40
หม่อมราชวงศ์หนุ่มตัดสินใจไปเข้าเฝ้าท่านพ่อในเช้าวันหนึ่งของวันอาทิตย์ นทีกับเขาเลือกผลไม้สดใส่ตะกร้าไปเยี่ยมท่านชายเรืองเดชอย่างเต็มความสามารถ แน่ใจว่าผลไม้สด สวยและสะอาดมากๆแล้วภาสกรก็มุ่งหน้าไปที่วังผกากรองโดยที่มีนทีนั่งเคียงกันไปที่เบาะหน้า
เห็นนทีนั่งตัวเกร็งก็ทักว่า
“นที กลัวหรือ”
“ครับคุณชาย” เขาว่าเบาๆ “กลัวจะทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ท่านชายเรืองเดชจะรับผมได้หรือเปล่า”
ภาสกรยิ้มกว้างให้นทีแล้วบอกว่า
“ผมไม่ได้พาคุณไปเปิดตัวในฐานะสะใภ้เสียหน่อย คราวนี้ไปในฐานะเพื่อนก่อนคราวหน้าค่อยบอกว่าเนี่ยแหละคนรักของผม” หนุ่มน้อยส่งค้อนวงใหญ่ให้ภาสกรแล้วก็มองออกนอกหน้าต่าง อีกฝ่ายไม่ต้องเห็นก็เดาได้ว่า นทีกำลังยิ้มอย่างอบอุ่นใจอยู่
ท่านชายเรืองเดชประทับอยู่ที่ศาลาไม้ที่ตั้งอยู่ในสวนดอกไม้ของวังผกากรอง ความชราภาพและโรคหทัยทำให้ดูว่าพักตร์สูบซีดมากกว่าครั้งที่ภาสกรเห็นครั้งก่อน เกศาขาวโพลนไปทั้งเศียรเมื่อทอดเนตรทรงเห็นโอรสเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ทรงเลิกขนงด้วยความสงสัยพอโอรสนั่งลงฝั่งตรงข้ามพร้อมๆกับเด็กหนุ่มหน้าขาวสะอาด ผมสั้นดูดีเหมือนเด็กน้อยยกมือขึ้นประนมไหว้ทั้งคู่แล้ว ก็รับสั่งถามว่า
“เป็นอย่างไรมาอย่างไรลูก ชายภาส ถึงมาเยี่ยมพ่อได้วันนี้”
“ลูกหยุดงานกระหม่อม เห็นว่าไมได้มาเฝ้าท่านพ่อนานแล้ว เห็นสมควรว่าจะต้องมาเยี่ยมเยียนบ้างลูกกับเพื่อนจึงเอาผลไม้มาถวายกระหม่อม”
ท่านชายเรืองเดชแย้มโอษฐ์น้อยๆ ก่อนจะเอ่ยว่า
“ขอบใจ พ่อแก่แล้วกินอะไรไม่สะดวกนัก เห็นผลไม้ก็เปรี้ยวปากเหลือเกิน พ่อไม่เห็นมะม่วงสุกสวยขนาดนี้มานานแล้วเข้าใจเลือกนะ”
“นทีเพื่อนของลูกเป็นคนเลือกเองกระหม่อม”
หนุ่มน้อยได้ยินเสียงอีกครั้งก็ยกมือขึ้นประนมไหว้เป็นครั้งที่สอง
“ชื่อนทีหรือพ่อหนุ่ม หน้าตาดูสะอาดสดใสดี ชื่อก็เพราะนะ”
“กระหม่อม”
“รู้จักชายภาสที่ไหน”
นทีเงียบไป กลืนน้ำลายให้คล่องคอก่อนจะพูดสิ่งที่เตรียมมากับภาสกรว่า
“กระหม่อมมาช่วยคุณชายภาสกรเรื่องงานแฟชั่นที่พัทยากระหม่อม จากนั้นมาเราก็ติดต่อกันมาตลอดกระหม่อม”
“นทีเป็นคนเรียบร้อย ฉลาดแล้วก็มีสัมมาคารวะมากกระหม่อม ลูกติดใจว่าคุยสนุกถูกอัธยาศัยก็เลยคบกันไว้เห็นว่าไม่เสียหายอะไร”
“เอาเถิด” ท่านชายแย้มโอษฐ์อย่างใจดีอีกครั้ง “พ่อเองก็ไม่เห็นด้วยแต่แรกว่าเราควรคบแต่ราชสกุลด้วยกัน หรือแม้แต่พวกเศรษฐี พวกนั้นคบเราก็หวังแต่ผมประโยชน์ ถ้าจะคบเป็นเพื่อนก็เลือกเอาคนที่ถูกใจ ไม่พาเราไปในทางที่เสื่อมเสียก็ดีแล้ว”
ภาสกรยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ท่านพ่อของตนไม่ได้รังเกียจคนรัก ทีนี้เรื่องอะไรต่างๆจะได้ค่อยๆง่ายขึ้น ถ้าผ่านทางพ่อก็เหลือทางแม่ที่แม้จะยากกว่าสักหน่อยแต่ก็คงจะง่ายขึ้นหากมีแรงสนับสนุนจากพ่อ
“นที คุณไปปอกมะม่วงมาถวายท่านพ่อแทนผมหน่อยเถอะ”
“ใช้พวกบ่าวไปซีลูก ไปเดือดร้อนพ่อนทีทำไม”
“ไม่เดือดร้อนเลยกระหม่อม กระหม่อมเต็มใจ”
“จริงกระหม่อม นทีเป็นเด็กกำพร้าก็เลยชอบดูแลผู้หลักผู้ใหญ่อย่างนี้แหละกระหม่อม” ภาสกรออกรับแทน ท่านชายจึงพยักพักตร์อย่างยอมรับ นทีก็เลยเดินไปกับนมอุ่นทีดูจะเอ็นดูเด็กน้อยไม่ต่างจากคนอื่นที่รู้จักเขา ปล่อยภาสกรอยู่กับท่านพ่อของเขาเพียงสองคน
พอเหลือกันสองคน ท่านชายเรืองเดชก็รับสั่งถามว่า
“ชายภาส เมื่อไหร่ลูกจะแต่งงาน”
ภาสกรตกใจไปบ้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่ก็ทำนายไว้แล้วว่าอย่างไรก็ตามท่านพ่อก็ต้องรับสั่งถามเรื่องนี้ เพราะเขาเองก็จะอายุครบสามสิบในไม่กี่วันนี้ ท่านพ่อก็พระชนม์มากแล้วคงอยากทรงอุ้มนัดดา เร็วๆกระมัง แต่ในเมื่อคิดมาแล้วภาสกรก็เลยมีคำตอบมาตอบอย่างสมเหตุสมผล
“ลูกเห็นว่าท่านพ่อประชวรมากอยู่ จึงคิดจะมาอยู่ดูแลท่านพ่อก่อนไม่อยากคิดเอาความสุขเข้าตัวด้วยการแต่งงานตอนนี้กระหม่อม”
ท่านชายแย้มโอษฐ์รับอย่างเข้าใจแล้วก็รับสั่งเสียงเบาว่า
“พ่อไม่ได้เร่งอะไรเจ้านะ ชายภาส แต่เจ้าก็จะสามสิบอยู่ไม่กี่วันนี้แล้ว พ่อเองก็ไม่รู้จะอยู่ไปได้นานแค่ไหน อยากจะเห็นหลานเร็วๆ”
“กระหม่อม”
“แม่หนูทิฆัมพรนั่น ไม่ถูกใจบ้างหรืออย่างไร แม่เจ้าดูจะเอ็นดูรายนั้นเป็นพิเศษ” ท่านชายรับสั่ง
“ลูกเห็นว่าเรายังไม่รู้จักนิสัยใจคอกันดีพอกระหม่อม ขอเวลาศึกษาไปอีกสักพักเถิดกระหม่อม” ภาสกรตอบเสียงเบาลงเรื่อยๆ
กระทั่งนทีมาพอดีนั่นแหละ ทั้งสองจึงหยุดพูดกันเรื่องเคร่งเครียดนี้ มะม่วงน้ำดอกไม้สุกใส่จานแก้วตั้งไว้ต่อพักตร์ท่านชายที่มองดูฝีมือปอกเสียเรียบร้อยของนที พอหนุ่มน้อยนั่งลงท่านชายก็แย้มโอษฐ์รับสั่งว่า
“พ่อนทีปอกเสียสวยงามเรียบร้อยดี” จากนั้นก็เสวยมะม่วงเข้าไปได้หลายคำ นมอุ่นที่นั่งดูอยู่ห่างๆก็ยิ้มแย้มดีใจที่ท่านชายเสวยได้มากนักในวันนี้ ต่างจากทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาที่มักจะเสวยอะไรไม่ลงเลย ไม่นานนักท่านชายก็เสด็จกลับตำหนักบ่นว่าเสวยเสร็จก็โปรดบรรทมตามประสาคนแก่ ภาสกรก็เลยปล่อยตามเลย
ก่อนกลับจากวังผกากรอง ภาสกรก็สวมกอดนมอุ่นอย่างรักใคร่ และคิดถึง ยิ้มให้แม่นมของตนก่อนจะบอกกับนทีว่า “นี่คือแม่นมของผม ผมรักมากเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง คุณคงผมกับเธอแล้ว”
“ครับ คุณอุ่นน่ารักแล้วก็ใจดีมาก กรุณาบอกผมทุกอย่างว่าในครัวนั้นข้าวของเครื่องใช้อะไรอยู่ตรงไหนบ้าง” หนุ่มน้อยยิ้มให้นมอุ่นอย่างน่าเอ็นดู “ผมไปรอคุณชายที่รถดีกว่าเผื่อมีอะไรอยากคุยกับแม่นม”
แล้วนทีก็เดินจากไป ภาสกรมองตามหลังบางๆในชุดสุภาพสะอาดตาเดินห่างออกไปแล้วก็หันกลับมาหาแม่นมของตน เห็นอีกฝ่ายส่งสายตาแบบรู้ทันมาให้ก็รู้สึกร้อนๆหนาวๆ กลัวว่านมอุ่นจะจับได้ว่าตนคิดอะไรกับหนุ่มน้อยอยู่ในใจ
“คุณชายของนม ดูมีความสุขเหลือเกินค่ะ” หล่อนว่า พลางออกเดินคู่กันไปกับภาสกรเพื่อไปส่งเขาถึงรถ “ตั้งแต่ไหนก็ว่าดูไม่ค่อยทุกข์อยู่แล้ว แต่คราวนี้ดูสดชื่น แล้วก็มีความสุขมากไม่ค่อยเศร้าหมองอมทุกข์เหมือนเวลามียัยหนูทิฆัมพรมาเที่ยวป้วนเปี้ยนนะคะ”
ภาสกรหัวเราะ
“นมนี่เห็นจะเป็นคนเดียวที่มองทิฆัมพรออก”
“ปรุโปร่งเลยล่ะค่ะ เวลาหม่อมไม่เห็นยายนั่นก็แผลงฤทธิ์เอากับนมนี่แหละค่ะ” หล่อนว่าอย่างออกรส “สู้เพื่อนคุณชายคนนี้ไม่ได้นะคะ นมยังไม่เคยเห็นเพื่อนคนไหนของคุณชายจะน่ารัก เรียบร้อนเท่าคนนี้เลย ท่าทางพ่อแม่เขาจะสอนมาดีนะคะ มีสัมมาคารวะ เป็นลูกผู้ดีตะกูลไหนหรือคุณชาย”
“ไม่ใช่คนใหญ่คนโต มีสกุลอะไรหรอกนม เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ”
“เอ๊ะ แล้วรู้จักกันได้ไงล่ะคะ” นมอุ่นถามอย่างสงสัย
“เรื่องมันยาวน่านม วันหลังผมมีเวลาผมจะเล่าให้นมฟังก็แล้วกันนะ”
“ได้ค่ะ แต่วันไหนมา พาเพื่อนคนนี้มานะคะ สบายอกสบายใจคุยด้วยแล้วสนุก ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ถ้าเป็นผู้ชายก็ข่มเราเสียอกสั่นขวัญแขวน ถ้าเป็นผู้หญิงก็เดี๋ยววี้ด เดี๋ยววี้ดนมปวดหัวนัก” ภาสกรหัวเราะถูกใจ “คุณนทีมีสัมมาคารวะเหมือนลูกผู้ดีสมัยก่อน เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วค่ะเด็กแบบนี้ จะสูญพันธุ์ตามไดโนเสาร์ไปเสียแล้ว”
