INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง  (อ่าน 158664 ครั้ง)

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #30 เมื่อ16-11-2007 18:58:56 »

โอ๊ะโอ  แอบถ่ายรูปไว้ซะด้วย  บอสหนุ่มคนนี้คิดอะไรอยู่เนี่ย  อิอิ

รออ่านต่ออยู่ค้าบบบบ  เอาคำแนะนำไปปรับเท่าที่ปรับได้แล้วกันน้า  สู้ๆ เป็นกำลังใจให้จ้า  :a2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #31 เมื่อ16-11-2007 20:40:36 »

ถ่ายรูปกะแบล็คเมล์ละซี  :m14:  :m14:  :m14:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #32 เมื่อ16-11-2007 21:04:00 »

เร่าร้อนจริงๆคู่นี้
แก้เผ็ดไม่ได้เลยต้องจูบให้เผ็ดร้อนกว่าเดิม
 :m11: :m11: :m11: :m11:

snowman

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #33 เมื่อ17-11-2007 00:41:03 »


เม้นต์หละนะ  เอาแบบไม่เกรงใจนะ

เม้นต์ไปแล้ว  ก็จะรีบมาลบออกทันทีเมื่อมีคนไม่เห็นด้วยกะเม้นต์

ก. เขาจึงถูกส่งต่อไปอีกหลายบ้านอุปถัมภ์ = He was passing to any บ้านอุปถัมภ์.  สำนวนฝรั่งจ๋ามากกกกกก 

คนไทยส่วนใหญ่มักพูดว่า "เขาถูกส่งต่อไปยังบ้านอุปถัมถ์อีกหลายต่อหลายแห่ง" อะไรเทือกนั้น  แต่ก็ยังเป้นสำนวนฝรั่งอยู่ดี 

ไทยแท้มักพูดว่า "เขาก้าวผ่านบ้านอุปถัมภ์อีกหลายแห่ง  จนหยุดลงที่โบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่งในเยอรมัน"

ข. ความเหน็ดเหนื่อยของทั้งสัปดาห์ถาโถมอย่างไม่ปราณี  = ความเหน็ดเหนื่อยของทั้งสัปดาห์ หมายความว่าไง?

ค.  ไม่เห็นใจในความคิดและการกระทำของพระเอก  ที่จู่ๆ ก็ ว่าต่อมานายเอกด้วยเรื่อง "เรื่องคาวๆ"  เป็นเหตุการณ์ ที่ไม่มีที่มาที่ไปเลย

งง  ไม่คิดจะปูพื้นให้ดีกว่านี้หน่อยหรือเคอะน้อง  จู่โจมแบบนี้  เจ้งง!

นี่เป็นแค่การเสนอแนะนะ  ไม่ได้บังคับว่าให้ทำตาม 

ยังไงก็ลองคิดดูเองก็แล้วกัน    หรือไม่  ก็ลองไปอ่านเม้นต์ของกระต๊อบดูได้นะ  อิอิ

ปล.  ที่เขียนมาเนี้ย  แรงไปไหมเคอะ  อิอิ





แรงไปครับ


ผมว่าแรงไปหน่อยครับ


แต่ผมชอบครับ


+1 ให้ครับ ^_^


ปล. รู้สึกคิดถึงคุณกิติยาวดีแห่งบอร์ดปาล์มขึ้นมาตะหงิดๆ อย่างไรไม่ทราบได้



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2007 11:16:52 โดย oaw_eang »

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #34 เมื่อ18-11-2007 11:16:44 »

สืบเนื่องจากคอมเมนต์ของคุณ oaw_eang 

จุดประสงค์ในการเขียนงานเขียนของเมศ มีขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะด้านการเขียนของตนขึ้นไปอีก ดังนั้นด้วยจรรยาของการเป็นนักเขียนจึงเป็นเรื่องเห็นสมควรที่จะน้อมรับคำติชมไปเเก้ไข เพื่อปรับปรุงพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นตามลำดับ เเละเเน่นอนว่าก่อนการลงมือเขียนทุกถ้อยประโยคความต้องรอให้ตกตะกอนทางความคิดเสียก่อนเป็นอันดับเเรกตามวิถีของการเขียนที่ดี 

เเต่ด้วยความด้อยประสบการณ์ทำให้เมศบกพร่องไปบ้างไม่มากก็น้อย เเละอาจเพราะด้วยเหตุนี้เองทำให้เมศตีความ คำว่า 'วิจารณ์เเรง'หมายถึง'วิจารณ์ตรง'  ซึ่งด้วยพื้นความรู้ที่มีเเล้ว การวิจารณ์ตรง หมายถึง การวิจารณ์ให้คำชี้เเนะต่องานเขียนอย่างตรงไปตรงมาเเละเป็นกลางโดยมิได้พาดพิงถึงบุคคลอื่น เพื่อให้เจ้าของผลงานนำไปบูรณาการเเก้ไขข้อบกพร่องต่อไป

เรื่องที่น่าตลกเเละน่าเสียดายสำหรับเมศคือสมัยเรียน วิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่เมศเบื่อมากที่สุด จึงอาศัยการเรียนอย่างหลับบ้างตื่นบ้าง จุดบกพร่องในงานเขียนจึงอาจเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้(ขำ) เเละหวังว่าพี่ๆในบอร์ดเเห่งนี้จะช่วยถ่ายทอดความรู้ ชี้เเนะจุดผิดพลาดต่อไปเช่นคอมเมนต์ที่ผ่านมา

น้อมรับคำวิจารณ์ด้วยหัวใจ เเละพิจารณาเพื่อปฎิบัติเเก้ไข
ภาณุเมศพลัง(จาตุรันต์รัศมี)









ขอบคุณทุกคอมเมนต์เลยนะคะ  คาดว่าจะมีการรีไรท์ตอนที่1 2 (เเละอาจจะ3)ใหม่หลังจากเปิดเรื่องได้เรียบร้อยเเล้ว
ถ้าอ่านเรื่องนี้เเล้ว เซ็ง เครียด กินข้าว เเวะไปอ่านอีกเรื่องของเมศก็ได้ค่ะ(55+ อยากขายของขึ้นมาทันที)

รักไม่รู้ชื่อ (ทำ)ซื่อไม่รู้รัก
  thai Y Studio # 2     Yใสๆไร้สารพิษ เรื่องราวภายในรั้วอุดมศึกษาของสองอนาคตวิศวกร  ด้วยสโลเเกน สานYไทยสู่Yโลก


ปล.รักคอมเมนต์ตรงอย่างท่อนบนของคุณoaw_eang   :m3:
ปล2. จ. จานเป็นอักษรกลาง

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #35 เมื่อ18-11-2007 11:30:07 »

เพื่อนๆกันทั้งนั้นนะครับ
อิอิ
สองเขาก็มีเจตนาดีนะครับ
ดีใจที่คนเขียนเข้าใจ
 :m5:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #36 เมื่อ18-11-2007 11:34:59 »

 :a2: :a2: :a2:

กำลังจะแปะตอนสาม.....

อ้างถึง
คาดว่าจะมีการรีไรท์ตอนที่1 2 (เเละอาจจะ3)ใหม่หลังจากเปิดเรื่องได้เรียบร้อยเเล้ว

:a5:  เลยรอก่อนล่ะกานนะ >.<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2007 11:39:48 โดย snowblack »

satan666

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #37 เมื่อ18-11-2007 11:43:18 »

เคยเห็นเรื่องนี้ในเด็กดี เล็งเอาไว้ว่าจะอ่าน แต่ยังไม่ได้อ่านสักที :try2:

พอดีเห็นลงในนี้ เลยมาตามอ่านในนี้ก็แล้วกัน

บอกตรงๆว่า เรื่องนี้ต้องอ่านช้าๆ ถึงจะเข้าใจ ฉากที่ตัดไปตัดมาทำให้นึกถึงเวลาในขณะนั้นไม่ออก

เห็นเจ๊สองแห่งบอร์ดวิจารณ์แล้วหนาวเหน็บ o21 แต่ชอบอ่ะ ตรงๆดี :m4:

เป็นกำลังใจให้ละกันค่ะคุณเมศ :m1:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #38 เมื่อ18-11-2007 11:43:50 »

มาเป็นกำลังใจให้ครับ

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #39 เมื่อ18-11-2007 12:35:38 »

เจ๊สองอธิบายได้ตรงใจมากเลยอ่ะ  o13  เราอ่านแล้วแค่รู้สึกแปลกๆแต่บอกไม่ได้ว่าอะไรหรือตรงไหนที่แปลก คนแต่งก็สู้สู้น๊า อย่าคิดมาก อย่าท้อถอยและอย่าถอดใจ เปงกำลังใจให้จ้า
 :a2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
« ตอบ #39 เมื่อ: 18-11-2007 12:35:38 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #40 เมื่อ18-11-2007 22:17:58 »

มาต่อตอนสามกันเลยดีกว่าเน๊าะ  :m26::a1:
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


INTERMEZZO   chapter# 3

      

    พิรุณาย้ายเข้าบ้านใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน  เคนช่างรู้ใจแต่งบ้านได้ถูกใจเขามาก แต่เดิมบ้านนี้เป็นบ้านเก่า  เขานั่งรถผ่านแล้วเกิดชอบใจจึงซื้อไว้เพราะชีวิตของเขาต้องมาทำงานที่นี่บ่อยครั้ง  เคนให้ตกแต่งบ้านนี้ด้วยศิลปะจีนประยุกต์ทำให้บ้านนี้มีโทนสีแดงส้มและขาว ห้องรับแขกขนาดเล็กทำให้รู้สึกอบอุ่นมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันออกจะเกินๆด้วยซ้ำ  ทั้งๆที่เขาไม่อาจได้ยิน แต่ในบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายดันมีวิทยุมาด้วย  พิรุณาส่ายหน้านึกขำกับเพื่อน....มันจะให้มาทำไมวะเนี่ย...     กล่องกระดาษบรรจุข้าวของจากบ้านเก่าถูกเก็บออกไปแล้ว  ข้าวของต่างๆจัดเข้าที่เข้าทางอย่างเป็นระเบียบ เหลือของอย่างสุดท้ายที่ยังมาไม่ถึง ระหว่างรอนี้เขาอารมณ์ดีเกินกว่าจะนั่งดูทีวี  พิรุณาเดินไปที่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น   เปียโนหลังเล็กสีแดงเข้มตั้งอยู่ติดกับหน้าต่าง  ใกล้ๆนั้นมีประตูเปิดออกสู่ระเบียง พิรุณาเปิดประตูออกไปรับลมเย็นจากข้างนอกบ้าง ก่อนจะนั่งลงแล้วพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดอย่างรื่นรมย์

**************************************

   ธีรธรเดินขึ้นบันไดหินเตี้ยๆไม่กี่ขั้นพลางล้วงกุญแจออกมาไขเปิด พลันได้ยินเสียงบางอย่างมากระทบหู  เขากวาดตามองหาแหล่งที่มาในความมืด ไฟบ้านข้างๆที่เคยมืดมิดมาหลายปีนับตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่บ้านนี้กลับสว่างขึ้นอย่างน่าประหลาด  เขาไม่เคยพบเจ้าของบ้านคนใหม่และแต่เดิมก็ไม่เคยนึกอยากรู้จัก แต่วันนี้เขากลับสนใจเจ้าของเสียงบรรเลงเปียโนแว่วหวานนั้น  ธีรธรพยายามเพ่งมองแต่ก็ไม่อาจเห็นตัว  เห็นเพียงระเบียงที่มีบานประตูกระจกใสที่เลื่อนเปิดออก  บอสหนุ่มเสยผมสีเข้มที่ยุ่งๆของตัวเองพลางยิ้มน้อยๆ  ไม่แน่คนข้างบ้านอาจจะเป็นพิรุณาก็ได้   รูปพวกนั้นยังคงอยู่ในโทรศัพท์มือถือของเขา  เขายังไม่ได้ส่งให้สำนักพิมพ์ใด  แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นดูเหมือนพิรุณาจะยิ่งรู้สึกขัดเคืองในตัวเขามากขึ้น  แม้แต่วันที่พิรุณาเชคเอาท์ออกไปหน้ายังไม่โผล่มาให้เห็นด้วยซ้ำ  ป่านนี้ขึ้นเครื่องร้องไห้แงๆกลับบ้านไปแล้วมั้ง   บอสหนุ่มแทรกตัวเข้าไปหลังประตูไม้บานสีเขียว ก่อนจะปิดประตูลงเขาเห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดลงที่บ้านหลังนั้น ประตูถูกเปิดออก  ก่อนก้อนขนปุกปุยสีน้ำตาลอ่อนจะกระโดดลงมาและวิ่งหายไปทันที เขาปิดประตูลงพลางเงี่ยหูฟังอีกครั้ง  ไม่มีเสียงเปียโนแว่วหวานนั้นแล้ว

**************************************

ปองยิ้มตอบเมื่อเห็นว่าเจ้าของบ้านยืนยิ้มร่าให้อยู่ที่ประตูโดยมีสุนัขพันธุ์โกลเดนรีทีฟเวอร์ร่างปุกปุยนัวเนียอยู่ใกล้ๆอย่างรักใคร่ ร่างสูงโปร่งนั้นยิ้มหวานพลางชวนเขาเข้าบ้าน  เมื่อเขาก้าวเข้าไปในบ้านเขาก็พบว่าบ้านนี้ตกแต่งอย่างน่าอยู่มากทีเดียว มองลึกเข้าไปเป็นครัวขนาดย่อมๆที่มีเคาเตอร์เหมาะสำหรับทำอาหาร  ห้องนั่งเล่นเล็กๆมีโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ตรงหน้ามีโซฟาท่าทางน่าสบายอยู่หน้าทีวี  ที่ตู้ใต้ทีวีมีเครื่องเพลย์สเตชั่นอยู่รวมทั้งสารพัดแผ่นเกมส์  แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือกำแพงด้านหลังมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่มากสองชั้นหนังสือทุกรูปแบบจัดเรียงตามตัวอักษรทำให้สีของหนังสือปะปนกันเป็นที่น่าดู  ที่ชั้นล่างๆของตู้มีกล่องอะไรบางอย่างเรียงเป็นตับ  ปองเดินเข้าไปเพ่งมองตัวหนังสือที่ข้างกล่องอย่างสนใจ มันคือหนังจีนกำลังภายในทั้งชุดมากมายหลายเรื่องเสียจนน่าปวดหัว  พิรุณาทันสังเกตเห็นท่าทางของปองก็หัวเราะแล้วส่งภาษามือให้

‘พอดีว่าชอบน่ะ  โม้ดี’ ปองหัวเราะ
‘ต้องสั่งทางเน็ตสินะครับ” พิรุณาพยักหน้าให้
‘เรียนเป็นอย่างไรบ้าง  สอนดีหรือเปล่า’ พิรุณาถามปอง  วันนี้เขาไปเรียนภาษามือ เรียกว่าเป็นการติวท่าจะดีกว่า  เพราะเขาเองก็พอมีพื้นฐานมาบ้าง

‘ดีครับ  สอนสนุกทีเดียว เรียนแล้วรู้สึกจำแม่นขึ้น’
‘เหลืออีกสามวันก็จบแล้วนี่  แล้วคุณปองจะมาพักกับผมไหม  ผมมีห้องพักว่างอีกสักสองห้องได้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน’
 
‘อย่าดีกว่าครับผมเกรงใจ อีกอย่างผมมีน้องสาวอีกคน จะปล่อยเธออยู่คนเดียวคงไม่ดี’ พิรุณาพยักหน้าเข้าใจ
‘ไม่เป็นไร  แต่ถ้าจะมาพักเมื่อไหร่ก็มาได้ทุกเมื่อนะ  ว่าแต่ชอบชอปปิ้งหรือเปล่า?’ ปองงง
‘หิวแล้วล่ะ  แต่ว่ายังไม่มีของสดในตู้เลย ก็เลยคิดว่าจะไปซื้อแต่ไปคนเดียวคงถือไม่ไหว เลยจะหาคนไปเป็นเพื่อน’ พิรุณายิ้มหวานให้ปอง จนใจอ่อนยอมไปด้วย

**************************************

      ซูปเปอร์มาร์เกตแหล่งที่ใกล้ที่สุดบัดนี้คนบางตาลงไปมากแล้ว  พิรุณาและปองเดินเลือกของกันอย่างเพลิดเพลิน  ปองทึ่งกับสิ่งที่พิรุณาหยิบใส่ตะกร้าแบบไม่ต้องคิดซ้ำ  เห็นตัวนิดเดียวแต่เท่าที่เห็นพิรุณาซื้อของกินเยอะมาก  ทั้งของสดของแห้งโดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่า ผมมันพวกอดอยาก  มีกินต้องรีบกิน  ในขณะเดียวกันพิรุณาก็ทึ่งในความสามารถในการเลือกของๆปองที่เลือกของดีๆทั้งนั้น

‘เหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่างนะ’ พิรุณาส่งภาษามือให้ปอง
‘ไม่ขาดแล้วมั้งครับ  เยอะขนาดนี้’ ปองพูดพลางเปลี่ยนขอจากตะกร้าใส่รถเข็นแทน
‘มันต้องขาดสิรู้สึกเหมือนยังไม่ครบน่ะ  รอเดี๋ยว’ พิรุณาหยิบสมุดจดเล่มเล็กที่มักพกติดตัวเสมอขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ตตัวสีน้ำตาลที่ใส่ประจำ แล้วพลิกไปสองสามหน้า  ก่อนจะเช็คของตามรายการที่เขาจดไว้

‘ขาดน้ำตาลน่ะ’
‘ผมเห็นอยู่มุมโน้น เดินเลยมาสองลอคน่ะครับ’
‘งั้นผมไปเอาเอง’ ปองมองตามร่างโปร่งบางนั้น ก่อนจะก้มลงหยิบตะกร้าอีกใบที่พิรุณาใส่ของไว้เต็มมาถ่ายของใส่รถเข็น


      พิรุณากำลังพยายามเลือกน้ำตาลแต่หลังจากพยายามอยู่นานก็ยังไม่สำเร็จ  เขาไม่แน่ใจนักว่าควรจะเอาอันไหนดี  น้ำตาลทรายธรรมดา  หรือว่าน้ำตาลทรายแดง   แต่จะว่าไปแล้วเขาก็ชอบน้ำตาลกรวดนะ   ระหว่างตัดสินใจนั้นพิรุณาไม่รู้เลยว่ากำลังทำตัวเกะกะคนอื่น   ร่างสูงใหญ่ที่สูงกว่าเขาตั้งเกือบหนึ่งช่วงศีรษะ พึมพำขอโทษจากด้านหลังก่อนจะเอื้อมมือใหญ่ไปหยิบถุงน้ำตาลที่อยู่สูงสุดของชั้น พิรุณาตกใจสะดุ้งแทบสุดตัวก่อนจะหันไปนึกสบถอยู่ในใจยาวเหยียด แต่ทันทีที่เห็นหน้าคนที่เขานึกแช่งชักหักกระดูกในใจ เขาก็ต้องกลืนถ้อยคำเหล่านั้นดังเอื๊อกลงคอ  ใบหน้าคมสันของธีรธร ที่คุ้นตาที่สุดปรากฏแก่สายตา  คิ้วเข้มๆคู่นั้นขมวดเข้าหากันแทบจะผูกเป็นโบว์  ริมฝีปากนั้นขยับเหมือนจะพูดบางอย่าง เส้นผมที่เคยเสยขึ้นเวลาไปทำงานนั้น บัดนี้กลับลงมาปรกที่ใบหน้าโดยเจ้าตัวพยายามปัดไปข้างๆทำให้ดูดีไปอีกแบบ  พิรุณากระพริบตาถี่ๆพยายามไล่เรียงความคิดใหม่ ก่อนจะได้สติรีบทิ้งทุกอย่างแล้วพยายามจะเดินหนีไป แต่มือใหญ่ๆนั่นก็คว้าตัวไว้

“เดี๋ยว  จะรีบไปไหนล่ะ”นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงของคนตัวเล็กกว่าวาวโรจน์พลางพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม  ธีรธรยิ่งจับข้อมือบางนั้นแรงขึ้น แล้วสาวเท้าต้อนไปยังมุมติดกับลอควางน้ำตาล ก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างกันคนตัวเล็กไว้ไม่ให้หนี  พิรุณาอึกอักพยายามหาทางหนี

“อย่าหนีเลยน่า  ไม่มีทางซะหรอก” ธีรธรเห็นท่าทางตื่นๆของพิรุณาแล้วนึกอยากแกล้ง
“บอสครับ” ปองผู้ช่วยชีวิตเรียกบอสของเขา 

    หลังจากสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่งแล้วเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแสดงตัว เพราะเขารับรองได้ว่าถ้ามาช้ากว่านี้ล่ะก็พิรุณาสู้ยิบตาแน่ และแน่นอนเขาจำรอยช้ำขนาดใหญ่ที่หน้าบอสหนุ่มเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนได้  แต่ดูเหมือนว่าการเรียกบอสของเขาเป็นการให้สัญญาณหนีแก่พิรุณา  หน้าผากเนียนใสของคนตัวเล็กกว่ากระแทกเข้าใส่หน้าธีรธรแบบเต็มรัก ทั้งสองต่างยกมือขึ้นกุมส่วนที่เจ็บแทบจะพร้อมๆกัน  ปองไม่อาจทำอะไรได้อีกนอกจาก.....ขำ

“หัวเราะอะไรคุณปอง!” บอสหนุ่มแทบจะตวาดแห้วใส่อดีตโฮสต์หนุ่มที่ขณะนี้ หัวเราะจนแทบลงไปกองกับพื้น
“ชามู   ชามูชัดๆ!” 
“ฮ๊ะ  ว่าอะไรนะ?”ธีรธรได้ยินสิ่งที่ปองพึมพำ พยายามนึกทบทวนว่าเจ้าของชื่อชามูนี้คืออะไร (*ปลาวาฬเพชรฆาต ดาวเด่นของซีเวิร์ล ที่ออแลนโด้  ฟลอริด้า  สหรัฐอเมริกา)

“ปลาวาฬงั้นหรอ” ธีรธรกลั้นหัวเราะไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง  อย่างที่น้อยคนนักจะเคยได้ยิน ในขณะที่พิรุณายังคงเอามือถูตรงที่โหม่งเข้าเต็มๆ มองคนทั้งสองที่หัวเราะงอหายด้วยตาเขียวปั๊ด

‘หัวเราะกันเข้าไป  ไว้เป็นตัวเองบ้างเหอะแล้วจะรู้สึก’ พิรุณาส่งภาษามืออย่างฉุนจัดก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไป  ปองบุ้ยใบ้ให้ธีรธร

“รีบตามไปสิครับ  เดี๋ยวก็งอนป่องกลับซีเวิลด์หรอก”ธีรธรได้ฟังก็ยิ้มก่อนจะรีบตาม ‘ชามูพิรุณา’ ออกไป

**************************************

      ‘ชามูพิรุณา’ ทำหน้ากระเง้ากระงอดนั่งอยู่เบาะหน้าคู่กับธีรธรจนถึงบ้าน เขาอาสาไปส่งปองและพิรุณา  ด้วยข้ออ้างว่า ของเยอะ...ถือกันไม่ไหวหรอก  ปองเองก็ทำท่าเป็นคนอ่อนแรงถือนั่นก็ไม่ไหวถือนี่ก็ไม่ไหวขึ้นมาทันที  พอพิรุณาใจอ่อนมาขึ้นรถคันหรู พอจะไปนั่งเบาะหลังปองก็ขัดขึ้น  เดี๋ยวผมนั่งดูของให้ครับ  ไปนั่งเบาะหน้าสบายๆดีกว่า พอพิรุณาเถียงว่าของเอาไว้ท้ายรถก็ได้  ปองก็รีบโต้ทันทีว่า เดี๋ยวไข่มันจะแตกเลอะรถบอสนะครับ  ผมเกรงใจไม่อยากจ่ายค่าทำความสะอาด  รถยุโรปคันหรูจอดสนิทริมทางเท้า ธีรธรมองบ้านของพิรุณาอย่างทึ่งๆ ไม่ใช่เพราะมันสวย แต่เพราะมันติดกับบ้านเขานี่เอง!

“ที่แท้ก็อยู่ข้างบ้านนี่เอง”ธีรธรพึมพำ แต่ก็ดังพอให้ปองได้ยิน
“บอสว่าอะไรนะครับ”  ธีรธรไม่ตอบ  สายตาเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนกดออดอยู่บ้านเขา  เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเปิดรับจึงเดินลงบันไดหินขั้นเตี้ยๆลงมา พลางกดโทรศัพท์มือถือ  มือถือของบอสหนุ่มสั่นจนพิรุณารู้สึกได้  มือบางๆตบบนบ่าคนตัวใหญ่กว่าค่อนข้างแรงแล้วชี้ไปที่โทรศัพท์ ธีรธรหยิบโทรศัพท์กดรับ

“บอสคะ  ลีเอาเอกสารมาให้ค่ะ  เเต่บอสไม่อยู่บ้านจะให้ลีเอากลับไปก่อนๆไหมคะ?”
“ผมอยู่หน้าบ้านคุณรอหยุดเดินก่อน   หยุดๆๆ”ผู้หญิงคนที่เดินคุยโทรศัพท์หยุดเดินทันทีด้วยท่าทางงง ธีรธรก้าวลงจากรถ โบกมือน้อยๆให้เลขาสาว  ก่อนจะเปิดประตูหลังช่วยถือของที่ค่อนข้างหนัก  ขณะเดียวกันทั้งปองและพิรุณาก็ต่างลงจากรถแล้วช่วยกันถือข้าวของ เตรียมขนเข้าบ้าน

“อ้าวคุณลี”ปองร้องทักทันทีที่เห็นผู้หญิงคนเมื่อครู่ชัดๆ
“คุณปอง  มาทำอะไรแถวนี้คะ  หรือว่ามาหาบอส อ้าว!นั่นคุณพิรุณา”พิรุณารับการทักทายจากเลขาสาวอย่างงงๆ
“เปล่าครับ  บอสมาส่งผมกับคุณพิรุณาต่างหาก”ปองและลีแอนต่างมองกันงงๆ 
“ผมว่าขนของเข้าบ้านก่อนเถอะ  หนัก” ธีรธรบอกพลางส่งสายตาไปให้พิรุณา  พิรุณาทำได้แต่เพียงพยักหน้าน้อยๆเหมือนจำใจ ก่อนจะเดินนำเข้าบ้าน


“บ้านสวยจังนะคะ”ทันทีที่ลีแอนเข้ามาในบ้านของพิรุณาเธอก็ถึงกับต้องอุทานออกมา ปองแปลให้พลางยิ้มน้อยๆ

“คุณพิรุณาบอกว่า ขอบคุณครับ  แต่ว่าไม่ได้เป็นคนแต่งบ้านเอง ให้เพื่อนมาจัดการให้” ธีรธรคิดตาม เพื่อน....ใคร?     พิรุณาส่งภาษามือให้ปองก่อนปองจะพยักหน้าแล้วแปลให้

“คุณพิรุณาอยากเชิญคุณลีอยู่ทานข้าวด้วยกันจะได้ไหมครับ?” ลีแอนยิ้มกว้าง ตกปากรับคำแต่ก็นึกขึ้นได้
“แล้วบอสล่ะคะ”ปองรีบทวงถามกับพิรุณา คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ขำ
“คุณพิรุณาบอกว่า ก็ให้เขากลับไปกินข้าวบ้านเขาสิ”ธีรธรได้ฟังก็ถึงกับฉุน
“คุณทำร้ายร่างกายผมนะ  ไม่คิดจะจ่ายค่าเสียหายหรือไง” พิรุณาจำใจต้องยอม เพราะรอยแดงๆบนหน้าผากของคนตัวโตกว่าแม้จะจางลงแล้วแต่ก็ยังแดงอยู่ จึงต้องยอมตกลง แล้วส่งภาษามือให้ปอง ก่อนจะหายตัวไปอยู่ในครัวเริ่มลงมือทำอาหารเย็นสำหรับสี่ที่

“จะให้ฉันช่วยไหมคะ?” ลีแอนเสนอตัว เธอไม่ค่อยเชื่อใจนักว่าผู้ชายจะทำอาหารให้ทานได้ ดูอย่างสามีเธอที่บ้านสิ

“ไม่ต้องหรอกครับแค่ผมกับคุณพิรุณาก็พอ  คุณลีกับบอสคุยงานกันดีกว่านะครับ” ปองกล่าวก่อนจะหายไปอยู่ในครัวเสียอีกคน  ธีรธรทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ชมห้องนั่งเล่นนั้นอย่างสบายอารมณ์ 

“บอสคะ  ลีเอาเอกสารที่บอสโทรไปทวงว่าให้เอามาให้ ‘ด่วน’ มาให้แล้วค่ะ” เลขาสาวบอกด้วยเสียงที่ฟังดูโหดกว่าปรกติ  รู้สึกว่าตั้งแต่บอสรู้จักกับคุณพิรุณาก็เปลี่ยนไป  จากที่เคยมีแต่งาน งาน และงาน  วินัยการทำงานเป็นเยี่ยม  เขร่งขรึม  ยิ้มยาก  ตอนนี้กลายเป็นทำตัวเป็นเด็กๆไปเสียแล้ว


      ธีรธรยอมนั่งลงคุยงานกับเลขาสาวแต่โดยดี หลังจากถูกขู่ไปก็หลายหน  เขากำลังเซนต์เอกสารบางอย่างอยู่ที่ชุดรับแขกที่แสนจะสบายกับคุณลี  เลขาสาวอธิบายข้อข้องใจให้บอสของเธอพลางลูบหัวลูบหางสุนัขพันธุ์โกเด้นรีทีฟเวอร์ที่เอาคางวางบนเข่าเธออย่างเอ็นดู  เสียงสัญญาณบางอย่างร้องอยู่ไกลๆทำให้มันผงกหัวขึ้นก่อนจะไปหายเข้าไปในครัว  และกลับมาอีกครั้งพร้อมกับพิรุณาในชุดผ้ากันเปื้อนที่ถูกมันคาบที่ข้อมือ ธีรธรมองสีหน้ายุ่งๆของพิรุณาก่อนจะมองเจ้าหมาที่ดูจะมีความพยายามดีเหลือเกินในการพาเจ้านายของมันไปไหนสักแห่งในบ้าน  แล้วพิรุณาเดินหายครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมกับแฟกซ์ที่ยาวเป็นหางว่าว  ธีรธรมองภาพที่เกิดขึ้นแล้วเอ่ยกับเลขาสาว

“เขาว่าหมากับเจ้าของมีอะไรคล้ายๆกัน” ลีแอนมองตามหลังพิรุณาเข้าไปในครัวอีกครั้ง
“เหมือนๆกันกับโซลเมตละมังคะที่คนเขาว่ามักหน้าตาคล้ายๆกัน”
.
.
.
.
“อาหารเสร็จแล้วครับ”ปองเยี่ยมหน้าออกมาจากในครัว รอให้คนทั้งคู่เดินตามมา

      อาหารท่าทางน่าทานถูกจัดวางบนโต๊ะทานอาหารที่ค่อนข้างเล็กที่ละอย่างๆ  กลิ่นหอมชวนน้ำลายหกโชยมาแตะจมูกเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ร้องครวญคราง ไม่ใช่แค่ธีรธรและลีแอนเท่านั้น ยังมีอีกชีวิตที่ดูจะทนไม่ไหวกันกลิ่นอันรัญจวนใจนี้  เจ้าหมากระดิกหางฟาดทุกอย่างที่ขวางหน้า พลางส่งสายตาเชื่อมหวานให้พิรุณาและปองทุกครั้งที่เดินผ่านมัน ลิ้นสีชมพูเลียปากอยู่หลายครั้งจนลีแอนนึกสงสาร และธีรธรอดขันไม่ได้กับท่าทางนั้น

“น้ำลายหกแล้วเจ้าหมา”ธีรธรพึมพำ ก่อนจะแอบหยิบหมูชิ้นเล็กๆจากจานอาหารโยนให้เจ้าหมาที่รับได้อย่างแม่นยำราวกับเป็นแคชเชอร์มือดี  เขาแอบหัวเราะชอบใจ

“อีกชิ้นๆ”มือใหญ่แอบหยิบหมูชิ้นเล็กตั้งท่าเตรียมโยนอีก เจ้าหมาหูตั้งเลียปากรอรับเต็มที่  แต่ยังไม่ทันได้โยนเสียงเพียะ!! ก็ดังขึ้น  ทุกคนหยุดกิจกรรมต่างๆที่ทำหันมามองพิรุณาและธีรธรเป็นตาเดียว  พิรุณาส่งภาษามือใส่ธีรธรเป็นชุด

“คุณพิรุณาบอกว่า อย่าแอบให้ของกินเดี๋ยวมันจะเสียนิสัยนะครับ  แล้วก็จะอ้วนด้วย ” ปองอธิบายยิ้มๆ  พิรุณานั่งลงประจำที่พลางส่งสายตาหงุดหงิดใส่ธีรธร

“ทานกันเถอะครับ” ลีแอนและปองเริ่มสวดภาวนาก่อนจะรับประทานอาหาร  ธีรธรและพิรุณาได้แต่นั่งมองหน้ากันรอคนทั้งสอง

“คุณไม่ได้นับถือคริสต์หรอกหรอ?”ธีรธรถามโดยมีปองเป็นล่ามแปลให้หลังจากที่ปองเสร็จกิจกรรมดังกล่าวแล้ว
“จริงๆแล้วควรจะเรียกได้ว่าไม่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งน่าจะถูกกว่า สรุปง่ายๆก็คือนับถือครับ  แต่นับถือหลายศาสนาพร้อมๆกัน” 

“เดี๋ยวนี้คนอเมริกันส่วนใหญ่ก็ไม่นับถือศาสนากันแล้วนะคะ  อาจเป็นเพราะสภาพสังคมในปัจจุบันก็ได้ก็เลยไม่ค่อยศรัทธาในศาสนาอะไรอีก”ลีแอนเสนอความคิดเห็นพลางตักกับข้าวใส่จาน

“ของผมกับคุณพิรุณาเหมือนกันครับ  เป็นเพราะสภาพการเลี้ยงดูตอนเด็กๆก็เลยเป็นแบบนี้”
.
.
.
.
.

“อาหารอร่อยจังค่ะ  ไม่น่าเชื่อนะคะว่าผู้ชายจะทำอาหารได้อร่อยถึงขนาดนี้”
“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะครับ”ปองถามยิ้มๆอย่างที่มักทำเสมอ เลขาสาวยิ้มตอบอย่างมีความสุขกับอาหารตรงหน้า

“ก็ดูอย่างสามีลีที่บ้านสิคะ  ทำอะไรถ้าทานได้ละก็เป็นของแปลกเลยล่ะค่ะ”เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นประสานกัน  และยังคงดังต่อเนื่องต่อไปอีกนานกว่าชั่วโมงก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันกลับโดยธีรธรอาสาขับรถไปส่งเลขาสาวและปอง

**************************************


      ปองเดินขึ้นบันไดแฟลตของตัวเองอย่างเลื่อนลอย  ความสุขสนุกสนานเมื่อหัวค่ำพลันมลายหายไปสิ้นหลังจากรับโทรศัพท์สายหนึ่งจากโรงพยาบาล  พลางหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าตัวเอง  เสียงกรุ๊งกริ๊งของลูกกุญแจกระทบกันดังไปตลอดทางเดินที่สลัวๆด้วยแสงไฟไม่กี่ดวงจนถึงหน้าห้อง  บัดนี้แฟลตทั้งชั้นเงียบสงบราวกับไม่มีคนอยู่  ปองไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป  ทันทีที่เขาจะปิดประตูมือใหญ่ของใครบางคนก็จับประตูไว้พลางออกแรงดันไม่ให้ปิด  ปองตกใจพยายามกระแทกประตูให้ปิดด้วยแรงทั้งหมดที่มี  แต่ก็ดูเหมือนว่าแรงของเขาจะไม่อาจสู้แรงที่ดันประตูอยู่อีกฟากได้

“ปอง! เราต้องคุยกันนะ”เสียงห้าวๆของคนที่อยู่อีกฟากประตูร้องบอก ปองส่ายศีรษะแรงๆน้ำตารื้นขึ้นในทันที
“ยังจะต้องคุยอะไรอีก! คุณออกไปจากชีวิตผมแล้วนี่!”
“ปองฟังก่อน”เสียงนั้นบอกอย่างนุ่มนวล หวังเพียงว่าปองจะใจอ่อนเลิกดึงดันเสียที
“คุณคิดว่าผมฟังมาไม่มากพอหรือไง  พอเสียที! ผมไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว  ผมเสียอะไรๆไปมากมายแล้ว และกำลังจะเสียน้องสาวผมไปอีกคน ก็เพราะการฟังคำบ้าๆของคุณไงล่ะ” ปองปล่อยประตูอย่างหมดเรี่ยวแรง ในขณะเดียวกันคนที่อยู่ข้างนอกนั่นก็หยุดออกแรงใดๆเช่นกัน

“ปองว่าอะไรนะ?”เสียงห้าวที่ฟังแหบระโหยถามแต่ ไม่มีเสียงตอบจากคนที่ถูกถามจน  คนข้างนอกตัดสินใจผลักประตูให้เปิดก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง  เขาเห็นคนที่เขาอยากพบหน้าที่สุดยืนอยู่ตรงหน้า ห่อไหล่ลงราวหนาวจัด  น้ำตาไหลอาบแก้มเนียนทั้งสอง

“ปองว่าอะไรนะ?”ชายร่างสูงผมสีน้ำตาลทองในสูทเรียบสนิทสีกรมท่าก้าวเข้าใกล้ปอง  นัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องมองร่างบางๆที่กำลังสั่นด้วยอาการสะอื้น

“หมอกำลังจะลงความเห็นว่าน้องของผมสมองตาย”เสียงตอบของปองที่เบาราวกับกระซิบหากแทงเข้าไปในหัวใจคนฟัง 

“สมองตาย...เพราะผมสินะ”ชายร่างสูงได้แต่พึมพำกับตนเอง  ปองเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า ดวงตาฉายแววแห่งความรวดร้าว

“ใช่  คุณกลับไปเสียเถอะ”ปองพูดพลางปาดน้ำตาทิ้งไปแล้วเปิดประตูให้ชายคนนั้นออกไป  ก่อนจะปิดประตูลงอีกครั้งเขาพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังไปกว่ากระซิบ

“อย่าให้ผมรู้อีกว่าคุณออกค่ารักษาพยาบาลน้องผม เงินส่วนที่จ่ายไปแล้วผมจะโอนคืนให้”ประตูปิดลงแล้วโดยที่ชายร่างสูงคนนั้นยังคงยืนจ้องมองประตูบานนั้นอย่างเหม่อลอย รู้สึกเสียใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ รอยยิ้มของปองที่มอบให้แก่เขาเริ่มจางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ....คงจะตั้งแต่รู้จักเขาเมื่อสี่ปีก่อนสินะ

**************************************

      พิรุณาเปิดประตูรับปองเช่นทุกครั้งที่ปองมาที่บ้านมันเหมือนกับมีประสาทสัมผัสบางอย่างแม้หูของพิรุณาจะไม่ได้ยินเสียงออด  แต่เขามักรู้สึกได้ว่ามีคนมาซึ่งนั่นไม่รวมการมีผู้ช่วยเป็นเจ้าหมาโกลเด้นฯที่ถูกฝึกมาให้ช่วยเหลือผู้พิการทางหูโดยเฉพาะ  พิรุณายิ้มกว้างอย่างที่เคยทุกครั้ง แต่วันนี้ปองแปลกไปไม่ได้แลกยิ้มกันเหมือนเก่า พิรุณาเห็นดวงตาคู่สวยที่มีร่องรอยแห่งความเศร้าหมองอย่างปิดไม่มิด เขาอ้าแขนกว้างรับปองไว้ในอ้อมกอดอย่างปลอบโยนพลางโยกตัวน้อยๆเหมือนปลอบเด็กตัวเล็กๆ  กลิ่นจางๆของน้ำยาฆ่าเชื้อลอยมาแตะจมูกเช่นทุกครั้งที่กอดปอง พิรุณารู้ว่าปองไปโรงพยาบาลมาบ่อยๆเพราะกลิ่นมักติดตามเสื้อผ้าเสมอ แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าไปทำไม

‘เข้ามาก่อนสิ’ พิรุณาส่งภาษามือให้ปองก่อนจะปาดน้ำตาที่ร่วงรินให้อย่างเบามือ   แล้วพาเข้าบ้าน.
‘นั่งก่อนเถอะ  อยากดื่มอะไรอุ่นๆหน่อยไหม?’ ปองส่ายหน้าช้าๆ พิรุณาถอนหายใจแล้วนั่งลงข้างๆปอง  จ้องมองดวงหน้าเนียนละเอียดนั้นอยู่ครู่หนึ่ง

‘รู้ไหมว่าทำไมพระเอกหนังกำลังภายในยิ่งเล่นยิ่งตัวดำ’ ปองมองพิรุณาอย่างงงๆ ก่อนจะส่ายศีรษะช้าๆ
‘ เพราะต้องคอยคิดหาทางหนีทีไล่ไม่ให้รถไฟชนกันไง ผู้ชายคนเดียวคนจ่อคิวจะเป็นนางเอกเพียบ พอยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดหน้าก็เลยหมอง  พอหมองแล้วก็เลยดำ’ ปองแอบยิ้มทั้งที่เพิ่งจะเอามือปาดน้ำตาไปหยกๆ

‘ไม่เห็นจะตลกเลยนี่ครับ’
‘ถึงจะไม่ตลกแต่คุณปองก็แอบยิ้มใช้ไหมล่ะ  มานี่สิ’พิรุณาจูงมือปองเดินเข้าใกล้ชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่เข้าทึ่งทุกครั้งที่ได้เห็น หนังสือบางเล่มดูจะขยับไปจากที่เดิมบ้างเล็กน้อย  พิรุณาเลื่อนตู้ฝั่งขวาออก เผยให้เห็นทางเดินของอีกส่วนหนึ่งของบ้าน ที่แท้ก็เป็นประตูด้วยนี่เองมิน่าถึงว่าบ้านแคบๆ พิรุณาพาปองเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่ทั้งห้องเป็นสีขาวโพลนไปหมดโดยปราศจากเฟอร์นิเจอร์ใดๆอีก  กลางห้องคือแกรนด์เปียโนสีดำมันวับ พิรุณาเดินตรงไปที่เก้าอี้ไม้บุหนังสีดำเข้ากับเปียโน เขาดึงเบาะนั่งขึ้นหยิบบางอย่างออกมาพร้อมกับโน้ตเพลงปึกหนึ่งที่แต่ละเพลงโน้ตแต่ละแผ่นถูกต่อเรียงหน้าแล้วแปะด้วยเทปใสออกมา

‘นั่งสิ’พิรุณาตบลงที่นั่งข้างตัวที่พิรุณานั่งเพียงครึ่งเดียวของเก้าอี้ไม่มีพนักนั้น
‘โชว์พิเศษสำหรับคุณปองนะ ผมจะซ้อมเพลงที่ต้องขึ้นคอนเสิร์ตเร็วๆนี้ให้ฟัง ถ้าจะให้ดีก็เปลี่ยนหน้าให้ด้วย’พิรุณาวางโน้ตลงบนชั้นวาง

‘ผมอ่านโน้ตไม่เป็นหรอกครับ’
‘ไม่เป็นไร หลับตาลงแล้วเป็นกำลังใจให้ก็พอแล้ว’

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #41 เมื่อ19-11-2007 12:35:11 »

 :undecided: :undecided: :undecided: :undecided: :undecided:


 :a3: :a3: :a3: :a3: :a3:

satan666

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #42 เมื่อ19-11-2007 19:51:09 »

มาอ่านแล้วค่า คนโพสอย่าเพิ่งน้อยใจน๊า :m1:

อยากรู้แล้วสิ ว่าอดีตที่แสนเจ็บปวดของปองเป็นยังไง

แต่พิรุณาน่ารักจริงๆอ่ะ สมเป็นนายเอกจริงๆ :m3:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #43 เมื่อ20-11-2007 00:13:02 »

น่าสงสารปองจังเลย
แต่จริงๆอาจไม่ใช่ความผิดของเคนหรือปล่าว
 :m15: :m15: :m15:

แล้วสวรรค์ก็ดลบันดาลมาให้บ้านติดกัน
 :m3: :m3: :m3:


ออฟไลน์ ErosAmor

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 851
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #44 เมื่อ20-11-2007 00:35:08 »

อ่านอยู่ในเด็กดีเเล้ว แต่ไม่มาต่ออ่า

รออ่านที่บอร์ดนี้ดีกว่า  :m18:


three

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #45 เมื่อ20-11-2007 11:45:32 »

ขอบคุณนะครับ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #46 เมื่อ20-11-2007 20:14:54 »

อยู่บ้านติดกันซะด้วย  พรหมลิขิตจริงๆ   :m1:
รักแบบชามูๆ  น่ารักจริงๆ 555

ปองมีอดีตอะไรเนี่ย  อืมมม   

รออ่านต่ออยู่น้า  เป็นกำลังใจให้คนโพสแล้วก็คนแต่งจ้า  สู้ๆ รออยู่ๆ  :a2:  :a2:

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #47 เมื่อ20-11-2007 23:03:41 »

ขอบคุณทุกคนนะครับที่มาให้กำลังใจและ Reply กัน รักทุกคนจังครับ  :m2:

 :m1: :m1: :m1: :m3: :m3:
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
      พิรุณาใส่อุปกรณ์บางอย่างที่หูทั้งสองข้างก่อนจะหยิบเครื่องบางอย่างลักษณะแปลกๆขึ้นมาไขลาน  ที่หน้าปัดของมันมีเข็มอยู่  ข้างล่างของเข็มเหมือนมีตุ้มน้ำหนักถ่วงอยู่ และถัดขึ้นมาจากจุดที่ยึดเข็มไว้มีอีกอันหนึ่งที่สามารถเลื่อนไปตามเลขต่างๆที่บอกไว้ที่หน้าปัด เมื่อพิรุณาวางมันลงที่พื้นที่วางด้านขวามือมันก็เริ่มกระดิกพร้อมกับส่งเสียงติ๊กๆเป็นจังหวะสม่ำเสมอ   นิ้วเรียวที่ปลายนิ้วค่อนข้างป้านโดยเล็บถูกตัดสั้นดูสะอาดสะอ้านกดลงบนคีย์อย่างนุ่มนวลทำให้เสียงที่ดังขึ้นจากการที่ค้อนไม้เล็กๆดีดตัวนุ่มนวลไปด้วย  บทเพลงบรรเลงแว่วหวานอันเป็นแนวเพลงที่พิรุณาชอบบรรเลงดังขึ้นอย่างแผ่วเบาราวเสียงกระซิบก่อนจะดังขึ้นและเบาลงสลับกัน  ปองหลับตาเริ่มพาอารมณ์ตนเองให้คล้อยตามเสียงเพลงไปจวบจนเพลงนั้นบรรเลงจบ เสียงติ๊กๆของเครื่องรูปทรงแปลกๆหยุดไปแล้วแสดงถึงว่าลานที่ไขไว้หมดลงไปตั้งแต่เมื่อใดก็มิอาจทราบ   เสียงเพลงอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นทำนองอ้อยอิ่ง ฟังแล้วเศร้าสร้อย และยังคงรักษาท่วงทำนองนั้นไว้จนจะขึ้นท่อนถัดไป  เสียงเบสต่ำๆทำนองสั้นๆครางอย่างแผ่วเบา ก่อนเมโลดีจากมือขวาที่กระชั้นไม่แพ้กันดังขึ้น และยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆจนถึงที่สุดจึงค่อยผ่อนคลายลง ก่อนจะเปลี่ยนกลับมายังเมโลดีแบบเดิม หากแต่ครั้งนี้ฟังดูพริ้วไหวกว่าเดิมมาก  และแฝงความหวานซึ้งเอาไว้แต่ก็ไม่ลืมท่วงทำนองกระชั้นอย่างท่อนกลางของเพลงก่อนจะจบลงด้วยเสียงโน้ตสูงๆที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆจนหรี่ดับลง

      ตลอดเวลาที่ปองฟังเพลงเหล่านั้นเขานึกหวนถึงอดีตเรื่องที่แล้วๆมาตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนจนถึงปัจจุบันน่าแปลกที่บทเพลงเหล่านั้นช่างตรงกับความทรงจำของเขามาก ความทุกข์ในใจก็ดูเหมือนจะค่อยๆละลายลงช้าๆ ความอึดอัดคับแน่นในอกก็ค่อยๆจางหายไปเช่นกัน และรู้สึก ‘พร้อม’ ต่อบางสิ่งมากขึ้น   ปองลืมตาขึ้นช้าๆหลังจากเพลงจบเขาหันไปมองผู้บรรเลงเพลง ดวงหน้าขาวนวลนั้นมีเม็ดเหงื่อผุดพรายโดยที่ปลายจมูกมีเหงื่อที่พร้อมจะหยดลงได้ทุกเมื่อ  พิรุณาไม่ได้รู้สึกเลยว่าขณะนี้เขามีสภาพเช่นนี้มือขาวๆนั้นยังคงไล้ไปตามคีย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดวงตาคู่สวยนั้นแสดงอาการว่าขณะนี้ได้เข้าถึงสมาธิที่แน่วนิ่งที่สุดแล้ว ปองมองคนที่นั่งข้างๆอย่างชื่นชม และรอจนบรรเลงจบจึงจับมือขาวนั้นไว้

‘พอก่อนดีไหมครับ?’ ปองส่งภาษามือให้ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนขาวสะอาดตาขึ้นซับหน้าให้อย่างเบามือ
‘สบายใจขึ้นหรือยัง?’ ปองพยักหน้าให้น้อยๆพลางยิ้มนิดๆ   
‘ขอบคุณมากครับ  ตอนนี้ผมสบายใจขึ้นมากแล้ว ผมอยากเล่าให้คุณพิรุณาฟัง’ พิรุณาพยักหน้ารับรู้  ดวงตาคู่สวยฉายแววแห่งความมั่นคงแห่งจิตใจ  ปองสบตาคู่นั้นแล้วรู้สึกอุ่นใจและมั่นใจอยู่ลึกๆว่าพิรุณาจะเป็นหลักให้เขาพักพิงได้ในยามนี้...ยามที่หัวใจนั้นอ่อนแอยิ่งนัก 

**************************************

      เมื่อสี่ปีก่อนปองเป็นโฮสต์ที่เริ่มมีชื่อเสียงแล้ว  วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกโปรยปรายทั้งๆที่เมื่อเช้าอากาศยังแจ่มใสราวกับฤดูร้อน  ปองวิ่งมาหลบฝนอยู่ใต้ชายคาของร้านแห่งหนึ่งในย่านเมืองเก่า ที่นั่นมีคนอีกคนหนึ่งที่หลบฝนอยู่ก่อนแล้ว  ชายร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าจางๆเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนๆมีละอองน้ำจับพราว  ชายคนนั้นมองมาที่ปองแล้วส่งยิ้มน้อยๆเพียงที่มุมปากเท่านั้น  ปองจึงยิ้มตอบเช่นทุกครั้งที่มีคนส่งยิ้มให้  ชายคนนั้นเปิดกระเป๋าเอกสารของตนออกดูว่าเอกสารภายในเปียกหรือไม่ เมื่อเห็นว่าเอกสารทุกชิ้นปลอดภัยดีจึงเก็บและรูดซิบไปไว้ตามเดิม ปองล้วงมือถือขึ้นมาโทรหาน้องสาวที่ป่านนี้คงรออยู่ที่บ้าน

“พี่กลับช้านะ  ติดฝนน่ะ  เราจะกินข้าวเที่ยงไปก่อนเลยก็ได้ไม่ต้องหิ้วท้องรอหรอก”ปองบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนนัก จนชายอีกคนหันมามองอย่างสนใจ

“ได้  จะเอาขนมไหมล่ะ เดี๋ยวผ่านจะได้ซื้อฝาก” ปองส่งเสียงอืออออีกครู่หนึ่งก่อนจะวางสาย  แล้วรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจ้องมอง จึงหันไปช้าๆแล้วฉาบยิ้มบางๆที่มุมปาก  ชายคนนั้นรู้สึกตัวว่าตนเสียมารยาทจึงรีบเอ่ยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเป็นการแก้เก้อ

“เมื่อเช้าอากาศดีมากเลยนะครับ  ไม่นึกว่าฝนจะตก” เสียงนุ่มทุ้มกล่าวเรื่องดินฟ้าอากาศพลางเกาแก้มอย่างเขินๆทำให้ปองรู้สึกดี

“นั่นสิครับ  เมื่อเช้าฟ้ายังใสอยู่แท้ๆ”
“ตกอย่างนี้ คงอีกนานกว่าจะหยุดละมั้งครับ  ผมพอรู้จักร้านที่พอนั่งได้แถวนี้ ไปหลบฝนที่นั่นกันดีกว่าครับ  ผมกลัวงานจะเปียก”ปองพยักหน้า แล้วส่งยิ้มให้เช่นเคย แล้วออกเดินลัดเลาะชายคาตามชายร่างสูงๆคนนั้นไป


      ปองได้ทราบว่าเพื่อนใหม่คนนี้ชื่อวิลเลียม  ทีวซ์  เขาขอให้ปองเรียกเขาแค่สั้นๆว่า ‘วิล’ วิลเป็นคนอังกฤษ  นิสัยคุยสนุกน่าคบ เพราะคนทั้งคู่มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายๆกัน  ไม่ว่าเป็นรสนิยม หรือแม้แต่นิสัยใจคอบางอย่าง  ปองจึงยินดีที่ได้พบเขา  และยังคงติดต่อเรื่อยมา วิลเป็นสถาปนิกหนุ่มของบริษัทแห่งหนึ่งเขาเป็นคนใจคอกว้าง ปองจำได้ว่าครั้งนั้นที่เล่าถึงอาชีพของตน เขากลัววิลจะรังเกียจจึงอึกอักอยู่พักใหญ่  จนในที่สุดก็ตัดสินใจว่าควรจะบอกให้ทราบ คิดเสียว่าเตือนเขาเสียก่อนจะ ‘ถลำ’ไปกว่านี้  ถ้าเขาไม่พอใจก็ปล่อยเขาไปเสีย  แต่ถ้าไม่ว่าอะไรก็คบหากันได้ต่อไป  ภาพวิลวันนั้นยังตราตรึง เขาเพียงทำตาโตแล้วหยอกล้อเท่านั้นว่าปองดูเหมือนเป็นคุณหนูบ้านไหนเสียมากกว่าโฮสต์ 


      วิลไม่เคยเล่าให้ปองฟังเลยว่ามีน้องชายฝาแฝดที่เหมือนกันมาก  จนวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผล หลังจากที่ปองเริ่มคบหากับวิลลึกซึ้งเกินกว่าเพื่อนธรรมดา น้องชายฝาแฝดของเขาก็โผล่เข้ามาในชีวิต  ดวงหน้าที่เหมือนกันนั้นแม้หลายคนจะแยกไม่ออกว่าคนไหนเป็นพี่คนไหนเป็นน้อง  แต่ปองแยกออกได้เสมอรู้เพียงแต่ว่า คนที่มีสายตาอบอุ่นนั้นเป็นวิล  ส่วนอีกคนนั้นแทบไม่อยู่ในสายตาปองเสียด้วยซ้ำ  แต่ปองเองก็รู้สึกอยู่แก่ใจว่า ‘พีท’ ออกจะขัดตาปอง มันเป็นเพียงความรู้สึกเพียงเล็กน้อยที่ส่งเสียงเตือนภัยแก่เขาเบาๆโดยไม่ได้รับความสนใจอะไรเป็นพิเศษ   ในค่ำวันหนึ่งที่ปองอยู่กับวิลเพียงลำพังในบ้าน มันเป็นวันหยุดของปอง  ปองมีสิ่งติดค้างในใจอยากจะพูดกับวิล

“วิล ผมควรจะลาออกจากการเป็นโฮสต์ไหม?” ปองที่กึ่งนั่งกึ่งนอนเอาศีรษะซึ่งปกคลุมไปด้วยผมสีดำสนิทดกหนาวางบนท่อนแขนแข็งแรงของวิล

“มันก็แล้วแต่ปองนะ ผมยังไงก็ได้  เพราะผมรู้ว่าปองยังไม่ถูกใครแตะต้อง บอสของคุณวางกฎไว้ว่าโฮสต์ทุกคนถ้าไม่เต็มใจใครก็ละเมิดไม่ได้ไม่ใช่หรอ?” วิลถามพลางใช้จมูกโด่งเป็นสันนั้นดมกลิ่นแชมพูหอมจางๆที่เส้นผมสีเข้มนั้น ปองพยักหน้ารับช้าๆ

“แต่มีกฎอยู่อีกข้อ  โฮสต์คนไหนที่มีความรัก หรือมีคนที่พึงใจแล้วไม่ควรจะทำงานที่นั่นต่อไป  ผมเองกำลังคิดจะลาออก”ปองพูดเสียงเบา 

“ไม่ว่าปองจะทำอะไรขอแค่บอกผม  ผมก็ยินดีจะสนับสนุน” ปองจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลนั้นอย่างค้นหา  สิ่งที่ได้กลับมาจากดวงตาคู่นั้นคือความมั่นคงทำให้ปองอุ่นใจ

“ผมจะลาออก” 



      การลาออกจากการเป็นโฮสต์ของปอง ทำให้ทุกคนต่างตะลึงงัน  เพราะปองเป็นโฮสต์อันดับต้นๆของที่นี่  น้องสาวของเขาเองก็พลอยตกใจไปด้วย เธอพูดปนล้อๆว่า ตกล่องปล่องชิ้นไปเสียแล้วพี่เรา  ปองเพียงแค่แย้มยิ้มรับอย่างเขินอาย  น้องสาวของเขารู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่  เพราะระหว่างพี่น้องคู่นี้ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับต่อกัน  เธออวยพรให้ปองและวิลมีความสุขมากๆ    แต่ดูเหมือนคำอวยพรจะไม่สัมฤทธิ์ผล  พีทน้องชายของวิลเคยมาโวยวายที่บ้านปองครั้งหนึ่ง  แน่นอนว่าเรื่องนี้จะไม่ถึงหูวิลเป็นแน่แท้  เขามาโวยวายใส่ปองว่าล่อลวงพี่ชายตนให้หลงมัวเมา แทบจะเรียกได้ว่าด่าทอให้เสียหาย  แม้ปองจะไม่ถือสาแต่น้ำคำเหล่านั้นเปรียบเสมือนมีดนับร้อยเสียดแทงเข้าไปในใจปอง เขาคือคนจุดฉนวนปัญหาขึ้นมาเอง แต่ถึงกระนั้นปองก็ยังพยายามจะมีความสุขกับคนที่รักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

      ประมาณสองปีหลังจากนั้น  ปองและวิลยังมีความสุขดีแม้จะมีปัญหากับครอบครัวของวิลบ้าง  น้องสาวของปองสอบเข้าเรียนโรงเรียนศิลปะได้อย่างที่ปรารถนา    สร้างความยินดีให้แก่ปองเป็นอันมาก  วันนั้นปองเดินทางมาที่บ้านพักของวิลเพื่อจะบอกข่าวดีนี้ให้แก่วิลได้ทราบ  แต่สิ่งที่เขาได้พบและได้ยินมานั้นเหมือนมีค้อนใหญ่ทุบลงบนมีดคมๆเหล่านั้นให้ยิ่งแทงลึกเข้าไปอีก  วิลกำลังทะเลาะกับพีท  เขาตะโกนเสียงดังโต้ตอบน้ำคำเผ็ดร้อนของน้องชาย ปองมั่นใจว่าเรื่องที่ทั้งสองกำลังทะเลาะกันนั้นคือเรื่องของเขาเอง  คุณแม่ของวิลเมื่อทราบความสัมพันธ์ระหว่างเขาและวิลก็ล้มป่วยลง  ข่าวลือที่ใส่สีตีไข่ลงไปมากมายทำให้คุณแม่ท่านทนไม่ได้  จึงให้พีทมาตามวิลกลับไปบ้าน วิลมีนิสัยอย่างหนึ่งคือดื้อแพ่ง  เขาไม่ยอมกลับจึงได้ทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้  ปองยืนหลบมุมอยู่ เขาไม่มีเจตนาจะแอบฟังธุระของคนทั้งสอง แต่สิ่งที่ได้รับฟังนั้นมันเหมือนชี้มาที่เขาว่า เขาเป็นผู้ที่ก่อปัญหาสารพัดเหล่านี้ขึ้น  สมควรแล้วที่เขาจะเป็นผู้แก้ปัญหาเหล่านี้ ญาติกันต่อให้โกรธกันถึงเพียงไหนก็สายเลือด  แล้วน้ำจะข้นกว่าเลือดได้อย่างไร?   ในคืนนั้นหลังจากพีทกลับไปนานแล้วปองจึงถามขึ้นท่ามกลางความเงียบแห่งราตรีกาลว่า

“วิลเราแยกกันสักพักดีไหม?” ปองจำสีหน้าของคนตรงหน้าได้ดี  เขาตกตะลึง งงงัน อึดใจต่อมาเขาก็ขบกรามแน่น

“ทำไม?” เสียงทุ้มๆนั่นกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังไปกว่ากระซิบเลย
“เราต่างมีปัญหา เราควรกลับไปแก้ไขมันก่อนจะดีกว่าไหม?” นาน...กว่าปองจะเอ่ยออกมาได้  นัยน์ตาสีน้ำตาลของบุคคลอันเป็นที่รักฉายประกายตระหนก  และเจ็บปวดขึ้นมาในทันที

“ปัญหาอะไร  เราไม่เคยมีปัญหากันนะปอง!!” วิลตะโกนเสียงดังเหมือนๆกันที่เขาให้โต้ตอบน้องชายของเขา  ทำให้ปองตะเบ็งเสียงไม่แพ้กัน

“มีสิ  เรามีแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็นมัน  จนตอนนี้มันลุกลามเรื้อรังไปแล้วไม่อย่างนั้นคุณจะทะเลาะกับพีทไปทำไม!!!!”ปองยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจเพราะนึกขึ้นได้ว่าเผลอไผลพูดสิ่งที่เห็นออกไปแล้ว

“คุณเห็น!!” สองแขนของปองถูกมือใหญ่หนาจับเข้าที่แขนบอบบางทั้งสองข้างของปอง  มันบีบแน่นราวกับจะให้แตกสลาย

“วิลคุณกลับบ้านเถอะ  คุณแม่ของคุณกำลังป่วยไม่ใช่หรือ กลับไปให้ท่านพบหน้าเถอะนะ  ไว้เรื่องสงบเราค่อยกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”ปองพูดด้วยเสียงที่สงบลงแล้ว  นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องในดวงตาสีน้ำตาลใสนั้นอย่างจริงจัง  พลางบังคับตัวเองให้กลั้นน้ำตาไว้มิให้ร่วงหล่น

“ปองผมรักคุณนะ  รักมากกว่าอะไรทั้งหมด  ดังนั้นผมอยากอยู่กับคุณนานๆให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้” อ้อมแขนแกร่งโอบรวบตัวปองไว้  ปองลูบลงบนเส้นผมสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยน  รู้สึกถึงร้องชื้นที่ไหล่ตังเอง  วิลกำลังร้องไห้   

“ผมก็รักคุณเช่นกัน  รักเท่าๆกับที่คุณรัก” ปองพูดพลางใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง



      วิลกลับไปที่บ้านสามเดือนได้แล้ว  นั่นเป็นช่วงเวลาที่ทรมานและยาวนานกว่าที่ปองคาดไว้มาก  ทั้งคู่ติดต่อกันบ้างทางโทรศัพท์เท่านั้น ในที่สุดปองก็ได้ข่าวดี  วิลกำลังจะกลับมาหาเขา  เมื่อปองได้ยินดังนั้นก็ละล้ำละลักรับปากวิลว่าจะไปรับที่สนามบิน  พอได้เจอหน้ากันแล้วปองจำไม่ได้ว่าตัวเองร้องไห้ไปหนักหนาขนาดไหน  รู้แต่เพียงว่าตัวเองร้องไม่ยอมหยุด มืออบอุ่นนั้นเพียรปาดน้ำตาให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ชีวิตของปองกลับมาสดชื่นเช่นที่เคยเป็น....โดยไม่อาจรู้ถึงความผิดปรกติใดๆเลย     กิจกรรมที่ปองและวิลทำเป็นประจำคือการออกไปเดินเล่นในคืนวันศุกร์  ซื้อของเข้าบ้านบ้าง  หรืออาจจะดินเนอร์กันบ้าง  โดยไม่รู้เลยว่ามีคนเฝ้ามองพฤติกรรมอยู่  คืนวันเสาร์พีทมาที่บ้านพี่ชายโดยที่รู้อยู่แล้วว่าปองคงต้องอยู่ด้วยแน่  เขาขออาศัยอยู่ด้วยสองคืนโดยอ้างว่าทะเลาะกับที่บ้านมา วิลก็อนุญาตให้พักได้ตามสบายโดยที่ปองออกจะขัดใจอยู่เล็กๆแต่ก็ไม่ได้ออกปากห้ามอะไร   คืนนั้นสองพี่น้องจึงนอนคุยกันที่โซฟา  และนี่เป็นอีกครั้งที่ปองแอบได้ยินพี่น้องสนทนากันโดยไม่ตั้งใจ

“นายไม่ได้มีปัญหากับที่บ้านหรอกใช่ไหม”วิลถามพลางสอดมุมเข้าไปใต้หมอนใบใหญ่ที่ปองหยิบมาให้
“อือ  มีปัญหากับ....”
“แฟน”ชายแทรกขึ้น
“อดีตตะหาก”น้องชายหันมามองพี่แวบหนึ่งแล้วหันกลับไป
“เธอก่อกวนน่ะ  ฉันรู้สึกว่าคนที่เข้าใกล้ฉันในรัศมีสามเมตร เป็นต้องเดือดร้อนเสียทุกทีไป  ก็เลยพยายามจะหนีๆหล่อน”

“ทำไมไม่เคลียร์กับหล่อนให้ดีๆล่ะ บอกหล่อนซะว่ามันจบแล้ว  ต่างคนต่างเดินเสียที”
“บอกแล้ว  แต่เธอฟังที่ไหน  ยังยึดติดกับตัวฉันอย่างกะอะไร ถึงจะไม่เข้ามาแสดงตัวให้เห็นก็เถอะ”
“เรื่องนี้ฉันช่วยไม่ได้มากหรอกนะ  ที่ทำได้ก็แค่แนะนำ  นายไปแจ้งความเสียเถอะ  ก่อนหล่อนจะทำเรื่องอะไรใหญ่โตไปกว่านี้” น้องชายฝาแฝดพยักหน้ารับฟัง

“นายยังอยู่ดีกับปองใช่ไหม?”พี่ชายส่งเสียงรับในคอพลางแย้มริมฝีปากน้อยๆ
“อือ ฉันรักปองมากน่ะ อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป” ปองหน้าร้อนวาบอยู่ในความมืด
“แล้วตัวนายล่ะ?”
“ฉันหรือ....ก็ดี ฉันจะพยายามมีความสุขให้มากที่สุด”วิลรู้ว่าการพูดคุยครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เขาและพีท  ยังมีคนตัวเล็กที่แอบฟังอยู่ในมุมหนึ่งของโถงทางเดินด้วย

“ดึกแล้วนายนอนเถอะ”วิลพูดพลางลุกขึ้นยืน
“อ้าวจะไปไหน?”
“เข้าไปนอนกอดที่รักน่ะสิถามได้เจ้าโง่!!” ปองรีบจ้ำอ้าวกลับห้องแล้วรีบซุกตัวลงในเตียงอุ่นนั่นพลางหลับตาปี๋  จนรู้สึกว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาในห้องแล้วตามด้วยรู้สึกเตียงยวบลงแสดงว่ามีคนมานอนข้างๆ แค่นั้นยังไม่พอยังส่งมือมาแปะป่ายไปเรื่อยอีกต่างหาก  ปองแกล้งส่งเสียงครางในคออย่างรำคาญ

“รู้น่าว่ายังไม่หลับ  แถมยังแอบฟังคนเขาคุยกันด้วย” ปองยิ่งหลับตาปี๋
“อย่างนี้ต้องลงโทษ”



      วันเวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครบอกปองเลยว่ามีสิ่งผิดปรกติกับวิลผู้เป็นที่รัก  และตัวปองเองก็ไม่นึกเอะใจกับสิ่งใด  ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของวิลที่ล่าช้ากว่ากำหนดเกือบสามเดือน  หรือแม้แต่บางครั้งที่ปองแอบเห็นวิลซุกบางอย่างลงในกระเป๋าในช่วงที่คิดว่าเขาเผลอ  ค่ำวันศุกร์ในฤดูหนาว ระหว่างที่ปองเดินเคียงกับวิลไปตามถนนในย่านการค้าที่คนค่อนข้างน้อยเนื่องจากอากาศเริ่มเย็นจัด  แสงไฟที่ตกแต่งต้นสนแข่งกันส่องแสงสว่างอยู่นับล้านดวง ปองกำลังคุยกับวิลอยู่ว่าช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้จะไปเที่ยวที่ไหนกันดี

“คุณอยากไปที่ไหนล่ะ?”วิลถามขึ้นหลังจากเถียงกันไม่จบไม่สิ้น
“ไม่รู้สิ   ถ้าไม่รู้จะไปไหนนอนอยู่บ้านซักปีก็เป็นความคิดที่ดีนะครับ”
“รับน้องคุณมาด้วยสิ  ช่วงปีใหม่ทิ้งแกอยู่คนเดียวเหงาแย่”ปองมองหน้าวิล  เขาเห็นวันนี้มันซีดผิดปรกติ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า  หน้าซีดมากเลยนะปวดหัวอีกแล้วหรอ?”
“อือ นิดหน่อยนะ ได้ ‘ยา’ ก็หาย”
“แล้วจะไปหาจากที่ไหนล่ะ  แถวนี้ไม่เห็นมีร้านขายยาซักร้าน”
“นี่ไง!” วิลพูดแล้วขโมยหอมแก้มเนียนนุ่ม นั้นทีหนึ่ง
“หายแล้ว”วิลยิ้มเผล่
“ทำอะไรอย่างนั้น กลางถนน!”ปองหน้าแดงพลางลูบแก้มตัวเอง
“ปองถ้าคิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่มนุษยชาติจะดำรงอยู่ คิดว่าตัวเองจะทำอะไร?”
“ถามแปลกๆ  ดูหนังมากไปหรือเปล่าเนี่ย   ก็ต้องอยู่กับคนที่รักสิ ให้มองหน้าเขาไว้ พอไปอยู่โลกโน้นแล้วจะได้จำกันได้”ปองพูดพลางกวาดตามองไปรอบๆตัว

“แล้ววิลล่ะ?” ไม่มีเสียงตอบจากวิล ปองกวาดสายตามองหาวิลเขาทรุดลงไปกองกับพื้นพลางใช้มือทั้งสองกุมหัวไว้

“วิลเป็นอะไร!!  หัว!? หัวเป็นอะไร!!” 



      วิลถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ปองนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างหมดที่ไป ไม่เคยมีใครบอกเขาเลยว่าวิลเป็นมะเร็งสมอง! พีทตามมาที่โรงพยาบาลเขาหอบหายใจแรงๆก่อนจะนั่งลงคุกเข่ากับพื้นตรงหน้าปองโดยยังปราศจากคำพูด ขณะนั้นปองกำลังซ่อนใบหน้าของตนไว้หลังมือคู่นั้น  น้ำตาหยดลงบนเสื้อตัวที่เขาใส่  พีทมองปองอย่างเจ็บปวด เขาอยากบอกปองเหลือเกินว่าตรงหน้านี่ยังมีเขาอยู่อีกคน ปองจะช่วยหันมามองสักหน่อยจะได้ไหม?

“ปองคุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” พีทถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ปองที่ใช้ทั้งสองมือปิดหน้าส่ายศีรษะช้าๆ
“ดื่มน้ำสักหน่อยไหม?”ปองส่ายศีรษะอีกครั้ง
“ทำไมคุณถึงไม่บอกผมว่าวิลไม่สบาย  ทำไมถึงปิดบังเรื่องนี้” เสียงอู้อี้ของปองถามทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้น พีทสูดหายใจช้าๆ

“วิลไม่อยากให้คุณห่วง เลยห้ามผมไว้”
“เรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมไม่บอก  แล้วคิดว่าที่ทำแบบนี้แล้วผมจะไม่เสียใจหรอ?  ยิ่งทำแบบนี้ผมยิ่งเสียใจ  ถ้าวันนี้เราไม่ออกมาข้างนอกกัน วิลคงไม่...”

“ปองอย่าโทษตัวเอง!”พีทโอบปองไว้นอ้อมแขนพลางนึกแปลกใจว่าทำไมปองถึงได้ตัวเล็กขนาดนี้  ยิ่งปองตัวสั่นเขายิ่งรู้สึกว่าปองช่างน่าสงสารเหลือเกิน

“ปอง  อย่าร้องไห้ไปเลยนะ  ผมอยู่ตรงนี้แล้ว  ปอง....ปอง!” พีทเขย่าร่างบอบบางในวงแขนซึ่งไร้เรี่ยวแรงทิ้งน้ำหนักลงบนตัวเขา  ปองหมดสติ...ไปทั้งที่น้ำตายังนองหน้า





‘อย่าเล่าอีกเลยคุณปอง’ พิรุณาพยายามจะเช็ดน้ำตาให้โดยใช้แขนเสื้อเชิ้ตตัวเองเพียรซับให้ ปองยิ้มให้ทั้งน้ำตากับท่าทางจริงจังในการซับน้ำตานั้นของพิรุณา

‘เรื่องราวหลังจากนั้นคุณคงพอเดาได้  ส่วนเรื่องน้องสาวของผมนั้นคุณคงทราบจากคุณลีแล้ว’ พิรุณาพยักหน้ารับน้อยๆ  เขาเคยถามคุณลีว่าทำไมตัวปองถึงมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อติดมาด้วยเสมอ คำตอบที่พิรุณาได้รับทำเอาเขาตกใจ

      น้องสาวของปองถูกรถชนสมองถูกกระทบกระเทือนอย่างแรงทำให้อยู่ในอาการโคม่าตลอดมา คนที่ขับรถคนนั้นก็ไม่ใช่ใครเธอคือดีตแฟนสาวของพีท หล่อนเข้าใจผิดว่าพีททิ้งเธอไปเพราะปอง นักสืบที่หล่อนจ้างแยกไม่ออกว่าคนไหนคือพีทและคนไหนคือวิล เพราะหล่อนเองก็ไม่ทราบว่าพีทมีพี่ชายฝาแฝด  ในวันนั้นห่างจากเหตุการณ์การเสียชีวิตของวิลราวๆครึ่งปีได้ และในรถคันนั้นไม่ได้มีเพียงคนขับคนนั้นเท่านั้น  หากแต่พีทก็โดยสารไปด้วย ทำให้พีทรู้สึกผิดต่อปองมากขึ้น 

‘พรุ่งนี้เราไปเยี่ยมน้องสาวของคุณกันนะ’พิรุณาจับมือปองกุมไว้แล้วบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
‘ผมจะมารับคุณตอนเช้านะครับ’
‘ค้างเสียด้วยกันดีกว่าไหม?’
‘อย่าเลยครับ  ผมต้องเอาเอกสารบางอย่าง’พิรุณาพยักหน้าเข้าใจ แล้วส่งปองขึ้นรถกลับบ้าน

**************************************


      ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่ดวงหน้าที่คล้ายพี่ชายซูบซีดจนแทบจะจมหายลงไปในเตียง  สายระโยงระยางเต็มตัวไปหมด  หน้าอกสะท้อนขึ้นลงตามที่เครื่องทำงาน  พิรุณามองเธออย่างสงสารและนึกเสียดาย ถ้าเธอไม่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเด็กสาวที่งดงามทีเดียว  ปองกำลังคุยกับแพทย์ผู้ดูแลอาการของน้องสาวอยู่ข้างๆเขา  ก่อนจะรับเอกสารบางอย่างจากแพทย์มาอ่าน แล้วลงชื่อก่อนจะส่งคืนให้แพทย์คนนั้นพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ

‘หมอรับรองแล้วครับว่าน้องผมสมองตายแน่นอน ผมก็เลยตัดสินใจบริจาคอวัยวะ’
‘ดีแล้วล่ะ จะได้เป็นกุศลแก่ตัวเธอด้วย’ พิรุณายิ้มบางให้ปองและสาวน้อยที่นอนทอดกายเหยียดยาวบนเตียง
‘กลับกันเถอะครับ’ พิรุณาพยักหน้า ก่อนเขาจะออกไป พิรุณาส่งภาษามือให้สาวน้อยคนนั้นทั้งที่รู้ว่าเธอไม่อาจรับรู้

‘คุณปองอยู่กับฉันแล้วฉันจะดูแลเขาอย่างที่เธอเคยทำ’ 
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนสามแล้วนะครับหวังว่าเพื่อนๆคงชอบกันน้า.. :m13:

niph

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #48 เมื่อ21-11-2007 00:03:08 »

จะมีปาฏิหารย์มั๊ยนี่

นิดนึงนะ ... ดูเรื่องชักจะมีน้ำหนัก และอารมณ์ของเรื่ิองเริ่มหนัก ๆ แล้วอ่ะ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #49 เมื่อ22-11-2007 17:57:05 »

เยี่ยมเลย  o13

พิรุณา บางครั้งก็มีความเป็นเด็ก  บางครั้งก็อบอุ่นเป็นที่พักพิงได้
ชอบบุคลิกแบบนี้จัง 

แปลกดี  ระดับพิรุณาใช้เครื่องจับจังหวะเวลาเล่นเปียโนด้วยเหรอ 
ยิ่งเป็นเพลงมีหลายจังหวะนี่นา 

รออ่านต่อ  สงสารปองมากๆ เขียนตอนที่ผ่านมาได้ดีเลย   :m15:  :m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
« ตอบ #49 เมื่อ: 22-11-2007 17:57:05 »





ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #50 เมื่อ23-11-2007 00:42:59 »

เรื่องนี้ชอบมากๆเลย ไม่น่าเชื่อว่าเป็นมือใหม่ เห็นหลายคนมาคอมเม็นต์

ยังไงๆก็เขียนเยอะๆน่ะคับ จะได้ฝึกไปในตัว ผมจะรออ่านนะค้าบบบบบบบบบบบบบบ

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #51 เมื่อ23-11-2007 13:49:14 »


เข้ามาตามอ่าน

รู้สึกว่าตอนนี้เขียนได้ดีนะในเชิงพรรณา

แต่ว่า  เยอะ  ไปนิดส์

ย้อนเรื่องราวของปองไปไกลเกินไป  มันเลยไม่ต่อเนื่องกับอารมณ์ของคู่แรก

ปล. สงสัยเหมือนกะพิมเหมือนกัน อิอิ

ปลล.   สู้ๆ  เจ้จับตาดูอยู่อย่างละเอียด

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #52 เมื่อ23-11-2007 20:17:11 »

ชอบเรื่องนี้มากเหมือนกันครับ
เป็นกำลังใจให้เสมอครับ

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #53 เมื่อ23-11-2007 23:23:01 »

ขอบคุณสำหรับกำลังใจเเละคำติชมนะคะ

เรื่องนี้เขียนหนึ่งตอนค่อนข้างเยอะ  เพราะ   เอ่อ....อ....เอ่อ..../กระซิบ  ดองนานน่ะค่ะ

เรื่องเครื่องจับจังหวะ(เมเทอนอร์ม ชื่อเขียนยังไงเนี่ย)  ยิ่งโปรก็ยิ่งต้องใช้อยู่นะคะ  เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเเม่นยำทางจังหวะ  เเต่เวลาเเสดงจริง มันเเล้วเเต่อารมณ์จะพาไป  จังหวะอาจยืดหดไปจากนี้บ้าง  เเต่ยังต้อองยึดจังหวะที่ถูกระบุไว้ในเเต่ละเพลงไว้อยู่ค่ะ(ในกรณี ไม่อิมโพรไวซ์น่ะนะ)

ปล.เปื่อย o2

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #54 เมื่อ24-11-2007 00:04:47 »


เข้ามาตามอ่าน

รู้สึกว่าตอนนี้เขียนได้ดีนะในเชิงพรรณา

แต่ว่า  เยอะ  ไปนิดส์

ย้อนเรื่องราวของปองไปไกลเกินไป  มันเลยไม่ต่อเนื่องกับอารมณ์ของคู่แรก

ปล. สงสัยเหมือนกะพิมเหมือนกัน อิอิ

ปลล.   สู้ๆ  เจ้จับตาดูอยู่อย่างละเอียด

เจ๊สองง่ะ แอบโหด :m8: o21

snowblack

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #55 เมื่อ24-11-2007 03:09:02 »

INTERMEZZO   chapter# 4

      พิรุณาลุกออกจากหน้าเปียโนเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาน้ำซักแก้วดื่ม เมื่อเหลือบมองจานอาหารของเจ้าหมาโกลเด้นที่ใส่อาหารเม็ดสำหรับสุนัขไว้พูนซึ่งบัดนี้ไม่ได้พร่องลงไปเลยแม้แต่น้อย  คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยพลางเดินตามหา  พิรุณาเดินหาในครัวก็ไม่พบ ห้องนั่งเล่นก็ไม่มี ชั้นบนก็คงไม่ใช่เพราะเจ้าหมากลัวการลงบันไดแล้วมันจะขึ้นไปข้างบนทำไม  พิรุณาเดินกลับไปที่ครัวอีกครั้งหยิบเครื่องบางอย่างมาจากตู้ใต้ซิงค์ที่ใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์เกี่ยวกับสุนัขรวมไว้  พลางถือมันไปด้วยแล้วกดไปจังหวะ เจ้าหมาก็ยังไม่วิ่งมา

นี่มันผิดปรกติแล้วล่ะ


   พิรุณาเลื่อนชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่แบ่งบ้านออกเป็นสองส่วนออก แล้วเดินไปตามทางเดินภายในบ้านแล้วยื่นหน้าเมียงมองไปตามห้องต่างๆ แต่ก็ยังไร้เงาเจ้าหมาอ้วนอยู่ดี  จนในที่สุดเขาตัดสินใจผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง   มั่นใจว่าเจ้าหมาต้องอยู่ห้องนี้  พิรุณากดเครื่องที่อยู่ในมือเป็นจังหวะ เจ้าหมาจึงวิ่งรี่มาล้อมหน้าล้อมหลังพิรุณา  เมื่อพิรุณาเงยหน้าขึ้นมองไปที่เตียงเขาก็แทบช๊อค  ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตสีโอรสจางๆนั่งยิ้มอยู่บนเตียงของเขา  ผมสีดำสนิทที่มักเสยขึ้นเวลาไปทำงานตอนนี้มันตกลงมาปรกหน้าโดยเจ้าตัวพยายามปัดไปข้างๆนั้นแสดงให้พิรุณาเห็นว่าวันนี้ไม่ได้ไปทำงาน  ชายคนนั้นไม่ใช่ใครเลยธีรธรนั่นเอง

“สวัสดี ตามหาเจ้าหมาหรอ?” บอสหนุ่มถามด้วยเสียงกวนประสาท  แม้พิรุณาจะไม่ได้ยินแต่พิรุณาก็พอเข้าใจ  มันจะอะไรเสียอีก  ถ้าไม่ใช่ไอ้บอสบ้านี่มาเพื่อกวนประสาท ดูจากสภาพการแล้วคงจะปืนระเบียงเข้าทางหน้าต่างแน่

‘งานการไม่มีทำหรือไง’ พิรุณาส่งภาษามือใส่ธีรธรพลางทำหน้าเอือมระอาเต็มทีใส่  พิรุณากดเครื่องในมืออีกครั้งเจ้าหมาหูตั้งในทันทีก่อนจะวิ่งออกไปจากห้อง

   เมื่อพิรุณาเห็นว่าเจ้าหมาไปแล้ว จึงย่างสามขุมเข้าไปหาธีรธร  บอสหนุ่มทำท่างงๆ แปลกใจกับปฎิกิริยาของพิรุณา ซึ่งปรกติจะต้องหาทางหนีสิ แต่วันนี้มาแปลก ดวงหน้าขาวใส่นั้นแตะแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม  นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงแปรเป็นสีแดงจัดอย่างวันที่อยู่ในห้องทำงานของเขา ธีรธรมั่นใจว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองกว่า เขาทำท่าจะลุกขึ้นแต่มือนวลขาวบางๆนั้นกดลงบนไหล่แกร่งนั้นแรงๆให้นั่งลง  เครื่องที่อยู่ในมือถูกยืนมาตรงหน้าธีรธร  เขาจ้องมองมันเห็นด้านหน้ามีตาข่ายบางอย่างเหมือนลำโพง  โดยไม่ทันระวังตัว  พิรุณาเลื่อนอุปกรณ์นั้นเข้าใกล้หูบอสหนุ่ม แล้วกดปุ่มเครื่องในมือ เสียงปี๊ด~ยาวๆ แม้เสียงจะแผ่วเบาแต่ก็แหลมเล็กจนรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว  พิรุณาถอยออกจากธีรธรด้วยดวงหน้าที่แสดงความสะใจถึงที่สุด ก่อนจะส่งภาษามือให้

‘รีบออกไปซะ ก่อนจะเรียกตำรวจมาจับฐานบุกรุก ผมไม่อยากให้ใครกวนเวลาซ้อม’พิรุณาเดินออกจากห้องตัวเองกลับไปที่ห้องซ้อมอีกครั้ง   ก่อนจะนั่งลงแล้วเริ่มซ้อมอีกครั้ง

   ปลายนิ้วเรียวสวยกดลงบนเสียงเพลงนุ่มหูหากซ้ำดังขึ้น พิรุณากำลังมีสมาธิกับสิ่งที่ทำอยู่ แทบจะเรียกได้ว่าหมกมุ่นเลยก็ว่าได้  เขาไม่รับรู้ถึงการมาของธีรธรซึ่งบัดนี้ยืนอยู่พิงกำแพงด้านหลังฟังบทเพลงของพิรุณาอย่างเงียบๆ  ธีรธรยอมรับในฝีมือของพิรุณาว่าเป็นคนเก่งมากทีเดียว แม้หูจะไม่ได้ยิน แต่สามารถเล่นเปียโนได้ไพเราะกว่าพวกที่หูดีๆเสียด้วยซ้ำ  บอสหนุ่มมองร่างโปร่งบางที่กำลังดีดเปียโนพลางคิดไปว่า ทำไมถึงทำหน้าเศร้าอย่างนั้น?

   พิรุณาดีดเปียโนอย่างคล่องแคล่วแม่นยำเช่นทุกรั้ง แต่สมองในยามนี้กำลังไพล่นึกไปถึงเรื่องของปอง  เพลงนี้เป็นเพลงเดียวกับที่เขาเล่นให้ปองฟัง  หลังจากวันนั้นปองดูจะสงบจิตสงบใจลงได้มากแล้ว  พิรุณาเชื่อว่าปองจะรับเหตุการณ์นี้แล้วก้าวผ่านมันไปได้ แม้จะเจ็บปวดบ้างแต่สุดท้ายมันจะดีเอง  เขาพยายามหากิจกรรมให้ปองทำลดเวลาที่ปองจะอยู่คนเดียวให้ลดลงเพื่อให้ปองไม่คิดมากโดยการก่อเรื่องยุ่งกับต้นสังกัดเล็กน้อย ซึ่งก็ได้ผล ปองต้องบินไปรายงานตัวกับต้นสังกัดของเขาและชี้แจงเรื่องคดีฟ้องร้อง ในฐานะที่เป็นตัวแทนของเขา  ก่อนจะไปปองคุยกับพิรุณา

‘คุณพิรุณาก็ใจแข็งเหมือนกันนะครับ’
‘ไม่หรอก  เรื่องเศร้าฟังยังไงก็เป็นเรื่องเศร้าอยู่วันยังค่ำ  เพียงแต่ผมเคยพบสิ่งที่น่าเศร้ากว่านั้น  ความตายก็เช่นกัน ผมเคยพบที่รุนแรงกว่านั้น ด้วยตัวเองก็หลายหน’


ความตายที่ยิ่งกว่านี้อย่างนั้นหรือ?....

   พิรุณานั่งอยู่ในตอนหลังของรถคันหนึ่งที่วิ่งด้วยความเร็วปรกติสำหรับถนนนอกเมืองเช่นนี้  เด็กชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาผู้มีเรือนผมสีดวงหน้าตกกระกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสนใจ ด้านหน้ามีชายหญิงคู่หนึ่งที่ละม้ายกับบุตรชายเพียงคนเดียวกำลังสนทนากันอย่างมีความสุข ผู้เป็นภรรยาป้อนขนมใส่ปากผู้เป็นสามีที่กำลังขับรถพาครอบครัวออกไปพักตากอากาศนอกเมือง  พิรุณาในขณะนั้นเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างฝั่งที่ตนนั่งเช่นกันพลางนึกไปว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่สงบสุขดีแท้   ทันใดนั้นรถก็กระแทกอย่างรุนแรงร่างบางๆของเด็กชายลอยไปกระแทกกับเบาะหน้ารู้สึกโลกหมุนคว้างไปหมด แท่งเหล็กยาวใหญ่จากรถคันหน้าทะลุผ่านกระจกเข้ามาอย่างแรงทำให้เศษกระจกคมกริบบินว่อนไปทั่วราวกับห่าธนู   พิรุณาเหลือบไปมองคนที่นั่งข้างกายเห็นร่างนั้นถูกท่อนเหล็กใหญ่นั้นบีบอัดจนแหลกคาที่  พิรุณาตัวน้อยทำได้เพียงซุกกายเบียดตัวอยู่ที่มุมรถ ก่อนรถตอนหน้าด้านที่เขานั่งจะกระแทกเข้ากับที่กั้นถนนอย่างแรง ก่อนจะพลิกข้ามไปเลนฝั่งตรงข้ามแล้วถูกชนซ้ำด้วยรถขนาดใหญ่  ครอบครัวTacet ผู้รับอุปถัมภ์พิรุณาแหลกสลายในอุบัติเหตุครั้งนั้น  มีเพียงพิรุณาเท่านั้นที่รอดมาได้โดยมีเพียงแผลขีดข่วนเป็นริ้วยาวจากกระจกที่แตก และศีรษะแตกจากการกระแทกเท่านั้น


   นิ้วเรียวสวยที่กดลงบนคีย์กดพลาด ทำให้เสียงเพลงขาดหายไปในทันที  พิรุณาลูบหน้าตัวเองพบว่าใบหน้าของตัวเองนั้นชื้นไปด้วยเหงื่ออย่างน่ากลัวราวกับออกกำลังกายมาอย่างหนัก ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลแดงซบลงกับเปียโนก่อนจะแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นยาวนานมีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกเบาๆส่งสัญญาณว่าร่างบอบบางที่หน้าเปียโนนั้นยังหายใจอยู่  มือขาวบางจับสายสร้อยเส้นหนึ่งที่อยู่บนอกเสื้อ พลางลูบมันเบามืออย่างถนอม ก่อนจะไล้มือลงมาจับยังตัวจี้เงินรูปสามเหลี่ยม  สร้อยเส้นนี้ไม่เคยถูกถอดออกจากคอเลยนับตั้งเต่เขาเกิดเขาเดาว่าอย่างนั้น  เพราะว่าตั้งแต่จำความได้สร้อยเส้นนี้ก็ห้อยอยู่ที่คอเขาแล้ว  และมีคนจากสถานสงเคราะห์บอกกับเขาว่าสร้อยนี้ถูกคล้องอยู่ที่คอเขาตั้งแต่วันแรกที่ไปอยู่ที่นั่น หมู่นี้เขามักฝันถึงเรื่องราวร้ายๆที่เกิดขึ้นกับอดีตของเขา  ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้น  แต่ครั้งสุดท้ายที่เกิดก็เมื่อหลายปีมากแล้ว เพราะเรื่องของปองรึเปล่านะ....อยากคุยกับเคนจัง



   พิรุณาลุกเดินไปตามโถงทางเดินตรงไปที่เครื่องแฟกซ์แล้วควานหากระดาษจากกล่องสำหรับใส่กระดาษเขียนแฟกซ์โดยเฉพาะแล้วเริ่มเขียนข้อความถึงเคน  มือเรียวสวยเขียนตัวหนังสือลงในกระดาษเร็วๆด้วยปากกาหมึกซึมสีน้ำเงินเข้ม  ตัวอักษรเส้นคมตวัดหางสวยบ่งบอกถึงนิสัยถูกเขียนขึ้นจนพิรุณาลองอ่านทวนอีกครั้งก่อนจะกดหมายเลขปลายทางเพื่อส่ง   ก่อนจะล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงเปิดออ่านข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน ดวงตาสีสวยเบิกกว้าง กวาดอ่านตัวหนังสือซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบ ก่อนจะวิ่งไปที่คอมพิวเตอร์ส่วนตัวในห้องนอนแล้วเปิดเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต แล้วกวาดตามองรายชื่อที่ออนไลน์ก่อนจะคลิกเม้าซ์ที่ชื่อ KEN_sonata-allegro(=/i\=)

@…Piruna_121…@ says:
เคน ลีอองเมลล์มาบอกว่าเกรซหายตัวไปหลังจากคอนเสิร์ตที่เวียนนาเมื่อ2วันก่อน

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
 อือ  ได้ข่าวเหมือนกัน  แจ้งความแล้วนี่

@…Piruna_121…@ says:
ไม่คิดจะตื่นเต้นสักหน่อยรึไง - -*

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ไม่ เกรซก็อย่างนี้แหล่ะ เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่  คงงอนลีอองละมั้ง เดี๋ยวหายโกรธก็กลับเองแหล่ะ

@…Piruna_121…@ says:
นายมันเย็นชาที่สุด - -*

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ป่าวนา  ชั้นเป็นคนอบอุ่นตะหาก  ต่อสายเวบแคมซะ- -+

@…Piruna_121…@ says:
ทามมาย?

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ก็แบบว่า อยากเห็นหน้าอ่ะ

@…Piruna_121…@ says:
ชิ   

   พิรุณาทำตามนั้น  เห็นหน้าดวงหน้าคมเข้มพร้อมกับเส้นผมสีทองจ้องมองกลับมาด้วยนัยน์ตาสีเขียวสวย  ริมฝีปากบางสวยนั้นแย้มยิ้มนิดๆอย่างยินดีที่ได้เห็นหน้าคนที่คิดถึง 

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
นายส่งแฟกซ์มา  จิตตกอะไร?   
   
คนในภาพโบกกระดาษแฟกซ์สีขาวไปมา   ดวงหน้าขาวเนียนของพิรุณาแปรเป็นเขร่งขรึม

@…Piruna_121…@ says:
หมู่นี้ฝันถึงเรื่องเก่าๆน่ะ

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
กี่คืนแล้วล่ะ  นายมักฝันติดๆกันหลายๆคืนนี่

@…Piruna_121…@ says:
เกือบ5แล้ว

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ขอโทษ

@…Piruna_121…@ says:
แกจะขอโทษชั้นทำไมวะ - -“

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ขอโทษที่ช่วยอะไรนายไม่ได้  สัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ชั้นไปไหนไม่ได้เลยน่ะติดงาน  ขอโทษที่ไปหานายไม่ได้

@…Piruna_121…@ says:
ไม่เป็นไร  ชั้นเข้าใจน่า ว่านายงานยุ่งฉันไม่ใช่สาวๆของนายนี่หว่าที่กระเง้ากระงอดงี่เง่า - -*

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
โอ๋ๆ ถึงไม่กระเง้ากระงอดน่ารักแบบพวกหล่อนแต่นายก็เป็นอันดับ1เสมอนะ

@…Piruna_121…@ says:
ตอแหล!
@…Piruna_121…@ says: (/me) ตบเข่าฉาด!!

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
55+  บ้านใหม่เป็นไง สวยถูกใจรึเปล่า?

@…Piruna_121…@ says:
อือ  สวยมาก  ถูกใจสุดๆ  ขอบใจหลายๆ  คราวหลังวิทยุไม่ต้องเอามาด้วยนะ55+               

เคนไม่ตอบอะไรกลับมาพักใหญ่ๆ  โดยพิรุณาที่ขณะนี้อารมณ์ดีขึ้นมากแล้วเริ่มเปิดเวปอื่นๆดูอย่างเพลิดเพลิน

KEN_sonata-allegro(=/i\=) says:
ข้างหลังนั่นใคร ( =_=?) 

พิรุณาอ่านแล้วอึ้ง  คนลุกเกรียวอย่าบอกนะว่า  ซื้อบ้านแล้วได้  ‘ของแถม’  แต่อยู่มาหลายคืนก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา  ปองก็ไม่ได้บอกว่าบ้านนี้มีอะไรแปลกๆ

@…Piruna_121…@ says:
ใคร?  เคนเห็นอะไร?   
   

เคนไม่ตอบ พิรุณาตัดสินใจหันกลับไปมองข้างหลังช้าๆ  เห็นร่างๆหนึ่งวอบแวบอยู่ที่หางตา  พิรุณาพยายามรวบรวมกำลังใจ หายใจเข้าปอดลึกๆแล้วหันขวับไปมา  ร่างสูงใหญ่ในเสื้อสีโอรสยืนอ่านข้อความที่พิรุณาคุยกับเคนอยู่นานแล้ว  พิรุณาหันมาส่งภาษามือใส่เป็นชุด

‘ยังไม่ไปอีก บุกรุกบ้านคนอื่นมันผิดกฎหมายนะคุณ’ ธีรธรทำลอยหน้าลอยตา ไม่รับรู้ฉวยโอกาสตอนพิรุณาเผลอพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็ว

@…Piruna_121…@ says:
 สวัสดีครับ ผมเป็นแฟนพิรุณา   

พิรุณาจ้องเขม็งไปยังดวงหน้าคมสันที่ชะโงกหน้าข้ามไหล่เขาเข้ามาพิมพ์ข้อความอย่างเคียดแค้น  กำลังคิดว่าจะเล่นงานตรงไหนดี

“มองอะไร  หลงรักฉันล่ะซี๊” โชคดีที่พิรุณาไม่ได้ยิน ได้แต่ตีหน้ายุ่ง  แต่ถ้าได้ยินจริงล่ะก็ป่านนี้ บอสหนุ่มหัวแบะไปแล้ว   เคนส่งสายตามายังธีรธร  แม้ตัวจะอยู่ไกลกันมาก แต่ดูเหมือนว่ารังสีอำมหิตยังสามารถส่งมาตามเวปแคมได้  พิรุณารู้สึกได้ว่าเคนมองธีรธรผ่านภาพในจอด้วยสายตา....น่ากลัวที่สุด จ้องอย่างกะจะให้ลุกเป็นไฟ
 

      ธีรธรใช้โอกาสตอนที่พิรุณากำลังคิดหาทางแก้แค้นอยู่นั้นหอมแก้มพิรุณาฟอดใหญ่  จมูกโด่งสวยนั้นกดลงบนแก้มขาวนวลเข้าเต็มรัก พลางสูดกลิ่นหอมจางๆเข้าเต็มปอด  เคนเห็นเหตุการณ์ก็แทบเต้น!  มันกล้าทำต่อหน้า! พิรุณาไม่ใช่แฟนมันแน่  มันเป็นใคร?   ต้องให้รู้ให้ได้! แล้วตามไปหักคอมัน!!  ระหว่างเคนกำลังหมายมั่นปั้นมืออยู่นั้น  มือใหญ่ๆของธีรธรจับเม้าซ์คลิก sign out ให้พิรุณาอย่างหน้าตาเฉย      พิรุณาส่งภาษามือโวยวายแต่ธีรธรกลับไม่ใส่ใจสักนิด  เจ้าหมาโกลเด้นวิ่งกระดิกหางเข้ามาในห้อง   รีๆรอๆหาจังหวะงับข้อมือเจ้านายเบาๆอย่างที่ทำทุกครั้งที่ต้องการให้เจ้านายไปไหนสักแห่งกับมัน  พิรุณามองเจ้าหมายที่งับข้อมือเบาๆพลางออกแรงดึงนิดๆก็ได้แต่ถอนใจเดินตามมันไป  เจ้าหมาพาไปหยุดที่ประตูบ้านพิรุณาก็เข้าใจทันทีว่ามีคนมา เขาเปิดประตูอย่างเกียจคร้าน  แต่ภาพตรงหน้าทำให้เขาเกือบตาเหลือกค้าง  หญิงสาวผมแดงดวงตาสีฟ้าใสกำลังส่งยิ้มให้เขา  เธอมีสัมภาระอยู่กับตัวสองสามอย่างคือ กระเป๋าผู้หญิงที่เธอสะพายอยู่ กระเป๋าเดินทางและ  กล่องใส่ไวโอลินสีแดงๆแปะสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนไว้ค่อนข้างเลอะที่สะพายอยู่ที่หลัง  พิรุณากระพริบตาถี่ๆ เธอคือเกรซ! คนที่หายตัวไปอย่างลึกลับซึ่งขณะนี้กำลังตามหาตัวกันให้วุ่น!  หญิงสาวโผเข้าหาร่างโปร่งบางแล้วหอมแก้มแรงๆทั้งสองข้าง  ก่อนจะส่งภาษามือแบบผิดๆถูกๆให้

‘คิดถึงนายจัง  ขอพักด้วยซักสองสามคืนนะ’เธอส่งยิ้มให้แล้วเบียดตัวเข้าไปในบ้านพิรุณาทันที พิรุณาได้แต่โครงหัวไปมาแล้วปิดประตูลง

‘บ้านสวยจังเลย  อยู่ซักสองสามเดือนดีไหม?’
‘ไม่ดี! ลีอองจะได้ถลกหนังหัวผมไปทำพรมน่ะสิ’
‘หัวสวยๆอย่างนี้ใครจะกล้า’
‘ก็ลีอองนั่นแหล่ะครับที่จะกล้า  คราวนี้ละผมหัวหลุดแน่’
‘น่านะ ตานั่นไม่รู้หรอก’เกรซทำหน้าตาน่าสงสารจนพิรุณาใจอ่อน
‘ก็ได้ครับ’
“เย้!” หญิงสาวร้องดีใจแล้ว แล้วกระโดดหอมแก้มเขาอีกหลายฟอด  พลันดวงตาสีฟ้าสวยเห็นเจ้าหมาโกลเด้นหน้าตาน่ารักน่าชังเข้า  เธอจึงพละจากพิรุณาไปกอดเจ้าหมาแทน ซึ่งเจ้าหมาก็รับไมตรีอย่างดี เกรซหอมมันบ้าง พิรุณาจับแก้มตัวเองรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเจ้าหมาชอบกล


       เกรซเล่นกับเจ้าหมาอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงคนเดิน  เธอเงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตสีโอสร ดวงหน้าคมคายเด่นด้วยดวงตาสีนิลคมจัดที่ดึงดูดใจ มันรับกับคิ้วเข้มๆนั้นอย่างเหมาะเจาะ เขายืนด้วยท่าสบายๆพิงเข้ากับขอบประตูครัวมองเธออยู่  เกรซพละจากเจ้าหมาตรงเข้าไปแนะนำตัวกับเขา  ธีรธรแนะนำตัวเองงอย่างสุภาพเช่นกัน  เขายิ้มให้นิดหนึ่งซึ่งแท้ที่จริงแล้วมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่านั่นคือยิ้มแล้ว
เกรซหันมาส่งภาษามือให้

‘นายนี่ดีนะ  มีแต่หนุ่มหล่อๆอยู่ข้างกายเต็มไปหมด’ พิรุณาเหลือบไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเกรซ พลางคิด เนี่ยนะหล่อ

‘ไหนผู้ช่วยคนใหม่ของนายล่ะ?’
‘ส่งไปรายงานตัวกะต้นสังกัดแน่ะ’
‘งั้นก็สวนกันน่ะสิ นี่ต้นสังกัดเขาฝากงานให้ฉันเอามาให้นายว่าสนใจจะร่วมโปรเจคนี้ไหม?  แต่ฉันว่านายสนชัวร์ รับประกันด้วยหัวเลยเอ๊า!’

‘งั้นเชียว ไหนเอามาดูซิ’  พิรุณาพาเกรซนั่งที่โซฟาในมุมห้องรับแขก   สักพักธีรธรก็เดินเอาน้ำเปล่าใส่แก้วมาเสิร์ฟให้ราวกับว่าเป็นบ้านเขาเอง  พิรุณามองตาเขียวปั๊ด  ธีรธรเห็นก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้

‘แหม อย่าไปมองเขาอย่างนั้นสิ เขาอุตส่าห์มีน้ำใจนะ  ว่าแต่เขาเป็นอะไรกับเธอ’ เกรซเข้ามากระแซะอย่างสนใจ ดวงสีฟ้าสวยพราวอย่างอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

‘คนข้างบ้านน่ะ’ พิรุณานึกไปถึงหน้าคุณลีที่มายืนกดออดหน้าบ้านเขาเมื่อสองสามวันก่อนเพราะเธอต้องไปทำงานที่ต่างประเทศช่วงสุดสัปดาห์นี้ แล้วฝากฝังบอสหนุ่มของเธอว่าอย่าให้ธีรธรโหมงานหนักเกินไป  ถ้าว่างๆให้พิรุณาแวะเข้าไปดูให้หน่อยว่าบอสของเธอทำงานหนักจนตายอยู่ในบ้านหรือยัง  แต่เท่าที่เห็นไม่เห็น ธีรธรจะทำงานหนักเจียนตายตรงไหน  ไม่อย่างนั้นจะมาก่อกวนเขาอยู่นี่หรอ  คุณลีต้องเข้าใจผิดแน่ๆ   แต่สิ่งที่พิรุณาไม่รู้ก็คือ ปองเองก่อนจะเดินทางไปรายงานตัวกับต้นสังกัดของเขาก็ไปยืนกดออดหน้าบ้านบอสมาเหมือนกัน พลางฝากฝังกับธีรธรว่า ช่วงนี้ใกล้คอนเสิร์ตแล้วคุณพิรุณาจะซ้อมหนักมาก  จะหมกตัวอยู่ในห้องซ้อมอย่างเดียว ข้าวปลาไม่กิน นอนก็ไม่ค่อยจะยอม เพราะฉะนั้นก็เลยต้องฝากบอสให้ช่วยแวะเวียนเข้าไปดูบ้างว่าป่านนี้เป็นลมหน้าเปียโนไปหรือยัง


‘โปรเจคนี้รวบรวมเอาแต่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตา  เป็นเพื่อนๆกันทั้งนั้นล่ะ  นี่คือรายชื่อของคนที่เราคิดว่าจะชวนเขามาร่วมด้วยน่ะนะ  น่าเสียดายที่เคนร่วมด้วยไม่ได้’พิรุณารับกระดาษที่เขียนด้วยลายมือหวัดราวกับอักขระโบราณมาอ่านด้วย ด้วยความยากลำบาก

‘แล้วคอนดักเตอร์ล่ะ?’
‘ลีอองเป็นคอนดักเตอร์ที่2  แต่คอนตักเตอร์ที่1น่ะคนนี้’ เกรซโยนซีดีให้พิรุณาแผ่นหนึ่ง เขาตะครุบมันไว้ได้ทันก่อนจะตกพื้น  พิรุณาดูภาพที่หน้าปกซีดีพลางนึกไปว่า ชายคนที่เป็นวาทยากรที่หน้าปกหน้าตาคุ้นๆ หลังจากทบทวนความทรงจำซักพักก็นึกได้

‘อาจารย์!!!’ เกรซพยักหน้า
‘ท่านมีข้อแม้ว่า ถ้านายเล่นท่านก็จะมาร่วมด้วย’
‘เล่นสิ เล่น’ พิรุณารับคำอย่างกระตือรือร้น เขาเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของอาจารย์  หลังจากเรียนจบแล้วเขาเริ่มมีชื่อเสียงทั้งพิรุณาและอาจารย์ก็ต่างแยกย้าย  นานมากแล้วที่ไม่ได้พบกัน  อาจารย์ท่านเป็นวาทยากรชื่อดังระดับโลก  เป็นที่เคารพนับถือของคนในวงการ แต่ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ต่างต้องบินไปโน่นมานี่ตลอด ไม่ค่อยอยู่เป็นหลักแหล่ง  นี่จึงเป็นโอกาสดีมากที่จะได้เจอกัน

‘แน่ใจนะว่าจะเล่น’ พิรุณาพยักหน้ารับหนักแน่น
‘บอกรายละเอียดมาสิ’
‘ธีมของงานคือ ดนตรีแฟนซีจีนคลาสสิค’ เกรซบอกพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
‘ถ้าให้ทาย เธอคิดเองล้วนๆให้ไหมเนี่ย ไอ้แปลกๆแบบเนี้ย’
‘แม่นแหล่ว  ก็พวกเราเป็นกบฏดนตรีคลาสสิคนี่นา   ต้นสังกัดก็โอเค’
‘เราเร๊อะ?  แล้วไอ้ที่ฉันหากินอยู่ทุกวันมันเรียกว่าอะไร’
‘สไตล์นายมันออกแจ๊สนะจ๊ะ  ถึงจะเล่นคลาสิคแต่กลิ่นแจ๊สมันก็โชย’ เกรซทำจมูกฟุตฟิตอย่างล้อเลียน
‘ทำเป็นรู้ดี’ พิรุณาบอกอย่างหมั่นไส้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องจริง  เขาชอบเพลงแจ๊สบางครั้งยังเอาเพลงคลาสสิคมาแปลงเป็นแจ๊สเลย

‘ แล้วหาสปอนเซอร์ได้หรือยัง?จ่ายเองหมดตายพอดี’เกรซพยักหน้ารับทันที
‘ บอกแล้วจะหนาว    ฉันยังอึ้งเลย สถานทูตจีนเป็นสปอนเซอร์ให้คู่กับบริษัทอะไรไม่รู้ที่ใหญ่ๆน่ะ รู้สึกจะชื่อ  เครือบริษัท PKV. ซักอย่าง  ทำเกี่ยวกับโรงแรมรีสอร์ตดังๆทั่วโลก เขาว่ามีทายาทหล่อระเบิด อยากเห็นตัวเป็นๆจัง’ เกรซทำท่าปลื้ม พิรุณาได้แต่หัวเราะเหอะ ขึ้นจมูก

‘เดี๋ยวลีอองเก๊อะเอาตาย’
‘ แหม ก็เบื่อขี้หน้าลีอองแล้วนี่นา’
‘ทำพูดไป เดี๋ยวภายใน2คืนก็ร้องไห้กระซิกๆจะกลับไปหาลีออง’ พิรุณาแซว เกรซมองค้อนก่อนจะรีบวกกลับเข้าเรื่อง

‘ทางสถานทูตบอกว่าจะหานักดนตรีมาบรรเลงเครื่องดนตรีจีนให้  มีหลายคนตอบรับกลับมาแล้ว  อีกสักเดือนต้องเรียกหัวโจกมาประชุมซะแล้ว’

‘ไม่รวมฉันใช่ไหม?’
‘รวมย่ะ’ พิรุณาคอตก
‘ฉันว่างานนี้ไม่ใช่งานเล็กๆแล้วล่ะ  ลองมีสปอนเซอร์ใหญ่โต เดี๋ยวได้เป็นเวิร์ลทัวร์ละสนุกเลย’
‘สนุกสิ  จะได้ไปเที่ยวรอบโลก คิดดูสิได้เที่ยวรอบโลกพร้อมกับเพื่อนๆสนุกจะตาย’เกรซบอกด้วยสีหน้ากระตืนรือร้นสุดๆ

‘สนุกจนตายน่ะสิ  ได้เหนื่อยจนกระอักเลือดสิไม่ว่า ไม่รู้ต้นสังกัดจะฝากงานอะไรมากับคุณปองหรือเปล่า’
‘พวกตาแก่เอาแต่ใจก็อย่างนี้ล่ะ’
‘อีกสองวันฉันมีคอนเสิร์ตเล็กๆที่หอประชุมของสถาบันดนตรี’พิรุณาบอกชื่อสถาบันให้เกรซรู้ เธอพยักหน้ารับ
‘ฉันจะอยู่รอนายที่นี่  นายบินเช้าไปเย็นกลับนี่   หลังจากนั้นก็ยังไม่รับงานอะไรอีก  เพราะฉะนั้นมาช่วยฉันซะดีๆ’ พิรุณาอึ้ง อะไรจะลึกขนาดนั้น

‘งงล่ะสิว่ารู้ได้ไง  มีปากก็ถามสิยะ’

      และแล้วพิรุณาก็ตกเป็นเหยื่อของเกรซอย่างไม่ตั้งใจ  เธอตกลงกับเขาว่าจะเรียกประชุมทุกคนภายในเดือนนี้  ระหว่างนี้เขาจะไปทำอะไรก็ไปก่อน  แล้วจะติดต่อมา  แถมทิ้งการบ้านให้เขาหาเพลงจีนเพราะๆอีกต่างหาก  แทนที่เกรซจะพักด้วยกันอย่างที่ตอนแรกอ้อนวอนขอกลายเป็นว่า หนีไปพักห้องพักโรงแรมเสียแล้ว  ด้วยเหตุผลไม่ค่อยเข้าหูพิรุณาเท่าไหร่ ว่า  นายจะได้อยู่กับพ่อหนุ่มคนเมื่อกี้ไง  พิรุณานอนหมดแรงอยู่บนโซฟาหน้าทีวี พลางแกะห่อดีวีดีหนังจีนกำลังภายในที่เพิ่งส่งมาใหม่เมื่อวานไปด้วย เพลงจีน  เพลงจีน เพลงจีน....จะไปหาจากไหนหว่า?พลันมือขาวนวลๆที่แกะห่อพลาสติกออกจากกล่องดีวีดีก็ชะงัก  ดวงตาสีสวยพราวระยับมองดีวีดีในมือ ก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ


      

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #56 เมื่อ24-11-2007 05:37:28 »

อยากได้คนข้างบ้านแบบนั้นบ้างจัง

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #57 เมื่อ24-11-2007 07:29:46 »

This is the first time I am trying to criticize the story using English, since I am afraid I will have no time for my Thai version.

Anyway, most of the time when I decided to write the critiques for an individual story, the reason is primarily based on how good the author originally is......and how good she/he can be in the future. Potential must be seen through the story, plots, and language skills.......

Of course, I never touched the stories written by the "well known" writers, since they maintain their own standards and know how to tell their stories well enough.

Speaking of this story, I remember that both my eyes ‘ve passed its title several times yet never picked it up to reveal. The name of the author actually makes me thought it is a "fantasy story", that is why my intention has never dropped in. Also the name of the story has not been able to induce me reading the paragraph inside.

However, please do not ask me why your story is in my intention right now.... I cannot give you the answer.....

Again when the first chapter is good enough that makes my eyes stay tuned.....the analysis is taken placed inevitably...... My evaluation is mostly based on the plots, the fact, and reality of the story...... so please keep in mind.

Like other readers, confusion and question is raise frequently after reading each sentence. Most of them were from the incompletion of paragraph's order, story' time line, conversation pattern..... and the following two;

Location

“Where is the location of this story?..... I must ask. From my understanding it should not be in Thailand......right? 

“เราอยู่เมืองไทยไม่ใช่หรอ แล้วเราจะมายังไง?”

เสียงใสๆหัวเราะที่ปลายสายอีกครั้ง คราวนี้ด้วยเสียงสูงปรี๊ด

“รันอยู่หน้าบ้านพี่ธีแล้วค่ะ”

บอสหนุ่มเกาหัวแกรก  อยากบ้าว่ะ.....

From above sentences, they helped me confirm the story’s location is somewhere else in the world....... Then why is company’s name still in Thai?

Also, most of the information given about the location is controversial, such as currency, religion, home style, transportation, and a time differences. 

The songs mentioned in the story is by far the big question, especially in the "Non-Thai-Orchestra".....since Thai songs may not be interesting enough to play, though พิรุณา  is influenced by Thai sister.

For some reasons, I am thinking about "Hong Kong"..... but an existence the character using Thai name like "ปอง” is confusing me.

Also in some details, I feel like the author is using "Bangkok" as a location.

Characters

May I say.... the character is lacking of background information?

I always question about the persona of "ธีรธร”…. Is he gay?

I cannot sense the gayness from ธีรธร due to the fact that the character‘s detail directs me to point that he is just an ordinary guy...... But why did he decide to kiss พิรุณา? 

The persona of "ธีรธร” is not yet able to make me believe that he is a CEO of the big enterprise. Beside his สูทสีเทาควันบุหรี่ seemed to be out trend and might be inappropriate for the event.

Again, an existence of "ปอง” without enough background is still brought me the confusion. How can he and his sister be out there in that location?

The big question I have is for พิรุณา about his voice amplifier (เครื่องช่วยฟัง). As far as I read through, he is not deaf by birth. Although the hearing disability came when he was young, but if he has an amplifier he should learn to understand the sounds and should not be completly mute.

If พิรุณา has "post-lingual hearing impairment", where his hearing loss is adventitious after the acquisition of speech and language, usually after the age of six, then he could be treated by hearing aids or learning lip reading. Therefore "พิรุณา” should be able to understand the conversation by any means he has learned.

This confirms me that he is partially deaf; "หูของเขายังคงได้ยินอยู่บ้างโดยอาศัยอุปกรณ์บางอย่าง หากแต่ก็น้อยเต็มทีเมื่อเทียบกับคนปรกติ”. 

On the other hand, if พิรุณา has prelingual hearing impairment, a congenital impairment occurred before the individual has acquired speech and language, then voice amplifier is not the right tool for him.

Prelingual hearing impairment is associated with being mute. But with person having partial hearing disability like พิรุณา, he should at least be able to listen to the conversation and comprehend it. Or he should be able to speak out but with easy words composed into the sentence. It should not be hard for him since he is a professional musician, who has ability to differentiate the sounds perfectly.

I think, I should give you just only two points.... while the other points have already been told or should be addressed by other readers

Best Wishes,

Andreas

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #58 เมื่อ24-11-2007 16:58:32 »

มาเป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: INTERMEZZO by ภาณุเมศพลัง
«ตอบ #59 เมื่อ25-11-2007 20:21:18 »

เป็นกำลังใจให้คับ  (เลียนแบบคุณเคน  อิอิ)  :m23:

รออ่านต่ออยู่นะ  :a2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด