที่มองผมเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด เหมือนจะชั่งใจอะไรบางอย่าง
“เขาได้ว่าอะไรไหม” คำถามเรียบๆแต่แฝงด้วยความไม่มั่นใจ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ไม่มั่นใจคืออะไร แต่ผมขอเดาว่าสิ่งนั้นคือตัวผมเอง...
“ไม่ ไว้รออาม่าหายดี แล้วค่อยเคลียร์กันอีกที ธามไปละ อย่าคิดมากไม่ต้องห่วง” พี่กันต์ไม่ใช่คนคิดมาก แต่อะไรบางอย่างทำให้ผมรู้สึกว่าพี่กันต์กำลังคิดมากแบบที่ผิดนิสัยของพี่กันต์
“รักธามนะ” พี่กันต์พูดด้วยน้ำเสียงที่ยังอบอุ่นและมั่นคงเสมอ จนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันจะเป็นส่วนที่ทำให้พี่กันต์เปราะบางและถูกทำร้ายง่ายที่สุด แล้วคนที่ทำแบบนั้นก็คงจะไม่ใช่ใคร มันก็คือผมเอง ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
“ธามก็รักพี่กันต์” ผมพูดเสียงเบาๆ
ไม่ว่าพี่กันต์จะตีความว่าเสียงที่เบาของผมนั้นเป็นเพราะอะไร จะคิดว่ามันเป็นเพราะความไม่กล้าและไม่มั่นคงของผมทำให้ทุกครั้งที่ผมพูดคำนี้ออกมามันเบาหวิวเหมือกระซิบให้ตัวเองฟัง หรือจะคิดว่าเป็นเพราะผมยังไม่มั่นใจกับความรู้สึกของตัวเอง ผมก็ไม่โทษหรอกที่จะคิด ผมไม่รู้ว่าพี่กันต์จะรู้ไหมว่าที่จริงที่ผมพูดเสียงเบาๆเพราะผมเขินที่จะพูด โดยเฉพาะต่อหน้าคนที่รู้จักกันมานาน คนที่ผมปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมรับว่าผมหนีไปไม่พ้น อายที่จะพูดใช่ว่าผมลังเล แต่เป็นเพราะไม่คุ้นที่จะพูดออกมา
ทั้งที่เสียงเบา แต่ความรู้สึกที่ให้พี่กันต์กลับไม่ได้เบาเหมือนน้ำเสียงเลย...
.................................................. ....................................................... .........................................18-10-2012
บทนี้ส่งธามมาเรียกคะแนนความมั่นใจของมิตรรักแฟนเพลง
หลายคนกลัวดราม่า ขอบอกว่าไม่จัดหนักแบบหมิงนาย(ที่หายไปนาน) แต่ก็ไม่โปกฮาประหนึ่งเจ๊แป้งมาเอง (รายนี้ก็หายไปนาน) เอาเป็นว่าไม่หนักนะ (คาดว่า) เรื่องก็มาในช่วงค่อนท้ายแล้ว ก็พยายามปูให้ดีอยู่ (พยายามแล้ว?) ช่วงนี้คนเขียนก็จะมึนๆเบลอๆนิดหน่อย(เป็นปกติ) แต่จะพยายามควบคุมตัวเอง5555 เหมือนแบกความคาดหวังไว้ บางทีก็มีวิตกจริตกลัวคนเลิกอ่านเหมือนกัน
...ส่วนย่อหน้านี้จะขอขอบคุณมิตรรักแฟนนักอ่านทุกท่านทุกยอดวิว ทุกคอมเม้นต์ที่ยังติดตามอ่านนิยายของข้าพเจ้า ขอบคุณที่ช่วยกันโหวตจนเรื่องนี้ติดโพลเข้าไปหลายสาขาอย่างไม่น่าเชื่อ (นิยายประทับใจฯ/นิยายฮา/นิยายดองเค็มก็ติดกับเขาด้วย/พี่กันต์-สาขาพระเอก/หมอธาม-สาขานายเอก) ดีใจมากจริงๆ รู้จักที่นี่มานาน ไม่เคยคิดว่าจะมีนิยายตัวเองได้ติดในโพลนี้กับชาวบ้านเขา ถือเป็นความภาคภูมิใจหนึ่งเลยทีเดียวเชียว (แต่เอาไปบอกใครไม่ได้) ขอบคุณจริงๆจากใจ แม้จะดอง แม้จะขาดๆหายๆ แต่ทุกคนก็ยังติดตาม นิยายเรื่องนี้คือเป็นความสุขเล็กๆในชีวิตหม่นๆของคนเขียนเลยเดียว เอาเป็นว่าอย่าลืมเข้าไปกดโหวตใช้สิทธิ์กัน ชอบเรื่องไหนโหวตเรื่องนั้น เป็นกำลังใจให้คนเขียนในเล้ากันต่อไป
รักนะจุบุ

.................................................. ..................................... ...........................
พื้นที่โฆษณา
อันตัวดิฉันเองนั้นนอกจากแต่งเรื่องยาวยืด ก็มีเรื่องสั้นเซอร์ๆ ชื่อเรื่องว่า
"ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ" ติดโผเข้าไปในเซ็งเป็ดอวอร์ดหมวดเรื่องสั้นด้วย จึงอยากจะขอเชิญทุกท่านเข้าไปลองอ่านและหากถูกใจก็โหวตให้เบาๆ ขอบคุณค่ะ