ภาสกรยิ้มให้นมอุ่นก่อนจะบอกลาหล่อนอีกครั้ง แม่นมของภาสกรมองคุณชายของหล่อนเดินออกห่างไปเรื่อยๆ ก็ยิ้มกับตัวเองอย่างมีความสุข เห็นเขายิ้มแย้ม สดใสอย่างนี้คนเป็นแม่นมเลี้ยงมาแต่เด็กทำไมจะไม่เข้าใจ ทำไมจะรู้ไม่ทันว่าภาสกรคิดอะไรกับ “เพื่อน” คนนี้ ถึงหล่อนจะเป็นคนหัวโบราณในบางเรื่อง แต่เมื่อเป็นเรื่องความรัก อีกอย่างนทีก็เป็นคนดี น่ารักเหมาะกับคุณชาย หล่อนก็ไม่เห็นว่าจะขวางหูขวางตาแต่อย่างใด
น่าเอาใจช่วยเสียด้วยซ้ำ
แต่อุปสรรคก็ใช่ว่าจะน้อยเสียเมื่อไหร่ หล่อนรำพึงในใจอย่างคร่ำครวญ
“โถ คุณชายของนม รักใครก็ไม่รัก มารักพ่อหนุ่มคนนี้ ถึงจะเหมาะกัน รักกันแค่ไหนแต่ท่านชายกับหม่อมก็คงจะยอมไม่ได้แน่ๆ คุณชายเอ๋ย นมเอาใจช่วยให้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆนี้ไปได้นะคะ”
ภาสกรเดินมาถึงตัวรถ ก็พบว่านทียืนพิงประตูรถอยู่อย่างสบายใจ มองบรรยากาศรอบๆ อย่างสงบเห็นต้นผกากรองริมรั้วก็เข้าใจว่าทำไมวังนี้ถึงชื่อว่าวังผกากรอง พอได้ยินเสียงภาสกรเดินเข้ามาก็หันมามองยิ้มให้เขาแม้จะมีประกายโศกอยู่ในแววตาก็ตาม
“นทีเป็นอะไร ยังไม่หายเกร็งจากท่านพ่อหรือทำหน้าเศร้าเชียว”
หนุ่มน้อยเจ้าของชื่อส่ายหน้าตอบว่า “ตอนอยู่เฉพาะพักตร์ก็ยอมรับครับว่าเกร็ง กลัวพูดผิดพูดถูก แต่มาตอนนี้ไม่กลัวแล้ว” พยายามยิ้ม แต่เสียงก็ฟังดูเศร้าจึงตัดสินใจบอกเรื่องที่อยู่ในใจ “ผมเห็นคุณชายกอดกับนมแล้วก็อดคิดถึงแม่ไม่ได้”
“โถ่” ภาสกรยิ้มให้กำลังหนุ่มน้อย ส่ายหน้าเบาๆแล้วก็รวบอีกฝ่ายเข้ามากอด “ไม่ต้องคิดมาก ผมกับนมสนิทกันอย่างนี้ แต่ก็สนิทกันแค่กับนมคนเดียว หม่อมแม่ และท่านพ่อต่างก็ดุและเข้มงวดกันทั้งคู่ ผมไม่เคยได้กอดพ่อแม่อย่างนี้เลย คุณกับผมไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกคุณ”
โชคดีที่ตรงนั้นไม่มีใครผ่านไปผ่านมา อีกทั้งรั้วไม้ก็สูงพอจะกีดกันสายตาคนที่มองมาตรงนั้นได้ดีพอควร สองหนุ่มจึงกอดกันได้นานหน่อยจนนทีพูดว่า
“คุณชายเดี๋ยวใครมาเห็น”
ภาสกรยิ้มให้นทีก่อนจะถอนตัวออกจากหนุ่มคนรัก
“คุณก็รู้ใช่ไหม ว่าถ้าคุณอยากกอดใครคุณก็มีผมให้กอดอยู่ทั้งคน จะคิดถึงพ่อแม่ก็ได้ผมไม่ว่าหรอก แต่อย่าทำหน้าเศร้านะครับ... คนดี”
ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ แม้ทั้งคู่จะจูบกอดพลอดรักกันในที่สาธารณะไม่ได้ ทั้งคู่ก็ไม่เก็บมาเป็นปมด้อย เพราะทั้งภาสกรและนทีต่างก็เห็นตรงกันว่า ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน เขารักกันคนอื่นไม่จำเป็นต้องมารับรู้ จะกอด จะจูบกันก็ทำในที่ลับตาคนได้ไม่จำเป็นต้องทำอวดสายตาภายนอก
ไม่ใช่เพราะทั้งคู่เป็นชายรักชายหรอก แต่เพราะทั้งคู่เป็นคนไทยสังคมไทยไม่เห็นด้วยกับการพลอดรักกันในที่สาธารณะอยู่แล้ว จะเป็นคู่ชายหญิงสังคมก็มองว่าไม่ดีเช่นกันถ้าจะแสดงออกมากอย่างนั้น ภาสกรและนทีเข้าใจสังคม เขาจึงมั่นใจว่าสังคมก็จะเข้าใจพวกเขาด้วยเช่นกัน... ถ้าทำตัวเหมาะสมอย่างดีละก็
หม่อมวิไลวรรณ และทิฆัมพรกลับถึงกรุงเทพก่อนวันเกิดของภาสกรหนึ่งวันพอดี เพราะทิฆัมพรมีคิวถ่ายละครที่พัทยาในวันนั้นด้วยถ่ายเสร็จก็มาเจอกับหม่อมที่วัง หม่อมโทรมาบอกลูกว่าจะมาเยี่ยมถึงที่วังพัทยาในเช้าวันถัดมาพร้อมท่านชายเรืองเดช และนมอุ่น ถือว่ามาพักตากอากาศ และในคืนนั้นซึ่งเป็นคืนวันเกิดของภาสกร ทั้งหมดก็วางแผนกันว่าจะทำอาหารเลี้ยงกันง่ายๆที่วังนี้ เชิญหมอมิ่งเมือง และ บ้านสุวรรณฉายมาด้วย ซึ่งข้อหลังทิฆัมพรไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเออออตามหม่อมวิไลวรรณ
โชคดีของภาสกรที่วันนั้นนทีไปทำงานที่ร้าน chez moi กะเช้าวัน เพื่อแลกกะให้ได้หยุดในเย็นนั้น มางานวันเกิดคุณชายได้ หม่อมวิไลวรรณก็เลยไม่ได้เจอกับหนุ่มน้อยนอนเอกเขนกอยู่ในบ้านราวกับเป็นบ้านของตัวเอง
“ชายภาส” หม่อมแม่ กางแขนโอบเขาเข้าไปกอดทันทีที่เห็นลูกชาย “ท่านพ่อรับสั่งว่าอ้วนขึ้นดูมีน้ำมีนวลเห็นจะจริงตามที่ว่าดูสดชื่นมีความสุขมากทีเดียวจ้ะ งานไม่หนักนักใช่ไหมลูก ดีจริง สมกับที่เป็นเจ้าของวันเกิดดูมีความสุขดีจังเลยแม่เห็นก็ชื่นใจหรือเพราะรู้ว่าหนูฟ้ามากับแม่ด้วยจ๊ะ ถึงได้หน้าตาอิ่มเอมอย่างนี้”
หล่อนว่าแล้วก็จูงทิฆัมพรเข้ามาในบ้านด้วย
ภาสกรหน้าเจื่อนทันทีที่เห็นทิฆัมพรเดินเข้ามา หล่อนใส่เสื้อยืดสีขาวบางจนเห็นชุดชั้นในสีสดที่อยู่ข้างใน กางเกงยีนส์ขายาวฟิตเปรี๊ยะราวกับเอาสีมาทา เขาไม่เข้าใจว่าแต่งตัวอย่างนี้แล้วทำไมหม่อมแม่ของเขาถึงยังไม่ว่าอะไร ทั้งๆที่ฝ่ายนั้นเกลียดผู้หญิงแต่งตัวโป๊เสียยิ่งกว่าอะไร
“สวัสดีค่ะพี่ชาย”
“สวัสดีทิฆัมพร สบายดีหรือ” เขาถามไปอย่างนั้นเอง แต่ก็ไม่ได้รอคำตอบพอถามเสร็จก็หันไปหาแม่ แล้วบอกว่า “คุณแม่ พรุ่งนี้เพื่อนผมจะมาทำกับข้าวเลี้ยงทุกคน ผมนัดเขาว่าจะออกไปซื้อของสดกันที่ตลาด ขออนุญาตคุณแม่ออกไปนะครับ คุณแม่กับทิฆัมพรพักผ่อนตามสบายเถอะครับ ผมไปละ”
“อ้าว ได้ยังไงล่ะจ๊ะทำไมไม่ให้แม่กับหนูฟ้าไปด้วยเล่า จะได้ช่วยเลือก เพื่อนของชายคนนี้ชื่ออะไรล่ะจ๊ะ แม่รู้จักหรือเปล่า ใช่ตาปีเตอร์ที่อยู่ดอร์มเดียวกับชายตอนเรียนอยู่ลอนดอนหรือดปล่า”
ภาสกรงงไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อน ก็เลยตอบเรียงทีละคำถามจากหลังสุดไปแรกสุดจะได้ไม่สับสน “ไม่ใช่เจ้าเตอร์หรอกครับ คุณแม่ไม่รู้จักหรอก เขาชื่อนทีเป็นคนพัทยาผมรู้จักเขาเพราะมาช่วยงานผมตอนจัดงานแฟชั่น เขาเป็นคนทำกับข้าวเก่งคงเลือกอาหารได้ดี แต่ถ้าคุณแม่กับทิฆัมพรอยากไปด้วยก็ไปซีครับ”
“อ้อ พ่อที่ไปเยี่ยมพ่อวันนั้นหรือ” ท่านชายตรัสขึ้นหลังจากยังไม่ได้รับสั่งอะไร เพราะพูดไม่ทันหม่อมของท่าน ภาสกรรับคำหม่อมแม่ของเขาก็ชิงถามขึ้น
“คนไหน เยี่ยมอะไรกันคะท่านพี่ หม่อมฉันไม่รู้เรื่อง”
“เพื่อนตาชายคนนี้อุตส่าห์หามะม่วงน้ำดอกไม้สุก หวานหอมถูกใจฉันไปเยี่ยมถึงวังผกากรอง เป็นเด็กดีมีสัมมาคารวะ พ่อชอบใจเชิญเขามางานด้วยนะชายภาส เอาเพื่อนคนอื่นมาเมาเละเทะเสียงดังโฉงเฉงพ่อไม่ชอบ”
“กระหม่อม”
“เออ เพื่อนคนนี้เป็นคนสกุลไหนล่ะชาย” หม่อมวิไลวรรณถามเป็นคำถามแรกเสมอที่ลูกชายแนะนำใครให้หล่อนรู้จัก
“เขาไม่ใช่คนใหญ่คนโต มียศมีศักดิ์หรอกครับคนธรรมดาเท่านั้น” วิไลวรรณคงลืมไปแล้วว่าหล่อนเคยพบนทีมาก่อนที่โรงพยาบาลจึงไม่ได้ว่าอะไร เพียงชักสีหน้าเหมือนดูแคลนว่าคนที่หล่อนกำลังจะไปพบที่ตลาดเพื่อช่วยเลือกของให้ลูกชายนี้ เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาเท่านั้น หล่อนจำชื่อนทีไม่ได้เลยถ้าเป็นคนไม่มีสกุลใหญ่โตละก็หล่อนก็ไม่คิดจะจำชื่อให้เปลืองเนื้อที่สมองของหล่อนหรอก
ภาสกรจึงยอมให้วิไลวรรณและทิฆัมพรตามไปด้วย โดยไม่รู้เลยว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองได้พบนที ทำให้เขาและคนรักแทบเอาชีวิตไม่รอดทีเดียว!