รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)  (อ่าน 30722 ครั้ง)

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
 o13 สุดยอดดดด  ในที่สุดเส้นขนานก็มาบรรจบได้

เมื่อผ่านไปเป็นสิบปี 

ปล.บวกเป็ดให้ค่ะ  รอเรื่องอื่นๆต่อไป

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
จบแบบนี้ถือว่า happy ending ใช่ไหมนะ

รอเรื่องต่อไปอยู่นะ ^^

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
ถึงเป็นเส้นขนาน
มันก็สามารถมา
บรรจบกันได้
อยู่ที่ใจเราแค่นั้นเอง :กอด1:
+1ให้กับเรื่องสั้นน่ารักนี้

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
จบแบบไม่รู้ว่าจะสวยงามหรือขี้เหร่  ก็เล่นจบตรงจุดเริ่มต้นเลย  แต่ชอบครับ

ออฟไลน์ konnarak

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +182/-0
ความรักเป็นสิ่งสวยงาม

อยากได้ตอนพิเศษ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
เราคิดว่าเก่งเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นคงเป็นแฟนที่ดี ในที่สุดเก่งก็พูดออกมานะเนี่ย ขอให้มีความสุขกับไนซ์ ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้จ้า เป็ดให้เป็นกำลังใจนะ  :L2:

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตุลาคม ๒๕๓๘ (ตอนแรก)

ผืนน้ำสีน้ำตาลอ่อนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาของแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเอื่อยเป็นแนวยาวทอดผ่านจากปากน้ำโพไหลลงสู่อ่าวไทย แดดยามบ่ายแก่ทอแสงรำไรฉาบทับระลอกคลื่นที่พลิ้วไหวดั่งศิลปะที่อยุ่เมืองไทยมานานแสนนานตั้งแต่สมัยโบราณกาล หากนับจากสมัยพุทธกาล แม่น้ำสายนี้ก็ไหลรินมาร่วมสองพันห้าร้อยปีแล้ว
ที่แห่งนี้ หากย้อนไปเมื่อหลายร้อยคงถูกเรียกขานด้วยชื่อนครต่างๆนานา หากแต่ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๘ นี้ ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า เมืองปทุมธานี ประตูเจ้าพระยาที่เป็นหน้าด่านก่อนเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย
หากในสมัยก่อน ปทุมธานีจะเต็มไปด้วยทิวทัศน์ทีเขียวเป็นทิวแถวอันเกิดจากการกสิกรรมของผู้คนที่นี่ หากแต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ความก้าวทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆได้เข้ามา ทำให้พื้นที่ปลูกข้าววของที่นี่ถูกจำกัดให้อยู่ในส่วนของที่ดินที่ยังมีกลุ่มคนเมืองปทุมบางกลุ่มที่ยังคงยึดอาชีพกสิกรรมเป็นอาชีพอยู่

...นนทภัทร เจ้าหน้าที่เกษตรของอำเภอเมืองปทุมธานีมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะจัดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อยและเดินออกจากห้องทำงานด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน ถึงคนที่นี่จะทำนากันน้อยลง แต่ก็มีชาวบ้านเข้ามาปรึกษาอยู่เรื่อยๆทุกวัน แต่ถึงชายหนุ่มจะเหนื่อย เขาก็มีความสุขกับงานนี้ งานที่สนับสนุนกระดูกสันหลังของชาติ ที่เป็นอาชีพหลักของคนไทย แต่ถูกกดขี่มาตลอดหลายสิบปีจากกระบวนการการตลาด

ชายหนุ่มเดินเล่นในตลาดเล็กๆกลางเมืองที่มีของกินของใช้หลายอย่าง และเป็นศูนย์รวมการซื้อขายของคนที่นี่ ... เขาหยุดยืนอยู่หน้าทางเท้า ที่มีคุณยายแก่ๆขายข้าวต้นมัดนั่งขายอยู่
“เอาให้ผมสี่มัดครับยาย”
“ได้สิจ๊ะ พ่อนน” มือเหี่ยวย่นของหญิงชราหยิบสินค้าใส่ถุง พร้อมกับยิ้มให้กับลูกค้าขาประจำของนาง
“ไม่ต้องทอนครับยาย” ชายหนุ่มยื่นธนบัตรสีแดงให้ด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะรับถุงข้าวต้มมัดมา
“ขอบใจนะพ่อนน ที่ใจดีกับคนแก่ๆอย่างยาย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เงินเล็กๆน้อยๆ ผมพอช่วยได้ก็อยากช่วยน่ะครับ”
“เฮ้อ ... ถ้าลูกหลานยายเค้าเป็นคนดีแบบพ่อนนก็ดีสินะ” หญิงชราตัดพ้อโชคชะตาด้วยแววตาเศร้าๆ
“ผมก็อยากมีญาติผู้ใหญ่เหมือนยายครับ แต่ผมมันพวกคนไร้ญาติขาดมิตร เลยมาขี้ตู่เอายายมาเป็นยายของผมไงครับ” ชายหนุ่มยิ้ม “ผมกลับก่อนนะครับ”
“เดินทางดีๆนะพ่อหนุ่ม”

กิจวัตรของชายหนุ่มในช่วงหลังเลิกงานยังไม่หมดเพียงเท่านี้ หากแต่ยังมีอีกอย่างหนึ่ง ที่นนทภัทรมักจะทำอยู่ทุกวัน ....
“อ่ะ ... ผมซื้อมาฝาก” ชายหนุ่มวางถุงข้าวต้มมัดลงบนโต๊ะเล็กๆ ไม่ไกลจากท่าน้ำเมืองปทุมมากนัก อีกฝั่งของโต๊ะมีชายหนุ่มอีกคนนั่งทำหน้าเอือมๆกับของที่วางอยู่
“ขอบใจนะ”
“ผมเอาสองพวง สี่สิบบาทใช่มั้ย” ชายหนุ่มหยิบพวงมาลัยดอกมะลิที่ร้อยด้วยอุบะดอกรักชายกุหลาบ พลางล้วงมือหยิบเงินให้พ่อค้าวัยไล่เลี่ยกันกับเจ้าหน้าที่เกษตรหนุ่ม
“ขอบคุณที่มาอุดหนุนผมทุกวันนะ” พ่อค้าหนุ่มตอบเรียบๆ อย่างไม่ใส่ใจลูกค้าคนนี้นัก
“ไม่เป็นไร ด้วยความยินดีอย่างที่สุด” ชายหนุ่มในชุดข้าราชการยิ้ม ก่อนจะนั่งยองๆข้างๆพ่อค้าหนุ่ม
“ขอบคุณที่ซื้อข้าวต้มมัดมาให้ทุกวันด้วย ซื้อมาได้ทุกวี่ทุกวัน”
“ก็ยายเค้าน่าสงสาร ผมก็ช่วยอุดหนุนยายเค้าเท่านั้นเอง”
“แล้วทำไมไม่กินเอง”
“ผมบอกนายแล้วนี่ ว่าผมไม่ชอบกินกล้วย”
“คนอื่นที่เค้ากินกล้วยได้มีเยอะแยะ กระจายความใจดีไปให้คนอื่นบ้างสิ”
นนทภัทรยิ้มให้พ่อค้าขายพวงมาลัย ก่อนจะพูดต่อ “คนที่กินกล้วยได้น่ะมีเยอะแยะจริง แต่คนที่ผมอยากให้กินกล้วยของผมน่ะ .... มีแต่นายคนเดียวนั่นแหละ”
“บ้าเหอะ ใครเค้าอยากจะกินกล้วยของคุณ” พ่อค้าพวงมาลัยหน้าเสีย ในขณะที่อีกคนหัวเราะร่าอย่างมีความสุข คำว่ากล้วยของนนทภัทรมีความหมายสุ่มเสี่ยงมากกว่ากล้วยที่เป็นหวีแน่
“อ้อ โทษที ผมว่าผมหมายถึง กล้วยของยายในข้าวต้มมัดน่ะ”
“ผมก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละ”
“พวงมาลัยของนายผมก็มาอุดหนุนออกบ่อย ขนมก็ซื้อมาฝากทุกวัน ไม่คิดจะยอมบอกชื่อผมซักทีหรอ” นนทภัทรเท้าคางพร้อมกับใช้ศอกกระทุ้งพ่อค้าเบาๆ
พ่อค้าหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปตอบชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ“ผมชื่อจอม พอใจหรือยัง“
 “แล้วจอมอยากรู้มั้ยว่าผมชื่ออะไร”นักการเกษตรหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ถ้าบอกว่าไม่อยากล่ะ”
“ผมชื่อนนนะ”
“แล้วจะขอความเห็นทำไม”
“จอมรู้มั้ย ทำไมผมถึงมาอุดหนุนจอมบ่อยๆ”
“สงสารมั้ง ผมคงดูปอนๆ”
“เปล่าเลย ... เพราะจอมน่ารักต่างหาก”

พ่อค้าจอมหันขวับเมื่อได้ยินเพลงยาวขนาดสั้นของนักการเกษตรหนุ่ม ก่อนจะยิ้มอย่างขำๆ “คุณทำงานอะไรเนี่ย เจ้าหน้าที่การรถไฟ นายตรวจตั๋วเรือ หรือเป็นตำรวจ ส่วนลิเกคงจะไม่ใช่”
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่การเกษตรที่อำเภอน่ะครับ และผมไม่ใช่ทั้งรถไฟเรือเมล์ลิเกตำรวจ ดังนั้นคำพูดของผมเชื่อถือได้นะ”
“แต่ผมยังคิดว่าคุณดูท่าทางกะล่อนนะ สงสัยคงต้องไม่ได้มีแต่อาชีพพวกนั้นที่ท่าทางจะเจ้าชู้”
“โธ่ จอมก็มองผมแง่ร้าย” ชายหนุ่มพ้อ
“ถ้าไม่จริงก็อย่าร้อนตัวไปสิ”
“งั้นจอมเชื่อใจผมได้เลย”
“ผมไม่เห็นความจำเป็นที่ผมจะเชื่อใจคุณนนนะครับ” พ่อค้าขายพวงมาลัยยิ้มกวน
“ไม่ได้สิ ผมต้องทำให้นายเชื่อใจ เพราะผมกำลังจีบนายอยู่นี่”

จอมหน้าแดงและร้อนผ่าวเมื่อได้ยินคำขอจีบที่ตรงไปตรงมาเหมือนตีแสกหน้าด้วยไม้หน้าสาม ชายหนุ่มรู้ดีว่าจุดประสงค์ของลูกค้าหน้าเดิมคนนี้ที่เทียวไปเทียวมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคืออะไร แต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะเฉลยออกมาอย่างไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด
“ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่าไม่รังเกียจผมใช่มั้ยครับ คุณพ่อค้าพวงมาลัย”
“ปะ ... เปล่า แค่ตกใจ”
“แล้วรังเกียจผมหรอจอม”
“ค่อนข้าง” จอมกลั้นอารมณ์ขำไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง จนทำให้ชายหนุ่มที่ดูมั่นใจเมื่อสักครู่คลายท่าทีลง
“งั้นหรอครับ ... ผมคง ...ทำให้จอมลำบากใจสินะ”
ชายหนุ่มมองหน้าคนที่กำลังทำหน้าจ๋อย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ก็ตอนนี้ยังรังเกียจไง ... แต่ถ้าได้กินข้าวต้มมัดทุกวันๆ อาจจะไม่รังเกียจก็ได้”
นนทภัทรคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อได้ยินคำพูดของคนที่ตัวเองมีใจให้
“งั้นผมเหมาหมดนี่เลย”
“เฮ้ย ... ไม่ต้องโชว์ว่าเป็นพ่อบุญทุ่ม จะซื้อไปทำไมเยอะแยะ”
“ไม่ได้โชว์ จะเอาไปบนเจ้าพ่อทั่วปทุมเลย ขอให้ผมจีบจอมสำเร็จไง”
“ฮ่าๆๆๆ คุณนี่มัน” พ่อค้าหัวเราะชอบใจในความล้นของนักการเกษตรหนุ่ม “โอเค พวงมาลัยน่ะเหมาได้ แต่ตัวพ่อค้ายังไม่ขายนะ ... รอราคาขึ้นกว่านี้สักหน่อยถึงจะปล่อยทอดตลาด”
“งั้นผมรอช้อนซื้อนะครับ”
.
.
.
ตะวันเริ่มคล้อยต่ำ พวงมาลัยของพ่อค้าหนุ่มขายได้เรื่อยๆจนหมดลง จอมเก็บโต๊ะโดยมีชายหนุ่มนักการเกษตรมาช่วยเก็บพร้อมกับรอยยิ้มที่เจ้าตัวขยันแย้มเหมือนนกยูงหมั่นรำแพนหางอวดตัวเมียโดยหวังว่า พ่อค้าหนุ่มที่หมายตาจะรู้สึกดีด้วย
“ขอบใจนะ ที่ช่วย”
“ก็บอกว่ายินดีนี่นา .... แต่ถ้าจะตอบแทนด้วยหัวใจผมก็โอเคนะ”
“ไปเป็นพระเอกลิเกน่าจะรุ่งนะคุณเนี่ย”
“ไม่รุ่งหรอก ... ผมอ้อนแม่ยกไม่เก่งเท่าอ้อนนายหรอกจอม”
จอมหัวเราะเบาๆกับคำพูดของชายหนุ่มที่หยอดตัวเอง ก่อนจะกล่าวคำลา “ผมกลับก่อนนะ”
“ไหนๆก็ยอมให้ผมตามจีบแล้ว จอมบอกผมหน่อยได้มั้ยว่าบ้านจอมอยู่ที่ไหน”
“ผมอยู่บ้านแพน”
“อ้าวอะไรกัน” ชายหนุ่มยิ้ม “มีแฟนแล้วหรอ ถึงไปอยู่กับคนชื่อแพน”
จอมหัวเราะอีกครั้งกับมุกแป้กๆของนายนน “อื้ม ... มีแล้ว จบมั้ย”
“แหมจอมเนี่ย แทนที่จะแก้ตัว”
“อ้าวไม่ดีหรอ ช่วยรับมุกคุณไง”
“ไม่ดีหรอก แฟนจอมต้องชื่อนนสิ”
“เฮ้อ ไร้สาระ ผมกลับจริงๆแล้ว บายครับ” จอมหันหลังมุ่งหน้าไปที่ท่าน้ำ
“เดี๋ยวสิจอม ... “ ชายหนุ่มในชุดสีกากีอ่อนยิ้ม “จอมยังไม่ได้ให้เบอร์ผมเลย”
“บ้านผมไม่ได้ติดโทรศัพท์หรอครับ ไม่ได้มีญาติมิตรที่ไหนให้ติดต่อ บ้านคนจนก็อย่างนี้แหละ ... ได้ยินแบบนี้แล้วยังจะจีบอยู่มั้ย คนจนมันเหม็นสาบนะ”
“ไม่มั้ง ... ผมไม่ได้กลิ่นนะ”
“ตามใจเถอะ ... แต่ผมไม่มีเบอร์อะไรให้คุณหรอก ถ้าอยากเจอก็เจอกันที่นี่แหละ ผมไม่หายไปไหนหรอก” ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบตาไปมองที่นาฬิกาแขวนในท่าน้ำปทุม “เรือน่าจะมาแล้ว ผมกลับก่อนนะ”
“โชคดีนะครับจอม ดูแลตัวเองด้วย อ้อ เห็นปีนี้เค้าบอกน้ำจะท่วมด้วยนะ”
“นี่คุณเจ้าหน้าที่ คุณกำลังบอกคนอยุธยาที่อยู่กับน้ำท่วมมาทุกปีนะ ผมรู้น่า ... แต่ก็ขอบใจที่เป็นห่วงนะ”

จอมเดินเข้าไปในท่าน้ำและหยุดรอเรือที่โป๊ะที่ยื่นเข้าไปในแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนจะหันมาโบกมือลาให้กับนนทภัทรอีกครั้ง ชายหนุ่มยืนมองร่างสมส่วนของพ่อค้าพวงมาลัยด้วยรอยยิ้ม จนเจ้าตัวขึ้นเรือแดงจากไป
นนทภัทรเดินทอดน่องกลับบ้านอย่างมีความสุข กับการได้หยิบยื่นไมตรีให้แก่คนที่ยากไร้และคนที่เขารู้สึกดีทุกๆวัน ถึงเจ้าตัวจะยังไม่ได้มีท่าทีชมชอบในตัวชายหนุ่มสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยพ่อค้าพวงมาลัยคนนั้นก็ไม่ได้รังเกียจนนทภัทร

เสียงดนตรีเพลงลูกทุ่งดังมาจากลำโพงขนาดเล็ก ที่ชายตาบอดคล้องคออยู่คู่กับหญิงตาบอดที่ถือกล่องรับบริจาคและใช้ไม้เท้านำทางอีกคน ที่นนทภัทรเดาว่าน่าจะเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกัน ... อินโทรเพลงบรรเลงได้สักครู่ ชายตาบอดก็ยกไมค์ขึ้นขับขานเพลง
“พี่พบเนื้อนวลมานั่งเรือด่วนสายบ้านแพน
เราต่างรักกันเหมือนแฟน .... เมื่อเรือด่วนแล่นถึงเมืองปทุม
เรือด่วนวิ่งไป  เหมือนหัวใจพี่ตกหลุม
พี่หลงรักแม่เนื้อนุ่ม แม่ค้าสาวชาวบ้านแพน...”
ชายหนุ่มอมยิ้มให้กับบทเพลงที่วณิพกสองผัวเมียร้อง เขาไม่เคยฟังเพลงนี้อย่างจริงจังนัก แต่ท่วงทำนองก็คุ้นหูอยู่บ้าง และที่สำคัญ นนทภัทรพอใจกับเนื้อเพลงที่กล่าวถึง...แม่ค้าบ้านแพน
ธนบัตรใบสีแดงถูกหย่อนลงไปในกล่องรับบริจาค ก่อนที่ชายหนุ่มจะออกเดินทางกลับที่พักอีกครั้ง
“นี่ถ้าร้องว่า พ่อค้าหนุ่มบ้านแพนนะ พ่อจะควักใบม่วงให้เลย” นนทภัทรคิดในใจ พร้อมกับผิวปากเพลง “พ่อค้าตาคม” อย่างอารมณ์ดี


มาแล้ว เรื่องที่สอง หลังจากไปจบเรื่องลุงเต้กับน้องเจ๋งมาเรียบร้อย

ดีใจที่ชอบสองลุงจากเรื่องที่แล้วนะครับ

กว่าสองลุงจะพาเส้นขนานมาบรจบกัน ก็รอกันจนผมหงอกเลยทีเดียว (สิบปีแน่ะ เวอร์เนาะ  :laugh:)

ส่วนพี่ konnarak ที่ขอตอนพิเศษ คงต้องขอขัดใจนะครับ เพราะผมว่ามันสมบูรณ์ในตัวมันแล้ว

(อีกอย่างมันเป็นเรื่องสั้นนี่เนาะ)

เรื่องที่สองนี้ผมยังคงหัดเขียนแบบมุมมองบุคคลที่สามอยู่ อาจจะไม่ดีเท่าไหร่

แต่จะพยายามพัฒนานะครับ

ยังไม่ขอพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ไม่อยากชี้นำ แต่ตอนหน้าจะจบเรื่องที่สองแล้ว

(หรืออาจะมีอีกตอน ถ้าจบไม่ลง  :laugh:)

ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะครับ

ปล. พี่เดหลีเมื่อไหร่จะคลอดเรื่องยาวสักทีครับ รออ่านอยู่นะ เอาแมวสี่ตัวมาเป็นแขกรับเชิญด้วยนะ  :o8:


ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
มุขจีบของเกษตรอำเภอไม่เบาเลย

เวลาได้ยินคำว่า เกษตรอำเภอ ทีไร จะนึกถึงคุณประทีปกับครูไพลิน ในหนังสืออ่านภาษาไทยตอนประถม มานะมานี ทุกครั้งไป

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องใหม่น่ารัก

เล่าได้สวยดีค่ะ

 :pig4:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ฮ่าฮ่า ชอบเพลงนี้เหมือนกัน (บ่งบอกอายุ)
พี่นนเป็นเจ้าบุญทุ่มจริง ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
พ่อเกษตรอำเภอปากหวาน เทียวไล้ เทียวขือ ส่งข้าวต้มมัดทุกวันไม่ค่อยก้าวหน้า
เลยตัดสินใจบอกโต้ง ๆ เลย พ่อค้าพวงมาลัยต้องขวยเขินเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร
คงแค่ขอเวลาดู ๆ ไปก่อน ไม่ชอบบ้าง อะไรบ้าง ไม่รับของฝากทุกวันหรอก  :-[

ออฟไลน์ konnarak

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +182/-0
ถ้าคุณเจ้าหน้าที่ จะปากหวานขนาดนี้นะ อีกไม่นานหรอก


ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
นนทภัทรผู้ชายจริงใจ  ขี้สงสาร  ปากหวาน  นิสัยดี

หยอดแบบนี้ทุกวันพ่อค้าหนุ่มบ้านแพนไม่หลงก็ไม่รู้จะว่าไปงแล้ว

+1และเป็ดให้จ้า รอตอนต่อไปน้า

 :กอด1:

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
(แอบคิดย้อน ตอนพ.ศ. 2538 เราทำไรอยู่หว่า ยังเรียนประถมอยู่เลย เอิ๊ก) มีบอกเรื่องน้ำท่วม แถมเลือกปีพ.ศ. นี้อีกหวังว่ามันจะไม่โศกน้า เรื่องนี้น่ารักอะ

คุณนนใจป้ำมากมาย สมัยนั้นเงินร้อยก็ยังไม่เฟ้อเท่านี้เน้อ รวยเกินเกษตรอำเภอไปและ

ปล. คุณน้องอย่าเพิ่งทวงเรื่องยาวเค้านะ เขียนไปแล้วแหละแต่เป็นพวกชอบกลับไปแก้ ต้องรอให้นิ่งๆ ก่อนถึงจะลงได้ พักนี้ยังแอบยุ่งอีกด้วย ยังไงก็ขอบคุณมากๆ จ้า  :L2:

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
หยอดคำหวานทุกวัน
เมื่อไหร่พ่อค้าตาหวานจะใจอ่อนน้า  :L2:

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตอนจบ

ปลายเดือนกรกฏาคม สถานการณ์น้ำเหนือไหลบ่ายังคงน่าเป็นห่วง หากแต่คนภาคกลางห่างหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมมานาน เมื่อครั้งล่าสุดในสมัยพุทธศักราช ๒๔๘๓ นนทภัทรรู้ข้อมูลเรื่องนี้ดี ... หากแต่ทั้งทางการก็ไม่ได้ใส่ใจภัยธรรมชาติเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนี้เท่าไหร่นัก เพราะคนในที่ราบลุ่มส่วนใหญ่นั้นผจญกับน้ำท่วมอยู่เสมอ เพียงแต่เหตุการณ์ไม่รุนแรงและกินเวลาไม่นานนัก
พายุหลายลูกถล่มประเทศไทยนานหลายเดือนทำให้เกิดมวลน้ำจำนวนมหาศาลจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน หากแต่ทางการยังคงไร้การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมวลน้ำก้อนนี้ นนทภัทรยิ่งเป็นห่วงถึงปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะหากสิ่งที่เขากังวลเกิดขึ้นจริง พื้นที่ทำการเกษตรไม่รู้กี่ไร่ต่อกี่ไร่ในปทุมธานีคงต้องจมอยู่ใต้กระแสน้ำนานนับเดือนแน่
.
.
.
“เป็นอะไรไปคุณ ทำหน้าเหมือนท้องผูกมาหลายวันเชียว” พ่อค้าพวงมาลัยถามขึ้น หลังจากที่มองลูกค้าขาประจำวางถุงข้าวต้มมัดลงบนโต๊ะพร้อมกับนั่งลงหน้ามุ่ยๆ
“เครียดๆนิดหน่อยน่ะจอม”
“เรื่องงานน่ะหรอ”
“ไม่เชิงซะทีเดียว ผมเป็นห่วงชีวิตของคนที่นี่มากกว่า”
“เอ๋ ... ยังไงกันเนี่ยคุณนน”
“ก็ ... ถ้าผมบอกคุณว่าปทุมธานีน้ำจะท่วม คุณจะเชื่อผมมั้ย”
“เชื่อสิ ที่นี่ก็ท่วมทุกปีอยู่แล้ว”
“ไม่สิ มันจะไม่ใช่แค่ท่วมเหมือนทุกๆปีที่ผ่านมา แต่มันจะสูงเมตรสองเมตรและท่วมเป็นเดือนเลยนะจอม”  นนทภัทรยังไม่คลายความวิตก
“ขนาดนั้นเลยหรอคุณ มันเกินไปหน่อยหรือเปล่า ตั้งแต่ผมเกิดมาจนอายุเท่านี้ผมยังไม่เคยเห็นเลยนะ”
“ถูกของคุณ แต่ข้อมูลมวลน้ำปีนี้มันฟ้องว่ามันน่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่ว่าใครก็พากันมองข้ามไปเพราะมัวแต่บอกว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นนี่สิ”
“มันก็พูดยากนะครับ แล้วถ้าคุณมั่นใจว่ามันจะท่วมขนาดนั้นจริง คุณจะให้พวกชาวบ้านเค้าทำยังไงต่อละ”
“ก็ขนของหนีน้ำ และเตรียมอพยพหากสถานการณ์น้ำไม่น่าไว้ใจ”
“คุณพูดยังกับว่าปทุมธานีจะจมลงสู่มหาสมุทรแน่ะนน”
“แต่มันอาจจะเกิดขึ้นจริงๆนะ ... ผมเป็นห่วงชาวบ้านทุกคนที่นี่ โดยเฉพาะ...คุณนะ”
จอมคลี่ยิ้มออกช้าๆ ชายหนุ่มไม่ได้ปักใจเชื่อข้อมูลของนนทภัทรเท่าไหร่นัก หากแต่...ความเป็นห่วงของคนตรงหน้านั้น เขารู้สึกได้ว่าความรู้สึกนั้นเป็นของจริง
“ขอบคุณนะ ถึงคนบ้านแพนจะคุ้นเคยกับน้ำท่วมเป็นอย่างดี แต่เห็นทีปีนี้คงต้องระวังมากกว่านี้สักหน่อยแล้วล่ะ ก็เจ้าหน้าที่ของรัฐเค้าเตือนขนาดนี้นี่นา”
“แหม เตือนก็ต้องเชื่อกันหน่อยสิ”
“ก็เชื่อแล้วไง ต้องให้ทำยังไงอีกล่ะ”
“รักผมซะทีสิ” เกษตรอำเภอหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์
“น้อยๆหน่อยเหอะ ง่ายไปมั้ง”
“ง่ายที่ไหน ผมตามจีบจอมตั้งหลายเดือนแล้วนะ”
“รออีกสักปีไม่ได้รึไง” พ่อค้าพวงมาลัยยักคิ้วตอบ
“อ้อ ปีหน้าแต่งแน่สินะ”
“ตลก!”
.
.
.
พระอาทิตย์ยามเย็นคล้อยต่ำหากแต่แสงแดดยามเย็นยังทอแสงเป็นประกายกับผิวน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำท่วมกรุงเทพดูไม่ใช่เรื่องที่เกินจินตนาการเท่าไหร่นัก เมื่อมวลน้ำจากภาคเหนือเริ่มไหลเข้าสู่นครสวรรค์ อุทัยธานี และพิจิตรสูงถึงหนึ่งเมตรทั่วตัวเมือง
ผู้คนที่ทางการประกาศเป็นทางผ่านของน้ำเริ่มตื่นตัวและเตรียมมตัวรับกับปริมาณน้ำที่จะต้องประสบ
ดอกรักของเกษตรอำเภอหนุ่มกับพ่อค้าพวงมาลัยค่อยๆผลิบานริมท่าน้ำเมืองปทุมธานี สวนกระแสกับมวลน้ำที่ไหลบ่ามาเรื่อยๆ น้ำท่วมกรุงเทพและปริมณฑลไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อน้ำค่อยๆท่วมไล่มาจากพิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์ ...
“นนท์ คุณบอกว่า น้ำจะท่วมหนัก.... จริงๆหรอ”
“ก็จริงสิจอม ผมเตือนคุณแล้ว ไม่ได้มีแต่จอมหรอกนะที่วิตกกัน พวกเกษตรกรเค้าก็เครียดไม่น้อยไปกว่าคุณ และหากน้ำมาเมื่อไหร่ เทือกสวนไร่นาของพวกเค้าคงต้องจมน้ำแน่ๆ”
“แล้ว .... นนท์ว่า”
“น้ำมาแน่ๆ จอม” แววตาของเกษตรอำเภอหนุ่มแน่วหน้าและเป็นห่วงคนตรงหน้า “ผมอยากให้จอมมาอยู่กับผม .... ผมเป็นห่วงจอมนะ”
“ขอบคุณนะ” จอมมองตาคู่นั้นกลับด้วยท่าทีที่อ่อนโยน และเป็นมิตร “แต่ผมมีแม่ที่ต้องดูแล และบ้านของผม ผมก็ต้องดูแล ผมเป็นเสาหลักของบ้านนะ ผมจะหนีเอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้หรอก”
“พาแม่ของจอมมาด้วยกันสิ ... ผมยินดี เพราะ... ผมรักแม่ของจอมเหมือนที่ผมรักจอมนั่นแหละ”
“นนท์...”
“ผมพูดจริงๆ ผมรักจอม .... ผมรู้ว่าน้ำท่วมครั้งนี้หนักหนาสาหัสไม่ธรรมดา ... และชีวิตคนเรามันก็ไม่แน่นอน แต่ผมคิดว่า ผมดูแลคนที่ผมรักได้” วาจาของนนทภัทรมั่นคง และแน่วแน่ คำพูดของเขาหนักแน่นยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อกุมมือของคนที่เขาอยากใหมั่นใจเอาไว้แน่น “ผม.... ไม่อยากให้คุณเป็นอะไรนะ”
“นนท์ .... ผม”
“ผมต้องบอกว่ารักคุณอีกกี่ครั้ง คุณถึงจะยอมย้ายมาอยู่กับผม” มือเรียวของจอมถูกกุมให้แน่นขึ้นอีก จนอีกฝ่ายต้องหลบตา
ท่าน้ำเมืองปทุมขวักไขว่ไปด้วยผู้คนที่เดินไปมา คงมีจำนวนไม่น้อยที่เตรียมตัวรับสานการณ์น้ำที่กำลังจะมา จนลืมสนใจไปว่า ผู้ชายสองคนกำลังสานความสัมพันธ์กันด้วยการจับมือกันไว้ใต้โต๊ะแผงพวงมาลัย หากผู้คนพวกนั้นสังเกตมาสักนิด คงจะมองเห็นพวงแก้มที่แดงก่ำด้วยความเขินอายของพ่อค้าพวงมาลัยแห่งท่าน้ำเมืองปทุมในตอนนี้
“ขอบคุณอีกครั้งนะนนท์ .... แต่ผมคิดว่า ผมคงไปอยู่กับนนท์ไม่ได้ บ้านหลังนั้น แม่ผมรักมันมาก ตากับยายของผมอยู่ที่นั่นมาตลอด ถึง...ผมจะเป็นแบบนี้ แต่ถึงยังไง ผมก็ต้องดูแลท่าน”
“จอม ...”
“แล้วนนท์ก็ไม่ต้องพูดว่ารักผมอีกแล้วล่ะ .... เพราะผม ก็รู้สึกไม่ต่างจากนนท์หรอก”
นนทภัทรยิ้มแก้มปริ เมื่อได้ยินความในที่ถูกเฉลยจากปากของคนตรงหน้า
“นี่หมายความว่า....!!!”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ นนท์เชื่อใจผมมั้ย คนบ้านแพนไม่เป็นอะไรเพราะน้ำท่วมหรอก ผมเกิดจนโตมาจนป่านนี้ จอมรู้มั้ย บ้านผมน้ำท่วมไม่รู้กี่ครั้ง แต่ผมก็ยังรอดมาได้ .... “ พ่อค้าพวงมาลัยพูดทั้งที่ยังก้มหน้า “นนท์รอได้มั้ยล่ะ ไม่ว่ายังไง ผมต้องกลับมาที่นี่ได้อีกครั้งสิน่า”
“จอม ... มาอยู่กับผมเถอะ ให้ผมได้ดูแลจอมนะ ...ผมกลัว”
“ผมรู้แล้วว่านนท์เป็นห่วง แต่ผมก็มีคนให้ดูแลเหมือนกัน .... ถ้ารักกันแล้ว ก็รอหน่อยไม่ได้หรอ”
ดวงตาของนนทภัทรจ้องลึกลงไปในแววตาของชายผู้เป็นที่รัก คำตอบของคนตรงหน้าชัดเจนในแววตาคู่นั้น หากไม่มีแรงบีบมือกลับจากพ่อค้าพวงมาลัย เกษตรอำเภอหนุ่มคงปวดใจไม่น้อยกับการรอคอยท่ามกลางภัยธรรมชาติครั้งนี้ และคำว่ารักที่อีกฝ่ายมอบให้แล้ว กลับให้ความหวังที่ยิ่งใหญ่ ว่าเมื่อมวลน้ำผ่านไป ดอกรักสีชมพูจะผลิบานกลางดวงใจของทั้งสองคน
“ถ้าอย่างนั้น ... ผมจะรอ จอมต้องไม่เป็นอะไรนะ”
“สัญญาได้เลยครับคุณเกษตรอำเภอ”
.
.
.
สถานการณ์น้ำท่วมเป็นไปตามที่นนทภัทรคิด น้ำเหนือไหลบ่ามาจำนวนมากจ่อเข้านครสวรรค์และอุทัยธานี ชายหนุ่มดูข่าวทีวีด้วยความรู้สึกใจหาย อีกไม่นานที่นาอีกหลายหมื่นหลายแสนไร่คงจะจมหายไปกับสายน้ำอย่างแน่นอน และที่อดห่วงไม่ได้เป็นที่สุด นั่นก็คือคนอวดดีที่บอกว่าจะปกป้องแม่ที่บ้านแพนนั่นแหละ ตัวแค่นั้นจะไปทำอะไรได้ น้ำไม่รู้กี่ลูกบาศก์เมตรนะ
ข่าวน้ำท่วมทำให้เกษตรอำเภอหนุ่มกระวนกระวายใจอยู่ทั้งวัน หากบ้านของพ่อค้าพวงมาลัยคนนั้นมีโทรศัพท์ชายหนุ่มคงจะโทรไปหาเสียตั้งแต่เมื่อคืนด้วยซ้ำ แต่นี่เบอร์บ้านก็ไม่มี ยิ่งทำให้ความวิตกกังวลใจยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ตกเย็น นนทภัทรรีบบึ่งไปที่ท่าน้ำเมืองปทุมธานีโดยไม่ได้มีข้าวต้มมัดอย่างเคยด้วยความรู้สึกร้อนรนอัดอั้นในใจ และเมื่อไปถึง ภาพท่าน้ำที่ปราศจากแผงพวงมาลัยก็ทำให้ชายหนุ่มแทบจะเข่าอ่อนทรุดตัวลงตรงนั้น
“ไม่....ไม่จริงใช่มั้ยจอม คุณหายไปไหนเนี่ย”
.
.
.
ในที่สุด น้ำก็มาถึงปทุมธานี ข่าวดังที่สุดคงหนีไม่พ้นหมู่บ้านไวท์เฮาส์ที่ท่วมไปหลายหลังคาเรือน ตัวเมืองปทุมธานีเองก็โดนไม่น้อย ระดับน้ำสูงถึงเอวทีเดียวจนที่ว่าการอำเภอไม่สามารถที่จะเปิดให้บริการได้ตามปกติ ตัวนนทภัทรเองก็ออกไปช่วยผู้ประสบภัยตามที่ต่างๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ลึกๆแล้วจะร้อนใจอยู่ทุกวัน กับชะตาของคนที่อยู่บ้านแพน
ข่าวประชาชนต้องอาศัยอยู่บนหลังคาเรือนยิ่งทำให้ชายหนุ่มยิ้งสะท้อนใจ และมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ถูกน้ำพัดพาไปจนหายสาบสูญซึ่งชะตากรรมก็คงไม่พ้นสิ้นลมหายใจ นนทภัทรทำได้แค่เฝ้าภาวนาไม่ให้หนึ่งในผู้โชคร้ายเหล่านั้นไม่มีคนชื่อจอมรวมอยู่ด้วย
ที่ว่าการอำเภอกลายเป็นที่พักพิงชั่วคราวของเกษตรอำเภอหนุ่มและผู้ประสบภัยอีกหลายๆคน ชายหนุ่มนั่งทอดหายใจอยู่บนชั้นสองด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเป็นห่วงคนไกลผู้เป็นดั่งดวงใจ ถึงคนๆนั้นจะยังไม่ตอบรับในไมตรี แต่ทว่าเวลาที่ไม่ได้เจอหน้าหวานๆของชายผู้นั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มร้อนรุ่มดั่งกามนิตหนุ่มกลุ้มใจคนึงหาถึงวาสิฏฐี
“พ่อค้าหน้านวลเคยนั่งเรือด่วน....สายบ้านแพน
ใยหลบหน้าตาหนีแฟน .... เห็นเรือด่วนแล่นคิดถึงแต่เธอ
เคยฝากจดหมายนายท้ายเรือ....ให้เสมอ
พี่หลงคอย....คอยน้องเก้อ
เฝ้าหลงคอยเธอ....ที่เมืองปทุม”
นนทภัทรร้องเพลงที่เคยชอบด้วยเนื้อเพลงที่เปลี่ยนไปตามความรู้สึกข้างใน ก่อนจะรำพึงกับตัวเองเบาๆ
“คุณยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม จอม...”
.
.
.
๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๘
นนทภัทรนั่งมองพระจันทร์เต็มดวงอยู่บนชั้นสองของอาคาร หากเบื้องล่างไม่มีน้ำสูงถึงโคนขาแล้วล่ะก็ วันนี้ตัวเขาเองรวมถึงคนอื่นอีกหลายคนน่าจะได้ไปยืนกันที่ริมตลิ่งพร้อมด้วยเสียงประทัดและแสงเทียนสว่างไสวเต็มผืนน้ำเจ้าพระยา หากแต่เมื่อมองไปทางไหนก็เจอแต่น้ำเช่นนี้ กลับทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่กับภัยพิบัติที่ประสบพบเจอ
ชายหนุ่มฉีกกระดาษจากสมุดทำงาน ก่อนจะพับเป็นเรือใบอย่างง่ายๆ เขาหลับตาอธิษฐานต่อหน้าเรือกระดาษที่ใช้แทนกระทงด้วยความหัวใจที่หวิวๆ เหมือนจะขาด
“ขอให้ผมได้เจอจอมในเร็ววันเถอะนะครับ พระแม่คงคา”
.
.
.
๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๘
เสียงพลุดังเปรี้ยงปร้างพร้อมกับเสียงเพลงอวยพรปีใหม่ดังกระหึ่มไปทั่วท่าน้ำเมืองปทุม น้ำลดจนแห้งหมดแล้วหลังจากท่วมขังเป็นเวลาสองเดือน ลากยาวมาจนถึงเทศกาลสิ้นปี ถึงแม้ประชาชนจะไม่ได้มีเงินทองมากมายนักเนื่องจากต้องหยุดงานและต้องนำไปบูรณะซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย หากแต่ความทุกข์และความเครียดตลอดเวลาที่น้ำมาก็ทำให้หลายคนยิ้มชื่นบานเมื่อเทศกาลแห่งความสุขอย่างวันสิ้นปีมาถึง นนทภัทรยิ้มเหงาๆอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอ หลังจากที่เมื่อวันศุกร์ชายหนุ่มได้ทำงานเป็นวันสุดท้ายของปี และมีประชาชนมาขอรับพันธ์ข้าวไปเป็นจำนวนมากหลังจากที่น้ำท่วมไร่นาเสียหายไป
ชายหนุ่มมองไปยังท่าน้ำเมืองปทุมอีกครั้งด้วยหัวใจที่ว่างเปล่าและปวดร้าว เกือบสามเดือนที่พ่อค้าพวงมาลัยแห่งท่าน้ำเมืองปทุมหายไปจากแผง หากเขาถามชื่อจริงให้รู้ก่อนนี้คงจะตามหาไม่ยากว่านายจอมเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ในเมื่อ นนทภัทรไม่รู้ เขาจึงทำได้แค่รอ ...รอ ...และรอการกลับมาทำการอีกครั้งของแผงมาลัยกับพ่อค้าหน้าหวานแห่งท่าน้ำแห่งนี้
ลานหน้าที่ว่าการอำเภอแน่นขนัดไปด้วยผู้คนเนื่องจากมีมหรสพและห้างร้านมากมายให้เลือกซื้อเลือกชมกัน ชายหนุ่มมองหลายคนในงานที่เกี่ยวแขนกันมาเป็นคู่ๆ หากวันนี้มีจอมอยู่ ชายหนุ่มมั่นใจว่าเขาจะไม่ขลาดอายที่จะทำแบบคนที่รักกันบ้าง ...ให้สมกับที่รอคอย คอยมานานเหลือเกิน โดยที่ไม่รู้ว่าชายคนนั้นอยู่หรือตาย
ห้าทุ่มสี่สิบห้านาที...
นนทภัทรเดินกลับมาที่ท่าน้ำอีกครั้ง ลึกแล้วชายหนุ่มหวังว่าจะได้เจอพ่อค้าหนุ่มชาวบ้านแพงในงานนี้ น้ำในเมืองอยุธยารวมถึงบ้านแพนน่าจะลดลงนานแล้ว เพราะปทุมธานีเองก็แห้งไปจนหมดแล้ว แต่ทว่าไม่ว่ายังไงก็ยังไร้วี่แววของนายจอมคนนั้น
หน่วยงานราชการมีการรวบรวมรายชื่อของผู้สูญหายและเสียชีวิตจากอุทกภัยครั้งนี้ แต่ทว่าเกษตรอำเภอหนุ่มกลับขลาดกลัวที่จะดูรายชื่อเหล่านั้น ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่รู้ว่า จอมชื่ออะไร และเขาก็กลัวที่จะได้เห็นรายชื่อของผู้ประสบชายจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา .... นนทภัทรกลัวที่จะตีความแบบแช่งคนที่เขารัก
“เรามานับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่พร้อมกันนะครับ ....” เสียงโฆษกบนเวทีดังขึ้นจากเครื่องเสียงขนาดยักษ์กลางลาน ชายหนุ่มเหลือบตาไปตามเสียงด้วยแววตาปวดร้าว ก่อนจะนับถอยหลังตามในใจ
“9
8
7
6
5
4
3
2
1”
เสียงประทัดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับดอกไม้ไฟจำนวนไม่รู้กี่ดอกต่อกี่ดอกที่แข่งกันอวดสีสันเต็มน่านฟ้า ชายหนุ่มยิ้มเศร้ากับแสงสีเหล่านั้นพร้อมกับดวงตาที่ร้อนผ่าว ความขมขื่นในหัวใจโหดร้ายเกินไปที่จะทำให้นนทภัทรอดทนต่อได้ หยาดน้ำใสๆค่อยๆทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วงและไหลลงช้าๆข้างแกมของเกษตรอำเภอหนุ่มที่แหงมมองฟ้าเพียงลำพังท่ามกลางฝูงชน
“ดอกไม้ไฟสวยมากๆเลยนะจอม”
“ไม่ปวดคอหรือไงฮึ คุณเกษตรอำเภอ”
เสียงดังมาจากข้างหลังนนทภัทรพร้อมกับความรู้สึกจากการถูกสะกิดเบาๆ เสียงคุ้นหูนั้นดังลอดเสียงครึกโครมของเครื่องมโหรีและเสียงพลุดอกไฟ หากแต่ในเวลานี้ แม้เสียงอื่นจะดังขนาดไหน แต่ทว่าชายหนุ่มกลับดีใจอย่างที่สุดที่ได้ยินเสียงแปลกปลอมนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นเสียงของคน....ที่ชายหนุ่มเฝ้ารอคอยมาตลอดน้ำลด
“ปวดใจมากกว่า หายไปตั้งนานไม่ส่งข่าวส่งคราว”
“ใจเสาะล่ะสิ แค่สองเดือนเอง “
นนทภัทรหันมายิ้มกว้างให้กับจอมที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะคว้าพ่อค้าพวงมาลัยมากอดไว้แน่นอย่างไม่สนใจผู้คนรอบข้าง
“เฮ้ย คุณ จะบ้าหรอ คนเยอะแยะ”
“ผมไม่อายอะไรแล้ว จอมรู้มั้ย ตลอดเวลาที่จอมหายไปแบบไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ผมใจจะขาดเลยรู้มั้ย เป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่มีทางรู้เลย”
“โธ่ ช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้ใครๆเค้าก็ลำบากกันทั้งนั้นแหละน่า”
“แล้วจอมเป็นยังไงบ้างล่ะ”  ชายหนุ่มคลายอ้อมกอดลง พร้อมกับกวาดสายตามองร่างเล็กของพ่อค้าจอมอย่างพิจารณา
“ก็...เฮ้อแย่ ร้อนกินนอนบนหลังคาก็ลำบากเป็นธรรมดาแหละ”
“แม่จอมล่ะ”
“สบายดีครับ ...แม่ผมเก่งกว่าผมอีก แกผจญน้ำท่วมมาตั้งแต่เกิดนะ”
นนทภัทรมองตาของพ่อค้าพวงมาลัยด้วยม่านตาที่ยังเปียกชื้นจากคราบน้ำตา “จอม ... มาอยู่กับผมเถอะ พาแม่คุณมาด้วย ...ผม....รักคุณนะจอม”
“คำรักของคุณมันออกมาง่ายจัง พ่อเกษตรอำเภอ!! ผมคงต้องสำลักความหวานซักวันล่ะมั้งเนี่ย” จอมพ้อหน้าแดงกับคำพูดของเกษตรอำเภอหนุ่ม
“ผมไม่อยากเสียคุณไปไงจอม ชีวิตคนเรามันสั้นนะ ผมอยากอยู่กับจอม อยากนอนกอดจอมทุกวัน อยากบอกรักจอมทุกวันด้วย จอมเข้าใจมั้ย”
ใบหน้าของจอมแดงและร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิมจนต้องปลีกตัวหนีออกมาจากเกษตรอำเภอหนุ่มที่มองเขาด้วยสีหน้าและแววตาที่แทบจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว จอมเลือกที่จะใช้ราวกั้นท่าน้ำเป็นที่พิงตัว ก่อนที่ชายหนุ่มจะพยายามหุบยิ้มและหันหน้าหนีไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา
“แม่ผมคงไม่ยอมไปไหนง่ายๆ ที่นั่นเป็นบ้านของท่าน ....”พ่อค้าพวงมาลัยเว้นช่วงนานสักหน่อย ก่อนจะพูดต่อ “แต่ถ้าเป็นตัวพ่อค้าเองคิดว่า ถ้าได้พักใกล้ๆกับท่าน้ำบ้างวันเว้นวัน ก็อาจจะพอได้นะ”
“จอม...” นนทภัทรฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบ
“แค่นี้พอใจมั้ยครับ คุณเกษตรอำเภอ”
“ไม่พอใจหรอก สงสัยผมคงต้องไปเกลี้ยกล่อมแม่ของพ่อค้าพวงมาลัยสักหน่อย ว่าบ้านของว่าที่ลูกเขยที่ปทุมน่ะ สบายกว่าบ้านที่บ้านแพนของท่านเยอะ ท่านควรจะย้ายมาอยู่เสียที่นี่เลย คุณพ่อค้าพวงมาลัยจะได้มาอยู่ด้วยกันกับผมทุกวัน”
.
.
.
๑๒ กันยายน ๒๕๕๔
สถานการณ์น้ำเหนือไหลทะลักกลับมาระทึกขวัญคนไทยอีกครั้ง น้ำท่วมทั่วจังหวัดนครสวรรค์ ก่อนจะเริ่มไหลเข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานีกำลังจะเป็นจังหวัดต่อไป ปีนี้หลายๆคนวมถึงสื่อต่างๆ ต่างพากันโหมกระแสมวลน้ำครั้งนี้กันเป็นจำนวนมาก หลายๆแห่งต่างช่วยกันขนกระสอบทรายเพื่อทำคันกั้นน้ำ รวมถึง ... ปทุมธานี
“เหนื่อยมั้ยนนท์” ชายหนุ่มที่กำลังตักทรายใส่กระสอบหันไปตามเสียง ก็พบจอมยื่นขวดน้ำพร้อมหลอดมาให้
“เห็นหน้าจอมก็หายเหนื่อยแล้วล่ะ”
“เวอร์ตลอด”
“เอ้า ก็มันจริง รักจริงด้วยนะ”
อดีตพ่อค้าพวงมาลัยที่ตอนนี้กลายเป็นพ่อค้าผลไม้กระแทกหลอดดูดน้ำเข้าปากเกษตรอำเภอหนุ่ม ก่อนจะดุอย่างไม่จริงจังนัก
“เอาให้เลือดออกปากซะทีดีมั้ย จะได้เลิกพูดอะไรเลี่ยนๆ อายุอานามไม่ใช่น้อยๆกันแล้วนะเราน่ะ “
“โอ๊ย มันเจ็บนะจอม” ชายหนุ่มลูบปากตัวเองจนทรายเลอะไปทั่ว จอมอดยิ้มกับความทะเล้นของคนรักไม่ได้ จนต้องเอื้อมมือไปเช็ดทรายที่เปื้อนอยู่ที่หน้าของนนทภัทรเบาๆ
“น้ำท่วมครั้งนี้ เราจะรอดมั้ยเนี่ยนนท์”
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะจอมว่ากระสอบทรายพวกนี้จะเอาอยู่มั้ย แต่ผมไม่กลัวอะไรแล้วล่ะ น้ำท่วมคราวที่แล้วน่ากลัวกว่าเยอะเลยแหละถ้าเทียบกับคราวนี้”
“แต่ผมคิดว่า คราวนี้มันน่ากลัวกว่าเยอะเลยนะ ดูข่าวแล้วก็ใจหาย”
“ผมไม่ได้ใช้ความเสียหายและปริมาณน้ำเป็นตัวตัดสินนี่นา แต่ผมใช้....” นนทภัทรมองตาของคนตรงหน้า ก่อนจะพูดต่อ “คุณไง น้ำท่วมครั้งนี้ ผมมีจอมอยู่ข้างๆ ต่อให้น้ำท่วมโลก ผมก็ต้องพาจอมกับแม่ให้รอดจนได้แหละ”
“ให้มันจริงเถอะ อ่ะตักกระสอบทรายต่อไปไป๊! อย่าอู้”
“คร้าบ ทราบแล้วครับ”
.
.
.
นนทภัทรพูดไม่ผิดนักหรอก ... ก็คนมันเคยผ่านมาแล้วนี่นา น้ำท่วมน่ะ จะท่วมปีที่แล้วหรือปีนี้ มันก็น้ำเหมือนกันนั่นแหละ
.... แล้วปีนี้ ยังมีคนคอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆแบบนี้ ต่อให้น้ำมาสักกี่เมตร นนทภัทรก็คงไม่กลัวแล้วล่ะ

จบตอน
[/color]

ดองพ่อนนทภัทรกับนายจอมซะนานเลย แหะๆ

อย่างที่บอกแหละครับ ว่าโดนย้ายสายฟ้าแลบมาสระบุรี กว่าจะปรับตัวได้ ทำเอาแย่เหมือนกัน

วันนี้แอบลงสองเรื่องรวดเลย โทษฐานรอนาน คือเรื่องใหม่ กรุ่นกลิ่นรวงข้าว กับตอนจบของเรื่องสั้นเรื่องนี้

ขอบคุณที่ตามอ่านนะครับ หวังว่าเรื่องนี้น่าจะเรียกรอยยิ้มให้กับหลายคนบ้างนะครับ

@yeyong : พี่สาวสุดสวย อยากบอกว่าผมทันมานะมานีนะ แต่ครูไพลินนี่นึกไม่ออกจริงๆ - - สงสัยจะความจำสั้น เพราะขนาดเขียนเรื่องนี้ยังค้นอากู๋จนปวดหมับเกือบจะถอดใจแล้วแหละ

@- คราส -  ขอบคุณมากครับ  :3123:

@malula  ผมชอบรายการชิงช้าสวรรค์ครับ เพลงไหนที่น้องเอามาแข่งและทำโชว์ดีๆร้องเพราะๆ ผมจะปลื้มเป็นพิเศษ (รวมเพลงนี้ด้วย)

@ Cherry Red  พ่อค้าพวงมาลัยเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนเกษตรอำเภอตามคาดครับ  :o8:

@ konnarak  ผมว่านานอยู่นะ กว่าน้ำจะลด ตั้งหลายเดือนแน่ะ

@ MiSS-U มาต่อแล้วนะครับ แต่นานไปหน่อย (สองอาทิตย์แหนะ)  :t3:

@ เดหลี พี่เดหลีโกงอายุ!!! เรื่องนี้ไม่โศก(ตอนจบหรอกครับ) แต่สไตล์ผมชอบปล่อยให้โศกกลางทาง แล้วค่อยตามเก็บศพตอนจบ ฮ่าๆ ส่วนนิยายพี่เดหลี เขียนได้สักหน่อย ก็เอามาปล่อยบ้างสิครับ คนอ่านจะได้หายคิดถึงไง ทวงกันตรงนี้แหละ  :laugh:

@ Little Diamond  แอบเห็นด้วยครับ  o13

@ zombi ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับพี่ ตั้งแต่นายลอยกับนายลมเลย  :กอด1:

สำหรับเรื่องหน้า ต้องรอดูก่อนครับว่าอยากจะเขียนเรื่องอะไร อย่างที่บอกว่าแพลนเรื่องสั้นเยอะมาก แต่ถ้ามาวินตอนนี้ แอบสปอยก่อน แต่อาจจะไม่ใช่เรื่องนี้ ชื่อเรื่องว่า "ภูเก็ต" ครับ

 :L2:
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2011 15:46:43 โดย Glorious »

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
อ่านแล้วปลื้ม
ใจชุ่มชื่นมากค่ะ  วิ่งไปอ่านเรื่องใหม่ก่อน

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันจริงๆ
ชอบที่โยงเรื่องน้ำท่วมทั้งสองปีเข้าด้วยกัน

 :pig4:

Warlock

  • บุคคลทั่วไป
ชอบทั้ง2เรื่องเลยอ่ะ เรื่องแรกก็ดีแอบแต่กว่าจะสมหวังนานมากกแต่ก็ทำให้รู้ว่ารักแท้มีอยู่จริง

เรื่องที่สองเกาะติดกระแสมากมายอ่ะน้ำท่วมตกใจตอนที่จอมหายไปกลัวจะเป็นอะไรไปแต่ก็สมหวัง สรุปว่าชอบจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






Nineน้อย

  • บุคคลทั่วไป
ชอบๆๆๆๆ ทั้งสองเรื่องเลยอ่ะครับ

เรื่องแรกก็ลุ้นอยู่ว่าจะจบลงยังไง สุดท้ายเส้นขนานก็มาบรรจบกัน

ส่วนเรื่องที่สองนี้ก็สมหวังอีกเช่นกัน สรุปว่า เราชอบๆๆๆ

ขอบคุณนะคร้าบ

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
อ๊าย...เป็นตอนจบที่สุขใจและเต็มตื้นจริง ๆ ค่ะ  :impress:
ไม่ว่าน้ำจะท่วมสูงแค่ไหน? ขอแค่มีคนที่รักอยู่เคียงข้าง ก็ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี? ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น? เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป (กรี๊ด... :m3:
   

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
 o13

เพิ่งเข้าใจว่าชื่อเรื่องนั้นมายังไงจากไหน555

เข้าใจตั้งอ่ะเก๋มาก  ชอบเรื่องนี้อ่ะหวานเรื่อยๆเย็นๆ

ได้บรรยากาศ  แถมอินเทรนวิกฤตน้ำอีกต่างหาก

+เป็ดให้ค่ะ  และรอเรื่องต่อๆไป

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
แหมๆๆๆๆๆๆ
จากความรักรุ่นหนุ่ม ผจญเหตุการณ์น้ำท่วมมาจนถึงวัยหนุ่มใหญ่
ผูกเรื่องได้เก่งจริงจ้า

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
อิ่มใจ
วันนี้ได้กำลังใจหลายขนานเชียว ^^

รอกำลังใจจาก"ภูเก็ต"อยู่นะจ๊ะ

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
เราจะฝ่าวิกฤตการณ์น้ำท่วมไปด้วยกัน ฮุฮุ
มีมาแอบโศกตอนกลางอีก คุณพ่อค้านะไม่น่าหายเงียบไปเลยคุณนนใจเสียแล้วมั้ย
แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันจนน้ำท่วมคราวนี้ ยังไงก็ 'เอาอยู่' นะจ๊ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
เรื่องที่๓.....ภูเก็ต

“ตึ๊ง ตึ่ง ตึง ตึ่ง .... ตึ่ง ตึง ตึ๊ง ตึ่ง”
เสียงออดของโรงเรียนดังขึ้น พร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วของการทำความเคารพครั้งสุดท้ายของวันที่เหล่านักเรียนชั้นประถมส่งเสียงเจื้อยแจ้ว อรรถพรหรืออ๊อด ครูประจำชั้นของนักเรียนป.2/2 ของโรงเรียนรับไหว้เหล่าลูกศิษย์ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องเรียนไปยังห้องพักครูด้วยความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย หากแต่ชายหนุ่มยังคงยกยิ้มมุมปากอันเกิดจากความสุขใจในอาชีพที่ตนรัก
อีกทั้งเมื่อนึกถึงสารถีที่จะมารับส่งเย็นนี้ ชายหนุ่มยิ่งยิ้มอย่างเป็นสุขใจนัก
หลังจากเก็บข้าวของเสร็จสรรพ อรรถพรก้าวย่างไปยังบริเวณด้านหน้าโรงเรียนอย่างอารมณ์ดี พลางทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า รถสองแถวสีแดงมาจอดรับเหมือนเช่นทุกวัน พร้อมกับคนขับที่ยืนฉีกยิ้มแฉ่งด้วยแววตาเป็นประกายซื่อๆ
“คงจะรวยอยู่หรอก มารับทุกวันแบบนี้” อรรถพลเอ่ยขึ้น
“เงินทองน่ะมีไม่เยอะหรอก แต่ความรักที่มีให้น่ะ เยอะจนนับไม่ถ้วน” สมปอง คนขับรถสองแถวหยอดคำหวานเหมือนทุกวัน พลางผายมือเชื้อเชิญ “หิวหรือยัง ไปกันเลยมั้ย”
ครูหนุ่มยิ้มรับพร้อมกับพยักหน้า ก่อนจะก้าวขึ้นรถสองแถวกลางเก่ากลางใหม่สีแดงตรงหน้า

แปดปีกว่าที่สมปองมั่นคงในความรักที่มีให้แก่อรรถพล เขายังจำได้ดีถึงวันที่ชายหนุ่มเกือบจะไปไม่ทันงานกีฬาสีเมื่อสมัยอยู่มัธยมหก ในวันที่เขาต้องเป็นดรัมเมเยอร์ของสี เขาบึ่งรถมอเตอร์ไซค์วินไปอย่างเร่งรีบ แต่ทว่าความโชคร้ายของเขาไม่ได้มีแค่การตื่นสาย หากแต่รถมอเตอร์ไซค์เจ้ากรรมยังเกิดยางแตกเอาเสียดื้อๆ ในวันนั้น น้ำตาของอ๊อดคลอรื้นทั่วหน่วยตาพลางมองดูไปยังพาหนะที่จอดนิ่งโดยไปต่อไม่ได้ และเหมือนโชคชะตาจะดลบันดาลให้ทั้งอ๊อดและปองมาพบกัน ทำให้คนขับรถสองแถวปอนๆอย่างปอง จอดเทียบข้างๆอ๊อดในวันนั้น

“ผมคิดว่า พี่น่าจะต้องการความช่วยเหลือจากผมนะครับ”
นายอ๊อดในวันนั้นหันมามองทั้งด้วยตาที่ชื้นแฉะ ก่อนจะเอ่ยเสียงเศร้าๆและก้มมองชุดแฟนตาซีในมือ “ผมคงไปไม่ทันแล้วล่ะครับ”
“เอ๊ย อย่าเพิ่งถอดใจสิครับ ขึ้นรถเลยลูกพี่เดี๋ยวผมไปส่งเอง”

รถสองแถวที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นรถบุโรทั่งบึ่งทะยานไปอย่างสุดแรงม้า แววตาของผู้โดยสารวัยละอ่อนเริ่มมีประกายแห่งความหวัง ซึ่งสมปองในวันนั้นแอบลอบมองเป็นระยะ และเหมือนกลับชะตาต้องกันให้มาคบกัน เขาหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของแววตารวมถึงใบหน้าของเด็กคนนั้น แต่ความจริงเรียกว่าเด็กก็อาจจะผิดไปสักหน่อย เพราะอันที่จริง สมปองเองก็คงอายุไล่เลี่ยกับดรัมเมเยอร์หน้าหวานคนนี้ เพราะเขาเองก็ออกจากโรงเรียนตั้งแต่จบมอสาม และมาขับรถสองแถวรับจ้างจนถึงปัจจุบัน
สมปองห้อทะยานมาถึงที่หมายอย่างฉิวเฉียด เด็กหนุ่มคนนั้นในวันนั้นยิ้มกว้าง พลางขอบอกขอบใจยกใหญ่ และคว้าธนบัตรใบสีม่วงใส่มือคนขับสองแถวอย่งว่องไว ก่อนจะรีบวิ่งไป
“ขอบคุณมากครับพี่ ไม่ต้องทอน”
“เฮ้ย ...นาย”สมปองเอ่ยรั้งไว้ หากแต่ไม่ทันเสียแล้ว เงินจำนวนนี้ถือว่ามากเกินไป ถ้าเป็นคนอื่น เขาอาจจะดีใจเมื่อได้รับเงินทิปเวลาที่ผู้โดยสารพอใจในการบริการ หากแต่กับผู้โดยสารคนนี้ เขากลับมองเห็นเงินไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

และเย็นวันนั้น ชายขับรถสองแถวก็ไปรอเด็กมัธยมปลายคนนั้นอีกครั้ง
“ผมเอาตังค์ทอนมาให้ครับ” เขาพูดยิ้มๆ
.
.
มิตรภาพเล็กๆก่อตัวขึ้นตั้งแต่วันนั้นระหว่างลูกชายเจ้าของสวนยางกับชายขับรถสองสองแถว ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีเมื่อมันเป็นสิ่งที่ฟ้าลิขิตมา ทั้งสองคนต่างก็ไม่รู้ว่าดอกรักนั้นบานขึ้นตอนไหน หากแต่ในวันนั้นเมื่อทั้งคู่มองตากันก็ต่างเข้าใจ แม้ทางเดินของทั้งคู่แทบจะเกือบเป็นเส้นขนาน

“ปอง ... ปองจะลืมอ๊อดไปก็ได้นะ ห้าปีมันนานมากนะ.” อ๊อดเอ่ยด้วยเสียงเศร้า บนสะพานสารสินสายเก่าที่เชื่อมระหว่างภูเก็ตกับพังงา
“ทำไมอ๊อดพูดแบบนั้นล่ะ ผมรักอ๊อดนะ” ชายหนุ่มยืนยัน “นานเท่าไหร่ผมก็จะรอ”
“อ๊อดไม่อยากหวัง..... อ๊อดกลัว บางที ถ้าเราเลือกที่จะหยุดมันไว้เท่านี้ อ๊อดอาจจะร้องไห้แค่วันนี้”
“เชื่อผมสิอ๊อดว่าผมจะไม่ทำให้อ๊อดเสียน้ำตา ผมไม่ได้ให้ความหวังแต่ผมอยากให้อ๊อดเชื่อผม” สมปองพูดพร้อมกับจับมือของอีกฝ่ายไว้แน่น “ผมจะจดหมายไปหาบ่อยๆ”
ว่าที่นักศึกษามหาลัยมองลึกลงไปในแววตาของคนรัก พลางกลืนสะอื้นลงคอ “งั้นผมจะเชื่อปอง กรุงเทพภูเก็ตอาจจะใช้เวลานานสักหน่อยกว่าจดหมายจะไปถึง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้คุยกันเลยนี่นะ หรือวันไหนรับคนได้เยอะหน่อยก็หยอดตู้โทรหากันบ้างนะ .... อ๊อดอยากได้ยินเสียงปอง”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย พลางนึกสมเพชตัวเองที่อาจเอื้อมเด็ดดอกฟ้ามาเคียงคู่ คนรักของเขาอยู่ในครอบครัวที่มีอันจะกินและต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิงที่แม้แต่โทรศัพท์มือสองสักเครื่องเขาก็ยังลังเลที่จะหามาเป็นเจ้าของ
“อื้อ สัญญา ผมรักอ๊อดมากนะ”
“อ๊อดก็เหมือนกัน” ทั้งคู่ต่างยิ้มให้กัน ก่อนที่วันรุ่งขึ้นทั้งคู่ต่างต้องจากลากันไป
.
.
.
ทิวสวนยางทอดไกลไปสุดลูกหูลูกตา อากาศยามสายของวันเสาร์ประกอบกับลมเย็นๆที่พัดผิวกายของครูหนุ่มที่กำลังตรวจการบ้านของนักเรียนอยู่ที่โต๊ะม้าหินทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมาสูดกลิ่นกอมอ่อนๆของผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ของที่แห่งนี้
“วันเสาร์ก็ยังต้องมานั่งทำงานแบบนี้ น่าเหนื่อยนะการเป็นครูเนี่ย” เสียงของชายวัยกลางคนพูดขึ้น อ๊อดเงยหน้ามายิ้มรับ ก่อนจะวางปากกาในมือลง
“ไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอกครับพ่อ พ่อก็รู้นี่ว่าผมอยากเป็นครูตั้งแต่เด็กๆ”
“อื้ม ... แต่เงินเดือนครูก็ยังไม่ค่อยจะพอยาไส้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ปีๆ” ผู้เป็นพ่อพูดเรียบๆ “ถ้าบ้านเราไม่พอจะมีกินมีใช้ พ่อคงจะไม่ยอมให้อ๊อดไปเป็นครูแน่ๆ”
“แต่พ่อก็ใจดีกับอ๊อดมาตลอดนี่นา” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง
“เพราะพ่อรักแกไง พ่อถึงอยากให้แกได้แต่สิ่งดีๆ” นายหัวทอง ผู้เป็นพ่อสบตาลูกชาย ก่อนจะเสตามองไกลออกไป “ปีนี้แกอายุเท่าไหร่แล้วนะ”
“ยี่สิบห้าครับ”
“อืม...”นายหัวทองครุ่นคิด ก่อนจะเข้าเรื่องต่อ “แล้วแกมีใครที่หมายตาไว้หรือยัง หรือมีใครที่อยากจะแนะนำให้พ่อรู้จักหรือเปล่าล่ะฮึ”
“เอ่อ....” ชายหนุ่มอึกอัก เมื่อนึกถึงคำเฉลยของตัวเอง
“พ่อคิดว่า ไม่แปลกหรอกนะ ที่แกจะมีใครได้แล้ว รวมไปถึงการเริ่มสร้างครอบครัวด้วย “
อรรถพลมือเย็นเยียบเมื่อถูกคำถามของผู้เป็นพ่อรุกไล่ แต่ชายหนุ่มก็ยังสามารถตั้งสติตอบคำถามของผู้เป็นพ่อไป
“ผมยังไม่มีใคร และไม่ได้มองใครไว้หรอกครับ”
.
.
รถสองแถวสีแดงแล่นไปบนถนนเรื่อยๆ สายลมที่คละเคล้ากับกลิ่นไอทะเลพัดปะทะผิวหน้าของชายหนุ่มเนื่องมาจากกระจกที่เปิดเอาไว้ เบื้องหน้าไกลออกไปมีทิวตึกปะปนกับขอบฟ้าของเกาะภูเก็ต อรรถพลทอดมองไกลออกไปอย่างครุ่นคิดถึงวันข้างหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่าและกังวล
“เป็นอะไรไปหรออ๊อด วันนี้ดูเงียบๆนะ” ปองถามขึ้นในขณะที่ยังบังคับรถอยู่
“คิดอะไรนิดหน่อยไม่มีอะไรหรอก”
“บอกได้หรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิ ....ไม่รู้จะพูดยังไงดี”

รถสองแถวจอดเทียบอยู่กลางสะพาน แดดอ่อนยานเย็นทอแสงทาบทับกับเกลียวคลื่นเป็นสีทองระยิบระยับพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆคล้อยลงต่ำ
“ภูเก็ตเนี่ย สวยทุกที่เลยนะ อ๊อดว่ามั้ย”
“แต่อ๊อดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีหลายมุมทั้งนั้น เพียงแต่จุดที่เรายืนตรงนี้มันอาจจะดูสวยดี”
“ถ้าเป็นแบบนั้น...” คนขับรถสองแถวหันมายิ้มให้คนรัก “มันคงสวยเพราะมีอ๊อดอยู่ข้างๆผมไง”
“แล้วมันจะสวยงามแบบนี้ตลอดไปหรอ”
“ไม่ตลอดไปหรอก” สมปองยกมือขึนมือกุมมือของอีกฝ่ายที่กำลังจับราวสะพานไว้ “ผมจะรักอ๊อดแค่หมดลมหายใจนี้ของผม”
ครูอรรถพลยิ้มมุมปาก ก่อนจะทอดตามองไปยังเกลียวคลื่นอีกครั้ง “ครับ... อ๊อดก็เชื่อแบบนั้น ส่วนเรื่องอื่น อ๊อดจะพยายามไม่คิดถึงมันในตอนนี้แล้วกัน .... ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตของเรา”
.
.
.
วันชื่นคืนสุขของอรรถผลและสมปองดำเนินไปพร้อมกับหน้าปฏิทินที่ปลิดปลิวลงไปช้าๆทีละแผ่น  ความรักของสมปองยังคงมั่นคงหนักแน่นเหมือนวันแรกที่ให้สัญญาแก่คนรักในวันที่จากลากัน เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว และชายหนุ่มยังคงยึดมั่นในสัญญาที่แลกด้วยลมหายใจว่าจะรักกับชายชื่อ “อรรถพล” จนสิ้นลมหายใจ

เหมันตฤดูที่เกาะภูเก็ตเย็นเยียบ เช้าวันหนึ่งในวันหยุด อรรถพลนั่งตรวจการบ้านของเด็กนักเรียนอย่างเคย
“ตรวจการบ้านเด็กหรอฮึ” ผู้เป็นพ่อถามขึ้นพลางนั่งลงข้างๆ
“ครับพ่อ”
“การบ้านเยอะมั้ยวันนี้”
“ก็เหมือนๆเดิมแหละครับ สายๆก็คงเสร็จ”
“แล้วเย็นนี้ไปไหนหรือเปล่า”
“พ่อจะพาผมไปไหนหรอครับ”
“พ่อจะพาแกไปกินข้าวกับเพื่อนพ่อน่ะ ไปด้วยกันหน่อยสิ”
“ได้สิครับ ไม่มีปัญหา”

ในร้านอาหารท่ามกลางแหล่งเศรษฐกิจของเกาะภูเก็ต หลังจากที่สองพ่อลูกขับรถเข้ามาในเมืองสักพักก็มาถึงร้านอาหารอันเป็นที่หมาย เบื้องหน้ามีชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับนายหัวทองนั่งอยู่พร้อมกับผู้หญิงวัยใกล้กันอีกคนซึ่งน่าจะเป็นภรรยาของชายผู้นั้น ถัดมาอีกคนเป็นเด็กสาวหน้าคมคายตามแบบของคนปักษ์ใต้ ชายหนุ่มหลิ่วตาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะหันมาทางนายหัวทองที่ดูไม่ใส่ใจกับท่าทีของลูกชายนัก
“เป็นอย่างไรบ้างวะ ไอ้เอก นานแล้วนะเนี่ยที่เอ็งกับข้าไม่ได้เจอกัน”
“ก็เจ็บออดๆแอดๆตามประสาคนแก่แหละว่ะ อยู่แต่ในร้านไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเหมือนเอ็งหรอก”
การทักทายของคนแก่สองคนดำเนินไปพร้อมกับที่ชายหนุ่มนั่งยิ้มเก้อๆอยู่บนโต๊ะอาหาร บรรยากาศรอบตัวทำให้เขารู้สึกเขินๆระคนแปลกใจ และ...หลายๆอย่างที่บรรยายไม่ถูก หรือถ้าจะพูดให้ถูก คือมันเหมือนการพาเขามาดูตัวเจ้าสาวยังไงอย่างนั้น
.
.
.
ในกระท่อมท้ายสวนยางอันเป็นที่พำนักของสมปอง ซึ่งถูกสร้างไว้อย่างง่ายๆไกลหูไกลตาจากผู้คนถูกใช้เป็นที่สำหรับคนสองคนมาหลายปี อ๊อดนอนหนุนศีรษะบนไหล่กว้างของชายหนุ่มอีกคนพลางเหม่อมองบนหลังคาที่มุงด้วยใบจากด้วยความคิดที่ว่างเปล่า
“ปอง...”
“ว่าไงครับ”
“ปองเคยคิดมั้ยว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้....ไปอีกนานเท่าไหร่”
“แปดปีที่ผ่านมายังทำให้อ๊อดสงสัยอะไรในตัวของผมอีกล่ะฮึ”
“เพราะมันนานไงปอง....”ชายหนุ่มพูดพลางซุกตัวให้ชิดกับแผงอกของอีกฝั่งขึ้นอีก “ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา”
“ผมเคยบอกอ๊อดแล้วนี่”  สมปองเอี้ยวตัวมาลูบใบหน้าของคนรักอย่างทะนุถนอม “จนกว่าผมจะสิ้นลมหายใจ”
“แต่ถ้าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดล่ะ .... โลกใบนี้ ไม่ว่ายังไงผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิง”
“แต่อ๊อดก็เลือกจะคู่กับผมไม่ใช่หรอ.... และผมก็เป็นของคุณ ทูนหัวของไอ้ปอง”
ครูหนุ่มกอดรับคนขับสองแถวเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจ
“ขึ้นชื่อว่าความรัก เป็นไปไม่ได้ที่จะราบรื่นได้ตลอดไปหรอก ต่อให้เราสองคนไม่มี.... แต่ชีวิตก็ใช่ว่าจะมีแต่เราสองคนนะปอง”
“อ๊อด...”
“อ๊อดกลัว...ปอง อ๊อดยังนึกไม่ออกเลยถ้าวันนั้นต้องมาถึงในสักวัน อ๊อดจะทำยังไง .... เพราะ...อ๊อดเองก็รักปองหมดหัวใจเหมือนกัน”
“อย่ากลัวไปเลยครับ ทูนหัวของไอ้ปอง” ชายหนุ่มประทับริมฝีปากบนกระหม่อมของอีกคนที่หนุนอยู่บนแผงอก “แต่หากวันนั้นมาถึงจริงๆ งานเลี้ยงก็คงเลิกรา .... และเป็นวันที่ลมหายใจของไอ้ปองคนนี้ดับลงเช่นกัน”
.
.
.
ภายในวัดเงียบสงบและร่มรื่นไปด้วยทิวไม้ครึ้ม สายลมพัดโชยมาเบาๆและพาพัดเอาควันธูปลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มมองควันธูปเหล่านั้นพร้อมกับรอยยิ้มเหงาๆ หากควันธูปเหล่านี้ประหนึ่งสาสน์ที่ล่องลอยไปยังปรโลกจริง ควันเหล่านั้นคงจะหอบเอาข้อความมากมายจากลูกชายของผู้ตายที่กระดูกของนางถูกบรรจุไว้ในโกฐ
รูปที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าไม่มีรอยยิ้ม แม้แต่ตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่เคยยิ้มแย้มให้ผู้ใดเห็น หรืออย่างน้อย อรรถพลก็แทบจะไม่เคยเห็นรอยยิ้มของผู้เป็นแม่ แม้ท่านจะอยู่กับเขาแค่เพียงเวลาไม่นาน
“หลายปีแล้วนะครับ ที่แม่ตายไป”
“ใช่อ๊อด... เราอยู่กันสองคนมานานมากแล้วอ๊อด” นายหัวทองตอบสั้นๆ พร้อมกับมองภาพถ่ายของอดีตภรรยา “ชีวิตรักของพ่อช่างสั้นนัก .... และรักของพ่อก็เหลือแต่อ๊อดคนเดียวเท่านั้น”
“....อ๊อดก็รักพ่อนะครับ”
“ถ้าแม่แกยังอยู่ .... แม่คงอยากเห็นแกเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาซะที”
“แต่ผม...ยังไม่ได้คิดเรื่องพรรค์นี้จริงๆครับ” ชายหนุ่มเลี่ยงคำถามที่ไม่อยากตอบด้วยการโกหก
“พ่อแก่ลงทุกวัน ... ไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เห็นนักหรอก” นายหัวทองเงยหน้าแหงนมองฟ้า “พ่ออยากเห็นแกมีครอบครัว อยากเห็นลูกของแก .... “
“ผมไม่ได้อยากมีครอบครัวแบบแกนๆ .... ผมคิดว่าผมจะรอคอยคนที่ผมรักและพร้อมจะสร้างครอบครัวด้วยกันกับผม” อรรถพลตอบคำถามตามที่เคยคิดคำตอบไว้อย่างฉะฉาน หากแต่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องของเขา
“พ่อคิดว่า....หนูหน่อยลูกสาวลุงเอกเป็นคนดี...และเหมาะสมกับแก” ผู้เป็นพ่อตัดบท ก่อนจะจ้องหน้าลูกชายด้วยแววตาจริงจัง “พ่ออยากให้แกลองคบหาดูใจกับหนูหน่อยดูเสียหน่อย พรุ่งนี้ลองพาเธอมากินข้าวที่บ้านเราสิ”
“แต่...”
บทสนทนาจบลงเมื่อนายหัวทองหันหลังกลับและเดินไปที่รถ โดยที่ไม่ได้สนใจในคำพูดของลูกชายที่เหมือนจะบอกอะไร
“ผม....มีครอบครัวแบบที่พ่ออยากเห็นไม่ได้หรอกครับ” ชายหนุ่มบอกกับสายลม ก่อนจะหันมายังที่บรรจุอัฐิของผู้เป็นแม่ “แม่เข้าใจผมมั้ยครับ”
.
.
.
ข่าวคราวการหมั้นหมายของลูกชายและลูกสาวของสองนายหัวผู้มีชื่อเสียงแห่งเมืองภูเก็ต และบ้านท่าฉัตรไชยดังกระฉ่อนไปทั่ว ใครๆต่างพูดถึงและกล่าวขวัญว่างานนั้นจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน
อรรถพลนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องรับแขกที่กว้างขวางแต่เงียบเหงานัก ชุดไทยสีขาวครีมพร้อมกับผ้าพาดบ่าถูกใส่ไว่กับหุ่นที่วางอยู่ในห้อง เมื่อชายหนุ่มมองไปยังชุดวันหมั้นของเขาก็ยิ่งทำให้น้ำตาคลอหน่วย

“ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหมอ๊อด อ๊อดจะไปหมั้นกับผู้หญิงคนนั้นได้ยังไง!!! ก็ในเมื่อ...เราสองคนรักกัน” สมปองจับไหล่พร้อมกับเอ่ยถามคนรักเมื่อได้รู้ข่าวที่ฟังแล้วหัวใจที่จะแตกเป็นเสี่ยง
“ปอง....อ๊อดไม่รู้จะบอกพ่อยังไงดี”
“แล้วผมล่ะปอง .... เราจะจบกันแค่นี้หรอ ผมไม่มีวันยอมให้มันจบลงแบบนี้”ชายหนุ่มพยายามมองหน้าของคนรักเพื่อหาคำตอบ หากแต่เจ้าของใบหน้ากลับหลุบตาต่ำอย่างจนแต้ม
“อ๊อดไม่รู้จริงๆ...”หยาดน้ำตาค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาบนใบหน้าของอรรถพล ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างเงียบไปเหลือเพียงเสียงเกลียวคลื่นที่ไหลกระทบฝั่งและตอสะพานสารสินดังครืนครามที่ทำลายความเงียบเหล่านั้นลง
“อ๊อด... อ๊อดจำที่ผมเคยพูดกับอ๊อดได้มั้ย ว่าผมจะรักอ๊อดจนหมดลมหายใจ” คนขับรถสองแถวหันไปอีกทางก่อนจะก้มลงมองตอสะพาน “มันทำให้ผมนึกถึงตำนานของสะพานแห่งนี้... สะพานรักสารสิน”
“.....” อรรถพลนิ่งเงียบฟังคนรักพูดต่อไป เขาไม่มีคำพูดหรือความเห็นใดๆทั้งสิ้นเกี่ยวกับเรื่องราวที่กำลังดำเนินอยู่
“ผมคิดว่าบางทีเราอาจจะเป็นครูอิ๋วกับกับโกไข่กับกลับชาติมาเกิดก็ได้นะ” ชายหนุ่มหัวเราะและฝืนยิ้มอย่างแกนๆ “ครูผู้มีฐานะมั่งคั่งกับไอ้คนขับรถสองแถวกระจอกๆ....ไอ้โกไข่มันโง่เองแหละ ที่ไม่เจียมตัวไปหลงรักดอกฟ้าอย่างครูอิ๋ว ”
สมปองใช้มือสองข้างปิดหน้าของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆเลื่อนมือทั้งสองข้างลงพร้อมด้วยเสียงสะอื้น
“ไอ้สมปองมันโง่เองแปละที่ไปหลงรักครูอรรถพลจนหมดหัวใจ มึงมันโง่ มึงมันไม่เจียมกะลาหัว ไอ้เหี้ยปอง!!!”


ภาพน้ำตาที่นองหน้าของสมปองยังคงตราตรึงอยู่ในความคิดของครูอรรถพล เขาไม่มีใครแล้วจริงๆ แม้แต่พ่อที่บอกว่ารักเขาก็กลับหยิบยื่นความเจ็บปวดนี้แก่เขาเสียเอง
อรรถพลพลันนึกถึงแม่ผู้จากไปขึ้นมา ภาพของท่านเลือนลางในความทรงจำ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาจำติดหูนอกจากใบหน้าที่เรียบเฉยของแม่กับรอยยิ้มที่เหมือนจะพยายามยกมุมปากขึ้นมาอย่างยากลำบาก นั่นคือบทเพลงเก่าๆที่มาจากแผ่นเสียงที่ท่านโปรดปรานโดยไม่บอกเหตุผล
ชายหนุ่มเดินไปยังที่เก็บแผ่นเสียง เขาจำได้ดี ว่าผู้เป็นแม่ฟังอยู่แผ่นเดียว และหนึ่งในเพลงเหล่านั้น แม่จะตาแดงๆคล้ายจะร้องไห้เมื่อได้ยินเพลงนี้

http://www.youtube.com/v/uhsJYi7C_to?version=3&hl=th_TH&rel=1

“ภูเอ๋ยภูเก็ต ... อาณาเขตที่เรารักกัน
โธ่เอ๋ยสะพานสารสินเป็นถิ่นรื่นรมย์
ลาแล้วลาก่อน คงไม่ย้อนหวนคืนมาชม
ลาแล้วหนอความขืนข่ม ....ทุกข์ระทมสิ้นสุดกันที

เราสองรักใคร่ ....ไม่เคยหน่ายขอตายพร้อมกัน
ฝากฝังสะพานสารสินช่วยเป็นสักขี
เราสองรักมั่นผู้ใหญ่เขากันหาว่าไม่ดี
บุญน้อยจริงๆชาตินี้....สองเราพลีชีพตายพร้อมกัน

พี่เป็นโชเฟอร์ขอสองแถว....ใครๆก็รู้
แต่น้องเป็นครูแม่พิมพ์ของชาติไม่อาจผูกพัน
รักกันใช่เล่น ขนาดเคยเป็นของกันและกัน
รักที่เคยหมายมั่น กลับถูกกีดกัน ให้หมดความหมาย

ภูเอ๋ยภูเก็ต อาณาเขตที่เรารักกัน
โธ่เอ๋ยสะพานสารสินเป็นถิ่นที่ตาย
น้ำตานองหน้าเอาผ้าขาวม้ามาผูกมัดกาย
สองเราติดกันมั่นหมาย.....
......โดดน้ำตายที่ใต้สะพาน”

“แม่ครับ แม่ร้องไห้หรือเปล่า” เด็กชายอ๊อดถามผู้เป็นแม่ที่กำลังเหม่อลอยเมื่อได้ยินบทเพลงที่ดังมาจากแผ่นเสียง
“เปล่าหรอกอ๊อด.... แม่อาจจะซาบซึ้งกับบทเพลงไปหน่อย”
“แล้วเพลงอะไรหรอครับที่ทำแม่เหมือนจะร้องไห้ได้เนี่ย”
“ชื่อเพลงภูเก็ตน่ะอ๊อด” ผู้เป็นแม่ลูบหัวลูกชายเบาๆ
“เอ๋ .... เพลงภูเก็ต” เด็กชายนิ่วหน้าอย่างครุ่นคิด “ภูเก็ตจะทำให้ใครร้องไห้ได้หรอครับ ภูเก็ตมีทั้งหาดสวยๆ ทะเลก็น่าเล่น ใครๆที่มาที่นี่ต่างก็มีความสุขกลับไปทั้งนั้น”
“ไม่มีอะไรที่สวยงามไปเสียหมดหรอกอ๊อด เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้านนั้นแหละ มีดีก็มีร้าย มีสวยงามก็มีหม่นหมอง มีความสุขก็มีความเศร้า”
“แล้วอะไรที่เป็นอีกด้านของภูเก็ตหรอครับ”
ผู้เป็นแม่ถอนหายใจก่อนจะเล่าให้ฟังโดยที่ไม่ได้มองตาลูกชาย “ครั้งหนึ่ง เมื่อหลายปีที่แล้ว มีชายหญิงสองคนรักกันมากเป็นเวลาหลายปี แต่ฐานะของทั้งสองคนต่างกันมากนัก ฝ่ายหญิงเป็นครูที่มีหน้ามีตาและฐานะทางบ้านร่ำรวย ส่วนฝ่ายชายเป็นแค่คนขับรถสองแถวจนๆ ทั้งสองคนรักกันมาก แม้ว่าใครก็ต่างเห็นว่าทั้งคู่ไม่ได้เหมาะสมกันแม้แต่นิดเดียว พ่อของผู้หญิงก็กีดกันทั้งคู่ด้วย....”
“แล้วสุดท้าย ทั้งสองคนนั้นเค้าได้รักกันหรือเปล่าครับแม่”
“เค้ารักกันอยู่แล้วอ๊อด รักกันมานานด้วย.... แต่ก็ไม่อาจที่จะครองคู่กันได้ สุดท้ายทั้งสองคนก็ตัดสินใจผูกตัวเองไว้คู่กันด้วยผ้าขาวม้า ก่อนจะกระโดดลงมาจากสะพานสารสินจนตาย...”
ผู้เป็นแม่พูดพลางมองขึ้นไปบนฟ้า ในมือของนางกำบางสิ่งบางอย่างไว้ในมือแน่น
“น่าสงสารนะเค้าสองคนนะครับแม่”
“ใช่น่าสงสาร ทั้งที่ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนแท้ๆ แต่เพราะคนอื่นที่ทำให้รักกันไม่ได้”

เพลงจากแผ่นเสียงจบลง และเลื่อนไปยังบทเพลงต่อไป ชายหนุ่มเหม่อมองออกไปสุดสายตาที่รกครึ้มไปด้วยต้นยาง ความเขียวขจีและรกชัฎของสวนอันมีนายหัวทองเป็นเจ้าของแทบจะทำให้แสงแดดที่สาดส่องลงมานั้นไม่สามารถสาดกระทบพื้นดินเบื้องล่างได้ เหมือนกับทางออกของอรรถพลที่มองเท่าไหร่ก็ยิ่งหาไม่เจอ

ภูเก็ตไม่ได้แค่มีหาดสวยทะเลใส
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้มีด้านเดียว
และครั้งหนึ่ง สะพานที่ทอดผ่านทะเลอันดามันระหว่างภูเก็ตกับพังงาแห่งนี้ ก็เคยมีความหลังที่แสนจะขมขื่น
 
 

 


คลอดซะที กับเรื่องที่สาม แหะๆ กลับ กทมแล้วนะครับ อาจจะได้อ่านกันเรื่อยๆ ทั้งเรื่องสั้น และนิยายหลัก (กรุ่นกลิ่นรวงข้าว)

พรุ่งนี้หรือมะรืนน่าจะได้ลุ้นพี่เมฆกับเจ้าโนต่อแล้วครับ

ขอบคุณที่เข้ามาให้กำลังใจครับ  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-12-2011 23:18:38 โดย Glorious »

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
เวลาอ่านแล้วนึกภาพหนังเก่าฟิล์มนัวๆ เลย
คนแต่งทำตัวแก่กว่าวัยนะเนี่ย :laugh:

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
ไปอยู่ขอบโลกมาครับพี่เลยไม่ได้อ่านเรื่องที่แล้ว  พอดีมาเจอเรื่องนี้ก็เลยได้อ่านเรื่องที่แล้วด้วย เรื่องที่แล้วจบได้น่ารักมาก  รักคงทน  แต่เรื่องนี้มันอึมครึมอีกแล้ววว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด